เทศน์พระ

กำพร้า

๑๖ ต.ค. ๒๕๕๙

 

กำพร้า
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๕๙
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรม ถ้าตั้งใจฟังธรรมนะ นี่ตั้งแต่วันเข้าพรรษา วันเข้าพรรษา เห็นไหม เราพระเก่าก็เคยเข้าพรรษามาแล้วทุกปีๆ พระใหม่นะตั้งแต่บวชมาก็รอวันเข้าพรรษา แล้วเวลาเข้าพรรษานะมันเขยใหม่ มันสดๆ ร้อนๆ มันไม่เคยพบเคยเห็น มันยังแปลกประหลาดอยู่ ยังไม่เข้าใจสิ่งใดนะ เราบวชมาเลือกหาที่บวชเป็นวัดปฏิบัติ ถ้าวัดปฏิบัติแล้วนี่ก่อนวันเข้าพรรษานะ ถ้าเป็นปฏิบัติโดยที่ข้อเท็จจริงนะ เขาจะมีการถือธุดงค์กัน เขาจะถือธุดงค์ เห็นไหม เขาจะอธิษฐานธุดงค์ อธิษฐาน นี่ถ้าเขาอธิษฐานธุดงค์ของเขาๆ เห็นไหม

วันเข้าพรรษา เราก็คิดว่าเราถือธุดงค์แล้วนี่ ธุดงควัตรนี่เป็นข้อขัดเกลากิเลส ถ้าข้อขัดเกลากิเลส การประพฤติปฏิบัติในพรรษาหนึ่ง เห็นไหม นี่เราหวังผลไง วันเข้าพรรษาเราก็หวังผลนะ หวังผลว่าเราจะประพฤติปฏิบัติ มันต้องมีผลของเราๆ คือมีศีล มีสมาธิ มีปัญญาไง สมบัติของพระ สมบัติของพระคือมรรคคือผล สมบัติของพระไม่ใช่วัตถุหรอก สมบัติของพระคือศีลคือธรรมในหัวใจไง ถ้าสมบัติของพระนี่ถ้าพระมีสมบัติในหัวใจ เห็นไหม ถ้าพระมีสมบัติในหัวใจ สิ่งที่เป็นสมบัติในหัวใจอันนั้นมันจะเป็นสัจธรรมความจริงไง

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรม กราบธรรมแบบนี้ กราบธรรมคือกราบสัจธรรมในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่มันสว่างไสวกลางหัวใจดวงนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชื่นชมธรรมในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม สิ่งที่กราบธรรมๆ คือสัจธรรมอันนั้นไง วันเข้าพรรษาเราก็มีแรงปรารถนา เราก็มีการกระทำ เราก็หวังผล หวังผลว่าจะประพฤติปฏิบัติ มันจะได้ผลสัจจะตามความจริงอันนั้น

วันนี้ เห็นไหม วันนี้วันพระ วันอธิษฐานออกพรรษา เราจะปวารณากันออกพรรษาแล้ว ถ้าออกพรรษา ออกพรรษาแล้ว เห็นไหม ถ้าออกพรรษาๆ ถ้าเป็นพระที่ยังประพฤติปฏิบัติอยู่ต่อเนื่องไปมันก็มีข้อวัตรมีปฏิบัติ ถ้าจะถือธุดงค์ก็ถือธุดงค์ต่อไป คำว่าถือธุดงค์ต่อไปเรายังมีงานที่จะทำต่อเนื่องกันไปไง ถ้าทำต่อเนื่องกันไปนะ เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพระอานนท์ไว้ “อานนท์ ธรรมและวินัยที่เราตรัสไว้แล้วจะเป็นศาสดาของเธอ” ถ้าเป็นศาสดาของเธอ เราก็จะมีธรรมมีศาสดาประจำหัวใจไง เราจะมีครูมีอาจารย์อยู่ในหัวใจเราไง เรายังมีครูบาอาจารย์คอยคุ้มครองดูแลเราต่อไปไง

เวลาพระที่ปฏิบัตินะ พระที่บวชแล้วประพฤติปฏิบัติคิดโดยกิเลสไง เราเป็นลูกกำพร้า เราไม่มีพ่อมีแม่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็นิพพานไป ๒,๐๐๐ กว่าปี เห็นไหม บวชมาจากอุปัชฌาย์ ผู้ที่บวชบางคนอุปัชฌาย์ก็ตายไปแล้ว พอตายไปแล้วเราก็เคว้งคว้างนะ เหมือนคนไม่มีพ่อไม่มีแม่ ไม่มีใครคุ้มครองดูแล มีแต่ความทุกข์ความยาก ชีวิตนี้มันมีแต่ความว้าเหว่นั้นเพราะใจเรากิเลสมันทำให้เรา เห็นไหม ให้เราพลัดพราก ให้เราไม่มีหลักการไง

แต่ถ้ามีหลักการ เห็นไหม ในธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เวลาบวชพระอุปัชฌาย์นี่บวชลูกศิษย์สัทธิวิหาริก เวลาอุปัชฌาย์ตายไป พออุปัชฌาย์ตายไป เห็นไหม พระแตกสานซ่านเซ็นเลย นี่เขาไปฟ้ององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกถ้าอุปัชฌาย์ตายไปแล้วนี่ให้ขอนิสัยกับอาจารย์นั้น ขอนิสัยกับอาจารย์รองลงมาไง ไม่ใช่อุปัชฌาย์ตายแล้วไม่มีใครมาดูมาแล เหมือนพ่อแม่ที่เสีย พ่อแม่ตายแล้วลูกหลานใครจะดูแลต่อเนื่องไป นี่ลูกหลานต่อเนื่องไป เห็นไหม ดูสิ ในทางโลกถ้าพ่อแม่เขาเสียไปแล้วเขาก็มีพ่อบุญธรรมแม่บุญธรรมต่อเนื่องกันไปไง

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าจิตใจของเรามีคุณธรรมในใจนะ ถ้าจิตใจของเราอยู่ใกล้ชิด ถ้าอยู่ใกล้ชิดเวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เห็นไหม ธรรมและวินัยจะเป็นศาสดาของเรา ถ้าเราทำตัวเราให้เข้มแข็ง ทำตัวเราให้มีสติปัญญา เห็นไหม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต เราจะมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่กลางหัวใจ เราจะมีคนคุ้มครองดูแล ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ธรรมะย่อมคุ้มครอง

คนที่มีศีล ๕ๆ ศีล ๕ นี่ถ้าเขาปฏิบัติศีล ๕ โดยสมบูรณ์ของเขา มันจะมีอำนาจวาสนาบารมีนะ ในสังคมนั้นเขาจะชื่นชมไง คนคนนี้เป็นคนไม่พูดปด เขามีสัตย์ พูดเชื่อถือได้ ถ้ามีศีลๆ ไง ถ้าผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ถ้าเขาปฏิบัติธรรมของเขา เขามีสัจจะของเขา สังคมเขาเชื่อถือคนคนนั้นนะ เชื่อถือเพราะอะไร เชื่อถือเพราะมีสัตย์ เขามีสัตย์เพราะอะไร เขามีศีล ถ้าเขามีศีลนะ เพราะมีศีลศีลคุ้มครองเขาไหม นี่ไง ถ้าศีลธรรมมันคุ้มครองๆ อย่างนั้นไง คุ้มครองเพราะเราปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตามศีลตามธรรมนั้น ไม่ใช่ปฏิบัติตามความพอใจของตน

ถ้าปฏิบัติตามความพอใจของตน เห็นไหม ความพอใจก็รู้อยู่แล้วอะไรอยู่ในใจนะ ความพอใจ ความพอใจมันก็ไหลลื่นไปเรื่อยแหละ นี่แล้ว เห็นไหม ขี้ตามช้างๆ เห็นช้างมันขี้จะขี้ตามช้าง ช้างมันขี้ ช้างมันกินถึงหนึ่งในสามน้ำหนักตัวมันนะ ขี้ของมันเลยกองใหญ่ไง ของเรา เราจะขี้เท่าช้างไหม เราขี้เท่าช้างก็พยายามจะเบ่งขี้ออกมาอย่างนั้นสิ

นี่ก็เหมือนกัน เห็นครูบาอาจารย์ทำอย่างไงก็จะทำอย่างนั้นไม่ได้หรอก ครูบาอาจารย์บางองค์ท่านทำอย่างนั้นมันเป็นจริตนิสัยของท่าน คือเป็นความธรรมดาของท่านไง คือท่านทำเป็นปรกติเป็นธรรมดา ท่านไม่ได้พยายามจะไปสร้างภาพขึ้นมา แต่ของเรานี่ เห็นไหม เห็นช้างขี้ก็ขี้ตามช้าง เห็นเขาทำ ทำอย่างนั้น จะทำอย่างนั้น ไม่ใช่! ของเราต้องทำเป็นของของเราไง

ถ้าเราปฏิบัติของเรา เราชอบสิ่งใด เราทำสิ่งใดให้มันเป็นสมบัติของเราขึ้นมา ถ้ามันเป็นสมบัติของเราขึ้นมานะ ถ้าทำขึ้นมันเป็นความจริงขึ้นมา ถ้ามันมีศีล ศีลก็มีความปรกติของใจ ถ้าจิตมันสงบเข้ามามันเป็นสัมมาสมาธิ ถ้ามันฝึกหัดใช้ปัญญาได้ เห็นไหม ฝึกหัดใช้ปัญญาได้ ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้ามันเกิดจากใจของเราแล้วนี่ มันเกิดจากใจของเรา เราได้กระทำมาๆ เราได้ผ่านมา เราได้มีการประพฤติปฏิบัติมา มันรู้ พอมันรู้แล้ว เห็นไหม แล้วมันจะกำพร้าไปไหน มันไม่กำพร้าหรอก ถ้าเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เรามีศีลมีธรรมในหัวใจ นี่อัตตัตถสมบัติ สมบัติของพระ ถ้าพระมีสมบัติอย่างนี้ นี่อริยทรัพย์ ถ้าทรัพย์อย่างนี้เกิดขึ้นมามันอยู่ในใจของเรา

ถ้ามันเป็นจริงๆ เห็นไหม ถ้าเป็นจริง ออกพรรษาแล้วๆ ในสมัยพุทธกาลออกพรรษาแล้วนี่เขาจะออกวิเวก ออกไปหาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ส่วนใหญ่แล้วจะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะถามทันทีเลยมาจากไหน มาอย่างไง แล้วปฏิบัติที่นั่นได้ผลอย่างไง เห็นไหม นี่สิ่งที่ไปหาๆ ก็ไปหาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านิพพานไปแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านิพพานไปแล้ว เห็นไหม เราบวชเราเรียนขึ้นมา บวชเรียนขึ้นมาเราก็แสวงหาครูบาอาจารย์ของเรา

ถ้ามีครูบาอาจารย์ของเรานี่ ครูบาอาจารย์ของเรา ถ้าเป็นธรรมนะ ท่านจะพูดแต่เรื่องประพฤติปฏิบัติทั้งนั้น พูดถึงเรื่องศีล เรื่องสมาธิ เรื่องปัญญา เรื่องผลของการประพฤติปฏิบัติ ท่านไม่พูดกันเรื่องอื่นหรอก แล้วพูดเรื่องศีล เรื่องสมาธิ เรื่องปัญญานี่คือสมบัติ พระพุทธศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาถึงได้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วตรัสรู้ธรรมขึ้นมาธรรมมันคืออะไรล่ะ นี่เขาบอกธรรมะคือธรรมชาติๆ ก็เอามาอ้างอิงกันแล้ว พูดทีไรก็มาวิเคราะห์วิจัยธรรมชาติ แต่ไม่วิเคราะห์วิจัยหัวใจเลย ไม่วิเคราะห์วิจัยเรื่องกิเลสเลย ไม่วิเคราะห์วิจัยว่าปฏิบัติมันมีผลหรือไม่มีผลเลย

นี่ธรรมะ ธรรมะมันคืออะไรล่ะ ธรรมะมันคืออะไร แล้วธรรมะมันทำได้จริง ทำจริง เห็นไหม ดูสิ ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านธุดงค์มา ท่านไปเที่ยววิเวกกลับมา ท่านจะมาคุยกันนะ คุยกันสนทนาธรรมกัน สนทนาคือประสบการณ์ไง นี่เราไปพบอย่างนั้น เราไปเห็นอย่างนั้น เรามีอุปสรรคอย่างนั้น อุปสรรคอย่างนั้นมันกีดขวาง เราจะทำอย่างใด นี้ถ้าสนทนาธรรมถ้าด้วยเหตุด้วยผลก็ฟังด้วยเหตุด้วยผล ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ มันเป็นมงคล เราคุยกันด้วยเหตุด้วยผล เราไม่ได้คุยด้วยเล่ห์กระเท่ เล่ห์เหลี่ยมเล่ห์กลเขาไม่เอามาคุยกันหรอก เพราะเล่ห์เหลี่ยมเล่ห์กลมันทำให้เราเจ็บช้ำอยู่นี่ ที่ปฏิบัติไม่ได้ก็ไอ้เล่ห์กลเล่ห์เหลี่ยมของกิเลสมันพลิกแพลงอยู่นี่

ฉะนั้นเวลาเขาคุยกัน เขาคุยด้วยเหตุด้วยผล ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ มันจะเป็นมงคลต่อเมื่อเราเป็นสุภาพบุรุษไง คำว่าสุภาพบุรุษ เห็นไหม เราฟังด้วยเหตุด้วยผล เวลาเราจะโต้แย้งเราก็โต้แย้งด้วยเหตุด้วยผล เราไม่ใช่โต้แย้งด้วยเล่ห์ด้วยกลเหมือนกัน เราโต้แย้งด้วยเหตุด้วยผลเพราะอะไร เพราะเราเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส เราเป็นบุตรขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยกัน เราบวชเป็นพระด้วยกัน เราบวชแล้วเราประพฤติปฏิบัติด้วยกัน แล้วประพฤติปฏิบัติด้วยกัน ต่างคนต่างหาที่สงบสงัด ต่างคนต่างหาที่วิเวก แล้วใครประพฤติปฏิบัติขึ้นมานี่ ผลปรากฏในหัวใจมันเป็นอย่างใด มันเป็นอย่างไง เห็นไหม เราก็ล้มลุกคลุกคลาน เขาก็ล้มลุกคลุกคลาน ต่างคนต่างเห็นใจกันนะ

ถ้าต่างคนต่างเห็นใจกัน เราคุยกันด้วยเหตุนี้ไง ถ้าด้วยเหตุนี้ การปฏิบัติธรรมเป็นสมบัติ ถ้ามีอัตตัตถสมบัติ เห็นไหม ครอบครัวกรรมฐานของเราถึงได้รู้ว่าใครจะมีคุณธรรมมากน้อยแค่ไหนในหัวใจนี่มันจะเป็นจริงหรือไม่เป็นจริง ถ้าเป็นจริงขึ้นมามันเป็นจริงอย่างนั้น ถ้าไม่เป็นจริง เห็นไหม ช้างขี้! ช้างเขาขี้มันก็เป็นเรื่องสมบัติของช้าง

ไอ้ของเรานี่เราเป็นมนุษย์ เรามีสติปัญญา สติปัญญาของเรา เห็นไหม งานทางโลกนะอาบเหงื่อต่างน้ำเพื่อหาปัจจัยเครื่องอาศัย ทุกคนอยู่ทางโลกก็ต้องการความมั่นคงของชีวิตๆ แล้วเวลาเรามาบวชพระขึ้นมานี่ จิตใจของคนที่เข้มแข็ง เห็นไหม ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด คือชีวิตนี้มันต้องตาย ถ้าต้องตายนะ คิดโดยกิเลสถ้าต้องตายก็ไม่ต้องทำอะไรเลย ก็นั่งรอวันตายกันนี่ไง มันตายอยู่แล้วไปทำทำไม ทำแล้วไม่มีประโยชน์อะไรก็รอวันตายสิ สบายๆ

ก็ไอ้ชีวิตนี้มันมีการพลัดพรากเป็นที่สุด ชีวิตนี้มันตายอยู่แล้ว แต่ แต่ก่อนตายนี่ไง ก่อนตายนี่ขวนขวายๆ ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด เราจะไม่สะเพร่าจนไปตื่นโลก ตื่นโลกตื่นสงสารตื่นยศถาบรรดาศักดิ์ ตื่นชื่อเสียงกิตติศัพท์กิตติคุณ ไปตื่นอย่างนั้นไม่มีโอกาสจะได้เข้ามาดูแลหัวใจของตนเลยไง เห็นไหม เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เราบวชเป็นพระนะ เราไม่ประมาท เราไม่สะเพร่าไปตะครุบเงา ไปตะครุบสิ่งที่สมบัติ เห็นไหม สมบัติทางโลกนี่ เราตายไป เห็นไหม ดูสิ ได้สมณศักดิ์ตายแล้วต้องเอาพัดไปคืนนะ เขาจะไปตั้งองค์ใหม่ ไม่ใช่ของเอ็งหรอก ชั่วคราว ตั้งให้ พอตายแล้วก็ต้องส่งคืน ส่งคืนแล้วก็ไปตั้งองค์ใหม่

แต่ถ้าเราประพฤติปฏิบัตินะ ศีล สมาธิ ปัญญาเป็นสมบัติของเรา นี่ธรรมในใจของคน ธรรมในใจเป็นของดวงใจใดก็เป็นของดวงใจนั้น เวลาพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะไปลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปนิพพาน เห็นไหม “เธอจงสมควรแก่เวลาของเธอเถิด” เป็นสมบัติของเธอไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพานนี่ พระอานนท์คร่ำครวญแล้วคร่ำครวญอีก “อานนท์ เราบอกเธอแล้วไม่ใช่หรือว่าเราไปนี่เราก็เอาสมบัติของเราไปเท่านั้น เราก็เอาคุณธรรมในหัวใจของเราไปเท่านั้น เราไม่ได้เอาสมบัติของใครไปเลย”

สมบัติของใคร เห็นไหม สมบัติของใครก็เป็นสมบัติของคนนั้น ใครที่ประพฤติปฏิบัติได้มากได้น้อยแค่ไหนก็เป็นสมบัติของเขา นี่ไง เวลาครูบาอาจารย์ท่านนิพพานไปก็เอาสมบัติของท่านทั้งนั้น สมบัติของท่าน แล้วสมบัติของเรานี่ที่เรามาประพฤติปฏิบัติกัน สมบัติของเรานี่ แล้วถ้ากิเลสมันเสี้ยม กิเลสมันทำลายนะ โอ๋ พอบอกว่าลูกกำพร้า มันเป็นทางออกไง เพราะเราเป็นลูกกำพร้า เราไม่มีคนดูแล เราไม่มีคนคุ้มครอง แล้วมันก็ไปนะ พอคิดอย่างนี้พอมันแถไปแล้วเป็นอย่างไง นี่ไม่มีกำลังใจเลย ไม่มีสิ่งใดที่จะเป็นหลักเป็นเกณฑ์เลย ปล่อยตัวสำมะเลเทเมาไปเลย ไม่มีอะไรที่เป็นที่ยึดเหนี่ยว

แต่ถ้าเราเป็นพระใช่ไหม เราเป็นพระเราบวชมา สัทธิวิหาริก เห็นไหม อาจริยวัตร อาคันตุกวัตร เรามีหมู่มีคณะไง เรามาเข้ากับหมู่สงฆ์ไง หมู่สงฆ์ก็เสมอกันโดยศีลโดยธรรมไง เราเป็นพระ เห็นไหม เราก็มีหมู่มีคณะไง เราก็มีครูมีอาจารย์ไง แล้วผู้ที่ประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริงขึ้นมาไง ถ้าเกิดเขามีศีล เขามีสมาธิ มีปัญญาขึ้นมา เห็นไหม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต เขามีคุณธรรม มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสถิตกลางหัวใจเลย มันเป็นกำพร้าที่ไหน มันเป็นกำพร้าตรงไหน ถ้ามันเป็นธรรมๆ นะ เป็นธรรมตามความเป็นจริง มันเป็นความจริงอย่างนั้นไง

ถ้าความจริงอย่างนั้นเราจะต้องมีสติมีปัญญา ออกพรรษาแล้วก็ไม่ใช่ว่าเราจะพลัดพรากจากไปไหน ไม่มี! จะเข้าพรรษาออกพรรษา นี่เข้าพรรษาออกพรรษามันเป็นวันเวลานะ วันเวลากลืนกินชีวิตของสัตว์โลกไปทั้งหมด แล้ววันเวลามันเคลื่อนไปตลอดเวลา เห็นไหม อดีต อนาคต นี่ปัจจุบันๆ นี่ตั้งแต่วันเข้าพรรษามา ๓ เดือน วันนี้วันออกพรรษา ๓ เดือนแล้ว วันเวลามันผ่านไป คนเดิม กิเลสหนาขึ้น กิเลสหนักหน่วงขึ้น เพราะอะไร เพราะกิเลสมันว่ามันอาวุโส มันมียศถาบรรดาศักดิ์ นี่ไอ้ที่บวชใหม่ๆ นั่นพระนวกะ พระบวชเข้ามาในสังคมใหม่ เราเก่าแก่ เรามีอำนาจมาก นู่น ไปนู่นเลย

นี่ถ้ามันไม่ใช่กำพร้า มันก็เสี้ยม เสี้ยมให้ทุกข์ให้ยากไง แต่ถ้ามีสติปัญญา จะเข้าพรรษาจะออกพรรษานะ ถ้าครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมแล้วนะ เรื่องนี้เป็นเรื่องปรกติ เรื่องนี้ธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่วางไว้ไง ระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ มันจะเห็นบุญเห็นคุณมาก บิณฑบาตได้ฉันอยู่นี่ก็เพราะพระพุทธเจ้า สิ่งใดก็แล้วแต่ที่เราทำอยู่นี่ถ้าไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวินัยนี้ไว้ สิ่งที่เราทำกันอยู่นี่ๆ มันจะมีใครศรัทธามีความเชื่อขนาดที่จะมาเชิดชูบูชา ไม่มีหรอก

สิ่งที่เขาเชิดชูบูชานี่เพราะเขาก็ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ของเขาเหมือนกัน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ของเขาในสถานะของเขา เขาเป็นฆราวาส บริษัท ๔ อุบาสก อุบาสิกา ถ้าอุบาสกอุบาสิกาของเขาเขาขวนขวายของเขา ในเมื่อเขาไม่มีโอกาสประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม ถ้าเขามีโอกาสประพฤติปฏิบัติเขาจะปฏิบัติตามความเป็นจริง แต่เขาไม่มีโอกาสที่จะได้ประพฤติปฏิบัติของเขา เขาต้องทำหน้าที่การงานของเขา เขาก็พยายามหาบุญกุศลของเขาด้วยปัจจัยเครื่องอาศัยที่จะมาเชิดชูบูชาครูบาอาจารย์ของเขา

นี่ไอ้เราเป็นนักรบ นักรบ เห็นไหม ภิกษุ ภิกษุณี พระเป็นฝ่ายนักรบ ฝ่ายที่ค้นคว้า ฝ่ายที่จะวิเคราะห์วิจัยสัจธรรมขึ้นมา สัจธรรมขึ้นมา เห็นไหม สัจธรรมขึ้นมาเพื่ออะไร เพื่อปราบปรามกิเลสของใจดวงนั้นก่อน อย่างที่ว่าลูกกำพร้าๆ นี่ ไม่ให้มันหว้าเหว่ ไม่ให้มันเร่ร่อน ให้มันมีคุณธรรม ให้มันมีที่พึ่งอาศัย

ถ้ามีที่พึ่งอาศัยนะนี่ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก มันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก มันต้องมีที่พึ่งอาศัยของใจดวงนั้นก่อน ใจดวงนั้นมีที่พึ่งอาศัยก่อน ใจดวงนั้นอิ่มเต็มก่อน ใจดวงนั้นที่ทุกข์ที่ยากๆ นี่เพราะกิเลสมันครอบงำไง แต่ถ้ามันทำสัมมาสมาธิสงบระงับได้จิตใจมันอิ่มเต็ม คำว่าอิ่มเต็มนั้นมันมีกำลัง สิ่งที่มีกำลัง คนที่มีกำลังคนที่มีอำนาจวาสนาแล้วเขาถึงทำงานของเขาได้ ถ้าทำงานของเขานี่ทำงานวิปัสสนา ทำงานในอริยสัจ ทำงานในสัจจะความจริง ทำงานในโลกุตรธรรม ทำงานโดยการพ้นโลก ทำงานโดยพุทธศาสนา

พระพุทธศาสนาสอนอย่างนี้ไง สอนการงานภายใน งานของพระๆ งานเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา งานของพระๆ คืองานค้นคว้า งานขุดคุ้ย งานหากิเลส งานกระชากเอากิเลสมันออกมาประจาน ประจานด้วยปัญญาของเรา ปัญญาของเราๆ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เกิดในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณชำระล้างกิเลสในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เพราะมันชำระล้างกิเลสแบบนี้ มันทำลายอวิชชาแบบนี้ ท่านถึงวางธรรมวินัยที่บอกไว้ในเรื่องอริยสัจไง ในอาทิตตฯ อนัตตฯ ในการกระทำ มันเป็นของเธอหรือ มันเป็นของเธอหรือ มันไม่ใช่สักอย่างหนึ่ง ไม่ใช่ ไม่ใช่ก็ไม่ใช่ธรรมดานะ ไม่ใช่ด้วย ไม่รู้ไม่เห็น ไม่รู้จักมันอีกด้วย ไอ้ว่าไม่ใช่ๆ ก็เพราะมันรู้จักแล้วมันถึงว่าไม่ใช่ แต่ถ้าเราไม่รู้จักมันเราจะไม่ใช่ตรงไหน เพราะเราไม่รู้จักไม่เห็นมัน จะไปบอกว่าใครใช่ใครไม่ใช่ เพราะเราไม่เคยรู้ไม่เคยเห็น ไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นเพราะอะไร ไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นเพราะจิตมันไม่เคยสงบไง จิตไม่เคยสงบก็ไม่รู้จักตัวตนของตน

สิ่งที่เป็นอยู่ๆ นี้เป็นอยู่ด้วยจริตนิสัย เกิดมาชอบอะไรรักอะไรก็เป็นอย่างนั้น จริตนิสัย ชอบอย่างไงก็ชอบอย่างนั้น เกลียดอย่างไงก็เกลียดอย่างนั้น คัดค้านอะไรก็คัดค้านอยู่อย่างนั้น มันจริตนิสัย เป็นสัญชาตญาณ มันยังไม่เห็นความจริงอะไรทั้งสิ้น ถ้าจะเห็นอะไรทั้งสิ้นมันต้องทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจมันสงบระงับเข้ามามันถึงจะเป็นสัจธรรม จิตเดิมแท้นี้ผ่องใสๆ โดยสากล สมาธิในโลกนี้จะนับถือลัทธิศาสนาใดก็ทำสมาธิเหมือนกัน แต่! แต่เป็นมิจฉา มิจฉาคือสมาธิที่ไม่มีสติปัญญาคุ้มครองดูแลไง

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ทำสัมมาสมาธิๆ การเป็นสมาธิๆ มันก็ต้องมีสัมมา มันต้องมีสติปัญญาของมัน ถ้ามีสติปัญญาของมัน เห็นไหม มันจะรื้อค้นขึ้นมา นี่พอมันมีงานมีการทำเหมือนคนทำธุรกิจการค้า กิจการของเขารุ่งเรืองเชิดชู อู้ฮู้ สุดยอด จิตใจของเราก็เหมือนกัน ถ้าเราฝึกหัดภาวนาของเรา เห็นไหม มันมีสติ มันมีสมาธิ มันมีปัญญาขึ้นมา จิตใจของเรามันงอกงามขึ้นมา จิตใจมันเป็นหน่อพุทธะ มันเป็นหน่อพุทธะนะ มันมีองค์ความรู้ มันมีขอบเขตของมัน มันมีกำลังของมัน มันออกใช้สติปัญญาของมัน มันขุดคุ้ยหากิเลสของมัน นี่ไง มันจะหว้าเหว่ไปไหน

คนจะเป็นเศรษฐีอยู่นี่ นี่สมบัติของพระ คนจะเป็นเศรษฐี คนจะมั่งมีศรีสุข มันจะเป็นกำพร้าตรงไหน ไอ้ที่กำพร้าๆ เพราะทำตัวเองไง จะกำพร้านี่เพราะว่ากิเลสมันปิดบัง กิเลสมันเหยียบย่ำไง มันทำให้ตัวเองต่ำต้อยไปเรื่อยๆ ไง แต่ถ้ามีคุณธรรมๆ คุณธรรมมันยกขึ้น คุณธรรมมันพิจารณาของมันขึ้น คนเราทำขึ้นมานี่มันจะมีฐานะมีคุณธรรมขึ้นมาในใจ มันจะไปกำพร้าตรงไหน นี่ไอ้ที่ว่ากำพร้าๆ ที่มันทุกข์มันยากกันอยู่นั้น มันเป็นทางออกของกิเลสไง กิเลสมันพลิกแพลงขึ้นมา มันนึกขึ้นมา มันเอามาเป็นของล่อ เอามาล่อหัวใจ พอล่อหัวใจเรา หัวใจถ้ามันไม่มีสติปัญญาหัวใจก็วิ่งตามมันไปไง ออกพรรษาแล้วๆ เห็นไหม มันก็จะขวนขวายอยากจะไปตามกำลังของตนๆ มันก็ไปหาที่วิเวกหาที่สงัดมันเป็นเรื่องธรรมดาทั้งนั้นนะ แต่ถ้ามันไปโดยความเป็นกิเลส ไปด้วยความที่กำพร้านี่ มันไปโดยประชดประชัน มันไปโดยที่ว่าจะไปแสวงหาสิ่งใดก็ไม่ได้

แต่เวลาครูบาอาจารย์ของเรา เห็นไหม ดูสิ เวลาหลวงตาท่านอยู่กับหลวงปู่มั่น เวลาท่านจะออกไปวิเวก ท่านจะบอกเลยว่า ในวัดในวานี่สิ่งใดที่มันขัดข้องอะไรนี่ ได้มีอะไรขัดข้องอยู่ไหม ในวัดนี่ทุกอย่างมันสมบูรณ์ดีหรือยัง ถ้าสิ่งใดที่มันขาดตกบกพร่องจะได้กระทำให้มันสมบูรณ์ขึ้นมา ถ้าวัดนี้มันสมบูรณ์ดีแล้วนี่ ข้าพเจ้าก็จะขอออกไปหาที่สงบสงัดเป็นการชั่วคราวสักระยะหนึ่ง นี่บอกขอโอกาสไว้ แล้วก็รอจนกว่าท่านจะให้โอกาส รอจนกว่าท่านจะให้ไป

นี่พอไปแล้ว เวลาเขาจะไปเขาไปด้วยความเคารพบูชา เขาไปหาความสงัดวิเวกๆ เพื่ออะไร สงัดวิเวกก็เพื่อไปประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ให้ไปรู้ไปเห็นสิ่งสัจธรรมอะไรขึ้นมา แล้วถ้ามันติดขัดเราจะวิ่งกลับมาหาอาจารย์ของตนให้อาจารย์ของตนแก้เลย เพราะถ้าแก้ด้วยตนเอง เห็นไหม แม้แต่ความคิดขึ้นมาข้อหนึ่ง อะไรที่กิเลสมันหลอกขึ้นมาในใจสักคำหนึ่ง ค้นหาเป็นเดือนๆ ตอบไม่ได้ อะไรที่มันหลอกขึ้นมาสักคำหนึ่งนะ วนไปเวียนมา เวียนกลับไปกลับมาอยู่นั้นล่ะ ไม่จบ กลับไปหาอาจารย์ๆ ใส่ทีเดียว ผลั้วะ โอ้ ไม่น่าโง่ได้ขนาดนี้เลยเนาะ ของของเราแท้ๆ เวลาเข้าใจนะ เวลาไม่เข้าใจนี่ไม่ยอมรับอะไรทั้งสิ้น ไม่ยอมรับอะไรเลย เวลามันกำพร้าหว้าเหว่แล้วมันสร้างกำแพงขึ้นมาไง มันสร้างกำแพงขึ้นมาหลอกลวงไง

สิ่งที่มันเป็นกระแสโลก ไอ้ความที่ว่าในครอบครัวๆ หนึ่ง ถ้าพ่อแม่สูญเสียไปนี่ เขาก็กำพร้าจากพ่อจากแม่ อันนั้นมันเป็นภาษา ภาษาที่ว่าคนเราเกิดมาแล้วเวลามันพลัดพรากมันจากกันมันก็เป็นเรื่องอย่างนั้นน่ะ มันก็เป็นข้อเท็จจริงของสังคมโลก คนเกิดมามันก็มีการตายไปทั้งนั้น เวลาตายก่อนตายหลัง ใครตายก่อนตายหลังมันก็ขาดตกบกพร่องกันไป ไอ้นั้นมันเป็นเรื่องเวรเรื่องกรรมของสัตว์โลก

กิเลสมันก็ไปคว้าหมับเลย จิตนี้ก็กำพร้า มันว่าไปนู้นเลยนะ ไปอ้างไง เห็นสิ่งใดที่มันเป็นคติเอาเข้ามานะ เอามาถ้าคิดๆ นี่ไง ถ้ามันคิดเป็นธรรมๆ เห็นไหม ดูสิ คนเกิดมา เห็นไหม เป็นชาติเป็นตระกูลด้วยกัน ครอบครัวเดียวกันเขาก็ผูกพันกันมหาศาล เวลาใครจะไปไหน เขาเป็นห่วงเป็นใยทั้งนั้นนะ ทำไมใครๆ คนหนึ่งต้องตายพลัดพรากจากไปล่ะ ทำไมเขาต้องตายไปก่อนล่ะ แล้วไอ้ลูกหลานโดนพลัดพรากไปแล้วเขามีความทุกข์ยากอย่างไง

ถ้าเราเอามาคิด ชีวิตนี่มันอันตรายนัก ความตายนี้มันอยู่กับการหายใจเข้าและหายใจออกเลย ความตายนี่มันเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาเลย ถ้าเห็นภัยอย่างนั้นแล้ว โอ้โฮ น่ากลัวมาก ถ้าน่ากลัวมากนะ ชีวิตเราถ้าเป็นอย่างนั้นมันจะอันตราย รีบเร่งภาวนา เออ! คิดให้มันเป็นบวกสิ คิดให้มันเป็นประโยชน์สิ คิดให้มันไปกระตุ้นให้เราขวนขวาย ให้เราเห็นโทษของมัน ไม่ใช่ไปจับฉวยมาให้เป็นเครื่องมือของกิเลสไง

พอจะหยิบฉวย ดูสิ นั่นเขากำพร้า น่าสงสาร มันเหมือนเราเลย เราก็ไม่มีพ่อไม่มีแม่เหมือนกัน เราก็ทุกข์ยากเหมือนกัน ชีวิตถ้ามันคิดโดยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันจะคิดทำลายตนเอง คิดทำให้ตนเองอ่อนแอไปเรื่อยๆ แล้วก็เชื่อมันไปเรื่อยๆ เชื่อมันจนถึงที่สุด เออ ใช่ ถ้าอย่างนั้นแล้วเราไปดีกว่า ถ้าอย่างนั้นแล้วถึงที่สุดก็ตายไง

แต่ถ้ามันคิดในมุมบวก เห็นไหม นี่ผลของวัฏฏะ มันก็มีการขาดแคลนขาดตกบกพร่องมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง สิ่งใดเป็นอนิจจังสิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์สิ่งนั้นเป็นอนัตตา ทุกข์คือความทนอยู่ไม่ได้ แล้วความทุกข์ความยากในหัวใจนี่มันทนอยู่ได้ไหม ถ้ามันทนอยู่ไม่ได้ นั่นนะคือความทุกข์ แล้วถ้ามันเป็นอนัตตา มันแปรสภาพไปแล้ว แล้วมันไปไหน ถ้ามันไปไหน เพราะเราไม่รู้ไม่เห็นกับมันไง เราก็ต้องมาฝึกหัดในตัวของเรานี่ไง

ถ้าเรามาฝึกหัดในตัวของเรา เราจะหาความจริงในหัวใจของเรา สิ่งที่เป็นนามธรรมมันเกิดแล้วดับ ความทุกข์บางทีมันรุนแรงมากเลยเดี๋ยวมันก็ดับ ถ้าดับไปแล้วนะ เราจะหามันที่ไหนล่ะ เดี๋ยวก็ไปทุกข์เรื่องใหม่ต่อเนื่องกันไปไง แต่ในปัจจุบันนี้เราจะเอาความจริงเลย ทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจมันสงบแล้วมันจับได้นะ จิตเห็นอาการของจิต มันเกิดงานขึ้นมา เหมือนเลย เหมือนเราทำงานอยู่ข้างนอกนี่ ถ้าไม่มีหน้าที่การงานของเรา เราจะไปทำงานอะไร ถ้าเราทำขึ้นไปแล้วงานเสร็จก็คืองานเสร็จ แต่งานเสร็จแล้วนี่เดี๋ยวก็ต้องทำต่อเนื่องกันไป เพราะ เพราะคนเราเกิดมาต้องกินต้องอาศัยตลอดไป มันก็ต้องดำรงชีพตลอดไป มันต้องทำหน้าที่การงานไปจนกว่าจะหมดอายุขัยนั่นนะ

นี่ก็เหมือนกัน การภาวนาอยู่นี่ ผลของวัฏฏะๆ เกิดมาในชาตินี้ ถ้าชาตินี้มีสติมีปัญญาขึ้นมา อยากจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันก็อยู่ในใจนี้ เวลาตายไปๆ ไปเกิดใหม่ ไปเกิดเป็นอะไรก็ไม่รู้ เวลาเกิดใหม่ เห็นไหม ไปเกิดใหม่นี่ด้วยเวรด้วยกรรมนะ ใช่ ชาตินี้ทำความดีทั้งนั้นเลย แต่กรรมนี้เป็นอจินไตย คำว่าอจินไตยคือว่ามันทำซับซ้อนไม่รู้แต่เมื่อไหร่ อดีตนานมาขนาดไหน แล้วสิ่งนั้นๆ มันมาให้ผล สิ่งนั้นๆ มันมาให้ผล

แล้วขณะที่ ดูสิ เราไม่ทำสิ่งใดเลยมันก็ไม่ให้ผลนะ มันก็พออยู่ได้นะ พอเราเอาจริงเอาจังขึ้นมามันมาทันทีเลย เพราะอะไร เพราะว่ามันกลัวเราจะพ้นจากมันไปไง กิเลสมันกลัวเราจะพ้นจากมันไป เห็นไหม สิ่งใดก็แล้วแต่มันจะขัด หน้าที่ของกิเลสคือทำลายทั้งนั้น หน้าที่ของกิเลส เห็นไหม ดูสิ ทางโลกเขานี่ เขาทำสิ่งใดมีแต่ความขาดตกบกพร่อง เขามีแต่ความทุกข์ความยาก ไอ้เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา นั่งสมาธิภาวนามันอาศัยอะไร

ทางโลกเขาต้องมีวิชาชีพของเขา เขาต้องมีปัญญาของเขา เขาถึงทำงานของเขา ไอ้เรานี่นั่งสมาธิภาวนาหายใจเข้านึกพุท หายใจนึกออกโธ ถ้าจิตสงบแล้วฝึกหัดใช้ปัญญา มันจะเกิดปัญญาจากจิตๆ มันจะเกิดภาวนามยปัญญา แล้วปัญญาที่มันเกิดขึ้น เห็นไหม นี่กิเลสที่ว่ามันทำลายๆ นะ ทำลายตั้งแต่สติ ทำลายตั้งแต่เราจับสิ่งใด นู่นก็ไม่สำคัญ นี่ก็ไม่สำคัญ นู่นก็ไม่ต้องทำ นี่ก็ไม่ชอบ นี่ไงมันไม่เคยฝึกหัดอะไรเลย สติมันก็ไม่ฝึกเลย จะเป็นสมาธิก็เป็นสมาธิไม่ได้ เพราะสมาธิมันเป็นอย่างไงก็ไม่รู้ อู้ สมาธิมันว่างๆ มันก็ว่างๆ มันก็สร้างอารมณ์ว่างๆ

อารมณ์ไม่ใช่สมาธิ สมาธินี่ถ้ามันกำหนดพุทโธๆ พุทโธก็เป็นอารมณ์ มันผ่านอารมณ์เข้าไปไง มันผ่านขันธ์ ๕ เข้าไปไง มันผ่านเปลือกส้มเข้าไปสู่เนื้อส้มไง มันผ่านจากความรู้สึกผ่านจากสัญชาตญาณเข้าไปสู่จิตสงบไง ถ้าสงบนะมันเป็นสมาธิ ถ้ามันเป็นสมาธิขึ้นมานี่ ถ้ามันเป็นจริงขึ้นมา เห็นไหม มันจะรู้มันจะเห็นของมันขึ้นมา แล้วถ้ามันไปรู้ไปเห็นขึ้นมา กิเลสนี่ กิเลสมันทำลายทุกอย่าง ทำลายตั้งแต่ฝึกหัดสติ ทำลายตั้งแต่การทำสมาธิ แล้วพอมีสมาธิ สมาธิถ้าคนมีอำนาจวาสนาบุกบั่นมันเข้าไป บุกบั่นพยายามมุมานะ ถ้าเป็นสมาธิได้ สมาธิเพราะอะไร

ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ สมาธิจะมีมาก็มีมาเพราะด้วยความมุมานะของเรา มาด้วยการตั้งสติของเรา มาด้วยคำบริกรรมของเรา มาด้วยปัญญาอบรมสมาธิของเรา ถ้ามันเป็นขึ้นมาได้ มันก็เป็นของมันขึ้นมา เห็นไหม เป็นขึ้นมา กิเลสมันก็ทิ่มก็ตำ มันจะทำลายตลอด หน้าที่ของกิเลสคือการทำลายทั้งสิ้น

พอมันฝึกหัดได้มีอำนาจวาสนาขึ้นมา เห็นไหม จิตสงบแล้วฝึกหัดใช้ปัญญานะ เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม เห็น เห็น จิตเห็นอาการ จิตเห็นการกระทำ จิตเห็นเคลื่อนไหวของจิต จิตเห็นอาการเคลื่อนไหวของจิต จิตเห็นอารมณ์ที่เกิดจากจิต จิตเห็นกายที่เกิดจากจิต ถ้าจิตมันเห็นจิตมันจะเกิดภาวนามยปัญญา พอเกิดภาวนามยปัญญาขึ้นมา กิเลสมันก็ทิ่มก็ตำ โอ๋ ได้มรรคได้ผลแล้วนะ นี่ไง กิเลส หน้าที่ของกิเลสมันทำลายทุกอย่างเลย ทำลายแม้แต่ทางโลก ทำลายตั้งแต่งานการของเรา น้อยเนื้อต่ำใจทุกข์ยากไปหมด กิเลสมันทำลายทั้งหมด แต่เวลามาปฏิบัติมันก็ทำลายเหมือนกัน

ถ้ามันเป็นธรรมๆ นะ มันเป็นธรรมถ้าคนที่มีคุณธรรมอยู่แล้ว สิ่งที่มีค่าที่สุดเราเกิดเป็นมนุษย์ การเกิดเป็นมนุษย์มันมีค่าที่สุดอยู่แล้ว เพราะอะไร เราเกิดเป็นมนุษย์ เห็นไหม เกิดเป็นมนุษย์นี่มันมีโอกาส ถ้ามีโอกาสแล้วนี่ สิ่งที่การเกิดล้วนมีค่าที่สุด มันจะต่ำต้อยจะสูงส่งจะพลิกแพลงอย่างไง เราก็พอใจเราแล้วล่ะ เราพอใจเพราะว่าเราทำกรรมมาอย่างนี้ แล้วเราก็ทำหน้าที่การงานของเราไป เราพยายามหาโอกาสการกระทำของเรา ทำเพื่อดำรงชีพๆ แล้วถ้ามีโอกาสเราก็ประพฤติปฏิบัติถ้าคนที่เขาอยู่ทางโลก

แต่ถ้าคนที่ปฏิบัติ เห็นไหม เราเกิดเป็นมนุษย์ๆ สิ่งที่เขาทำงานทางโลกมันก็อาบเหงื่อต่างน้ำ ทำเพื่อดำรงชีพ ทำเพื่อชีวิต แล้วชีวิตก็อยู่กับโลกนั้นนะ เวลาตายไปแล้วก็ได้บุญกุศล จะไปเกิดตามวัฏฏะ แต่ถ้าเราจะประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม เราทำงานด้วยการประพฤติปฏิบัติในหัวใจของเรา เราทำงานด้วยใจๆ ไง ถ้าทำงานด้วยใจ เห็นไหม ถ้าใจมันเป็นจริง เห็นไหม ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน แล้วใจเป็นใหญ่ใจเป็นประธานแล้ว ความรู้สึกนี่เราทำงานตรงๆ เลย ทำงานกับหัวใจของเราเลย แล้วถ้าเราไม่มีสติปัญญาไม่มีอำนาจวาสนา มันก็ไปโหยหานั่นแหละ เป็นลูกกำพร้า ไม่มีใครคุ้มครองดูแล ไม่มีใครประพฤติปฏิบัติ ไม่มีใครชี้นำ ใครจะชี้นำ ชี้นำก็ไปย่ำยีเขา ชี้นำก็ไม่เชื่อเขา กิเลสท่วมหัว

แต่เวลาจริงๆ ขึ้นมานะ ทำขึ้นมาให้มันเป็นจริงสิ ถ้าทำให้มันเป็นจริง ไปถามท่านสิ คำว่าถามหมายถึงว่ามันมีเหตุมีผล คำว่าถามมันมีข้อไง มันมีข้อมันมีประเด็นไง ถ้ามีประเด็นถกกันในประเด็นนั้นนะ มันจะเป็นการวัดภูมิเลย ถ้ามีประเด็น ไอ้นี่มันถามกันลอยๆ ฟังใครมาก็ไม่รู้ แล้วเวลาถามก็ถามไม่มีน้ำหนัก ไม่มีข้อเท็จจริงเลย แต่ถ้าเราปฏิบัติของเรา เห็นไหม ถ้ามันน้อยเนื้อต่ำใจนะ สิ่งที่เราเป็น ถ้าเราถามก็เป็นประเด็นแล้ว ถ้าเป็นประเด็น ถูกผิดมันพูดได้แล้ว ถ้าถูกผิดมันวัดกันได้แล้ว

ฉะนั้นเวลาหลวงตาท่านพูด เวลาท่านออกมาธุดงค์จากหลวงปู่มั่น แล้วท่านวิเวกไป ไปหาครูบาอาจารย์ เวลาไปปรึกษาเรื่องการปฏิบัติ เวลาท่านฟังแล้ว นี่ไงพอมีประเด็นแล้วก็คุยกัน พอคุยกันเสร็จนะ มันคิดอยู่ในใจ เอ้อ มีความรู้แค่นี้เหรอจะมาสอนเรา มันวัดภูมิได้ มันวัดภูมิของคนพูดได้เลยว่ามีสูงมีต่ำแค่ไหน เพียงแต่มีสูงมีต่ำแค่ไหน เราพูดแล้วเขาก็ไม่รู้ในตัวเขา เห็นไหม ท่านถึงเก็บไว้ในใจไง เก็บไว้ในใจแล้วพูดเลย อ๋อ ภูมิมีแค่นี้เอง จะมาสอนเรายังไง คือคนถามภูมิมันสูงกว่า ภูมิมันสูงกว่าคือคนมันมีเหตุมีผลมากกว่า

นี่ไง ถ้ามันเป็นประเด็นๆ เราปฏิบัติแล้วถ้ามันเป็นประเด็น มันจะรู้ว่ากำพร้าหรือไม่กำพร้าไง ถ้าจะเป็นกำพร้าเราก็ทำเสียเอง กิเลสมันย่ำยีมันทำลายซะเอง น้อยเนื้อต่ำใจ ทำตัวเองให้พลัดพรากออกไป ให้ไกลจากธรรมและวินัยไป มันถึงกำพร้า กำพร้าจากคุณธรรม กำพร้าจากทรัพย์ อริยทรัพย์ของพระ พระมันจะมีคุณธรรมจะมีสมบัติก็สมบัติในธรรมและวินัย ถ้ากำพร้าก็กำพร้าจากธรรมวินัยนี่ กำพร้าจากคุณธรรมของตน

แต่ถ้ามันเป็นจริงๆ นะ มันจะไม่กำพร้า มันจะมีศีล มีสมาธิ มีปัญญา เราจะใกล้คุณธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเวลาประพฤติปฏิบัติไปมันจะได้คุณธรรมอันนั้น ถ้าปฏิบัติไป เห็นไหม ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ธรรมะย่อมคุ้มครองไง เราก็ปฏิบัติตัวเราด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา ด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญานะ ฉะนั้นมันอยู่ที่ระหว่าง ระหว่างที่เราประพฤติปฏิบัติ ระหว่างที่เราขวนขวายอยู่นี้ เราก็พยายามรักษาตัวของเราไง

มันไม่ใช่หน้าที่การงานอะไรของเรา เราก็ไม่ต้องไปยุ่ง เราเอาแต่ความเป็นจริงของเราๆ เราพยายามปฏิบัติของเรา เพราะการประพฤติปฏิบัติกิเลสนี้มันร้ายนักนะ ถ้ากิเลสมันร้ายนัก ครูบาอาจารย์ท่านถึงให้โอกาส ท่านถึงคุ้มครองดูแล ดูแลอะไร ดูแลเวลาไง วันเวลา ๒๔ ชั่วโมงนี่ให้เราได้เข้าไปเผชิญหน้ากับมัน ถ้าเราไม่เผชิญหน้ากับมันเราจะไม่มีโอกาสได้ประพฤติปฏิบัติ เราจะไม่มีโอกาสรู้จักมันเลย แล้วเวลาพูดถึงกิเลสก็เป็นกิเลสในตำรา กิเลสของคนอื่นที่แสดงออกทั้งนั้นเลย ไม่ใช่กิเลสของเราเลย แล้วไม่ได้ประโยชน์ของเราเลย

ฉะนั้น เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงว่าปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก มันต้องเป็นกิเลสของเรา มันต้องเป็นการกระทำของเรา มันต้องเป็นคุณสมบัติของเรา มันต้องเป็นหัวใจของเรา ถ้าเป็นของเราแล้วนะ นี่ให้ถามมาได้เลย ใครก็ถามได้ เขาจะมามุมมองไหนก็แล้วแต่ ถ้าเรามีคุณธรรมจริง เราตอบได้หมด มันจะมีคุณธรรม

นี่บอกว่ามันเป็นจริตมันเป็นนิสัย มันพูดกันไม่รู้เรื่อง ไอ้ไม่รู้เรื่องมันส่วนไม่รู้เรื่องสิ ไอ้ไม่รู้เรื่องมันเป็นจริตนิสัย นิสัยคือความเห็นที่แตกต่าง แต่ข้อเท็จจริงมันเป็นอันเดียวกัน ถ้าเราอธิบายได้ ถ้าอธิบายไม่ได้ นี่ไงที่หลวงตาท่านว่านะ อ๋อ มีความรู้แค่นี้หรือจะมาสอนเรา มันฟังไม่ขึ้นๆ ฟังไม่ขึ้นมันก็ไม่มีประโยชน์ไง

เราจะพูดถึงว่าถ้ามันออกพรรษาแล้วเราต้องพลัดพรากกันไปนี่ บอกว่าเราไม่มีที่พึ่งที่อาศัย เรากำพร้า เราไม่มีคนคุ้มครองดูแล นั้นก็คิดไปเรื่องหนึ่ง แต่ถ้าเราประพฤติปฏิบัติ เรามีคุณธรรมในหัวใจของเรา เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการไว้ไง ให้ภิกษุอยู่ไกลถึงภาคตะวันตก ถ้าปฏิบัติตามเรา เหมือนจับชายจีวรเราไว้ ถ้าภิกษุอยู่ใกล้เรา อยู่ชิดกันเลย อยู่ติดกันเลย แต่ไม่ปฏิบัติตามเรา เหมือนอยู่ห่างเราแสนไกลเลย อยู่ห่างแสนไกล แต่เขาอยู่ห่างแสนไกลขนาดไหน แต่เขาปฏิบัติตาม ปฏิบัติธรรมตามธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม เห็นไหม เหมือนอยู่ติดเราเลย เหมือนจับชายจีวรเราไว้เลย แล้วมันจะกำพร้าไปไหน

ถ้าเราปฏิบัติจริงเห็นจริงมันจะกำพร้าไปไหน มันไม่มีกำพร้าหรอก ถ้าเป็นกำพร้านี่มันก็เป็นกิเลสเสี้ยม นี่กิเลสทำลาย ทำลายให้เราพลัดพราก ทำลายให้น้อยเนื้อต่ำใจ ทำลายให้เป็นทางออกของกิเลสไง แล้วก็อ้างไปเรื่อยๆ มีแต่ความเสียหายนะ

แต่ถ้าเราเอาจริงๆ นะ เราเอาจริง เห็นไหม อยู่ไกลองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา ๒,๐๐๐ กว่าปีนะ ถ้าเราปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมเหมือนจับชายจีวรขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย แล้วถ้าเวลาประพฤติปฏิบัติไป ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม เห็นไหม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคตเลย อยู่กับองค์ตถาคต

ฉะนั้นเราพูดบ่อย นี่จะไปอินเดียๆ เราบอกไม่ต้อง หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ เราจะได้เฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราจะเห็นพุทธะในใจของเราไง เราจะเห็นพุทธะ เราจะเห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสถิตอยู่กลางหัวใจของเรา เอวัง