เทศน์พระ

ดูเบา

๑๔ พ.ย. ๒๕๕๙

 

ดูเบา
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๙
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจนะ ตั้งใจให้สงบ ทำใจนิ่งๆ แล้วฟังธรรมะ ฟังธรรมนะ ฟังธรรมๆ ฟังทุกอาทิตย์ ฟังทุกอุโบสถไง ฟังอุโบสถ ฟังทุกอุโบสถนะ เวลาครูบาอาจารย์นะ เวลาอยู่กับครูบาอาจารย์ที่ท่านไม่ค่อยได้เทศน์ ถ้าท่านไม่ค่อยได้เทศน์มันก็แสวงหา ขวนขวาย อยากได้ยิน แต่เวลาไปเจอครูบาอาจารย์ที่ท่านเทศนาว่าการ เทศน์บ่อยไง ท่านเทศน์ของท่านบ่อยมาก เทศน์บ่อยมาก จนชินชา พอชินชามันก็หน้าด้าน หน้าด้านมันก็เลยมองไม่เห็นคุณค่าไง

แต่ถ้ามันเห็นคุณค่านะ แล้วมีครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมๆ ถ้าเป็นธรรม สิ่งใดที่แสดงออกมานั้นมันเข้าไปสะกิดหัวใจนั่นล่ะ ถ้าสะกิดหัวใจอวิชชามันอยู่ที่นั่น อวิชชา ตัวอวิชชา ตัวความไม่รู้ ไม่รู้จักตัวมันเอง ไม่รู้จักกาลเทศะ ไม่รู้จักสัจธรรม มันถึงต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะนี่ไง เพราะมันเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ แล้วมันอยู่ที่ภวาสวะ อยู่ที่ภพ อยู่ที่ใจนั้น มันอยู่ที่ใจนั้นมันก็ซ่อนตัวอยู่ในนั้น เห็นไหม แล้วเวลาศึกษาเล่าเรียน ศึกษาเล่าเรียนขนาดไหน มันก็ศึกษามาจากอวิชชานั่นล่ะ ศึกษามาจากจิต จากจิตนะ เพราะจิตมันต้องส่งออก มันต้องรับรู้ขึ้นมา ศึกษามาจากไหนมาศึกษาจากความไม่รู้อันนั้น พอศึกษามาแล้วมันถึงไม่เข้าใจไง

เวลาศึกษาๆ ศึกษามาเข้าใจกับมันนะ เข้าใจขณะที่เราศึกษา เข้าใจในวิชาการนั้น แต่เรายังไม่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมาให้เป็นความจริงในใจของเราไง ถ้ามันยังไม่ได้ประพฤติปฏิบัติให้เป็นความจริงในใจของเรา มันยังไม่ใช่ของเรา มันเป็นความจำๆๆ ความจำคือการศึกษาค้นคว้า การค้นคว้ามาค้นคว้ามาเพื่อจะประพฤติปฏิบัติให้ได้ตามจริงอันนั้น ฉะนั้นเวลาฟังธรรมๆ ฟังธรรมเข้าไปจี้ในหัวใจอันนั้น

ถ้าหัวใจอันนั้น ถ้าคนมีอำนาจวาสนานะ คนมีอำนาจวาสนามันจะคิดได้ พอมันคิดได้มันจะทบทวน มันจะไปพยายามค้นคว้า พยายามจะเข้าไปสู่สัจธรรมอันนั้น แต่ถ้าคนคิดไม่ได้ๆ มันผลักออก ผลักไสไง ไม่ใช่ว่าเราๆ ว่าคนอื่นทั้งนั้น เวลาพูดว่าคนอื่นทั้งนั้นเลย แต่เวลาความไม่รู้เป็นของเราคนเดียว แล้วว่าเป็นของเราเป็นของเรา เห็นไหม เพราะอะไร เพราะการดูเบาไง เราดูเบากิเลสเกินไป เราดูเบาอวิชชาของเราเกินไป

แต่เวลากิเลสมันเสริมแต่งให้ อันนั้นเป็นจริงเป็นจังนะ เวลาเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา เป็นจริงเป็นจังจากกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เป็นจริงเป็นจังมาก เวลาเป็นจริงเป็นจังมาก มันมีรสมีชาติ อยากทำ อยากประพฤติปฏิบัติ อยากเอาจริงเอาจังแบบนั้น อยากเอาจริงเอาจังแบบกิเลสตัณหาความทะยานอยากไง

แต่ถ้ามันเป็นความจริงๆ เป็นสัจธรรม เป็นสัจธรรม เห็นไหม เราเห็นไม่มีคุณค่าเลย เราไม่เห็นคุณค่าเลยเพราะอะไร เพราะเราไปดูเบากิเลส พอดูเบากิเลสกิเลสมันก็เสี้ยมให้ พอมันเสี้ยมให้มันก็เป็นจริงเป็นจังไปตลอดเลย เราไปดูเบามันเองไง แต่เวลาเป็นสัจธรรมๆ มันยิ่ง เห็นไหม เป็นขนนก มันเบาหวิว มันไม่มีสิ่งใดเป็นเนื้อหาสาระเลย เพราะเราไปดูเบามัน เราเลยเป็นขี้ข้ามัน เลยเป็นความจริงของมันไง

ถ้าความจริงของกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เห็นไหม เราเกิดเป็นมนุษย์นะ เกิดมาพบพุทธศาสนานะ มาบวชเป็นพระๆ บวชเป็นพระเป็นนักรบ สมณะเป็นนักรบรบกับกิเลสของตน ถ้ารบกับกิเลสของตน ถ้าไม่ดูเบามันจนเกินไป เห็นไหม ถ้าไม่ดูเบามันจนเกินไปเราต้องต่อต้านมันได้ เราต้องขีดขอบเขตให้มันอยู่ในอำนาจของเราได้ ถ้ามันขีดขอบเขตให้อยู่ในอำนาจของเรา เห็นไหม ทำความสงบใจเข้ามา ถ้าใจมันสงบเข้ามาแล้วนี่ เพราะใจมันสงบเข้ามา ใจมันสงบได้ ถ้ากิเลสมันไม่ยอมนะ สงบลงไม่ได้หรอก

กิเลสเราถ้ามันไม่ยอม สิ่งที่เกิดขึ้นมาๆ เกิดขึ้นมาจากความไม่รู้ไง ว่างๆ ว่างๆ ไม่รู้ตัวตนอะไรเลย มันว่างๆ ยังไง มันว่างๆ อะไร เพราะความไม่รู้ อวิชชาคือความไม่รู้ ว่างๆ ว่างๆ นั่นคืออารมณ์ มันไม่รู้มันก็เลยขาดสติไง สติควบคุมไม่ได้ สติดูแลไม่ได้ สติดูแลไม่ได้ สติบังคับบัญชาไม่ได้ บังคับบัญชาไม่ได้มันจะเป็นสัมมาสมาธิได้ยังไง

ถ้าเป็นสัมมาสมาธินะ เวลามันเป็นจริงๆ ขึ้นมา มันมีสติสัมปชัญญะพร้อมขึ้นมา มันมหัศจรรย์มาก มันละเอียดมาก ละเอียด แล้วละเอียด คำว่าละเอียดขึ้นมาเราก็ต้องจำได้ ใครจะรู้จะเห็นอะไรก็กลัวจำไม่ได้ กลัวจะออกไปพูดไม่ได้ พอกลัวจำไม่ได้ กลัวออกไปพูดไม่ได้ นั่นน่ะตัวตนทั้งนั้น พอมันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมามันเป็นโดยสัจจะ เป็นโดยข้อเท็จจริง มันเป็นข้อเท็จจริงนะ นี่ไงความพอดี มัชฌิมาปฏิปทา ความสมดุลของมัน ความสมดุลของมัน

นี่ไง อัตตกิลมถานุโยคมันลำบากทุกข์ยากไปทั้งนั้น กามสุขัลลิกานุโยค แหม มีความสุขมาก มีความพอใจมาก กลัวจะจำไม่ได้ ต้องจำให้ได้ จำไม่ได้มันก็มีสมุทัยเราเข้าไปกีดขวางมันอยู่แล้ว มันเป็นการกระทำพร้อมกับกิเลสไง พร้อมกับสมุทัยไง พร้อมกับอวิชชา พร้อมกับความไม่รู้อันนั้นไง ทำไมมันวางไม่ได้ล่ะ เวลาทำๆ เพราะไม่รู้จักมันไง ไปดูเบามันเกินไปไง ดูว่ามันเป็นเรา ดูว่ามันไม่มีพิษไม่มีภัยไง ทั้งๆ ที่มันเป็นพิษเป็นภัยทั้งนั้นเลย เป็นพิษเป็นภัยตั้งแต่ไม่ปฏิบัติ ไม่ปฏิบัติ ไม่ได้ประพฤติปฏิบัติเขาก็ไม่เชื่อถือศรัทธากันอยู่แล้ว มันเป็นจริงไปได้ยังไงๆ ทุ่มเททั้งชีวิตจะทำกันได้ยังไง

เวลาครูบาอาจารย์ของเราบวชมาตั้งแต่เป็นเณร บวชมาตั้งแต่สามเณรน้อยๆ รื้อค้นมันขึ้นมา ฝึกฝนมันขึ้นมา เอาจริงเอาจังมันขึ้นมา เห็นไหม ทั้งชีวิตๆ ไม่ดูเบามัน จริงจังกับมัน เวลาจริงจังกับมัน เห็นไหม ดูสิ เขาทำไร่ไถนาขึ้นมาเขาก็ทำมาตั้งแต่ปู่ย่าตายาย ในปัจจุบันนี้เขาก็ทำอย่างนี้ ยิ่งในอนาคตเขาก็ต้องทำลงที่ดินนี่แหละ ทำไร่ไถนาขึ้นมาก็เพื่อเป็นปัจจัยเครื่องอาศัย มันเป็นอาหารดำรงชีพ

นี่ก็เหมือนกัน เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เห็นไหม ตั้งแต่สามเณรน้อย ตั้งแต่เวลาขวนขวายขึ้นมา เวลาทำลงก็ทำลงที่ใจแหละ ทำลงที่ใจ เห็นไหม แต่คนเรามันอยู่ เกิดมามีกายกับใจ กายกับใจมนุษย์ขึ้นมาก็มีร่างกาย มีชีวิตจิตใจ สิ่งนี้มันเป็นคุณสมบัติของเรา เวลาสุขเวลาทุกข์ เราสุขทุกข์ในหัวใจนี้ แล้วสุขทุกข์ในหัวใจนี้ เห็นไหม ถ้ามันสุขมันทุกข์ในหัวใจนี้ ถ้ามันเป็นธรรมๆ หน่อย มันก็ยังพอมีเครื่องอาศัย เห็นไหมเป็นเครื่องอาศัย ในข้อปฏิบัติเป็นเครื่องอาศัยทั้งนั้น คือเป็นเครื่องอาศัยเพื่อให้จิตให้มันอยู่ได้ ไม่งั้นมันจะอยู่กับอะไร เราก็อยู่กับข้อวัตร อยู่กับปฏิบัติ อยู่กับข้อวัตรปฏิบัติของเราเป็นเครื่องอยู่ๆ เป็นเครื่องอยู่ของใจ ถ้าเครื่องอยู่ของใจ ใจมันมีเครื่องอยู่ของมัน ตั้งแต่สามเณรน้อยก็ปฏิบัติมา มันมีเครื่องอยู่ของมันมา

ถ้ามันมีสติสัมปชัญญะบ้าง มีครูบาอาจารย์ เห็นไหม เวลาผู้ที่ปฏิบัติใหม่ไปอยู่กับครูบาอาจารย์ก็ไปทำข้อวัตร ก็ฟังท่าน ฟังท่าน ท่านก็จะเล่าประสบการณ์ท่านให้ฟังนั่นน่ะ ประสบการณ์อันนั้นๆ มันล้มลุกคลุกคลานมาทั้งนั้น แล้วครูบาอาจารย์แต่ละองค์ ประสบการณ์ของแต่ละองค์มันก็ไม่เหมือนกัน แล้วเวลาปฏิบัติขึ้นมา บางคนนะทีแรก เห็นไหม มามืดไปสว่าง มามืดก็ไม่เชื่อไม่ฟังเหมือนกัน ดื้อด้านเหมือนกัน แต่เวลาทำไปๆ มันสว่างไป เห็นไหม มืดมาสว่างไป ถ้ามืดมาสว่างไป ครูบาอาจารย์ท่านสว่างมา กว่าจะสว่างไปได้ ล้มลุกคลุกคลานมาทั้งนั้น เวลาไปทำข้อวัตรขึ้นมาก็ได้ยินได้ฟังเรื่องอย่างนี้ พอเรื่องอย่างนี้ขึ้นมามันแตกต่างกัน มันแตกต่างเพราะจริตนิสัยคนไม่เหมือนกัน

เราไปเอาสมบัติของคนอื่นมา แล้วจะทำให้เราชอบเราพอใจอย่างนี้ ไม่จริง มันไม่ใช่ของเรา ยังไงถ้าเป็นของเราๆ ทำจากของเราขึ้นมา สิ่งที่มันชอบหรือไม่ชอบให้มันเป็นข้อเท็จจริงอันนั้น แล้วถ้ามันเป็นจริงๆ ขึ้นมา มันอยู่ที่ศีล สมาธิ ปัญญา มันจะเข้าไปฟาดฟันกัน เข้าไปต่อสู้กัน ต่อสู้กันด้วยสัจจะของเรา ด้วยความเพียรของเรา ด้วยความวิริยะอุตสาหะของเรา เราดูแลของเรา ถ้าของเราขึ้นมา นั่นมันก็เป็นจริตนิสัยของเรา เห็นไหม ถ้าเราไม่ดูเบามันจนเกินไป

ถ้าเราดูเบามันจนเกินไป เห็นว่ามันไม่เป็นพิษเป็นภัยไง แล้วยังอวิชชา ยังมีความเห็นผิดอีกนะ เห็นว่าสิ่งที่เราคิด สิ่งที่เราทำมันถูกต้องๆ มันถูกต้องยังไง ถูกต้องมันต้องเจริญก้าวหน้าไป เห็นไหม ดูสิ ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ ถ้าเหตุมันดีเหตุงามขึ้นไป มันทำจริงจังขึ้นมามันต้องดีขึ้นๆ คำว่าดีขึ้น เห็นไหม ดีขึ้นเวลาเราประพฤติปฏิบัตินะ เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เวลาออกมาแล้วมาอ่านพระไตรปิฎก เวลาออกมาแล้วมาเทียบเคียงดู มันใช่หรือไม่ใช่

แต่อ่านแล้ว อ่านจากประวัติครูบาอาจารย์มา อ่านประวัติครูบาอาจารย์มาแล้วก็สาธุ วางไว้ก่อน เทิดไว้ ไม่ดูถูกดูแคลนอะไรทั้งสิ้น แล้วเราทำให้เป็นจริงเป็นจังขึ้นมา มันเทียบได้ทั้งนั้น ถ้ามันไม่จริง เวลาไม่จริงกับเราไม่จริงมันเป็นอันเดียวกัน แต่ถ้ามันเป็นจริง พอเราเป็นจริงขึ้นมา มันจริงมันแตกต่างจากอันที่เราศึกษามา ถ้ามันแตกต่างที่เราศึกษามา การศึกษามาอันนั้นไม่ใช่ แต่ถ้าอันนี้ใช่มันใช่ยังไง นี่ไง เวลาเราปฏิบัติแล้วถ้าจิตมันลง จิตมันไม่ลง เวลาออกมาแล้วมาอ่านพระไตรปิฎก มาอ่านธรรมและวินัย มันจะเทียบเคียงเข้ามา ถ้าเทียบเคียงเข้ามาก็ย้อนกลับมาตรวจสอบๆ ถ้าเราจะตรวจสอบ เราตรวจสอบอย่างนี้

ถ้าตรวจสอบอย่างนี้ เห็นไหม เราไม่ดูเบามันทั้งสิ้น เราเก็บเล็กผสมน้อย เราต้องระวังตัวตลอด สิ่งใดที่เป็นประโยชน์เราต้องใช้ประโยชน์สิ่งนั้น สิ่งใดที่ไม่เป็นประโยชน์ ไม่เป็นประโยชน์แต่โลกเขาเชื่อถือกัน ถ้าเชื่อถืออย่างนั้นเราก็ตรวจสอบได้ เราก็ปฏิบัติได้ เราก็ทำได้ ถ้าทำแล้วมันไม่เป็นจริง ไม่เป็นจริงมันก็แค่นั้น

เอาความที่เป็นจริงๆ สิ เอาความที่เป็นจริง เห็นไหม ถ้าเรามั่นคงของเรา เราทำของเรา มันเป็นความจริง อริยสัจมันมีหนึ่งเดียวเท่านั้น ศีล สมาธิ ปัญญา จะมาทางไหน จะมาวิธีการอย่างใด จะมาสายไหน มันเหมือนกันทั้งนั้น คำว่าเป็นกิริยา เป็นจริตนิสัย ใช่ มันเป็นจริตนิสัยเป็นกิริยาทั้งนั้น แต่ถ้าทำแล้วมันจริงหรือไม่จริงล่ะ ถ้ามันจริงมันต้องเข้าไปถึงจุดนั้นสิ ถ้ามันเข้าไปถึงจุดนั้นไม่ได้มันก็ไม่จริงน่ะสิ ถ้ามันไม่จริง ไม่จริงมันก็ไม่มีรสชาติ ถ้าไม่มีรสชาติขึ้นมา เห็นไหม มันก็เร่ร่อนอย่างนี้

ถ้ามันมีรสชาติ เห็นไหม เราเองเราก็เร่ร่อน ถ้ามันมีรสชาติขึ้นมา เห็นไหม คนที่ประพฤติปฏิบัติเขาดูกันออก ดูออกที่ว่าอะไร เพราะกิริยาของเขาเขาระมัดระวัง ระมัดระวังสิ่งที่จะกระทบกับอายตนะของเขา เวลามันกระทบขึ้นมา กระทบขึ้นมาก็ต้องเกิดปฏิกิริยาทั้งนั้น อายตนะ เห็นไหม ดูสิ เวลาครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติ ท่านระมัดระวังของท่าน ฉะนั้น เวลากรรมฐานของเรา ถ้าเป็นลูกศิษย์ลูกหาครูบาอาจารย์ของเรานะ เขาจะมีสติของเขา เขาจะรักษาอายตนะของเรา รักษาผลกระทบของเขา ไม่ให้มันกระทบรุนแรงขึ้นไป

เพราะมันกระทบรุนแรงขึ้นไป เรารักษามาทั้งตลอดเวลา เวลาครูบาอาจารย์ท่านสอน เห็นไหม จิตนี้เหมือนกับโค เห็นไหม โคเราผูกไว้ กับโคปล่อย โคปล่อยกับโคที่เราผูกไว้ นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเรามีสติปัญญา เห็นไหม เรามีสติปัญญารักษาของเราไว้ เหมือนเราผูกโคเราไว้ ผูกหัวใจเราไว้ ผูกหัวใจเราไว้แล้วก็พุทโธ ผูกหัวใจเราไว้ อานาปานสติ เรามีสติควบคุมดูแลไว้ เวลาปฏิบัติ

เวลาปฏิบัติเขาเอาอย่างนั้นจริงๆ แล้วถึงสังคม ครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติท่านทำอย่างนั้นจริงๆ ถ้าทำจริง คนที่ทำจริงๆ เราอยู่ในสังคมที่ทำจริง กับไปอยู่ในสังคมที่ทำเล่น ทำกันเล่นๆ ทำเหมือนไม่ได้ทำ เอาเวลาปฏิบัตินั้นแขวนไว้ก่อน เล่น ปล่อยไปทั้งวันทั้งคืน อีลุ่ยฉุยแฉกกันไปตลอด แล้วอวดว่าจะมาปฏิบัติ มันทำเล่นๆ ทำเล่นๆ แล้วก็มาเรียกร้องจะเอาความจริง ก็ฉันปฏิบัติแล้ว มันต้องได้อย่างที่ปฏิบัติมา ฉันจะเอาจริง มันแบบว่าทุจริตมาตั้งแต่ต้น มันดูเบาดูแคลน ดูแคลนธรรมะด้วย

ถ้ามันไม่ดูแคลนธรรมะ เห็นไหม ดูสิ เราไม่ดูแคลนมัน ไม่ดูแคลนมาจากไหน ศรัทธา อจลศรัทธา เราก็บ่นกัน ทุกคนก็ว่ามีศรัทธากันทั้งนั้น แล้วศรัทธาในอะไร ศรัทธาในขุมทรัพย์เหรอ ศรัทธาในเงินทองเหรอ ศรัทธาในชื่อเสียงเหรอ ศรัทธาอะไร ถ้ามันมีศรัทธา ศรัทธาคือความเชื่อ ความเชื่อแก้กิเลสไม่ได้ แต่ถ้ามันไม่มีศรัทธามันก็ไม่ได้ค้นคว้า เพราะเรามีศรัทธามีความเชื่อของเรา เห็นไหม ถ้ามีศรัทธาความเชื่อ มันจริงเหรอ ทุกคนจะบอกว่าภพชาติมีจริงเหรอ ทุกอย่างมีจริงเหรอ นรกสวรรค์มีจริงเหรอ มรรคผลมีจริงเหรอ

แล้วเวลาที่เอ็งคร่ำครวญอยู่ เอ็งมีความทุกข์ในหัวใจจริงเหรอ ทำไมมันจริงล่ะ ทำไมมันเจ็บปวดมันจริงล่ะ ทำไมสิ่งที่เหยียบย่ำหัวใจมันจริงนัก เวลามันจริงขึ้นมาก็เพราะว่าความโง่ไง ความโง่คิดว่าจะไปสอยเอา ความสุขจะไปสอยเอาไง เพราะทำแล้วอ้อนวอนอะไรก็ได้มาหมด มันก็เลยกลายเป็นคนอ่อนแอ มีอะไรก็ไปเที่ยวอ้อนวอนเที่ยวขอเอา อยากจะได้เอาโดยแบบชุบมือเปิบ นี่บุญเป็นอย่างนั้น ทุกอย่างมันจะลอยมาจากฟ้า แล้วมันก็ไม่มีอะไรเลย กลายเป็นคนหลักลอย คนที่ไม่มีสิ่งใดเป็นชิ้นเป็นอัน

ถ้ามันมีสิ่งใดเป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมา เห็นไหม เขาไม่ดูเบาดูแคลนอะไรทั้งสิ้น เวลาชีวิตของเราสำคัญมาก เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะนะ กว่าจะเกิดมาเป็นมนุษย์แสนยาก แล้วความได้เกิดเป็นมนุษย์ ความได้เกิดเป็นมนุษย์มันจะทำเวรทำกรรมมาขนาดไหน นั่นมันเป็นเรื่องอดีต มันทำเวรทำกรรมมาขนาดไหน ในสมัยพุทธกาลทุคตะเข็ญใจเกิดมาเป็นคนทุกข์คนยาก ไม่มีสิ่งใดเป็นสมบัติเลย อดๆ อยากๆ ทั้งนั้น แต่เวลามีศรัทธามีความเชื่อมาบวชในพุทธศาสนาเป็นพระอรหันต์นะ

ดูสิ พระสิวลีๆ มีบุญมีวาสนามหาศาล มีอะไรทุกอย่างสมบูรณ์พร้อม เวลาบวชไปแล้วลาภสักการะมหาศาล ท่านก็ปฏิบัติของท่านจนถึงที่สุดแห่งทุกข์เหมือนกัน คนมีเขาก็ไม่ติด คนมีไอ้เรื่องมีจิตใจที่มันสูงมันส่ง จิตใจที่ไม่ดูเบาอะไรทั้งสิ้น สิ่งที่มันมีหรือมันขาดแคลนมันมาจากเวรจากกรรมของคน มันมาจากการกระทำทั้งนั้น ก็เอ็งทำมาทั้งนั้น พระสิวลีท่านทำของท่านมา ทุคตะเข็ญใจตอนในอดีตชาติเป็นคนตระหนี่ อะไรตก อะไรของหาย ต้องตามไปเอามาคืนทั้งหมด ของของตนไม่ให้ใครใช้ทั้งสิ้น เกิดมาชาตินี้เลยไม่มีจะกินนั่นน่ะ

พระสิวลีมีทำบุญที่ไหนเป็นหัวหน้า ทำบุญที่ไหนไปทั้งนั้น เวลามาเกิดเป็นพระสิวลี เวลาเกิดแล้วด้วยอำนาจวาสนา ไอ้ตระหนี่ๆ นั่นตระหนี่ไม่เคยให้ใครเลย มีแต่จะไปตามกลับมา ของตกของหล่นที่ไหน ใครเก็บได้ก็จะไปทวงเขาทั้งนั้น แต่มันมีวาสนา มันได้สร้างปัญญาของเขามาเหมือนกัน เวลามาเกิดเป็นทุคตะเข็ญใจ เวลามาบวชแล้ว บวชแล้ว เห็นไหม บวชแล้วสิ่งที่เวลาทุกข์ ทุกข์ก็บีบคั้นมาจนไม่มีจะกิน มีแต่ความทุกข์ความยากนัก แต่ก็มีจิตใจฝักใฝ่อยากจะบวช นี่ก็มาขอบวชกับพระพุทธเจ้า พระสิวลีมั่งมีศรีสุขมาตั้งแต่ไหนทั้งสิ้น เขามั่งมีศรีสุข เขาทุกข์จนเข็ญใจ เขาไม่ติดของเขา มันมีสัจจะมีความจริงอันนี้ไง

นี่ก็เหมือนกัน เห็นไหม ถ้าเราไม่ดูเบากิเลสตัณหาความทะยานอยาก ไม่ดูเบากิเลสไง ไม่ดูเบามัน ไม่ดูเบา เห็นแก่ตัวนะ ดูสิ ดูทุคตะเข็ญใจกับเศรษฐีเขาไม่ติดไม่ข้อง ไอ้เราเนี่ย เรามีสติปัญญาไหม เราจะค้นคว้าความไม่รู้ในใจเราไหม เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เราจะทุกข์ยากเท่าทุคตะเข็ญใจเหรอ เราจนไม่มีจะกินใช่ไหม เราเคยตกระกำลำบากขนาดนั้นไหม มันก็ไม่เห็นขนาดนั้น เราก็ไม่ลำบากทุกข์จนขนาดนั้น เราก็ไม่มั่งมีศรีสุขจนแบบว่าเงินทองมันจะลอยมาจากฟ้า เราเกิดมา เห็นไหม เกิดมาเราไม่ดูเบาดูแคลนอำนาจวาสนา เราไม่ดูเบาดูแคลนกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของตน เราต้องมีสติปัญญาสิ รู้เท่าทันมันสิ รู้เท่าทันๆ ถ้ารู้เท่าทันแล้วมันเห็นไง นี่ไง เห็นถูกเห็นผิด สิ่งไหนควรหนัก สิ่งไหนควรเบา

ถ้าสิ่งไหนควรหนักควรเบา เห็นไหม นี่ทางจงกรมเราก็มีไง เวลาสร้างวัดมา ครูบาอาจารย์ท่านทำเป็นตัวอย่าง ถ้ามีที่พักก็ต้องมีทางจงกรม เวลาสร้างขึ้นมาจะมีทางจงกรมคู่กันไปตลอด แล้วทางจงกรมเคยใช้ไหม มีโอกาสได้ภาวนาบ้างไหม ถ้าเราไม่มีการภาวนา เราก็ไม่ได้มาเช็คตรวจสอบใจของเรา เราไม่ได้ค้นคว้าหาใจของเรา เราว่าเราเป็นพระ เราเป็นนักปฏิบัติ พระป่าๆ พระป่าทำอย่างนี้เรียกว่าพระป่าเหรอ ที่เขาศรัทธาพระป่าๆ เพราะพระป่าก็ตั้งใจตั้งแต่บวชแล้วไงจะเป็นพระป่า

พระป่า เห็นไหม ไม่ใช่พระบ้าน พระบ้านเขาเรียนปริยัติกัน พระบ้านเขามีการศึกษา เห็นไหม บวชมาเพื่อศึกษาธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระป่าๆ การศึกษามา ศึกษามาเรื่อง เห็นไหม บวชกับพระอุปัชฌาย์มา เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ กรรมฐาน ๕ ได้มาตั้งแต่วันบวช ถ้าได้บวชมาก็ตั้งใจแล้วว่าบวชแล้วจะประพฤติปฏิบัติ จะทำตลอด กิเลสตัณหาความทะยานอยากของตน ไม่ดูเบามันไง ไม่ดูเบามัน เห็นว่ากิเลสคือความไม่รู้ กิเลสคือความตระหนี่เหนียว กิเลสคือความหน้าด้านในใจของเราเป็นศัตรู เป็นการที่ต้องรื้อค้นกัน เป็นการที่ต้องศึกษากัน ที่มาศึกษาก็มาศึกษาไอ้กิเลสไอ้หน้าด้านในใจเราเนี่ย อย่างอื่นเราไม่ต้องศึกษา

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งที่ธรรมวินัยๆ ที่ท่านวางไว้ นั่นล่ะเป็นกิริยา เป็นสัจจะความจริงในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านรู้ว่าจิตมันเป็นอย่างนั้น วิถีแห่งจิต ความคิดแห่งจิต กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันปิดบังหัวใจอย่างนั้น ท่านตีแผ่ ตีแผ่มาเป็นทางวิชาการ แล้วเราก็ไปศึกษามาแล้วก็มาตีแผ่ แผ่หลาเลย รู้หมด เข้าใจหมด ธรรมะนี่เข้าใจหมด ศึกษา เข้าใจ นี่เงินบาท เงินห้าบาท สิบบาท ร้อยบาท พันบาทก็เข้าใจ แบงก์ใครจะไม่เข้าใจ เขาใช้กันในตลาด แบงก์เขาก็ใช้กันในท้องตลาด ใครๆ ก็เห็น แบงก์ซื้อของแลกเปลี่ยนได้

นี่ก็เหมือนกัน กิเลสเข้าใจ ธรรมะนี่เข้าใจหมด เข้าใจ มันเงินในตลาด มันเป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วของเราล่ะ เวลามันทุกข์มันยากในใจล่ะ ที่เราบวชมาเป็นนักรบนี่ไง ถ้าเราไม่ดูเบาดูแคลนมันจนเกินไปไง ไอ้นี่เราดูเบาดูแคลนมันเกินไปว่ามันกิเลส กิเลสมันเป็นยักษ์เป็นมาร ตอนนี้ฉันบวชพระ เห็นไหม มีผ้าเหลืองด้วย มีสังฆาฯ พาดด้วย ถ้าเป็นพระแล้วต้องเป็นผู้ประเสริฐ กิเลสไม่มี ตอนนี้กิเลสไม่มี กิเลสมันตายหมดแล้ว ฉันเป็นนักรบ ฉันเป็นศากยบุตร แล้วมันไม่มีแล้วมันอยู่ไหนล่ะ ไม่มีแล้วธรรมเราอยู่ไหนล่ะ คุณงามความดีของเราอยู่ไหนล่ะ สิ่งใดที่มันเป็นคุณประโยชน์ในใจของเราล่ะ

สิ่งที่เป็นคุณประโยชน์ในใจของเรา เห็นไหม ใจของเราจะมีคุณค่า มีคุณค่า มันจะเห็นหมด เวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติไป ถ้าจิตสงบจะเห็นจิตของตนว่าเป็นยังไง ถ้ายกขึ้นสู่วิปัสสนา เห็นไหม ครอบครัวของมาร พญามารที่มันอยู่กับจิต แล้วมันคิดร้อยแปดพันเก้าออกไป เวลามันคิดร้อยแปดพันเก้าออกไป เห็นไหม ตั้งแต่หยาบๆ ไปเลย ตั้งแต่หยาบ ของหยาบ แล้วมันของละเอียดอยู่ในใจ มันคิดออกไปร้อยแปดพันเก้า สิ่งที่มันอยู่มันแสดงตัวออกมายังไง ถ้ามันไม่มี ถ้ามันไม่มี ถ้ามันไม่รู้ มันบวชเป็นพระแล้ว เราบวชเป็นพระแล้ว เรามีคุณสมบัติเป็นพระ เรามีแต่คุณงามความดีในใจทั้งนั้น

แล้วไอ้ความคิดๆ อย่างนี้ แล้วเวลาความคิดขึ้นมา เห็นไหม ดูมรรคแปด ใจดวงใดไม่มีเหตุ ใจดวงนั้นจะไม่มีผล ถ้าใจดวงใดไม่มีมรรค ใจดวงนั้นจะไม่มีผล แล้วมันเกิดมายังไงล่ะ สถานที่เกิดยังไม่รู้ เวลามันเกิดขึ้นมามันมีแต่ความทุกข์ความร้อน แล้วความทุกข์ความร้อนก็สุมอยู่ในใจนั่น แล้วเวลามาเป็นพระแล้วได้แต่เปลือก ได้แต่สถานะของพระนี้มา แล้วเอาสถานะพระมาสถานะทางสังคมไง สังคมเขายอมรับ เห็นว่าเป็นพระๆ เขาให้อภัยกับผู้ที่เป็นพระ เป็นพระจะทำอะไรเขาก็ไม่ถือไม่สา แล้วไอ้พวกเป็นพระไม่ถือไม่สา ก็กลายเป็นเสร่อไปเลย มีแต่ความเห็นของตน จะเหยียบย่ำเขาไปหมด แล้วเอาสถานะมาเป็นสถานะทางสังคม แต่ไปดูเบากิเลส กิเลสมันครอบหัวอีกชั้นหนึ่ง เวลาเป็นคนด้วยกัน เป็นสถานะเท่ากัน เขาก็ต้องเสมอกัน ทำสิ่งใดก็ต้องด้วยเหตุด้วยผล เวลาบวชเป็นพระขึ้นมาไม่มีเหตุมีผล เที่ยวจะไปครอบงำเขา มันจะเป็นไปได้ยังไง คนเขามีปัญญา ปัญญาของคนเขามี ถ้าปัญญาของคนเขามี เขาเข้าใจของเขา

แต่ถ้ามันเป็นความจริงๆ ความจริงมันเป็นความจริงในใจของเราไง เราไม่ดูเบามัน เราขีดขอบเขตมันไว้ แล้วถ้ายังสู้ไม่ได้ เราก็พยายามตั้งใจจะสู้ ถ้าสู้มันได้นะขอดูหน้ามันหน่อย เห็นไหม ทำความสงบใจเข้ามา ถ้าใจมันสงบแล้วมันก็มีความสุขของมัน มีความสุขมันมีโอกาสได้กระทำไง คนเรามันอ่อนแอ คนเราไม่มีกำลังสิ่งใดเลยจะไปต่อสู้สิ่งใดก็ล้มลุกคลุกคลานทั้งนั้น แต่ถ้ามันมีกำลังขึ้นมา เห็นไหม มีกำลังๆ เกิดจากไหน ดูสิ คนที่เขามีการศึกษาของเขา ถ้าเขามีสติปัญญา เห็นไหม เขามีสติปัญญาเขายั้งคิดของเขาได้ นั่นคือกำลัง คนที่ไม่มีสติปัญญาของเขา เขายั้งคิดของเขาไม่ได้ เวลาคุยกันเขามีปัญญามาก สิ่งใดเขาก็รู้ไปหมด แต่เวลาทำจริงแล้วทำอะไรไม่ได้เลย นั่นเขามีปัญญา แต่เขาไม่มีกำลังของเขา

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่เป็นความคิดๆ ในใจ เรามีกำลังไหม ถ้าเรามีกำลัง เรามีสติปัญญาเท่ากับยับยั้งมันได้ไหม ถ้ามีสติปัญญายับยั้งได้ จับมัน จับความคิดเราเนี่ย ความคิดเนี่ย ความคิดของเราเนี่ย ที่มันคิดคิดขึ้นมามันผิดหรือมันถูก แล้วมันผิดมันถูกมันทำมาแล้วก็เป็นเวรเป็นกรรมของตนเอง แล้วทำไปแล้วเป็นเวรเป็นกรรมของตนเอง ถ้ามันเป็นพระอยู่ในสังคมใด มันก็ทำให้สังคมนั้นเสียหายไปด้วย เวลาเป็นพระ พระทำมา เห็นไหม เขาถึงบอกว่า ดูสิ ทางโลกเขาพูดกันประจำ บวชเสียผ้าเหลืองๆ บวชมาแล้วได้สถานะเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรสแล้ว ได้ห่มผ้าธงชัยของพระอรหันต์ ผ้าจีวรเป็นธงชัยของพระอรหันต์ เป็นธงชัย ธงชัยของพระอรหันต์ พระอรหันต์ท่านห่มจีวรอย่างนั้น

เราเป็นศากยบุตร เกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นคน แล้วได้มาบวชมาเรียน แล้วได้มาห่มผ้า ห่มผ้าขึ้นมาได้สถานะทางสังคม เห็นไหม แล้วได้สถานะทางสังคมมาเฉยๆ ถ้ามีสถานะทางสังคมขึ้นมาแล้ว เห็นไหม เรามีสติปัญญา อย่าไปดูเบามัน กิเลสของเรา กิเลสของเรานี่ร้ายนัก ความคิดของเรา กิเลสของเรา ของคนอื่นเป็นของคนอื่นเขา ใครทำสิ่งใดคนนั้นได้มีเวรมีกรรม ใครทำอย่างใดคนนั้นเขาต้องได้ เขาทำของเขา แล้วถ้าเขาทำดี ถ้าเขามีสติปัญญาของเขา เห็นไหม เขามีความดีของเขา เขาสามารถตั้งสติ เขาสามารถมีคำบริกรรม เขาสามารถรักษาใจของเขาได้ เขาสามารถเอาใจของเขาให้สงบได้ เขาสามารถ เขาสามารถเพราะเขามีใจของเขา เขามีสติปัญญาของเขา เขามีอำนาจวาสนาของเขา เขาทำของเขา

เวลาบวชเป็นพระๆ ขึ้นมา สิ่งที่สูงสุดในพุทธศาสนา เป็นอตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้พระนี่เข้มแข็งขึ้นมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้พระนี่เป็นผู้ที่มีสติมีปัญญาขึ้นมา เพื่อรื้อค้นใจของตน เพื่อประพฤติปฏิบัติขึ้นมาให้เป็นความจริงของใจดวงนั้น ถ้ามันเป็นความจริงของใจดวงนั้น อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ถ้าตนรักษาตนได้ ตนทำตนขึ้นมาให้เจริญงอกงามขึ้นมาได้ ศากยบุตรพุทธชิโนรส นี่จะเป็นศาสนทายาท จะเป็นทายาทโดยธรรม โดยธรรมเพราะอะไร โดยธรรมเพราะเขามีเหตุมีผลในใจของเขา

ถ้ามีเหตุมีผลในใจของเขา เขาทำยังไงเขาถึงมีสติ เขาทำยังไงจิตเขาถึงสงบ พอจิตเขาสงบแล้ว เขายกขึ้นสู่วิปัสสนายังไง เวลาเขาวิปัสสนาขึ้นไปแล้วเนี่ย เขาจะใช้สติปัญญาของเขาเพิกถอน ทำลายอวิชชา ทำลายกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของเขา ถ้าเขาไม่ได้ฆ่ากิเลส เขายังไม่ได้ฆ่ากิเลส เขาจะเป็นศากยบุตรไม่ได้ ถ้าเขายังไม่ได้ฆ่ากิเลส เขาจะเป็นศาสนทายาท ทายาทยังไง ทายาทโดยธรรมเหรอ ทายาทโดยธรรม ถ้าทายาทโดยธรรม เขาก็ต้องมีคุณธรรม เขาถึงเป็นทายาทโดยธรรม

ไอ้นี่เป็นทายาทโดยกิเลสไง กิเลสมันครอบงำไง แล้วยังไปดูเบามันนะ ไปดูเบาคือประมาท ประมาทในกิเลสของตน แล้วก็อ้างอิงว่าตนมีธรรมๆ ไง เพราะเราไปดูเบามัน เราอ่อนแอกับมันไง ให้กิเลสมันครอบงำเอาไง มันก็เลยไม่ได้เป็นทายาทโดยธรรม เป็นทายาทโดยกิเลส ถ้าเป็นทายาทโดยกิเลสก็เทวทัตไง อยากได้อยากดี อยากมีอำนาจวาสนา อยากให้พระพุทธเจ้าตั้งเป็นผู้ดูแลสงฆ์ อยากจะให้เขาแต่งตั้ง ใครมันจะไปแต่งตั้งให้ได้ ไม่มีคุณสมบัติใครจะไปแต่งตั้ง

ถ้ามีคุณสมบัติ พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ ใครไปแต่งตั้ง นี่ไง เวลาพระโมคคัลลานะ พระสารีบุตรมาบวช เห็นไหม นี่ไง “อัครสาวกเบื้องซ้ายเบื้องขวาเรามาแล้ว” มันมาแล้วเพราะอะไรล่ะ มันมาแล้วเพราะเขาสร้างอำนาจวาสนาของเขา เวลาเขาทำจริงทำจังขึ้นมา เห็นไหม มันเกิดเป็นสัจธรรมขึ้นมา ดูสิ ขนาดพระสารีบุตรไปเห็นพระอัสสชิ เห็นกิริยาการก้าวเดินของพระอัสสชิ มันไม่ดูเบาในกิเลสของใครทั้งสิ้น กิริยาที่สำรวมระวังอย่างนั้น มันควรจะมีสิ่งใดที่ลึกซึ้งกว่านั้น จึงเข้าไปถามไง ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้แก้ที่เหตุนั้น

เหตุๆๆ เหตุคือความไม่รู้ไง เหตุที่ว่าศึกษากับสัญชัยมาก็ไม่รู้ๆๆ ไง แล้วเวลาเห็นพระอัสสชิก้าวเดินไป ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ มาแต่เหตุ เหตุคือความสงสัย เหตุคือความอยากรู้ เหตุคือสิ่งที่มันค้นคว้านี้อยู่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เข้าไปหาเหตุนั้น ถ้ามันแทงทะลุเข้าไปในใจของตน ในอวิชชา ถ้าไม่ดูเบามัน เห็นไหม แล้วเรามีสติมีปัญญา เราค้นคว้า ค้นคว้าเข้าไปที่ต้นเหตุนั้น เห็นไหม เวลามันแทงทะลุไป แทงทะลุเข้าไปอย่างนั้นเป็นพระโสดาบันทันที พอเป็นพระโสดาบันขึ้นมา ไปบอกพระโมคคัลลานะก็เป็นพระโสดาบันเหมือนกัน ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อัครสาวกเบื้องซ้ายเบื้องขวาเรามาแล้ว แล้วสั่งสอนขึ้นไปจนเป็นพระอรหันต์ทั้งหมด เห็นไหม เนี่ยไม่ต้องขอ

เทวทัตอยากให้ขอ อยากให้ตั้ง อยากให้เป็นไป พระพุทธเจ้าไม่ให้ เวลาขอยังขอด้วยนะ ไม่ให้ฉันเนื้อสัตว์ ให้อยู่โคนไม้ เวลาขอยังขอให้ปฏิบัติเข้มงวดอีกต่างหาก แล้วเวลาขอ อวด อวดว่าฉันนี่แน่กว่า ฉันนี่สุดยอดกว่า พระพุทธเจ้าอ่อนด้อยกว่า นี่ไง เวลาขอด้วยนี่มันดูเบากิเลส กิเลสมันขี่หัว มันยังไม่รู้จักว่าสิ่งนั้นเป็นกิเลส

เวลาพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะท่านมาด้วยอ่อนน้อมถ่อมตน ท่านขอมาศึกษา เวลาขอมาศึกษา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกนั่นไง อัครสาวกเบื้องซ้ายเบื้องขวาเรามาแล้ว คำว่าเขาขอมาศึกษา ขอมาประพฤติปฏิบัติ เวลาปฏิบัติขึ้นมาเขามีความจริงขึ้นมาในใจ ถ้ามีความจริงขึ้นมาในใจ เห็นไหม นี่ไง ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ เหตุที่มันกำจัดกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจนั้นสิ้นแล้ว พอกำจัดกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจนั้นสิ้นแล้ว สิ่งนั้นเป็นธรรม เป็นธรรมทายาท เป็นทายาทโดยธรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้แต่งตั้ง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้เชิดชู เขาก็มีอำนาจวาสนาของเขา เขาก็มีความจริงในใจของเขา ถ้าเขามีความจริงในใจของเขา ทำไมเขาจะพูดจากความเป็นจริงในใจของเขาไม่ได้ เพราะเขารู้จริงของเขา

เราก็ต้องทำความจริงในใจเราขึ้นมาสิ ในใจเราความจริงในใจของเรา เราพยายามขวนขวายของเราขึ้นมาสิ ถ้าเราคิด อย่าไปดูเบามันนะ อย่าประมาทเลินเล่อไง อย่าไปดูเบากิเลสนะ กิเลสมันร้ายกาจนะ มันปิดหูปิดตาสัตว์โลก แล้วเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะจนมาป่านนี้ จนมาป่านนี้ เห็นไหม แล้วเราก็ไปดูแคลนมัน ฉันมีอำนาจวาสนาห่มผ้าสีกรักนะ กิเลสมันต้องกลัวฉัน ฉันเป็นพระปฏิบัตินะ โห มันน่าเข้มแข็งนัก มันน่าเชื่อถือ ดูสิ ใครๆ ยังเคารพนับถือเลย กิเลสมันต้องอยู่ใต้อำนาจฉัน

มันจะบ้า ไอ้นั่นมันสีผ้า พระอยู่ทั่วประเทศไทยมันก็เป็นพระเหมือนกันทั้งนั้น แต่มันจะจริงจะจังหรือไม่จริงไม่จังขึ้นมา มันก็อยู่จากภายใน ภายในมันรู้กัน ดูสิ เราจะรู้ได้ว่าใครจริงไม่จริง เห็นไหม ศีลใครดีไม่ดี อยู่ด้วยกันจะเห็นหมด ศีลจะรู้ได้ต่อเมื่อเราอยู่ใกล้ชิดกัน ธรรมจะรู้ได้ตอนพูดเนี่ย โง่หรือฉลาดมันออกมาเนี่ย ถ้ามันโง่มันก็ปล่อยออกมาโง่ๆ ปล่อยมาโง่ๆ แล้วใครมันจะฟัง

ดูสิ เวลาหลวงตาท่านปฏิบัติ เห็นไหม เวลาท่านจะออกประพฤติปฏิบัติ เราแสวงหาครูบาอาจารย์ ท่านก็แสวงหาของท่าน เวลาท่านลามาวิเวกกับหลวงปู่มั่น ท่านก็แสวงหาของท่าน ท่านก็แสวงหาท่านก็ประพฤติปฏิบัติ ท่านก็ไม่ดูเบากิเลส ท่านจะต่อสู้กับมันอยู่แล้ว แต่คนเรา เห็นไหม เวลาชินในพื้นที่มันก็หาพื้นที่ที่สดใหม่ ในการปฏิบัติขึ้นมาเพื่อจะต่อสู้กับมันก็หาสนาม หาที่เป็นชัยภูมิที่จะต่อสู้กับกิเลส ไปแวะหาครูบาอาจารย์ไง ถ้าครูบาอาจารย์องค์ไหน เวลาไปถามธรรมะท่าน เวลาท่านตอบขึ้นมา ท่านพูดเอง “ความรู้เท่านี้เหรอจะมาสอนเรา ความรู้อย่างนี้” โอ้ ท่านพูดมาเรารู้หมดแล้ว ท่านพูดออกมามันพื้นฐานอย่างนี้ มันผ่านมาหมดแล้ว แล้วไอ้ปัญหาที่มันติดอยู่ทำไมไม่พูดล่ะ ไอ้สิ่งที่มันติดข้องอยู่ในใจ ไอ้ที่มันแบบว่าสิ่งที่มันเวิ้งว้างมันว่างหมดมันคืออะไร เพราะตอนนั้นท่านว่างหมดเลย จิตมันมองไปทะลุภูเขาเลากาไปทั้งนั้น แล้วมันคืออะไรล่ะ

ตัวเองยังสำคัญตนเองอยู่ไง ยังสำคัญจิตว่ามันมหัศจรรย์ๆ ขนาดนี้ แล้วเวลาไปพูด พิจารณาอย่างนั้นสิๆ ไอ้พิจารณามันผ่านมาหมดแล้ว มันผ่านเข้าไป มันจะเข้าไปเผชิญกับจิตเดิมแท้ มันจะไปเผชิญกับภวาสวะ เผชิญกับภพ สถานที่อยู่ของอวิชชา มันจะเข้าไปเผชิญอย่างนั้น แล้วทำยังไง จะไปจับต้องมันยังไง จะไปดูมันยังไง จะไปรู้เห็นยังไง เราจะทำยังไงถึงจะรู้เห็นมัน ทำยังไงก็บอกมาสิ แล้วเวลาพูดออกมานะ ความรู้อย่างนี้จะมาสอนเรา

นี่ไง ศีลจะรู้ได้ต่อเมื่อเราอยู่ด้วยกันนะ อยู่ด้วยกันนะศีลรู้หมด ด้วยความเคยชิน เวลาอยู่ด้วยกันมันแสดงออกทั้งนั้น ธรรมจะรู้ได้ต่อเมื่อสนทนาธรรม ตอนแสดงธรรม มันเป็นจริงหรือเปล่า ถ้ามันเป็นจริง เวลาจะเทศน์ด้วยกันในหมู่ของกิเลสไง ต้องขออนุญาตกิเลสก่อนไง จะพูดอะไรเดี๋ยวสะเทือนใจกัน จะพูดอย่างนี้ก็ไม่ได้ มันไปขัดแย้งกับจริตคนนั้น คนนั้นชอบไอ้นั่น คนนี้ชอบไอ้นั่น ต้องเชิดชูกัน ไอ้ชอบนั่นเป็นธรรม ไอ้ที่ไม่ชอบนั่นไม่ใช่ธรรม มันพูดมันขัดแย้งกันไปหมด ต้องขออนุญาตกิเลสก่อนนะ ขออนุญาตก่อน เราพูดแล้วเราจะไม่ผิดใจกันนะ เราพูดเพราะกิเลสไม่ได้พูดเพราะคนนะ ไปขออนุญาตมันก่อนไง ถ้าไปขออนุญาตมันก่อน กิเลสมันก็รู้ตัวใช่ไหม ก็ไปบอกมันก่อนไง ไปบอกกิเลสก่อน เฮ้ย กูจะตบหัวมึงนะ โอ้โฮ กิเลสมันก็ก้มเลย ตบผ่านไปเลย ไม่โดน สบาย ก็ขออนุญาตกิเลสก่อนไง

ไม่ต้องไปขออนุญาตมัน คนที่มีคุณธรรมใส่มันเข้าไปเลยนะ เราไม่ดูเบามัน มันโหดร้าย อวิชชา ตัณหาความทะยานอยากมันโหดร้ายมาก มันโหดร้าย มันปิดหูปิดตาของสัตว์โลก เราถึงเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะไง เห็นไหม พรรษาก็ผ่านไป วันเวลาก็ผ่านไป ทุกอย่างผ่านไปนะ แล้วอนาคตข้างหน้า ตายหมด เรานะ ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด สักวันหนึ่ง สักวันหนึ่งที่นั่งกันอยู่ต้องตายหมด สักวันหนึ่ง แต่วันใดเท่านั้นเอง จะเป็นของใครก่อน หน้าหรือหลัง ก่อนหรือช้า วันเวลากลืนกินสัตว์โลกไปทั้งหมด ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด สักวันหนึ่งต้องตายทั้งนั้น แล้วมันจะต้องตายอยู่ข้างหน้า

เราจะตื่นเต้นไปกับอะไร เราจะไปตื่นเต้นอะไรกับชีวิตนี้ ชีวิตนี้นะ อะไรบ้างที่ไม่เคยรู้ไม่เคยเห็น มันก็รู้ก็เห็นมาทั้งนั้น สรรพสิ่งในโลกมนุษย์สร้างขึ้นมา สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมา เราไปตื่นเต้นอะไรกับสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมา เราก็สร้างได้ เราจะทำให้มันมหัศจรรย์กว่านี้ก็ทำได้ เราจะทำยังไงก็ได้ เราจะปิดลับก็ได้ ไปเที่ยวสวนสนุก เห็นไหม ไปที่ผีเยอะๆ เขาปิดไว้ เวลาเข้าไปล่ะตื่นเต้นตกใจ ก็เขาสร้างไว้ รอบหนึ่งเป็นยังไง รอบสองเข้าไปซี่ นี่สวนสนุก เข้าไปในถ้ำผีสิง ผีทั้งนั้น เข้าไปแล้วกรี๊ดกร๊าด เสียตังค์ๆ ให้มันหวาดเสียว แล้วก็ไปทำกันอย่างนั้น แล้วใจของตนล่ะ ทำไมไม่ค้นคว้าไม่ดูแล ใจของตนทำไมไม่ศึกษา

ถ้าใจของตนมันศึกษา เห็นไหม อย่าไปดูเบามันนะ กิเลสในใจของเราสำคัญที่สุด กิเลสของคนอื่นก็เป็นเรื่องของเขา แต่ของครูบาอาจารย์ท่านมีหรือไม่มีล่ะ ท่านทำของท่านมาขนาดไหน ถ้าทำเป็นจริง เป็นจริงขึ้นมามันจะย้อนกลับมาที่นี่ ย้อนกลับมาในใจของเรา ย้อนกลับมาในใจของเรา เวลาเราวิเวกไปเราพยายามค้นคว้าหาใจของเรา สิ่งที่ทำ ทำสิ่งใดก็แล้วแต่ มันก็ค้นคว้าเข้ามาที่ใจของเรา พยายามจะค้นคว้าเข้ามาที่ใจของเรา มันเกิดที่นี่ไง เวลามันเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ก็ใจนี่เป็นผู้ที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เวลาที่มันจะสำรอกมันจะคาย มันต้องคายลงที่ แล้วคายลงที่นี่เห็นไหม มันหยาบละเอียด

ทางโลกๆ เขา ทางวิชาการของเขา เขาศึกษาค้นคว้าไปขนาดไหนแล้วแต่ นั้นเป็นทางวิชาการของเขา เพราะทางวิชาการเขาศึกษากันนี่โลกียปัญญา โลกทัศน์ ใครเสนอสิ่งใด ใครเสนอแนวทางใด มันน่าตื่นเต้น มันน่าตื่นเต้นทั้งนั้น แต่เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เห็นไหม เป็นปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก เป็นปัจจัตตังคือปรากฏขึ้นที่ใจ เป็นปัจจัตตัง เป็นปัจจัตตัง เห็นไหม เป็นปัจจัตตังเฉพาะตน สันทิฏฐิโกๆ มันปรากฏเฉพาะเราๆ ปัจจัตตังสันทิฏฐิโกเป็นความจริงๆ แล้วเป็นความจริงเป็นปัจจัตตังเป็นสันทิฏฐิโก แล้วมันสื่อกันได้ยังไง สื่อกันมา หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ท่านสื่อกันมาอยู่ไง คนเป็นๆ คือสื่อกันทีเดียวเท่านั้น อ้าปากก็รู้แล้ว

เวลาสัจธรรมๆ มันเกิดขึ้นอย่างนี้ ถ้าเกิดขึ้นอย่างนี้ใช่ไหม อย่าดูเบานะ อย่าดูเบากิเลสของเรา ถ้าสังเกตคนอื่น เขาดูแลรักษายังไง สาธุ ใครมีอำนาจวาสนาขนาดไหนเรื่องของเขา แต่อย่าดูเบากิเลสของตน กิเลสของตน วิธีการของตน มรรคของตน การกระทำของตน อันนี้สำคัญที่สุด เอวัง