เทศน์พระ

กวนบ้าน

๑๔ ธ.ค. ๒๕๕๙

 

กวนบ้าน
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๕๙
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งสตินะ แล้วตั้งใจฟังธรรมะ ฟังธรรมเพื่อตอกย้ำสัจจะความจริงไว้ในหัวใจของเรานะ เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดในพุทธศาสนา เห็นภัยในวัฏสงสารนะ สละโลก สละทางโลกสิทธิทางโลกนะ คนเราเกิดมามีสิทธิตามรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญรับรองสิทธิ์เลย สิทธิของความเป็นมนุษย์ มนุษย์มีสิทธิเสรีภาพ จะมีความเชื่อมีศรัทธาอย่างไรมันเป็นสิทธิของเรา

ถ้าเป็นสิทธิของเรา เห็นไหม แต่เพราะเราได้มีอำนาจวาสนา ด้วยสติด้วยปัญญาของเรา เราคัดเลือกแล้ว เห็นภัยในวัฏสงสารถึงได้สละสิทธิ์ สิทธิทางความเป็นมนุษย์ไง สิทธิทางฆราวาสมาบวชเป็นพระ มาบวชเป็นพระคิดว่าบวชเป็นพระแล้วมันจะมีอิสระมีเสรีภาพ พอบวชเป็นพระขึ้นมา สิทธิความเป็นมนุษย์ในทางกฎหมายเราก็ต้องยอมรับ แล้วยังมาบวชเป็นพระ เห็นไหม ศีล ๒๒๗ เวลาอุปัชฌาย์ยกเข้าหมู่มาแล้วเราต้องมีศีลมีธรรม เรามีศาสดาไง คนเราเกิดมาก็บอกว่าต้องมีพ่อมีแม่ เราก็มีพ่อมีแม่ พ่อแม่เลี้ยงดูรักษามาเราถึงเติบโตขึ้นมาได้

นี่ก็เหมือนกัน เราบวชเป็นพระขึ้นมา เห็นไหม ถ้าบวชเป็นพระขึ้นมา อุปัชฌาย์ยกเข้าหมู่มา ธรรมและวินัยเป็นศาสดา เป็นศาสดาเหมือนพ่อเหมือนแม่ไง พ่อแม่ปกป้องคุ้มครองดูแลเรา ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ถ้าผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ธรรมะคุ้มครองเราไง แต่เราไม่ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ถ้าไม่สมควรแก่ธรรมสมควรแก่กิเลสไง สมควรแต่ความพอใจของตน สมควรแต่ความสะดวกสบายของตน ถ้าสมควรแต่ความสะดวกสบายของตนมันเป็นเรื่องกิเลส เป็นเรื่องกิเลส เรื่องความพอใจของตนไง ความพอใจของตน เห็นไหม แล้วเวลามีสิ่งใดกระทบกระเทือนหัวใจก็เรียกร้อง เรียกร้องให้พ่อแม่ดูแล เรียกร้องให้ศาสดาไง ให้ธรรมวินัยคุ้มครองดูแลเรา

ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม การกระทำของเรา กรรมคือการกระทำ ถ้ากระทำดีขึ้นมาความดีนั้นคุ้มครองเราแล้ว ถ้าการคุ้มครอง เห็นไหม คุ้มครองอยู่ในร่มเงาของคุณงามความดีไง ถ้าคุณงามความดี เห็นไหม กลิ่นของศีลหอมทวนลม ถ้ากลิ่นของศีลของธรรมมันหอมทวนลมอยู่แล้ว แต่กลิ่นของกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันไปตามปากคน ถ้าปากคนมันยิ่งไปมันยิ่งรุนแรงนะ โลกธรรมแปด มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ เวลาเจริญงอกงามขึ้นมา คนกว่าจะยอมรับมันช้านานนัก ทำคุณงามความดีๆ คุณงามความดีกว่าจะให้ผลมันเนิ่นช้า แต่ถ้าทำความเลว เห็นไหม ทำตามความพอใจของตน กลิ่นของกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ปากของคนมันคาบไปมันไวมาก เวลาทำความชั่ว ความชั่วมันให้ผลทันทีเลย แต่ถ้าทำคุณงามความดี กว่ามันจะให้ผลมันแสนยากแสนลำบาก แสนยากแสนลำบาก เห็นไหม

เรามีสติมีปัญญา เราคัดเลือกของเราแล้ว เราสละสิทธิความเป็นฆราวาส ความเป็นมนุษย์ สิทธิความเป็นมนุษย์ทางโลก ทางโลกแต่เวลามาบวชเป็นพระแล้ว พระก็มาจากมนุษย์ มาจากคนนั่นน่ะ มาจากคน พระก็ต้องอยู่ใต้กฎหมายของสังคม พระก็ต้องอยู่ใต้กฎหมายทางโลก แล้วพระยังต้องอยู่ใต้กฎของศีลของธรรมด้วย

กฎของศีลนะ เวลาอธิศีลขึ้นมา เห็นไหม ครูบาอาจารย์ของเราท่านเป็นศีลเป็นธรรมขึ้นมา สติวินัย สติวินัย การเหยียด การคู้ การเดิน การอยู่ของท่าน มันมีสติปัญญาคุ้มครองดูแล ท่านมีความสุขความสบายของท่านนะ มีความสุขความสบายของท่านเพราะกิเลสมันไม่ยุแหย่ไง แต่กิเลสของเรามันยุแหย่ในหัวใจไง ทำสิ่งใดก็ไม่พอใจ อึดอัดขัดข้องไปหมด แต่ถ้าเป็นเรื่องกิเลสตัณหาความทะยานอยาก แหม สบายใจ ทำสิ่งใดแล้วนอนตีแปลงเลยนะ เวลากิเลสมันเชิดชูมันเป็นอย่างนั้น

ถ้าเราบวชแล้ว เราไม่กวนบ้านกวนเมือง สิ่งที่บ้านเมืองเราเสียสละมาแล้ว เราก็อยู่บ้านอยู่เมืองมานะ เราเคยเป็นมนุษย์เคยเป็นคนมาก่อน เคยเป็นคนมาก่อนนะ สิ่งที่โลกเขามีอยู่ เราก็เคยใช้เคยสอยมาทั้งนั้น แต่ในปัจจุบันนี้เราวาง เราเสียสละ เราเสียสละมา เราอยากเป็นนักพรต เราอยากเป็นพระไง อยากเป็นพระผู้มีพรหมจรรย์ ความพรหมจรรย์คือความหลีกเร้น ความสงบสงัดไง มีพรหมจรรย์ อยู่กับพรหมจรรย์ อยู่กับสัจจะความจริง อยู่กับความขาวสะอาดในหัวใจของเราไง

ถ้าจิตใจมันขาวสะอาดนะ เวลามานั่งสมาธิ เห็นไหม เวลานั่งสมาธิภาวนาของเรา ทำไมต้องนั่งสมาธิ นั่งสมาธิคืออบรมใจของตน ตบะธรรมๆ ฝึกหัดอบรมใจของตน แต่คำว่าทำสมาธิๆ ทำสมาธิก็ทำจิตใจให้สงบไง ถ้าจิตใจสงบ เห็นไหม ถ้าคนจิตใจที่มันสงบระงับแล้วมันได้รสของธรรม ได้รสของความสงบ ได้รสของความสุข ได้รสของความอิ่มเอมหัวใจ ถ้าอิ่มเอมหัวใจ รสของธรรมๆ โอ้โฮ มันสดชื่น มันแจ่มใส มันชื่นบาน มันมีความสุขนะ มีความสุข ความสุขเพราะอะไร ความสุขเพราะจิตมันสงบระงับเข้ามา

แต่ถ้าจิตมันฟุ้งมันซ่าน กิเลสมันกระตุ้น กิเลสมันแผดเผา เราบวชมาเป็นพระ เวลาเป็นพระขึ้นมา เห็นไหม ห่มผ้ากาสาวพัสตร์เป็นธงชัยพระอรหันต์ ห่มผ้าเป็นธงชัยพระอรหันต์มันควรจะมีความสุขทำไมมันดีดดิ้น ทำไมมันเดือดร้อน มันเดือดร้อนเพราะอะไร เดือดร้อนเพราะมันจะกำจัดมันไง กำจัดกิเลสไง กิเลสนะถ้าไม่ไปสนใจมัน มันอยู่สุขอยู่สบายของมันนะ เวลากิเลสมันบังเงาอ้างธรรมะขึ้นมา อู้หูย เป็นผู้รู้ผู้แจ่มแจ้ง พูดเทศนาว่าการ พูดธรรมะ โอ๊ย ทุกคนเชื่อฟังเราไปทั้งนั้นเลย

เพราะเวลากิเลสมันอ้างธรรมะไง พออ้างธรรมะขึ้นมา พอพูดสิ่งใดไปมีแต่คนนบนอบ มีแต่คนเชื่อฟัง พอใจนะ แต่เวลาพูดไปแล้ว พูดไปแล้วมันจริงหรือไม่จริง มันวิตกกังวลขึ้นมาแล้ว เรารู้จริงหรือเปล่า มันมีความสงสัยไง ถ้ามันมีความสงสัย มันมีความเคลือบแคลงในหัวใจของเรา ความเคลือบแคลงสงสัยนั้นเป็นตัวจุดชนวน พอคิดมากไปคิดต่อไป เอ๊ะ เราโกหกเขาหรือเปล่า เอ๊ะ เราเป็นจริงหรือเปล่า

มันเป็นไปแล้วล่ะ ถ้ามันเป็นไปแล้วมันเผาหัวใจแล้ว สิ่งที่ว่าเวลากิเลสมันบังเงา เห็นไหม แต่ถ้ามันเป็นความจริงๆ พูดความจริงเมื่อไรมันก็ถูกต้องเมื่อนั้น เพราะมันเป็นความจริงกลางหัวใจของเรา ฉะนั้นเป็นความจริงกลางหัวใจของเรา ถ้าเรามีสติปัญญาขึ้นมา มันจะไม่กวนบ้านกวนเมือง การว่ากวนบ้านกวนเมือง เห็นไหม สุดท้ายแล้วเวลาทำสิ่งใดแล้วก็ไปอ้างอิง ไปพาดพิงเขาทั้งนั้น ไปพาดพิงวุ่นวายไปหมดเลย

เราก็เคยวุ่นวายมาก่อนนะ เราก็เป็นคน เราเกิดมาสังคมเราก็รู้ วัฒนธรรมของชาวพุทธเรามีชุมชนที่ไหนก็ต้องมีวัดที่นั่น มีวัดไว้เพื่ออะไร มีวัดไว้เพื่อเป็นขวัญใจของเขา เป็นขวัญใจของเขา เป็นเพื่อความอบอุ่นของโลกเขา ถ้ามีสิ่งใดมันก็มีที่พึ่งที่อาศัย เห็นไหม ถ้ามันทำสิ่งใดไป ไปกวนบ้านกวนเมืองไปทั้งนั้น เราก็เคยเป็นอย่างนั้นมาก่อน แต่ถ้าเราไม่กวนบ้านกวนเมืองของเรา เราจะบีบคั้นกิเลสของเรา เราจะดูแลหัวใจของเรา ถ้าหัวใจของเรา เห็นไหม เราไปต่อสู้กับกิเลส เราจะทำให้มันเดือดร้อน ไม่ให้มันอยู่สุขอยู่สบายในหัวใจของเรา แต่ถ้าไม่ให้มันอยู่สุขอยู่สบายของเรา เราต้องมีศีลมีธรรม ถ้ามีศีลมีธรรมเราต้องมีสัจจะต้องมีความจริงในใจของเรา

ถ้ามีสัจจะมีความจริงในใจของเรา เวลาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นมันเป็นกิริยาทั้งนั้น มันเป็นชื่อทั้งนั้น เราได้ชื่อมาหมดแล้วนะ มรรคแปด ศีล สมาธิ ปัญญา ก็ได้มาแล้ว ดำริชอบ งานชอบ เพียรชอบ เราก็รู้ว่าความชอบธรรมเป็นอย่างนั้น แล้วเวลาทางโลกเขาปฏิบัติกัน ก็เทียบเคียงให้มันเป็นไง สัมมาอาชีวะ แหม ทำแต่อาชีพดีๆ นั่นมันพยายามจะเทียบเคียงให้มันเป็นธรรมะ

แต่ของเราไม่ได้เทียบเคียง ล้มโต๊ะเลย กวาดให้หัวใจขาวสะอาดให้หมด แล้วเราทำของเราขึ้นมา ถ้ามันมีสติก็สติพร้อมขึ้นมา เราศึกษาชื่อมันมาแล้วนะ เวลาศึกษามา เห็นไหม ทางโลกเขาก็ศึกษาปริยัติกัน แต่ของเราๆ บวชกับอุปัชฌาย์มา อุปัชฌาย์ให้เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ กรรมฐาน ๕ ถ้ากรรมฐาน ๕ ให้เราแทงทะลุกรรมฐาน ๕ เห็นไหม ให้รุกขมูล ให้เราเข้าสู่ที่สงบสงัด

โดยกรรมฐาน เวลาบวชมาอุปัชฌาย์ให้มาพร้อมแล้ว ถ้าอุปัชฌาย์ให้มาพร้อม เราได้จากอุปัชฌาย์มา แต่เวลาเราบวชเรายังไม่เข้าใจภาษาบาลี เราก็ทำตามพิธีกรรม แต่พิธีกรรมแล้ว เวลาจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมาบอกว่าเราไม่รู้เรื่อง ไม่รู้เรื่องไม่ได้ สิ่งมีชีวิตเวลาเด็กมันเกิดมา คลอดออกมาจากท้องพ่อท้องแม่ เห็นไหม มันต้องหายใจ มันต้องมีอาหารของมัน มันถึงดำรงชีวิตได้ นี่ก็เหมือนกัน เวลาบวชมาเป็นพระขึ้นมา พระยกเข้าหมู่แล้ว ศีลมันบังคับใช้ทันที ถ้าทำผิดพลาดจะบอกอ้างว่าไม่รู้ไม่ได้

สิ่งนี้ก็เหมือนกัน เวลาอ้างว่าไม่รู้ไม่ได้ แต่เราก็รู้พอเป็นพิธีไง นี่ก็เหมือนว่าเราบวชแล้ว เราสมบูรณ์ความเป็นพระแล้ว แต่เวลาเราจะปฏิบัติบอกเราไม่รู้ ไม่รู้ก็ต้องไปศึกษาไปเรียนก่อน พอไปเรียนขึ้นมา เห็นไหม เวลาบวชขึ้นมามันเรียนจบแล้ว เรียนจบเพราะอุปัชฌาย์บอกกรรมฐาน เราก็ขานรับ พอขานรับขึ้นมาถึงมีความสมบูรณ์ในการบวชพระ บวชพระเสร็จแล้ว ถ้าเราจะประพฤติปฏิบัติ เรามีครูมีอาจารย์ เห็นไหม เราก็เอาจริงเอาจังของเราเลย แต่เอาจริงเอาจังขึ้นมากิเลสก็พาให้สงสัยใช่ไหม ก็ต้องไปศึกษาก่อน ศึกษาก็ศึกษาเป็นภาคปริยัติ ได้ชื่อมาแล้ว เราก็ไปเรียนตีความให้ชื่อมันกว้างขวาง ให้มันละเอียดอ่อน ให้มันมีความเข้าใจ ได้ชื่อไง กิเลสมันบังเงาไปเรื่อย แต่ถ้าจะเอาจริงเอาจังขึ้นมา เห็นไหม จะไปกวนกิเลสแล้ว

บวชมาก็มากวนบ้านกวนเมือง บ้านเมืองเดือดร้อนไปหมด เดือดร้อนไปหมดก็เพราะพระเนี่ย เวลาที่ไหนมีหมู่บ้าน มีบ้านมีเรือนขึ้นมาก็ต้องมีวัดมีวา มีวัดขึ้นมาก็มาปลูกสร้างเหมือนกัน ถ้าครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นช่าง ท่านมีสติปัญญาก็สร้างศาลา สร้างสิ่งใดให้มันเป็นพอเชิดหน้าชูตากับหมู่บ้านนั้น พอหมู่บ้านนั้นก็แข่งขันกันด้วยการเชิดหน้าชูตา ด้วยการสร้างวัด สร้างวัดก็สร้างถาวรวัตถุไง

แต่เวลาเราบวชพระๆ ขึ้นมา เห็นไหม เราจะกวนกิเลส เราไม่กวนบ้านกวนเมือง กวนบ้านกวนเมืองมันเป็นประเพณีวัฒนธรรม แต่ถ้าเราบวชมาเป็นพระ เราเป็นนักต่อสู้ เราเป็นนักรบ เราจะรบกับกิเลสนะ เราจะกวนมัน ก่อกวนกิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจ ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง ขี้ตมในหัวใจขุดคุ้ยมัน เอามาทำความสะอาดมาดูแล เข้าไปขุดคุ้ยให้มันเกิดสัจจะความจริง ถ้าเกิดสัจจะความจริง เห็นไหม มันก็สมกับความที่เราเห็นภัยในวัฏสงสาร เราถึงมาบวชพระ

การบวชเริ่มต้น คนที่มีศรัทธาความเชื่อบวชขึ้นมาแล้วปรารถนาอยากจะพ้นจากทุกข์ ถ้าพ้นจากทุกข์มันต้องมีการกระทำ มันต้องมีมรรคมีผลขึ้นมา ถ้าไม่มีการกระทำขึ้นมา มันไม่มีเหตุขึ้นมา มันจะเอาผลมาจากไหน ผลที่จะเกิดขึ้น ธรรมะที่จะเกิดขึ้นจากในหัวใจของเรา เราก็ต้องเป็นผู้ขวนขวาย เป็นผู้แสวงหา เป็นผู้กระทำ ถ้าเป็นผู้กระทำขึ้นมา ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม เห็นไหม สมควรแก่ธรรม เรามีศีลมีธรรมขึ้นมา กลิ่นของศีลกลิ่นของธรรมก็หอมทวนลม ที่เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้าเรามีสติ มีสมาธิ มีปัญญาขึ้นมา เพราะมีสติมีสมาธิมีปัญญาขึ้นมา มันก่อกวนกิเลส กิเลสมันได้รับการก่อกวน มันหลบหลีกไป จิตใจมันก็สงบระงับเข้ามา ถ้าจิตใจมันสงบระงับเข้ามาเห็นไหม มีการกระทำของเรา การกระทำของเรามันจะมีความสุขความสงบขึ้นมา ความสุขความสงบมันเกิดจากการกระทำอันนี้ไง ถ้าการกระทำอันนี้มันต้องมีสติปัญญาไง

เราประพฤติปฏิบัติในหมู่ของกรรมฐาน เวลาใครเขาจะมีความสงบสงัด เขาจะหาที่วิเวกของเขา พระเราจะหลีกจะเร้นกัน เห็นไหม เราอยู่กับครูบาอาจารย์มานะ ท่านไม่ให้กวนกัน ในที่รโหฐาน ในที่กุฏิของแต่ละองค์ห้ามเดินเข้าไป เวลาเดินเข้าไป ถ้ามีความจำเป็นจะเดินเข้าไปต้องขออนุญาตก่อน ขออนุญาตเข้าไป ขอผ่านๆ เพื่ออะไร เพราะสิทธิของเขา เขาพยายามจะต่อสู้ พยายามจะมีการกระทำ แล้วเวลาเอาชนะตนเอง มันจะมีสิ่งใดเป็นงานที่อัศจรรย์ งานใดที่มันจะมหาศาลยิ่งกว่าการเอาใจของตนไว้ในอำนาจของตน

ถ้าเอาใจของตนไว้ในอำนาจของตน เราต้องปฏิบัติจริงไง เราไม่ใช่ว่านักปฏิบัติ ได้แต่ชื่อว่าเป็นพระปฏิบัติ แต่เราปฏิบัติไม่ได้ เราทำสิ่งใดไม่เป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมา แล้วบอกเราเป็นพระปฏิบัติ ปฏิบัติอะไร ปฏิบัติพอเป็นพิธีไง ครูบาอาจารย์ท่านบอก เห็นไหม ปฏิบัติเป็นพิธี ว่าเราเป็นชาวพุทธ ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพระอานนท์นะ “เธอบอกบริษัท ๔ เขาเถิด ให้ปฏิบัติบูชาเราๆ”

เราก็อยากเป็นผู้ปฏิบัติ เราเกิดมาเป็นชาวพุทธ เราเกิดมานี่บริษัท ๔ เราก็เห็นมาตลอด ถ้าเห็นมาตลอดมันก็ไม่มีสิ่งใดเป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมา เห็นไหม เราก็บอกว่า ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา ศาสนาพุทธเวลาผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ธรรมะจะคุ้มครอง มันจะมีความสุข ในบาลี ในตำรับตำรา บุญกุศลมหาศาล สวรรค์เป็นชั้นๆ นะ แล้วเราทำไมมันทุกข์มันยากอย่างนี้ เราทำไมทำแล้วมันไม่ได้ประโยชน์ ไม่ได้เป็นความจริงอย่างนี้ เวลาเราศึกษาแล้ว ประเพณีวัฒนธรรมเราก็เห็นอยู่ แต่เวลาจะเอาจริงเอาจังขึ้นมา เอาจริงเอาจังขึ้นมามันก็ต้องให้เป็นความจริงขึ้นมา

ถ้าสิ่งใดที่เป็นความจริงขึ้นมา เห็นไหม เริ่มต้นขึ้นมาก็ต้องมีศรัทธาความเชื่อ ถ้ามีศรัทธาความเชื่อ ไม่เชื่อในพ่อในแม่ของตนจะไปเชื่อใคร พ่อแม่ของตนๆ ก็โอบอุ้มดูแล มีลูกมีหลานก็อยากให้ลูกหลานเป็นคนดี อยากให้ลูกหลานมีสติมีปัญญาก็ฟูมฟักขึ้นมา นี่ก็เหมือนกันเวลาบวชมาแล้วมีครูบาอาจารย์ เราก็ปฏิบัติตามครูบาอาจารย์ของเรา มีความเชื่อ ความเชื่ออย่างนั้น มีความเชื่อเป็นศรัทธาความเชื่อแล้วเราก็ค้นคว้าของเรา ถ้าความเชื่อนั้นค้นคว้าของเรา ความเชื่อนั้นเอาขึ้นมาให้มาฝึกหัด ให้มาประพฤติปฏิบัติ แล้วถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมา มันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฎฐิโก

ถ้ามันไม่เป็นความจริง เราเชื่อแล้วค้นคว้าไง พอค้นคว้าแล้ว ขณะที่ค้นคว้าขึ้นมา เห็นไหม นี่กาลามสูตรๆ มันจะเกิด เริ่มต้น เริ่มต้นกาลามสูตรไม่เชื่ออะไรเลยมันก็ไม่ใช่ ไม่เชื่ออะไรเลยมันก็เริ่มต้นไม่ได้ ไม่เชื่ออะไรเลยมันก็ไม่มีโอกาสที่เราจะได้ทดสอบ มีความเชื่อแล้วทดสอบไป นี้ทดสอบไปมันก็อยู่ที่วาสนา เห็นไหม ดูสิ เราธุดงค์ไป ไปที่วัดใดก็แล้วแต่เราดูกันอยู่ ๗ วัน ถ้าพ้นวันที่ ๗ ไปแล้วถ้าไม่ขอนิสัยเราก็ต้องแยกออกไป ถ้าไม่แยกออกไป เริ่มราตรีที่ ๗ ไป เห็นไหม มันจะเป็นอาบัติแล้ว เป็นอาบัติเพราะอะไร เป็นอาบัติเพราะต้องขอนิสัย การขอนิสัยคือการยอมตนอยู่ให้เป็นผู้ที่บอกกล่าว เวลาบอกกล่าวกัน เรามีโอกาสคัดเลือก ไม่ใช่จำเป็นจะต้องไปยอมจำนนกับสิ่งนั้น มันจริตนิสัย ถ้ามันเข้ากันไม่ได้เราก็ไปหาครูบาอาจารย์ที่ถูกต้องดีงามของเรา

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่เรามีศรัทธาความเชื่อ เราเชื่อแล้วเราก็ศึกษา พอศึกษาแล้วถ้ามันไม่ใช่ เห็นไหม กาลามาสูตรแล้ว ไม่ใช่ว่าพอขอนิสัยแล้วว่าต้องเป็นอย่างนั้น เวลาปฏิบัติไปแล้วต้องยอมจำนนกับอย่างนั้น แล้วถ้ามันไม่ใช่ขึ้นมาก็บีบบังคับ กิเลสมันก็ซ้อนแล้วซ้อนเล่า กิเลสในหัวใจมันก็ดีดดิ้น บอกว่าจะกวนกิเลส ที่ไหนได้กิเลสมันกวนเราต่างหาก กิเลสมันพลิกแพลงขึ้นมา มันเป็นทิฏฐิมานะ มันเป็นความเห็นที่เห็นผิด มันก็หลอกไป มันทำให้เราชอกช้ำ ทุกข์ระทม ทำก็ทำไม่ได้ จะจริงมันก็ไม่จริง

เพราะฉะนั้นถึงบอกว่า ถ้ามีความเชื่อแล้วศึกษาค้นคว้า ค้นคว้าไปแล้วถ้ามันไม่ใช่ เข้ากาลามสูตรแล้ว อย่าเชื่อแม้แต่อาจารย์ของเรา อย่าเชื่อแม้แต่คนสอน ก็มันสอนผิดๆ มันสอนมาแล้ว เราก็ทดสอบแล้วมันไม่ใช่ ถ้ามันใช่แล้วมันไม่เป็นไปล่ะ ถ้าเราทำจริงของเรานะ ถ้าเป็นแบบว่า เออ แบบเราทำไม่ได้อย่างนั้น เรายังทำไม่ได้ เราก็ต้องพยายามของเราเพื่อจะพิสูจน์ความจริงกัน ดูสิ เวลาครูบาอาจารย์ท่านธุดงค์ของท่านไปนะ เวลาคนเราธุดงค์ไป กำลังค้นคว้าหาสัจจะความจริงในใจของตน มันเป็นงานตลอดนะ คนเราถ้ามันจะได้จะเสีย ดูสิ เราจะได้ผลประโยชน์ เราอยากจะได้ทั้งนั้น นี่ก็เหมือนกัน เวลาปฏิบัติขึ้นมา ที่มันกำลังจะได้จะเสีย เราต้องการให้คนชี้นำ เพราะเราเองเราก็ทุ่มเทเต็มที่แล้วแหละ แต่มันไปไม่ได้ไง

ทีนี้ไปไม่ได้ เวลาธุดงค์ไปก็ไปหาครูบาอาจารย์ไง ครูบาอาจารย์ท่านคอยชี้นำมา ถ้าเราผ่านมาแล้วเราจะรู้เลยว่าวุฒิภาวะของครูบาอาจารย์มันสูงต่ำแค่ไหน ถ้ายังไม่ได้ปะ ยังไม่ได้ทดสอบกัน เราจะไม่รู้หรอกว่าใครจะมีปัญญาใครจะมีความสามารถมากน้อยแค่ไหน แต่ได้ทดสอบกันแล้วมันจะรู้เลย เวลางัดข้อขึ้นมาใครจะมีกำลังมากกว่า มันรู้ทันทีเลย ออกกำลัง ยังไม่ทันออกกำลังเลย ล้มแผละๆ มันจะบอกว่านี่นักงัดข้อชั้นหนึ่ง เขาว่านะ มันยังตั้งมือมันไม่ได้เลย มันมีแต่ชื่อ แต่ความจริงมันต้องมีกำลังซิ มันต้องมีทิศทางซิ ถ้ามันมีความเป็นไป

ถ้าเป็นกาลามสูตร เห็นไหม เริ่มต้นตั้งแต่ไม่กวนบ้านกวนเมือง ไม่กวนบ้านกวนเมืองเพราะอะไร ไม่กวนบ้านกวนเมืองเพราะว่า เนี่ยพระ เห็นไหม พระเราบวชมาแล้ว บวชมาแล้ว เห็นไหม สิ่งที่อุปัชฌาย์ให้มา เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ โอ้โลมปฏิโลม พยายามพิจารณาเข้าออก พยายามทำของตนให้แจ่มแจ้งในใจของตน นี่งานของเรา งานของเราคืองานรื้อค้น งานของเรา งานของพระ งานของพระในทางจงกรม นั่งสมาธิภาวนางานของพระ งานแท้ๆ เลย งานเอาชนะตนเอง งานในการค้นคว้าหาใจของตน

ถ้าค้นคว้าหาใจของตนเจอนะ ค้นคว้าหาใจของตน ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติเวลาเกิดธรรมสังเวช มันเกิดอะไรผุดขึ้นมากลางหัวใจมันน้ำหูน้ำตาไหลนะ อู๋ยมันเศร้าใจ คนเรานะเวลา เห็นไหม สิ่งที่ผู้ที่มีบุญกุศลนะ เวลาอยู่ทางโลกนี่แหละ ดูอย่างเช่น พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ รวยเป็นมหาเศรษฐีนะ เที่ยวสะดวกสบายทั้งชีวิตเลย เวลาไปดูการละเล่นฟ้อนรำทำไมมันไม่สนุกเลย มันเบื่อหน่าย พอมันเบื่อหน่ายแล้วมันจะไปทางไหน

นี่ก็เหมือนกัน แต่ชีวิตของเรา เห็นไหม เราอยู่ในทางโลกนี่แหละ เราบวชมา บวชมาก็ศึกษาเล่าเรียน ศึกษาเล่าเรียนก็อยู่อย่างนั้น แล้วมาคิดถึงว่าแล้วเราจะอยู่อย่างนี้เหรอ แล้วความจริงมันคืออะไร ความจริงหัวใจมันคืออะไร เวลาถ้ามีวาสนานะ เวลาธรรมมันเกิดนะ โอ มันสังเวช พอมันสังเวชขึ้นมานะ มันจะขวนขวายแล้ว จะหาทางออกๆ หาทางออกมันก็จะขวนขวาย มันก็น่าสังเวชนะ

ผู้ที่ปฏิบัติใหม่ๆ เห็นไหม ปฏิบัติใหม่ๆ เวลาจะหาครูบาอาจารย์ก็เข้าไม่เป็น เวลาเข้าไม่เป็นก็สมบุกสมบันไป สังเวชนะ ชีวิตนี้น่าสังเวชมาก เวลาเราไปเที่ยวป่าเที่ยวเขา ไปดูสิ สัตว์ป่ามันอยู่ของมันนะ มันยังมีพ่อมีแม่คุ้มครองดูแลนะ พ่อแม่มันจะดูแลจนกว่ามันจะเติบโต จนกว่ามันจะเอาตัวรอดได้ พ่อแม่มันถึงจะปล่อยมันไป ไอ้เราเหมือนกัน แบกกลดแบกบาตรเข้าไปเหมือนสัตว์ตัวหนึ่งนะ เหมือนสัตว์ตัวหนึ่ง ไม่มีใครคุ้มครองดูแล ทุกข์ยาก

แต่ถ้าเราฝึกหัดของเราไป ถ้ามีอำนาจวาสนาเราต้องเจอ เราไปเที่ยวในป่า เราไปเจอพระอยู่ในป่าเหมือนกัน เราไปเจอกัน ไปคุยกัน ถูกใจกัน ถูกคอกัน โอ๊ย เขาชอบมากนะ เพราะอะไร เพราะคนที่เข้าป่าเข้าเขาโดยสัจจะนะ ไม่ได้เข้าโดยการตลาด ถ้าเข้าป่าเข้าเขาไปโดยสัจจะมันชอบความจริง ถ้าพูดถึงความจริงๆ ความจริงกับความจริงมันเข้ากัน

ถ้าความจริงกับความจริงมันเข้ากันมันระลึกถึงกัน อย่างเช่น เช่นหลวงปู่มั่นเนี่ย หลวงปู่มั่นท่านพูดกับหลวงปู่เจี๊ยะไว้บอกว่า ชื่ออาจารย์เภาๆ บอกว่าเจออยู่ในป่า ไปคุยกัน คุยกัน พอไปเจอในป่ากันก็คุยธรรมะกัน พอคุยธรรมะกัน เขาก็พูดถึงน้ำมีตัวสัตว์ไง คุยกันถึงเรื่องวินัย เพราะวินัยว่า เพราะพระมาเขาไม่มีธมกรกมา แต่ของครูบาอาจารย์มีธมกรก ธมกรกเวลาจะใช้น้ำเรากรองตัวสัตว์ ของเขามันไม่มี เพราะเขาออกปฏิบัติด้วยตัวเขาเอง เขาแก้กับหลวงปู่มั่นเลย บอกผมใช้ผ้าจีวรครับ เอาผ้าจีวร แล้วผมก็ตักน้ำนั้นครับ

แล้วสุดท้ายเขาพยายามจะขอไปกับหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นไม่ให้ไปด้วย เขาเสียใจนะ เขาบอกเขาเป็นนักธรรมเอก ไปเจอพระป่าๆ พระป่าไม่ได้นักธรรมอะไรเลย นักธรรมเอกไปแพ้พระอยู่ในป่า เพราะไม่มีธมกรกแล้วเดินธุดงค์ แล้วเวลาคุยนี้คุยเรื่องวินัยนะ แต่เวลาคุยเรื่องการภาวนาเขาก็พอภาวนาได้ ถึงได้คุยให้หลวงปู่เจี๊ยะฟัง หลวงปู่เจี๊ยะก็เล่าให้เราฟัง พอเล่าให้เราฟัง หลวงปู่เจี๊ยะท่านก็ไปหาอาจารย์เภาๆ เวลาไปหา ครูบาอาจารย์ท่านล่วง ท่านหมดชีวิตไปหมดแล้ว ท่านตายไปหมดแล้ว แต่เวลาท่านไปอยู่ในป่า เวลาไปเจอกัน เห็นไหม

เราก็เที่ยวป่าเที่ยวเขามา เราไปเห็นสัตว์ เห็นไหม ดูสัตว์สิ ชีวิตเหมือนกัน ทำไมมันทุกข์ยากของมัน แต่มันเป็นธรรมชาติของสัตว์ป่าเป็นแบบนั้น แต่นี่เราเป็นมนุษย์ เดี๋ยวนี้โลกมันเจริญ โลกมันเจริญแล้วเราอยู่ในสังคม เราบวชเป็นพระ บวชเป็นพระแล้วเราจะไปหาที่สงัดที่วิเวกไง ถ้าที่สงัดที่วิเวกที่จะค้นคว้าหากิเลสในใจของตน

เราอยู่ในเมือง เราก็กวนบ้านกวนเมืองไปทั่ว ชีวิตนี้ต้องอาศัย ปลาต้องอาศัยน้ำ นี่ก็พระก็ต้องอาศัยสังคม อาศัยสังคมอยู่นะ เขาก็ทำตามหน้าที่ของเขา ในเมื่อเขาศรัทธาความเชื่อในพุทธศาสนา เห็นไหม เช้าขึ้นมาเขาก็อยากทำบุญตักบาตรตามสิทธิ์ของเขา ตามหน้าที่ของเขา เขาปรารถนาของเขา ไอ้เราก็เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้งเห็นไหม เราบิณฑบาตด้วยปลีแข้ง เราไปบิณฑบาตของเรา ไม่ได้มีการนัดการหมายทั้งสิ้น มันเป็นวัฒนธรรม มันเป็นความเชื่อของเขา นี่ไง สัมมาอาชีวะ สะอาดบริสุทธิ์ สิ่งที่มันเป็นความจริงไง เสร็จแล้วถ้าอยู่ในบ้านในเมือง เห็นไหม ก็กวนบ้านกวนเมือง กวนบ้านกวนเมืองก็อาศัยเขาไปทั่วเพราะว่าเราไม่เติบโตสักที

เราอยากจะเข้มแข็ง เราอยากจะเติบโตขึ้นมา เราก็ออกสงัดหาวิเวกเพื่อฝึกหัวใจของตน เวลาเข้าไปมันสังเวชไปหมด แล้วมันไม่มีครูมีอาจารย์ ถ้ามีครูมีอาจารย์นะ ครูบาอาจารย์ท่านจะให้วิเวกไป แล้วถึงเวลาแล้ว เห็นไหม ดูสิ เวลาหลวงตาท่านออกไปวิเวก ท่านบอกเลยนะ เวลาจิตใจของตนถ้ามันจะเป็นคุณงามความดีขึ้นมา เหมือนถ่าน ดูถ่านฟืน เวลามันจุดขึ้นมา มันแดงโร่ มันร้อนไปหมดเลย นี่ไง เวลามันจะเป็นสมาธิ มันจะมีกำลังขึ้นมา มันก็ควบคุมไม่ได้ เวลาภาวนาไม่ได้ ถ่าน ถ่านดำๆ มันดำปี๋ จุดไฟไม่ติด มันทุกข์ไปหมดแหละ

เวลาเริ่มต้นใหม่ๆ เวลาเริ่มต้นใหม่ เวลามันจะทำของมัน เห็นไหม เราจะกวนกิเลสๆ เราไม่กวนบ้านกวนเมืองแบบทั่วๆ ไป บวชมาเป็นพระนี่ใช่ เป็นสิทธิ์ ปลาต้องอยู่กับน้ำ พระก็อยู่กับสังคม สังคมเขาแสวงหาบุญกุศลของเขา เขาทำตามหน้าที่ของเขา ถ้ามันเป็นปฏิคาหก มันสะอาดบริสุทธิ์ ไม่ได้การแนะการนำ การลวงโลก การต้องการให้เขาเชื่อถือศรัทธา ไอ้นั่นมัน...เห็นไหม มันจะกวนกิเลส ไอ้นี่กิเลสมันกวนพระ มันกวนพระให้พระแสดงออกตัวอย่างนั้น

แต่ถ้าเรามีสติปัญญาของเรา เราจะกวนกิเลสของเรา กวนกิเลสขึ้นไป เห็นไหม คนที่ภาวนาไม่ได้ก็มรณานุสสติ พุทโธ นี่พุทธานุสสติ ธัมโม ธัมมานุสสติ สังโฆ สังฆานุสสติ มรณานุสสติ เวลาเราระลึกนึกถึงความตาย ระลึกถึงความตายเลย ตายๆๆๆ มันต้องตายอยู่แล้ว ตายๆๆ เนี่ย พอตายขึ้นไปมันก็อยู่ที่ปากนั่นน่ะ พอมันเข้าอยู่ที่ใจนะมันสลดสังเวช คำว่าสลดสังเวชนะ สลดสังเวช เวลาเกิดธรรมสังเวชอย่าให้มันหงอยเหงา ถ้าคนทำไม่ได้มันจะเฉา มันจะหงอยมันจะเหงาจนทำไม่ได้ คนทำไม่ได้ ทำแล้วมันไม่ถูกกับจริต เราก็ไม่ควรใช้อย่างนั้น ถ้าใช้อย่างนั้นแล้วมันทำให้เสียกำลังใจ เสียทุกๆ อย่างเลย

แต่ถ้าเวลามันคึกมันคะนอง เวลามันลืมตัวลืมตน มันลืมตาย ก็บอกว่า มึงต้องตายๆ มันสลด พอมันสลดขึ้นมานะ เห็นไหม เราก็พุทโธของเรา เราก็แก้ไขของเรา เห็นไหม เราจะกวนกิเลส เรามันก็ต้องมีเทคนิคของมัน กิเลสมันอยู่กับเรานะ เราคิดมันก็คิด เราทำอะไรมันก็อยู่เบื้องหลังเราทั้งหมดเลย เราจะทำอะไร กิเลสมันนี่สมุทัยมันร่วมด้วยตลอด มันเจือมาตลอด นิวรณธรรมมันเจือกับความคิดเรามาตลอด เราทำอะไรกิเลสมันรู้หมดเลย จะพุทโธมันก็รู้ก่อน เออ พุทโธ ๕ นาทีเดี๋ยวเลิก เอ้า เดินจงกรม เดินเลย เดินเสร็จแล้วเดี๋ยวเราขึ้นไปนั่งสมาธิต่อ โอ้ มันบอกบทไว้เลยนะ จะเดินจงกรม จะนั่งสมาธิ กิเลสมันบอกบท ทำตามมันสั่ง แล้วเราจะไปฆ่ามัน มันจะเอาอะไรไปฆ่ามัน

แต่ถ้าเรามีสติมีปัญญา เห็นไหม เราจะใช้ปัญญาของเรา เราจะกวนกิเลส ไม่ให้กิเลสกวนเรา ถ้าเราจะกวนกิเลสเราก็ต้องดูแลรักษา เราไม่กวนบ้านกวนเมือง สิ่งที่กวนบ้านกวนเมือง สิ่งนั้น เห็นไหม กรรม กรรมคือการกระทำ เกิดการกระทำกรรมสิ่งใด กรรมนั้นต้องให้ผล ทำสิ่งใดก็แล้วแต่ ไปกวนบ้านกวนเมือง เขาก็มีบุญมีคุณ เดี๋ยวเขาก็มาขอร้อง เดี๋ยวเขาก็มาขอแลกเปลี่ยน เคยให้ไอ้นั่น เคยให้ไอ้นี่ ตอนนี้ต้องให้ฉันบ้างสิ แล้วเราจะทรงข้อวัตรกันยังไง เราจะทำยังไงให้เป็นประโยชน์ไง ถ้าเราไม่กวนบ้านกวนเมือง มันเป็นสิทธิ์ของเขา

เราอยู่กับหลวงตานะ หลวงตาท่านบอกว่าทุกอย่างท่านปกป้องดูแลให้หมดเลย เว้นไว้แต่อย่างเดียวเท่านั้น ตอนเช้าเขามาทำบุญกุศลของเขา มันเป็นสิทธิ์ของเขา พระต้องฉลาด พระต้องหลบหลีกกันเอาเอง ท่านพูดอย่างนี้เลยนะ อย่างอื่นท่านกันให้หมดเลย เว้นไว้แต่ทานของเขา มันเป็นหน้าที่ของเขา เขาเป็นสิทธิ์ของเขา

ถ้าเป็นสิทธิ์ของเขา เขาทำทานโดยปฏิคาหก เขาให้ด้วยความบริสุทธิ์ เราก็รับด้วยความบริสุทธิ์ ไม่มีสัญญาใดๆ ทั้งสิ้น ไม่มีความผูกพันใดๆ ทั้งสิ้น ทำแล้วก็แล้วกันไป นี่ปฏิคาหกให้ด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ นี่ทำบุญทิ้งเหว แล้วทิ้งเหวแล้ว ถ้ามันเป็นธรรมนะ เขาไม่ต้องขอ เราให้เขาอยู่แล้ว แต่ถ้ามันไม่เป็นธรรม เขาจะมาเรียกร้องสิ่งใดไม่ได้ เพราะมันตัดสินกันด้วยธรรม เหตุและผลคือธรรม ถ้าเขาเป็นนักธรรมะ เขาอยากเป็นผู้ปฏิบัติธรรม เขาต้องยอมรับความจริงสิ ถ้าเขายอมรับความจริง เห็นไหม ถ้าเราไม่กวนบ้านกวนเมือง บ้านเมืองมันก็จะมาทับถมเราไม่ได้

แต่ถ้าเราไปกวนบ้านกวนเมือง เห็นไหม เราไปยอมรับให้สิ่งนั้น ดูสิ เวลาเราแจกอาหาร เห็นไหม แม้แต่แม่ชีจะมาคอยจี้คอยบอกว่า ให้องค์นั้นมากกว่าองค์นี้ องค์นี้มากกว่าองค์นั้นยังไม่ได้เลย ไม่ได้ทั้งนั้น เสขิยวัตรของเราบอกไว้หมดแล้ว พระทำอะไรได้ พระทำอะไรไม่ได้ ถ้าทำไม่ได้ เสขิยวัตรบอกทำไม่ได้ก็ต้องทำไม่ได้ ถ้ามันทำได้ เห็นไหม ดูหลวงตาท่านพูดเลย เหยียบหัวพระพุทธเจ้าไปแล้วแสดงธรรม เนี่ยก็ธรรมวินัยไง เหยียบหัวพระพุทธเจ้านี่ศาสดาของเรา แล้วบอกว่าฉันทำถูกๆ ไง นี่ไง กวนบ้านกวนเมือง

แต่ถ้าจะกวนกิเลส อะไรที่เป็นธรรมเป็นวินัย เราสาธุ สิ่งใดถ้าทำไม่สมบูรณ์แบบ สิ่งที่จะทำให้สมบูรณ์แบบอย่างที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้ มันต้องมีอำนาจวาสนา สิ่งที่ไม่มีอำนาจวาสนา เราไม่ได้ตั้งใจๆ แต่มันเป็นความเคยชิน มันเป็นต่างๆ อันนี้สาธุ เห็นไหม เราจะทำผิดพลาดให้น้อยที่สุด หลวงตาท่านใช้คำนี้เลยนะ เราฟังท่านพูดอยู่ ว่าจะทำให้มันสมบูรณ์ตามธรรมตามวินัยมันทำได้ยาก เพราะอะไร เพราะว่าอำนาจวาสนาบารมีของคนมันไม่ถึง แต่เราจะทำให้ผิดพลาดน้อยที่สุด

โอ ฟังแล้วสะเทือนใจมากนะ สะเทือนใจที่ว่า ท่านเองท่านก็บอกแล้ว ไม่ว่าท่านทำได้ถูกต้อง หลวงตามหาบัวเนี่ย ท่านบอกว่า ท่านจะพยายามทำให้ผิดพลาดน้อยที่สุดเท่าที่จะน้อยได้ เพราะท่านก็เคารพบูชาของท่าน แต่ท่านไม่พูดว่าท่านทำถูกต้องทั้งหมด เพราะมันจะอยู่ในกรอบพร้อมอย่างนั้นมันทำได้ยาก เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าละสันดานได้ เห็นไหม

นี่พูดถึงว่า ถ้าเราไม่กวนบ้านกวนเมือง บ้านเมืองก็จะไม่มากวนเรา ถ้าเราไปกวนบ้านกวนเมือง บ้านเมืองมันก็จะสอดเข้ามา เนี่ยสังฆะ สิ่งที่ธรรมวินัยเป็นใหญ่ ถ้าธรรมวินัยเป็นใหญ่ เราต้องอยู่ ปลาต้องอาศัยน้ำ พระต้องอยู่กับสังคม สังคมเขาเลี้ยงดูนะ สังคมเขาเลี้ยงดูสมณะ เลี้ยงดูผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ แต่เลี้ยงดูผู้ที่ประพฤติปฏิบัตินั่นก็เป็นบุญกุศลของเขา สาธุ มันเป็นความเจตนาดีของเขา เราสาธุ แต่ของเราเราต้องมีจุดยืนของเราเพื่อประโยชน์กับเรานะ

ถ้าเราไม่กวนบ้านกวนเมือง บ้านเมืองก็ไม่มากวนเรา ถ้าไม่กวนเราแล้ว สิ่งที่มันจะพัฒนาขึ้นไปเราต้องกวนกิเลส ความขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง มันเป็นขี้ตม เห็นไหม ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง มันฝังอยู่หัวใจของเรานะ ดอกบัวเกิดจากโคลนตม เราจะให้คุณงามความดีเกิดจากหัวใจของเรา ถ้าหัวใจของเรา ปฏิสนธิจิต ปฏิสนธิจิตเกิดในไข่ ในครรภ์ ในน้ำคร่ำ ในโอปปาติกะ การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ แล้วมันเกิดมาเป็นมนุษย์ เป็นเราเนี่ย เป็นเราแล้วเรามาบวช สิ่งนี้อวิชชามันอยู่ที่ภวาสวะ มันอยู่ที่ปฏิสนธิจิต เวลาเราจะเริ่ม กิเลสมันกวนเรา มันก็ทำให้เราเดือดร้อน เวลาเรามีศรัทธามีความเชื่อมาบวชเป็นพระ เราพยายามติดอาวุธ เราพยายามฝึกปฏิบัติธรรม เห็นไหม สิ่งที่เราพยายามจะฝึกจะหัดขึ้นมา ให้เกิดมรรคขึ้นมา ให้เกิดมรรคขึ้นมา ให้เกิดศีล ให้เกิดสมาธิ ให้เกิดปัญญาขึ้นมา ให้มันเป็นสัจจะความจริงขึ้นมา สิ่งที่เรียนมาๆ มันเป็นชื่อของมัน เห็นไหม แต่ปัจจุบันนี้เราจะทำขึ้นมาให้มันเป็นอาวุธ เป็นธรรมาวุธ เป็นสิ่งที่ตั้งตัวขึ้นมาได้

ถ้าสิ่งที่ตั้งตัวขึ้นมาได้ เห็นไหม เราตั้งสติของเรา สิ่งที่ตั้งตัวขึ้นมา ตั้งตัวของเราขึ้นมา ตั้งสติขึ้นมา ตั้งสติขึ้นมา สิ่งที่มีชีวิตอยู่ เรากำหนดพุทโธ เราใช้ปัญญาอบรมสมาธิ เรากำหนดอยู่นี่ พอกำหนดขึ้นมามันเป็นพุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ เป็นอานาปานสติ ถ้าเป็นอานาปานสติ หัวใจเกาะตรงนี้ไว้ หัวใจเกาะตรงนี้ไว้นะ ถ้าหัวใจเกาะตรงนี้ไว้ เวลามันสงบระงับเข้ามา หัวใจมันเด่นชัดขึ้นมา สัมมาสมาธิที่มันสว่างไสวที่มันมีความสุขความสงบนะ

นี่ไง ถ้าเราไปกวนมัน กิเลสไปกวนมันนะให้มันผ่องแผ้ว ให้จิตใจมันผ่องใส ให้จิตใจมันตั้งมั่นขึ้นมา ถ้าจิตใจมันตั้งมั่นขึ้นมา เห็นไหม สิ่งนี้กวนกิเลสๆ จนมันผ่องแผ้วขึ้นมา มันผ่องแผ้วขึ้นมา เห็นไหม เราฝึกหัด ฝึกหัดของเราจนมันมีธรรมโอสถ สิ่งที่เป็นธรรมโอสถคือมันมีความสุขความสงบไง

เวลากิเลสมันบีบคั้น กวนบ้านกวนเมืองขึ้นมาโดยความไม่รู้ตัว โดนกิเลสมันปิดหัวใจ ไปกวนขึ้นมาแล้วมันก็ชักศึกเข้ามาในวัดในวา เข้ามาในข้อวัตรปฏิบัติ เราพยายามปฏิบัติของเราขึ้นมาให้มันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา พอเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา เราปฏิบัติขึ้นมาจนมีศีลมีสมาธิเป็นปัญญาขึ้นมา พอมีศีลมีสมาธิขึ้นมา เวลาจะกวนกิเลส เห็นไหม

เวลากวนกิเลสขึ้นมา เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา มันปฏิบัติจริงๆ มันก็ปฏิบัติในใจของสัตว์โลก สัตว์โลกที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ปฏิสนธิจิตที่มันเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เวลามันปฏิบัติขึ้นมา เห็นไหม เวลามรรคมันเกิดเกิดที่จิต จิตที่มันมีขันธ์ ๕ มันมีอวิชชา มันมีตัณหาความทะยานอยากข่มขี่มัน ไอ้ขี้ตมๆ ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง เห็นไหม ขี้ตมมันพอกพูนหัวใจ เวลาเราปฏิบัติขึ้นมา เราพิจารณาของเราขึ้นมา จนขี้โลภขี้โกรธขี้หลงขี้ตม มันกระจายตัวของมันออกไป จิตใจมันสง่างามขึ้นมา จิตใจมันยืนตัวขึ้นมา จิตใจมันผ่องแผ้วขึ้นมา

ถ้าจิตใจมันผ่องแผ้วขึ้นมา มันตั้งตัวของมันขึ้นมาได้ ตั้งตัวขึ้นมา ปฏิสนธิจิตที่มันเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะโดยความมืดบอดของมันไง แต่เวลาปฏิบัติขึ้นมาด้วยสติ ด้วยสมาธิ ด้วยกำลังของตน เห็นไหม ในการปฏิบัติตามความเป็นจริงขึ้นมา เราสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาจนมันตั้งมั่นของมันขึ้นมาได้

พอตั้งมั่นของมันขึ้นมาได้ ถ้ามีครูมีอาจารย์ เห็นไหม ครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมๆ สิ่งที่เป็นธรรม ครูบาอาจารย์ท่านแสวงหาแสวงหาอย่างนี้ พยายาม จิตเห็นอาการของจิต ถ้าจิตเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง ถ้ามันเห็นสัจจะความจริง เห็นไหม เห็นสติปัฏฐาน ๔ ไง ถ้าเห็นสติปัฏฐาน ๔ มันเป็นอริยสัจ ๔ ไง อริยสัจ หัวใจของศาสนาไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมา ตรัสรู้ขึ้นมาจากอริยสัจไง ได้สัจจะความจริงขึ้นมาไง เวลาปฏิบัติขึ้นมา ครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติขึ้นมา ท่านจะมีอริยสัจ มีสัจจะ มีความจริง

นี่ศึกษาๆ กลางหัวใจนี้ ศึกษาๆ ในการปฏิบัตินี้ ถ้าปฏิบัตินี้มันเป็นความจริงขึ้นมา มันเป็นความจริงขึ้นมานี่ธรรมโอสถ คุณธรรมมันเกิด มันเกิดกลางหัวใจ แล้วถ้ามันเกิดกลางหัวใจ หัวใจที่มีคุณธรรมอย่างนี้ มันจะลอกแลก มันจะวอกแวกวอแว มันจะไปกวนบ้าน มันจะไปกวนคนอื่นไหม

มันเห็นว่าสัพเพ สัตตานะ สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น เขาก็เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะเหมือนเรา เราก็เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะอย่างนั้นแหละ ถ้ามันปิดหูปิดตา เราก็จะใช้ชีวิตเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะอย่างนั้น แต่เพราะเรามีสติมีปัญญา เพราะเรามีอำนาจวาสนา เราถึงได้หลีกเร้น หาช่องทางของเรา เวลามาบวชนะ บวชเป็นพระเป็นเจ้า บวชเป็นนักรบ เวลานักรบขึ้นมาเห็นไหม เราจะรบกับกิเลสไง ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์ มันก็ไปกวนบ้านกวนเมือง กวนบ้านกวนเมืองก็บอกเป็นหน้าที่ เป็นการส่งเสริมศาสนา เป็นการจรรโลงศาสนา โดยความอ้าง อ้างอยู่อย่างนั้น

พระพุทธเจ้าสอนอย่างนั้นเหรอ อุปัชฌาย์องค์ไหนสอน อุปัชฌาย์ไม่เคยบอกนอกจากกรรมฐาน ๕ งานของพระกรรมฐาน ๕ เท่านั้น นั่นมันงานของใคร แล้วนั่นมันงานของพระ ใครบอก ไม่มีใครบอก แต่อุปัชฌาย์บอก บอกเกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ หน้าที่การงานของเราไง เราบวชมาแล้วไง เราบวชมาแล้ว เรามาทำงานของเราไง เราไม่กวนบ้านกวนเมืองไง หน้าที่ของเรากวนกิเลสไง กิเลสในหัวใจของเราเราจะก่อกวนมันไง ก่อกวนมันด้วยมรรคด้วยผลไง ก่อกวนด้วยสติสมาธิปัญญาของเราไง

หน้าที่ของเรา แล้วทำแล้วผลที่ตอบรับ ผลที่ตอบรับก็ความสุขไง ผลที่ตอบรับนะ มีคุณประโยชน์ไง มีคุณประโยชน์นะ ศากยบุตรพุทธชิโนรสไง “อานนท์ เธอบอกเขานะ ปฏิบัติบูชาเราเถิด อย่าบูชาด้วยอามิสเลย” องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนามาก

เวลาหลวงปู่มั่นท่านจะนิพพาน หลวงตาท่านคุ้มครองอุปัฏฐากดูแลมาตลอด ๘ เดือน เวลาหลวงปู่มั่นท่านเสียไปแล้ว ท่านเข้าป่าเข้าเขาไปเลย ปฏิบัติบูชา เพราะอะไร เพราะท่านกำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม เห็นไหม คนกำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม คนกำลังประพฤติปฏิบัติ ปฏิบัติบูชานี่ไง

ดูสิ พระภัททิยะปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์องค์สุดท้ายขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หลวงตาๆ ท่านประพฤติปฏิบัติบูชาหลวงปู่มั่นๆ ท่านก็ปฏิบัติบูชาของท่านเหมือนกัน งานของพระๆ งานของนักปฏิบัติ งานของสัจจะความจริง เราจะกวนกิเลส เราไม่ไปกวนบ้านกวนเมืองไง

เวลาเขาทำหน้าที่การงานกัน มันต้องมีกวนบ้านกวนเมืองเป็นเรื่องธรรมดา เห็นไหม ปลาอาศัยน้ำ พระอาศัยสังคม สังคมเชิดชูศาสนา เขาก็คุ้มครองดูแล เขาก็เต็มใจทำของเขา แต่การเต็มใจของเขา ในเมื่อทุกคนมีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก กิเลสในใจของตนมันก็เห็นแต่แง่มุมของตนเท่านั้น เอาแต่ความพอใจของตนเท่านั้น

ถ้าเอาแต่ความพอใจของตน เรามีหน้าที่การงานของเรา เราจะกวนกิเลสของเรา เราควรทำหัวใจของเรา เราควรรักษาหัวใจของเรา เรามาฆ่ากิเลสของเรา เราทำหน้าที่การงานของเรา งานของพระแท้ๆ ทำให้งานของเราจบสิ้นแล้ว เราจะทำเพื่อประโยชน์กับสังคมเมื่อไร เราก็ทำได้ แต่งานเริ่มต้น งานต้องเอาหัวใจของเราให้ได้ก่อน กวนขี้ตม กวนสิ่งต่างๆ ในหัวใจให้มันหลุดออกไปจากใจ ให้ใจมันผ่องแผ้ว ให้ใจมีมรรคมีผลขึ้นมา เวลามีมรรคมีผลขึ้นมานะ เวลาเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง แล้ววิปัสสนาไปมันมหัศจรรย์ มันมหัศจรรย์จริงๆ

งานของโลกเขา เขาจะคิด เขาจะวิจัย เขาจะทำข้อมูลอะไรของเขา เพื่อประโยชน์กับโลก เทคโนโลยีทางอวกาศเขาได้ประโยชน์มาก เพราะสุดท้ายแล้วสิ่งที่ละเอียดที่สุดก็คืออากาศ ลมหายใจ เราเห็นว่าอาหารทุกอย่างมีความจำเป็นทั้งนั้น แต่อาหารละเอียดไง ออกซิเจน ถ้ามันไม่มีขึ้นมา เทคโนโลยีที่เจริญขึ้นมา เขาจะมองเรื่องอากาศ มองอวกาศไปนู่นเลย

นี่ก็เหมือนกัน หัวใจของเรา เรารักษาของเรา เราทำของเราเพื่อประโยชน์กับเรา แล้วถ้าประโยชน์กับเรานะ เวลาเรากวนกิเลสจนกิเลสมันไม่มีสิ่งใดเจือปนในธรรมธาตุอันนั้น มันจะเห็นว่า หลวงตาท่านพูดอยู่ มันไปได้สามโลกธาตุ อวกาศในจักรวาลนี้ก็เท่านั้นแหละ กามภพ รูปภพ อรูปภพ มันไปขนาดไหน แล้วหัวใจมันครอบคลุมได้หมด มันกว้างขวางไปจนไม่มีขอบเขต มันไปได้หมดเลย มันรู้แจ้งหมด เกิดที่ไหน เกิดจากการกระทำ เกิดจากสัจจะความจริงในใจ ถ้าเป็นความจริงในใจของเรา เห็นไหม ฟังธรรมๆ เพื่อสัจธรรม เพื่อสัจจะ เพื่อความจริง เพื่อหัวใจดวงนี้ เพื่อหัวใจของนักรบ เอวัง