เทศน์พระ

สร้างรัง

๒๕ ก.พ. ๒๕๖o

 

สร้างรัง
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะ ตั้งใจฟังธรรมๆ เพราะกล่อมหัวใจให้มันอยู่ในอำนาจของเรา หัวใจของเราไง แต่มันไม่อยู่ในอำนาจของเรา ถ้าไม่ได้อยู่ในอำนาจของรา มันอยู่ในอำนาจของใครน่ะ ใจเราแท้ๆ ใจของเรานี่แล้วมันอยู่ในอำนาจของใคร มันอยู่ในอำนาจของกิเลสไง กิเลสตัณหาความทะยานอยากเป็นพญามาร พญามารนี่ครอบครองเจ้าวัฏจักรๆ จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ อยู่ในอำนาจของมาร

เวลามาเกิดนี่ด้วยอวิชชาด้วยความไม่รู้ถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดเป็นมนุษย์เกิดมาพบพระพุทธศาสนา ด้วยอำนาจวาสนาของเรา เห็นไหม เราเกิดเป็นมนุษย์ มนุษย์ทั้งหลายเขาพยายามแสวงหาความสุขตามความปรารถนาของหัวใจของเขา แต่เราเป็นคนที่มีศรัทธามีความเชื่อไง เห็นผลในวัฏฏะไง เรามาบวชเป็นพระๆ เป็นนักรบ รบกับใคร รบกับกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของตน ถ้ารบกับกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของตน เราต้องมีสนามรบ

ถ้ามีสนามรบ เห็นไหม ครูบาอาจารย์ของเราท่านพาออก เห็นไหม ออกไปอยู่ในที่สงัดในที่วิเวกไม่คลุกคลีกับใคร การคลุกคลีกับใคร การคลุกคลีกับสังคมเป็นการประมาณเลินเล่อความประมาทเลินเล่อคือว่ามันมีปัญหากับสังคมไง มันมีหน้าที่ความรับผิดชอบไง เพราะหน้าที่ที่รับผิดชอบนี่ เราต้องรับผิดชอบในการสื่อสาร ในมารยาทสังคมไง เห็นไหม ครูบาอาจารย์ของเราท่านถึงออกหลีกเร้นๆ ในที่สงบสงัดๆ เพื่อค้นคว้าหาตนเองให้เจอ ถ้าค้นคว้าหาตัวเองให้เจอ เราจะได้ต่อสู้กับกิเลสของเรา ถ้าในการที่จะได้ต่อสู้กับกิเลสของเรา เห็นไหม ระหว่างสงครามธาตุสงครามขันธ์ สงครามระหว่างกิเลสกับธรรมมันจะได้ไปเกิดขึ้นในใจของเรา

ในใจของเรา เห็นไหม นี่เป็นสัปปายะ สถานที่ที่จะรบจะราฆ่าฟันกันในหัวใจของเรา ถ้าในหัวใจของเรา เราแสวงหาใจของเราเจอ เห็นไหม เราถึงต้องทำความสงบ ถ้าใครทำความสงบของใจได้ๆ ใครมีอำนาจวาสนามันถึงจะเห็นสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริง ถ้าจิตใจของเรามันสงบๆ สงบเพื่อเป็นอนิจจัง สิ่งที่ความสงบเป็นอนิจจัง คือมันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป พอดับไปของมัน เห็นไหม เกิดขึ้นสิ่งที่เหลือไว้ เหลือไว้ก็คือกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เหลือไว้แต่ความต้องการความปรารถนา เหลือไว้แต่สิ่งที่ว่าเป็นสัญญา สัญญาความจำได้หมายรู้

เวลาศึกษาทางโลกคือศึกษาโดยสัญญา สัญญาคือความจำได้หมายรู้ ศึกษาขึ้นมาๆ เป็นทางทฤษฏีๆ มาขวนขวายในการประพฤติปฏิบัติ พอการประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริงๆ ขวนขวายมาด้วยความเพียรด้วยความมุมานะ ด้วยความอุตสาหะ แล้วถ้าจิตมันสงบขึ้นมา เห็นไหม นั่นนะมันมีความสุขของมัน มันมีความพอใจของจิตดวงนั้น จิตดวงนั้นมันมีที่พึ่งที่อาศัย เวลามันเสื่อมไปๆ มันเหลือไว้แต่ความจำ ความจำคือสัญญาไง ถ้าสัญญาอันนั้นก็แรงปรารถนาอยากได้สัญญาอันนั้น มันก็เลยเป็นไฟๆ เผาซ้ำเผาซ้อนเข้ามาในหัวใจของเราไง

ถ้าหัวใจของเรา เห็นไหม มันต้องการทำต่อเนื่องๆ ในการกระทำต่อเนื่อง ทำต่อเนื่องที่ไหน ทำต่อเนื่องก็ค้นคว้าหาใจของตนนี่ไง ถ้าค้นคว้าหาใจของตัวเป็นหน้าที่ของพระ หน้าที่ของสมณะ สมณะนี่สมณะมันเป็นที่ไหน มันเป็นที่ใจไง สมณะมันเป็นที่หัวใจ ถ้าหัวใจเป็นสมณะแล้ว เห็นไหม มันสุขมันสงบในหัวใจดวงนั้น ถ้าหัวใจดวงนั้นในความเป็นอยู่ก็มนุษย์นี่แหละ

นี่พระก็มาจากสังคม ในสังคมที่เห็นภัยในวัฏสงสารก็มาบวชเป็นพระ พอบวชเป็นพระขึ้นมาแล้วนี่ก็หน้าที่การงานของพระๆ นี่ไง หน้าที่การงานของพระนะมีข้อวัตรปฏิบัติ เวลามีข้อวัตรปฏิบัตินี่มันเป็นวัฒนธรรม มันเป็นสิ่งที่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านวางไว้นะ ท่านวางไว้นะไม่งั้นต่างคนต่างคิด ต่างคนต่างจินตนาการ ต่างคนต่างกระทำ ถ้าต่างคนต่างกระทำมันก็เป็นกลุ่มเป็นก้อนขึ้นมา เห็นไหม นี่ในแนวทางปฏิบัติๆ

แต่ครูบาอาจารย์ของเราท่านวางไว้ วางไว้ตั้งแต่เริ่มต้น ตั้งแต่เบสิก ตั้งแต่พื้นฐาน พื้นฐานของเรานี่ให้มีข้อวัตรปฏิบัติ ถ้ามีข้อวัตร เห็นไหม เวลาหลวงปู่มั่นท่านพูดไงให้มีข้อวัตรปฏิบัติติดหัวใจมันไป ถ้ามีข้อวัตรปฏิบัติมันมีเวล่ำเวลา เวลาที่เราถึงข้อวัตรของเรา เราต้องทำของเรา เห็นไหม มันไม่เร่ร่อนไง มันไม่เร่ร่อนมันเป็นเครื่องอยู่นะ แต่ถ้ามันไม่มีข้อวัตรปฏิบัติ ไม่มีสิ่งใด ไม่มีศีล ไม่มีสมาธิ ไม่มีปัญญา ไว้เป็นเครื่องอยู่เลยแล้วจิตมันอยู่ไหน

นี่ที่เราจะแสวงหามันๆ เรายังไม่มีความสามารถที่จะแสวงหามันเจอ ไม่มีความสามารถแสวงหามันเจอ มันก็สามัญสำนึกไง สามัญสำนึกของคน สามัญสำนึกของสิ่งที่มีชีวิต ถ้าสามัญสำนึกของสิ่งที่มีชีวิตมันส่งออกมันยึด มันยึดมั่นถือมั่น ถ้ามันยึดมั่นถือมั่นมันก็ยึดมั่นถือมั่นแต่ฟืนแต่ไฟทั้งนั้นน่ะ ถ้ามันไปยึดมั่นถือมั่นแต่ฟืนแต่ไฟ เห็นไหม บวชมาเป็นพระๆ อยากจะมีคุณธรรมในใจ ก็คิดจินตนาการกันไปก็เลยไปคว้าฟืนคว้าไฟ เมื่อไม่ได้สมความปรารถนาแล้วก็ชกอกชกตัว ตีอกชกตัวว่าฉันทำไม่ได้ ฉันไม่มีอำนาจวาสนา ก็ตีอกชกตัวไป

ก็มันไม่มีเหตุมีผลแล้วมันจะเอาอะไรมาได้ล่ะ มันไม่มีเหตุมีผล ไม่มีการกระทำขึ้นมา แล้วมันจะเอาอะไรเป็นคุณสมบัติของตนล่ะ ถ้าไม่มีสมบัติของตน ไม่มีอำนาจวาสนา ก็ให้ทำข้อวัตรปฏิบัตินี้ไป ให้อยู่กับข้อวัตรนะ ให้อยู่กับหน้าที่ของเราๆ เห็นไหม ถ้าอยู่กับหน้าที่ของเรา เวลาทำขึ้นไปแล้วนี่ให้อยู่กับหน้าที่ของเรา ถ้าหน้าที่ของเรานะมันเป็นประโยชน์กับเรา

นกมันยังมีรวงมีรังนะ นกน่ะที่มันสร้างรวงสร้างรังของมัน นกน่ะมันบินไปหาเศษไม้หาเศษหญ้ามาทำรังของมัน เวลามันจะผสมพันธุ์ขึ้นมามันต้องหาที่อยู่หาที่อาศัยมันก่อน ถ้าหาที่อยู่ที่อาศัยมันทำรังของมัน พอทำรังของมันก็หาคู่ของมันๆ เห็นไหม นกมันยังมีรวงมีรังไง

นี่ก็เหมือนกัน เราเป็นพระๆ นี่เราเป็นพระ เห็นไหม เป็นพระ นี่ครูบาอาจารย์ท่านวิเวกของท่านไป ไปที่ไหนนะถ้าชาวบ้านเขาศรัทธาทำแคร่ ทำร้าน ทำให้ที่พักอาศัย นี่ก็เหมือนกัน เราเป็นพระมันก็ต้องรวงมีรัง เราก็จะสร้างที่พักที่อาศัยของเรา ถ้าสร้างที่พักที่อาศัยของเรา สร้างขึ้นมาแล้วก็เป็นของสงฆ์ ของสงฆ์ก็เป็นของส่วนกลาง ของส่วนกลางเป็นของศาสนา ของศาสนามันก็มีวินัยแล้ว นี่ของของสงฆ์ ของของส่วนกลางใครเอาไปใช้ ถ้าไม่เอามาเก็บ จากไปโดยที่ไม่ได้บอกลา จากไปโดยที่ไม่ได้สั่งเสียไว้ เห็นไหม เป็นอาบัติปาจิตตีย์ เป็นของของสงฆ์

ถ้าเป็นของบุคคล เห็นไหม ดูสิ พระภิกษุเรามีบริขาร ๘ บริขาร ๘ นี่มันต้องเป็นของส่วนบุคคล เห็นไหม ของเราต้องพินทุอธิฐาน พินทุอธิษฐานก็นี่เป็นสัญลักษณ์ว่าเป็นของของเรา ถ้าเป็นของของเรานะ เราต้องถือครอง ถือครอง เห็นไหม นี่ผ้าครองๆ ถ้าขาดผ้าครองนี่สิ่งนั้นวัตถุนั้นเป็นนิสสัคคีย์ พระองค์นั้นเป็นปาจิตตีย์ ถ้าจะปลงอาบัติได้ต้องเสียสละผ้านั้นก่อน เสียสละผ้านั้นเสร็จแล้วถึงปลงอาบัติ ปลงอาบัติเสร็จแล้วได้รับผ้านั้นคืนกลับมา ก็ต้องพินทุอธิษฐานถึงใช้ได้ ไม่พินทุอธิษฐานใช้ก็เป็นอาบัติปาจิตตีย์อีก

นี่ถ้าเป็นของของสงฆ์ ของของสงฆ์ ของส่วนกลางๆ นะ เอามาใช้ไม่ต้องพินทุอธิษฐานไง ถ้าพินทุอธิษฐาน เวลาจะจากไปไม่ไหว้วานให้ใครเก็บก็ดี ไม่ไหว้วานให้เขาดูแลรักษา เราไม่เก็บเองก็ดี เป็นอาบัติปาจิตตีย์ทั้งนั้นน่ะ นี่เป็นเฉพาะของของสงฆ์ ของส่วนกลางไง ถ้าของกลาง เห็นไหม นกมันยังมีรวงมีรัง พระของเราก็ต้องรวงมีรังมีหน้าที่การงานก็สร้างสิ่งที่พักอาศัย การพักอาศัยก็สร้างขึ้นมาด้วยความเป็นธรรม ไม่ได้สร้างมาเพื่อยึดมั่นถือมั่น สร้างมาแล้วมีปัญหา การสร้างมาแล้วมันมีการโต้แย้ง

การสร้างมา เห็นไหม ดูการก่อสร้าง การก่อสร้างถ้ามันสร้างมาขึ้นมาโดยกิเลสตัณหาความทะยานอยากด้วยการแข่งขัน ด้วยการเอาชนะคะคานกัน มันทำทำไมน่ะ ทำไปทำไม ทำไปให้กิเลสมันอ้วนๆ ใช่ไหม ทำให้กิเลสทิฏฐิมานะมันสุมหัวใช่ไหม เขาทำขึ้นมาทำขึ้นมาเป็นที่พักอาศัย คนถ้ามีสติมีปัญญา เห็นไหม นกมันยังมีรวงมีรัง เวลามันผสมพันธุ์ มันไข่ มันฟักของมัน พอลูกมันโตก็ต่างคนต่างจากไป นี่รวงรังมันก็ยังทิ้งเลย

ไอ้นี่ก็เหมือนกันของของสงฆ์ๆ น่ะ มันเป็นของใคร มันก็เป็นของของสงฆ์ไง เราก็มาพักมาอาศัยกันไง ถ้าเรามาพักอาศัยชั่วคราว แต่มันเป็นของของสงฆ์ๆ เราจะเลินเล่อ เราจะไม่ดูแลรักษาไม่ได้ ถ้าเราจะดูแลรักษา เห็นไหม พอรักษาไว้นี่ เวลาเราจากนี้ไปคนอื่นเขาก็ยังมาอาศัยต่อ นี่รังนี่ก็เหมือนกันมันก็มีนกคู่ใหม่จะมาผสมพันธุ์กัน จะมาฟักไข่ต่อไปข้างหน้า นี่ก็เหมือนกันที่พักที่อาศัยเราก็มาพักอาศัยแล้วเราก็พยายามจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เห็นไหม นกน่ะมันฟักไข่ๆ เพื่อเอาลูกมันสืบพันธุ์กันไป

นี่มันศาสนทายาทๆ ผู้ที่มาอยู่อาศัย ใครมาอยู่อาศัยได้ เห็นไหม ใครอยู่อาศัยแล้วสร้างคุณธรรมขึ้นมา ใครทำสมาธิ ใครเกิดปัญญาขึ้นมา นี่ผู้ที่เขาบริจาคสิ่งที่สร้างขึ้นมาเป็นรวงเป็นรังขึ้นมาให้ภิกษุผู้ภิกขาจาร ภิกษุผู้ที่เห็นภัยในวัฏสงสาร ภิกษุนั้นมาอาศัยเรือนรังอันนั้น ถ้าอาศัยเรือนรังอันนั้นแล้วได้พยายามประพฤติปฏิบัติขึ้นมาด้วยสติด้วยปัญญาของตน ได้สร้างปัญญาของตน จิตใจนั้นได้ติดศีลติดสมาธิมีปัญญาขึ้นมา มันก็เป็นประโยชน์กับใจดวงนั้นไง

คนที่เขาเสียสละมาๆ เขาหวังบุญหวังกุศล ผู้ที่ไม่มีเหย้ามีเรือนต้องดูแลรักษา การรักษาของเราก็รักษาไว้เป็นสมบัติสาธารณะสมบัติของสงฆ์ ถ้าสมบัติของสงฆ์ก็ช่วยกันดูแล ดูแล เห็นไหม เราทำ ถ้าทำเป็นธรรมมันก็เป็นธรรมอย่างนี้ แต่ที่โดยกิเลส กิเลสทำไปแล้วมันมีปัญหาไปทั้งนั้น โดยกิเลส กิเลสของตนจะทำอย่างนั้นๆ นี่ทำไปเพื่ออะไร ดูนกสิ มันไปบินมา มันไปเก็บหญ้ามา ไปเก็บเศษไม้มา มันมาสานจนเป็นรวงเป็นรังของมันขึ้นมา เป็นรวงเป็นรังที่อาศัยนั้น มันเป็นนก มันเป็นสัตว์

เวลาทางวิทยาศาสตร์เขาชื่นชมมาก มนุษย์นี่สมองใหญ่ที่สุด นี่ในบรรดาสัตว์โลก เห็นไหม มนุษย์นี่มีอำนาจมากที่สุด สัตว์มันกลัวมาก กลัวมนุษย์เพราะมนุษย์มีสมอง มีสมองขึ้นมานี่มีเล่ห์มีกล เห็นไหม ดักจับสัตว์มาเป็นอาหารได้ทั้งหมดน่ะ

ถ้ามนุษย์มีสมอง ดูสัตว์สิ เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “มนุษย์โง่กว่าสัตว์” สัตว์มันยังมีอิสรภาพไง ถึงเวลามันก็บินของมันไป มันบินของมันไป เห็นไหม มันโดยธรรมชาติของมันไง มันมีอิสระของมัน ในการรักษาชีวิตของมัน เห็นไหม นก สัตว์ป่ามันอยู่ด้วยคุณสมบัติของมัน เอาจับสัตว์มากักมาเลี้ยงนี่ ภิกษุกักขังสัตว์เป็นอาบัติทุกกฏ เป็นอาบัติทั้งนั้น สิทธิเสรีภาพของเขา เห็นไหม มนุษย์โง่กว่าสัตว์ สัตว์มันยังมีอิสรภาพของเราไง

นี่ก็เหมือนกัน เวลาทำสิ่งใดขึ้นมานี่ของฉันๆ มนุษย์ด้วยว่ามีสมองไง มีสมองด้วยการสร้างบาปสร้างกรรม มีสมองโดยเอารัดเอาเปรียบเขา แต่ไม่มีสมองเพื่อละกิเลส ไม่มีสมองเพื่อจะต่อสู้กับกิเลสของตนไง มนุษย์เห็นภัยในวัฏสงสาร มาบวชเป็นพระๆ พระเป็นนักรบ เวลารบกับกิเลสไม่เห็นกิเลสๆ เวลาสิ่งก่อสร้างข้อวัตรปฏิบัติต่างๆ ทำด้วยทิฏฐิมานะๆ เอาชนะคะคานกัน ด้วยเล่ห์ด้วยเหลี่ยมด้วยเล่ห์ด้วยกล นี่ไอ้นั่นนะมันสร้างกิเลสทั้งนั้น

เขามาละ เขาไม่ให้มาเพิ่ม ถ้ามาละ เห็นไหม มันมีน้ำใจ ทำสิ่งใดก็ทำเพื่อส่วนรวม ทำสิ่งใดก็ทำเพื่อสงฆ์ เราอยู่อาศัย เวลาเราจากไปแล้วคนอื่นก็อาศัยต่อ นี่สิ่งใด เห็นไหม เราอยู่กับครูบาอาจารย์นะ นี่จะดูแลรักษานะ จะซ่อมแซม ใครได้ทำนะ นี่รักษาของของสงฆ์ มันมีอานิสงส์ทั้งนั้น

ถ้ามันมีอานิสงส์ เห็นไหม “กลิ่นของศีลกลิ่นของธรรม มันหอมทวนลมไง” กลิ่นของผู้ที่ดูแล ผู้ที่รักษา แล้วคนที่มาพึ่งมาอาศัย เห็นไหม นี่เราธุดงค์ไปสิ ไปเจอเรือนว่าง ไปเจอบ้านร้าง ไปเจอแคร่อย่างนี้ เราไปพักไปอาศัย กับที่เรามาแล้วไม่มีที่พักที่อาศัยเลยนี่มันจะเป็นยังไง เราก็นอนกับพื้นไง หาใบไม้ ปูผ้ายาง แล้วเราหาที่แขวนกลดในป่าในเขา ไปที่ไหนเราก็หาที่หลบ หาที่พอพักอาศัย แต่ถ้าไปแล้วมันมีแคร่ มันที่พักอาศัย “ใครทำไว้ให้ ใครทำไว้ให้” นี่บุญกุศลของคนคนนั้น

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่ทำขึ้น ทำขึ้นมาทำขึ้นมาเพื่อสาธารณะ แล้วเพื่อสาธารณะ มันเป็นธรรมๆ ไง เป็นธรรมขึ้นมา เห็นไหม ดูสิ ธรรมทายาท เวลาเขาเป็นธรรมทายาทขึ้นมา เขาเป็นที่ไหน เขาเป็นที่ใจของเขา ถ้าเขาเป็นที่ใจของเขานี่ เพราะเขามีศีล เขามีสมาธิ เขามีปัญญา เขามีการกระทำของเขา ถ้าว่าเขามีการกระทำของเขา ผลบุญอันนั้น อริยทรัพย์อันนั้นอยู่ในใจของเขา แต่การกระทำพฤติกรรมของเขาที่ทำไว้นะมันทิ้งไว้กับศาสนาไง

ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว ครูบาอาจารย์ของเราท่านนิพพานไปแล้ว แล้วท่านทำสิ่งใดไว้ๆ ท่านทำสิ่งใดไว้นี่ก็ให้ไอ้พวกที่มีกิเลสอย่างพวกเรานี่ ไอ้พวกที่ยังขวนขวาย ไอ้พวกที่หาทางออกอยู่นี่ ถ้าหาทางออกอยู่นี่สิ่งที่พึ่งที่อาศัย อาศัยดำรงชีวิต ดำรงชีวิตไว้ทำไม ก็ดำรงชีวิตไว้เพื่อค้นคว้าหาสัจธรรมในใจของเรานี้ไง ถ้าค้นคว้าหาสัจธรรมในใจของเรา นี่ธรรมเป็นใหญ่ๆ ถ้าธรรมเป็นใหญ่นะ สิ่งต่างๆ ปัจจัยเครื่องอาศัย สิ่งที่เราอาศัยมันน่ะเป็นของเล็กน้อย

นี่ครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัตินะ ขอให้มีก้อนข้าวตกบาตรเท่านั้นนะ กินข้าวเปล่าๆ มันไม่ง่วงนอน กินข้าวเปล่าๆ ภาวนานี่แจ่มแจ้งชัดเจนเลยน่ะ ขอให้มีข้าวเปล่าๆ ดำรงชีพเท่านั้น สิ่งใดน้ำท่าไม่มีที่อัตคัดขาดแคลน แต่ถ้ามันภาวนาดี แหม มันทนอยู่นะ แต่ที่ไหน เห็นไหม เราหากันที่ไหน หาชายทะเล หาถ้ำหรือชายทะเล อากาศปลอดโปร่ง นี่ไว้กินซีฟู้ด เช้าขึ้นมาได้กินกุ้งกินปลา

ไอ้นั่นเขาไปปิกนิก เขาไม่ได้ไปภาวนา คนที่เขาไปเที่ยวทางโลกนั่นเป็นธุรกิจของเขา แต่พระถ้าไปอยู่ที่นั่น พออยู่ที่นั่น เห็นไหม ที่ไหนที่มันเป็นที่คลุกคลี ที่ไหนเป็นที่คนเพ่นพ่าน ในวิสุทธิมรรค ท่าน้ำก็ไม่ควรไป แม้แต่ต้นไม้ที่มีผล ต้นไม้ที่มีผล เห็นไหม ยังไม่ควรไปเลย เพราะต้นไม้ที่มีผลนั่งสมาธิอยู่มันจะเข้าด้ายเข้าเข็มมาแล้ว เขามาเก็บผลไม้ เขามากระทบกระเทือนเราแล้ว เราไปเสี่ยงทำไม เวลานั่งสมาธิกว่ามันจะเป็นสมาธิได้ เวลาเราปฏิบัติปัญญากว่ามันจะก้าวเดินได้ แล้วเราต้องมาเสี่ยงภัยกับให้คนเขามาเหยียบย่ำ ไม่มีหรอก! ครูบาอาจารย์ท่านไม่ทำอย่างนั้น ท่านไม่ทำอย่างนั้น เห็นไหม

แล้วนกมันยังมีรวงมีรัง มันมีรวงมีรังเพราะธรรมชาติของมัน ธรรมชาติของมันมันต้องแสวงหาของมัน ด้วยความเป็นอยู่ของเขา นี่สัญชาตญาณของสัตว์ ทีนี้เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เห็นไหม แต่เดิมมนุษย์ก็ใช้สัญชาตญาณดำรงชีพมา แต่เพราะมนุษย์มีสมอง มนุษย์นี้พัฒนาขึ้นมา คุณภาพชีวิตๆ แล้วคุณภาพชีวิต นั่นเป็นคุณภาพชีวิต

แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บาลีมันตายตัวอยู่อย่างนั้นนะ บาลี เห็นไหม ภาษาที่ตายแล้ว นี่ก็เหมือนกัน บัญญัติไว้แล้วๆ โลกจะเจริญไปไหนมันเรื่องของโลก แล้วหัวใจของคนมันเจริญไหมล่ะ โลกมันเจริญไปแล้วแต่คนมันมีแต่ความทุกข์ความยาก ไอ้ของเรานี่เราเกิดมากับโลกๆ นะ ไม่ปฏิเสธหรอก เราไม่ปฏิเสธ แต่เราปฏิเสธกิเลสไง เราปฏิเสธความอหังการในหัวใจนี้ไง ในหัวใจที่มันอหังการที่มันเห็นว่ามนุษย์มีสมองนี่ แล้วมนุษย์มีปัญญานี่ ปัญญาของใคร ปัญญาที่กิเลสเอามาใช้ทั้งนั้นเลย

แล้วกิเลสนี่ จิตนี้มีกิเลสศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วก็พลิกแพลง แต่เดิมนะ แต่เดิม เห็นไหม นี่บริขาร ๘ เราก็มีกลดๆ มีผ้ายางเท่านั้นน่ะ ตอนนี้มีเต็นท์แล้ว ไอ้ถุงบาตรไม่มีแล้ว มันกระเป๋าเลื่อนน่ะ นี่ธุดงค์กรรมฐานน่ะ ธุดงค์จรวดน่ะ แล้วก็ภูมิใจนะ แต่ครูบาอาจารย์ท่านเศร้า ท่านเศร้ามากนะ โลกเป็นใหญ่กว่าธรรมเป็นใหญ่ไง

ถ้าธรรมเป็นใหญ่เราจะเคารพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบัญญัติไว้ เราจะไม่ก้าวล่วง โลกนี่เราไม่สาธุโลกเป็นใหญ่ แล้วสาธุโลกเป็นใหญ่ๆ แล้วก็ว่าความสะดวกความสบาย การภาวนาเดี๋ยวนี่มันสูตรสำเร็จๆ ก็สูตรสำเร็จนี้ไง หยำเปกันอยู่นี่ เพราะสูตรสำเร็จทั้งนั้นน่ะ

แต่ครูบาอาจารย์ของเรา เห็นไหม ท่านทุกข์ท่านยากมาทั้งนั้นนะ ท่านทำขึ้นมาด้วยปัญญาของท่านนะ ปัญญาของท่านเพราะอะไร ปัญญาของท่านเพราะมันไม่มีไง สมัยก่อนหน้านั้น ไอ้พวกโลกยังไม่เจริญขนาดนี้ สิ่งใดนี้หาได้ยากทั้งนั้นน่ะ ดูสิ ที่ว่าเราครองผ้าๆ กันนี่บริขาร ๘ ๆ เพราะอะไร เพราะสมัยโบราณเรื่องยิ่งผ้ายิ่งหายากกว่านี้ไง นี่ ๒,๐๐๐ กว่าปีมาแล้วๆ สิ่งที่ได้มา เห็นไหม ผ้ากาสีพระห้ามใช้น่ะ ผ้าบังสุกุลมี ๕ ชนิด ป่าน ฝ้าย ไหม ขนสัตว์ระคนกัน ผ้าผสมยางผ้าไนล่อนผสมยางทั้งนั้นนะ แล้วอธิษฐานขึ้นไม่ขึ้น คำว่า “อธิฐานขึ้นไม่ขึ้น” ผ้าผสมยางอธิษฐานไม่ขึ้น ถ้าอธิษฐานไม่ขึ้นก็ไม่ได้ห่มผ้าไง ถ้าอธิษฐานขึ้นก็เป็นผ้าของเราไง ถ้าผ้าของเรานี่ถึงจะห่มอธิษฐานขึ้นก็ห่มผ้านั้นได้ไง ถ้าอธิษฐานไม่ขึ้นห่มผ้านั้นเป็นอาบัติตลอด

ถ้าเป็นอาบัติไปตลอด เห็นไหม เวลาภาวนาเกือบเป็นเกือบตาย สิ่งใดก็แล้วแต่ เวลาอดนอนผ่อนอาหารเพื่ออะไร เวลาอดนอนผ่อนอาหารน่ะ กินอิ่มนอนอุ่นแล้วกิเลสตัวอ้วนๆ แล้วเราจะบั่นทอนกิเลส เห็นไหม เวลาบั่นทอนกิเลสนะ ท้องนี่ร้องจ๊อกๆ เลย แต่ถ้าภาวนามันดี ถ้าภาวนามันใช้ได้ ภาวนามันพอรักษาตัวได้ พอรักษาตัวได้ไง ไม่ใช่เน่าใน ข้างในเน่าไว้นี่ เน่าไปหมดเลยแล้วก็ห่มผ้าโชว์เขา ถ้ามันไม่เน่าใน เห็นไหม เราไม่ให้เน่าในไง ถ้าไม่เน่าในอดนอนผ่อนอาหารมันภูมิใจที่จะทำ ถ้ามันภูมิใจที่จะทำนี่ ทำเพื่ออะไร เวลาอดนอนผ่อนอาหารมันมีความสุขมาจากไหน แต่ถ้าจิตมันสงบแล้วมันมีความสุข ถ้าจิตมันทำของมันได้มันภูมิใจของมันไง สิ่งที่ใครทำได้ สิ่งที่ใครทำแล้วเป็นสมบัติของเรานะ เราภูมิใจทั้งนั้นน่ะ

สิ่งใดที่ทำได้ เห็นไหม ดูสิ สถิติโลกๆ อยากจะแข่งขันกันอยู่นี่ อยากจะมีสถิติโลก แข่งขันกันทั้งนั้นนะ แข่งขันมาเพื่ออะไร แข่งขันขึ้นมาเพื่อให้เขายกย่องสรรเสริญไง นี่โลกธรรม ๘ โมฆบุรุษตายเพราะลาภ อยากมีชื่อเสียงอยากให้คนนับหน้าถือตา ตายหมดเลย ไม่เหลือ ตายเกลี้ยงเลย

ครูบาอาจารย์ของเราอยู่ในป่าในเขา ใครจะรู้จักไม่รู้จักนี่มันเป็นกรรมของสัตว์ กรรมของสัตว์ แต่สัตว์ตัวทุกข์ตัวทุกข์ยากอยู่นี่ กำลังขวนขวายอยู่นี่ สัตว์ตัวนี้เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เขาหลงใหลกันทางโลก เขาหลงใหลกับความรื่นรมย์ทางโลก เห็นไหม เราวาง เราเสียสละได้ เราเสียสละของเรา เห็นไหม กลับมาเป็นนักพรต นักบวช ถือพรหมจรรย์ ถ้าถือพรหมจรรย์นั่นนะ ศีลในศีล ถือพรหมจรรย์แล้วยังมาถือธุดงควัตรๆ แล้วเราจะไล่ต้อนกิเลสให้เข้าสู่มุมอับ ถ้าไล่ต้อนกิเลสเข้าสู่มุมอับ เราจะมีโอกาสได้เห็นหน้ามัน

ถ้าเรามีโอกาสได้เห็นหน้ามันนะ มันเกี่ยวอะไรกับชื่อเสียง มันเกี่ยวอะไรกับกิตติศัพท์กิตติคุณ มันเกี่ยวกับความเพียรของเราต่างหาก มันเกี่ยวกับความวิริยะอุตสาหะของเราไง ถ้ามันเป็นความวิริยะความอุตสาหะของเรา เห็นไหม ผู้ใดปฏิบัติสมควรแก่ธรรม ผู้ที่ทำงานแล้วประสบมีผลงานอันนั้น ถ้ามีผลงานอันนั้นนะ นี่หลวงตาเวลาท่านพ้นกิเลส เห็นไหม กราบแล้วกราบเล่าๆ ผลงานไง ผลงานในใจนะ “พระพุทธเจ้ารู้ได้ยังไง พระพุทธเจ้ารู้ได้ยังไง” ไอ้ของเรานี่ไม่รู้ห่าอะไรเลย อวดรู้

เวลาหลวงตาท่านสิ้นกิเลส ถ้าสิ้นกิเลสมันหมดกิเลส พอหมดกิเลสขึ้นไปมันมหัศจรรย์กับความรู้ของตน มันมหัศจรรย์กับหัวใจดวงนี้ มันมหัศจรรย์มากๆ ความมหัศจรรย์อย่างนี้ โดยสัตว์ทั่วไปแล้วใครมันจะทำได้ แต่ แต่ท่านทำได้แล้ว ท่านทำได้แล้ว ทำได้แล้วมันมาจากไหน มันมาจากพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มันมาจากพระพุทธก็องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันมาจากพระธรรมคือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมนั้น มันมาจากพระสงฆ์คือหลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่นท่านพยายามขวนขวายของท่าน ท่านทำของท่านประสบความสำเร็จของท่านอยู่แล้ว หลวงตาท่านอยู่กับหลวงปู่มั่น เห็นไหม เวลาหลวงปู่มั่นท่านโขกท่านสับๆ ก็เข้ามาเพื่อจุดนี้ไง

แต่เวลาอยู่กับท่าน ท่านบอกเลยว่า “ท่านเป็นพระองค์หนึ่งที่ได้โต้แย้งกับหลวงปู่มั่นไว้เยอะมาก” เยอะมากเพราะอะไร เพราะความสับสน เพราะสิ่งที่ประสบในใจ สิ่งที่ประสบในใจมันเป็นสมบัติของตน สมบัติของตนท่านเรียนเป็นมหา เวลาท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นไปนี่ทางวิชาการท่านก็มีทางวิชาการรองรับ แต่เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นไปนี่ด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันบิดเบือนของมัน มันไปรู้ไปเห็นสิ่งใดขึ้นไปนี่ท่านก็โต้แย้งๆ เพราะท่านมีท่านได้รู้ได้เห็นไง

มันโต้แย้งเพราะเราเห็น มันโต้แย้งเพราะเรารู้ เรารู้ได้ด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันยังไม่สะอาดบริสุทธิ์ มันยังไม่เป็นความจริง ก็โต้แย้งๆ ด้วยทางวิชาการ ด้วย การศึกษามาที่เป็นพื้นฐาน แล้วการประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เห็นไหม ก็โต้แย้ง ท่านพูดเองว่า “ท่านเป็นพระองค์หนึ่งที่ได้โต้แย้งได้ต่อกรกับหลวงปู่มั่นมามาก” แต่ แต่ไม่ได้โต้แย้งด้วยทิฏฐิมานะ ไม่ได้โต้แย้งด้วยการเอาชนะคะคาน แต่โต้แย้งเพราะกิเลสของเรา โต้แย้งเพราะเราเห็น โต้แย้งเพราะจิตมันเป็น โต้แย้งเพราะจิตมันเข้าไปประพฤติปฏิบัติแล้วมันรู้เห็นอย่างนั้น ก็เลยเอาความรู้เห็นอันนั้นโต้แย้งเพราะเป็นสมบัติของท่าน

แต่หลวงปู่มั่นท่านนิพพานไปแล้ว ท่านก็ต้องขวนขวายของท่านเองๆ เวลาไปทำถึงที่สุดแห่งทุกข์ของท่าน เห็นไหม กราบแล้วกราบเล่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้ได้ยังไง ความว่ารู้ได้ยังไง เพราะความรู้อันนี้มันมหัศจรรย์ ความรู้อันนี้มันละเอียดลึกซึ้ง ความรู้อันนี้มันแปลกประหลาด รู้ได้ยังไงๆ นี่ระลึกถึง เห็นไหม แต่ท่านก็รู้ เวลาทำขึ้นมาเป็นจริงๆ ขึ้นมามันเป็นจริงของมันอย่างนั้นนะ ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมาๆ เห็นไหม เป็นสมบัติในใจดวงนั้นไง ผู้ใดที่ประพฤติปฏิบัติมันจะมีองค์ความรู้ มันจะมีผลงาน มันจะมีภูมิ มันจะมีสัจจะความจริงในใจ

ถ้ามันมีสัจจะความจริงในใจ เนี่ยของจริง ของจริงมันเป็นแบบนี้ แล้วถ้ามันเป็นแบบนี้ เห็นไหม ดูสิ เวลาครูบาอาจารย์ที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมานี่ ท่านจะเห็นเลยว่ามันมาอย่างไร มันมาจากพื้นฐานไง มันมาจากศีล ถ้าศีลมันปรกติขึ้นมา ถ้ามันทำสมาธิขึ้นมามันก็เป็นสัมมาสมาธิ ถ้ามันทุศีล มันก็เป็นทิฏฐิมานะ มันเป็นความอหังการในใจ มันไม่ใช่สมาธิๆ เพราะอะไร มันทุศีล

แต่ถ้าว่ามันเป็นศีลๆ ขึ้นมา แล้วเวลามันทำขึ้นมาแล้วนี่มันจะเข้าสู่สัจธรรม มันจะเป็นสมาธิ ถ้ามันเป็นสมาธิขึ้นมาแล้วนี่ ถ้ามันมีกิเลสโต้แย้งอยู่ก็เป็นมิจฉาสมาธิ สมาธิเป็นสมาธิอยู่ แต่มันเป็นมิจฉาเพราะมันไม่ก้าวหน้า มันไม่ก้าวเดินขึ้นไป แต่ถ้ามันมีสติมีปัญญาขึ้นไปนะ มันก็เป็นสัมมาสมาธิเพราะว่าเป็นสมาธิแล้วมันจะยกขึ้นสู่การวิปัสสนา เป็นสมาธิแล้วมันยกขึ้นสู่ปัญญา ถ้ามีปัญญาขึ้นมา มันพิจารณาของมันขึ้นไป มันเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป

นี่ไง ถ้าครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติมาแล้ว ปฏิบัติมาแล้วท่านจะเห็นถึงพื้นฐานเลย ถ้าพื้นฐานท่านมาอย่างนั้น ถ้าพื้นฐานมาอย่างนั้นก็เหมือนกับเรานี่ๆ เห็นไหม ดูสิ ที่เรามีข้อวัตรปฏิบัติของเรา เรามีแนวทางปฏิบัติของเรา เราไม่เด้นด้าน เราไม่ให้จิตของเรามันไปไขว่คว้าไปยึดมั่นสิ่งใดทั้งสิ้น การยึดมั่นสิ่งใดว่าเป็นสมบัติของตนๆ กิเลสทั้งนั้นนะ กิเลสมันพาไป ส่งออก พุทโธๆๆ นี่พุทโธเพื่อให้อยู่กับพุทธะ พออยู่กับพุทธานุสสติๆ พุทธะแล้วก็สติ ไม่ส่งออกไปข้างนอก ส่งออกมา จิตส่งออกมาแค่พุทโธ จิตถ้าไม่มีพุทโธกั้นไว้มันไปไกล ถ้ามันมีพุทโธ เห็นไหม ระลึกไว้ที่พุทโธๆ เห็นไหม ถ้าพุทโธจนละเอียดลึกซึ้งเข้ามาๆ มันจะเป็นสมบัติของจิตดวงนั้นไง แล้วจิตดวงนั้นมันจะเห็นคุณค่า ครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมาจนถึงที่สุดแห่งทุกข์ ท่านเห็นไง “องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้ได้ยังไงๆ”

แล้วเราล่ะ เรารู้ได้อย่างไร เรารู้ได้ก็หลวงปู่มั่นโขกสับมาไง หลวงปู่มั่นท่านทั้งโขกทั้งสับขึ้นมานี่ ให้จิตมันไม่ส่งออกไปไกลไง สิ่งที่ศึกษามาๆ ก็ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่ของเรา ถ้าของเราขึ้นมานี่ ถ้ามันเกิดเป็นศีล สมาธิ ปัญญาขึ้นมา เกิดจากการกระทำขึ้นมา เห็นไหม ถ้ามันเป็นขึ้นมามันเป็นของเรา ถ้าเป็นของเราขึ้นมานี่ เราจะก้าวหน้าอย่างไร ถ้าก้าวหน้าขึ้นไปนี่มันจะมีปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญามันก็เป็นมรรค เวลาเป็นมรรคขึ้นมา มันธรรมจักรที่ว่าปัญญามันหมุนมันหมุนอย่างไร ถ้ามันหมุนไปนี่ ศาสนาไหนไม่มีมรรคศาสนานั้นไม่มีผล ศาสนานั้นไม่มีการกระทำขึ้นมาเป็นความจริง เห็นไหม มันมีแต่ความจำทั้งนั้นน่ะ เวลาความจำขึ้นมานะ ทฤษฏีมันเยอะแยะไปหมด เห็นไหม ไปจำสิ่งนั้นมา จำว่าเป็นสมบัติของเราๆ นั้นมันเป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

แต่เราปฏิบัติขึ้นมานี่ความจำก็เป็นอันหนึ่ง เวลาความจริงมันเกิดขึ้นมา ความจำนี่ล้มระเนระนาดเลย อยู่ไม่ได้ ความจำมันก็เป็นความจำเนาะ แต่ความจริงมันเกิดขึ้นมาจากฐีติจิตเลย ความจริงมันเกิดมาจิตที่มันปฏิบัติ เหมือนคนทำงานเป็นกับคนทำงานไม่เป็น คนทำงานไม่เป็นแต่ขี้โม้ คนทำไม่เป็นนะจำตำรามาเยอะ เถียงนี่เก่งมาก แต่ทำงานไม่เป็น คนทำงานเป็นจะพูดได้คล่องแคล่วว่องไว ฉะนั้นก็เป็นวาสนา คนทำงานเป็นแต่พูดไม่ถนัดแต่งานกูเป็นน่ะ พูดไม่ถนัดนะแต่งานเสร็จหมด ส่งมาเถอะงานนี่เรียบร้อยหมด แต่อธิบายได้ยากเพราะว่าอำนาจวาสนามีเท่านั้น นี่ไง แต่ถ้าไม่เป็นเลยล่ะ ไม่เป็นเลยนั่นก็สัญญาทั้งนั้นนะ

นี่ถ้าเราทำเราทำอย่างนั้น เวลาว่าพูดถึงนกมันยังสร้างรวงสร้างรังของมันนะ นกมันยังต้องสร้างรวงสร้างโดยธรรมชาติของสัตว์ มันต้องมีที่พึ่งที่อาศัยที่อยู่ที่อาศัยของมัน นี่เราเป็นคนๆ แล้วมีอำนาจวาสนาแล้วมาบวชเป็นพระๆ เป็นผู้ทรงศีลๆ นะ พระต้องมีศีล ๒๒๗ ขึ้นไป ถ้าผู้ทรงศีลขึ้นมาแล้ว เห็นไหม มีศีล ศีลมันคืออะไรล่ะ ศีลคือความปรกติของใจ ศีลคือไม่กะล่อนไง ศีลคือไม่กะล่อน สิ่งที่กะล่อนนั้นไม่ใช่ศีล มันทุศีล ศีลที่ไม่กะล่อนขึ้นมานี่ มีศีล ถ้ามีศีลขึ้นมาพยายามฝึกหัดของเราขึ้นมา ถ้าฝึกหัดขึ้นมา เห็นไหม สิ่งที่ทำขึ้นมามันก็เป็นสมบัติของเราๆ ถ้าเป็นสมบัติของเรานะ ธรรมพระปฏิบัติ เวลาปฏิบัติมันก็ต้องมีพื้นฐานขึ้นมา เวลาพื้นฐานขึ้นมาทำขึ้นมาให้เป็นจริงในใจของเรา นี่ฟังธรรม ธรรมอย่างนี้มันเป็นธรรมตามข้อเท็จจริง

ในการศึกษาๆ นั้น นักธรรมตรี นักธรรมโท นักธรรมเอก นี่บาลี เห็นไหม จะประโยคไหนก็แล้วแต่ นั่นก็ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาว่าเป็นปัญญานั้นเป็นปัญญาทางการศึกษา ศึกษามานี่เขาศึกษามาให้เพื่อปฏิบัติ ถ้าเราศึกษาให้มาเพื่อปฏิบัติ เรามีกรรมฐานขึ้นมานี่เราศึกษามาจากอุปัชฌาย์ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ผม ขน เล็บ ฟัน หนังที่มันห่อหุ้มร่างกายนี้ไว้ แต่ไม่เห็นจิตใจ นี่มาบวชเป็นพระป่าๆ ขึ้นมาก็ค้นคว้าหาใจของตนให้เจอ เวลาหลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่น ลูกศิษย์ลูกหาท่านจะถามว่า “จิตเป็นยังไง จิตเป็นยังไง” ท่านถามแต่เรื่องจิตนะ ท่านไม่ได้ถามว่าเปิดตำราเล่มไหน ท่านไม่เคยถาม ท่านถามว่าจิตเป็นยังไง ถ้าจิตมันดีๆ จิตมันดีเพราะอะไร ไม่ใช่ดีเพราะนอนหลับอยู่ใช่ไหม จิตมันหลับ จิตมันนอนหลับอยู่นี่กิเลสมันยังไม่ตื่น มันก็ยังดีนะสิ เดี๋ยวกิเลสตื่นขึ้นมามันจะตายน่ะ

ถ้ามันเป็นจริงขึ้นมามันก็ต้องมีสติปัญญา ถ้ามีสติปัญญา เห็นไหม การทำสิ่งใดทำด้วยปัญญาๆ ถ้าจิตมันมีปัญญาขึ้นมาแม้แต่เรื่องภายนอกมันก็มีปัญญาทำให้มันเรียบร้อยได้ เห็นไหม นกมันยังมีรวงมีรัง เราเป็นพระ เราเป็นพระเราก็มีศีลมีธรรมๆ สิ่งใดที่มันเป็นสิ่งที่สาธารณะจะทำสิ่งใดนี่เราแบ่งปันกัน สิ่งที่แบ่งกัน เห็นไหม นั่นนะเป็นธรรม ดูสิ เวลาภัตตาหาร เวลาถวายสงฆ์ๆ นะ เวลาทำอุปโลกน์ เห็นไหม ตั้งแต่เถระลงมา ตั้งแต่ภิกษุลงมา ตั้งแต่สามเณร ตั้งแต่คฤหัสถ์ แม้แต่อุปโลกน์อาหารเขายังแบ่งปันกันตั้งแต่พระเถระลงไปถึงสามเณรถึงคฤหัสถ์นู่นแน่ะ นี่ไงเขาแบ่งปันกัน จิตที่เป็นธรรมๆ เขาจะแบ่งปันกัน เว้นไว้แต่จิตมันเป็นกิเลสไง ของกูๆ เขาให้กูคนเดียว ของกู ไอ้พวกนั้นก็กินลมไปสิ กินลมไป เออ เป็นลูกศิษย์ลูกหาก็กินลมไปไง นี่ไง แม้แต่ภัตตาหารเขายังแบ่งปันกันเลย

นี่ก็เหมือนกันของที่เราเป็นอยู่ร่วมกัน ของอยู่ด้วยกัน เขาแบ่งปันด้วยน้ำใจ ด้วยหัวใจที่เป็นสาธารณะ หัวใจที่เป็นธรรม ถ้าหัวใจที่เป็นธรรมมันจะเป็นธรรมขึ้นมา เห็นไหม มันจะต้องทำให้จิตใจเราให้สูงกว่าสัตว์ สัตว์ เห็นไหม สัตว์มันต้องมีที่พึ่งที่อาศัยทั้งนั้นนะ แม้แต่หนูมันก็ต้องขุดรูของมันอยู่ ดูมดสิ มดนี่ เห็นไหม เวลาฝนจะมามันย้ายไข่ ย้ายรัง แม้แต่มดนะมีสัญชาตญาณด้วยสัญชาตญาณของมด ฝนตกไม่ตกเขาดูมดขนไข่นี่ ดูมดสิ มดมันยังสามัคคีกัน มดมันยังรักกัน มดมันยังดูแลกันขนาดนั้น แล้วมันเป็นสัตว์ไง

ภูมิใจนักว่าเป็นคน สัตว์ประเสริฐๆ ทั้งนั้น สัตว์ประเสริฐมันต้องมีศีลมีธรรมสิ มันต้องประเสริฐจากหัวใจนี้ ถ้าหัวใจมันจะประเสริฐได้ ถ้าไม่มีการอบรมมัน มันจะประเสริฐมาได้อย่างไร มันจะประเสริฐได้ก็ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าศีล สมาธิ ปัญญานี่รักษาดูแลขึ้นมา ถ้าดูแลขึ้นมามันถึงจะประเสริฐ ประเสริฐมันต้องมีเหตุมีผลสิ ไม่ใช่เปลี่ยนชื่อ เดี๋ยวเราไปเปลี่ยนชื่อเป็นนายประเสริฐ พระประเสริฐ ประเสริฐจากกรมการปกครอง ไม่ใช่ ไอ้นั่นมันชื่อ เปลี่ยนได้

แต่ความจริงนะ กลิ่นของศีลกลิ่นของธรรมหอมทวนลมนะ คนทุกคนเขากำลังเดือดร้อน เขากำลังรอความร่มเย็นเป็นสุข เขารอสิ่งที่เป็นธรรมๆ เวลาหน้าแล้งภัยแล้งนี่เขารอแหล่งน้ำ ฝนตกขึ้นมาทีเดียวทุกคนสาธุ ชื่นชมมาก เพราะว่าภัยแล้ง หัวใจของสัตว์โลกมันมีแต่ความแห้งแล้ง มันมีแต่ความทุกข์ความยาก เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมแล้ว เทศนาว่าการได้ปัญจวัคคีย์ ได้ยสะ ๕๔ องค์ เป็นพระอรหันต์ทั้งหมด เห็นไหม “เธอจงอย่าไปซ้อนทางกัน โลกนี้เร่าร้อนนัก โลกนี้เร่าร้อนนัก เธออย่าไปซ้อนทางกัน” เราก็จะไปนี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไปเทศน์ได้ชฎิล ๓ พี่น้องได้พระอรหันต์อีกพันกว่านะ

นี่ก็เหมือนกัน จิตใจมันเร่าร้อนนักๆ แล้วเราจะเติมฟืนเติมไฟเข้าไปได้อย่างไรน่ะ จิตใจมันเร่าร้อนนักๆ เห็นไหม ข้อวัตรปฏิบัตินี่ นี่เป็นเครื่องอยู่ ถ้ามันเร่าร้อนนักก็ต้องมีเครื่องอยู่สิ มีที่พักที่อาศัยไง ยึดข้อวัตรปฏิบัตินี้ไว้ อย่าให้มันดิ้นรนจนเกินไปนัก แล้วถ้าทำขึ้นมาจนมันเป็นนิสัยนะ จากข้อวัตร เห็นไหม เราก็มีคำบริกรรมใช่ไหม เราก็พัฒนาใจของเราขึ้นไปใช่ไหม ถ้ามันพัฒนาขึ้นไปแล้วนี่ ผลของมันๆ

การประพฤติปฏิบัติจะเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนามากหรือน้อยไม่สำคัญ สำคัญว่าจิตสงบหรือไม่ ถ้าจิตสงบมันก็ร่มเย็นเข้ามาไง จิตสงบระงับเข้ามา มีที่พึ่งที่อาศัยเข้ามา แล้วฝึกหัดใช้ปัญญาของเรา ยกเราขึ้นสู่ศาสนทายาท ยกเราขึ้นสู่ สู่ความเป็นสัจจะ สู่ความเป็นจริงไม่ใช่โดยสัญชาตญาณ ถ้าสัญชาตญาณนี่นกน่ะมันเป็นสัตว์ มันอยู่ของมันโดยสัญชาตญาณนะ ถึงฤดูกาลของมันมันก็ผสมพันธุ์ นั่นนะมันสร้างรังสร้างที่อยู่อาศัย มันฟักไข่เพื่อจะสืบพันธุ์มันต่อไป สายพันธุ์ของมันเพื่อไม่ให้มันสูญพันธุ์ของมันไป

แล้วพระเราล่ะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านก็นิพพานของท่านไป แล้วเราอยู่กันแห้งแล้งนี่ เหมือนไข่ที่ไม่มีเชื้อ ฟักไม่ได้ ไม่มีฟัก ฟักไม่ได้สักตัว ไข่มันไม่มีเชื้อไง มันเป็นไข่ที่ไม่ได้ผสมพันธุ์น่ะ นี่ก็เหมือนกันมีแต่เราอยู่คนเดียวไง มันไม่มีสัจธรรมขึ้นมาในใจไง ถ้ามันมีสัจธรรมขึ้นมาในใจ เห็นไหม สร้างรวงสร้างรังขึ้นมาดูแลหัวใจของเรา สร้างรวงสร้างรังขึ้นมา เราไม่ได้สร้าง ครูบาอาจารย์ท่านก็สร้างไว้ให้แล้ว วัดวาอารามก็มีอยู่แล้ว

นี่เราเองแค่อาศัย มันต้องมีอาศัยต้องมีการรักษา ของใช้ทุกอย่างมันต้องบำรุงรักษา เช้าขึ้นมา เห็นไหม น้ำล้างเขียงเท้า ศาลาโรงฉัน นี่ทำข้อวัตร เสร็จแล้วออกบิณฑบาต บิณฑบาตกลับมาทำภัตกิจ ทำภัตกิจเสร็จแล้วยังต้องเก็บกวาดเก็บล้าง ไอ้นี่มันแค่ผิวเผินน่ะเก็บล้างทำล้างเสร็จแล้ว ทำภัตกิจเสร็จแล้วผู้ที่ได้ฌานสมาบัติก็เข้าสู่ฌานสมาบัติ ผู้ที่เดินปัญญาก็เดินปัญญา เข้าสู่เรือนว่าง เข้าสู่ที่รโหฐานของตน แล้วเข้มงวดกับใจของตน ไม่ใช่สุมหัวคุยกัน เล่นหยอกล้อกัน มันยิ่งกว่าเด็กอนุบาลน่ะ เด็กอนุบาลนะ ภิกษุจะบวชได้ต้องอายุ ๒๐ ขึ้นนะ สามเณรจะบวชได้ต้องไล่กาได้ ไอ้นี่โตจนป่านนี้แล้วเหมือนเด็กอนุบาล เล่นกันสุมหัวกัน นั่นมันเรื่องอะไรกันน่ะ

นกนี้มันทำด้วยสัญชาตญาณนะ เราเป็นมนุษย์แล้วมันมีสมอง มีการศึกษา แล้วเวลาบวชเป็นพระ ผู้มีศีลด้วย ทรงศีลทรงธรรมด้วย ถ้าทรงศีลทรงธรรมมันต้องมีสติปัญญา มันต้องรู้อะไรควรและไม่ควร สิ่งใดไม่ควรๆ นี่เขาไม่ต้องบอกหรอก เขาไม่ทำกันทั้งนั้นนะ ไอ้ที่มันทำแสดงว่าใจมันหยาบ เวลาคนใจมันหยาบมันต่ำมันช้า มันทำแต่สิ่งที่ต่ำช้า แล้วสิ่งที่ต่ำช้าพอทำแล้วบอกว่าไม่ได้ทำ ผมไม่ได้ทำๆ ก็มึงทำอยู่ ไอ้คนที่จิตใจเขาสูงส่ง เขามีน้ำใจต่อกัน เขาทำเพื่อสังคม นี่จิตใจของเขา

แล้วอย่างที่มีคุณธรรม หลวงตาท่านพูดประจำนะ “เวลาผมตายไปแล้วจะมากราบศพ” ถ้าคนที่ปฏิบัตินะ ถ้าคนที่ไม่ปฏิบัติเวลาตาย ดี ตายซะ อยู่คอยด่าประจำ ตายแล้วไม่มีคนด่าแล้ว แต่ถ้าเป็นครูบาอาจารย์นะ ท่านจะพูดเลย “ถ้าปฏิบัตินะ ถ้าถึงจุดหนึ่งจะมากราบศพ จะมากราบถึงสิ่งที่ท่านได้สั่งได้สอนไว้” หลวงตา เห็นไหม ไปกราบคารวะหลวงปู่มั่น ไปขอขมานะ ไปขอขมาอัฐิของหลวงปู่มั่นๆ ทั้งๆ ที่ท่านคารพหลวงปู่มั่น แต่กิเลสในใจของท่านไง นี่สิ่งที่ว่าประสบการณ์ของท่าน ท่านก็โต้แย้งๆด้วยมุมมองของท่าน มุมมองคือจิตมันรู้มันเห็นอย่างนั่นน่ะ แต่มันมีกิเลสเจือปนอยู่ไง

หลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่นท่านโขกท่านสับ หลวงตาท่านถึงบอกว่า “หลวงปู่มั่นเป่ากระหม่อมผมมา หลวงปู่มั่นเป่ากระหม่อมผมมา” สุดท้ายแล้วไปคารวะอัฐิธาตุของหลวงปู่มั่น

นี่ก็เหมือนกันเวลาปฏิบัติ ปฏิบัติไปถ้ามันเป็นจริงเป็นจริงขึ้นมานะ มันมรรค อริยสัจมีหนึ่งเดียว โสดาบัน สกิทาคา อนาคา พระอรหันต์มีหนึ่งเดียวเหมือนกันหมด ถ้าเป็นจริง เว้นไว้แต่ไม่จริงแล้วขี้โม้ ไม่จริงแล้วขี้โม้ มันถึงได้ดูถูกเหยียดหยาม ถ้ามันเป็นจริงมันจะเหยียดหยามความรู้ความเห็นมันได้อย่างไร ในใจของมันที่มันรู้มันเห็นตามความเป็นจริงน่ะ แล้วมันจะไปเหยียดหยามคนอื่นได้อย่างไร ถ้ามันรู้มันเห็นจริง เว้นไว้แต่มันไม่เคยรู้ไม่เคยเห็น กิเลสท่วมหัวแล้วเที่ยวเหยียบย่ำคนอื่นทั่วไป เอวัง