เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๖ เม.ย. ๒๕๖o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๖๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ ว่าเป็นธรรมะๆธรรมะไว้แจกทอฟฟี่ แจกน้ำตาลแบบเด็กๆ เด็กๆ มันได้ธรรมะ มันอมมันหวานนะ แต่ของเรา ธรรมะหวานเป็นลม ขมเป็นยา หวานเป็นลม ขมเป็นยานะ

หวานอาหารที่มันไม่มีคุณค่ากับร่างกาย อาหารที่มีคุณค่ากับร่างกาย อาหารธรรมชาติไงอาหารท้องที่อาหารพื้นถิ่น มันไม่มีพิษไม่มีภัยต่อร่างกาย

นี่ก็เหมือนกัน ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือเหมือนน้ำฝน จืดสนิท รสชาติจืดสนิท แต่ให้ผลดีต่อร่างกายไง

แต่ของเราเวลาให้ธรรมะๆ ธรรมะคืออะไร คือความตื่นเต้น ความตื่นเต้นเราก็ไปวัดไปวากันไง ไปดูความตื่นเต้นเขาก็จัดฉากให้ดูไง ยิงแสงเลเซอร์ขึ้นไปเลยนู่นน่ะ อวตารนู่นน่ะ โอ้โฮ! ตื่นเต้นแต่ไม่ได้คิดถึงหัวใจของเราเลยไง

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันอยู่ที่นี่ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย้อนกลับมาย้อนกลับมาที่ใจของคน ใจของคน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมอยู่โคนต้นโพธิ์นั้น เทศนาว่าการตั้งแต่เทวดา อินทร์พรหม เทศนาว่าการได้หมดเพราะอะไรเพราะจิตดวงนี้มันสำคัญนัก

จิตดวงนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ถ้าจิตดวงนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ พันธุกรรมของจิตพันธุกรรมของจิตมันได้ตัดแต่งมา พระโพธิสัตว์ๆ ๔ อสงไขย๘ อสงไขย ๑๖อสงไขย กว่าจะเป็นพระโพธิสัตว์เสียสละมามากมายมหาศาล มา ๑๐ชาติสุดท้าย เสียสละมานั่นน่ะทานบารมี ศีลบารมี เนกขัมมบารมี ความสร้างสมบุญญาธิการอย่างนั้นมามันถึงเกิดบารมี เกิดบารมีคือเกิดอำนาจวาสนาหัวใจไง อาฬารดาบส อุทกดาบสรับประกันเลย “มีความรู้เหมือนเรา มีปัญญาเหมือนเรา”

ถ้าพวกเรา ถ้าอาจารย์ยกตูดนะ โอ้โฮ! ไปแล้ว เจ้าชายสิทธัตถะไม่เอา เพราะอะไร เพราะในใจของตนมันยังมีความทุกข์ความยากอยู่ ถ้ามีความทุกข์ความยากอยู่ นี่คนถ้ามีอำนาจวาสนาบารมีอย่างนี้ ถ้ามีอำนาจวาสนาบารมี ไม่เชื่อใครง่ายๆ ไง ถ้าเชื่อสิ่งใดต้องมีเหตุมีผลไง ถ้าเชื่ออะไรง่ายๆเขาก็จูงจมูกน่ะสิธรรมะให้จูงจมูกใช่ไหม

ธรรมะไม่ให้จูงจมูก ธรรมะเป็นปัจจัตตัง สันทิฏฐิโกธรรมะต้องรู้โดยเฉพาะตน

เวลาพระสารีบุตรบอกไม่เชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่เชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาไปฟ้ององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถามว่า สารีบุตร เธอพูดอย่างนั้นจริงๆหรือ

จริงครับ

ทำไมถึงเป็นความจริงล่ะ

อ้าว! ก็ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโกในใจอันนี้ ความจริงในใจอันนี้ เวลาวิถีของจิต เวลามรรคญาณมันเกิดในใจดวงนี้มันประจักษ์ ในใจของเรา มันเกิดสัจจะความจริงของเรา มันต้องบอกใครต้องให้ใครรับประกัน ต้องให้ใครยืนยัน มันเป็นความจริงๆอันนี้

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก เออ! ใช่เธอพูดถูก

แต่พระสารีบุตรเคารพมาก เวลาเคารพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาพระอัสสชิเป็นผู้ที่เปิดตาพระสารีบุตรนะ ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุพระสารีบุตรมีดวงตาเห็นธรรมเวลาบรรลุเป็นพระอรหันต์ขึ้นมามีอำนาจวาสนา เพราะอะไร เพราะเวลาพระสารีบุตรมีโรคประจำตัวเวลาโรคประจำตัว เวลาโรคท้องร่วง โรคท้องร่วงขึ้นมา พระโมคคัลลานะไปเยี่ยมพระโมคคัลลานะไปเยี่ยมว่าเป็นอะไร

ป่วย

เวลาปกติมันมีอะไรเป็นยา

บอกว่าต้องมีข้าวยาคู

ข้าวยาคูมันสมานแผลในกระเพาะไง พระโมคคัลลานะก็ดลใจเทวดาเทวดาก็ดลใจคฤหัสถ์ คฤหัสถ์เช้าขึ้นมา ข้าวยาคูมาถวายพระสารีบุตร

พระสารีบุตรไม่ฉันนะ มันทุจริต มันไม่ได้มาด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ มันไม่ใช่เจตนาของเขาไปดลใจเขาให้เขาคิด ให้เขาคิดให้เขามา นี่พูดถึงว่าเวลาพระสารีบุตรท่านเข้มงวดในตัวของท่าน เวลาท่านระลึกถึงพระอัสสชิ พระอัสสชิอยู่ทิศทางใดเวลาท่านจะจำวัด ท่านเอาศีรษะไปทางนั้น

แม้แต่พระอัสสชิ พระสารีบุตรยังเคารพบูชาขนาดนั้นแล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีพระคุณมากกว่าพระอัสสชิ ทำไมพระสารีบุตรทำไมไม่เคารพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เคารพมหาศาล ถ้าไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมธรรมะไม่มีหรอก

เวลาครูบาอาจารย์เราท่านบรรลุธรรมท่านกราบแล้วกราบเล่า กราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่ามันลึกลับมหัศจรรย์ ถ้าไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้รื้อค้นขึ้นมาใครมันจะรื้อค้นสิ่งนี้ขึ้นมา

แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมก็เป็นบุญเป็นคุณของเรามหาศาลขนาดนั้นแล้วแล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้สั่งผู้สอน เป็นผู้คอยชี้นำ ทำไมพระสารีบุตรจะไม่ระลึกถึงบุญคุณอันนั้น มันนึกถึงบุญคุณอันนั้นมหาศาลเลยด้วยความเคารพด้วยความบูชาเลยแต่ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก สมบัติของเรามันเป็นของเรา ธรรมะมันอหังการอย่างนี้ ธรรมะมันจริงจังอย่างนี้ มันจริงจังถ้ามันอยู่ในหัวใจของใครมันก็เป็นของหัวใจดวงนั้นน่ะมันมีคุณค่ากับใจดวงนั้นน่ะ ไม่อย่างนั้นมันจะเป็นอิสรภาพหรือ ภราดรภาพหรือ ไม่อย่างนั้นมันจะนิพพานได้อย่างไร ไม่อย่างนั้นมันจะพ้นจากการเกาะเกี่ยวกับสิ่งใดได้อย่างไร มันพ้นหมดเลย เป็นอิสระหมด แต่กว่าที่มันจะเป็นอิสระนี่ไง แต่กว่าที่จะเป็นอิสระ ที่เรามาวัดมาวากัน เราก็มาค้นคว้าอย่างนี้

สิ่งที่มีค่าๆ มีค่าที่หัวใจนี้นะ หัวใจนี้ถ้ามันมีศรัทธามีความเชื่อ คำว่า“มีศรัทธามีความเชื่อ” นี่วาสนานะเวลาคนมาภาวนาบอกว่า “หนูมีวาสนาหรือไม่หนูมีวาสนาหรือไม่”

หลวงตาท่านพูดไว้อย่างนี้นะ ถ้าคนไม่มีอำนาจวาสนาจะไม่มานับถือพระพุทธศาสนาพระพุทธศาสนาสอนให้เราขวนขวายให้เรากระทำของเราเองศาสนาอื่นเขาขอให้อ้อนวอน ให้แต่พระเจ้าเขาจะเป็นคนพยากรณ์เราต้องอ้อนวอนต้องไปขอ

ความดีความชั่วของเราต้องให้คนอื่นบอกใช่ไหมความดีความชั่วของเรา สุขทุกข์ของเราต้องให้คนอื่นประกันใช่ไหม สุขทุกข์ในใจของเรามันเป็นของเราใช่ไหม พระพุทธศาสนาสอนลงที่นี่ไง ถึงปฏิเสธหมดไง ปฏิเสธทุกๆ พระเจ้าพระเจ้าไม่เกี่ยวอยู่ที่หัวใจเราทั้งนั้น เพราะอะไรเพราะเวลาหัวใจเราทำคุณงามความดี เวลาเรามีคุณงามความดีของเรา สร้างบุญกุศลของเรา เราเป็นพระเจ้าเสียเอง ไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหมนี่คือพระเจ้าพระเจ้ามันก็อยู่ในวัฏฏะนี่แหละองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงปฏิเสธหมดไง ปฏิเสธแล้วไม่มีอะไรเป็นที่พึ่งแล้ว ก็มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง คือไม่มีสิ่งเคารพบูชาสิ่งใดเป็นที่พึ่ง ไม่มีที่พึ่ง

มีพระพุทธพระพุทธคือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา พระธรรมคือธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตรัสรู้ธรรมขึ้นมา พระสงฆ์ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมามีดวงตาเห็นธรรมอันนั้น มีดวงตาเห็นธรรมอันนั้น เวลาสื่อ นี่ไง เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์ธัมมจักฯ พระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรมๆ

นี่ไง เวลาฟังเทศน์ๆ เราฟังเทศน์ก็เพื่อเกิดปัญญาของเรานี่ไง ปัญญาของเรา เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เรามีความรู้ขนาดไหน ถ้าความรู้ขนาดไหน เวลาครูบาอาจารย์ท่านเทศนาว่าการมา เวลาหลวงปู่มั่นท่านเทศน์ ลูกศิษย์ลูกหาฟังอยู่เต็มวัดเต็มวา ดูสิ หลวงตาท่านอธิบายเห็นไหม

เวลาผู้ที่ฝึกหัดใหม่ ผู้ที่ฝึกหัดใหม่ก็พยายามทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจมันสงบระงับมาได้ ผู้ที่มีวุฒิภาวะเป็นโสดาบัน เป็นสกิทาคามี เป็นอนาคามี คนที่กำลังพัฒนาหัวใจขึ้นไป พอฟังเทศน์อย่างนั้น เวลาหลวงปู่มั่นท่านเทศนาว่าการก็เป็นชั้นเป็นตอนๆ ขึ้นไปเพียงแต่จิตเราอยู่ตรงไหน จิตของเรามีวุฒิภาวะมากน้อยแค่ไหน ถ้าจิตเรามีวุฒิภาวะขนาดนี้ เราพยายามจะพัฒนาขึ้นไป เราคอยฟังๆ แล้วมันเป็นจริงๆ นะเป็นจริงๆ ในใจของเรา

เราทำสิ่งใดมา ถ้ามันเป็นปัจจัตตัง เรารู้ได้ขนาดไหน เรารู้ได้ขนาดนั้นน่ะแต่สิ่งที่เรายังไม่รู้มันก็ยังไม่รู้ใช่ไหม แต่สิ่งที่ไม่รู้มันก็ต้องพัฒนาขึ้นไปพัฒนาขึ้นไปด้วยตัวเองก็พัฒนาขึ้นไปได้ยาก แต่ถ้ามีคนคอยบอกๆ เราก็พัฒนาอยู่แล้วแล้วมีคนคอยจูงจิตที่สูงกว่าชักนำจิตที่ต่ำกว่าขึ้นมาพยายามชักนำขึ้นมา พยายามชักนำเรา เราก็ขวนขวายของเราขึ้นไป ถ้ามันขึ้นไป เวลาฟังธรรมๆ ฟังธรรมอย่างนี้ไง มันต้องพัฒนาอย่างนี้ไง ถ้าพัฒนาอย่างนี้มันจะเป็นประโยชน์กับเราประโยชน์กับใจดวงนี้ๆ

นี่ไง เวลาบอกว่าปฏิเสธทุกๆ อย่างปฏิเสธหมด แต่เชื่อทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว การกระทำๆ กรรมดีกรรมชั่วไง บอกว่าเป็นเรื่องของกรรมๆ เราก็บอกพวกเราทำแต่กรรมชั่วมาเนาะ ไม่มีกรรมดีเลยหรือ

บอกกรรมก็คือกรรมกรรมดีกรรมชั่วถ้าเป็นเรื่องของกรรม การกระทำมาแล้ว การกระทำแล้วเราปฏิเสธไม่ได้หรอก เราทำสิ่งใดก็แล้วแต่ ผลมันต้องมีทั้งนั้นน่ะ ผลต้องมีธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ มันมีเหตุ มันต้องมีปัจจัย มันมีเหตุของมันน่ะ เพียงแต่ว่าพอมันมีเหตุมาแล้วนะสิ่งที่มันผิดพลาดมานะ เราก็ขออภัยกันไง

นี่ไง เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวรเนาะ เพราะขณะนั้นมันมีความประมาทของเราสติสัมปชัญญะเราไม่สมบูรณ์ถ้าเราได้ทำสิ่งใดพลั้งเผลอไปขออภัยต่อกันเวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร ไอ้ผู้ที่ได้รับผลกระทบ เราก็ให้อภัยต่อเขา นี่อริยวินัย ผู้ที่ให้อภัย การให้อภัยมันให้อภัยได้ยากจิตใจของคนมีแต่คนพาล คนพาลคนต่ำช้ามีแต่การประหัตประหารกัน มีแต่ทำลายกัน แต่ของเรา จิตใจเราได้พัฒนาขึ้นมาแล้ว เราก็โดนกระทบกระเทือนมาเหมือนกัน แต่เขาสำนึกได้ เขาขออภัย จิตใจเราให้อภัย การให้อภัย จิตใจมันพัฒนาขึ้นไง

ถ้าจิตใจมันไม่พัฒนาขึ้นเราให้อภัยเขาได้ไหม มันเจ็บแค้น มันจะเอาคืน แต่ถ้าจิตใจเราพัฒนาขึ้นแล้วนะ สาธุ คนสำนึกผิดได้ เขาสำนึกของเขา เขาระลึกถึงความผิดของเขา เขาขออภัย นี่ไง เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร เราให้อภัยเขา แล้วถ้าเขาให้อภัยแล้วมันเป็นสันดานของคน สันดานของคนเขาเคยทำผิดกับเรา เราให้อภัยแล้วเขาจะไปทำผิดกับคนอื่นอีกเป็นสันดานของเขานี่กรรม เขาทำกรรมของเขากรรมมันจะให้ผลกับเขาไปเองเราให้อภัยกับเขาไปแล้วเขายังสำนึกเฉพาะโทษมันจะมาถึงไง แล้วพอไปทำมันก็ทำของเขาอีกไง เพราะใจมันยังไม่พัฒนาไง แต่ใจเราพัฒนาแล้ว เราให้อภัยเขาๆ

เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร เราไม่จองเวรจองกรรมใครทั้งสิ้นแล้วเราก็ย้อนกลับมาที่เราเวลาย้อนกลับมาที่เรา เรามาระลึกถึง ระลึกถึงที่เราทำความผิดพลาดมา เวลาภาวนาไปนะ คนที่ภาวนาจะใช้ปัญญาอบรมสมาธิ มันจะเห็นเลย มันพยายามจะรักษาจิตของเรา พอรักษาจิตของเรา ทำไมจิตเราเป็นแบบนี้ทำไมมันคิดอย่างนี้ พอคิดอย่างนี้มันคิดมาเพราะเหตุใด มันสาวไป เราเคยคิดอย่างนี้ เคยทำอย่างนี้ มันไปแล้วนะ แล้วเสียใจนะ

คนที่ภาวนาๆ ไป เพราะการภาวนามันจะรั้งหัวใจของตนหัวใจของตนมันหมักหมมอะไรไว้ในใจ มันจะไปลบไปล้างทั้งนั้นน่ะ ถ้ามันลบล้างการลบล้างมันก็ไปลบล้างความผิดพลาดของเราคิดแล้วคอตกนะเราไม่น่าทำเลยเราไม่น่าทำเลยแต่ทำมาแล้ว ถ้าทำมาแล้วมันก็แก้ไขสิ่งใดไม่ได้เราแก้ไขก็แก้ไขในปัจจุบันนี้ ถ้าแก้ไขปัจจุบันนี้เราก็ฝึกหัดภาวนาที่นี่ ถ้าฝึกหัดภาวนาที่นี่มันจะพัฒนาขึ้นเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป

แล้วพัฒนาเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไปใครพัฒนา มันพัฒนาที่ไหนเวลาบวชเป็นพระมีแต่ชราภาพไปทั้งนั้นน่ะ ไม่เห็นมันหนุ่มแน่นขึ้นมาเลย มีแต่แก่ชราภาพไป แต่หัวใจมันพัฒนามันพัฒนาจากหัวใจของมันหัวใจมันพัฒนาขึ้นมา มันมีศีลมันมีสมาธิ มันมีปัญญาของมัน

เวลาปัญญามันเกิดขึ้น เวลาครูบาอาจารย์ของเราครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมๆ นะเวลาท่านเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาทั้งวันทั้งคืน ๗ วัน ๗ คืนทั้งปีทั้งชาติ ทั้งปีทั้งชาติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังเดินจงกรมอยู่ ยังภาวนาอยู่ วิหารธรรมๆ

เวลาเราก็อยากได้ธรรมอยากได้คุณงามความดี อยากให้มีความสุข แล้วความสุขขึ้นมาเวลาพระอรหันต์ขึ้นมา ท่านยังภาวนาของท่านอยู่ ภาวนาเพื่ออะไร ท่านฆ่ากิเลสอีกหรือ มีกิเลสอะไรให้ฆ่าอีก ถ้ามีกิเลสแสดงว่าไม่ใช่พระอรหันต์ ถ้าเป็นพระอรหันต์คือหมดกิเลสหมดกิเลส ทำไมท่านภาวนาของท่านอยู่

นั่นล่ะวิหารธรรมของท่าน ท่านมีความสุขของท่าน อยู่ในธรรมๆ ถ้าอยู่ในธรรม เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาก็ดูแลหัวใจของตน นี่ไง นี่พูดถึงผู้ที่พ้นกิเลสไปแล้วท่านยังดูแลรักษาธาตุขันธ์ของท่านเพื่ออยู่สะดวกอยู่สบายเพื่ออยู่สะดวกอยู่สบายนะ เพื่อรอวาระสุดท้ายไง วาระสุดท้ายสอุปาทิเสสนิพพาน เศษส่วนเศษที่ทิ้ง นี่ไงเวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านจะนิพพานของท่าน ลาวัฏฏะ ลาที วัฏฏะพอที จบแล้วลาวัฏฏะ เวลาลาวัฏฏะ

แต่ของเรามันไม่ใช่ ของเราอาลัยอาวรณ์ไม่ใช่ลา อาลัยอาวรณ์คือผูกพันผูกพัน คิดถึง เอ๊ะ! เราจะไปอย่างไรเราจะมาอย่างไรเราผูกพันไง นี่ขันธมาร มันเป็นมารมันเป็นเวรเป็นกรรม มันไม่ใช่วิหารธรรม

วิหารธรรมของเขาไปด้วยความเพราะมันแจ่มแจ้งในหัวใจอยู่แล้ว มันแจ่มแจ้งอยู่แล้วมันไปโดยความสุขความสงบ ความระงับ เพราะพอกันทีไง เราไม่ใช่คนโง่ไม่ใช่คนโง่ คนไม่รู้ ถึงได้มาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ นี่มันฉลาดแจ่มแจ้ง มันแจ่มแจ้งในหัวใจน่ะพอกันที นี่ไง สิ่งที่พอแล้ว มันไม่มาอีกแล้ว แล้วไม่มาอีกแล้วแล้วไปไหนล่ะ นี่ไง ไปไหน ก็ผลของมันไงอกุปปธรรมๆไง

แต่ของเราอาลัยอาวรณ์ยึดมั่นถือมั่น แล้วเราจะไปไหน จะมาอย่างไร จะเป็นอย่างไรไงถ้ามาอย่างไรเป็นอย่างไร นี่ผลของวัฏฏะๆ ผลของวัฏฏะ เวียนว่ายตายเกิดคือผลของวัฏฏะแล้วผู้ใดมีการกระทำ พระพุทธศาสนา ผลออกจากวัฏฏะๆ วิวัฏฏะ ออกไปๆ ออกให้พ้นไป แล้วไม่พ้นไปมันก็เวียนว่ายตายเกิดอยู่นี่ ที่เรามาประพฤติปฏิบัติกัน ฟังธรรมๆเพื่อตอกย้ำตรงนี้ไง ตอกย้ำหัวใจให้เรา

พระพุทธศาสนาปฏิเสธพระเจ้าทั้งหมดแต่พระพุทธศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรม

เวลาเราทำวัตร เรากราบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีพระชนม์ชีพอยู่ ท่านก็ทำวัตรนะ ท่านก็สวดมนต์ ท่านก็ลงปาฏิโมกข์เวลาลงปาฏิโมกข์ เริ่มต้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ที่สวดปาฏิโมกข์เองแล้วสุดท้ายแล้วนะ มีอยู่คราวหนึ่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะสวดปาฏิโมกข์ พระนั่งเต็มเลยสุดท้ายแล้วท่านก็นั่งร่วมอยู่นั่นน่ะ จนพระอานนท์ก็อาราธนา ท่านก็เฉย ถึงยามค่ำก็ยังเฉย สุดท้ายท่านบอกท่านไม่แสดงปาฏิโมกข์หรอก ถ้าแสดงปาฏิโมกข์ไปจะมีพระศีรษะแตกเป็น ๗ เสี่ยง

พระโมคคัลลานะ พระสารีบุตร ท่านกำหนดจิตดูเลย พระอนุรุทธะ เพราะว่าท่านมีฤทธิ์มากสุดท้ายแล้วท่านก็ไปจับพระออกจากสังฆกรรมนั้นไป แล้วก็กลับมารายงานองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอเชิญแสดงปาฏิโมกข์เถิดบัดนี้สงฆ์บริสุทธิ์แล้ว

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสะเทือนใจมากนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงบอกว่า ตั้งแต่บัดนี้ไป เราจะไม่แสดงปาฏิโมกข์อีกแล้ว ให้ภิกษุแสดงกันเองไงเราถึงมีพระสวดปาฏิโมกข์ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันนี้ไง ถ้าท่านแสดงไปภิกษุองค์นั้นจะศีรษะแตกเป็น ๗เสี่ยง คือเขาไม่เป็นพระโดยสมบูรณ์ เขามีโทษในตัวเขาเขาจะลงอุโบสถไม่ได้ไง นี่พูดถึงถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้แสดงเอง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้แสดงปาฏิโมกข์เองเริ่มต้น แล้วต่อมาๆ ถึงให้พระแสดงต่อเนื่องมาๆ

นี่ไง เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบอะไร นี่ไงปฏิเสธพระเจ้าไปทั้งหมด แล้วเรากราบอะไร ปฏิเสธทั้งหมดแล้วเราสวดมนต์อะไร

เวลาเราสวดมนต์สวดพรสรรเสริญพุทธคุณสรรเสริญถึงคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราสวดมนต์สวดพร สวดถึงนั่น อะไรเป็นคนสวด พุทธะคือหัวใจเป็นผู้สวดหัวใจเราเป็นผู้ได้ อำนาจวาสนาบารมีเกิดที่นี่ ถ้าหัวใจมันพัฒนาขึ้น มันดีขึ้นของมัน เราทำเพื่อหัวใจของเราทั้งนั้นน่ะเวลาทำเพื่อหัวใจ เวลาใครทำความสงบของใจได้ นั่นล่ะตัวตนของตน ถ้าจิตมันวิปัสสนาขึ้นมา มันเป็นปัญญาขึ้นมา เรายิ่งมหัศจรรย์ในพระพุทธศาสนามันมีมรรคมีผล

ศาสนาไหนไม่มีมรรคศาสนานั้นไม่มีผลหรอก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดกับสุภัททะไว้แล้ว ลัทธิไหนไม่มีมรรค คือไม่มีการกระทำในหัวใจ ไม่มีศีลสมาธิ ปัญญาในหัวใจ ไม่มีธรรมจักรอันนี้มันเกิดผลขึ้นมาไม่ได้ อ้อนวอนใครก็ไม่ได้ ใครจะอุ้มชูเชิดชูอย่างไรก็ไม่มี

แต่เวลาเป็นจริงๆ เป็นจริงเพราะเราทำเอง เป็นจริงๆเพราะเป็นที่หัวใจนี้ หัวใจนี้มันเกิดขึ้นมาหัวใจใดมีมรรคหัวใจนั้นก็มีผลหัวใจใครมีการกระทำหัวใจนั้นก็มีผลการปฏิบัติ นี่เป็นความจริงของเราในพระพุทธศาสนาไง นี่ไงคนที่ไม่มีอำนาจวาสนาถึงไม่นับถือพระพุทธศาสนา คนที่ไม่มีอำนาจวาสนาไม่มีโอกาสได้ประพฤติปฏิบัติ

คนที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้ามันไม่เป็นความจริงของเรา เราก็พัฒนาของเราเราก็พยายามของเรา ฝืนทนของเรา การกระทำของเราเพราะมันไม่มีสิ่งใดมีคุณค่าไปมากกว่านี้ไง

เวลาคนทำงานๆ ผู้บริหารเขาเป็นผู้บริหารจัดการองค์กรนั้น นี่ก็เหมือนกัน ชีวิตของเรา เราเป็นผู้บริหารหัวใจของเรา เราจะเชิดชูหัวใจของเรา เราจะทำหัวใจของเรา เราจะสร้างสมบัติของเราเราเป็นชาวพุทธเราจะมีพระพุทธพระธรรม พระสงฆ์กลางหัวใจนี้ เอวัง