เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑ พ.ค. ๒๕๖o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ วันนี้สงบเงียบ วันสงบเงียบ วันสงัดวิเวก วิเวกมันจะวิเวกกายวิเวกใจ เห็นไหมเรามีหน้าที่การงาน งานของคนไง งานของคนหายใจเข้าไม่หายใจออกก็ตาย หายใจออกไม่หายใจเข้าก็ตาย ต้องหายใจแต่หายใจนะครูบาอาจารย์ท่านบอกหายใจทิ้งเปล่าๆ ไง

ถ้าเราหายใจ เรามีสติมีปัญญา ถ้ามีสติปัญญา สิ่งที่แม้แต่การหายใจนั้นก็เป็นงานของเรา ถ้าเป็นงานของเรา สิ่งที่มีงานของเราแล้วเป็นงานอริยภูมิด้วยแต่ถ้าประพฤติปฏิบัติได้ตามความเป็นจริงหายใจเข้านึกพุทหายใจออกนึกโธ ใจมันทำใจมันอยู่กับอานาปานสติ อยู่กับลมหายใจของเรา

แต่ใจมันส่งออกไปข้างนอกไง ถ้าใจมันส่งออกไปข้างนอก มันคิดงานๆงานอย่างนั้นมันงานประสบความสำเร็จของเรา แต่งานประสบความสำเร็จก็ต้องมีสติมีปัญญา เวลามันคิดงานทะลุปรุโปร่ง แต่เวลามันมืดทึบเลยเวลามันคิดสิ่งใดไม่ออกๆ เวลาคิดสิ่งใดไม่ออก มันต้องพักหัวใจเวลาพักหัวใจเรากลับมาหายใจเข้าหายใจออก เราหายใจเข้าหายใจออก เรามีสติของเรา เพื่อพักหัวใจของเราพักหัวใจของเราเพื่อไปทำหน้าที่การงานของเราต่อไง

คนเกิดมามันต้องมีหน้าที่ คำว่า “หน้าที่ของเรา” แม้แต่ชีวิตของเรา เราเป็นผู้รับผิดชอบชีวิตของเราเวลาครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก รู้เฉพาะตนๆ รู้เฉพาะตนคือรู้เฉพาะในหัวใจดวงนั้นแล้วหัวใจดวงนั้นเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ไม่มีใครรู้หรอกว่าหัวใจดวงใดมีอำนาจวาสนามามากน้อยแค่ไหน

ถ้าหัวใจมีอำนาจวาสนามา สามเณร ๗ขวบเป็นพระอรหันต์ ถ้าสามเณร ๗ ขวบเป็นพระอรหันต์เขาต้องมีมรรคมีผลของเขา เขาต้องมีภาวนามยปัญญา ปัญญาในหัวใจของเขาสามเณร ๗ ขวบร่างกายสู้ผู้ใหญ่ไม่ได้หรอก แต่หัวใจของเขาวุฒิภาวะในใจของเขามันมีอำนาจวาสนาไงคำว่า “อำนาจวาสนา” เขาเห็นสิ่งใดเขาคิดเปรียบเทียบเข้ามาในใจของเขาเขาไม่ส่งออกไปข้างนอกไง ไปบิณฑบาตกับพระสารีบุตรสามเณรของพระสารีบุตรเห็นเขาชักน้ำเข้านาๆเขาก็ทำนากันโดยอาชีพของเขา ถามอาจารย์ว่า น้ำมีชีวิตหรือไม่

น้ำไม่มีชีวิต น้ำไม่มีชีวิตเขาชักเข้านาของเขา เขาทำประโยชน์ของเขา แล้วคิดเข้ามาในหัวใจเราเลย ถ้าหัวใจเราทำประโยชน์กับเราๆ นี่สามเณรน้อยเขามีสติมีปัญญาของเขาเขามีสติปัญญาของเขา ดวงใจดวงใดไม่มีมรรค ดวงใจดวงนั้นไม่มีผลหรอก

เวลาเรามีการศึกษา เราศึกษานี่เป็นความจำทั้งนั้นความจำทั้งนั้นมันเป็นเรื่องโลกๆไง วุฒิภาวะ วุฒิภาวะของจิตพันธุกรรมของมันมีการตัดแต่งของมัน เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นสัตว์ เกิดในวัฏฏะ มันก็พัฒนาความคิดของมันไป ถ้าความคิดที่มันดีขึ้น มันส่งเสริมขึ้นแต่ละภพแต่ละชาติขึ้นมามันมีแต่ความคิดที่พัฒนาขึ้นหัวใจที่เข้มแข็งขึ้น ความคิดเกิดจากจิตๆ แต่ความคิดเกิดจากจิต ความคิดที่มันเกิดจากจิตมันใกล้ชิดกับหัวใจมันควบคุมหัวใจได้ มันควบคุมจิตของตัวเองได้ถ้ามันควบคุมจิตของตัวเองได้ นี่มีการกระทำขึ้นมาสิ่งที่ทำขึ้นมาทำเพื่อเราๆ เวลาทำเพื่อเรา ทำเพื่อเราทำเพื่อใครล่ะ ก็ทำเพื่อโลกไง

เวลาผู้นำที่ดีๆ ท่านทำเพื่อตัวท่านเอง ทำเพื่อตัวท่านเองก็ทำเพื่อคุณประโยชน์ไง ทำเพื่อบุญกุศลไงทำด้วยความคิดดีไง แต่ความคิดดีนั้นทำไปแล้วเป็นประโยชน์กับใครล่ะ มันเป็นประโยชน์กับคนรอบข้างไปหมดเลย มีแต่ความร่มเย็นเป็นสุขไปทั้งนั้น ถ้ามีความร่มเย็นเป็นสุขพัฒนาการของหัวใจที่มันพัฒนาขึ้นๆ เวลาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ มันก็เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะอยู่อย่างนั้นน่ะ ไม่อย่างนั้นพระโพธิสัตว์ ๔อสงไขย ๘อสงไขย ๑๖อสงไขย ไม่พัฒนาขึ้นไปหรอก

เวลาพัฒนาขึ้นไปพัฒนาขึ้นไปจนชาติสุดท้ายขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “เราจะเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย เราจะเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย” เพราะอำนาจวาสนาบารมีมันเต็มแล้ว มันเต็มขึ้นมา มันเต็มขึ้นมา เวลามาเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะก็ยังขวนขวายๆขวนขวายคุณงามความดีในใจของท่าน แต่คุณงามความดีในใจของท่านเวลาท่านทำประโยชน์ของท่านสมบูรณ์แล้วเป็นผู้สอน ๓ โลกธาตุ เทวดา อินทร์พรหมยังไม่รู้ไม่เข้าใจเรื่องอย่างนั้นน่ะ

เราคิดว่าเทวดา อินทร์พรหมมีวุฒิภาวะที่สูงส่ง แต่สูงส่งก็จิตเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะไงด้วยบุญกุศลไง ที่เรามาทำบุญกุศลกันนี่ เพราะด้วยบุญกุศล อำนาจวาสนาได้ไปเกิดเป็นเทวดา อินทร์พรหม แต่เวลาเขาหมดอายุขัยของเขา เขาก็ต้องลงมาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะเหมือนเดิมนั่นแหละ บุญกุศลเป็นอามิสๆ ไงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงบอกพระอานนท์ไง“อานนท์ เธอบอกบริษัท ๔ นะ ให้ปฏิบัติบูชาเราเถิด ให้ปฏิบัติบูชาเราเถิด”

ถ้าปฏิบัติบูชา สิ่งนี้มันจะไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ความเป็นจริงอันนี้ สิ่งที่เกิดภาวนามยปัญญา แล้วมันรู้เฉพาะตน รู้เฉพาะตนด้วยแล้วรู้เฉพาะในหัวใจดวงนั้นถ้ารู้ ทำไมถึงรู้เฉพาะหัวใจดวงนั้นล่ะ ก็หัวใจดวงนั้นเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะไงเพราะหัวใจดวงนั้นเพราะมันมืดบอดไง มันไม่ใช่รู้ที่สมองไม่ได้รู้ที่ความคิด มันรู้ที่ใจเลยดูสิ เวลาอรหัตตมรรค เวลามันทำลายภวาสวะทำลายภพทั้งหมด แล้วใครคิด ใครรู้สึก ใครสำนึกอะไรได้ล่ะ นี่มันเป็นธรรมธาตุแท้ๆ นั่นน่ะ

เวลาเราอยู่กับความคิดๆไง ความคิดเกิดจากจิตๆ เวลามันทำลายธาตุขันธ์เข้ามา เห็นไหม ขันธ์อย่างหยาบ ขันธ์อย่างกลาง ขันธ์อย่างละเอียด เวลาพระโสดาบัน เขาบอกว่า พระโสดาบัน ขันธ์ ๕ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ มันหมดไปแล้ว

ขันธ์ ๕ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ แล้วพระสกิทาคามีไม่มีความรู้สึกหรือ แล้วเวลาพระอนาคามีล่ะ เห็นไหม เวลาจะละขันธ์ ๕ แท้ๆ มันต้องไปละกันที่นั่น พอละขันธ์ ๕ที่นั่นมันก็เป็นจิตเดิมแท้ๆ เวลาจิตเดิมแท้มันสว่างไสว มันผ่องใส มันผ่องใส ทำลายมันหมดๆ ความรู้อันนั้น ความรู้อันนั้นมันไม่ใช่ความคิดไง ถ้าความคิดเกิดจากจิตๆ แล้วความคิดขันธ์ ๕ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา ขันธ์เป็นภาระอย่างยิ่งของพระอรหันต์

แต่ขันธมารๆ เพราะขันธ์มันเป็นมารความคิดมันเป็นมาร ทุกสิ่งมันเป็นมารทั้งนั้นน่ะเป็นมาร ของเรายึดมั่นถือมั่นไปหมดล่ะ มีความพอใจ เวลาสำคัญตนไง

เสมอเขาก็สำคัญว่าเสมอเขา สำคัญว่าสูงกว่าเขา สำคัญว่าต่ำกว่าเขา

ต่ำกว่าเขาก็สำคัญว่าต่ำกว่าเขา สำคัญว่าเสมอเขา สำคัญว่าสูงกว่าเขา

สูงกว่าเขาก็สำคัญว่าสูงกว่าเขา สำคัญว่าเสมอเขา สำคัญว่าต่ำกว่าเขา

สูงกว่าเขาต้องไปสำคัญอะไร เสมอเขาต้องไปสำคัญอะไร ต่ำกว่าเขาต้องไปสำคัญอะไร เพราะความสำคัญตน นี่ไง ตัวตนไง เพราะความสำคัญตนๆ มันมีของมันอยู่ เห็นไหม

แต่ถ้าไม่มีล่ะ ไม่มีตนไม่มีสิ่งใด เอาอะไรไปสำคัญมันสำคัญ มันคิดไปไม่ได้ไงวิมุตติสุข วิมุตติสุขเป็นธรรมชาติของมันไง ถ้าธรรมชาติของมัน มันถึงว่าไม่มีสิ่งใดเข้าไปถึงสิ่งนั้นเลย

นี่ไง สิ่งที่เรามาบวชเป็นพระ เรามาบวชเป็นพระๆ เราจะมาประพฤติปฏิบัติ วิถีแห่งจิตงานภายใน ถ้างานภายในความคิดๆ ความคิดนี้ส่งออกแล้วเวลาเป็นสัมมาสมาธินะ จิตเป็นอิสรภาพ ไม่พาดพิงในอารมณ์ใดๆ นี่เป็นตัวตน ตัวตนเพราะมันเป็นภวาสวะ เป็นภพ มันเป็นจิตของเรา

ถ้าจิตของเรามันไม่ได้แส่ส่ายไป มันถึงเป็นสัมมาสมาธิไง สัมมาสมาธิมันจะไม่พาดพิงอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น แล้วเวลามันทำลายอวิชชาทำลายภพชาติแล้ว มันจะเป็นอะไรอีกล่ะ แม้แต่สมาธิมันไม่พาดพิงอะไรแล้วแล้วมันเป็นอิสระของมัน แต่อิสระอิสระที่มีตัวตนนั่นแหละ

ว่าสมาธิเป็นตัวตนนะ ก็เป็นตัวตนก็เป็นจิตไง เป็นภวาสวะ เป็นภพไง ก็เป็นชีวิตเราไง นี่ไง จิตที่ไม่เคยตายที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ แล้วไม่มีใครเคยรู้เคยเห็นมันไง

แต่ถ้าใครไปรู้ไปเห็นมัน ตัวเราๆ ตัวตนก็ตัวเรานี่แหละ แต่เราอะไร เราไม่ใช่สมมุตินี้ เราไม่ได้ชื่อนาย ก นาย ข นี้แต่เราคือจิต ถ้าจิตนั้นมันชัดเจนของมัน ถ้ามันยกขึ้นสู่วิปัสสนาๆมันใช้ปัญญาของมันไป นี่วิถีแห่งจิตๆ ที่มันมีการกระทำ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพระอานนท์นะ“เธอจงบอกบริษัท ๔ นะ ให้ปฏิบัติบูชาเราเถิด ให้ปฏิบัติบูชาเราเถิด” ถ้ามีการกระทำอย่างนี้ มีการปฏิบัติบูชาอย่างนี้ นี่ไง พระพุทธศาสนาเกิดที่นี่

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสรู้ที่โคนต้นโพธิ์นั้นโคนต้นโพธิ์นั้นเป็นเรื่องโลกธาตุ ร่างกายขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นธาตุ ๔เวลามนุษย์เกิดมามีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ คือความรู้สึกนึกคิดที่อยากกระทำสิ่งที่อำนาจวาสนาบารมีเต็มๆ เต็มมาตรงนี้ เต็มมาที่อำนาจวาสนาบารมี ที่ความรู้สึกนึกคิดต่างๆมีความปรารถนา แต่มันยังไม่เกิดการกระทำ

เวลาเกิดการกระทำปฐมยามกำหนดลมหายใจเข้าและลมหายใจออกอานาปานสติเวลามันสงบระงับขึ้นมา เวลาจิตมีกำลังขึ้นมาบุพเพนิวาสานุสติญาณ ตั้งแต่พระเวสสันดรไปเลย รู้หมด แล้วจิตดวงใดก็รู้ทั้งนั้น เพราะอำนาจวาสนาของท่านอำนาจวาสนาที่สร้างมา เวลามันไม่ใช่ทางๆเพราะอะไรเพราะไปศึกษากับเจ้าลัทธิต่างๆ๖ ปี มันรู้อยู่แล้วว่าเขายกย่องสรรเสริญ เขาเชิดชูมาทั้งนั้นน่ะมันไม่ใช่ประสบการณ์มันมีอยู่เต็มหัวใจอยู่แล้ว แล้วเรามารู้เอง รู้ด้วยกำลังความจริงของมันมันยังไม่ใช่ๆไม่ใช่เพราะมันเป็นกำลัง กำลังของจิตไง

จิตที่มันย้อนอดีตชาติไปเวลาดึงกลับมาๆอานาปานสติหายใจละเอียดเข้าไป ละเอียดเข้าไปแล้ว เวลามัชฌิมยามจุตูปปาตญาณจิตดวงใดที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ จิตที่ยังไม่ได้ทำลายอวิชชาถ้ามันมีอดีตอนาคตอย่างนี้ไงอนาคตที่ควรกระทำไง เพราะปัจจุบันนี้กระทำสิ่งใดมันจะมีผลของมันไง ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วไง ถ้าปฏิบัติแล้วอนาคตมันจะไปรู้ของมัน รู้เห็นไปหมด ดึงกลับเพราะมันไม่ใช่เรื่องของเราเวลาเรื่องของเราคือกลับมา กลับมาอาสวักขยญาณในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาชำระล้าง จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลสจิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้เป็นผู้ข้ามพ้นกิเลส นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงไว้ในพระไตรปิฎก ในอวิชชา ในปัจจยาการ

แต่เวลาเป็นความจริงๆความจริงในใจอำนาจวาสนาบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาชำระกิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจนี่อาสวักขยญาณ แรงงานๆงานอย่างนี้งานของผู้ประเสริฐไง ถ้างานอย่างนี้แล้ว พญามารจะค้นหาไม่ได้พญามารจะไม่เจออีกแล้วพญามารจะตามจิตดวงนี้ไม่พบอีกแล้ว ไม่มีสิ่งใดนะ จิตดวงนั้น ธรรมะในใจดวงนั้นชัดเจนๆของท่าน

เพราะอวิชชาทำให้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ นี่มันไม่มีอวิชชาวิชชาคือการกระทำของเรานี่ไง แล้วเวลามันพ้นไป อรหัตตมรรค เวลาเกิดอรหัตตผลมรรค ๔ ผล ๔แล้ว ๑ นิพพานเป็นอย่างไรนิพพาน ๑ เป็นอย่างไร อรหัตตมรรค อรหัตตผล แล้วนิพพาน๑ ล่ะ

เพราะระหว่างอรหัตตมรรค อรหัตตผลนี้มันเป็นเหตุและเป็นผลของมันอยู่ เหตุและผลเป็นบุคคล ๔คู่ ๔ คู่ที่มีการกระทำขึ้นไป จิตนี้พัฒนาการเป็นชั้นๆๆ ขึ้นไปชั้นๆ ขึ้นไป มันมีการกระทำของมันขึ้นไป เว้นไว้แต่ขิปปาภิญญาทำทีเดียวสำเร็จในหัวใจนั้น ถ้าสำเร็จในหัวใจนั้นก็จบสิ้นกระบวนการของมัน เขาทำงานจบสิ้นของเขา แต่งานของเรายังไม่จบสิ้น งานของเรายังไม่จบสิ้นเราทำงานของเรา ทำงานของเรา ทำงานของเราด้วยเทวดาอินทร์ พรหมชื่นชมนะ

เวลาเราประพฤติปฏิบัติเวลาเราเข้าป่าเข้าเขา เราเห็นคนทำคุณงามความดีทุกคนก็ชื่นชมทั้งนั้นน่ะเราเห็นเด็กดี เราก็ภูมิใจ แรงงานเด็กๆ สามเณร ๗ขวบเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาได้แรงงานเด็กถ้าในครอบครัวของเรา นี่คือการอบรมบ่มเพาะนะเด็กให้มันรู้จักรับผิดชอบ เด็กของเรา

มันเป็นทางโลก ทางโลกเขาก็ตั้งกติกากันมา ใครมีอิทธิพลมากกว่าก็เอารัดเอาเปรียบกันทั้งนั้นน่ะ นั่นมันเป็นเรื่องของสังคมเรื่องของโลกเรื่องของวัฏฏะ

แต่ถ้าเรื่องของเราๆ เราต้องการคุณงามความดี ต้องการคุณงามความดีเราก็อบรมบ่มเพาะของเรา ใครจะอบรมบ่มเพาะขึ้นมาให้เป็นคนดี ถ้าเป็นคนดี มันก็ต้องมีการฝึกหัด มีการประพฤติปฏิบัติขึ้นมา คนที่เขามีวุฒิภาวะ เขาสอนลูกของเขาอย่างนั้น เขาดูแลลูกของเขาอย่างนั้นเพราะดูแลลูกของเขาอย่างนั้นมันสมวัยไง

วัยของเด็กมันไร้เดียงสา มันแจ่มใสเราก็ต้องคอยฝากฝังขึ้นไปค่อยๆ ซับมันขึ้นไป พอโตขึ้นมาต้องรับผิดชอบมากขึ้นๆ เวลามีการศึกษา เวลามีหน้าที่การงานเขาต้องรับผิดชอบของเขา เขาต้องเข้าไปอยู่ในสังคมของเขา

ในสังคมนั้นหน้าไหว้หลังหลอก หน้าไหว้หลังหลอกทั้งนั้นแล้วถ้าเด็กของเรา คนของเราไม่มีสติปัญญาให้แยกแยะได้ว่าสิ่งใดควรสิ่งใดไม่ควร สิ่งใดควรสิ่งใดไม่ควรสิ่งนี้ให้มันมีสติปัญญา มีสติปัญญาแยกแยะได้ว่าอะไรผิดอะไรควรหรือไม่ควร ถ้าอะไรควรหรือไม่ควร นั่นเป็นเรื่องของสังคมนะ ถ้าเรื่องสังคมก็ย้อนกลับมาในหัวใจด้วยถ้าหัวใจมันมีสติมีปัญญา มันมีวุฒิภาวะ มันจะเข้าใจสิ่งนี้เข้าใจสิ่งนี้มันเป็นเรื่องโลก

คำว่า“เรื่องโลก” มันยังน่าเบื่อหน่าย น่าเบื่อหน่ายมากนะแต่มันเป็นความจำเป็นน่ะ มันเป็นความจำเป็นเพราะเราเกิดมาเป็นมนุษย์ใช่ไหม เกิดเป็นมนุษย์ เราอยู่ในสังคมมนุษย์มนุษย์เป็นสัตว์สังคมๆ มันต้องอยู่ด้วยกันใช่ไหม

มนุษย์อยู่คนเดียว เราก็ทำเอง สมัยโบราณการคมนาคมยังไม่สะดวก หมู่บ้านใดก็ต้องทำขึ้นมาเองทั้งนั้นน่ะของใช้ของสอยเราทำของเราเองทั้งนั้นน่ะ แต่ในเมื่อการคมนาคมมันสะดวกขึ้นมามีการคมนาคมสะดวกขึ้นมา ทุกอย่างมันก็เจือจานกันได้ไปหมดแหละ เวลาเจือจานได้ไปหมดมันก็เป็นการสื่อสารการต่างๆถ้ามันมีวุฒิภาวะมีสติปัญญา มันจะเข้าใจได้ แล้วพยายามพาชีวิตเราไม่ให้มันทุกข์มันยากจนเกินไป

แล้วถ้ามีอำนาจวาสนานะคนที่มีอำนาจวาสนาทำสิ่งใดมันก็ประสบความสำเร็จ ถ้าคนอำนาจวาสนาปานกลางทำสิ่งใดประสบความสำเร็จบ้าง ล้มลุกคลุกคลานบ้างคนที่ไม่มีอำนาจวาสนาทางโลกนะ เพราะอะไรเพราะสมัยพุทธกาล เวลาพระสีวลีเป็นพระอรหันต์ที่มีลาภสักการะมหาศาลเลย เพราะท่านทำของท่านไว้มาก เวลาเขาทำคุณงามความดีที่ไหน เขาจะเชิญไปเป็นหัวหน้า หัวหน้าก็ต้องเป็นผู้ที่จับจ่ายใช้สอยมากกว่าเขา ว่าอย่างนั้นเถอะหัวหน้าก็ต้องเป็นผู้นำ

เวลาพระอรหันต์ในสมัยพุทธกาลที่ว่าฉันข้าวไม่เคยอิ่มๆเป็นพระอรหันต์ได้อย่างไรเพราะเราฟังเทศน์ของอาจารย์สิงห์ทองมาก อาจารย์สิงห์ทองท่านบอกเลย นางปฏาจาราๆ ท่านบอกว่า นี่บารมีของพระอรหันต์นะ ทำไมหนีตามผู้ชายไป พระอรหันต์น่ะ พอสุดท้ายก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์

วุฒิของความเป็นพระอรหันต์ ถ้าพระอรหันต์มันต้องมีอำนาจวาสนาใช่ไหม ถ้ามีอำนาจวาสนา ทำไมมันตกต่ำอย่างนั้นทำไมมันทุกข์ยากขนาดนั้น หนีตามคนในบ้านไป ไปอยู่ในป่าในเขา สุดท้ายแล้วเวลาท้องแล้วก็นึกถึงบ้านก็อยากกลับบ้านเพราะเป็นลูกเศรษฐีไปอยู่ในป่าในเขามันทุกข์มันยากสามีก็มาตามกลับไป ลูกคนที่ ๑ลูกคนที่ ๒ ก็อีกแล้ว จะไป ก็ตามกลับมา

คราวนี้หนีเลย หนีไปคืนนั้นฝนตกหนัก ฟ้าผ่าฝนตกหนัก ไฟไหม้ไปทั้งเมืองตัวเองก็หนีฝนมา สามีตามมาเจอไง ก็มาช่วยดูแล พอดูแลเสร็จแล้วหนาวนัก สามีก็จะไปตัดฟืนเพื่อจะมาทำความอบอุ่นไปถึงก็ไปงูกัดตาย พองูกัดตายแล้ว เอาลูก ๒ คนจะไปหาพ่อ ไปถึงน้ำพัดมา น้ำป่าพัดมา เอาลูกคนโตไว้ทางนี้ก่อนอุ้มลูกคนเล็กไปไว้ฝั่งนู้นก่อน พอวางไว้เสร็จกลับมายืนอยู่กลางลำแม่น้ำ นก นกใหญ่นกเหยี่ยวมันเห็นเด็กอ่อนมันก็จะมาโฉบเอา ไล่นก ไอ้ลูกฝั่งนี้ก็คิดว่าแม่เรียก เดินลงน้ำไป จมน้ำตาย ไอ้นกมันก็คาบลูกไป ตายหมดเลยโอ้โฮ! จนเป็นบ้า

เวลาลูกก็ไปแล้วใช่ไหม จะไปตามหาพ่อเวลาไปตาม ไปเจอชาวบ้าน ก็บอกว่าเมื่อคืนฟ้าผ่า ไฟไหม้บ้าน พ่อแม่ตายหมดเลย คราวนี้หมดเลยนะ สามีก็ตาย ลูก ๒ คนก็ตาย พ่อแม่ก็ตาย เสียสติแก้ผ้าวิ่งไปนะ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมอยู่ “ปฏาจาราเธอเป็นอะไร เธอเป็นอะไร”

ฟื้นสติมาฟื้นสติมาก็ขอบวช

นี่อาจารย์สิงห์ทองท่านเทศน์ เราฟังอาจารย์สิงห์ทองเวลาอาจารย์สิงห์ทอง เราคิดถึงครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นธรรม ท่านจะวิเคราะห์ จิตของคนที่เป็นพระอรหันต์นะ คนที่มีอำนาจวาสนาจะเป็นพระอรหันต์ ทำไมมันทุกข์มันยากขนาดนี้ล่ะ ทำไมมันลำบากขนาดนี้ สุดท้ายท่านก็เป็นพระอรหันต์

คำว่า“เป็นพระอรหันต์” นี่นะ ในอภิธรรมบอกว่าต้องสร้างมาแสนกัป ถ้าไม่สร้างอำนาจวาสนามาแสนกัป จิตนี้ หัวใจคนมันไม่มีอำนาจวาสนาพอที่จะย้อนสติปัญญาเข้ามาทวนกระแส ที่เวลาสร้างมรรคสร้างผล ถ้าเป็นความจริงๆ มันต้องมีที่มา วุฒิภาวะของใจๆ ไงวุฒิภาวะ ที่มันสร้างมาพันธุกรรมของจิต จิตที่มันพัฒนาของมันมันจะมีมุมมองมันจะมีสติปัญญาย้อนกลับๆ นี่ผู้ที่สร้างคุณงามความดีมา

เวลาครูบาอาจารย์ท่านพูด เราฟังเทศน์ของอาจารย์สิงห์ทองท่านพูดเลยว่ามันมีอำนาจวาสนาจะเป็นพระอรหันต์นะทำไมเป็นอย่างนั้น

ท่านเองก็เป็น เวลาท่านเป็นท่านก็วิเคราะห์วิเคราะห์วิจัย มันวิเคราะห์ว่า ผลของวัฏฏะๆ ไง จิตเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันมีผลอย่างไร แล้วเวลามันสิ้นสุดมันสิ้นสุดอย่างไร

นี่ไง ถ้าของเรา เราก็เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะเหมือนกันใช่ไหม เราก็มีหัวใจใช่ไหมเราศึกษาสิศึกษาชีวิตของครูบาอาจารย์ชีวิตที่ท่านมีคุณธรรม ท่านทำตัวอย่างไรแล้วมีมุมมองอย่างไร ไอ้มุมมองความรู้สึกนึกคิดนี้สำคัญมาก เพราะไอ้มุมมองความรู้สึกนึกคิดมันเกิดจากจิตความคิดเกิดจากจิตๆ แล้วความคิดเกิดจากจิตแล้วต้องมาชำระล้างมันให้มันเข้ามาสู่จิตมันได้ เข้ามาตัวตนของเรา

“สมาธิเป็นตัวตนนะสมาธิเป็นตัวตนนะ”...ขอให้เอ็งเป็นตัวตนเถอะตัวตนเอ็งยังไม่เคยเห็น ตัวตนเอ็งยังไม่รู้จัก เอ็งมีแต่อุปาทาน เอ็งมีแต่ความคิดร้อยแปด เอ็งเข้าสู่สมาธิไม่เป็น ถ้าเอ็งเข้าสู่สมาธิเป็น เอ็งไม่พูดอย่างนี้หรอก

ถ้าสัมมาสมาธิมันยกขึ้นสู่วิปัสสนา มันเกิดวิปัสสนาญาณขึ้นมา มันเกิดความแจ่มแจ้งขึ้นมา มันเกิดการงานขึ้นมา มันเกิดมรรคขึ้นมา มันจะมหัศจรรย์จิตของตนเลย มันจะมหัศจรรย์ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรมๆ เอ็งจะเห็นคุณธรรมอันนั้นเลย

ไอ้นี่บ้าๆเซ่อๆ โง่ๆ เซ่อๆนะ บ้าๆ บอๆว่างๆ เวิ่งๆ ว่ากันไป

รสของธรรมนะ รสของคุณธรรมมันปากเปียกปากแฉะพูดกันพล่อยๆ อย่างนั้นหรือ รสของธรรมชนะซึ่งรสทั้งปวง รสของธรรม แล้วมันอยู่ไหนล่ะ ถ้ามันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมามันจะมีรสมีชาติ มันจะมีความมั่นคงของใจ มันจะมีสัจจะมีความจริงขึ้นมา นี่ไง งานอย่างนี้เป็นงานของมนุษย์มนุษย์ทำขึ้นมาเป็นความจริงขึ้นมา มันจะเป็นคุณธรรมในใจของเรา เพื่อประโยชน์กับใจดวงนี้นะ

วันสำคัญทางโลกเขา เขาเห็นคุณค่า นั่นคุณค่าเพราะเขาเห็นเรื่องระบบเศรษฐกิจ เห็นคุณค่าของความเป็นมนุษย์ไง เห็นคุณค่าของสิทธิเสรีภาพไง แต่สิทธิเสรีภาพทางเศรษฐกิจ สิทธิเสรีภาพทางสิทธิ

แต่ถ้าเป็นธรรมๆ นะสิทธิของใจความเสมอภาคภราดรภาพจิตใจที่ไม่มีสูงไม่มีต่ำ จิตใจที่เป็นสัจจะความจริง เวลาใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่กราบธรรมๆ คุณธรรมในใจสำคัญ ถ้าสำคัญ เราแสวงหาของเราเรากระทำของเราเพื่อประโยชน์กับใจของเรา เอวัง