เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๘ พ.ค. ๒๕๖o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๕๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ฟังเทศน์เนาะ ฟังเทศน์ไม่ใช่ด่า ฟังเทศน์เทศน์เพื่อเตือนหัวใจของเราไงมนุษย์เป็นสัตว์สังคม สัตว์สังคมอยู่ด้วยตัวเองไม่ได้ สัตว์สังคม เราต้องแบ่งหน้าที่การงานกันทำ พอแบ่งหน้าที่การงานทำแล้วเรามาจุนเจือกันในสังคมนี้ มนุษย์เป็นสัตว์สังคมทีนี้สัตว์สังคมขึ้นมาแล้วมันมีดีมีเลว ถ้ามีดีมีเลวมันอยู่ที่พันธุกรรมของจิตๆ

พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก เห็นไหม พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูกทุกคนก็อยากให้ลูกเราประสบความสำเร็จอยากให้ลูกเรามีสติมีปัญญา มันเป็นกรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆกัน เวลากรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน ลูกที่เป็นอภิชาตบุตรลูกที่ดีกว่าพ่อกว่าแม่นะ เวลาเกิดมาจากพ่อจากแม่ ทำสิ่งใดประสบความสำเร็จยิ่งกว่าพ่อกว่าแม่อีกแต่ลูกส่วนใหญ่แล้วเกิดมามันมีความผูกพัน มันต้องมีที่มาที่ไปสินี่สายบุญสายกรรมๆ

หลวงตาท่านพูดประจำนะเวลาทำโครงการช่วยชาติ ลูกศิษย์ของท่านที่เป็นลูกศิษย์ที่ก้นกุฏิเลยคัดค้านท่าน ไม่เห็นด้วยกับท่านแยกตัวออกไปเลย เวลาคนที่เชื่อท่าน ท่านบอกไอ้คนเชื่อฟังกันมามันมีสายบุญสายกรรมกันมา คือพูดสิ่งใดแล้วมันตรงกับจริตไง มันตรงกับความชอบของตนไง ตรงกับความเห็นของตนแต่พูดไปแล้ว ถึงมันจะเป็นธรรมแต่มันไม่ตรงกับความเห็นของเราไง ถ้ามันไม่ตรงกับความเห็นของเรา เราก็คัดค้านเราก็คัดค้านในใจของเรา ถ้าคัดค้านในใจของเรา

พระเราก็เป็นแบบนั้น ดูสิเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสั่งสอนเทศนาว่าการ ลูกศิษย์ของท่านมหาศาลเลย เอตทัคคะ ๘๐องค์ พระอรหันต์ความเป็นพระอรหันต์เหมือนกันต้องอริยสัจ ต้องบรรลุสัจธรรมอันเดียวกัน ดูอริยสัจทุกข์ สมุทัย นิโรธมรรค เวลามรรคญาณเกิดขึ้นทำลายอวิชชาทำลายกิเลสไปแล้ว แต่เอตทัคคะ๘๐ องค์ ๘๐ องค์คือความชำนาญ๘๐ อย่าง ความชำนาญคือจริตนิสัย คือความชอบของคนแตกต่างกัน แต่ความชอบส่วนความชอบสิ อริยสัจเป็นอริยสัจสิ ความเป็นจริง ความเป็นจริงต้องฆ่ากิเลสเหมือนกันหมดไง ถ้าฆ่ากิเลสไม่เหมือนกัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพยากรณ์ได้อย่างไร

นั่นไง พระอรหันต์เอตทัคคะ๘๐ ความชำนาญถ้า ๘๐ ความชำนาญ สิ่งที่ความชำนาญความชำนาญของเขา แต่เวลาเป็นความจริง ความจริงเป็นอริยสัจฉะนั้น ความชำนาญ ความเห็นต่างๆ มันแตกต่างกันไป

คนเราเกิดมามีดีมีเลว มีดีมีชั่ว ถ้ามีดีมีชั่ว มันมีดีมีชั่วอยู่ที่ไหนล่ะ มันมีดีมีชั่วอยู่ในใจเรานี่แหละธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอาที่นี่ หลวงตาท่านพูดประจำ หลวงตาท่านสอนๆ เราเน้นหลวงตา เน้นหลวงปู่มั่นเพราะอะไร เพราะนี่เป็นความจริงๆ สิ่งที่สัมผัสธรรมได้สัมผัสธรรมได้คือหัวใจของคน พระไตรปิฎกมันก็กระดาษพิมพ์กระดาษที่เขาพิมพ์ เขาพิมพ์เป็นหนังสือนิทานก็ได้ พิมพ์เป็นหนังสือตำราก็ได้จะพิมพ์สิ่งใดก็ได้มันก็เปื้อนหมึกเหมือนกันทั้งนั้นน่ะ มันเป็นตัวเรียงพิมพ์ๆ มันสัมผัสอะไรล่ะ เราไปอ่านมันต่างหาก

เวลาอ่านขึ้นมาแล้วเราไปศึกษามาๆ ศึกษานี้เป็นความรู้ของเรา เวลาศึกษามา“พุทธพจน์ๆ” สาธุนั่นเป็นพุทธพจน์สิ่งที่พุทธพจน์มันในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านเทศนาว่าการขึ้นมา จดจำกันมาแล้วเราก็จดจารึกกันมา แล้วก็มาศึกษากันแล้วก็ตีความ วิธีการทั้งนั้น ที่เราเถียงกันอยู่นี้ เราเถียงเรื่องวิธีการทำนะเราเถียงถึงวิธีการประพฤติปฏิบัตินะ เราไม่ได้บอกถึงผลของมันเลย

แต่ครูบาอาจารย์ของเราท่านพูดถึงผลนะท่านพูดถึงความเป็นจริงนะ ถ้าความเป็นจริง ศีลสมาธิ ปัญญา มันเป็นอย่างไร ถ้าศีล สมาธิ ปัญญามันเป็นปัญญาขึ้นมา สิ่งที่มันจะเป็นศีลขึ้นมา ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติคนที่ไม่ปฏิบัติยังไม่เข้าใจเรื่องนี้ถ้าคนที่ปฏิบัตินะเวลาเขาอยู่ในป่าในเขา เวลามันผิดเล็กผิดน้อยมันกังวลใจไปหมดล่ะ มันจะปลงอาบัติๆ ไง ปลงอาบัติเพื่อเดี๋ยวไปภาวนามันจะได้ลงไง

ถ้าภาวนามันไม่ลงนะ เรามีอะไรกังวลใจอยู่ไปนั่งภาวนากิเลสมันยุมันแหย่นะ “เอ็งโกหก เอ็งเพิ่งทำความผิดมา” มันภาวนาไม่ลงหรอก คนภาวนามันจะรู้หลอกใครก็หลอกได้ทั้งนั้นน่ะ หลอกทุกคนได้หมดเลยหลอกตัวเองไม่ได้แล้วตัวเองเป็นคนทำขึ้นมาเองไง

แล้วถ้าเป็นความจริงๆขึ้นมา สิ่งที่เกิดมามันดีและชั่ว ดีและเลว แล้วดีและเลวมันดีและเลวที่ไหนล่ะ มันดีและเลวในใจของเรานี่ เห็นไหม มนุษย์เป็นสัตว์สังคมสังคมเขาจะดีเขาจะชั่วนะ เราจะบังคับสังคมไม่ได้มันอยู่ที่อำนาจวาสนาของเรานะในที่ทำงานของเรามีแต่คนที่เห็นใจกัน คนที่เข้าใจกัน โอ๋ย! มีความสุขมาก ในที่ทำงานของเรามีแต่ความขัดแย้งมีแต่คนเห็นแก่ตัวมีแต่คนกลั่นคนแกล้ง เรามีความทุกข์ๆ ทั้งนั้นน่ะแต่ความทุกข์นั้นเราไปแก้ไขเขาได้ไหมล่ะ เราไปแก้ไขไม่ได้มันก็มาตรอมใจไง

แต่ถ้าคนมีธรรม มันมีเพื่อนที่ทำงานที่ดี มีสิ่งต่างๆ ที่ดี โอ้โฮ! บุญกุศลเนาะ เราได้สร้างบุญกุศลมาเนาะ วาระที่มีความสุข แต่ถ้ามันมีสิ่งที่กระทบกระเทือนมานะ มีการบีบคั้นในที่ทำงานนะ โอ้! คราวนี้มันมีเวรมีกรรม เราทำกรรมไว้เมื่อไหร่ก็ไม่รู้มันรักษาที่หัวใจของเรา ทำให้หัวใจของเรามีสติมีปัญญาไม่ไหลไปตามอารมณ์นั้น ไม่ไหลไปตามสิ่งแวดล้อมสภาวะนั้น เราจะไม่ต้องไปทุกข์ไปยากอย่างนั้นไง

เพราะเราต้องเจออย่างนั้นอยู่แล้ว เราจะคิดไม่คิด ปัญหาสังคมมันมีอยู่แล้ว เราจะคิดไม่คิด บ้านเรามีปัญหาอยู่แล้วแล้วมีปัญหาอย่างนั้น เรามีสติปัญญามากน้อยแค่ไหน แต่สติปัญญาของเราถ้ามันต่อเนื่องเนาะใหม่ๆ ก็ทนได้ พอมันนานไปๆ มันไม่ไหวหรอก มันไม่ไหว เราก็พยายามสร้างสติของเรา พยายามสร้างสติของเราเดี๋ยวมันก็ต้องผ่านวาระอย่างนั้นไป มันผ่านวาระไปนะ

มันมีอยู่ครอบครัวหนึ่งเขามาเล่าให้ฟังเขาเสียใจมากเขามีลูกอยู่ ๒ คนแล้วลูก ๒ คนนะเวลามีปัญหา แม่เป็นหมอนะ อยากให้ลูกเป็นคนดีมาก ก็สอนลูกไงแล้วเขาแอบได้ยินลูกมันคุยกัน “เรากัดฟันทนเนาะ เดี๋ยวเราเรียนจบ มีหน้าที่การงาน เราก็บินได้แล้ว เราก็ไปจากเขาเนาะ”

แม่ไปได้ยินมาแล้วเสียใจมาก มาปรึกษาเรา มาพูดให้ฟังว่าลูกมันพูดกันอย่างนี้ทั้งๆ ที่เราปรารถนาดีนะ เราอยากให้ลูกเป็นคนดีใช่ไหม เราก็อบรมสั่งสอนนะมัน ๒ คนพี่น้องไปปรึกษากัน “อดทนเถอะ อดทน เราทนไป พอเราเรียนจบแล้ว เรามีหน้าที่การงานแล้ว เราก็บินไปแล้วล่ะเราไม่ต้องมาโดนกดดันอย่างนี้”

ใช่ มันก็คิดอย่างนั้นแหละแต่ความคิดมันความคิดของเด็กๆ ไง แต่พ่อแม่ได้ยินพ่อแม่ก็กระเทือนใจไงแล้วไอ้เด็กอย่างนี้เวลามันโตขึ้นมามันมีครอบครัวของมันขึ้นมา มันไปมีลูกมีหลานมันก็สั่งสอนแบบที่มันโดนพ่อแม่มันสั่งสอนมานั่นแหละ พ่อแม่คนไหนจะให้ลูกเราผิดพลาดใช่ไหมแต่เวลามันได้ยินได้ฟังมามันก็กระเทือนใจใช่ไหม ถ้ามันสะเทือนใจสะเทือนใจมันก็เป็นวุฒิภาวะ แล้ววุฒิภาวะของเขาอย่างนั้นก็เป็นอย่างนั้นไง

ในใจของเรา พอคนเรารัตตัญญู ถ้าเราโตขึ้นมา เรามีสติปัญญาขึ้นมาอายุขัยเราขึ้นมาประสบการณ์ของเราขึ้นมา มันจะอบรมสั่งสอนเราถ้าอบรมสั่งสอนเราขึ้นมา นี่เป็นเรื่องโลกๆ นี่เรื่องโลกๆ เลย ยังไม่ได้เป็นธรรมเลย

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรมๆ กราบธรรมที่ไหน เวลากราบธรรม ศีลสมาธิ ปัญญา ศีลสมาธิ ปัญญานี่ก็เป็นกิริยานะ เป็นฝ่ายมรรค เวลาฝ่ายผล มรรค ๔ผล ๔ บุคคล ๔ คู่เวลามันขึ้นไปแล้ว ถึงที่สุดแล้วมรรคญาณทำลายอวิชชาไปแล้วมันจบ ถ้ามันจบแล้วมันอยู่ที่ไหนล่ะ สิ่งที่เป็นความจริงๆ เป็นอย่างนั้นไง

นี่บอกว่ามันเป็นแค่วิธีการมันเป็นวิธีการแล้วเป็นเรื่องโลกๆ เวลาจะมาปฏิบัติก็ใช้ความคิดอย่างนี้ ถ้าความคิดอย่างนี้เขาเรียกโลกียปัญญา ปัญญาอย่างนี้ปัญญาเกิดจากการศึกษา ปัญญาเกิดจากการค้นคว้าปัญญาการศึกษาการค้นคว้าเป็นโลก เป็นวิชาชีพใครมีอาชีพสิ่งใดก็ใช้สิ่งนั้น แล้วก็เอาปัญญานี้มาตรึกธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ถ้าคนมีสติปัญญา มีครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นจริงนะท่านจะบอกว่า นั่นน่ะเป็นปัญญาอบรมสมาธิปัญญาอย่างนี้เป็นปัญญาเกิดจากเราไง ปัญญาเกิดจากภวาสวะปัญญาเกิดจากภพ ถ้าเป็นภาษาเราเขาเรียกว่าปัญญาเกิดจากกิเลส

กิเลสคืออวิชชา คือความไม่รู้ ปัญญาเกิดจากความไม่รู้ไม่รู้ตัวไม่รู้ตนเลยมันคิดขึ้นมาได้มันเป็นประโยชน์อะไร มันเป็นประโยชน์ก็เป็นประโยชน์จำมานี่ไง มันเป็นความจำๆ ความจำธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาแล้วความจำขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา ไปศึกษาธรรมไง

คำว่า“ธรรม” ธรรมมันก็มีรสมีชาติใช่ไหมศึกษาแล้วมันก็มีเหตุมีผลใช่ไหมกิเลสมันสู้ไม่ได้หรอก ด้วยเหตุด้วยผล กิเลสมันต้องหมอบลง พอหมอบลง อู๋ย! สดชื่น แหม! สุดยอดๆ มันเป็นโลกียปัญญา ถ้ามันมีสติปัญญาขึ้นมา มันจินตนาการมากขึ้น มันจะเป็นจินตมยปัญญา มันจะเกิดภาวนามยปัญญาขึ้นมาไม่ได้เลย มันเกิดภาวนามยปัญญาขึ้นมาไม่ได้เพราะว่าจิตมันไม่สงบไงถ้าจิตมันสงบเข้ามาแล้วเป็นสัมมาสมาธิ พอสัมมาสมาธิ ถ้ามันน้อมไปเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิตเห็นธรรมตามความเป็นจริง

ที่ขี้โม้ คุยโอ้คุยอวดไง“ปฏิบัติแนวทางสติปัฏฐาน ๔ปฏิบัติแนวทางสติปัฏฐาน ๔”

แต่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านบอกว่าทำความสงบของใจเข้ามาก่อน ให้ใจมันสงบระงับเข้ามาก่อน

คนที่ทำงานขึ้นมา คนที่ทำงานมันต้องเข้มแข็งใช่ไหมคนที่ทำงานมันต้องมีสุขภาพดีใช่ไหม สุขภาพกาย สุขภาพใจที่ดีจะทำงานที่ดีใช่ไหม จิตใจของคนมันมีแต่อวิชชา มีแต่ความไม่รู้ แล้วปัญญาที่เกิดขึ้นก็เป็นโลกียปัญญาปัญญาจินตนาการขึ้นมาสิ่งที่จินตนาการขึ้นมา จินตนาการโดยกิเลส ทั้งๆ ที่เป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าอ้างพุทธพจน์ๆ พุทธพจน์ก็จำมาไง

พุทธพจน์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนาอะไรองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพระอานนท์ตอนที่ท่านจะปรินิพพานไง“อานนท์ เธอบอกบริษัท ๔ นะให้บูชาเราด้วยการปฏิบัติเถิด”

เขาเอาดอกไม้ธูปเทียนไปบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไงอย่าให้เขาเป็นอามิสบูชาเลย ที่เรามาทำบุญกุศลนี่อามิสทั้งนั้นน่ะของที่ได้มา ของวัตถุเป็นอามิสทั้งหมด เป็นอามิสเพราะอะไร เพราะจิตใจเรายังอ่อนด้อยไง จิตใจเรายังไม่สามารถนั่งตลอดรุ่งได้ไงจิตใจเราไม่สามารถเข้าสู่ทางจงกรม เข้าสู่นั่งสมาธิภาวนาเพื่อหาหัวใจของเราได้ไง เพราะเรายังไม่เคยประพฤติปฏิบัติไง แค่เอาอาหารมาทำบุญเราก็ยังเป็นทุกข์เป็นยากขนาดนี้แล้ว สิ่งที่หามาหามาด้วยความทุกข์ความยากกว่าจะเสียสละได้ขึ้นมา กิเลสมันก็ปลิ้นปล้อน มันจะเสียสละมันก็เสียสละขึ้นมาเกือบเป็นเกือบตาย นี่เป็นอามิสๆ ของที่เป็นอามิส อย่างนี้ที่เรามาทำบุญกุศลกันนี่ เราทุ่มเทกันอยู่นี่

แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้บอกนะ บอกว่าให้บริษัท ๔ภิกษุ ภิกษุณีอุบาสก อุบาสิกาปฏิบัติบูชาเราเถิด ปฏิบัติบูชาเราเถิด ปฏิบัติบูชาก็นั่งสมาธิไงทำทานร้อยหนพันหนไม่เท่ากับจิตสงบหนหนึ่งเวลาจิตสงบร้อยหนพันหนไม่เท่ากับเกิดภาวนามยปัญญาขึ้นมาหนหนึ่ง แล้วภาวนามยปัญญามันเกิด มันเกิดที่ไหนมันเกิดขึ้นมาอย่างไร มันเกิดขึ้นมาไม่ได้ มันไม่มีมรรคไม่มีผลมันก็ไม่มีเหตุทั้งนั้นน่ะ แล้วก็ว่าพุทธพจน์ๆ

สาธุ พุทธพจน์นะ เราบวชเป็นพระ ถ้าเราไม่ลงใจพระพุทธพระธรรม พระสงฆ์ เราเป็นสามเณรไม่ได้การเป็นสามเณรจะต้องถึงไตรสรณคมน์ เวลาถึงไตรสรณคมน์พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราต้องถือรัตนตรัยก่อน เราถึงจะเป็นสามเณร พอเป็นสามเณรถึงอุปสมบทขึ้นมาเป็นพระ แล้วถ้ามันขัดมันแย้งกับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มันจะเป็นสามเณรได้อย่างไร

แม้แต่ชาวพุทธๆพุทธมามกะ มันต้องถือพระพุทธพระธรรม พระสงฆ์ แล้วถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราพูดถึงพระพุทธพระธรรม พระสงฆ์ พุทธพจน์เป็นคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นคำสั่งสอน เป็นคำชี้แนะเป็นคำชี้นำ ถ้าเป็นความจริงๆขึ้นมา เวลามีสำรับขึ้นมา สำรับมีแต่ถ้วยชามไม่มีอาหารสักชิ้นหนึ่ง เรานั่งมองสำรับกันอยู่ นั่งมองสำรับ ไม่มีอาหารเลย แต่ถ้าสำรับไหนมีอาหารเต็มสำรับนั้นเลย มันก็มีความชื่นใจ มันก็กินได้ใช่ไหม

นี่ก็เหมือนกัน พอปฏิบัติขึ้นมามันมีทาน มีศีลมีภาวนาขึ้นมาในหัวใจ แล้วมีทานมีศีล มีภาวนา มันก็เป็นกิริยา ถ้าเป็นจริงๆ ขึ้นมาหายใจเข้านึกพุทหายใจออกนึกโธใช้ปัญญาๆปัญญาที่เขาบอกว่าพุทธพจน์ๆ น่ะใช้ปัญญาไตร่ตรองไป มีสติปัญญาตามความคิดไป ความคิดดับหมด ความคิดเกิดที่ไหนต้องดับที่นั่น ถ้ามันดับแล้วมันเหลืออะไร

ไอ้นี่มันดับแล้วว่างๆ ว่างๆว่างอะไร เวลาใช้ปัญญาไตร่ตรองไป เวลาปัญญาเหมือนกับเรา เราทำงานจนเหนื่อยล้าแล้วเราก็วางความคิดมันคิดไปถึงที่สุดแล้วมันก็ปล่อย แล้วปล่อยแล้วเหลืออะไร ปล่อยแล้วเป็นอะไร ปล่อยแล้วก็ไม่รู้เรื่องปล่อยไม่เป็น เป็นมิจฉา

นี่ไง พุทธพจน์สอนให้เป็นสัมมา สัมมาคือความจับต้องดีงามได้ ถ้ามันสงบตัวเข้ามามันจับต้องได้สัมมาสมาธิ ถ้าสัมมาสมาธิ จิตสงบแล้วเห็นกายเห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง มันถึงจะเป็นปฏิบัติแนวทางสติปัฏฐาน ๔

ในการกระทำๆ แนวทางสติปัฏฐาน ๔ มันต้องเห็นตามความเป็นจริงสิคือต้องใจเห็น ตาใจเห็น ไม่ใช่ตาเนื้อเห็น ไม่ใช่อุปาทานเห็น ถ้าเห็นอย่างนี้มันเห็นเป็นกิริยาเห็นเป็นวิธีการเท่านั้นน่ะ ความเห็นอย่างนี้มันต้องเห็นอย่างนี้อยู่แล้วแหละเพราะอะไร เพราะความเกิดเป็นมนุษย์ไง มนุษย์มีความรู้สึก มนุษย์มีธาตุ ๔ และขันธ์๕ มนุษย์เป็นสัตว์สังคม ต้องอาศัยสังคมทั้งนั้น แบ่งหน้าที่การงานกันทำ แล้วเอามาเจือจานกันเป็นสังคมนั้นเพื่อความสะดวก เพื่อคุณภาพชีวิต แต่คุณภาพของธรรมล่ะ

มนุษย์เป็นสัตว์สังคม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดเราพูดบ่อยมากเวลาในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ ว่ามนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐๆ แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเตือนไว้นะ มนุษย์โง่กว่าสัตว์ สัตว์มันยังมีเสรีภาพ นกกาที่ในป่าในเขามันจะบินของมันไปโดยอิสรภาพของมัน มนุษย์เกิดมาเป็นสัตว์สังคม แล้วมนุษย์ก็บัญญัติกฎหมายกฎหมายก็รอนสิทธิ์ กฎหมายนั่นแหละเป็นกฎเป็นกติกาครอบคลุมมนุษย์ไว้ไง

มนุษย์โง่กว่าสัตว์ สัตว์มันมีเสรีภาพของมันแต่เวลาเป็นมนุษย์ๆ มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐถ้าคิดทางโลกโอ๋ย! มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐมนุษย์มีกฎหมายสัตว์ในป่าล่าได้ฆ่าได้ มนุษย์ฆ่าไม่ได้ ไอ้นี่คิดมุมกลับไง คิดมุมโลกไง

ถ้าคิดมุมธรรมๆ มันมีสิทธิเสรีภาพที่ไหนถ้ามีสิทธิเสรีภาพขึ้นมาใจของเราจะต้องไม่อยู่ในใต้อำนาจของกิเลสสิ ใจของเราต้องไม่อยู่ใต้อำนาจของตัณหาความทะยานอยากสิใจของเราต้องมีอิสรภาพสิ ไอ้นี่ใจมันตรอมตรมหน้าชื่นอกตรม มีแต่ความทุกข์เผาผลาญ

เรามาทำบุญกุศล ถ้าเราจะเป็นชาวพุทธจริง เราต้องฝึกหัด พอฝึกหัดขึ้นมา เราจะเข้าไปสู่ใจของเราถ้าไปเห็นใจของเรานะ ปลอบประโลมนะ ใจเอ๊ย! เอ็งเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมาไม่มีต้นไม่มีปลายเนาะ มีสติปัญญาขึ้นมา เรามีความหมั่นเพียรของเราเนาะ เราไม่ตื่นไปกับโลก

ที่ตื่นไปกับโลก ที่เขาแข่งขันกันอยู่ในโลก มันตื่นไปกับโลกไง แล้วทิ้งหัวใจของเรา มองข้ามหัวใจ หัวใจไม่มีค่า สิ่งที่มีค่าที่สุดคือยศถาบรรดาศักดิ์ ข้าวของเงินทอง แล้วแต่โลกธรรม ๘แล้วหัวใจโยนมันทิ้งไป โยนมันทิ้งไปโดยความไม่รู้โยนมันทิ้งไปโดยความไม่เข้าใจ

แต่เวลาครูบาอาจารย์ของเราขึ้นมาท่านเอาหัวใจ เข้าป่าเข้าเขาไปละทิ้งมาจากสังคม ละทิ้งมาจากโลก เข้าป่าเข้าเขาไป ไม่ใช่เข้าป่าเข้าเขาไปด้วยความโง่เขลาถ้าเข้าป่าเข้าเขาไปมันเป็นคุณงามความดี สัตว์ป่ามันเป็นพระอรหันต์หมดแล้วช้างป่า เราต้องไปดูแลมันด้วย เดี๋ยวมันมากินพืชไร่ชาวบ้าน ต้องไปดูแลมันน่ะ

มนุษย์เป็นพระ มีสติมีปัญญาเข้าป่าไปเพื่อไม่ให้กิเลสมันฟุ้งซ่าน เข้าป่าไปพอเข้าป่าไปกิเลสมันดิ้นรนตายเลย พออยู่วัดอยู่วา ทุกคนอุปัฏฐากอุปถัมภ์ลูกศิษย์ลูกหามาประเคนของเต็มไปหมดเลย เข้าป่าไปมีแต่ใบไม้มีแต่สัตว์ป่า ถ้ามีก็กระติกน้ำที่สะพายเข้าไปเท่านั้นน่ะ ตอนนี้กิเลสมันดิ้นแล้ว มันดิ้นรนอย่างนั้นไง

เวลาเข้าป่าไปเพื่อฝึกหัดเข้าป่าไปเพื่อมีสติปัญญา ไม่ใช่เข้าป่าไปด้วยความสิ้นไร้ไม้ตอกไม่ใช่เข้าป่าไปโดยคนจนตรอกไม่ใช่เข้าป่าไปเพราะคนใบ้บ้าเข้าป่าไป ไปอยู่แบบสัตว์ เข้าป่าไป เข้าป่าไปด้วยสติด้วยปัญญานะเข้าป่าไปเพื่อค้นหาหัวใจของตน ค้นหาหัวใจของตนใช่ไหม

เวลามันค้นหาหัวใจของตนเจอ เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นครูบาอาจารย์ท่านไปปฏิบัติที่ไหนนะ แล้วท่านได้คุณธรรมที่นั่นท่านจะต้องพลัดพรากจากที่นั่นมานะ ท่านอาลัยอาวรณ์น่ะเดินกลับมาก็หันไปมอง มันมีคุณ ที่ตรงนี้เป็นที่ที่มีคุณ โคนไม้นี้มันมีคุณกับเรา ที่ไหนมีคุณกับเรา โอ๋ย! ระลึกถึงบุญคุณของเขา ระลึกถึงบุญคุณของเขา นี่ไง ท่านไปได้ความสงบที่ไหนเวลาครูบาอาจารย์ท่านคุยกัน คนนี้ไปได้ถ้ำที่นั่น คนนั้นไปได้ป่าที่นั่น มันระลึกถึงคุณเขานะ

ดูหลวงตาสิ เวลาท่านอยู่ที่หนองผือๆ ท่านบอกเลยนะ สมัยหลวงปู่มั่น พระ๕๐-๖๐ มันไม่มีตลาด ชาวบ้านที่เขาทำมาหากินโดยน้ำมือน้ำพักน้ำแรงของเขาไม่มีสินค้าที่ซื้อขายได้ ต้องกระเหม็ดกระแหม่ทำแสวงหามาเพื่อดูแลพระหลวงตาท่านระลึกถึงคุณของชาวบ้านนั้นที่ดูแลพระ ๕๐-๖๐ องค์นั่น ระลึกถึงคุณเขาๆ

นี่ก็เหมือนกัน เข้าป่าไปๆ ถ้ามันไประลึกถึงที่ไหน มันไม่ใช่เข้าไปแบบคนจนตรอก ไม่ได้เข้าไปแบบสัตว์ บอกไปอยู่ป่าๆ สัตว์ป่ามันก็อยู่ป่า แต่มันเป็นเดรัจฉาน มันไม่มีโอกาสเหมือนมนุษย์มนุษย์มีโอกาสไงแล้วไปอยู่ป่าทำไมล่ะ

คนที่เขาไปอยู่ป่านะ เขาไปอยู่ป่าเพื่อสภาพแวดล้อมไปอยู่ป่าเพื่ออากาศที่บริสุทธิ์แต่ของเราไปอยู่ป่า เราต้องการหาหัวใจของเรา เริ่มต้นต้องการหาหัวใจของเรา ต้องมีศีล มีสมาธิ มีปัญญา ถ้ามันจะมีสมาธิขึ้นมา อะไรทำให้เป็นสมาธิล่ะ แล้วที่พูดอยู่นี่สมาธิมันอยู่ที่ไหนทั้งๆ ที่เราเกิดมามีกายกับใจๆแล้วโยนทิ้งหัวใจนั้นไป สิทธิของหัวใจไม่เคยรักษารักษาแต่สิทธิของร่างกายนี้ รักษาแต่สิทธิที่มันจะเอาชนะกัน แต่สิทธิของใจ สิทธิของใจไม่เคยดูแลมันเลย แล้วกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันก็ปลิ้นปล้อน พุทธพจน์ๆ พอจำได้ท่องได้ก็พุทธพจน์

สาธุ พุทธพจน์ก็สอนให้ปฏิบัติ อันนั้นเราก็ท่องจำมา แล้วเราก็พยายามปฏิบัติให้มันเป็นขึ้นมา ถ้าเป็นขึ้นมานะ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต ผู้ใดเห็นธรรมจะรู้ถึงอารมณ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าปรารถนาสิ่งใดจะรู้ถึงอารมณ์ของครูบาอาจารย์ของเราท่านทำมาเพื่ออะไร ท่านทุกข์ยากมาทำไม

ทั้งๆ ที่หลวงตาท่านพูดว่าหลวงปู่มั่นเป็นพระอะไร หลวงปู่มั่นท่านเป็นพระอรหันต์ๆ ท่านเก็บหอมรอมริบ ท่านไม่ก้าวล่วงวินัยแม้แต่ข้อเดียว มีสิ่งใดท่านก็ทำไว้ๆ ทำไว้เป็นแบบอย่าง ทำไว้ให้ลูกให้หลานให้มันมีแบบอย่าง ให้มันเอาสิ่งนั้นเป็นแบบอย่างไง

เราอ่านมาเราก็งงพระพุทธเจ้าสอนอะไร ทำอะไร งงไปหมด แล้วก็ตีความไปเรื่อยตีความก็สุขภาพกาย สุขภาพใจตีความไปเรื่อยก็เรื่องโลกๆ ทั้งนั้นน่ะ แต่ไม่เคยเห็นธรรมเลย

ถ้าเป็นธรรมแล้วนะธรรมเหนือโลกสภาวะธรรมมีคุณค่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรม วิมุตติสุขในหัวใจมันมีคุณค่าขนาดไหน แล้วถ้ามีคุณค่าได้ ครูบาอาจารย์ท่านอยู่ป่าอยู่เขาของท่าน ท่านมีความสุขๆๆ ความสุขนั้นสุขที่เกิดจากใจสงบระงับ สุขจากใจที่ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต เอวัง