เทศน์บนศาลา

ขุดทองได้ทอง

๒๓ มิ.ย. ๒๕๖o

ขุดทองได้ทอง
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์บนศาลา วันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๐
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

ตั้งใจฟังธรรมะ ตั้งใจฟังธรรม ฟังธรรมเพื่อสัจธรรมในหัวใจนะ สัจธรรมในหัวใจ เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสวงหาๆ เรามีศาสดาไง เราเกิดมามีพ่อมีแม่ เวลาพระบวชมาพระมีอุปัชฌาย์ อุปัชฌาย์อาจารย์เลี้ยงดูฟูมฟักเรามา เห็นไหม ถ้าฟูมฟักเรามา ฟูมฟักเรามาเพื่ออะไร นี่อุปัชฌายวัตร อาจริยวัตร อาคันตุกวัตร วัตร ข้อวัตรต่างๆ ไว้ให้เพื่อประพฤติปฏิบัติ 
เวลาเราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เกิดมาเป็นมนุษย์มีพ่อมีแม่ เวลาพ่อแม่เป็นแดนเกิด แต่เวลามาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีกรรมเป็นแดนเกิด ถ้ามีกรรมเป็นแดนเกิด เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา ใครมีความสมัครใจจะใช้ชีวิตทางโลก ถ้าใช้ชีวิตทางโลกของเขา เขาก็ไปศึกษาธรรมะของเขาเพื่อเป็นสัจจะในชีวิตของเขา มีครอบครัวของเขา เขาก็ดูแลครอบครัวของเขา ถ้าใครไม่มีครอบครัว เขาก็พยายามดำรงชีวิตของเขาเป็นพรหมจรรย์ 
นี่พูดถึงทางโลกนะ แต่คนมีศรัทธามีความเชื่อของเขา เขาออกบวช เวลาออกบวชขึ้นมาต้องมีอุปัชฌาย์ อุปัชฌาย์อาจารย์ยกเข้าหมู่ ถ้ายกเข้าหมู่แล้วมีความกตัญญูกตเวที เราเกิดจากพ่อจากแม่ พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก เพราะพ่อแม่ให้ชีวิตนี้มา ถ้าพ่อแม่ให้ชีวิตนี้มา เห็นไหม ให้มาเพื่ออะไร นี่โซ่ทองคล้องใจ พอมีครอบครัวแล้วก็อยากมีลูกมีเต้า เพื่อสืบทอดชาติตระกูลของเขา เพื่อความมั่นคงของเขา
เราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรามีศรัทธา เรามีความเชื่อของเรา เราจะบวชพระ คนที่มีความมั่นคงอยากบวชกับหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นท่านไม่ได้เป็นอุปัชฌาย์ พอไม่ได้เป็นอุปัชฌาย์ก็ไม่ได้บวชกับท่าน เวลาบวชกับท่านคนที่มีการศึกษาแล้วอยากจะประพฤติปฏิบัติไปหาหลวงปู่มั่น จะไปบวชกับหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นท่านให้เป็นปะขาว เป็นปะขาว ๓ ปี ๘ ปี จนกว่าจะฝึกหัดดัดแปลงนิสัยของตนให้รู้จักข้อวัตรปฏิบัติ สวดมนต์สวดพรให้ได้ ท่องปาฏิโมกข์ได้ ตัดผ้าผ่อนได้ท่านถึงให้บวช พอบวชขึ้นมาแล้วบวชขึ้นมาในพระพุทธศาสนา ก็เอาไปบวชกับอุปัชฌาย์ เพราะอุปัชฌาย์บวชตามธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาครูบาอาจารย์ เห็นไหม ถ้าท่านจะเป็นพระของใคร ท่านจะเป็นพระขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน “อานนท์ เราบอกเธอแล้วไม่ใช่หรือ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายทั้งปวงต้องดับเป็นธรรมดา แม้แต่เราตถาคตก็ต้องสิ้นชีวิตนี้ไป” แต่เวลาพระอานนท์ถาม “แล้วถ้าองค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว พระที่บวชมาๆ จะหวังที่พึ่งๆ จากใคร” 
“อานนท์ เราบอกเธอแล้วไม่ใช่หรือ ธรรมวินัยเป็นศาสดาของเธอ สิ่งที่เราได้เทศนาว่าการไว้ให้เป็นกิริยาของธรรมๆ” 
ธรรมที่แสดงออกมาจากใจของท่าน ใจของท่านที่สะอาดบริสุทธิ์นั้น สิ่งที่สะอาดบริสุทธิ์ในใจของท่านเพราะอะไร ท่านพ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและเป็นทิพย์ ท่านพ้นจากภัยในวัฏสงสาร พอพ้นจากภัยในวัฏสงสาร จิตใจที่พ้นออกไปจาก ๓ แดนโลกธาตุ สิ่งที่ออกมาจากใจที่สะอาดบริสุทธิ์อย่างนั้น ถ้าออกมาจากใจที่สะอาดบริสุทธิ์อย่างนั้น เห็นไหม สิ่งนี้เป็นวิธีการที่จะให้เราประพฤติปฏิบัติ
“ธรรมและวินัยจะเป็นศาสดาของเธอ ธรรมและวินัยจะเป็นศาสดาของเธอ” 
เราบวชมา เราจะเป็นพระขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช่ไหม ถ้าเป็นพระขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า วิธีการบวช เห็นไหม วิธีการบวชเกิดจากธรรม เกิดจากวินัย เกิดจากศาสดาเป็นผู้ที่บัญญัติไว้ ผู้บัญญัติไว้ เห็นไหม เราจะมีอุปัชฌาย์มีอาจารย์ของเรา เราบวชมาญัตติจตุตถกรรมมาเป็นพระ เวลาบวชเป็นพระขึ้นมามีอุปัชฌาย์มีครูบาอาจารย์ของเราเป็นที่พึ่งอาศัย ถ้าเป็นพึ่งอาศัย พึ่งอาศัยเพื่ออะไร?
พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก เวลาพ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก เวลาลูกเกิดมาได้ดื่มน้ำนมเลือดจากอกของแม่ พ่อก็พยายามจะหาอยู่หากินเพื่อความมั่นคงของครอบครัว เพื่อครอบครัวขึ้นมา เพื่อประโยชน์กับการดำรงชีวิต สิ่งที่มีการศึกษามีหน้าที่การงานของเขา พอโตขึ้นมาก็ให้บวช พอบวชขึ้นมาแล้วให้เป็นบัณฑิตๆ เป็นผู้ที่มีคุณธรรมในหัวใจ เวลาออกไปครองเรือนแล้วอยากจะได้มีความเมตตาธรรม เมตตาธรรมเพื่อรักลูกรักเมีย รักพ่อรักแม่ รักปู่ย่าตายาย มีความเมตตามีความกรุณา เพื่อความสงบระงับ เพื่อความสุขในชีวิตไง สุดท้ายก็ต้องตายไป
ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด 
เราบวชมาเป็นพระ เห็นไหม มีการศึกษาแล้วอยู่เป็นพระแล้วอยากจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา พอบวชเป็นพระขึ้นมาก็มีครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ท่านก็ฟูมฟักๆ ขึ้นมา ฟูมฟักขึ้นมา เห็นไหม เวลาแก้กิเลสๆ นะ หลวงปู่มั่นท่านพูด “แก้จิตแก้ยากนะๆ” จิตใจของเรา จิตใจของเรามืดบอด เพราะจิตใจของเรามืดบอดมันมีอวิชชา มันถึงได้มาเกิดเป็นมนุษย์ ถ้าไม่มีอำนาจวาสนาก็เกิดเป็นสัตว์นรกอเวจี เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ถ้าใครมีอำนาจวาสนาก็เกิดเป็นเทวดา อินทร์ พรหม 
เรามีอำนาจวาสนา เราได้เกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธ-ศาสนา ศาสนานี้เจริญรุ่งเรือง กึ่งพุทธกาลศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านมาค้นคว้าของท่าน ท่านมาประพฤติปฏิบัติของท่าน เพราะในใจของท่านเป็นคุณธรรม เวลาเป็นธรรมๆ ก็เป็นธรรมในใจอันนั้น ถ้าคุณธรรมในใจอันนั้น ธรรมในหัวใจมีคุณธรรม สิ่งที่เป็นธรรมๆ เราศึกษาๆ เพื่อนั่นไง เพื่อสัจจะเพื่อความจริงในใจ 
ถ้าเพื่อสัจจะความจริงในใจนะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเทศนาว่าการของท่าน เวลาท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ท่านยกตัวอย่างมาทั้งนั้น ยกตัวอย่างมาเป็นศาสดาของเรา ครูเอกของโลก เป็นศาสดาของเรา เป็นความมั่นคงในชีวิตของท่าน ท่านสร้างอำนาจวาสนามาขนาดนั้น จะปรารถนาสิ่งใดในโลกนี้ ปรารถนาได้หมดเลยสมบัติทางโลกท่านละทิ้งหมด ไม่เอาเลย
ถ้าปรารถนาทางโลกมันก็อยู่ทางโลก กามคุณ ๕ มันเป็นคุณทางโลก เป็นกามคุณไง เป็นการสืบทอดไง ในเผ่าพันธุ์ไง เวลาสัตว์จะสูญพันธุ์ๆ เขาพยายามสืบพันธุ์ เขาพยายามจะต่อยอดมันเพื่อรักษาสัตว์สงวนสัตว์ที่จะสูญพันธุ์ๆ นี่ก็เหมือนกัน มนุษย์ เห็นไหม กามคุณ ๕ เพื่อเผยแผ่สืบต่อสายพันธุ์ไป นี่ไง เรื่องโลกๆ ทั้งนั้น เรื่องโลก แต่เรื่องโลกขนาดไหนมันก็ต้องตายไปๆ ไง
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสละทิ้งหมดเลย เวลาสละทิ้งขึ้นมา สละทิ้งด้วยอะไร สละทิ้งด้วยสติด้วยปัญญานะ ไม่ได้สละทิ้งด้วยการประชดประชัน เวลาทางโลกเขาวิเคราะห์วิจัยกัน เขาบอกว่าโดนประชดประชัน โดนบีบคั้นถึงได้ออกมาบวชไง ถ้าประชดประชันขึ้นมาด้วยใจที่ทุกข์ระทม มันจะแสวงหาสิ่งใด แต่นี่ด้วยสติด้วยปัญญา ด้วยการแสวงหา ด้วยความปรารถนา ความปรารถนาโพธิญาณๆ อันนั้นไง เวลาออกบวชแล้วฝึกหัดประพฤติปฏิบัติ ที่ไหนมีข่าวสาร ที่ไหนว่ามีครูบาอาจารย์ ไปหมด ศึกษามากับเขาขนาดนั้น ศึกษาๆ มาด้วยอำนาจวาสนานะ 
สิ่งที่อำนาจวาสนา ในโลก เห็นไหม ในโลกมันก็เป็นโลกียปัญญา ปัญญาโลกๆ ทั้งนั้น สิ่งที่เป็นไป ดูสิ ทางวิทยาศาสตร์เขาบอกว่าสิ่งใดต้องเป็นวิทยาศาสตร์ ไม่ให้เชื่อเรื่องจิตวิญญาณ เรื่องความเป็นจริงไง แล้วเวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธ-เจ้าเป็นพุทธศาสน์ มันเป็นความจริงในใจ ความจริงในใจนั้นเพราะมันมีมรรคมีผลในใจ มีมรรคมีผลในใจความอันนั้นวาสนาอันนั้น อำนาจวาสนาในหัวใจมันถึงไม่เชื่อสิ่งใดๆ เลย ไม่เชื่อสิ่งที่ยกยอปอปั้น ไม่เชื่อสิ่งใดทั้งสิ้น เวลาจะกระทำขึ้นมาก็ต้องทำความเป็นจริงของเรา เพราะเรามีสติมีปัญญา
เราปรารถนา เราปรารถนาความจริง เราไม่ได้ปรารถนาสัญญาอารมณ์ในใจที่มันเกิดขึ้นทั้งนั้น เวลาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันเป็นความจริงขึ้นมา หัวใจผ่องแผ้ว เอโก ธมฺโม ธรรมอันเอก ถ้าธรรมอันเอกมันเป็นหนึ่ง เห็นไหม เป็นดั่งทองคำ สิ่งที่เป็นทองคำๆ เป็นสัจธรรมเป็นความเป็นจริงสุกปลั่งในหัวใจอันนั้น นี่ไง เวลาสุกปลั่งในหัวใจอันนั้น เราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันเป็นในทางวิชาการๆ สุตมยปัญญาการศึกษาในภาคปริยัติ ศึกษามาเพื่อให้ประพฤติปฏิบัติ แต่ในเมื่อหัวใจมันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เราปฏิบัติมันทางโลก เห็นไหม
เวลาว่าขุดทองๆ ไง เวลาเขาขุดทอง คนที่เขาขุดทองเขามีแร่ทองในสมัยโบราณ ทองนี่มันจะมีไปในแหล่งแร่ทั้งนั้นเลย เขาไปร่อนไปเก็บเอาด้วยความสะดวกสบายเลย เวลาของเขานะ เก็บมาเพื่อเป็นสมบัติของเขา เพื่อเป็นธุรกิจของเขา เพื่อความมั่นคงในชีวิตของเขา นั่นมันทองคำแท้ๆ แต่เวลาพอมันหมดสายแร่ได้ เห็นไหม เวลาในปัจจุบันนี้มันเป็นการอนุรักษ์เป็นแหล่งท่องเที่ยว เวลาไปเขาจะไปขุดทองกัน ไปขุดทองไปใช้ชีวิตอย่างนั้น ไปขุดทองๆ ไปดำรงชีวิตเพื่อเหมือนกัน
นี่ไง ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าดั่งทองคำเป็นสัจจะเป็นความจริงมีคุณค่ามาก เวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเราทำของเรา 
เหมือนพวกอนุรักษ์เวลาไปเที่ยวไง การทัศนศึกษา เสียเงินเสียทองไปก็ไปใช้ชีวิตแบบนั้นๆ ใช้ชีวิตแล้วก็ซาบซึ้งนะ แหม! ชีวิตมีคุณค่า แต่ความจริงคนที่เขาขุดทอง เขาอาบเหงื่อต่างน้ำ เขาทำด้วยความเป็นจริงเป็นจังของเขา เขาเอาทองคำจริงๆ ไอ้พวกอนุรักษ์ไปเที่ยวทั้งนั้น นี่พูดถึงทางโลกไง 
ในการปฏิบัติก็เหมือนกัน ถ้าเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา มันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาจากครูบาอาจารย์ของเรา ท่านทำจริงๆ นะ ฆ่ากิเลสจริงๆ นะ เอาความจริงในหัวใจขึ้นมา ในปัจจุบันนี้ถ้าใครไม่มีอำนาจวาสนาก็ทำแบบนั้น ทำเหมือนพวกอนุรักษ์เขา เป็นทัศนศึกษาไปทำอย่างนั้น นี่พูดถึงทางโลก 
ฉะนั้น ถ้ามันเป็นเรื่องอำนาจวาสนานะ เวลาพระพุทธศาสนา เห็นไหม องค์-สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ศึกษามาเป็นภาคปริยัติ แล้วให้ประพฤติปฏิบัติขึ้นมาให้เป็นความจริง แล้วจะเกิดปฏิเวธ ฉะนั้น ในการศึกษาคนที่มาบวช มาบวชเป็นพระ คนที่เป็นนักประพฤติปฏิบัติเขาก็ประพฤติปฏิบัติด้วยอำนาจวาสนาของเขา ด้วยอำนาจวาสนาของคน ถ้าใครมีอำนาจวาสนามาก สิ่งที่มันเป็นจริงขึ้นมามันก็จะเป็นจริงขึ้นมา สิ่งที่มันมีอำนาจวาสนาขึ้นมา เราก็ประพฤติปฏิบัติของเราเพื่ออำนาจวาสนาบารมี สิ่งที่เป็นจริงๆ มันต้องเป็นจริง เวลาครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติตามเป็นจริงของท่าน 
ดูสิ เวลาขุดไปนี่บ่อน้ำลึก บ่อน้ำตื้น นี่ก็อำนาจวาสนาของคนมันตื้นมันลึก มันลึกตื้นอย่างไร ถ้ามันลึกตื้นของมัน มันก็ต้องจริงจังกับมัน ถ้าจริงจังกับมัน มันจะเป็นความจริงไง 
แต่ถ้าเป็นทัศนศึกษาทำเพื่อการศึกษา ทำเพื่อลองดู มันเป็นยุคเป็นกาลถ้าเป็นจริงๆ ขึ้นมา มันต้องเป็นจริงขึ้นมาอย่างนี้ ถ้ามันเป็นจริง เวลาคนเขาทำของเขา เขามีอำนาจวาสนา เขาทำแล้วนะ เวลาคนที่ทำจริงทำจัง นักขุดทองนี่แหละ เวลาขุดไปแล้ว ดูสิ เขาไม่ประสบความสำเร็จ เขาขุดไปแล้วมีแต่เหงื่อไหลไคลย้อย ขุดไปได้แต่เหงื่อ ได้แต่ความไม่มั่นคง ได้แต่ความเสียอกเสียใจ ไม่ได้สิ่งใดเลย แต่คนมีอำนาจวาสนาของเขา เขาขุดของเขา เขาได้เป็นจริงของเขา เขาได้ทองคำนะ ทองแท้ๆ นักขุดทองๆ มันจะได้ทองตามความเป็นจริงไง
แต่ถ้าคนที่มีสติปัญญามันไม่ถึง เวลามันมองสิ่งใดมันก็ว่าไปตามนั้น นี่พูดถึงการขุดทองนะ ขุดทองต้องได้ทอง ถ้ามันขุดได้ตามความเป็นจริงด้วยอำนาจวาสนา แต่ขุดทองแล้วไม่ได้ทอง ขุดทองไม่ได้ทอง ขุดของเขา แหล่งแร่ของเขาไม่มี เขาขุดไม่ได้ เขาขุดด้วยความเหนื่อยยากของเขา ได้ตามความเป็นจริงของเขา
แต่ในทางโลกๆ มีการศึกษา มันเจริญไง การศึกษามันเจริญมันก็เป็นภาษา เพราะว่าการขุดทอง ขุดทองก็เหมือนกับการเราไปทำหน้าที่การงาน เราไปทำธุรกิจต่างๆ เราจะไปขุดทอง แต่การขุดทองนั้นมันเป็นธุรกิจ การทำการประกอบการธุรกิจการศึกษาการทำการงานขึ้นมาเพื่อผลประโยชน์ตอบแทน ถ้าผลประโยชน์ตอบแทนนั้นมันก็เป็นเรื่องโลกไง แต่ถ้าสิ่งใดมันเป็นผลประโยชน์มาก เขาก็ว่าเป็นการขุดทอง เวลาไปขุดทองของเขา เขาก็เพื่อผลประโยชน์กับเขา อันนี้มันเป็นโวหาร มันออกนอกลู่นอกทางไปแล้ว มันไม่ใช่ทองคำแท้ มันเป็นเรื่องผลประโยชน์ไง
นี่ก็เหมือนกัน จิตใจของคนถ้ามีสติปัญญามาก มันทำสิ่งใดก็เป็นประโยชน์กับมัน ทำตามข้อเท็จจริงของเรา แต่ถ้าจิตใจของเราโดยที่มันเบี่ยงเบน มันก็อาศัยว่าก็ไปขุดทองเหมือนกัน ฉันก็ปฏิบัติเหมือนกัน ไอ้นี่นักปฏิบัติเขาก็ปฏิบัติกัน ใครได้สัจจะความเป็นจริงมากน้อยขนาดไหนก็เป็นอำนาจวาสนาของเขา ไอ้ของเรา เราก็ทำของเราด้วยความพอใจของเรา เวลาอำนาจวาสนาบารมีมันอ่อนด้อยมันปิดหูปิดตาไปหมดล่ะ เขาไปขุดทองกัน เขาไปทำเหมืองแร่ เขาไปขุดทองคือธาตุทอง แร่ธาตุทอง ไม่ใช่ไปขุดทองเอาผลประโยชน์ ถ้าขุดทองเอาผลประโยชน์มันเบี่ยงเบนไปๆ 
ในการประพฤติปฏิบัติโดยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก แล้วมันก็เข้าข้างตัวเองไปตลอดนะ คนที่มีอำนาจวาสนา เวลาสิ่งใดที่มันเกิดขึ้นเขาสะดุดใจของเขา ถ้าเขาสะดุดใจของเขานะ ครูบาอาจารย์ท่านปฏิบัติมาในวงกรรมฐาน เวลาคนหลง เวลามันหลงมันติดขึ้นมา มันสำคัญตนว่าเป็นอย่างนั้น 
ถ้าสำคัญตนว่าเป็นอย่างนั้น เวลาจะแก้จะไขกัน เห็นไหม หลวงปู่มั่นท่านบอก “จิตนี้แก้ยากนะๆ” การจะแก้ไขจิตของคน จิตของคนมันมีอำนาจวาสนามากน้อยแค่ไหน ถ้าจิตของคนมันไม่มีอำนาจวาสนาขึ้นมา เวลาจะแก้ไขเขา เขาหาว่าเป็นการจับผิดเขา เขาหาว่าเป็นการลำเอียงไง ลำเอียงเพราะรัก ลำเอียงเพราะชัง ครูบาอาจารย์ท่านไม่เป็นธรรม ถ้าเป็นธรรมขึ้นมาท่านก็ต้องชี้บอกทางเรา
ทางใครๆ ก็บอกทั้งนั้น ป้ายบอกทางเยอะแยะไป แผนที่เครื่องดำเนินเยอะแยะไป เราทำ เราได้ประโยชน์ไหม ยิ่งจะไปขุดทองๆ โดยเป็นเศรษฐกิจ พอศึกษามาแล้วก็ว่ารู้ เส้นทางสายนี้เราเคยเดินมา แต่ครูบาอาจารย์ของท่าน ท่านปฏิบัติมามันเป็นยุคโบราณ มันหมดยุคหมดสมัยแล้วแหละ ในสมัยปัจจุบันนี้เขาลัด เขาสั้น เขาทำของเขาเป็นประโยชน์ เห็นไหม 
เวลามันปิดหูปิดตานะ ถ้าขุดทองแบบนี้มันขุดทองโดยความเบี่ยงเบน เวลาเบี่ยงเบนไปแล้วกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันปิดหูปิดตา พอปิดหูปิดตาเราไปเลยล่ะ พอไปขึ้นมา เห็นไหม แก้จิตแก้ยากนะ แก้จิตแก้ยากเพราะอะไร เพราะว่ามันมืดบอด มันหลงใหลในตัวมันเอง แล้วก็มีเอาทิฏฐิมานะมาเสริมตัวเอง พอเสริมตัวเองว่านั้นเป็นธรรมๆ แล้วก็สร้างภาพ สร้างอารมณ์เข้าไปอย่างนั้น นี่เรื่องโลกๆ 
เวลาขุดทองไม่ได้ทอง เวลาขุดทองเขาอาบเหงื่อต่างน้ำของเขา ถ้าเขาไม่ได้ทองของเขา เขาทำความจริงของเขา มันก็เป็นอำนาจวาสนาของเขา ไอ้นี่กิเลสมันเบี่ยงเบนขึ้นไป ขุดทองๆ คือระบบเศรษฐกิจ ขุดทอง แล้วเวลาเดี๋ยวนี้ยิ่งไปนะ พวกเจ้าเล่ห์ กิเลสมันเจ้าเล่ห์ กิเลสมันมืดบอด มันทำให้เราเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ด้วยอำนาจวาสนาบารมีของเรานะ เราเกิดมาเป็นมนุษย์ มนุษย์เวลาเข้าป่าเข้าเขาไปป่ารกชัฏ เวลาป่ารกชัฏเขาต้องแผ้วถางเพื่อให้การเดินทางเขาสะดวก ไอ้นี่เราเกิดมาในป่าคน ดูสิ เมืองใหญ่ๆ ๒๐ ล้าน ๓๐ ล้านคน อัดแน่นกันอยู่อย่างนั้น
นี่ไง เวลาเกิดมา มนุษย์มหาศาล แล้วสิ่งที่ว่ามนุษย์มีการศึกษา มันเรื่องของกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันมืดบอดทั้งนั้น แล้วเราเกิดมาเป็นมนุษย์เหมือนกัน ในทางโลกโอกาสมันอยู่ที่เมืองใหญ่ โอกาสมันอยู่ที่ชุมชนนั้นล่ะ ทุกอย่างที่เขาจะทำธุรกิจ เขาจะประกอบสัมมาอาชีวะ เขาต้องไปในเมืองใหญ่ ในปัจจุบันนี้ในระบบเศรษฐศาสตร์เรื่องการตลาด ถ้าที่ไหนมันมีตลาด เราจะเข้าไปอยู่ที่ตลาดนั้น แล้วมันก็เป็นธุรกิจ ระบบตลาด ถ้าระบบตลาดมันทำงาน ถ้าระบบมันทำงานมันก็ซื้อขายแลกเปลี่ยน เราเข้าไปสู่ระบบตลาดนั้นเพื่อประโยชน์อันนั้น นี่เป็นเรื่องโลก เขาต้องเข้าที่นั่น ไอ้เราก็อยู่ระบบอย่างนั้นมา เราอยู่กับโลกมา 
เวลาพูดถึงธรรมะๆ นี่ไง นั่นน่ะขุดทอง จะไปขุดทองกัน เราศึกษาธรรมะเดี๋ยวนี้ที่ไหนเขามีการปฏิบัติทั้งนั้น ในการปฏิบัติ ถ้าในการปฏิบัติ ปฏิบัติเพื่อเสริมอำนาจวาสนาบารมีนั้นเรื่องหนึ่งนะ โดยธรรมชาติของมนุษย์มันจะมีอะไรเป็นความมั่นคงของชีวิต ความมั่นคงของชีวิตมากน้อยแค่ไหน ชีวิตนี้มีความพลัดพรากเป็นที่สุด ตายหมด แล้วเวลาตาย ตายไปด้วยความทุกข์ความยาก ตายไปด้วยเวรด้วยกรรม 
แต่ของเรา เห็นไหม เวลาเรามาประพฤติปฏิบัติกันด้วยพรหมจรรย์ พรหมจรรย์ทางโลกเขาว่าไม่มีความสุขๆ แต่ใจมันมีศีลมีธรรมในหัวใจ เวลาจะตายไปนะพร้อม ใจมีศีลมีธรรมพร้อมแล้ว คนเกิดมันต้องตายทั้งนั้น เวลาคนตาย ผู้ที่มีการศึกษานะ เวลาญาติพี่น้องเขาตายไป เขาบอกเขาเข้าใจได้นะการตายนี่ แต่เสียอย่างเดียวเท่านั้น ขอให้มันได้เวลามากไปกว่านี้
ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยสัจจะด้วยความเป็นจริง คนเราเกิดมาตายตั้งแต่ในครรภ์ เกิดมาแล้วเป็นเด็กน้อยก็ตาย เกิดมาเป็นผู้ใหญ่ก็ตาย เกิดมาเป็นผู้เฒ่าผู้แก่ก็ตาย มันตายแน่นอนทั้งนั้นแหละ แต่มันตายตอนไหน ตายแล้วไปไหนล่ะตายแล้วก็ไปเกิด มันตายไม่จริง พอมันตายไม่จริง แต่เวลามันตายขึ้นมา มันพลัดพรากขึ้นมาน้ำหูน้ำตาไหล สิ่งที่รักสิ่งที่สงวนแล้วมันพลัดพรากจากไป นางวิสาขาหลานตายยังร้องไห้เลย เป็นพระโสดาบันด้วย แล้วเราเป็นอะไร ปุถุชน เวลาญาติพี่น้องเสียไปทำไมจะไม่ตาย แต่เวลาตัวเองตายนี่สิ มันบีบคั้นมานะ ด้วยความทุกข์ความยาก ด้วยความเวทนา 
ครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติมานะ เวลาจิตมันจะออก ออกจากร่าง มันออกอย่างไร มันหดสั้นเข้ามาแล้วออกอย่างไร เวลาออก เห็นไหม จิตออกจากร่าง แต่ถ้าเป็นธรรมล่ะ ถ้าเป็นธรรมมันมีคุณธรรมในหัวใจ ถ้ามีคุณธรรมในหัวใจเราจะค้นคว้า มันต้องขุดทองแล้วได้ทองตามความเป็นจริง มันถึงจะมีคุณธรรมในใจ ถ้ามันไม่มีคุณธรรมในใจเรื่องของโลกๆ ทั้งนั้น แล้วเบี่ยงเบนไปโดยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก แล้วอ้างอิงไปทั่ว มันไม่เป็นความจริงทั้งนั้น
ถ้ามันจะเป็นความจริง ความจริง ดูสิ ในมุตโตทัยของหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นท่านเทศน์มุตโตทัยไว้ แล้วครูบาอาจารย์ท่านจดจารึกกันมา นี่ทองคำแท้ ทองคำแท้คือทองคำที่สะอาดบริสุทธิ์ แร่ทอง สินแร่ทองมันอยู่ในแผ่นดินนี้ เวลาคนเกิดมา ดูสิ เวลาสายแร่ทองมันเกิด เวลามันหลอมละลายในโลก นี่พูดถึงโลกภายนอก โลกภายใน หลอมละลายทางโลกมันดันสายแร่สินแร่ขึ้นมา สิ่งที่เป็นสัจจะเป็นความจริงนะ ขุดทองเขาขุดในโลกนี้แหละ นั่นเป็นทองคำ 
แต่เวลาเราเป็นนักประพฤติปฏิบัติ เราเป็นพระ เป็นเณร เราบวชมาเพื่อสัจจะเพื่อความจริง ถ้ามันจะขุดทอง ครูบาอาจารย์ท่านนะสงวนรักษาข้อวัตรปฏิบัติ เวลาหลวงตาท่านพูดถึงหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นเป็นพระอะไรน่ะ หลวงปู่มั่นท่านเป็นพระอรหันต์แน่นอน ในความเชื่อของพระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น เชื่อมั่นแน่นอนล้านเปอร์เซ็นต์ว่าหลวงปู่มั่นท่านเป็นพระอรหันต์ ท่านเก็บเล็กผสมน้อย สิ่งใดก็แล้วแต่ที่มันจะก้าวล่วงท่านไม่ทำทั้งนั้น ทั้งๆ ที่เป็นพระอรหันต์ ถ้าพระอรหันต์เป็นสติวินัย เรื่องอาบัติไม่มี อาบัติจากพระอรหันต์ไม่มี ไม่มีเพราะอะไร เพราะไม่มีกิเลส ไม่มีกิเลสก็ไม่มีเจตนา ไม่มีเจตนาขึ้นมา การกระทำแล้วขาดจากเจตนาทั้งหมด ไม่มีสิ่งใดจะเป็นอาบัติได้อีกเลย แต่ท่านก็เก็บเล็กผสมน้อย 
เวลาหลวงตาครูบาอาจารย์ของเราท่านพูดถึงครูอาจารย์ของท่าน น้ำตานี้ไหลพรากๆ เห็นแต่น้ำใจของท่าน ทั้งๆ ที่ท่านสิ้นกิเลสนะ ท่านจะดำรงชีพอย่างไร สุขสบายทั้งนั้น ท่านดำรงชีพไว้เพื่อเป็นขวัญกำลังใจของเรา ท่านยังทำเป็นตัวอย่าง สิ่งใดที่ก้าวล่วงไม่ทำๆ เวลาครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรม เวลาพูดถึงครูบาอาจารย์น้ำหูน้ำตาร่วง มันซาบซึ้งๆ 
แต่ไอ้พวกเปรต เวลามันพูดถึงครูบาอาจารย์มันมีแต่เหยียบย่ำ มันจะมีทิฏฐิมานะมากกว่า มันจะวัดรอยเท้า แล้วมันจะก้าวข้ามหัวไปนู่น เพราะอะไร เพราะว่าด้วยความอยากดัง อยากใหญ่ อยากจะมีอำนาจวาสนาไง ถ้ามีอำนาจวาสนา เวลาสังคมท่านก็เชื่อตามความเป็นจริงใช่ไหม สังคมท่านก็เชื่อหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นใช่ไหม เวลาพูดขึ้นมาว่าตัวเองมีอำนาจวาสนามากกว่า ตัวเองมีอำนาจวาสนาใหญ่กว่า ตัวเองมีสติปัญญามากกว่า ปัญญาที่เบี่ยงเบนนี่ไง ขุดทองๆ ก็จะไปเอาภาคธุรกิจนู่นน่ะ มันไม่ขุดในหัวใจมัน มันไม่รู้จักหัวใจของมันไง 
แต่เวลาหลวงปู่มั่นท่านเทศน์มุตโตทัย ถ้าเป็นทองคำที่บริสุทธิ์ มันได้ผ่านการหลอมมาแล้ว ทองคำที่ดี ถ้าในสายแร่มันเป็นทองคำที่เจือปนไปด้วยแร่ธาตุต่างๆ เพราะมันยังไม่ได้หลอม ไม่ได้คัดแยก เวลาไม่ได้หลอมไม่ได้คัดแยก ไอ้พวกนักขุดทองๆ เวลาไปขุดขึ้นมา ถ้ามันเป็นแหล่งแร่ แร่ทองคำที่เขาใช้ร่อนเอา เวลาร่อนขึ้นมามันจะได้ทองคำ ทองคำสุกเปล่งปลั่งเลย เวลาสายแร่ที่มันมาตามสายน้ำ มันมาของมัน นั่นน่ะสายแร่อย่างนั้น
แต่เวลาขุดไปในเหมือง ขุดไปในนั้นมันเจือปน มันเจือปนไปด้วยแร่ธาตุต่างๆ เขาต้องมาหลอมต้องมาบดเพื่อเอาสินแร่ของเรา พวกนักขุดทองเขาต้องแยกแยะคัดแยกของเขา แต่ถ้าคนหูตามันมืดบอดมันไปเห็นสายแร่อื่นว่าเป็นทองคำ ในภาคธุรกิจเวลาเขาเอาส่วนผสมในการทำธุรกิจของเขา มันมีคุณสมบัติที่จะเป็นประโยชน์ เขาก็ผสมเพื่อคุณสมบัติของเขา เพื่อในการทำเทคโนโลยีของเขา นั่นเป็นเรื่องธุรกิจแล้ว แต่ถ้าเป็นความจริง เห็นไหม นี่พูดถึงสินแร่ที่มันเจือปนด้วยสินแร่ต่างๆ 
นี่ก็เหมือนกัน ในหัวใจของเรามันมีอวิชชา สิ่งที่เป็นจริงๆ จะขุดทองจะขุดที่ไหน ถ้ามันจะขุดทอง ขุดทองถ้ามันเป็นความจริงมันต้องขุดเข้ามาในมโนในหัวใจของตน เห็นไหม งานที่ละเอียดๆ ไง งานทางโลกเขาอาบเหงื่อต่างน้ำขึ้นมาเพื่อประโยชน์ของเขา เขาบอกเขาทุกข์เขายาก เขาก็ทำงานมหาศาล ผู้ที่ถือพรหมจรรย์ไม่เห็นทำอะไรเลย แต่ผู้ที่ถือพรหมจรรย์นั่งเฉยๆ นั่งไม่ได้ นั่งเฉยๆ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ จิตมันสงบระงับเข้ามา เขาจะไปที่จิตของเขา เขาจะไปเห็นสายแร่ของเขา เขาจะเห็นสัจจะความจริงของเขา ถ้าหาสัจจะความจริงของเขา ถ้ามันทำความเป็นจริงได้ไง
ถ้าทำความเป็นจริงได้ เห็นไหม ใครที่ทำความเป็นจริงได้ ศีล สมาธิ ปัญญา มีศีลความปกติระงับ ถ้ามีความปกติระงับชีวิตความเป็นอยู่มันจะมีความสุขแล้ว เพราะมีรั้วกั้นไว้ รั้วกั้นไว้ไม่ให้จิตมันส่งออกไปข้างนอก จิตนี้มันไปกว้านทุกอย่างว่าเป็นสมบัติของตนๆ ทิฏฐิมานะในหัวใจล้นฟ้า กิเลสตัณหาความทะยานอยากล้นฝั่ง ไอ้ตัวเล็กๆ นี่ ไอ้ที่มีหัวใจอยู่ในนี้มันจะครองโลก แต่ไม่ได้ครอง มันคิดของมันไปไง มันปิดหูปิดตาแล้วคิดของมันไป มันก็คิดยิ่งใหญ่ ความยิ่งใหญ่ของมันนะ 
นี่ไง เวลาทรัพยากรมนุษย์สำคัญมากนะ ประเทศชาติที่เจริญแล้วเขามีทรัพยากรมนุษย์ที่มีปัญญา แข่งขันกันด้วยสติด้วยปัญญานะ ชาติใดที่มีทรัพยากรมนุษย์ที่ฉลาด มีทรัพยากรมนุษย์ที่มีปัญญา เขาพัฒนาชาติของเขาให้มั่นคง นี่ไง แล้วถ้ามันมีสติมีปัญญาด้วย มีทรัพยากรด้วย มีทรัพยากรในชาติ มันยิ่งเจริญเลย แต่ชาติใดทรัพยากรมนุษย์เหลวไหลดีแต่ติฉินนินทา ดีแต่บีบบี้สีไฟไง มันไม่จริงไม่จังขึ้นมา ประเทศชาตินั้นลุ่มๆ ดอนๆ เพราะขาดปัญญาๆ ไง นี่ก็เหมือนกัน ทรัพยากรมนุษย์สำคัญ ถ้ามันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันอยากจะครองโลก 
แต่ถ้ามีคุณธรรมนะ เกิดมา ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ เกิดที่สวนลุมพินี เราจะเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย คำว่า “จะเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย” นี่ราชกุมารนะ เพิ่งเกิด แต่ด้วยอำนาจวาสนา ด้วยจิตใจที่มั่นคงอย่างนั้น ดูสิ พระเจ้าสุทโธทนะส่งเสริมขนาดไหน เพื่อจะให้เป็นจักรพรรดิ แต่ถึงที่สุดด้วยอำนาจวาสนาบารมีของท่าน ท่านก็จะออกชำระล้างกิเลสอย่างเดียว เพราะไม่อยากกลับมาเกิดอีกแล้ว 
ถ้าไม่อยากกลับมาเกิดอีกแล้ว มันทำอย่างไรถึงจะไม่กลับมาเกิดอีกล่ะ ถ้าไม่กลับมาเกิดด้วยการกระทำของท่าน นี่ขุดทองหาทองหาสัจจะหาความจริง ทองอย่างนี้เป็นทองทั้งแท่ง เอโก ธมฺโม ธรรมอันเอก มีหนึ่งเดียวไม่มีสอง ไอ้เรานี่มันของคู่ ขาวคู่กับดำ ทุกข์คู่กับสุข ได้คู่กับไม่ได้ ไอ้ว่าได้ๆ ไม่ได้สักที มันของคู่ทั้งนั้น มันไม่เป็นความจริง แล้วเป็นความจริงเป็นอย่างไร 
ถ้าความจริงมันมหัศจรรย์มาก แล้วมหัศจรรย์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงมหัศจรรย์นะ เสวยวิมุตติสุข จะพูดกับโลกได้อย่างไร โลกเขาเป็นอย่างไร โลกมันต้องมืดคู่กับสว่าง 
“อธิบายมาสิ บอกมาว่าทำอย่างไร แล้วเราจะทำๆ” เวลาขี้โม้ “โอ้ย! ธรรมะเราจะปฏิบัติต่อเมื่อเราใกล้ๆ ตาย ปฏิบัติเองได้เลย” นี่กิเลสมันปิดหูปิดตาได้ขนาดนั้นนะคน มันมีแต่ขี้โม้ทั้งนั้น มันโม้มาโดยการศึกษาโดยกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันปิดหัวใจ
แต่ถ้ามันเป็นความจริง ความจริงด้วยมีอำนาจวาสนา ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมา-สัมพุทธเจ้า เจ้าชายสิทธัตถะ เวลาพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะเป็นเศรษฐี มีแต่ความสุขไปเที่ยวรื่นเริงตลอด เงินทองมหาศาลจะอยู่อย่างไร จะเสเพลอย่างไรก็ได้ แต่เวลาถึงที่สุดแล้วมันสะเทือนใจ ไม่มีความสุขเลย ไปดูละครฟ้อนรำต่างๆ แล้วมันจืดหมด นี่คนที่สร้างอำนาจวาสนามา มันจืดมันชืด มันไม่มีความสุขอะไรเลย ถึงเวลาแล้ว “อย่างนั้นเราจะเข้าฝึกหัดประพฤติปฏิบัติ เราจะเอาสุขแท้ๆ”
เวลาสุขแท้ขึ้นมา ไปหาสัญชัย “นั่นก็ไม่ใช่ๆ ไม่ใช่ก็คือไม่ใช่” ไอ้ไม่ใช่ไปใหญ่เลย มันไม่ใช่แล้วกิเลสมันใช่ กิเลสมันเผาลนอยู่ในใจ เวลาถึงสุดท้ายแล้วนัดกันเลยนะ “เราก็มาหาอาจารย์ อาจารย์ก็สอนจนเต็มที่แล้วล่ะ สงสัยมันไม่ใช่แล้วล่ะ” ถ้ามันไม่ใช่นะ ด้วยความที่เป็นเพื่อนรัก ความผูกพัน “ถ้าเราเจอครูอาจารย์ที่จริง อย่าปิดนะต้องบอกกัน” มันเหมือนคนไม่มีที่พึ่ง ต้องบอกกันนะ สุดท้ายแล้วก็แสวงหา ประพฤติปฏิบัติไปก็แสวงหา ประพฤติปฏิบัติไปมันก็ไม่ใช่อยู่แล้ว เพราะอะไร เพราะกิเลสมันบอกไง กิเลสในหัวใจความลังเลสงสัยมันพูดอยู่แล้ว เพราะมันยังงงๆ อยู่ มันยังมีอะไรขุ่นข้องหมองใจอยู่ มันไม่จริง 
เวลาด้วยวาสนาของคน เวลามันคิดได้ เวลาคิดได้ เห็นไหม มีความสุขทางโลกมหาศาล จืดชืดไปหมด เวลามาปฏิบัติกับครูบาอาจารย์ที่ไม่ใช่ มันก็ฟ้องแล้วว่าไม่ใช่ ไปเจอพระอัสสชิ เห็นแค่การก้าวการเดินนั่นความเป็นจริง สูงสุดสู่สามัญ เวลาความเป็นจริงมันน้อมลง อ่อนน้อมถ่อมตน ไม่อวดเบ่ง ไม่อวดดีอวดเด่นกับใครทั้งสิ้น แต่เวลาถ้าพูดธรรมะที่เป็นสัจจะความจริงที่เป็นประโยชน์นะ เวลาพระสารีบุตรถามจริงๆ ขึ้นมา เห็นไหม “ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ระงับที่เหตุนั้น” แล้วเหตุมันอยู่ที่ไหน? เหตุมันมีที่ไหน? 
แต่นี่เขาประพฤติปฏิบัติมากับสัญชัย เขาค้นคว้ามา ไม่ใช่ๆ เขาเข้าไปถึงใจของเขา เขาจะขุดของเขาในหัวใจของเขา แต่ไม่มีใครบอกได้วิธีการขุด เวลาไปเจอพระอัสสชิ ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ นั่นตรงนั้น ตรงที่หัวใจนั่นน่ะ ถ้ามันขุดลงไป เห็นไหม ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ ทุกข์มันอยู่ที่ไหน สงสัยมันอยู่ที่ไหน มันอยู่ที่ใจทั้งนั้น ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุต้องไปดับที่เหตุนั้น ถ้าดับที่เหตุนั้นมันก็ย้อนกลับเข้ามาๆ เวลามันเป็นจริงขึ้นมา เป็นจริงขึ้นมาในหัวใจ ไปบอกพระโมคคัลลานะก็เป็นจริงขึ้นมาเหมือนกัน 
ถ้ามันจะขุดจริงๆ มันต้องขุดให้ได้ทอง ขุดทองต้องได้ทอง ถ้าขุดทองด้วยความเบี่ยงเบน ขุดทองไปแล้วมันได้ตะกั่ว ขุดทองแล้วมันได้หิน ขุดทองแล้วมันได้สินแร่อื่น มันไม่ได้เป็นความจริงขึ้นมา ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมา ถ้ามีอำนาจวาสนาขึ้นมาเห็นว่าเป็นธาตุที่เข้มแข็งคงเส้นคงวาก็ว่าใช่ๆๆ ธาตุอย่างนั้นมันจะเป็นทองได้อย่างไร ด้วยวุฒิภาวะที่อ่อนด้อยไง 
แต่ถ้าเป็นความจริง ความจริงมันเทียบเคียง มันมีของมันอยู่แล้ว องค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดาองค์ที่ ๔ ในภัทรกัปนี้ไง องค์ต่อไปข้างหน้าคือพระศรี-อริยเมตไตรยไง นี่สัจจะความจริงมันมีของมันอยู่อย่างนี้ ถ้ามีอำนาจวาสนามันจะเป็นความจริงของมัน ถ้าไม่มีอำนาจวาสนา มันก็ไปตะครุบเงานั่นไง นี่ขุดทองไม่ได้ทอง 
ถ้ามันเป็นจริงๆ ในมุตโตทัยของหลวงปู่มั่น ถ้าพูดถึงโดยทั่วไป สินแร่นี้มันเจือปนไปด้วยไม่สะอาดบริสุทธิ์ แต่ถ้าสะอาดบริสุทธิ์นะ สิ่งที่ทองที่หลอมดีแล้วมันจะเป็นทองคำแท้ ถ้าทองคำแท้ที่หลอมดีแล้วๆ ในมุตโตทัย ในมุตโตทัยบอกเวลาประพฤติปฏิบัติสินแร่ของเรามันเจือปนไปทั้งนั้น ถ้าปฏิบัติของเรา เริ่มต้นถ้าเป็นพระโสดาบันกิเลสมันโดนชำระล้างไป ๒๕ เปอร์เซ็นต์ มันก็มีสินแร่อยู่ ๗๕ เปอร์เซ็นต์ เวลาเป็นพระสกิทาคามีชำระล้างกิเลสไป ๕๐ เปอร์เซ็นต์ นี่กึ่งๆ แล้ว ถ้าเป็นพระอนาคามีชำระล้างกิเลสไป ๗๕ เปอร์เซ็นต์ กิเลสอีก ๒๕ เปอร์เซ็นต์มันต้องจัดการจนสิ้น เวลาชำระล้างถึงสิ้นกิเลสไป ทองคำแท้ กิเลสสิ้นไป นี่ไง ถ้ามันเป็นจริงๆ มันต้องเป็นจริงอย่างนั้น 
แต่คำว่า “ความเป็นจริงๆ” เป็นจริงในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นจริงในใจของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น แล้วของเราล่ะ ถ้าเราจะขุดทองของเรา ขุดทองของเราทำความสงบใจเข้ามา ถ้าใจสงบระงับเข้ามาเราจะได้มีโอกาสกระทำของเรา ถ้าไม่มีจิตใจเราเข้ามามันจะไปขุดทองในระบบเศรษฐกิจ มันจะไปขุดทองในกระเป๋าเขา มันจะไปขุดทองเอาโลกธรรม ๘ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ อยากมีลาภ ลาภสักการะฆ่าโมฆบุรุษ ไอ้พวกโมฆบุรุษอยากดัง อยากใหญ่ อยากมีลาภ ตายมาทั้งนั้น มันไม่มีความจริงเลย
แต่เวลาครูบาอาจารย์ของเรา เห็นไหม ท่านเป็นทองคำสัจจะความจริงเป็นในหัวใจแล้ว มันจะไปแสวงหาอะไร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาไปกับพระอานนท์ “นี่อสรพิษๆ” ถ้าจิตใจมันเลวทรามต่ำช้า ไอ้ตัวนั้นตัวกระตุ้นเลย ไอ้ทองคำๆ นั่นน่ะ มีทองเท่าหนวดกุ้ง นอนสะดุ้งจนเรือนไหว ใครมีเงินมีทองขึ้นมาเที่ยวประดับประดาไป ไปข้างนอก เขาฉกชิงวิ่งราวทั้งนั้น คนที่เขามีเขาเก็บหอมรอมริบของเขา เขาเอาไว้ในหัวใจของเขา ถ้ามันเป็นความจริงอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่มีมาอวดมาอ้างหรอก ถ้าเป็นความจริง เห็นไหม ไอ้ที่มันอวดอ้างนั่นน่ะ มันไม่มีความจริงสักอย่างหนึ่ง มีทองชุบทองปลอมก็เที่ยวอวดเขาว่ามันมีทองๆ มันเลยไม่ได้ทองไง
ถ้ามันได้ทองคำจริง เห็นไหม มีศีลมีธรรมของเรา ถ้ามีศีลมีธรรมของเรา เรามาประพฤติปฏิบัติ หายใจก็เข้านึกพุท หายใจออกก็นึกโธ พยายามให้จิตสงบระงับเข้ามา ถ้าจิตสงบระงับเข้ามา เรามีความสุขแล้ว ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ทองอะไรทั้งสิ้น เพียงแต่มันมีศีล มีศีลมีธรรมในหัวใจ ถ้ามีศีลมีธรรมในหัวใจเราจะพัฒนาหัวใจของเรา เราไม่ปล่อยหัวใจของเราให้มันเร่ร่อน 
กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันล้นฝั่ง มันล้นหัวใจตลอด มันเยิ้มไปทั้งทั่ว ทั้งๆ ที่เป็นนักปฏิบัตินะ ปฏิบัติอยู่นี่แหละแต่มันไม่สมความปรารถนาเลย ไม่สมความปรารถนาเพราะอวิชชามันเกิดกับเรา มันเกิดมาจากภายใน มันเกิดมาปฏิสนธิจิต สิ่งที่ศึกษาๆ ศึกษาด้วยขันธ์ ๕ ศึกษาด้วยสถานะของความเป็นมนุษย์ไง มนุษย์เกิดมามีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ คือความคิด ความคิดเกิดจากจิต เราไม่เคยเห็นจิตของเราเลย เวลาพูดไป “อ๋อ! ว่างๆ อ๋อ! มันเป็นธาตุรู้” นี่ขี้โม้
ถ้ามันเป็นความจริงมันเห็นความแตกต่าง คนเราเห็นความแตกต่างนะ เหมือนทางการแพทย์ ทางการแพทย์เขามีการศึกษาของเขา เวลาแพทย์เขารู้เลยว่าสิ่งใดมันเป็นสารพิษ สิ่งใดที่มันใส่เข้าไปในร่างกายแล้วมันจะเกิดเภทภัย เขาไม่ทำหรอก เขาจะหลีกหนีเลย เขาจะหลีกหนีของเขา เพราะเขาต้องรักษาสุขภาพของเขา เพื่ออะไร เพื่อไม่ให้โรคภัยไข้เจ็บมันเข้าไปอยู่ในร่างกายนี้ นี่พูดถึงการแพทย์ที่เขาศึกษามาแล้ว
ไอ้นี่ก็เหมือนกัน เราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาแล้ว ไอ้นั่นก็กิเลส ไอ้นี่ก็กิเลส ไม่เห็นกิเลส แล้วเวลามันเป็นจริงๆ มันเป็นอยู่ในหัวใจนั่น ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าศึกษามาคือจำมา ทรงธรรมทรงวินัยขององค์-สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “อานนท์ เราบอกเธอแล้วไม่ใช่หรือ ธรรมและวินัยจะเป็นศาสดาของเธอ” ธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเราก็พยายามศึกษาๆ ศึกษามาเพื่อให้เป็นสมบัติของเราไง แล้วมันก็ไม่ได้เป็นสมบัติของเราหรอก มันเป็นความจำ ถ้าเป็นความจำขึ้นมาก็ศึกษามาให้ปฏิบัติ เวลาปฏิบัติขึ้นมาก็ปฏิบัติโดยความจำอันนั้น เวลาปฏิบัติโดยความจำอันนั้นขึ้นมา กิเลสมันก็ปลิ้นปล้อนหลอกลวง เห็นไหม จะขุดทองๆ มันก็ไปตายเพราะทองนั่นน่ะ
ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐ ประเสริฐเพราะประพฤติปฏิบัติได้ตามความเป็นจริง นี่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐโดยกิเลสมันหลอกมันล่อ เห็นไหม โมฆบุรุษตายเพราะลาภไง ก็จะเอาแต่สิ่งนี้มาเสนอเพื่อจะได้ลาภได้สักการะขึ้นมา เพื่อให้เขาชื่นชมให้เขามั่นใจว่าฉันมีทองคำๆ ทองคำก็เป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เอามาประดับตนๆ ประดับตนได้อย่างไร มันไม่ใช่ของเรา มันอยู่ข้างนอก 
เวลามันเป็นความจริง สายแร่ๆ มันอยู่ที่ไหนล่ะ มันอยู่ในโลกนี้ใช่ไหม ไอ้นี่ถ้ามันความจริงๆ มันเกิดในพุทธะ ความจริงมันเกิดในหัวใจนั่นน่ะ ถ้าในหัวใจเรายังหาหัวใจเราไม่เจอ เราจะไปหาสายแร่ได้อย่างไร กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันก็ปิดกั้นๆ มันปิดในหัวใจไว้ มันก็ส่งออกไปทั้งหมดล่ะ ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาแล้วก็อวด เวลาพูดเพ้อเจ้อ พร่ำเพ้อไป พอพร่ำเพ้อไปแล้วมันก็ไม่เป็นความจริง เห็นไหม 
เราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาด้วยความเคารพ ศึกษามาเพื่อประพฤติปฏิบัติ เวลาจะปฏิบัติศึกษามามันละเอียดอ่อน ธรรมะขององค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้าลึกลับ ละเอียด ลึกซึ้ง ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องในหัวใจเรานี่แหละ ศึกษาแล้วไม่เข้าใจหรอก เวลาปฏิบัติไปมันก็สร้างภาพ สร้างจะให้เป็นอย่างที่ต้องการ สร้างอยากให้มันเป็นไปตามความปรารถนา แล้วมันเคยได้อย่างนั้นไหม มันพลิกแพลงไง นี่ไงธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วก็มาประดับตนๆ ว่าตัวจะมี แล้วเวลาแสดงออกก็แสดงออกว่าคนมีคุณธรรม แล้วมันไม่ใช่ความจริงหมดเลย 
ถ้าเป็นคุณธรรมขึ้นมามันจะเป็นความจริง มันมีรสมีชาติ ถ้ามีรสมีชาติขึ้นมา ดูสิ หลวงปู่มั่นท่านเป็นพระอะไร ทำไมท่านเก็บหอมรอมริบของท่าน ทำไมท่านทำตัวเป็นแบบอย่าง ท่านมีวิหารธรรมในใจของท่าน ท่านอยู่ในป่าในเขาท่านมีความสุขนะ มีความสุขด้วย เป็นอาจารย์ใหญ่ด้วย เป็นอาจารย์ใหญ่ทำเพื่อให้คนเห็นเป็นแบบอย่าง แล้วเป็นแบบอย่างโดยที่วุฒิภาวะนะ มีแบบอย่างแบบครูบาอาจารย์ของเรา มีแบบอย่างแล้วท่านเคารพบูชาของท่าน 
ไอ้มีแบบอย่างแบบโลกๆ ก็ไปก๊อบปี้ อยากจะเป็นแบบอย่างอย่างนั้น แต่มันเป็นเปลือกเป็นเปลือกก็เหมือนกับธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าศึกษามาก็เอามาแปะๆ ของตนไง นี่ก็เหมือนกัน ลูกศิษย์หลวงปู่มั่นๆ แล้วมันลูกศิษย์หลวงปู่มั่นจริงหรือเปล่า ถ้าลูกศิษย์หลวงปู่มั่น คำสอนทำไมไม่เชื่อ คำสอนนั้นมีรสมีชาติ คำสอนนั้นมันซาบซึ้งหัวใจ ถ้ามันซาบซึ้งหัวใจทำไมไม่ประพฤติปฏิบัติอย่างนั้น เวลาประพฤติปฏิบัติก็ประพฤติปฏิบัติตามกิเลสของตน ตามกิเลสตัณหาความทะยานอยาก นี่ขุดทองไม่ได้ทอง 
ทั้งๆ ที่ว่าอยู่เป็นนักขุดทองด้วยกัน เป็นพระด้วยกัน เป็นนักปฏิบัติด้วยกัน แต่เวลาเขาทำจริงทำจังขึ้นมา เขาจะขุดทองในใจขึ้นมาให้เป็นสัจธรรม ให้มันเป็นธรรมโอสถในหัวใจเพื่อปราบปรามกิเลสของตน ไอ้นี่บอกอยู่เหมือนกัน แต่ไปก๊อบปี้มา จะให้ได้แบบนั้น แต่ได้แบบนั้นมันเป็นเปลือก แล้วมันไม่ใช่ความจริง ขุดทองไม่ได้ทอง แล้วถ้ามันปลิ้นปล้อน ขุดทองมันจะได้กิเลสตัณหาความทะยานอยาก ขุดทองมันจะได้เวรได้กรรม ขุดทองมันไม่เป็นประโยชน์กับอะไรเลย 
การเหยียบย่ำ การทำลาย มันเป็นผลของกรรมนะ กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน เวลาคนที่มีสติปัญญาแบบพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ ไปอยู่กับสัญชัยสอนผิดยังรู้ว่าผิด แล้วไม่เอาด้วย แล้วมาพบพระอัสสชิ ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนจนถึงที่สุดแห่งทุกข์
นี่ก็เหมือนกัน หัวใจนี้มันรู้ อยู่ใกล้กัน ศีลรู้ได้เพราะอยู่ใกล้กัน อยู่ด้วยกันทุกวันๆ ไม่รู้หรือว่าระดับศีลขนาดไหน ถ้าเป็นธรรมะ เวลาพูดเพ้อเจ้อ ธรรมะอะไรเพ้อเจ้ออย่างนั้น ครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นจริง สัจธรรมคือสัจธรรมๆ จะพูดสิ่งใดก็แล้วแต่มันพูดถึงอริยสัจ สัจธรรมอันนั้น แล้วสัจธรรมมันมีหยาบมีละเอียดไง เวลาหยาบขึ้นมา ปุถุชน กัลยาณปุถุชน โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ หัวใจเป็นบุคคล ๔ คู่ ที่มันพัฒนาของมันขึ้นไป 
ถ้ามันจะได้เป็นจริง มันต้องได้จริงในหัวใจนั้น เพราะได้จริงในหัวใจนั้น ระดับของมันจิตที่ละเอียดลึกซึ้งเข้าไป สติ มหาสติ ปัญญา มหาปัญญา ปัญญาที่ลึกซึ้งเข้าไปมันจะครอบคลุม เวลาจิตที่มันพ้นไปเป็นทองคำทั้งแท่ง เอโก ธมฺโม หนึ่งเดียวที่พ้นจากวัฏฏะ พ้นไปเลย เวลาวัฏฏะนรกสวรรค์มีหรือไม่ โดยความเป็นจริง โดยวิทยาศาสตร์ นรกสวรรค์ ก็สวรรค์ในอก นรกในใจ แต่เวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ มรรค ๔ ผล ๔ เวลาพระโมคคัลลานะไปเที่ยววัดป่า ไปสวรรค์มาอะไรมา มารายงานพระพุทธเจ้าเห็นหมดล่ะ เพราะถ้าจิตมันเปิดกว้าง ถ้ามันเป็นธรรม มันเป็นทองคำทั้งแท่งแล้วไม่มีอะไรปิดหัวใจอันนั้น หัวใจอันนั้นเปิดสว่างไสว ไม่มีอะไรบังหัวใจอย่างนั้นได้ แต่ท่านเก็บไว้ภายใน ท่านเก็บของท่าน นี่ไง ถ้าขุดทองได้ทองมันเป็นความจริงอันนั้น 
นี่ก็ปฏิบัติธรรมได้ธรรม ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมามันเป็นอย่างนั้น แล้วของเราขึ้นมา เรามาประพฤติปฏิบัติกันอยู่นี่ก็เพื่ออันนั้น ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมา-สัมพุทธเจ้าปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์ ไอ้เราเป็นสัตตะเป็นผู้ข้อง ไอ้หัวใจที่มันทุกข์มันยากอยู่นี่ๆ แล้วก็หลงใหล หลงใหลไปกับโลก บวชมาเป็นพระ อยากมีชื่อเสียง อยากมีกิตติศัพท์ กิตติคุณกับเขา 
ไอ้นี่มันทางโลก ทางโลกไปไหนเขาก็มีของเขาล้อมหน้าล้อมหลัง ไอ้เรามาบวชเป็นพระแล้วจะไปล้อมหน้าล้อมหลัง เวลาเข้าป่าไปใครจะไปดูแลรักษาล่ะ เวลาจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเวลาเป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญา มันเป็นที่ไหน ถ้ามันเป็นมันก็เป็นที่ในหัวใจใช่ไหม คนล้อมหน้าล้อมหลังเต็มไปเลย หัวใจมีแต่ความทุกข์ แล้วหวาดระแวงไปทั่ว ไม่มีอะไรเป็นความจริงเลย
ถ้ามันเป็นคุณธรรมขึ้นมามันอยู่ที่ไหนก็ได้ อยู่ในความสงบระงับนั่นมันยิ่งมีความสุข นี่สัปปายะ ๔ สัปปายะที่เป็นอย่างนั้น หัวใจมันยิ่งดิ่งลง มันสงัด มันวิเวก มันมีความสุข แต่ถ้ามันไม่มีคุณธรรมๆ มันเดือดร้อน ถ้ามันเป็นความจริง มันเป็นความจริงอย่างนี้ ถ้าเราจะขุดทอง เห็นไหม เราจะขุดทองเราต้องสำนึกในตัวเราเองก่อน การสำนึกในตัวเองมันย้อนกลับมา ส่วนใหญ่แล้วส่งออกหมด ไม่มีสิ่งใดดีเลย เราดีอยู่คนเดียว
แต่เวลาที่ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติไม่มีสิ่งใดเลวเลย มีแต่เราเลวอยู่คนเดียว เวลาคนที่ประพฤติปฏิบัตินะ เราน่ะเลวที่สุด เราเลวที่สุดเพราะว่าเราเอาใจไว้ในอำนาจของเราไม่ได้ เพราะใจเราเลวที่สุดมันถึงไปมองสิ่งอื่นเป็นโทษหมดเลย แต่ถ้าหัวใจมันประเสริฐที่สุดมันจะมีอะไรเลว เขาเป็นของเขาอยู่อย่างนั้น ผลของวัฏฏะ มันเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง ไม่มีอะไรคงที่ทั้งนั้น มันแปรสภาพของมันไป สภาพแวดล้อมมันก็แปรสภาพของมันไป เห็นไหม คนที่มีสติปัญญาเท่านั้น เขาพยายามพัฒนาของเขา 
ถ้าจิตใจมันเป็นธรรมๆ นะ มันไม่มีสิ่งใดเลวเลย มันเป็นผลของวัฏฏะๆ ไอ้คนที่มันเป็นมิจฉาทิฏฐิมันทำลายทรัพยากร มันทำลายต่างๆ ไอ้นั่นก็เวรกรรมของมัน มันเป็นพันธุกรรมของจิตที่มันเลวร้าย เพราะเขาสร้างเวรสร้างกรรมมาอย่างนั้น เขามีพฤติกรรมอย่างนั้น เขามีสันดานเดิมอย่างนั้น เขาจะต้องทำของเขาอยู่อย่างนั้น
แต่ของเรา เราพัฒนาของเราได้ ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเจ้าชายสิทธัตถะเกิดมา เราจะเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย คำว่า “เกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย” นี้เขาทำเพื่ออะไร เขาทำเพื่อความบรรลุธรรม ทำเพื่อโพธิญาณ ทำเพื่อความพ้นทุกข์ ถ้าทำเพื่อความพ้นทุกข์ เขาทำอะไร เขาประพฤติปฏิบัติของเขา เวลาจะเป็นจักรพรรดิยังไม่เอาๆ เวลาออกประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ๖ ปีนะ เวลาเป็นตรัสรู้เองโดยชอบ เขาหวังตรงนี้ เขาหวังผลประโยชน์อย่างนี้ เขาไม่หวังทรัพย์สมบัติ ไม่หวังชื่อเสียง กิตติศัพท์ กิตติคุณ ไอ้ความหวังอย่างนั้นมันหวังโดยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันจะเอาความจริงมาจากไหน มันไม่มีความจริงอยู่หรอก
ถ้ามีความจริงมันมีวาสนาบารมีอย่างนี้มันไม่คิดเป็นอย่างนั้น คนที่เขาทำแต่ความเลวทราม เพราะพันธุกรรมของเขามันเป็นอย่างนั้น เขาได้สร้างเวรสร้างกรรมมาอย่างนั้น แล้วเขาก็จะมาทำซ้ำของเขาอยู่อย่างนั้น แล้วเราจะไปทำอะไร เพราะอะไร เพราะคนมันเกิดจากความคิด เกิดจากสัญชาตญาณ ถ้าสัญชาตญาณเป็นเสือมันก็เป็นเสือวันยังค่ำ สัญชาตญาณของเรามันไม่ใช่เสือ สัญชาตญาณของเรามีความเป็นมนุษย์ มนุสสเปโต มนุสสติรัจฉาโน มนุสสเทโว เราเป็นมนุสสพรหมา เราทำของเรา ใครจะทำมันเรื่องของเขา เราจะไปแก้ไขอย่างไรในหัวใจของเขา
เวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติแล้วไม่มีใครเลวเลย ใจเราเลวที่สุด เพราะใจมันเลวมันถึงคุมสติไม่ได้ เพราะใจมันแย่มันถึงไม่พัฒนาขึ้นมา ถ้ามันพัฒนาขึ้นมานี่บุคคลผู้ที่จะเป็นผู้ขุดทอง แล้วเวลาทองขึ้นมา จิตใจที่มันทุกข์มันยากคือจิตใจที่ย่ำแย่อย่างนี้ เวลามีสติปัญญา เห็นไหม เราไม่เอาสิ่งใดรอบๆ ข้าง สิ่งใดนั้นมาเบียดเบียนเรา 
ในการเกิดเป็นมนุษย์ มนุษย์เป็นสัตว์สังคม เวลาบวชขึ้นมาแล้วผู้ที่มีอำนาจวาสนาเขาออกวิเวกของเขา เขาพยายามไปแต่ส่วนน้อย ผลกระทบมันก็น้อย ในสังคมปฏิบัติทั่วๆ ไปทั้งนั้น มันก็มีของมันทั้งนั้น เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น เห็นไหม เวลามากระทบกระเทือนกันๆ เพราะว่าจริตนิสัยของคนไม่เหมือนกัน นี่ไงผู้ที่มีวุฒิภาวะมีความรู้เสมอกัน นี่สัปปายะ ๔ ในทางโลกเขาว่าเพื่อน ทางโลกถ้าคบใครเป็นเพื่อน เพื่อนตายหายาก ไอ้เพื่อนปอกลอกมีเต็มไปหมด ยิ่งปัจจุบันนี้มีแต่ปอกลอก นี่พูดถึงคำว่า “เพื่อน” มันรักจริงเห็นจริงเห็นใจตามความเป็นจริงไง ถ้าความเป็นจริง 
นี่ก็เหมือนกัน ความเสมอกันด้วยความทิฏฐิมานะ ถ้าสิ่งที่เป็นสัปปายะ สัปปายะ ๔ ถ้าเราหาสิ่งนี้ได้มันเป็นประโยชน์มาก แล้วมันจะหาอย่างนี้ได้ไหม มันมีสูงมีต่ำ คนมีสูงมีต่ำก็นี่ไงทรัพยากรมนุษย์ไง สิ่งที่เห็นแก่ตัว สิ่งที่เบียดเบียนตนเอง นั่นมันนิสัยของเขา นิสัยของเขามันก็เวรกรรมของเขา เห็นแล้วมันสะเทือนใจทั้งนั้น
ทุกคนเวลาเห็น คนไม่มีความรู้สึกหรือ ทุกคนมีความรู้สึกทั้งนั้น ทุกคนก็มีความคิด ทุกคนก็มีปัญญาทั้งนั้น แต่มีสติปัญญามากน้อยแค่ไหน ถ้ามีสติปัญญามันไม่ใช่หน้าที่ของเรา สัตว์โลก สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม ใครทำกรรมอย่างไรมันได้ผลกรรมอย่างนั้นแน่นอน ทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว โดยสัจจะโดยความจริง เวลาเขาทำเขาปิดเขากระมิดกระเมี้ยนของเขา แต่กรรมก็ให้ผลวันยังค่ำ ใครจะกระมิดกระเมี้ยนทำ คิดว่ามันไม่เห็นในที่ลับที่แจ้ง พอเป็นอย่างนั้นมันก็เป็นตามความเป็นจริงของเขา แล้วเราจะไปเดือดร้อนอะไร
ถ้าเราไม่เดือดร้อนขึ้นมา จิตใจมันก็มั่นคง ถ้ามันเดือดร้อนขึ้นมามันร้อนเป็นไฟ ร้อนเป็นไฟจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เวลานั่งสมาธิภาวนามันก็เหนื่อยยากอยู่แล้ว แล้วกิเลสตัณหาความทะยานอยากล้นฝั่งอยู่แล้วก็ยังกระตุ้นเข้าไปอีก กระตุ้นเข้าไป เห็นไหม เวลาครูบาอาจารย์ท่านถึงได้ปราบปราม ท่านถึงได้กดไว้ให้มันเสมอภาคกัน 
ความเสมอภาค สัปปายะ ๔ สำนักปฏิบัติ สำนักปฏิบัติโดยหลักเขาก็ปฏิบัติของเขา เขาต้องการความสงบระงับ เราจะไม่กระทบกระเทือนกัน ถ้ากระทบกระเทือนกันมันเป็นสัตว์ต่างสายพันธุ์ สัตว์ต่างสายพันธุ์เข้าไปอยู่ในสายพันธุ์นั้นมันเห็นความแตกต่างอยู่แล้ว แต่ถ้ามันเป็นสัตว์สายพันธุ์เดียวกัน รูปร่างลักษณะมันเหมือนกัน นิสัยมันจะแตกต่างกันมันก็ลักษณะเหมือนกัน
นี่ก็เหมือนกัน เราเป็นนักปฏิบัติ วัดสำนักปฏิบัติของเขา เขาต้องมีกติกาของเขา หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านมีข้อวัตรปฏิบัติของท่าน ข้อปฏิบัตินั้นเครื่องอยู่ ใจมันเร่ร่อน ใจไม่มีตัวตน มันเป็นนามธรรมๆ แล้วมันอยู่ไหน ถ้าไม่มีอะไรเป็นเครื่องอยู่ไม่มีอะไรเกาะไว้เลยมันจะไปไหน ดูสิ ปุถุชนคนหนา คนหนาทำสิ่งใดก็ไม่ได้ ปฏิบัติๆ ก็แค่พิธี เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาก็ทำตามพิธีนั้น นี่จะขุดทองมันหาแหล่งแร่มันไม่เจอ ไม่รู้จะขุดตรงไหนเลย แต่มันก็ทำเป็นพิธี นี่เป็นเรื่องโลกๆ นะ
เรื่องโลกๆ เห็นไหม ในการประพฤติปฏิบัติมันศีล สมาธิ ปัญญา เวลาปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญา เวลาปฏิบัติในปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ เวลาปฏิบัติก็ว่าพระพุทธศาสนาถ้ามันจะเข้าถึงธรรมต้องมีการปฏิบัติ เวลาเขาปฏิบัติกัน เห่อตามกัน จะเห่อขนาดไหนถ้าไม่มีความจริงๆ นะ ปฏิบัติเพราะอะไร เพราะมันขาดที่พึ่งไง วุฒิภาวะมันอ่อนด้อย มันไม่มีครูบาอาจารย์ตามความเป็นจริง และด้วยความคิดแบบโลกๆ ก็พุทธพจน์ ก๊อบปี้ตามพระพุทธเจ้าเลย มันก็เป็นคนหุ่นยนต์ไง เหมือนหุ่นยนต์ หุ่นยนต์เดี๋ยวนี้เขาคิดโปรแกรม ปัญญาประดิษฐ์ เขาทำหุ่นยนต์มาทำงานดีกว่ามนุษย์อีก 
นี่ก็เหมือนกัน จะทำแบบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากิเลสมันหัวเราะเยาะ นี่จะขุดทองไง โดยปิดบังไว้ พอขุดลงไปมันก็มีแต่เหงื่อแต่ไคลนั่นแหละ ถ้ามันปฏิบัติมันก็ปฏิบัติบูชา พูดถึงว่าถ้าปฏิบัติพอเป็นพิธี ถ้าปฏิบัติจริงจังขึ้นมา เห็นไหม จริงจังขึ้นมามีรสมีชาตินะ ถ้ามีรสมีชาติ เราหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ มีสติปัญญาของเรา ดูแลหัวใจของเรา เรื่องสังคมนั่นเรื่องของเขา
มันจะวัดเล็ก วัดใหญ่ วัดน้อย คนมาก คนน้อย ถ้ามีสติปัญญามันจะรักษาใจของตน รักษาไว้ ถึงเวลาแล้วในสถานที่ที่มันมีชุมชนเราก็ต้องปฏิบัติของเรา เพราะ เพราะถ้าเป็นสำนักปฏิบัติถ้ามีครูบาอาจารย์นะ มันมีที่ให้ปฏิบัติอยู่แล้วแหละ แต่มันไม่ได้ดั่งใจ มันจะให้สงบสงัดมันก็อยู่ป่าลึก ถ้าอยู่ป่าลึกแล้วเสียงบรรยากาศธรรมชาติไง 
ถ้าอย่างนี้เรามีสติปัญญา เราก็คุมของเรา ดูแลของเรา ดูแลของเรานะ เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา ดูแลหัวใจของเราเพื่อสงบระงับเข้ามา มันต้องแลกเปลี่ยนไง ความแลกเปลี่ยนคือว่าถ้ามันไม่ได้สงบสงัดแบบป่าลึก แต่มันก็มีครูมีอาจารย์มีที่พึ่ง ก็วัดปฏิบัติไง คำว่า “วัดปฏิบัติ” มันมีคณะสงฆ์ สงฆ์ตั้งแต่ ๔ องค์ขึ้นไป ถ้ามันต่างจากนั้นมันก็เป็นบุคคล ถ้าบุคคลที่ประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริง สิ่งนั้นมันก็เป็นประโยชน์ๆ มันเป็นคติ เป็นตัวอย่าง มันเป็นตัวอย่างของนักปฏิบัติเรา ถ้าเราจะปฏิบัติของเรา เรามีสติปัญญาแค่นี้เราจะรักษาหัวใจของเรา 
นี่นักขุดทองจะขุดที่ไหน ถ้ามันจะขุดจริงมันจะได้ทองมาไง นักขุดทองต้องได้ทอง ถ้านักขุดทองมันได้กิเลส นักขุดทองมันได้แต่ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง นักขุดทองมันมีแต่การบิดเบือน นักขุดทองมันมีแต่การพลิ้วไหวในทางโลก มันจะไปขุดทำไม ถ้านักขุดทองอย่างนั้นมันไม่ได้ทองหรอก นักขุดทองมันได้กิเลสมา แล้วเวลาปฏิบัติไป ถ้ามันเป็นจริงมันถึงจะได้ธรรมมา ถ้าปฏิบัติไม่จริงขึ้นมามันก็ได้กิเลสมานั่นน่ะ 
แต่! แต่ในการประพฤติปฏิบัติขึ้นมาโดยที่กิเลสมันดิบๆ กิเลสมันหนาแน่น ในการปฏิบัติมันเป็นอย่างนี้ทั้งนั้น ในการปฏิบัติไง เพราะธรรมเหนือโลก ในการประพฤติปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าเป็นความจริง เห็นไหม ใจดวงใดไม่มีมรรค มีมรรคขึ้นมา มีศีล มีสมาธิ มีปัญญาขึ้นมา เกิดมรรคเกิดผลขึ้นมามันจะเกิดความมหัศจรรย์ เวลาเกิดมหัศจรรย์ ปัญญามี ๓ ระดับ สุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา เวลาภาวนามยปัญญาขึ้นมา โดยความมหัศจรรย์ การภาวนามยปัญญาอย่างนั้น มันจะทำให้ปุถุชนเป็นกัลยาณปุถุชน 
ถ้าประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริงได้โสดาปัตติมรรค ด้วยสติด้วยปัญญาอย่างนั้นมันจะเกิดเป็นโสดาปัตติผล เวลาเกิดโสดาปัตติผลถ้ามีคุณธรรมมากขึ้นด้วยสติด้วยปัญญาการรักษาขึ้นไปมันจะเป็นสกิทาคามิมรรค ถ้าสกิทาคามิมรรค ถ้าพิจารณาโดยความเป็นจริงขึ้นมามันจะเป็นสกิทาคามิผล ถ้าสกิทาคามิผลถ้ามีวุฒิภาวะที่สูงขึ้น มันก็ติดข้อง เห็นไหม เวลาติดข้องขึ้นมามันก็มีครูบาอาจารย์คอยชักคอยนำ เวลาออกไปแล้วถ้ามันเป็นความจริงมันเข้าสู่มรรคมันก็เป็นอนาคามิมรรค
ถ้าอนาคามิมรรคมันเป็นมหาสติ มหาปัญญา ถ้ามีสติปัญญาขึ้นมา เห็นไหม มันใช้พัฒนาใช้สติปัญญาของเรา มันเกิดมรรคเกิดผลขึ้นมา มันจะเป็นอนาคามิมรรค ผลของมันก็จะอนาคามิผล ถ้าอนาคามิผลขึ้นมาถ้ามีสติปัญญามากขึ้น มันรู้ด้วยความละเอียดรอบคอบ ได้ครูบาอาจารย์คอยชี้นำ ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์มันต้องแสวงหาด้วยการกระทำของตน เห็นไหม นั่นอรหัตตมรรค เวลาใช้สติใช้ปัญญาด้วยความเป็นจริงขึ้นมามันจะเป็นอรหัตตผล
ถ้าอรหัตตผลขึ้นมาเป็นความจริงขึ้นมา มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ อรหัตตมรรค อรหัตตผล มันนิพพาน ๑ มันรู้ได้อย่างไร คนที่มันรู้จริงมันจะรู้จริงเห็นจริงของมัน ถ้าคนรู้จริงนี่ขุดทองๆ เขาขุดกันอย่างนี้ เขามีครูบาอาจารย์คอยชี้คอยนำคอยบอก แล้วจิตมันก็พัฒนาของมันเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป แล้วมันเป็นขึ้นมามันเป็นที่ไหนล่ะ รสของธรรมชนะรสทั้งปวง เพราะจิตใจมันได้คุณธรรม จิตใจมันมีความสุขของมัน มันมีความสุขนะ แม้แต่ทำความสงบของใจ เวลาใจมันสงบระงับขึ้นมา โอ้โฮ! ไปไหนตัวมันเบา มันล่องมันลอยไปนะ ทั้งๆ มีสติสัมปชัญญะนะ มันล่องมันลอยไปด้วยสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้องไง
แต่ถ้ามันมาเป็นมิจฉาทิฏฐิ ว่างๆ ว่างๆ ขาดสติ ว่างๆ มันจะนั่งหลับอยู่แล้ว ว่างๆ มันคนเหม่อลอย ว่างๆ ไม่เป็นประโยชน์อะไร แล้วก็ถ้ามันเหม่อลอยขึ้นไปแล้วมันก็จะเกิดการติฉินนินทา เกิดการคัดง้างกันโดยเหตุโดยผล นั่นมันเรื่องของเขา ด้วยวุฒิภาวะ 
แต่ถ้าเป็นความจริงๆ นะ มันมีสติปัญญา มันเทียบเคียงเลย นี่ไง ขนาดว่าแค่จิตมันสงบเท่านั้นล่ะ แล้วถ้ามันเห็นกายโดยสัจจะความจริงมันจะขุดทองแล้ว เห็นสายแร่ ถ้าเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง ดูสิ เวลาคนขุดทองร่างกายเต็มไปด้วยเหงื่อไคล แต่จอบเสียมเขาขุดลงไปๆ มันได้สายแร่ มันไปเจอสิ่งต่างๆ ขึ้นมา นี่ก็เหมือนกัน เวลาจิตสงบแล้วเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง มันพิจารณาแยกแยะของมัน มันคัดมันแยกของมันด้วยตบะธรรม เห็นไหม ด้วยตบะ ด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา ปัญญาที่มหัศจรรย์ 
ปัญญาทางโลกๆ ใครมีสติปัญญามากน้อยแค่ไหน เขาประกอบสัมมาอาชีพของเขา ด้วยอำนาจวาสนาของเขา เขาทำสิ่งใดประสบความสำเร็จของเขา อันนั้นมันเป็นอำนาจวาสนาบารมี มันเป็นอามิส มันเป็นเรื่องของโลก ขนาดเรื่องของโลกเขายังแข่งขันกันนะ แล้วระดับเศรษฐีระดับโลก เขาต้องวัดกันด้วยจำนวนว่ามันมีมากมีน้อยแค่ไหน
แต่ถ้ามันเป็นธรรมๆ ขึ้นมา ถ้ามีคุณธรรมมากน้อย ยิ่งมีมากเท่าไรยิ่งสงบยิ่งระงับ แล้วมันเป็นความจริง มันวัดกันที่ไหน วัดกันด้วยขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ ถ้าเป็นสมาธิขึ้นมา จิตมันมีความสงบระงับขึ้นมามันแสวงหาของมัน มันพิจารณาของมัน นักขุดทองเห็นสายแร่แล้ว เขาต้องพิจารณาของเขา แยกแยะของเขาว่าสิ่งใดมันเป็นสินแร่ที่มันปนเปื้อนมา สิ่งใดที่มันติดค้ำคอมา พิจารณาของมันด้วยตบะธรรมๆ ด้วยตบะธรรม ด้วยปัญญาคัดแยกของมัน พิจารณาแล้วพิจารณาเล่า 
เวลามันปล่อยมันวางขึ้นมา เวลามันปล่อยมันวางด้วยปัญญา คนที่พิจารณาของมันเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมา สุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา เขาเห็นชัดของเขา เขารู้ของเขา ความรู้ของเขาถ้าพิจารณาของมันไป ถ้าเป็นภาวนามยปัญญาเวลามันสมดุลของมัน มันปล่อย มันวางของมัน เวลามันปล่อยวางของมันนี่รสของธรรมชนะซึ่งรสทั้งปวง รสของปัญญาธรรม รสของศีล สมาธิ ปัญญาที่มันมีรสมีชาติ มันมีความสุข มีความสงบระงับของมันทั้งนั้น
แต่ถ้ามันไม่ถึงสมุจเฉทปหาน เดี๋ยวมันก็คลายตัวออกมา พอคลายตัวออกมา เดี๋ยวก็โผล่ขึ้นมา โผล่ขึ้นมาคือความหงุดหงิดในใจ คือความลังเลสงสัย คือความไม่แน่ใจของเรา ถ้าความไม่แน่ใจของเรานะ แต่ถ้าเราพิจารณาของเราได้ เราพิจารณาของเราซ้ำๆ ต่อเนื่องไป ถ้าพิจารณาไปแล้วมันมีปัญหา เราขุดทองของเราด้วย เราทำของเราด้วยอาบเหงื่อต่างน้ำด้วยความทุกข์ความยาก เราก็ต้องพักผ่อนของเรา พักผ่อนให้มีกำลังขึ้นมา ถ้ามีกำลังขึ้นมาแล้วเราก็จับจอบจับเสียมเข้าไปพิจารณาของเรา ไปขุดไปคุ้ย ไปแยกไปแยะของเรา
นี่ก็เหมือนกัน เวลาถ้ามันพิจารณาไปแล้ว มันปล่อยมันวางขนาดไหน แต่มันยังมีความลังเลสงสัย มันยังมีความขุ่นข้องหมองใจ เราก็พิจารณาของเรา ถ้าพิจารณาไปแล้วถ้ามันไม่ก้าวเดินของมัน เห็นไหม กลับมาทำความสงบของใจให้มากขึ้น กลับมาพักใจของเรา พักใจให้มันได้พักได้ผ่อนของมัน ให้พักผ่อนแล้วให้มีกำลังของมัน แล้วกลับไปแก้ไข กลับไปพิจารณาของเขา
ถ้าพิจารณาไปแล้ว ถ้ามันเป็นด้วยสติด้วยปัญญา พิจารณาแล้วเวลามันปล่อยๆ การปล่อยอย่างนั้นมีรสมีชาติ เวลามันปล่อยมันสุขมีความสุข มีความรื่นเริงทั้งนั้น มีความสุขความรื่นเริงแล้ว ความสุขความรื่นเริง เห็นไหม เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมา-สัมพุทธเจ้าบอกว่าให้ข้ามพ้นทั้งดีและชั่ว เวลาดีขึ้นมาก็รื่นเริง เวลาดีขึ้นมาก็มีความสุข ดีขึ้นมาก็พอใจ เพราะความพอใจนั้นเดี๋ยวมันก็ไม่ดี ถ้ามันมีสติปัญญารักษาไว้ มันก็มาอยู่ระหว่างอุเบกขา วางแล้วมันก็มีกำลังของมัน มีความรับรู้ของมันเป็นอุเบกขา
ความรับรู้อุเบกขายังมีอยู่ คำว่า “อุเบกขา” มันต้องมีอะไรเป็นอุเบกขาไง ถ้าเป็นอุเบกขาแสดงว่าตัวตนของมันยังมีอยู่ แสดงว่าเป็นอุเบกขามันมีสถานที่มีให้กิเลสมันครอบงำ ถ้าครอบงำเราวางอันนั้นกลับมาพิจารณา กลับมาทำความสงบใจให้มากขึ้น กลับไปจับต้องขึ้นมาก็แยกแยะของมันไป มันจะเป็นอุเบกขาขนาดไหน มันก็ต้องมีความไม่รู้อยู่ในนั้น มันมีตัวมีตนของมัน มีสถานที่ของมัน มันถึงมีอารมณ์มีความรู้สึกอย่างนี้ได้ 
ถ้ามีความรู้สึกอย่างนี้ได้มันเป็นเพราะอะไร เป็นเพราะว่าสิ่งที่เรารักษา สิ่งที่เราดูแลในใจนี่ ใจที่มันพิจารณาแล้วมันจับขึ้นมามันพิจารณาของมันได้ มันพิจารณาแยกแยะอย่างไร ถ้าแยกแยะแล้วคราวนี้ประสบความสำเร็จ คราวต่อหน้าไปมันไม่ประสบความสำเร็จเพราะอะไร เพราะกิเลสมันรู้เท่ารู้ทันของมัน มันก็พลิกก็แพลงของมัน ถ้าพลิกแพลงขึ้นแล้วเราตามไม่ทัน การก้าวเดินมันเหลื่อมกันคนละก้าวสองก้าว มันพิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะ เพราะมันอยู่ใกล้ๆ เรานี่แหละ กิเลสมันก็อยู่ในใจนี่แหละ อวิชชามันอยู่กลางหัวอกนี่ แล้วเราทำของเรา 
ดูสิ คนในบ้านของเราพูดสิ่งใดเขาเชื่อถือเราหรือไม่ เวลาคนนอกพูดน่าเชื่อนะ เขามีปรารถนาดีกับเรา เขาหวังดีกับเรา เขาทำเพื่อประโยชน์กับเรา แต่ไอ้คนในบ้านของเราพูดอะไรมันไม่ฟังๆ คนในบ้านมันใกล้ชิดกันเกินไปไง คนใกล้ชิดกัน คนอยู่บ้านเดียวกัน คนมันไม่รู้ ไม่รับรู้สิ่งใด นี่ไง กิเลสมันอยู่ในหัวใจมันเจ้าเรือนเจ้าวัฏจักร ตั้งแต่พญามาร ลูกมัน หลานมัน เหลนมัน มันจะเป็นเจ้าวัฏจักร 
เวลาศึกษาธรรมะปฏิบัติธรรมขึ้นมา ศึกษาด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา ด้วยความศรัทธา ด้วยความมั่นคงของเรา ด้วยความศรัทธาด้วยความมั่นคงนั้นเป็นสิ่งที่ว่ามันเจริญงอกงามขึ้นมาจากศรัทธา แต่เวลาเป็นจริงๆ ขึ้นมา ถ้าเป็นศีล ศีลก็เป็นความปกติของใจ ถ้าเป็นสมาธิ สมาธิก็ยิ่งมีรสมีชาติ ถ้าเป็นปัญญาขึ้นมาอีก แล้วเราทำของเราขึ้นมา 
สิ่งที่เราทำขึ้นมาเราพิจารณาขึ้นไป พิจารณาไปพิจารณาแล้วถ้าคนจับต้องกายไม่ได้ คนเราไม่เห็นสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริง มันพิจารณาของมัน มันก็เป็นจินตมยปัญญา มันไม่เป็นภาวนามยปัญญาขึ้นมาได้ มันไม่เป็นภาวนามยปัญญาขึ้นมาเพราะจิตไม่เห็นอาการของจิต จิตไม่เห็นสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริง ถ้าไม่เห็นสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริงมันก็ไม่ใช่สัจจะ ไม่ใช่อริยสัจ ไม่ใช่ความจริงอันนั้น 
ถ้าเป็นความจริงอันนั้นพิจารณาของมัน ถ้ามันจับต้องได้มันถึงเป็นอริยสัจ เห็นไหม ถ้าเป็นอริยสัจ ถ้ามันจับต้องได้ ของในครอบครัวเรา ของในบ้านเรา ของในเรือนเรา ขุดทองๆ ขุดทองมันต้องขุดทองในบ่อนี้ ขุดทองในหัวใจนี้ ถ้าขุดทองในหัวใจนี้ถ้ามันขุดได้จริง เห็นไหม มันพิจารณาของมัน แยกแยะของมัน พิจารณาของมัน มันจะเป็นความจริงของมันขึ้นมา ถ้าความจริงขึ้นมามันจะมากจะน้อยขนาดไหน พิจารณาแล้วมันจะละลายไปอย่างไร มันเป็นไตรลักษณ์อย่างไร
เพราะธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สัจจะความจริง โดยอริยสัจ โดยความจริง เป็นไตรลักษณ์ สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรมทั้งหลายต้องเป็นอนัตตา มันเป็นอนัตตามันถึงจะเป็นไตรลักษณ์ เพราะเราไม่เห็นไตรลักษณ์ มันก็ไม่สมบูรณ์ของมัน ไม่สิ้นสุดกระบวนการของมัน การสิ้นสุดกระบวนการของมันต้องเป็น อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา 
อนิจจังๆ อนิจจังที่มันจับต้องไม่ได้ อนิจจังที่มันแปรปรวนตลอดเวลา เวลามันแปรปรวนตลอดเวลาก็คิดว่านี่เป็นไตรลักษณ์ๆ มันจะเป็นไตรลักษณ์ตรงไหน เอ็งไม่มีวุฒิภาวะ เอ็งไม่มีวุฒิภาวะแล้วมันจะเป็นไตรลักษณ์อะไรของเอ็ง มันเป็นเรื่องโลกๆ ไง วุฒิภาวะมันเป็นเรื่องโลก มันก็เป็นอนิจจัง สิ่งใดเป็นอนิจจังมันก็แปรสภาพของมัน มันไม่คงที่ อนิจจังทั้งหมด สิ่งใดเป็นอนิจจังสิ่งนั้นเป็นทุกข์ ทุกข์ควรกำหนด สมุทัยควรละ ทุกข์ควรกำหนด ทุกข์มันมาจากไหน ทุกข์เพราะมันไม่ได้ดั่งใจ ไม่ได้สมความปรารถนา พอไม่สมปรารถนามันเป็นความทุกข์ทั้งนั้น แล้วความทุกข์ล่ะ ทุกข์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ถ้ามันเป็นอนัตตา อนัตตาอย่างไร
สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรมทั้งหลายต้องเป็นอนัตตา เราประพฤติปฏิบัติของเราแล้วมันเป็นอนัตตาหรือไม่ ถ้ามันยังไม่เป็นอนัตตาไม่เป็นความจริง เป็นอนัตตาก็อนัตตาความคิดไง อนัตตาก็ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทธพจน์ไง เอามาแปะ เอามาแปะหัวใจไว้ เอามาแปะมันมีแต่ข้างนอก ถ้ามันจะเป็นทอง มันก็เป็นทองคำที่อยู่ในห้างร้าน มันเป็นการซื้อขาย เราไปซื้อทองนี้มา การซื้อขายมันอยู่ข้างนอก แต่ถ้ามันเป็นความจริงมันต้องเกิดจากภายใน เกิดจากหัวใจ เกิดจากจิต จิตมันต้องขุด ต้องค้น ต้องคว้า ต้องทำของเราเอง
แต่ถ้ามันเป็นพุทธพจน์ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่ไง สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา อนัตตาเราก็เข้าใจหมดแล้ว อนัตตา เราเข้าใจแล้ว เข้าใจก็เดินผ่านร้านขายทองเห็นทองเต็มไปหมดเลย อันนั้นเป็นทรัพย์สมบัติของเขา แต่ของเราเป็นจริงๆ ที่บอกว่าธรรมะเป็นธรรมชาติๆ ไง ธรรมะเป็นธรรมชาติมันก็ร้านทองไง ธรรมะเป็นธรรมชาติก็โรงหลอม มันเป็นธุรกิจของเขา สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา สรรพสิ่งทั้งหลายเป็นอนัตตา แต่ความเป็นอนัตตามันจะเป็นอนัตตาจากความมุมานะของเรา อนัตตาจากจิต จิตมันรู้มันเห็น 
ถ้าเป็นทางโลกสิ่งที่มีปัญญาๆ ปัญญาเกิดจากสมอง ปัญญาเกิดจากการศึกษา ปัญญาเกิดจากการวิจัย แต่เวลาเป็นจริงขึ้นมา ปัญญาเกิดจากจิต ภาวนามยปัญญาไง มันไม่มีช่องว่าง ไม่มีระหว่าง ดูสิ คิด ทางการแพทย์เขาบอกเลยนะสมองมหัศจรรย์มาก มันสั่ง เห็นไหม สั่งให้ร่างกายขยับเขยื้อน มันสั่งได้หมดเลย เส้นประสาทอยู่ในการสั่ง เราสั่งใคร ใครเป็นคนสั่ง ไอ้นี่ไฟฟ้า ระบบไฟฟ้าในร่างกาย แต่จริงๆ แล้วคือวิญญาณ แต่ถ้าจิตมันสั่ง สั่งอย่างไร 
ถ้าพิสูจน์คนภาวนาจะรู้ เวลาคนภาวนาไปนี่อย่างนี้เป็นต้นเหตุ ต้นเหตุในการวิเคราะห์วิจัย ค้นคว้าหาจิต ค้นคว้าหาเจ้านาย ค้นคว้าหาบ่อ ค้นคว้าหาเหมืองของเรา ค้นคว้าในการกระทำของเรา แล้วพิจารณาของเราไปมันจะปลดเปลื้องแล้ว ถ้าเป็นจริงเป็นจริงในหัวใจนะ ภาวนามยปัญญามันเกิดของมัน เกิดจากใจดวงไหน เห็นไหม นี่ไง ใจดวงใดไม่มีมรรคมันจะไม่มีผล 
ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดา พุทธกิจ ๕ พุทธคุณ ปัญญาคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มีใครคาดเดาได้ สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงไว้เป็นแค่ใบไม้ในกำมือ ความรู้ความจริงเหมือนใบไม้ในป่า สิ่งที่พุทธพจน์ๆ นี่ปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งนั้น แล้วสิ่งที่แสดงมาก็แค่ใบไม้ในกำมือเท่านั้น ของเล็กน้อยมาก แต่ความจริง ความจริงในหัวใจ ความจริงที่แสดง เป็นความจริงแต่ไม่เป็นประโยชน์ องค์สมเด็จพระสัมมา-สัมพุทธเจ้าไม่พยากรณ์ 
สิ่งใดที่เป็นจริงแต่มันเป็นประโยชน์ ประโยชน์กับใคร ถ้าประโยชน์ ดูสิ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เราสวดมนต์กันอยู่ทุกวันนี้ ธัมมจักฯ แสดงกับปัญจวัคคีย์ อาทิตฯ แสดงกับชฎิล ๓ พี่น้อง อนัตฯ ก็แสดงกับปัญจวัคคีย์ ธรรมบทไหน แสดงกับใคร วุฒิภาวะมากน้อยแค่ไหน เขาจะมีความรู้ได้มากน้อยได้แค่ไหน เราเอามาสาธยายตลอด แล้วเราก็แปลเป็นภาษาไทย แปลตามความเข้าใจ แล้วเข้าใจก็แปะไว้ที่หัวใจไง ท่องได้เดี๋ยวก็ลืม ความจำเป็นความจริงไม่ได้ 
แต่ถ้ามันเป็นความจริงในหัวใจนะ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ แล้วถ้าเวลาดับทุกข์มันจะได้ตามความเป็นจริงเราแล้ว ถ้าตามความเป็นจริงขึ้นมามันจะมีสติปัญญาย้อนกลับมา คนที่มีสติปัญญามันจะย้อนกลับมาที่นี่ แล้วเป็นคนที่มีคุณค่า มีคุณค่า เห็นไหม เอาอริยทรัพย์ เอาทรัพย์จริงๆ ดูสิ พระมีอะไรเป็นสมบัติ มีศีลมีธรรมเป็นสมบัติไง ถ้าพระครองธรรมครองวินัยไม่ได้ใครจะครอง ถ้าพระรู้ธรรมรู้วินัยไม่ได้ใครจะรู้ ถ้ารู้ขึ้นมารู้แล้วเป็นอย่างไร รู้แล้วเป็นประโยชน์กับใคร รู้แล้วเป็นประโยชน์กับผู้รู้นั้นก่อนไง มันต้องแก้ความสงสัยของตนให้ได้ ถ้าแก้ความสงสัยของตนมันมีคุณธรรมในหัวใจ มันจะมีวิหารธรรม
ถ้ามีวิหารธรรม สิ่งที่เป็นธรรมะมันเหนือโลกไง มันจะทำตามกระแสโลกได้อย่างไร กระแสโลกมันเป็นเรื่องของกิเลสไง กระแสโลก กระแสการตลาด มันเป็นสิ่งที่มันแข่งขันกันทางโลก แล้วเราจะไปแข่งขันกับมันทำไม แล้วแข่งขัน ดูสิ เวลาองค์-สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมเอง ตรัสรู้เองโดยชอบ เวลาความชอบธรรมๆ นะ “เราจะสอนใครได้หนอๆ” นั่นกระแสโลก กระแสตลาด แต่คุณธรรมมันเป็นสัจจะความจริง แล้วใครจะมีปัญญารู้ได้ เวลาไปสอนปัญจวัคคีย์ ปัญจวัคคีย์ยังดื้อ เวลา “เธอจงเงี่ยหูลงฟัง” เวลาเทศนาว่าการขึ้นไปก็ได้ทีละองค์ๆ เห็นไหม เวลายสะ เห็นไหม “ที่นี่เดือดร้อนหนอ ที่นี่วุ่นวายหนอ” “ยสะมาที่นี่ ที่นี่ไม่เดือดร้อน” 
ที่นี่! ที่ไหน? ขุดทองขุดที่ไหน? 
นี่ไง เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสวยวิมุตติสุข เราจะสอนใครได้หนอ มันทอดธุระ ทอดอาลัย คนที่จะรู้ได้ คนที่จะทำได้ เห็นไหม ต้องนั่งนิ่งๆ สิ่งที่เขาเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา เวลาจิตมันสงบระงับเข้ามา มันพิจารณาของมันนะ มันมีที่มาที่ไป เวลามันจับต้องได้มันสะเทือนหัวใจมาก สะเทือนหัวใจคือสะเทือนกิเลส เห็นกายก็สะเทือนกิเลส เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม ตามความเป็นจริง เวลาเรานั่งกันอยู่นี่เวลาเกิดเวทนาเจ็บปวดแสบร้อนมาก เราเห็นเวทนาหรือ? ไม่ใช่! เราเป็นทาสของเวทนา เวทนามันบีบบี้สีไฟ เวทนามันเหยียบย่ำทำลาย เวลานั่งเวทนาเกิดเจ็บปวดสู้ไม่ไหวเลย 
ถ้าเรามีสติมีปัญญาเราจะขุดทองของเรา เราก็หาความสงบ ทำความสงบระงับเข้ามา ใจสงบคือมันก็ปล่อยวางขันธ์ ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เวลามันสงบระงับเข้าไปมันมีสติมีปัญญา รักษาให้มีกำลัง พอรักษาให้มีกำลัง เวลามันย้อนกลับมาจับเวทนา จิตสงบแล้วจับเวทนา ถ้าจิตสงบมันจับเวทนา มันพิจารณาเวทนา เวทนามาจากไหน เวลาจับเวทนา เวทนามันคืออะไร พอจับเวทนา มันสักแต่ว่า มันอยู่ของมันอย่างนั้น เราจับแล้วพิจารณาได้ ถ้าจิตสงบแล้วจับเวทนานะ จับได้เลย แต่! แต่ถ้าจิตไม่สงบ เอาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาแปะหัวใจไว้ แล้วก็นั่ง โน่นก็เวทนา โน่นก็รู้ นี่ก็รู้ เวลานั่งไปแล้วทนไม่ไหวหรอก 
แต่ถ้าเราพุทโธๆ จนจิตสงบแล้ว เห็นไหม นี่จิตสงบ ศีล สมาธิ ถ้ามีสมาธิ ปัญญาเกิดจากสัมมาสมาธิ ปัญญาเกิดจากจิต ปัญญาเกิดจากสามัญสำนึก เกิดจากใจของเรา เกิดจากบ่อใจนี้ ค้นคว้าหาสัจจะหาทองคำนี้ สิ่งที่ใช้ปัญญาขบคิด ปัญญาพิจารณา ปัญญาคือขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ คือรอบรู้ในกองสังขาร ปัญญาก็เกิดจากความคิด แต่! แต่มันมีสัมมาสมาธิ ปัญญาที่เกิดจากสัมมาสมาธิ ปัญญาที่เกิดจากจิตมันจะเป็นภาวนามยปัญญา มันจะเป็นมรรค 
แต่โดยธรรมชาติของเราปัญญาเกิดจากสมอง ปัญญาเกิดจากสัญชาตญาณ สัญชาตญาณอวิชชาทั้งนั้นเลย อวิชชามืดบอดมันปิดบังหัวใจไว้ ทั้งๆ ที่คิดธรรมะขององค์-สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คิดด้วยความไม่รู้ อ่านพระไตรปิฎกรู้ไหม อ่านพระไตรปิฎกได้ภาษา แต่รู้สัจจะรู้ความจริงไหม ไม่มีใครรู้หรอก 
แต่ถ้ามาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ศึกษามาให้ปฏิบัติ เวลาปฏิบัติขึ้นมา จิตมันสงบระงับเข้าพิจารณาของมันไป ถ้าพิจารณาได้ตามความเป็นจริง นี่ไง รู้แจ้ง รู้แจ้งคืออะไร รู้แจ้งคือวิปัสสนา วิปัสสนา ปัญญาๆ รู้แจ้ง รู้แจ้งในการวิปัสสนา ปัญญารู้แจ้งในการรื้อค้น รื้อค้นไง
นี่ไง ถ้ามันหาหัวใจของตนเจอ หาพื้นที่ของตัวเองได้ แล้วใช้สติใช้ปัญญาขึ้นมานะ ขุดทองจะได้ทอง เวลาขุดทองจะได้ทอง ทองคำแบบมุตโตทัยที่หลวงปู่มั่นท่านเทศนาว่าการไว้ในมุตโตทัย แล้วเวลาท่านพูดนะ “มโน มะ นะโม” มันต้องเกิดจากหัวใจ แล้วเวลามโน เห็นไหม หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า หก เจ็ด แปด เก้า ศูนย์ ศูนย์นั่นคือสัจจะคือความจริง สูญจากกิเลส แต่มีหัวใจมีความรู้ มีคุณธรรมในใจมหาศาล 
อันนั้นคือสัจจะความจริงที่หลวงปู่มั่นท่านเทศนาว่าการไว้ แล้วพวกเราจะประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริงหรือไม่ เวลาจะปฏิบัติขึ้นมามันต้องเป็นความจริงของเรา สิ่งนั้นเป็นคติธรรม เป็นครูบาอาจารย์ของเรา เป็นอาจารย์ใหญ่ที่ท่านได้ทุ่มเททั้งชีวิต แล้วพยายามเผยแผ่ให้เป็นแบบอย่าง ให้นักปฏิบัติมีที่พึ่งที่อาศัย เป็นครูเป็นอาจารย์ของเรา คุ้มครองดูแลเรามาจนถึงปัจจุบันนี้ เอวัง