เทศน์พระ

ทิศทางลม

๒๓ ก.ค. ๒๕๖o

 

ทิศทางลม
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๖๐
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ ตั้งใจฟังธรรมให้จิตใจเราสงบร่มเย็นไง จิตใจทางโลกเขา เขาเร่าร้อนของเขานะ เพราะเขาเร่าร้อนของเขา เขาถึงต้องมีความทุกข์ความยาก เราอุตส่าห์หลบแดดหลบฝนเข้ามาในพระพุทธศาสนา มาบวชเป็นพระไง นี่หลบจากร้อนมาหาที่เย็น แล้วหาที่เย็น เราหาที่เย็น ที่เย็นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง

อารามที่อยู่ของผู้ที่ไม่มีบ้านไม่มีเรือน แล้วเราไม่มีบ้านมีเรือน แต่จิตใจเราไปไหน ถ้าจิตใจของเรานี่เราหาที่พึ่งของเรา เห็นไหม นี่พุทธานุสสติมีสติสัมปชัญญะจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หายใจเข้านึกพุธ หายใจออกโธ เห็นไหม หลบให้ ให้หัวใจเราร่มเย็นให้ได้ ถ้าหัวใจเราร่มเย็นได้ เห็นไหม นี่เวลาสิ่งที่ศาสนายังไม่เจริญ ถ้าศาสนา คำว่าศาสนายังไม่เจริญ มันเป็นประเพณีวัฒนาธรรมอยู่กันอย่างนั้น

แล้วหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านขวนขวายของท่านนะ ท่านขวนขวายของท่าน เห็นไหม มันไม่มีใครเห็นด้วยทั้งนั้น ท่านขวนขวายของท่านจนท่านทำของท่านขึ้นมาได้ พอทำของท่านขึ้นมาได้มีคนเชื่อถือศรัทธาขึ้นมา พอมีคนเชื่อถือศรัทธาขึ้นมา ใครๆ ก็เป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่นๆ เมื่อก่อนนะ พระในพระพุทธศาสนา ในเมืองไทยที่มีชื่อเสียงคือหลวงปู่ทวด หลวงปู่โต เห็นไหม หลวงปู่ทวดนี่ใครๆ ก็ร่ำลือ สมเด็จโตๆ ทุกคนก็เคารพบูชาทั้งนั้น

นี่เวลาเรามีหลวงปู่มั่น ถ้ามีหลวงปู่มั่นขึ้นมา หลวงปู่มั่นท่านโดยศักยภาพของคุณธรรมในใจของท่านนะ ท่านไม่มีตำแหน่งฐานะใดๆ ทั้งสิ้นในสังคมโลกที่มาเชิดชูเลย แต่ท่านมีคุณธรรมในหัวใจของท่าน ท่านมีคุณธรรมในหัวใจของท่าน ด้วยธรรมอันนั้นๆ ไง ทำให้สังคมยอมรับ เห็นไหม นี่กระแสสังคมๆ พอกระแสสังคม มันยอมรับเชิดชูบูชานี่ ใครๆ ก็ลูกศิษย์หลวงปู่มั่น ถ้าลูกศิษย์หลวงปู่มั่นมันก็ต้องทำประพฤติปฏิบัติแบบหลวงปู่มั่นสิ

เวลาลูกศิษย์หลวงปู่มั่น หลวงตาท่านพูดประจำถ้าเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่น ลูกศิษย์ของครูบาอาจารย์ของเรา มันต้องมีข้อวัตรปฏิบัติ ถ้ามีข้อวัตรปฏิบัติหัวใจของเรานะมันเครื่องอยู่ ถ้าหัวใจเรามันมีเครื่องอยู่ เครื่องครอบอันนั้นเหมือนกับพุทโธ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกโธ มันขัดแย้งไปทั้งนั้น เวลาหายใจเข้านึกพุท หายใจออกโธนี่ มันคิดไปร้อยแปด มันทำสิ่งใดด้วยความทุกข์ความยากทั้งนั้น นี่หายใจเข้านึกพุท หายใจออกโธ ที่มันร่มเย็นๆ ทำไมมันอึดอัดขัดข้องขนาดนี้ว่ะ ทำไมมันลำบากอย่างนี้

แต่ถ้าเวลาหายใจเข้านึกพุท หายใจออกโธ พร้อมกับหัวใจมันกลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เออ วันนี้มีความสุขๆ เห็นไหม เวลามันเข้ามันกลมกลืนกัน มันก็มีร่มเย็นเป็นสุขล่ะ แล้วถ้าจิตมันสงบขึ้นมามันวางพุทโธเลยนี่ พุทโธนี้เป็นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สมาธิเป็นของเรา พุทธานุสสติ สติระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เอาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งที่อาศัย

เราชาวพุทธมีพ่อคนเดียวกันคือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่มีพ่อคนเดียวกัน แต่พ่อนี้มีลูกมากมายมหาศาลเลย บริษัท ๔ ในชาวพุทธๆ เป็นลูกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งนั้น ถ้าเป็นลูกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งนั้น แล้วใครบ้างที่จะเป็นลูกกตัญญูกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง ถ้าเรากตัญญูกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราหายใจเข้านึกพุท หายใจออกโธ พุทธานุสสติ ให้มันเป็นออกมาจากหัวใจ เห็นไหม เวลามันเป็นจากหัวใจ กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันก็ต่อต้าน มันก็ขัดแย้งไปทั้งนั้น

แต่เวลาถ้าเรามันกลมกลืนกันๆ กลมกลืนด้วยสติ ด้วยปัญญา ด้วยความหมั่นเพียรเรา มันก็เริ่มคล่องตัวขึ้น เริ่มมีความสงบมากขึ้น เวลามันพุธโธๆๆ จนจิตมันพุทโธไม่ได้ มันวางพุทโธไง นี่วางไว้ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเป็นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมะเป็นธรรมชาติไง ธรรมะเป็นสาธารณะไง สิ่งที่เป็นสาธารณะเราก็เกิดมา เห็นไหม เรามีพ่อคนเดียวกัน เรามีพ่อเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหมือนกัน

บริษัท ๔ เป็นพระ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาแตกต่างกัน จริตนิสัยของคนก็แตกต่างกัน ความรู้ความเห็นของคนก็แตกต่างกัน นี่ความทุกข์ความยากของคนมากน้อยก็แตกต่างกัน แต่ใครทำได้ ทำได้จริงๆ “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต” เราไปเฝ้าไปใกล้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราทำของเราเห็นไหม หายใจก็นึกพุธ หายออกโธ นี่มันเป็นสมบัติของเราไง

สิ่งที่เราศึกษานี้มันเป็นสมบัติสาธารณะ สมบัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา วางธรรมและวินัยนี้ไว้ เราก็ศึกษาธรรมวินัยนี้ไว้ แล้วเราก็พยายามประพฤติปฏิบัติ ฝึกหัดขึ้นมาให้เป็นมาในหัวใจของเรา ถ้ามันยังเป็นไปไม่ได้เพราะกิเลสมันต่อต้าน กิเลสในใจของเรามันขัดมันแย้งไง

นี่เวลาพุทโธๆ มันจะร่มเย็นเป็นสุข ครูบาอาจารย์ท่านมีความสุข ไอ้เราทำไมมันทุกข์ขนาดนี้ เวลาทำนี้หัวปักหัวปำเลย ทำไมเรามันลำบากขนาดนี้ พอลำบากขนาดนี้ เห็นไหม ครูบาอาจารย์ของเราท่านก็ทบทวนมา เป็นเพราะอะไร เป็นเพราะศีล ศีลเราปกติหรือไม่ อ้าว เป็นเพราะศีล เป็นเพราะมันไม่ได้สมาธิมันก็ทุกข์ยากอย่างนี้ ถ้ามันเกิดปัญญาขึ้นมา ปัญญาที่มันก็ดูแลรักษาขึ้นมา มันก็จะดีขึ้นๆ เห็นไหม มันก็ทบทวนๆ จากพฤติกรรมของเรานี้ไง ถ้าทบทวนแล้วเราก็พยายามของเราไง ถ้ามันเป็นขึ้นมา มันเป็นสมบัติของเราๆ ไง

นี่เห็นไหม กระแสสังคมๆ เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเป็นความจริง นี่ก็เหมือนกัน มันเป็นทิศทาง กระแสของโลก กระแสของโลกมันทิศทางของโลกทำไมมันพัดไปทางเดียวกัน มันก็ร่มเย็นเป็นสุข ถ้ามันขัดแย้งกันนะ เราเป็นนักปฏิบัติ เราเป็นพระ เป็นพระปลาอาศัยน้ำ ปลามันต้องมีน้ำมีแหล่งน้ำขึ้นมาปลามันถึงอยู่ของมันได้ไง ถ้าแหล่งน้ำนั้นเป็นน้ำเสีย ปลามันก็อึดอัดแล้ว ถ้าแหล่งน้ำเสียจนปลาอยู่ไม่ได้ปลาก็ตาย

เป็นพระๆ ก็อยู่กับสังคม นี่กระแสสังคมๆ ไง กระแสสังคมพัดไปทางไหนเราก็จะไปกับเขา แต่กระแสสังคมเป็นเรื่องของกระแสสังคมไง แต่เรานี่เราทวนกระแส เราอยู่กับกระแสนั้นเราหลบหลีก นี่กระแสสังคม ถ้ากระแสสังคม นี่ทิศทางลม ในทางโลกเขาๆ เห็นไหม ทิศทางลมเวลาเขาก่อสร้างเขาต้องคำนวณกระแสลมเลย ทิศทางลมมันจะพัดไปทางไหน ออกแบบการก่อสร้าง ใช้ประโยชน์จากมันได้ด้วย

นี่เวลาตึกนะมันจะไม่ร้อน ตึกนั้นมันจะมีทางระบาย ใช้พลังงานน้อยลง เห็นไหม อะไรต่อไปมันจะดีขึ้นล่ะ นี่ทิศทางลมๆ เขาก็ยังคิดใช้เป็นเลย ดูสิ เวลาในพลังงานลม เขาแสวงหาของเขานะ เขาไปทำวิจัยเลย ว่านี่แรงลมที่ไหนมันพอจะทำกังหันลมได้ นี่ทิศทางลมเห็นไหม เขาคำนวณ เขาดู เขาคำนวณทิศทางของมันเพื่อเอามาเป็นธุรกิจ เพื่อเอามาสร้างประโยชน์ นี่กระแสสังคมกระแสโลกก็เป็นแบบนั้น

แล้วเราก็เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา กระแสสังคมถ้ามันรุนแรงขนาดไหน นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเตือนไว้ไปตลอด เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอนาคตังสญาณนะ มันจะลุ่มๆ ดอนๆ เป็นอย่างนี้ คราวที่ศาสนาเจริญเจริญรุ่งเรืองมาก แต่เวลาคราวศาสนา เห็นไหม เวลาศาสนามีปัญหากันภายใน คำว่ามีปัญหากันภายใน ผู้ที่มีอำนาจมีความเห็นขัดแย้งกัน ไอ้พวกเราลำบากไปทั้งนั้นนะ

เวลาเราปฏิบัติแล้วนะ เราคิดถึงเวลาหลวงตาท่านพูดว่าเจ้าคุณจูม ธรรมเจดีย์ ท่านเป็นเจ้าคณะภาค ภาค ๖ นี่ท่านบอกเลยนะ ท่านไม่อยากเป็น โดยธรรมชาติของท่าน คนที่มีคุณธรรม คนที่เป็นธรรมนะ ไอ้เรื่องที่ไอ้หัวโขนนะท่านไม่สนใจหรอก แต่ท่านบอกเลยนะ ท่านไม่อยากเป็นหรอกเจ้าคณะภาคนี่ แต่ที่เป็นไว้ๆ เพื่ออะไร เพื่อคุ้มครองดูแลไม่ให้เขามารังแกกรรมฐาน แหม! ฟังคำนี้แล้วมันชื่นใจนะ เอาไว้คุ้มครองดูแลไง

ผู้ที่มีอำนาจเวลามีปัญหากัน มีความขัดแย้งกัน ไอ้เราก็อยู่ในสังคมนั้น นี่กระแสสังคมๆ ไง แล้วสังคมมันราบรื่นนะ ผู้นำที่ดีนะ แล้วเราเกิดมา เห็นไหม ดูสิ หลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่นกว่าท่านจะประพฤติปฏิบัติของท่าน ท่านก็โดนกระแสสังคมพัดแรงมาก เวลาหลวงตาท่านพูด ประวัติหลวงปู่มั่นนะเขียน ๗๐ เปอร์เซ็นต์เขียนสิ่งที่มันเป็นบวก สิ่งที่เป็นลบไม่เขียนเลย ไม่ให้กระทบกระเทือนใครทั้งสิ้น แล้วสิ่งนั้นเป็นลบ เห็นไหม โดนบีบคั้นไปทั้งนั้น นี่ขนาดบิณฑบาตเขายังไม่ให้บิณฑบาตเลย คิดดูสิ เวลาพระเรา ดูสิ ท่านมีชื่อเสียงเกียรติศัพท์เกียรติคุณขนาดนี้ แต่เวลาท่านบากบั่นขึ้นมา จะไปบิณฑบาตนะ เขายังสั่งเลยนะ ห้ามใส่บาตรพระ ๒ องค์นี้นะ แล้วใครจะไปกล้าทำ เพราะสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไม่ใช่สมัยประชาธิปไตย ตั้งแต่ท่านออกประพฤติปฏิบัติตั้งแต่สมัยนั้น แล้วคิดดูสิว่ามันกระแสสังคม ทิศทางลมๆ ไง ทิศทางลม เห็นไหม

แต่ในปัจจุบันนี้ ตั้งแต่มีครูบาอาจารย์ขึ้นมา ท่านคุ้มครองดูแลเรามานี่ ทิศทางลมนะ ในการประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม แต่ก่อนนี้ลำบากกว่านี้เยอะ จะไปทางไหนมันต้องแบบว่า เจียมเนื้อเจียมตัว ศึกษาธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อยากได้สิ่งใดก็ต้องแสวงหาเอง มันไม่มีๆ ขายในท้องตลาดหรอก ไอ้ท้องตลาดนี่ศูนย์ธุดงค์ๆ มันมาเกิดทีหลัง สมัยครูบาอาจารย์เราไม่มี อย่าว่าแต่ถือธุดงค์เลย ผ้าจะเอามาตัดเย็บผ้ายังไม่มีเลย ต้องรู้จักว่าจะซื้อที่ไหนถึงจะมี ที่ซื้อแล้วตัดเย็บแล้วย้อมได้ ไม่งั้นตัดเย็บแล้วผ้าขาวๆ ผ้าขาวมีเยอะแยะไป แต่ผ้าขาวผสมไนล่อนย้อมไม่ติด ย้อมไม่ได้ แล้วผ้าสำเร็จก็ใช้ไม่ได้ ผ้าสำเร็จมันก็เป็นเรื่องของโลกๆ เขา

นี่ครูบาอาจารย์ท่านไม่พาใช้ ท่านไม่พาใช้ เห็นไหม ขวนขวายเอา เพราะท่านศึกษาอยากได้ดิบดี อยากได้ความดี เห็นไหม ศึกษาธรรมและวินัยมาฝึกมาหัดกัน รังดุมเย็บผ้านี่หลวงปู่มั่นท่านก็มาตรวจมาทดสอบ มาทำขึ้นมา นี่รังดุม ไม้เจียต่างๆ มาฟื้นฟูทั้งนั้นนะ มันไม่มีใครมาส่งเสริมหรอก นี่ทิศทางลมๆ ที่เวลามามันไม่มีๆ คนที่ไม่มีแล้วยังโดนกีดยังโดนขวาง ยังโดนกลั่นแกล้ง แล้วยังโดนกระทำมา ท่านยังบุกบากบั่นทำของท่านมาได้

ไอ้เราเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส เป็นรุ่นหลัง เกิดมาสิ่งใด โอ้โฮ อำนวยความสะดวกเนาะ จะบวชนี่พรั่งพร้อม ทุกอย่างพร้อมหมดนะ มีคนสรรเสริญมีคนส่งเสริมนะ พร้อมตลอดเลยนะ อยากจะส่งเสริมทั้งนั้นเลย แต่มันไม่มีคนเอาจริงนะสิ เพราะอะไร เพราะว่ามันปรากฏการณ์ของสังคม หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ท่านทำของท่าน จนสังคมไม่ต้องไปบอกเขาหรอก กระแสสังคมเขารับรู้กันเอง ทิศทางลมมันมา มันพัดมาใครๆ เขาก็รู้ นี่ความร่มเย็นเป็นสุขขนาดไหนเขาก็รู้ นี่ความร้อนรน ความทุกข์กระวนกระวายอย่างไงเขาก็รู้ นี่สิ่งที่ว่าเป็นธรรมๆ นะ มันมีแต่ปอกลอก มีแต่ความชิงดีชิงชั่วกัน ใครก็รู้ แต่ครูบาอาจารย์ของเราได้สิ่งใดมาโยนทิ้งหมด

หลวงปู่มั่นเวลาท่านเป็นพระครูนะ พระครูนะ อยู่ที่โบสถ์นี้แหละ หลวงปู่มั่นท่านจะเที่ยวป่าแล้วล่ะ นี่แม้แต่พัดยศท่านยังไว้ที่โบสถ์นั่น ท่านไม่สนใจเลย แต่ความสิ่งที่ได้ๆ มันได้มาด้วยคุณงามความดี ในกระแสสังคมกระแสโลก ถ้าใครได้สมณศักดิ์เป็นว่าพระดีๆ ไอ้พระที่ไม่มีสมณศักดิ์เป็นพระที่ไม่เอาไหน ไม่มีใครเขาสนใจ แต่หลวงปู่มั่นได้สมณศักดิ์ท่านไม่เอา

หลวงตานะ เริ่มต้นตั้งแต่ท่านอาจารย์วันเครื่องบินตก ท่านก็ได้รับ ท่านก็ไม่เอา โดยถ้า ยังเป็นพระป่าอยู่ท่านไม่เอาหรอก แต่ที่ว่าท่านเอาๆ ที่ตอนที่ท่านยอมรับนี่ ที่มันออกมาโครงการช่วยชาติแล้ว โครงการช่วยชาติแล้วท่านถึงได้ชั้นราช พอได้ชั้นราชแล้วก็พาสต์ขึ้นชั้นธรรม ท่านบอกว่าอันนี้มันเป็นเพื่อสังคมไง มันเป็นเพื่อกระแสสังคม เพราะออกมาโครงการชาติแล้วนี่ต้องการการสนับสนุน ต้องการน้ำหนึ่งใจเดียว ต้องการสมานสามัคคี แล้วสถาบันทุกสถาบันต้องช่วยเหลือเจือจานกัน ส่งที่ช่วยเหลือเจือจานกันนะท่านจะทำของท่าน แล้วถ้ามีสิ่งที่มาเกื้อมาหนุนกันนะทำไมไม่ควรรับ เวลาเราออกมาโครงการช่วยชาติ โครงการเพื่อโลกเพื่อศาสนา เพื่อสังคมแล้วนี่ สิ่งที่มันเสริมกัน ส่งเสริมกันมันก็เป็นประโยชน์

แต่เวลาเป็นพระปฏิบัติ ตอนที่อาจารย์วันเครื่องบินตกนั้นน่ะ อันนั้นนะเขาไปถวายท่าน แล้วท่านเล่าเอง เราก็ได้ยินมา ท่านบอกเลยนะ ท่านเอาตาลปัตรนั้นนะไปคืนสังฆราช สมเด็จวาสน์ “เกล้ากระผมเป็นพระที่มีหัวใจก็เพื่อศาสนา จะมียศถาบรรดาศักดิ์หรือไม่มียศถา บรรดาศักดิ์หัวใจของผมก็เพื่อศาสนาทั้งนั้น ผมทำความดีก็เพื่อศาสนาทั้งนั้น แต่ แต่พัดยศนี่ถ้าเอาไปให้ผู้ที่เขาทำคุณประโยชน์เพื่อศาสนาให้เป็นน้ำใจของเขา ถ้าเขาได้รับพัดยศนี้แล้วเขาจะมีกำลังใจ เขาจะมีการส่งเสริมพุทธศาสนาได้มากขึ้น คือมันจะเป็นประโยชน์กับคนที่เขาได้ยศถาบรรดาศักดิ์แล้วเขาทำคุณงามความดี คือเป็นตบรางวัลให้เขา แต่เกล้ากระผมไม่ต้องครับ เกล้ากระผมหัวใจนะมันเพื่อศาสนาอยู่แล้ว”

นี่เวลาจะเอาไปคืน มันก็ต้องพูดให้สละสลวยไง ถ้าเราพูดไม่สละสลวยมันจะเป็นดาบสองคมกลับมาตอบสนองตัวเองไง เวลาจะเอาพัดยศไปคืนเขานะ ท่านยังพูดด้วยการอ่อนน้อมถ่อมตนนะ พูดเพื่อประโยชน์นะ ผู้ที่เขาทำคุณงามความดีนี่เขาได้รับการตบรางวัลแล้วเขาจะมีกำลังใจเพื่อทำคุณงามความดีได้มากขึ้น ศาสนาก็จะได้ประโยชน์มากขึ้น หวังผลประโยชน์อย่างนั้นไง แต่เกล้ากระผมไม่ต้องหรอกครับ เกล้ากระผมนี่ถึงจะมีไม่มี เกล้ากระผมก็จะทำคุณงามความดีสุดหัวใจของเกล้ากระผมอยู่แล้ว เห็นไหม นี่พูดแบบผู้ใหญ่

เราจะมีรางวัลหรือไม่มีรางวัล เราก็ทำคุณงามความดีของเราอยู่แล้ว เราจะมีรางวัลหรือไม่มีรางวัล เราก็ระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่แล้ว เราระลึกถึงศาสนาอยู่แล้ว เห็นไหม โลกนี้ร้อนนักๆ เราก็ต้องปรารถนาให้โลกร่มเย็นเป็นสุขอยู่แล้ว ถ้าจะมีรางวัลไม่มีรางวัลท่านก็ทำของท่าน แต่สิ่งที่ได้มาท่านเอาไปให้ผู้อื่น แต่ แต่เวลาท่านมาทำโครงการช่วยชาติแล้ว นี่เวลาในหลวงพระราชทานให้ ท่านก็รับ รับเพราะท่านออกมาโครงการช่วยชาติแล้วไง แต่ถ้าพระถ้ามองไปในประเด็นเดียว ถ้ามองแล้วมันก็แปลกๆ เห็นไหม แต่ถ้าเป็นความจริงๆ กระแสสังคมกระแสโลก นี่เราอยู่กับทิศทางลมนะ ถ้าทิศทางลมคนที่ฉลาดเท่านั้นที่จะเอาตัวรอดได้ นี่ขนาดแค่ทิศทางแค่รักษาชีวิตเท่านั้นเอง

แต่เวลาประพฤติปฏิบัติ เวลาสัญญาอารมณ์ในหัวใจนี่ อารมณ์ๆ ความรู้สึกนี่ทิศทางของกิเลสที่มันพัดหัวใจนี่ เวลาเราจะทำของเราไอ้นี่ไม่มีใครช่วยได้เลย เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก เราเป็นคนชี้ทางให้เท่านั้น ไม่มีครูบาอาจารย์องค์ไหนอ่านธรรมะในหัวใจเราได้ ไม่มีหรอก ไม่มี ถ้าอ่านให้ได้มันก็เหนือกรรมเหนือโลกนะสิ เราจะทำให้จิตที่มันเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะที่เป็นพรรคพวกของเราไม่ต้องเกิดไม่ต้องตายอีก ไอ้จิตที่ไม่ใช่พวกเราให้มันเกิดตายอย่างนั้นเหรอ มันเป็นไปไม่ได้หรอก เพราะจิตมันต้องเกิดในตัวของมันเองไง

กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กันไง การกระทำในหัวใจดวงนั้นไง ใจดวงนั้นมันมีการกระทำมีพลังงานอันนั้นไง พลังงานมันต้องให้ผลตามแต่แรงของการกระทำอันนั้นไง มันมีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นปฏิสรโณ มีกรรมเป็นเครื่องอาศัย มันมีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ กรรมการกระทำ แล้วมโนกรรมมันคิดของมัน มันทำของมัน มันคิดมันเคลื่อนไหว นี่รูปนาม นามรูป ที่ไหนมีนามที่นั่นมีรูป ที่ไหนมีรูปที่นั่นมีนาม มันเคลื่อนไหวเพราะมันบกพร่องของมัน มันขยับของมันไปตลอด เห็นไหม พลังงานมันหมุนของมันไปตลอด แล้วพลังงานมันจะจบได้อย่างไง แล้วใครจะทำให้มันได้

นี่ไง เวลาทำจริงๆ แล้วมันก็เป็นการกระทำอย่างนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเราเป็นคนชี้ทางให้ใช่ไหม พวกเธอเป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ มีการกระทำให้มันเป็นความจริงในใจของเราไง ไอ้นามไอ้รูปในหัวใจนั้นนะทำให้มันเป็นเต็ม ให้มันสมบูรณ์แบบ ถ้าสมบูรณ์แบบแล้วมันไม่เคลื่อนไหวของมันไป มันก็จบสิ้นกระบวนการของมัน เห็นไหม นี่ในธรรม นี่ไง ทิศทางลม ทิศทางของสติปัญญา ทิศทางของผู้มีสติสัมปชัญญะ

เราจะบอกว่าโลก เห็นไหม โลกนี่ ในโลกของเขามันก็ยังมีการแข่งขัน เวลาของเรานี่เราก็มีโลกกับธรรม เพราะเราเป็นมนุษย์ไง เราเกิดเป็นมนุษย์มีพ่อมีแม่นะ เรามีหมู่มีคณะมีสิ่งที่เป็นสังคม แต่เวลาออกมาสังคมนี่ เราอยู่กับครูบาอาจารย์ เวลาเข้าถึงหมู่คณะเป็นความสามัคคี แต่เวลาเราแยกแยะไปแล้วมันก็ต้องไปประพฤติปฏิบัติในใจของตน

ศีลสมาธิในใจของครูบาอาจารย์ท่านมีมากน้อยแค่ไหน เวลาถึงคราวมีการมีงานร่วมกัน เวลามาพบกัน มาเจอกันนะ ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ สนทนาธรรมๆ ต่อกัน ศึกษาถึงภูมิคุณวุฒิในหัวใจของแต่ละบุคคล ใครได้สูงได้ต่ำ แล้วพูดกันด้วยธมฺมสากจฺฉา พูดกันด้วยสติด้วยสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้องดีงาม ไม่เอาสีข้างเข้าถูกันหรอก ผิดก็คือผิด ถูกก็คือถูก ถ้าผิดก็คือผิด ผิดก็แก้ไข ถ้าถูกก็ส่งเสริม เวลาครูบาอาจารย์ท่านสนทนาธรรมกัน มันเป็นประโยชน์อย่างนั้น

แต่ของเรา นี่ เห็นไหม ทิศทางลมที่ดีนะ ทิศทางลมที่ดีคืออะไร ทิศทางลมที่ดีก็สังคมร่มเย็นเป็นสุขไง ประเทศชาติสงบร่มเย็นไง เศรษฐกิจพอเป็นไปได้ ถ้าเศรษฐกิจมันพอเป็นไปได้ สังคมเขาไม่ทุกข์ไม่ร้อน เขาก็มีกำลังที่จะมาส่งเสริมดูแลไง แล้วส่งเสริมดูแลนั่นก็เป็นทิศของสังคม นี่ทิศทางลม แต่เวลาส่งเสริมดูแลแล้วต้องมีสตินะ อย่าไหลไปกับเขา ไม่ตื่นเต้นไปกับกระแสสังคม

สังคมถ้าเขามีสติมีปัญญา สังคมเขามีความสุขของเขา สาธุ นี่เห็นไหม แล้วทุกคน สัพเพ สัตตา สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น จงเป็นสุขๆ เถิด ขอให้ทุกคนมีความสุข ขอให้สังคมทุกคนมีความสุข ทุกบ้านทุกครอบครัวมีความสุข เราพอใจเราปฏิบัติด้วยความสงบร่มเย็น เราไม่ต้องเดือดร้อนแบกภาระสิ่งใดทั้งสิ้น

สัพเพ สัตตา สัตว์ทั้งหลายขอให้มีความสุขๆ แล้วเวลาเราปฏิบัติ เราก็เป็นสัตว์ตัวหนึ่ง สัตว์ทั้งหลายมีความสุขแล้วมันจะสุขได้ไหม ถ้ามันสุขไม่ได้เพราะอะไร มันสุขไม่ได้เพราะกิเลสมันขับดันอยู่ในใจไง ได้มาเท่าไรก็ไม่พอ ใหญ่ขนาดไหนก็ไม่พอใจ มีอำนาจขนาดไหนก็ยังไม่พอใจ ไม่มีอะไรพอสักที แล้วมันจะเอาความสุขมาจากไหน ถ้ามันมีความสุขไม่ได้แล้วความสุขมาจากไหน ความสุขขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาจากศีล สมาธิ ปัญญาไง แล้วต้องมีปัญญาใคร่ครวญในหัวใจนี้ไง

ทิศทางลม เห็นไหม ถ้าทิศทางลมเจตนาที่ดี มุมมองที่ดีมันจะพาให้ชีวิตเราสมบูรณ์ไง แต่ทิศทางที่เสีย ทิศทางที่บิดเบี้ยว กระแสสังคมที่กระทบแล้วนี่ ลมมันเปลี่ยนทิศทาง มันกัดเซาะ มันกัดกร่อนภูเขาเลากาจนสึกกร่อน นี่ไง มุมมองทัศนคติของเรา ทิศทางลมๆ ถ้าให้กิเลสมันใช้ เดินจงกรมก็ไม่ได้ ทำอะไรก็ไม่ได้ มีแต่น้อยอกน้อยใจ มีแต่ทุกข์แต่ยาก แล้วมองก็มองแต่เปลือกๆ เวลามองครูบาอาจารย์ท่านมีความสุข ไอ้เรานะมีความทุกข์ ครูบาอาจารย์นะท่านสมบูรณ์ ไอ้เรานะมันขาดแคลน ครูบาอาจารย์นะท่านดีไปหมด เรานะทุกข์ยาก

เวลาศึกษามันต้องศึกษาให้มันสมบูรณ์สิ ก่อนที่ท่านจะสมบูรณ์ท่านทุกข์มาก่อนทั้งนั้น ก่อนที่ท่านจะสมบูรณ์นะ ตรากตรำลำบากมาทั้งนั้น เพราะคนที่มันตรากตรำมาก่อน มันทำความเพียรชอบ มันถึงมีจุดยืนมีหลักมีเกณฑ์อันนั้นขึ้นมาได้ ถ้าความเพียรมันไม่ชอบเป็นมิจฉาทิฏฐิ พยายามๆ จะสร้างภาพ มันจะมีอมทุกข์ไปทั้งชีวิต เพราะอะไร เพราะกิเลสในหัวใจมันคายพิษตลอด ไม่มีใครหรอกที่มีกิเลสอยู่ในหัวใจแล้วมาบ่นว่าสุขหนอๆ เป็นไปไม่ได้หรอก

ฉะนั้น เวลาครูบาอาจารย์ที่ท่านมีความสุขมีความอุดมสมบูรณ์ของท่าน ท่านต้องบากบั่นของท่านมา ความบากบั่นของท่าน เห็นไหม ศึกษาธรรมนะ ศึกษาให้มันรอบคอบ นี่หลวงปู่ตื้อๆ เมื่อก่อนเราฟัง เรามันขัดแย้ง เวลาหยำเปแล้วอ้างหลวงปู่ตื้อทั้งนั้นเลย เวลาจะทำอะไรที่มันแบบว่าตามใจ หลวงปู่ตื้อก็ยังทำๆ เราเป็นพระเด็กๆ นะเราฟังแล้วก็เศร้า เพราะเราก็อ่านประวัติครูบาอาจารย์มาเหมือนกัน เวลาท่านปฏิบัติจนหลวงปู่มั่นท่านไว้ใจนี่ ท่านปฏิบัติจนหลวงปู่มั่นไว้ใจ หลวงปู่มั่นท่านให้นั่งสมาธิกี่วันกี่คืนกี่เดือน ท่านก็ทำของท่านได้ หลวงปู่มั่นให้ปฏิบัติอย่างไรท่านก็ทำ มันปฏิบัติจนหลวงปู่มั่นท่านไว้เนื้อเชื่อใจแล้ว

การที่ปฏิบัติจนหลวงปู่มั่นไว้เนื้อเชื่อใจแล้วนี่ ทำสิ่งใด เห็นไหม เวลาความเพียร ความมุมานะ ท่านทำจริงทำจัง แต่ก็ด้วยอำนาจวาสนาบารมีของท่าน ท่านชอบสะดวกสบายของท่านอย่างนั้น มันก็เป็นเรื่องเป็นวาสนาของท่าน แต่ความเพียร มรรค ศีล สมาธิ ปัญญาที่ท่านฆ่ากิเลส ถ้าคนที่ทำขึ้นมาไม่ได้ มันไม่มีขึ้นมา มันไปฆ่ากิเลสไม่ได้หรอก แต่เวลาท่านทำความจริงของท่าน เวลาท่านจะฆ่ากิเลสของท่าน ทำไมความเพียรอย่างนั้นไม่เอามาพูดกันบ้าง

เวลาท่านนั่งสมาธิ ท่านภาวนาของท่านด้วยความจริงจังนะไม่เคยพูดถึงเลย เวลาหลวงปู่ตื้อท่านทำอะไรที่ว่าโดยฝืนกระแสสังคม เท่ห์ คำหนึ่งก็อ้างหลวงปู่ตื้อ สองคำก็อ้างหลวงปู่ตื้ออ้างแต่สิ่งที่เป็นความสะดวกเป็นความพอใจของตน สิ่งที่เป็นความเพียร สิ่งที่เป็นความชำระกิเลส สิ่งที่เป็นการจงใจเข้าไปต่อสู้กับกิเลสไม่เคยพูดถึงเลย ถ้าพูดถึงไม่ได้มันลำบาก

เราอยู่กับครูบาอาจารย์มาเยอะนะ จะไปอยู่กับหลวงปู่ตื้อ จะไปอยู่กับหลวงปู่ชอบนี่ต้องเป็นคนจริงจังมาก เพราะหลวงปู่ตื้อกับหลวงปู่ชอบท่านปฏิบัติเข้มข้นมาก เวลาใครจะไปอยู่กับท่านต้องจริงจังมากเลย แล้วถ้าไปนะท่านจะให้เดินจงกรม ให้นั่งสมาธิภาวนา เอาจริงเอาจังขึ้นมา แล้วท่านจะสั่งสอนของท่านเอง นี่เวลาเป็นลูกศิษย์ลูกหาของท่าน มันต้องมีความจริงจังขนาดนั้น

นี่ไง ถ้าพูดถ้าศึกษาให้รอบคอบมันจะเห็นอย่างนี้ เห็นว่าท่านก็ลำบากมาก่อน มันไม่มีใครเกิดมาแล้วสมบูรณ์มาตลอดเลย เกิดเป็นลูกเศรษฐี เวลาเศรษฐีหมดเนื้อหมดตัวขึ้นมามันก็กลับกลายเป็นคนจนทั้งนั้น มีมากนะในสังคม เกิดมาอุดมสมบูรณ์ เวลาในครอบครัวมีปัญหาขึ้นมาเด็กมันต้องไปขวนขวาย เด็กบางคนทำใจไม่ได้เสียคนไปเลยนะ เด็กบางคนทำใจได้ ก็พยายามช่วยเหลือพ่อแม่ฟื้นฟูขึ้นมา พยายามพัฒนากลับมันขึ้นมาให้ครอบครัวมีความมั่นคงขึ้นมาให้ได้ ทางโลกมันก็เป็นแบบนั้น

แล้วนี่ทางธรรมๆ ของเรา ครูบาอาจารย์ของเราท่านประพฤติปฏิบัติมาตามความเป็นจริง แล้วถ้าเห็นว่าท่านมีความอุดมสมบูรณ์ เห็นว่าท่านอยู่สุขสบายของท่าน นั้นก็สาธุนะ นั่นเป็นความเพียรความวิริยะความอุตสาหะของท่าน แล้วท่านอยู่เป็นตัวอย่างเป็นแบบอย่างให้เราไง มันมีแบบอย่างมีตัวอย่างให้เราประพฤติปฏิบัติ แล้วเราก็ต้องดูแบบอย่างที่ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ ดูเหตุปัจจัยที่ท่านทำมาก่อนสิ ถ้าดูเหตุดูปัจจัยที่ท่านทำมา เห็นไหม ท่านมุมานะ ท่านบากบั่น ทำมาอย่างนั้นมา ท่านถึงได้ผลอย่างนั้น

ถ้าเราอยากจะมีความสุขอย่างท่าน เราก็ต้องเร่งความเพียรของเราๆ เพราะความสุขมันเกิดจากหัวใจ ความสุขมันเกิดจากความรู้สึกภายใน ถ้าความรู้สึกภายในมันมีหลักมีเกณฑ์แล้วนี่ ไอ้ผลข้างนอกนะมันจะมีผลเป็นอันดับสองไปทันทีเลย เป็นเครื่องอาศัย มันจะมีก็ได้มันไม่มีก็ได้ แต่ศีล สมาธิ ปัญญา นี่ศีลของเรามันต้องอุดมสมบูรณ์ มันต้องมี สิ่งที่เป็นความจริงในหัวใจเรามันมีสมบูรณ์ของมัน เห็นไหม ถ้ามันทำความสงบความสมบูรณ์ของเราขึ้นมา มันเป็นอยู่กับเรา เป็นองค์ความรู้ เป็นความจริงที่จับต้องได้ พอมีจุดยืนมันก็ไม่เหลวไหล ไม่มีองค์ความรู้มันเหลวไหลไง เร่ร่อน มันมีอะไรมามันก็ไหลตามเขาไปหมดเลย

แต่ถ้าเรามีองค์ความรู้ มันมีจุดยืนของเรา สิ่งใดมาเราจะใช้ก็ได้ เราจะไม่ใช้ก็ได้ โดยอุบาย ของที่รับจากโยมมาฉลองศรัทธาๆ รับทั้งนั้น รับแล้วเป็นของสงฆ์ รับแล้วเอาไว้เป็นส่วนกลาง ใครมีความขาดตกบกพร่องเอาไปใช้ ไอ้อย่างเรามันไม่มีความจำเป็น แต่เราก็รับ เห็นไหม มันเป็นอุบายๆ ให้เขาได้เสียสละของเขา ได้เป็นบุญกุศลของเขา เราก็รับเรามา ไม่ใช่รับมาเท่าไรเราก็ต้องใช้ให้หมดเลย ท้องแตก

ไอ้คนที่ขาดแคลนก็ขาดแคลนอยู่ข้างหลัง ไอ้ข้างหน้าก็อุดมสมบูรณ์พูนสุขไปอยู่คนเดียว เวลาจะต้องการความร่วมมือใช้งานก็ต้องการความร่วมมือใช้งานทั้งหมด ถ้ามันแบบอุดมสมบูรณ์อยู่คนเดียวก็ทำอยู่คนเดียวสิ ไอ้ที่ขาดแคลนอยู่ข้างหลังก็เขาไม่มีโอกาสก็ให้เขาอยู่สุขสบายสิ เวลาเรียกจะใช้งานขึ้นมาต้องสามัคคี ต้องร่วมมือกันทำ แต่เวลาใช้สอยปัจจัยไอ้อุดมสมบูรณ์พูนสุขมันใช้อยู่คนเดียว ไอ้ข้างหลังให้มันแห้งแล้ง