เทศน์บนศาลา

ค่าเสถียรมี

๒๙ มิ.ย. ๒๕๕o

 

ค่าเสถียรมี
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์บนศาลา วันที่ ๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังเทศน์นะ ฟังเทศน์ เราอยู่ที่บ้าน เวลาเขาเอ็ดเราก็ว่าฟังเทศน์ แต่เวลาเตือนนั้นเราว่าเป็นฟังธรรมนะ ถ้าธรรมะมันเป็นอยู่กับเรา อยู่ในหัวใจของเรา หัวใจของเรามันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยากอยู่ มันปกคลุมใจอยู่ สรรพสิ่งต่างๆ ที่จะเป็นคุณประโยชน์มันเลยเป็นโทษหมดเลย เห็นไหม ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าโลกมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา มันก็เห็นการเปลี่ยนแปลง เห็นไหม โลกนี้มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา โลกนี้เป็นอนิจจัง “สิ่งใดเป็นอนิจจัง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา” นี่เป็นสัจจะนะ หัวใจของศาสนาคืออริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค

แล้วเราเป็นชาวพุทธ ชาวพุทธโดยสายเลือดเลยนะ เพราะเราเกิดมาจากพ่อแม่ พ่อแม่ก็เป็นพุทธ เราเห็นพระมาตั้งแต่เด็กแต่น้อย ประเพณีวัฒนธรรมของเราก็เป็นวัฒนธรรมของชาวพุทธ ถ้าเป็นกฎหมายของพุทธะ แต่ไม่มีประเพณีวัฒนธรรมมารองรับ กฎหมายนั้น ก็เป็นแค่ตัวหนังสือเท่านั้นล่ะ มีกฎหมายเขียนดีขนาดไหนนะ รัฐธรรมนูญเขียนดีขนาดไหน แต่ไม่มีวัฒนธรรมการเมือง วัฒนธรรมของหัวใจที่เป็นธรรม นี่กฎหมายก็คือกฎหมาย

ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เหมือนกัน ดูสิ ในตู้พระไตรปิฎก เวลาเรากราบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระพุทธรูปเป็นตัวแทนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตู้พระไตรปิฎกเป็นตัวแทนของธรรมะ สาวก สมมุติสงฆ์เป็นตัวแทนของพระสงฆ์ นี่เป็นสมมุติหมดเลย

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาตรัสรู้ธรรมขึ้นมา สิ่งที่ใจเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่ธรรมในหัวใจต่างหากล่ะ แล้วอยู่ในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมอันนี้บริสุทธิ์ เป็นสิ่งที่เสถียร สิ่งที่เสถียรมีนะ สิ่งที่ไม่แปรปรวน สิ่งที่คงที่มี มีเฉพาะใจที่เป็นพระอรหันต์เท่านั้น เพราะจิตที่พ้นจากสมมุติแล้วเป็นวิมุตติ ไม่มีการเคลื่อนไปและเคลื่อนมา สิ่งที่คงที่ ธรรมที่คงที่ ธรรมที่สะอาดบริสุทธิ์มี

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังกราบอยู่ กราบอะไร? กราบธรรม ธรรมนี้มีอยู่โดยดั้งเดิม เราก็ว่ากันนะ “สภาวะธรรมชาติเป็นธรรมๆ”...ธรรมชาตินี้ไม่ใช่ธรรมหรอก ธรรมชาติคือสภาวะที่มันแปรปรวน

ธรรมคือสัจจะความจริงในหัวใจของผู้ที่รู้ธรรมต่างหากเป็นธรรม

สภาวธรรม ธรรมชาติมันเป็นสิ่งที่สมมุติ เห็นไหม ดูสิ พายุไซโคลนพัดเข้ามากระหน่ำ ตายกันเป็นร้อยเป็นพัน มันมาจากไหน แล้วมันหายไป มันไปไหน นี่มันเป็นสัจจะ เห็นไหม ในเมื่อมีความร้อน โลกร้อนต่างๆ มันมีสภาพของมัน ไอ้นี่มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป มันก็เป็นอนิจจังนั่นล่ะ มันเป็นอนิจจัง มันเกิดโดยธรรมชาติของเขา ธรรมชาติของเขาให้โทษในการทำลาย ให้ผลในการชุ่มชื้น นี่สภาวะทางธรรมชาติ

พวกเรามีความรู้เด็กๆ กันว่าธรรมะเป็นธรรมชาติ เวลาคุยกับเด็กก็ต้องยอมเป็นเด็กกับเขา เราจะสื่อสารธรรมะกับเด็กๆ...ใช่ ธรรมะเป็นธรรมชาติ ความทุกข์เป็นธรรมชาติ สรรพสิ่งนี้เป็นธรรมชาติ แล้วชีวิตของเราเป็นธรรมชาติ การเกิดและการตายนี้ก็เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง มันก็เป็นธรรมแล้ว มันก็บรรลุธรรมหมดแล้ว ก็มันเกิดตายเวียนไปในธรรมชาติ เกิดตายก็รู้เท่าทันหมด ทุกอย่างรู้หมด มันเป็นธรรมชาติ...แล้วธรรมชาติมันปล่อยวางได้ไหมล่ะ เห็นไหม นี่ธรรมะเด็กๆ

ถ้าเป็นสภาวธรรมจริง ที่ว่าธรรมะนี้มีอยู่โดยดั้งเดิม ดั้งเดิมที่ลึกลับมหัศจรรย์ มหัศจรรย์นะ ดูสิ ผู้ที่ถือลัทธิต่างๆ ไม่ใช่ศาสนาพุทธ นักวิทยาศาสตร์เขาพิสูจน์ได้หมด ในจักรวาล ทางวิทยาศาสตร์เขาพิสูจน์ได้ทั้งนั้นล่ะ แล้วเขาเป็นอะไรขึ้นมาล่ะ แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เห็นไหม ธรรมในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือธรรมแท้ สิ่งที่สถิตคงที่ เสถียรอยู่ในหัวใจนั้น ไม่มีแปรปรวน

แล้วเราสถิตชั่วคราว เห็นไหม กราบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มันเป็นสมมุติทั้งนั้นล่ะ มันเป็นกิริยา มันเป็นวัฒนธรรม มันเป็นประเพณีของเราชาวพุทธ นี่ชาวพุทธโดยสายเลือด เราเป็นชาวพุทธโดยสายเลือด เรามีประเพณีของชาวพุทธรองรับ มีประเพณีวัฒนธรรมแต่ละท้องถิ่นต่างๆ กันไป แล้วเวลามันเสื่อมสภาพไป มันฟื้นฟูขึ้นมาเป็นครั้งเป็นคราว แล้วเรามีสายเลือดเป็นชาวพุทธกัน สิ่งนี้มันก็เป็นอนิจจัง สรรพสิ่งที่เป็นอนิจจัง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ ก็ว่ากันไป เห็นไหม

ในทางธุรกิจยิ่งแล้วใหญ่เลยนะ บริษัทของเราถ้าเป็นอนุรักษ์นิยม จะอยู่ไม่ได้หรอก เพราะมันจะมีคู่แข่งขันขึ้นมา เห็นไหม เราจะต้องมีการเปลี่ยนแปลง ถ้าใครคงที่โดยความเป็นอยู่ของเราว่าสิ่งนี้เป็นของเราตลอดไป มันจะมีคู่แข่งขัน แล้วมันจะมีคนแซงหน้าเราไป เราจะอยู่กับโลกเขาไม่ได้หรอก เราต้องมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา การเปลี่ยนแปลงอย่างนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจ

ดูสิ บริษัทข้ามชาติใหญ่ๆ เขาจะมีการวิจัยของเขา สินค้าของเขาจะออกมาตลอดเวลา แล้วถ้าสินค้าของเขาออกมามีราคาแพง ทำแล้วลงทุนสูง ไม่สมควรกับที่จะออกมา เขาก็ไม่ออกมา เห็นไหม เขารอการเปลี่ยนแปลงเลยนะ เขาพยายามเปลี่ยนแปลงเพื่อความดำรงอยู่ของเขาเลยล่ะ เพื่อความมั่นคงของเขา นี่ความเปลี่ยนแปลงกลับกลายเป็นความมั่นคง ความมั่นคงของธุรกิจ ความมั่นคงของผลประโยชน์ของเขา ถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลง มันจะสูญเสียประโยชน์ของเขา เพราะไม่มีมีการเปลี่ยนแปลง ถ้าเราอยู่คงที่ถือว่าเป็นการถอยหลัง เพราะคลื่นลูกใหม่จะแซงเราไปตลอดเวลา นี่การเปลี่ยนแปลงที่มันเป็นประโยชน์กับโลก สิ่งนี้เป็นโลก

แล้วเราเป็นนักวิทยาศาสตร์กัน เราเชื่อทางโลกกัน เราต้องมีการเปลี่ยนแปลง แม้แต่การประพฤติปฏิบัติก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลง ต้องทันสมัยตลอดเวลา เห็นไหม ก็คิดค้นกัน การทำทันสมัย เรียกร้องสิทธิ เรียกร้องต่างๆ ปฏิบัติธรรมให้คะแนนตัวเองกัน แล้วเรียกร้องกัน เราพยายามเอาแต่ความสะดวกสบายของเรา เอากิเลสออกหน้า การประพฤติปฏิบัติอย่างนี้ประพฤติปฏิบัติเพื่อใคร? ก็เพื่อกิเลส บูชากิเลสนะ บูชาตัวตนของเรา

สิ่งที่ว่าคงที่ๆ ในความรู้สึกของเรา ยึดมั่นถือมั่น นี่กิเลสทั้งนั้นเลย กอดมันไว้แน่นๆ กอดความรู้สึกเราไว้แน่นๆ ถ้าเราคิดแล้วเป็นความถูกหมด ถ้าคนอื่นคิด คนอื่นสั่งสอนเป็นความผิดพลาดทั้งหมด กอดมันไว้ กอดกิเลสไว้ แล้วว่าสิ่งนี้เป็นความเห็นของเรา กิเลสมันยิ่งปรุงแต่งขึ้นมา เห็นไหม

“การประพฤติปฏิบัติที่ง่าย การประพฤติปฏิบัติที่สะดวก ประพฤติปฏิบัติที่เป็นทางลัด”...สิ่งนี้มันเป็นโวหารนะ ดูสิ ถ้าเราโตขึ้นมา เราจะเป็นพ่อเป็นแม่คน เป็นครูบาอาจารย์ พรรษามากขึ้นมา ในการประพฤติปฏิบัติของเราทุกข์ยากขนาดไหน มันเอาทางลัดมาจากไหนล่ะ

มันต้องมี “ศีล สมาธิ ปัญญา” เห็นไหม ทางโลกเขามี “ทาน ศีล ภาวนา” ถ้ามีทานขึ้นมา มันเริ่มเปิดหัวใจ คนเราถ้าเป็นคนใจกว้าง เป็นคนเปิดความรู้สึก มันจะมีข้อมูลเปลี่ยนแปลง เราจะรับรู้สิ่งต่างๆ ข้อมูลข่าวสารเราจะได้มหาศาลเลย ถ้าเราเป็นคนปิดกั้น เราไม่ให้สิ่งใดเข้ามาเลย เราจะได้อะไร แต่ถ้าคนมีหัวใจกว้างขวาง คนที่เปิดกว้าง สิ่งต่างๆ เกิดขึ้นมา เราจะเข้าใจ เราจะเข้าใจนะ

“ทาน ศีล ภาวนา” หัวใจจะเปิดกว้างขึ้นมาก่อน พอหัวใจเปิดกว้างขึ้นมา ทางที่จะเข้าไปหาการทวนกระแส ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ว่าทวนกระแส ทวนกระแสเข้าไปหาใจของเรา มันจะทำอย่างไร เห็นไหม ถ้ามันจะทำใจของเราขึ้นมา เราจะเปิดกว้าง เราจะยอมรับความเห็น ถ้ายอมรับความเห็นขึ้นมา หัวใจมันจะเริ่มทวนกระแสเข้าไปหาตัวใจของเรา

แต่นี่ไม่อย่างนั้น เราจะปิดกั้นหมดเลย ปิดกั้นโดยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก แล้วจะเอาแต่รวบรัดตัดตอน เอาแต่ทางลัด เอาแต่ความสะดวกสบาย เห็นไหม “มีทางลัด สว่างโพลงๆ”...มันจะโพลงมาจากไหน ดูสิ พลังงานที่เขาแสวงหามาให้เราใช้ เขายังต้องมีต้นกำเนิด เขามีการควบคุม เขามีการส่งสายส่งมาให้เราได้ใช้พลังงานอันนี้ เขาคำนวณของเขา เขารักษาของเขาขึ้นมา แล้วมันจะสว่างโพลงๆ มาจากใจ ถ้าใจมันเป็นกิเลสล้วนๆ มันสว่างโพลงอะไร

ดูสิ ทางโลกที่เขาว่ากัน ความเปลี่ยนแปลงของเขา เขาเปลี่ยนแปลงไว้รอท่าเราเลยนะ ความเปลี่ยนแปลงของเขาจะล้วงกระเป๋าเรา นี่มีแต่ความจำเป็นไปทั้งนั้น ปัจจัยที่ ๘ ปัจจัยที่ ๙ ปัจจัยที่ ๑๐๐ แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกปัจจัย ๔ เท่านั้น สิ่งที่เกินมาจากปัจจัย ๔ นั้น ไม่มีความจำเป็นในการดำรงชีวิต แต่ถ้ามันมีความจำเป็นของโลก นั่นก็เรื่องของเขา เห็นไหม โลกเขาก็มีความจำเป็นของเขา สิ่งนั้นมันเป็นการทันโลก ถ้าหัวใจเรามีจุดยืนของเราแล้ว เราจะไม่เสียหาย แต่ถ้าเราไม่ทันโลก เราก็เป็นเหยื่อของโลก เราก็เป็นเหยื่อของกิเลส แล้วการประพฤติปฏิบัติก็เหมือนกัน จะอำนวยความสะดวกกันทั้งหมดล่ะ อำนวยความสะดวกให้กิเลสหรือ นี่อำนวยความสะดวกให้แต่ร่างกาย

ทฤษฎี วางแผนกันไว้เลย มรรค ๘ ต้องเป็นอย่างนั้น ความเห็นต้องเป็นอย่างนั้น...แล้วมันเป็นจริงไหมล่ะ ถ้ามันเป็นจริง ทำไมเรามีความลังเลสงสัยล่ะ ถ้าเป็นความจริง ทำไมเราทุกข์อยู่นี่ล่ะ

เราทุกข์ทั้งนั้นนะ เพราะเราไปเห็นโลกเป็นใหญ่ เราเห็นความเจริญของโลก เดี๋ยวนี้กาลเวลามันรวดเร็วขึ้น มันสั้นขึ้น การสื่อสารเร็วขึ้น ทุกอย่างเร็วขึ้น เราเห็นผลกับตา แล้วการปฏิบัติ ถ้าเขาทำอย่างนั้นให้เราเห็นได้ เราก็ไปทึ่ง นี่เราหลงประเด็นกันหมด เราไปเห็นแต่สิ่งที่เป็นเรื่องของโลก เราเอาธรรมะมาบิดเบือนของเราเอง เราไม่เข้าใจนะ ยิ่งในปัจจุบันมันจะถือผีหรือถือพุทธกันไปแล้ว ถ้าถือผี เห็นไหม อ้อนวอนเอา ทำเอาแต่ความพอใจของตัว ถ้าถือพุทธ เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้เลยนะ เพราะเป็นพุทธต้องเริ่มต้นมาจากจริตนิสัย เริ่มต้นมาจากเรานะ

ดูสิ ถ้าจริตนิสัยมีความเป็นไปของเรา มันจะย้อนกลับมา เพราะการกระทำมันเป็นของของเราทั้งหมด การกระทำนะ จิตกระทำนะ ไม่ใช่มือกระทำ ไม่ใช่ร่างกายกระทำ ไม่ใช่ปากกระทำ หัวใจกระทำก่อน มโนกรรมเกิดก่อน ถ้าไม่มีมโนกรรม การเคลื่อนไหวของจิตมันเป็นไปไม่ได้ ถ้าจิตมันเกิดก่อนขึ้นมา สิ่งที่เกิดขึ้นมา ถ้ามันมีข้อมูลของมัน มันก็ไปประสามัน แล้วเราเชื่อของเรา เราเชื่อความเห็นของเรา นี่เชื่อกิเลสทั้งหมดเลย แล้วมันเป็นไป เห็นไหม

ดูสิ สมัยพุทธกาล เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้วเทศนาว่าการ วางเผยแผ่ธรรมมา ต้องรอกาลรอเวลานะ จิตผู้ที่ควรแก่การงานต้องรอ รออินทรีย์ รอบ่มเพาะ ความบ่มเพาะของใจ จะเทศนาว่าการเริ่มต้นตั้งแต่ทาน คนที่เขาได้ระดับทานก็แค่ทานเท่านั้น ธรรมะของฆราวาสเขา ในการประพฤติปฏิบัติ ในการอยู่ของสังคม สิ่งนี้ท่านวางไว้ให้หมดนะ วางไว้เพราะสงสาร สงสารว่า ในชาติปัจจุบันนี้เขาไม่สามารถจะไปของเขาได้ เขาก็ควรจะสะสมคุณงามความดีของเขาไว้ให้เป็นไปในโอกาสข้างหน้า นี่มันอยู่ที่ความเป็นไปของเขา

พระก็เหมือนกัน พระที่ประพฤติปฏิบัติถึงที่สุดได้ ท่านจะเข้มงวด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อสัตว์ขนสัตว์ รื้อไปไหนล่ะ? ก็รื้อถึงให้สิ้นสุด สิ้นกิเลสไป แล้วสิ่งนี้มันคืออะไรล่ะ? ธรรมและวินัย เครื่องหมายดำเนิน เห็นไหม

ดูสิ เวลาพระจุนทะไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เห็นเดียรถีย์ เวลาศาสดาเขาตายไปนะ ลูกศิษย์ลูกหาเขาอยู่กันไม่ได้ มีปัญหา พระจุนทะถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย “ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะ”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “เพราะไม่มีธรรมวินัย”

พระจุนทะอาราธนาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้บัญญัติวินัยเลย เพื่อจะให้ศาสนาเรามั่นคง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “ทำไม่ได้ มันไม่มีเหตุมีผล” แต่ถ้ามีผู้กระทำผิดขึ้นมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติวินัย ตั้งนิยามเลย วินัยแต่ละข้อนะ ผู้ที่กระทำผิด ใครเป็นคนทำผิด ผู้ที่ทำผิดคนนั้นจะไม่เป็นอาบัติ แต่เอาอันนั้นเป็นต้นเหตุใช่ไหม แล้วก็บัญญัติธรรมและวินัยมาตลอด บัญญัติธรรมวินัยมาเพื่อใครล่ะ? ก็เพื่ออนุชนรุ่นหลัง เพื่อให้เป็นกรอบ ให้เราประพฤติปฏิบัติกัน

แต่พระสมัยพุทธกาลนะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพาน คนที่เป็นปุถุชนอยู่ ยังมีกิเลสตัณหาอยู่ ร้องห่มร้องไห้เพราะรักองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอริยบุคคลจะสลดปลงธรรมสังเวช แต่มีภิกษุเฒ่าองค์หนึ่งบอกว่า “พวกเธอจะร้องไห้ไปทำไม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ ผิดหน่อยก็ว่า ทำอะไรก็ไม่สะดวกสบายเลย ปัจจุบันนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว เราควรจะดีใจนะ เราควรจะดีใจ จะไม่มีคนคอยติคอยเตือนเรา จะไม่มีคนคอยข่มเหงเรา จะอยู่แบบสุขสบาย”

ในปัจจุบันนี้ก็เหมือนกัน ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม “เถรวาทท่องจำกันมา กอดตำรากันไว้ แล้วประพฤติปฏิบัติมันก็ไม่เป็นแนวทาง ต้องทำโดยความสะดวกสบายของตัว” นี่เหมือนกันเลย เหมือนภิกษุผู้เฒ่าบอกว่า “องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้วดีมาก พวกเราจะได้อยู่สุขอยู่สบาย”

นี่ก็เหมือนกัน ธรรมและวินัยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพระอานนท์นะ “อานนท์ ธรรมและวินัยนี้จะเป็นศาสดาของเธอ” เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพานนะ พระอานนท์เสียใจมาก เพราะอะไร เพราะเป็นพระโสดาบันอยู่ ยังต้องการผู้ชี้นำอยู่ แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพานไปแล้ว นี่เสียใจมาก

“อานนท์ เธออย่าเสียใจไปเลย ถึงวันสังคายนา เธอจะเป็นพระอรหันต์”

พระอานนท์รู้ เพราะเป็นพระโสดาบัน รู้ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพานแน่นอนอยู่แล้ว ถามว่า “องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว พระสรีระจะทำอย่างไร”

“อานนท์ เธออย่าเป็นภาระไปเลย เป็นเรื่องของมัลลกษัตริย์เขา เขาจะจัดการของเขาเอง”

“แล้วภิกษุอยู่ต่อไปข้างหน้าจะเจอพวกสีกา พวกผู้หญิงจะเข้ามาเกี่ยวข้องในศาสนามาก จะทำอย่างไร”

“อานนท์ ถ้าจะคุยกับเขาจะต้องให้มีสติ แต่ไม่ควรดูไม่ควรเห็นเลยประเสริฐที่สุด”

“แต่ถ้าจำเป็นจะต้องเห็นต้องดูล่ะพระเจ้าค่ะ เพราะว่าเขาต้องมีการเข้ามาสัมผัสในศาสนา”

“ถ้ามีก็ต้องตั้งสติไว้นะ เราตั้งสติของเราไว้ อย่าประมาท อย่าประมาทไปกับเขา”

เห็นไหม ให้รักษาเนื้อรักษาตัวขนาดนี้นะ ในเมื่อในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมที่มีอยู่โดยดั้งเดิมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าค้นคว้ามา ในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ เป็นศาสดาของเรา มันเสถียรคงที่ตลอดไป นี่เห็นภัยไง สิ่งที่คงที่ สิ่งที่เป็นธรรมจะเห็นภัย จะห่วงหาอาทรกับศากยบุตรพุทธชิโนรส ประคองไว้ขนาดนี้นะ “ถ้าจะคุยกับเขาก็ต้องให้มีสตินะ ตั้งใจของเราไว้” เห็นไหม เตือนมาตลอด วางไว้ตลอด

แล้วในปัจจุบันนี้ ธรรมและวินัยเป็นศาสดาของเรา ถ้าเรามีสิ่งนี้เป็นเครื่องเตือนสติของเรา มันจะเอาตัวเรารอดได้ไหมล่ะ สิ่งที่เป็นประโยชน์กับเรา แต่มันเป็นการขัดแย้งกับกิเลส กิเลสมันถึงไม่พอใจสิ่งใดๆ เลยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้ขัดแย้งกับมัน วางความขัดแย้งกับกิเลส มันไม่พอใจทั้งนั้น มันจะโต้แย้ง มันจะพยายามผลักไสทั้งนั้น

แล้วเอาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเป็นสินค้า เห็นไหม “นี่มีความเปลี่ยนแปลง สิ่งใดเป็นอนิจจัง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา นี่เป็นไตรลักษณ์ สิ่งที่เกิดมาเป็นสมุทัย สิ่งนี้ควรจะชำระกิเลส”...มันเป็นเรื่องโลกๆ มองกันเป็นเรื่องโลก เป็นผลประโยชน์ของโลก มันก็ได้โลก ปฏิบัติธรรมก็ปฏิบัติแบบโลกๆ มันถึงไม่ได้ประโยชน์กับเราขึ้นมา

แล้วพอเราเห็นโลกเขาเจริญขึ้นไป ด้วยความคิดด้วยความเห็นของเราที่เป็นเด็ก ความคิดเด็กๆ นะ จะมีอายุแก่เฒ่าขนาดไหน แต่ความคิดไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้จักตัวเองเลย เห็นเขาพูดกัน เห็นกระแสโลกเป็นอย่างไรก็เป็นไปตามเขา จนว่าถือผีหรือถือพุทธเลย เพราะเป็นการอ้อนวอนเอา เป็นสัญญาความจำหมายรู้มา เป็นสัญญาอารมณ์ เป็นความคิดทั้งหมด แล้วกิเลสมันก็ฉลาดด้วย มันก็สร้างภาพให้เป็นสภาวะแบบนั้น ให้เราเห็นสภาวะตามไปกับเขา เห็นไหม ใจมันมหัศจรรย์อย่างนั้น สิ่งนี้มันก็เป็นไปตามเขา

แต่ถ้ามันเป็นความจริงของเราล่ะ ถ้าเป็นความจริงของเรา มันจะรู้จักตัวตนของเราขึ้นมาก่อน เราจะมีสติ เรากำหนดพุทโธของเราขึ้นมา เราจะมีคำบริกรรมของเราขึ้นมา ถ้าบริกรรมไม่ได้ มันก็เป็นปัญญาอบรมสมาธิ มันต้องให้เป็นความจริง มันเป็นการกระทำกับมือเรา มันเป็นการกระทำกับจิตขึ้นมา ถ้าจิตรู้จักเห็นภัยนะ เห็นภัยในวัฏฏะ แล้วมันจะย้อนกลับมา แต่นี่มันไม่เห็นภัยในวัฏฏะ เอาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพาหนะวนไปในวัฏฏะ เอาเป็นพาหนะ เอาเป็นเครื่องดำเนินไป แล้วอ้างธรรมกันตลอดไป เห็นไหม สิ่งนี้มันถึงเป็นเรื่องของโลกไปหมด

ถ้าเป็นความจริงนะ ครูบาอาจารย์ที่รู้จริงจะชี้นำความจริงกับเรา

เหมือนกับภิกษุผู้เฒ่า “ขัดอกขัดใจไปหมดเลย นั่นก็ทำไม่ได้ นี่ก็ทำไม่ได้”...มันทำได้ ทำได้ แต่มันเป็นอกุศล มันทำให้หัวใจนี้เศร้าหมอง หัวใจไม่ผ่องแผ้ว “จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้หมองไปด้วยอุปกิเลส” นี่ไม่ใช่หมองไปด้วยอุปกิเลสนะ นี่กิเลสมันขี่หัว พอขี่หัวมันก็อ้างธรรมขึ้นมาว่าสิ่งนี้เป็นสภาวธรรม สิ่งนี้เป็นการประพฤติปฏิบัติ พอประพฤติปฏิบัติมา เอากิเลสมาเหยียบหัวมันใช่ไหม มาเหยียบหัวใจ มาเหยียบการประพฤติปฏิบัติเรานี่

แต่ถ้าเป็นความจริงขึ้นมานะ มันเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้ว เห็นไหม ดอกบัวเกิดจากโคลนตม สิ่งที่หัวใจมันเป็นอนิจจังอยู่แล้ว สิ่งที่มันจะเสถียรคงที่มันมาจากไหนล่ะ? มันก็มาจากอนิจจัง มันมาจากสิ่งที่เรามีๆ อยู่นี่ มันไม่มีอะไรลอยจากฟ้ามาหรอก เพียงแต่เราเป็นชาวพุทธ ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนาพุทธภูมิ ครูบาอาจารย์ปรารถนาพระโพธิสัตว์มา ต้องสร้างสมบุญญาธิการมาอย่างนี้ การสร้างสมบุญญาธิการ การสละทาน ที่เราทำกันอยู่นี่ เพราะเราเชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเราเสียสละ เราทำของเราขึ้นมา เราทำเพื่อเรานะ ทั้งๆ ที่เราเสียวัตถุออกไป ออกไปก็เพื่อสังคม เพื่อโลก เพื่อความร่มเย็นเป็นสุข เห็นไหม หัวใจมันก็พัฒนาขึ้นมา สิ่งนี้มันพัฒนาขึ้นมา มันเป็นไป

มันมีอยู่ หัวใจมันมีอยู่ ความรู้สึกมีอยู่ การเกิดและการตายมีอยู่ บุพเพนิวาสานุสติญาณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ย้อนไปอดีตชาติไม่มีวันที่สิ้นสุด “เราเคยเป็น เราเคยเป็น” เห็นไหม เพราะปัจจุบันเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่ก็เหมือนกัน ปัจจุบันเป็นเรา ปัจจุบันนี้เป็นพระ ก. พระ ข. เป็นนาย ก. นาย ข. มันเป็นเรา นี่เรื่องของโลกๆ เห็นไหม แล้วเราเกิดในยุคสมัยที่วิทยาศาสตร์เจริญ แล้วก็เห็นการเปลี่ยนแปลง ดูสิ วิทยาศาสตร์คำนวณต่อไปอนาคตเลยว่า อีกกี่ร้อยปีกี่พันปี ความเปลี่ยนแปลงของโลกจะเป็นไปขนาดไหน เป็นห่วงเป็นใยลูกหลานว่าจะไม่มีอยู่มีกิน เราจะเอาทรัพยากรที่ไหนให้ลูกหลานใช้ เราควรจะต้องรักษาทรัพยากรนี้ไว้ให้กับลูกหลานไป

สิ่งนี้เรายิ่งตามไป เรายิ่งเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างนี้ เราก็ไปดักหน้าเลย มันเป็นเรื่องของกิเลสล้วนๆ นะ เพราะเราเห็นแต่เรื่องของวัตถุ แต่ความเปลี่ยนแปลงจากภายใน ความเปลี่ยนแปลงของใจ ความเปลี่ยนแปลงของการเกิดและการตาย นี่ความเปลี่ยนแปลงอย่างนี้เราไม่มอง สิ่งนี้เราไม่มอง เราไม่มองความเปลี่ยนแปลงจากภายใน ที่มันมาเกิดอยู่นี่มันมาจากไหน ออกจากนี้แล้วมันจะไปไหน

ฟังสิว่า ใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศาสดาของเรา ห่วงลูกหลานขนาดไหน อีก ๕,๐๐๐ ปี ศาสนานี้จะหมดไป เห็นไหม ในเมื่อสังคมร่มเย็นเป็นสุข มีสิ่งใดเกิดขึ้นมา เป็นทรัพยากรเกิดขึ้นมา เราก็เจือจานกัน เราดูแลรักษากัน เห็นไหม ใจที่เป็นธรรม เราเจือจานออกไป เป็นวัตถุออกไป แต่หัวใจมันเข้มแข็งขึ้นมา หัวใจเป็นผู้เสียสละออกมา มันก็เป็นบุญกุศลเข้ามา แล้วก็เกิดเชาวน์ปัญญา มันก็อยากจะค้นคว้าขึ้นมา เกิดทรัพย์ที่เป็นอริยทรัพย์จากภายใน ถ้าทรัพย์จากภายในมันก็ย้อนกลับเข้ามาดูที่นี่ เห็นไหม

ความเปลี่ยนแปลงจากภายใน ดูสิ เวลาสมาธิเกิดขึ้นมา เวลามันฟุ้งซ่าน มันทุกข์มันยาก หน้าชื่นอกตรมนะ “ไปไหนมา สบายดีไหม” หน้าชื่นทั้งนั้นล่ะ แต่หัวใจอกตรมทั้งนั้นล่ะ มันเศร้าหมอง เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หัวใจที่เสถียรอย่างนั้นพูดไว้ในธรรม “ในโลกนี้ร้อนเป็นไฟ แล้วเรายังรื่นเริงอาจหาญอยู่ทำไม ทำไมเราไม่หาที่พึ่ง ในสโมสรสันนิบาต ทุกวงการทุกข์ทั้งนั้น หัวใจว้าเหว่ทั้งนั้น” ถ้าหัวใจว้าเหว่ เราจะชื่นชมขนาดไหน หน้าชื่นขนาดไหน หัวอกมันตรม แล้วมันยังต้องไปข้างหน้านะ แล้วเข็ดหลาบไหม

ถึงเข็ดหลาบขนาดไหนมันก็หยุดยั้งไม่ได้ เพราะมันมีแรงขับ ในเมื่ออวิชชายังมีอยู่ ความเป็นไปยังมีอยู่ แล้วมันเองเป็นนามธรรม มันกลับคงที่นะ มันเห็นแต่สภาวะภายนอก เห็นแต่วัตถุนี้แปรสภาพ แต่หัวใจภายในเราไม่เห็นการแปรสภาพ เวลามันฟุ้งซ่านขึ้นมา มันทุกข์ยากขึ้นมา มันทุกข์ยากมันก็ให้ผลเป็นโทษกับเรา เวลาความโลภ ความโกรธ ความหลงเกิดขึ้นมา เจ็บปวดแสบร้อนอยู่ในหัวใจ มันจะละเอียดอ่อน จะนุ่มนวลขนาดไหน จะประณีตขนาดไหน มันก็ให้ผลเป็นโทษทั้งนั้น ในเมื่อมันคือไฟ ไฟคือราคะ ไฟคือโทสะ ไฟคือโมหะ สิ่งที่เป็นไฟ เป็นราคะ โทสะ โมหะ มันเผาแล้วเผาเล่า

วัตถุนะ สิ่งที่เป็นขยะ สิ่งเป็นวัตถุของโลก เขาเผาหมดแล้วมันหมดนะ เหลือเป็นฝุ่น ย่อยสลายไปหมด แต่ไอ้ความเผาของใจมันเผาไม่มีที่สิ้นสุด มันเกิดมาอยู่นี่ก็ร้อน แม้แต่เราเกิดมามีอำนาจวาสนา เราเกิดมาพบครูบาอาจารย์ เราได้ทำบุญกุศลไว้ บุญกุศลทำให้เราไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหมก็แล้วแต่ มันก็ไปทุกข์อยู่บนนั้น เพราะหัวใจมันมีกิเลส

สิ่งที่มีกิเลสนี้มันของชั่วคราว เราเกิดที่ไหนมันก็ของชั่วคราวทั้งนั้น เพราะมันมีวาระ เพราะวัฏฏะมันก็เหมือนกับธุรกิจ เวลาบริษัทเกิดใหม่ บริษัทเขาควบรวมกันมันก็เกิดใหม่ บริษัทบางอย่างต้องสูญเสียไป นี่ก็เหมือนกัน ในการเกิดตายๆ แต่ละภพแต่ละชาติมันก็เป็นอย่างนั้น มันก็เกิดใหม่ เกิดตายๆ อยู่อย่างนี้ ถ้าเกิดตาย มันควบรวมแล้วบริษัทมันดีขึ้นมา มันก็เป็นประโยชน์กับบริษัทนั้นใช่ไหม

นี่ก็เหมือนกัน ในภพชาติของเรา ถ้าเราเกิดขึ้นมา บุญกุศลส่งเสริมขึ้นมา แล้วเราได้ผลประโยชน์นั้น เราก็ลืมตัวไป ลืมตัวว่าเราเป็นคนนั้น เราเป็นคนนี้ แต่ถ้าเรามีสติ โลกกับธรรมนะ เราเกิดมา ทุกคนเกิดมามีร่างกายกับจิตใจ ถ้าไม่มีหัวใจ ปฏิสนธิจิตมาปฏิสนธิในไข่ในครรภ์ของมารดา เราจะไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์นะ

ถ้าเราไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม เวลาตายจากนี้ไป จิตเหมือนกัน เห็นไหม ปฏิสนธิจิตมันโอปปาติกะ เกิดเป็นผู้ใหญ่เลย เกิดเป็นสถานะนั้นเลย เกิดในโอปปาติกะ เกิดในน้ำครำ เกิดในไข่ เกิดในครรภ์ เห็นไหม ความเกิดมันต้องเกิดอยู่ตลอดเวลา เพราะแรงขับอันนี้ ถ้าแรงขับอันนี้ ถ้ามันจะย้อนกลับขึ้นไป มันก็ต้องย้อนกลับไปรู้จักตัวมันเองก่อน ถ้ามันต้องย้อนกลับไปรู้จักตัวมันเองก่อน มันก็ต้องมีสมาธินี่ไง ถ้าเราไม่ทำสมาธิก่อน “ศีล สมาธิ ปัญญา” เราจะสว่างโพลง เราจะไปมองแต่ทางแง่ของวิทยาศาสตร์ว่ามันเป็นไปได้อย่างนั้น แล้วในการประพฤติปฏิบัติก็จะเป็นในแง่ทางวิทยาศาสตร์ในความรู้สึกของตัว มันเป็นวิทยาศาสตร์จากใคร วิทยาศาสตร์มาจากไหน ขันธ์ ๕ มาจากไหน ขันธ์ ๕ คืออะไร รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มันมาจากไหน

สัญญา ข้อมูล เห็นไหม ดูการศึกษาสิ เด็กถ้าพื้นฐานมันดีนะ ให้มันมีสูตรทฤษฎีที่มันจำได้ เวลาคำนวณออกมาจะคล่องตัวไปตลอดเวลา แต่ถ้าพื้นฐานของเด็ก วิชาคำนวณ วิชาที่สิ่งต่างๆ ไม่มีในหัวใจ มันเรียนขึ้นไปมันจะเรียนไปทางไหนล่ะ นี่ก็เหมือนกัน ถ้าในหัวใจของเรามันมีข้อมูล เราได้สร้างบุญกุศลมา ในการประพฤติปฏิบัติมันก็จะมีสิ่งนี้ฝังใจมา แล้วการกระทำของเรามันจะฉุกคิด ฉุกคิดนะ

โลกที่เขาเป็นกัน ที่เขาดำเนินชีวิตกันอยู่นี่ เราจะอยู่กับเขาทำไม เราจะอยู่กับเขาทำไม แต่มันต้องอยู่ ต้องอยู่เพราะอะไร เพราะมันมีชีวิต เพราะมันมีหัวใจ เพราะหัวใจเรายังเป็นสมมุติอยู่ เราต้องทำจากสิ่งที่เป็นสมมุติให้มันเป็นวิมุตติขึ้นมา ถ้าวิมุตติขึ้นมา นี่วิธีการโดยธรรม

ถ้าวิธีการโดยกิเลส มันก็ยิ่งทำซับซ้อนไป ซับซ้อนนะ มันหลอก ๒ ชั้น ๓ ชั้น หลอกว่าเราได้กระทำแล้ว เราได้ใช้หนี้แล้ว เราได้ปลดเปลื้องบริษัทของเรา เรายกบริษัทเราออกมาจากที่เป็นหนี้เขา แล้วมันเป็นจริงไหม? มันไม่เป็นจริงเลย เขาถอนบริษัทออกจากตลาดหลักทรัพย์ต่างๆ เขาทำของเขาได้ทั้งนั้น เพราะอะไร เพราะมันเป็นเรื่องของโลกที่มันยังหมุนเวียนกันได้ ความหมุนเวียน การเปลี่ยนแปลง มันเปลี่ยนแปลงอยู่อย่างนี้อยู่ตลอดเวลา แต่ความเปลี่ยนแปลงของเรา เปลี่ยนแปลงจนเข้าไปจนตรอกนะ เปลี่ยนแปลงจนถึงที่สุด เพราะมันต้องเปลี่ยนแปลงไปจนถึงที่ว่ามันจะต้องเป็นไป แล้วเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย้อนไปในบุพเพนิวาสานุสติญาณ ไม่มีต้นไม่มีปลาย ความเปลี่ยนแปลงจะเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

แล้วถ้ามีศาสนาอยู่ มีการประพฤติปฏิบัติ ถ้าเราแก้ไขตรงนี้ได้ เห็นไหม เราแก้ไขตรงนี้ได้ มันจะเป็นความจริงของเรา มันจะเสถียรในหัวใจของเรา ตั้งแต่เรื่องความสงบของใจ ถ้าใจมันสงบขึ้นมา เรากำหนดพุทโธๆ หรือใช้ปัญญาอบรมสมาธิก็ได้ เพราะคำว่า “พุทโธ” มันเป็นสัทธาจริต

งานการที่มันลงทุนลงแรง แล้วสิ่งที่มันขัดแย้งกับในหัวใจ มันเลยทำได้ไม่สะดวก แต่ถ้ามันเป็นความจริงของเรา มันเป็นจริตนิสัยของเรา อะไรมันก็ถูกต้องไปหมด ดูสิ บางคน เพื่อนฝูงเรา จะกินจะอยู่อย่างไร ดีไปหมดเลย อะไรก็ได้ๆ ทำไมเขาอยู่สุขอยู่สบายขนาดนั้น ของเรานะ ของดีขนาดไหนก็ไม่ดีๆๆ เห็นไหม มันโต้แย้งมาจากภายใน มันไม่พอใจมาจากภายใน

แต่ถ้าสัทธาจริต มันตรงกับจริต ความเป็นไปของเขา การปฏิบัติของเขา มันจะดีไปหมด ถ้าดีไปหมดก็อย่าชะล่าใจ เพราะอะไร เพราะสิ่งนี้เป็นอนิจจัง สิ่งนี้มันไม่คงที่ เห็นไหม เพราะอะไร เพราะมันยังไม่เสถียร คำว่า “เสถียร” มันเกิดมาจากไหน? เกิดมาจากเหตุ ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ ชีวิตนี้ก็มาแต่เหตุ กรรมพาเราเกิดมา ที่มานั่งอยู่นี่มันมาแต่เหตุ เพราะมันมีกรรม มันถึงให้เราเกิดมาที่นี่ แล้วพอเราเกิดมาแล้ว เหตุที่ดี-เหตุที่ชั่ว เหตุที่ชั่วเขาก็พาชีวิตของเขาลุ่มๆ ดอนๆ ตกนรกหมกไหม้ นรกในหัวใจนะ เกิดขึ้นมาก็ทุกข์ อยู่ในโลกก็ทุกข์ ความเป็นไปของทุกข์เผาลนอยู่ตลอดเวลา เขาก็อยู่ของเขาไปนะ สิ่งที่เกิดมา บาปอกุศลพาเกิด

ถ้าบุญกุศลพาเกิด เราเกิดมาแล้วพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนถึงการให้เสียสละ นี่โลกเขาทำกันไม่ได้นะ ความตระหนี่ถี่เหนียวมันจะเสียสละไม่ได้ มันจะออกจากตัวไม่ได้ ถ้าเป็นกิเลสเป็นอย่างนั้น ทุกคนเป็นอย่างนั้น เพราะทุกคนเกิดมามีกิเลสพาเกิด ในการเสียสละ เราเสียสละไม่ได้หรอก แต่เวลาเราทำบ่อยครั้งเข้าๆ จนมีความเป็นนิสัยของเรา

แล้วถ้าเสียสละขึ้นมา เห็นไหม ดูสิ ครูบาอาจารย์ของเราแต่ละองค์เวลาประพฤติปฏิบัติไป ตั้งแต่โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี ขึ้นไป มันเปลี่ยนแปลงไปๆ ย้อนกลับดูตัวเอง ทำไมเมื่อก่อนเราเป็นอย่างนั้นๆ นึกย้อนหลังแล้วเสียใจ เพราะอะไร ดูสิ ผลไม้ที่ดิบ ถ้ามันแก่ เขาเอาเก็บมาบ่มมาเพาะ มันจะสุกนะ นี่เหมือนกัน ถ้าหัวใจมันยังเป็นกิเลสอยู่ มันยังดิบอยู่ ดิบมันก็คือดิบๆ ในเมื่อกิเลสมันดิบๆ กิเลสมันครอบหัวใจอยู่อย่างนั้น มันก็เป็นอย่างนั้น แต่ถ้าคนไม่มีการเปลี่ยนแปลง มันก็ดิบอย่างนั้นต่อไป แล้วยิ่งจะดิบจะบูดเน่าไปเลย แต่ถ้ามันสุกขึ้นมาก็อยู่ที่เรากระทำขึ้นมา เราถึงเสียสละได้

คนเสียสละนะ เสียสละโอกาส เกิดมาเป็นมนุษย์โดยสมบัติสาธารณะ การมีครอบครัวเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดต่างๆ หมดเลย ศีล ๕ บริสุทธิ์ แต่ทำไมเราเสียสละล่ะ ทำไมเราถือพรหมจรรย์ล่ะ ของที่เรามีสิทธิ เราไม่เอา เราสละให้หมดเลย สละออกไป เราประกาศตนออกบวชเป็นพระ ถือพรหมจรรย์ ถือพรหมจรรย์เพื่อใคร

พรหมจรรย์ก็เพื่อพรหมจรรย์ พรหมจรรย์ก็เพื่อหัวใจดวงนี้ พรหมจรรย์จากชีวิตการดำรงอยู่ แต่หัวใจยังไม่เป็นพรหมจรรย์ขึ้นมา มันก็ต้องเริ่มประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เริ่มทรมานตนขึ้นมา เห็นไหม การทรมานตนขึ้นมา ผลดีจะเกิดขึ้นจากหัวใจ มันก็เป็นประสบการณ์ของใจดวงนั้น ถ้าใจดวงนั้นมันมีเหตุสมควรแก่มัน ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ ถ้าเหตุสมควร ใจจะเริ่มอยู่ในอำนาจของเรา เห็นไหม

ถ้ามันยังฟุ้งซ่านอยู่ นี่ความฟุ้งซ่าน ความทุกข์ยากของเรา เพราะหัวใจมันสกปรก แต่ถ้ามันเป็นความสะอาดขึ้นมา จิตจะเริ่มเข้าเป็นสมาธิ แล้วเวลาใช้ปัญญาอบรมสมาธินะ มันคิดขนาดไหนให้มันคิดไป คิดแต่เรื่องอะไรก็ได้ให้มันคิดไป เพราะอะไร เพราะมันเป็นการกระทำของมัน น้ำสกปรก เขามาทำให้สะอาดขึ้นมา เขาต้องรีไซเคิลมัน เขาต้องทำความสะอาดให้มัน

ใจก็เหมือนกัน ถ้ามันสกปรกให้มันคิดไป แล้วตั้งสติ ตัวสติ ตัวความรู้สึก มันจะตามหัวใจนี้ไป เห็นไหม ตามความคิดไป คิดมาให้ผลเป็นโทษ มันก็เป็นทุกข์ คิดมาให้ผลเป็นประโยชน์ ความคิดกับการกระทำมันคนละอัน มันยังไม่ถึงเวลากระทำ มันเป็นเรื่องนโยบาย เป็นเรื่องของความคิด แล้วจะคิดทำไม ถ้าเราคิด เราคิดได้ เราคิดอย่างนี้แล้ว ถึงเวลากระทำแล้ว เราจะทำสิ่งนี้ให้เป็นประโยชน์กับชีวิตของเราเลย

ถึงเวลามันทำ มันคิดพร้อมกับทำไป มันก็เป็นความเป็นไปของโลก แต่ถ้ามันเห็นโทษของมัน เห็นโทษของความคิด เห็นโทษของหัวใจของเรา มันก็จะเห็นโทษของมัน แล้วมันก็จะเริ่มปล่อยวาง เพราะคิด มันเห็นโทษ มันก็ปล่อยๆๆ ความปล่อยอย่างนี้ เพราะมันจะรู้ทันความรู้สึก รู้ทันความคิด ถ้ารู้ทันความคิดเข้ามา เห็นไหม จิตมันก็จะสงบเข้ามาๆ มีสติสัมปชัญญะ

ถ้าสงบเข้ามาโดยลืม โดยความตกภวังค์ ไม่เป็นอย่างนี้หรอก นี่คิดเฉยๆ ดูกันไปเฉยๆ สิ่งที่เป็นความคิดเป็นโทษ มันเป็นโทษ ก็ดูกันไปเฉยๆ มันก็หยุดได้แค่นั้น นี่มันสถิต แต่มันไม่เสถียร มันหยุดได้ แต่มันไม่คงที่ แต่ถ้ามันเสถียรของมันนะ มันจะมีสติของมันพร้อม ถ้าสติพร้อมขึ้นมา มันจะรู้ถึงตัวเราเอง เห็นไหม มันว่างโดยสัจจะความจริง ไม่ใช่ว่างด้วยความสำคัญมั่นหมาย

ถ้าว่างด้วยความสำคัญมั่นหมาย นี่ปฏิบัติโดยโลกมันก็ว่างด้วยสำคัญมั่นหมาย เพราะอะไร เพราะเราศึกษาธรรมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา เรารู้ธรรมหมดเลย เรามีวิธีการทั้งหมด แล้วเราก็สร้างภาพ โลกเขาสร้างภาพกันนะ เขาหลอกลวงกัน เขาสร้างภาพขึ้นมาเพื่อจะให้คนเชื่อถือเขา ไอ้นี่ก็เหมือนกัน เราสร้างหัวใจของเราขึ้นมา เราสร้างความว่างของเราขึ้นมา มันไม่เป็นความจริง มันถึงไม่เสถียร ไม่คงที่ของมัน

ถ้าคงที่ มันคงที่ของสัมมาสมาธินะ แล้วเรามีสติสัมปชัญญะ เราใคร่ครวญของเราบ่อยครั้งเข้า จนมีหลักมีเกณฑ์ของมันขึ้นมา จิตเป็นเอกัคคตารมณ์ จิตตั้งมั่น เห็นไหม จิตเอกัคคตารมณ์ จิตตั้งมั่น จิตดวงนี้ออกวิปัสสนา

ถ้ามันจะเสถียรคงที่ มันจะมีวิปัสสนาของมัน ถ้ามันเสถียรขึ้นมาแต่มันไม่คงที่ มันก็แปรสภาพอยู่อย่างนั้น แล้วยังพาเกิดพาตายนะ ถ้าเราทำความสงบได้ เราเข้าฌานสมาบัติได้ เราจะเกิดเป็นพรหม ถ้ามีสติสัมปชัญญะนะ แต่เป็นไปไม่ได้ เพราะอะไร มันเป็นไปไม่ได้เพราะมันมีกิเลสไง แม้แต่ฤๅษีชีไพรเขาเหาะเหินเดินฟ้าอยู่ ถ้ามีอะไรมากระทบนะ ตกเลย เราจะควบคุมอย่างนี้ไม่ได้ เพราะเหตุผลอย่างนี้เป็นเหตุผลโลกๆ เหตุผลของสมมุติ มันเป็นโลกนิยม สมมุตินิยม มันเป็นสภาวะแบบนั้น มันถึงเป็นฌานโลกีย์

คำว่า “ฌานโลกีย์” โลก เห็นไหม ฌานของโลกเขา ฌานของความเป็นไป แล้วฌานของโลกเขามันมีแกน แกนของใจ แกนของอวิชชา มันติดข้องสิ่งใด ถ้ามันยังไม่มีอะไรที่มันเป็นผลของหัวใจ คือมันไม่ถึงกับซึ้งใจนั้น มันก็ยังทนได้ แต่ถ้ามันมีสิ่งใดๆ เข้าไปกระทบหัวใจ หมดเลย มันหมดนะ เพราะมันเป็นฌานโลกีย์ ถึงว่ามันเสถียรคงที่ไม่ได้ เพราะมันยังไม่ได้วิปัสสนา ถ้าไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นักบวชสมัยโบราณเขาทำได้แค่นี้ ทำได้แค่หัวใจสงบ แล้วก็ทำได้แค่รักษาไว้...รักษาไว้ขนาดไหนก็เป็นไปไม่ได้ เพราะมันไม่มีวิชาการ ไม่มีวิธีการกระทำ

ถ้ามีวิธีการกระทำขึ้นมา เราถึงย้อนออกวิปัสสนา วิปัสสนาในอะไร

นี่หนามยอกเอาหนามบ่ง สิ่งที่เกิดขึ้นมา เราก็รักษาสมบัติ รักสมบัติเพราะใคร รักสมบัติเพราะมีเรา เรามีครอบครัวเพราะอะไร มีครอบครัวเพื่อให้คิดถึงเรา ถ้าเรามีครอบครัวขึ้นมาแล้วเราจะอบอุ่น ถึงเจ็บไข้ได้ป่วยก็มีคนมาดูแลเรา...เราๆๆ ทั้งนั้นล่ะ นี่มันติดที่เราก่อนนะ

โลกนี้มีเพราะมีเรา กิเลสที่มันเหยียบย่ำหัวใจอยู่นี่ มันทุกข์เพราะว่ามีเรา

แล้วถ้ามีเรา แล้วเราไปหลงในอะไร? เราหลงในสักกายทิฏฐิ ความเห็นผิดในหัวใจนี้ สรรพสิ่งนี้เป็นของเราหมดเลย ถ้ามีเรา เห็นไหม ปฏิบัติก็ปฏิบัติไม่ได้ เพราะมันสะเทือนเรา เสพปัจจัยเครื่องอาศัยในโลกที่มีอยู่ เราจะเสพของเรา เพราะเราเสพผลประโยชน์กับเรา นี่ประโยชน์กับเราทั้งหมดเลย แล้วเวลานั่งสมาธิก็ไม่ได้ เพราะอะไร เพราะมันจะทรมานเรา เห็นไหม สิ่งที่เป็นสมบัติของเรา เราให้จิตใจคนอื่นก็ไม่ได้ เพราะเป็นของของเรา

ถ้ามันเป็นของของเรา ถ้าจิตมันสงบเข้ามา เพราะเราฟังธรรม เรามีจริตนิสัย เราย้อนกลับเข้ามา ถ้าจิตสงบก็รู้ว่าเรา เรามันอยู่ไหนล่ะ ที่ว่าเป็นเราๆ เรามันเกิดมาจากไหน เกิดมาจากใจหรือ ความรู้สึกมาจากไหนล่ะ มันเกิดมาโดยธรรมชาติ โดยการเกิดเป็นมนุษย์นี่ไง การเกิดเป็นมนุษย์มันมีอุปาทานยึดมั่น มันยึดมั่นอย่างนี้เพราะเราไปยึด แล้วสิ่งที่ไปแก้ แก้ที่ไหนล่ะ? ก็แก้ที่นี่ แก้ที่กายเรา

จิตไม่สงบ จิตไม่มีพื้นฐาน การเห็นกายเห็นโดยสามัญสำนึกทั้งนั้น การเห็นโดยสามัญสำนึก เห็นโดยกิเลส แต่ถ้าการเห็นโดยธรรมล่ะ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าการเห็นโดยธรรม จิตมันสงบขึ้นมา มันเห็นกาย มันจะสะเทือนหัวใจมาก มันสะเทือนกิเลสไง สิ่งใดที่มันเป็นความสกปรก มันเห็นความสกปรกนั้น สิ่งนั้นสกปรก เราจะขยะแขยงไหม

ดูสิ เราไม่อาบน้ำ ๕ วัน ๑๐ วัน ร่างกายของเราสกปรก เวลาเราไปอาบน้ำ เราจะรู้สึกอย่างไร นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่เป็นความสกปรก เราชำระล้างอยู่ทุกวัน เราอาบน้ำวันละ ๕ หน ๑๐ หน แล้วสิ่งนี้มันออกมาเล็กน้อย เราก็เห็นเป็นของไม่มีคุณค่า แต่ถ้าเกิดวิกฤติขึ้นมา ไม่มีน้ำ ไม่มีอะไรเลย เราไปหลงป่าอยู่ ๕ วัน ๑๐ วัน ไม่ได้อาบน้ำ แล้วมาอาบสักทีสิ มันจะเป็นอย่างไร

ถ้าความเห็นของใจที่เป็นธรรมมันจะเห็นสภาวะแบบนั้น เห็นความเป็นไปของความคิดนี้ว่าเป็นโทษ เห็นความคิดของเราว่ามันหลงตัวมันเอง สิ่งนี้มันเป็นโทษขึ้นมา เพราะมันมีธรรม สภาวธรรม สภาวะจิตมันสงบเข้ามาเห็นสภาวะแบบนั้น

ถ้าเห็นสภาวะแบบนั้นนะ มันเป็นเรื่องของความรู้สึกทั้งหมด ไม่ใช่เรื่องของขี้เหงื่อขี้ไคลที่ออกมาเปรียบเทียบกันนี้หรอก ขี้เหงื่อขี้ไคลที่เปรียบเทียบมันเป็นบุคลาธิษฐานให้จิตเห็นภาพ แต่สัจจะความจริงที่มันเห็น ที่มันรู้ของมัน มันเห็นกายสภาวะแบบนี้ มันเห็นการเปลี่ยนแปลงของมัน เห็นไหม จะพุจะพองจะหนองขนาดไหน เยิ้มขนาดไหนก็แล้วแต่ ให้เห็นสภาวะแบบนั้น ถ้ามันมีวาสนามันจะปล่อยวางไป มันจะพุพองไป มันจะหลุดย่อยสลายของมันไป ย่อยสลายเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไปนะ

แล้วถ้ากิเลสไม่ขาด คำว่า “กิเลสไม่ขาด” มันไม่มีขณะจิต มันจะปล่อยวางขนาดไหน มันจะทำลายไปขนาดไหนนะ ถ้าเราดูไปเรื่อยๆ ใช้กำลังวิปัสสนาไปอย่างนี้ มันจะย้อนกลับ ย้อนกลับเข้ามา จากส่วนที่มันย่อยสลายไปแล้ว มันจะขึ้นมาเป็นตัวตนของเราใหม่ก็ยังได้ เพราะอะไร นี่คือสภาวธรรมไง

สภาวธรรมคือการตรวจสอบ คือการทดสอบ เห็นไหม วิปัสสนาไป มันจะย้อนไป ย้อนหน้าย้อนหลัง การย้อนหน้าย้อนหลังเพราะอะไร เพราะแก่นแท้ของกิเลส กิเลสมันหนักหนาสาหัสสากรรจ์ เห็นไหม ความเห็นอย่างนี้ ตทังคปหาน มันปล่อยวางชั่วคราว การปล่อยวางความเป็นไปจากในหัวใจ นี่ไตรลักษณะมันจะเกิดตรงนี้ ถ้าเกิดตรงนี้ขึ้นมา มันจะมีค่าเสถียรขึ้นมาบ้าง ค่าเสถียรเพราะมันเห็นพร้อม สิ่งที่เห็นพร้อมขึ้นมา ใจสำคัญที่สุดนะ

วัตถุมันเป็นไปไม่ได้ ไม่มีสิ่งใดๆ ในโลกนี้มีความคงที่เลย ความเสถียรในโลกนี้ไม่มี ไม่มีหรอก สภาวะความเป็นไป มันถึงหมุนเวียนอยู่อย่างนี้ โลกมันหมุนเวียนอย่างนี้ แล้วจิตวิญญาณที่มันมาเกิดมาตายอยู่นี่ มันมาทรงคุณค่าอยู่ในร่างกาย มันเห็นสภาวะแบบนั้น พยายามจะเปลี่ยนแปลงก่อน ดักหน้าดักหลัง ดักหน้าดักหลังเปลี่ยนแปลงไปโดยกิเลส เปลี่ยนแปลงไปโดยวิทยาศาสตร์ เปลี่ยนแปลงโดยโลก

แต่ถ้าการเปลี่ยนแปลงโดยธรรมล่ะ สภาวธรรมมันเห็นสภาวะของมัน มันเปลี่ยนแปลงของมัน สัจจะความจริง แล้วมันเป็นธรรมะส่วนบุคคล ผู้ใดเห็น ผู้นั้นเข้าใจ จิตดวงใดเห็นไหม

เราศึกษากันนะ ศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๙ ประโยค ๑๐ ประโยคต่างๆ ท่องจำได้หมดนะ เข้าใจหมด แยกแยะได้หมด แต่งเติมได้หมด ภาษาบาลีแต่งเติมได้ แต่มันไม่เข้าถึงใจ เพราะอะไร เพราะมันออกมาจากอาการของใจ อาการของใจไปศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ออกไปเป็นกิริยาของธรรม ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมที่ว่า สิ่งที่เสถียรในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคงที่ แต่บอกทวนกระแสให้เข้าไปหาสภาวะแบบนั้น แล้วเราก็เอาอาการของใจคือความรู้สึกไปศึกษาธรรมมา เราศึกษามาขนาดไหน แล้วมันชำระกิเลสได้สักตัวไหม? มันชำระไม่ได้สักตัวเลย เพราะมันไม่เกิดจากสัจจะความจริง

ถ้าเราทำความสงบของใจ ชื่อของสมาธินะ ชื่อของปัญญานะ มันเป็นชื่อในพระไตรปิฎก เวลามันเกิดขึ้นมากับเรา ความเป็นสมาธิมีความสุขอย่างนี้ นี่ความสุขนะ จิตมันปล่อยเข้ามานะ ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ พูดอย่างนี้ ผู้ที่ปฏิบัติใหม่ไม่เข้าใจหรอก เพราะอะไร เพราะมันเป็นเราไปทั้งหมด เรายึดมั่นถือมั่นไปทั้งหมดเลย มันเป็นเราๆๆ ไปหมดเลย แต่ผู้ที่จะพูดอย่างนี้ได้ มันผ่านเรื่องของความสงบเข้ามา มันผ่านวิธีการเข้ามา ครบวงจรไง ครบวงจรว่ามันจะเสถียรตรงไหน เสถียรของขั้นสมาธิ เสถียรของขั้นโสดาบัน เสถียรของขั้นสกิทาคามี เสถียรของขั้นอนาคามี ถึงที่สุด เสถียรขั้นพระอรหันต์ มันเสถียรอย่างไร

สิ่งที่เสถียรมันมีเพราะมีอย่างนี้ ความมีอย่างนี้มันเกิดมาจากไหน? มันเกิดมาจากนามธรรมนะ เกิดมาจากการต่อสู้ เกิดมาจากการประพฤติปฏิบัติ มันเกิดมาจากประสบการณ์ของใจ ถ้าใจมีประสบการณ์อย่างนั้น แล้วสิ่งใดจะเข้าไปหาใจดวงนี้ล่ะ วิธีการจะเข้าไปหาใจดวงนี้ วิธีการจะทำลายมัน มันมาจากไหนล่ะ

มันมาจากใจดวงนั้นล่ะ ใจดวงที่ทุกข์ๆ ร้อนๆ ดวงที่ประพฤติปฏิบัติ แต่ถ้ามีอำนาจวาสนา เชื่อฟังครูบาอาจารย์ แล้วพยายามกอบกู้ กอบกู้คือสะสมสร้างสมขึ้นมา ถ้าสร้างสมขึ้นมา จิตมันมีหลักมีเกณฑ์ของมัน มันจะออกทำงาน ออกทำงานนะ เพราะมีคนคอยกระตุ้นเตือนไง

ถ้าจิตมันไม่ออกทำงาน พอจิตสงบขึ้นมา มันพอใจของมันนะ มันพอใจแค่นี้ “นี่คือวิมุตติ นี่คือนิพพาน” มันจะพอใจแค่นี้ แล้วมันก็จะหาเหตุหาผลคอยส่งเสริมว่า “นี้ถูกต้อง นี้ถูกต้อง” ถูกต้องนั่นถูกต้องของกิเลส ไม่ถูกต้องของธรรมหรอก

ถ้าถูกต้องของธรรมมันจะเห็นสภาวะของมัน เราแยกแยะออกไปบ่อยครั้งเข้าๆ มันจะเป็นสภาวะแบบใดก็แล้วแต่ ให้มันเป็นไปนะ ถ้ามันมีเหตุการณ์อย่างนั้นขึ้นมา เหมือนเราตักอาหารใส่ปากเลย แต่นี่เราดูแต่เขาตักใส่ปากกัน แล้วเราคิดว่าเราตักใส่ปาก ถ้าเป็นปกติทางวัตถุ ทางร่างกาย ถ้าเราไม่ตักอาหารใส่ปาก มันจะมีอาการหิวโหย

มันรู้อยู่ แต่ทำหัวใจเป็นอย่างนั้น มันก็คิดว่านี่เป็นสภาวธรรม เหมือนกับเราตักอาหารใส่ปากเลย นี่มันสร้างภาพได้ขนาดนั้นนะ กิเลสมันร้ายกาจอย่างนี้ กิเลสในหัวใจของมนุษย์มันร้ายกาจขนาดนี้ กิเลสในหัวใจของสัตว์โลกเลย ไม่ใช่แค่หัวใจของมนุษย์หรอก สัตว์โลกนี้เลย สัตว์โลกตั้งแต่วัฏฏะ ตั้งแต่เทวดา อินทร์ พรหมลงมาเลย เว้นไว้ตั้งแต่อนาคามี ๕ ชั้น สิ่งที่เป็นอนาคามี ๕ ชั้น จะไม่เกิดหมุนกลับมาในวัฏฏะ สุกไปข้างหน้า แล้วพ้นออกไปจากกิเลสนี้เท่านั้น

สิ่งที่เสถียรมี ถ้ามันมีสภาวะแบบนั้น เสถียรที่ไหนล่ะ ความคงที่มี ความเป็นไปมี ธรรมะมี แล้วธรรมะมี มีในหัวใจของครูบาอาจารย์เรา มีในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อน ถ้าธรรมะมี ความเห็นมี ความเป็นไปมี มันชี้นำกันเข้ามาได้ แต่ถ้ามันไม่มี มันเป็นเรื่องของโลกๆ ถ้าเป็นเรื่องของโลก ปฏิบัติเพื่อโลก แล้วปฏิบัติเพื่อโลกก็ไม่รับผิดชอบด้วยนะ เพราะอะไร เพราะใจมันเป็นโลก ใจมันไม่เข้าใจเรื่องธรรมะเลย

ถ้าไม่เข้าใจเรื่องธรรมะเลย “ถ้าทำอย่างนี้จะเป็นสภาวะแบบนั้น สภาวะแบบนั้น” แล้วมันก็พายเรือในอ่าง จิตมันก็หมุนเวียนไปสภาวะของกิเลสอย่างนี้ แล้วกิเลสก็พาหมุนออกไปอย่างนั้น นี่ออกอย่างนี้ออกอย่างนั้น มันสร้างภาพไง มันเป็นไป สภาวะจิตที่มันจะเป็นสภาวะแบบนั้นออกไป แล้วเราก็จะวนอยู่ในอ่างอย่างนั้น แต่เราก็พอใจนะ เพราะมันวนไปทีหนึ่ง มันเคลื่อนไปทีหนึ่ง “เออ! ว่างทีหนึ่ง เออ! เรารู้สึกทีหนึ่ง” แต่มันก็วนกลับมาที่เก่า มันก็วนมาว่างๆ อย่างนี้...กิเลสท่วมหัว มันวนไปวนมาอยู่อย่างนั้น แล้วมันไปถึงไหนกันล่ะ

แต่ถ้าเป็นธรรม มันตรงเข้าหาฝั่งนะ มันไม่หมุนเวียนอยู่กลางทะเลอย่างนั้นหรอก ถ้าเข้าถึงฝั่ง เราใช้ชีวิต เราไปเรือแตกอยู่กลางทะเลกัน เราจะพยายามหาสิ่งดำรงชีวิต แล้วพยายามกระเสือกกระสนเข้าหาฝั่ง ถ้าเราเข้าถึงฝั่ง เราจะมีความรู้สึกอย่างไร นี่ก็เหมือนกัน ในการประพฤติปฏิบัติ ถ้าเราเข้าถึงฝั่งนะ เพราะธรรมเป็นสันทิฏฐิโก ไม่มีใครจะประกันความบริสุทธิ์ผุดผ่องของแต่ละคนได้ แต่ถ้าเข้าถึงฝั่ง มันเข้าถึงฝั่งเหมือนกันหมด เห็นไหม ถ้าใจเหยียบฝั่งแล้ว ชีวิตเราแน่นอน ชีวิตเราแน่นอนแล้วนะ เราจะไม่วนไปกับเขาหรอก เห็นไหม นี่ค่าของความเสถียรไง

ถ้าจิตมันเสถียรอย่างนี้ มันต้องให้ใครมาประกันกับมัน มันจะรู้ขึ้นมาเลยนะ โสดาบันเป็นอย่างนี้ สักกายทิฏฐิ กายไม่ใช่เรา เราไม่ใช่กาย ทุกข์ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ทุกข์ แล้วมันเสถียรแค่นี้มันเสถียรทั้งหมดไหมล่ะ มันถึงฝั่ง เห็นไหม แต่มันยังแช่น้ำอยู่นั่น ถ้าคลื่นใหญ่มามันก็พัดออกไปอีก ถ้าพัดออกไปนี่เกิดอีก ๗ ชาติ แต่ถ้ามันไม่พัดอีก เราจะเดินขึ้นฝั่งขึ้นไปได้เลย

สิ่งที่ละเอียด ค่าของความเสถียรมันมีขั้นตอนของมันนะ นี่เราพยายามทำ แล้วมันมาจากไหน สิ่งที่มันไม่มีนะ คนที่ตายไปแล้ว สิ่งที่เป็นวัตถุ ดูสิ คอมพิวเตอร์เวลาเขาคีย์เข้าไป ข้อมูลมันออกมามหาศาลเลย แล้วตัวคอมพิวเตอร์เดี๋ยวมันก็พัง เดี๋ยวเขาก็ต้องเอาไปซ่อม เดี๋ยวก็ต้องทุบทำลาย เปลี่ยนโปรแกรมใหม่ มันมีอะไรเป็นสมบัติของมันบ้าง

แต่เรามีนะ เรามีชีวิตนะ เรามีชีวิตของเรา เรามีความรู้สึกของเรา ความรู้สึกอันนี้มันสะสมมาแล้ว บุญกุศล-บาปอกุศลมันซับลงที่ใจดวงนี้ทั้งหมด คอมพิวเตอร์ วัตถุที่โดนทำลายไปแล้ว ไม่มีใครรับผิดชอบกับมันเลย มีแต่เจ้าของเสียอกเสียใจถ้าคนที่ไปรักมัน เห็นไหม นี่ก็เหมือนกัน คนที่ตายไปแล้ว ซากศพก็เหมือนคอมพิวเตอร์นั่นน่ะ เพราะมันไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว แต่นี่มันมีหัวใจของเรา ในความรู้สึกของเรามันยังมีอยู่ ถ้ามีอยู่ เราต้องขวนขวายสิ เราจะมาประมาทกับชีวิตไม่ได้นะ หายใจเข้าและหายใจออก ถ้าไม่เข้าไม่ออก ตายหมด ดูสิ ใครจะประกันได้ว่าเราจะมีชีวิตอยู่ถึงวันพรุ่งนี้ ถ้ามันเห็นโทษอย่างนี้นะ มันจะกระตุ้นให้เรารู้สึกเห็นภัยของชีวิตว่ามันสั้นนัก แล้วมันจะเริ่มต้นทำของเรานะ

บุญกุศลเราสร้างกันมาพอแรงแล้ว เรื่องของทานเราก็สร้างมามากแล้ว ทานก็คือทาน จะเกิดเป็นเทวดา อินทร์ พรหมขนาดไหน สมบัติมันก็เป็นทิพย์อยู่อย่างนั้น ศีลก็ทำให้เราเวียนตายเวียนเกิดอย่างนี้ ถ้ามีการภาวนา เห็นไหม สมบัติทั้งหมดที่เราสร้างมามันจะมาหนุนตรงนี้ หนุนตรงให้เราอยากออกวิปัสสนา อยากให้เราออกประพฤติปฏิบัติ แล้วออกประพฤติปฏิบัติให้ควรแก่ธรรมด้วย

ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม เราจะได้ธรรมะอันนี้ในหัวใจของเรา

ผู้ใดปฏิบัติธรรมไม่สมควรเลย ดูสิ ปฏิบัติแบบผีๆ อ้อนวอนเอา ต้องการเอา อ้อนวอนต่างๆ สิ่งนั้นเป็นเรื่องของผีทั้งนั้น เพราะอ้อนวอน ถ้าต้องอ้อนวอนบูชา นั่นไม่ใช่แล้ว อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน หนาวก็รู้ว่าหนาว ทุกข์ก็รู้ว่าทุกข์ ร้อนก็รู้ว่าร้อน ดีก็รู้ว่าดี ชั่วก็รู้ว่าชั่ว แต่กิเลสมันพาให้โง่ ไม่รู้สักอย่างเลย ปฏิบัติไปก็ว่าดี ก็ว่าถูกต้อง ก็ว่าเป็นไปหมด แล้วมันเป็นไหม มันไม่เป็นเพราะอะไร เพราะมันเป็นการคาดหมายนะ ปฏิบัติแล้วนิพพาน นิพพานทั้งนั้นเลย ว่างหมดทั้งนั้น ว่างอย่างนี้โดยสามัญสำนึกน่าจะรู้ตัว รู้ตัวทั้งนั้น มันจะว่างอย่างไร มันว่างขนาดไหน

นี่เหมือนเราเลยนะ เรากินอาหารแล้วก้างตำคอ เราดื่มน้ำได้ไหม? ดื่มได้ แต่มันเสียวไหม? เสียว นี่ก็เหมือนกัน จะว่างขนาดไหนมันก็มีความลังเลความสงสัย โดยสามัญสำนึกนี่เหมือนก้างตำคอเลย แต่ถ้าเราเอาก้างออกจากคอ เอาทุกอย่างออกจากคอหมด อะไรมันก็เข้าสะดวกหมด มันไม่มีความสงสัยหรอก ความสงสัยเกิดมาจากไหนล่ะ

กิเลสมันคาคออยู่นะ ถ้าเราเป็นสุภาพบุรุษ เราทำผิด เราทำแล้วไม่เข้าทาง เราต้องแก้ไขแล้ว ชีวิตเราสั้นขึ้นเรื่อยๆ นะ แล้วเราจะไปที่ไหนกัน เราจะไปจนตรอก เวลาเข้าไปนอนในโลงศพแล้วค่อยมาแก้ไขตอนนั้นหรือ ไม่มีประโยชน์หรอก พอเราไปนอนอยู่ในโลงศพ ดูสิ เอาศพมาก่ายกัน ศพมันมีความรู้สึกไหม แต่ถ้าเป็นคนมีชีวิตนี่ไม่ได้นะ คนมีชีวิตมีความรู้สึกหมดล่ะ

ดูสิ เวลาเราไปเที่ยวป่าช้า กลัวผี ไปในที่วิเวก เรากลัวทั้งหมด ความกลัวมาจากไหนล่ะ แล้วซากศพอยู่ในป่าช้ามันกลัวใคร มันไม่เห็นเคยกลัวใครเลย นี่จิตมันออกไปแล้วนะ แล้วชีวิตเรามันสั้นนัก ความเป็นไปอย่างนั้น เราต้องยอมรับความจริงนะ ความลับไม่มีในโลกหรอก ผู้ใดกระทำ ผู้นั้นรู้ จิตที่กระทำมันก็รู้ สิ่งที่กระทำกันมาก็รู้ แต่เราฉงนสนเท่ห์ไหม เพียงแต่มันเป็นสายบุญสายกรรมนะ สิ่งที่เป็นประโยชน์ขึ้นมามันจะทำให้เราฉุกคิด เพราะเรื่องอย่างนี้เป็นเรื่องของส่วนบุคคลทั้งนั้น ใครทำดีทำชั่วเป็นของหัวใจดวงนั้น ไม่มีใครแบกรับกรรมให้ใครได้หรอก เพียงแต่ในปัจจุบันนี้สายบุญสายกรรมชักนำเราไปทางไหนเท่านั้นเอง

ถ้าชักเรากลับมา มันตรวจสอบจากใจเราเอง ไม่ต้องเชื่อใครเลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้บอกให้เชื่อใครนะ ดูกาลามสูตรสิ ไม่ให้เชื่อแม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์ ไม่ให้เชื่อแม้แต่ครูบาอาจารย์เราสอน ไม่ให้เชื่อทั้งนั้นเลย ให้เชื่อความเห็นของเรา ให้เชื่อหัวใจเราทุกข์ไหม ถ้าหัวใจเราทุกข์ หัวใจเราลังเลสงสัยอยู่ แล้วยังมีโอกาสแก้ไข เพราะเรายังไม่ตาย ถ้าเราตายไปแล้วก็แล้วแต่บุญกุศลแล้ว

เวลาเทวดาเขาอวยพรกัน “ถ้าหมดอายุขัยแล้วให้เกิดเป็นมนุษย์เถิด พบพระพุทธศาสนา” เพราะเทวดานะ เวลาเราเกิดเป็นจิต จิตล้วนๆ มันเห็นกันได้ มันรับรู้สิ่งนี้ได้ รับรู้สิ่งนี้ได้เพราะอะไร เป็นเทวดานี้มาจากไหน? ก็มาจากบุญกุศล “ถ้าตายแล้วขอให้ไปเกิดเป็นมนุษย์เถิด พบพระพุทธศาสนา ได้สร้างบุญกุศลแล้วไปเกิดเป็นเทวดาอีก” มันก็เวียนอย่างนี้ เห็นไหม สิ่งที่ควรแก้ไขคือการเกิดและการตาย แล้วมันยังเกิดยังตายอยู่อย่างนั้น เทวดาถึงต้องมาฟังธรรมของครูบาอาจารย์ไง เพราะเรื่องอริยสัจก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าเห็นการเกิดการตาย

มันก็เหมือนกับเรามีกล้องส่องทางไกลดีๆ เราจะเห็นภาพได้ไกล คนที่เขามองด้วยตาเปล่าก็เห็นได้แค่ตาเปล่า แล้วมันสายตาสั้นอีกต่างหาก แล้วยังบอดสีเข้าไปอีก ไม่เห็นอะไรเลย นี่ถ้ามันมีความเห็นอย่างนี้ ใจของเรามีความรู้สึกอย่างนี้ มันจะแก้ไขของเราได้อย่างนี้ แล้วมันจะทำให้เราขึ้นมา ให้เราเปลี่ยนแปลง ถ้ามีก้างตำคอจะได้เอาก้างตำคอนั้นออก ก้างของเราอย่าให้มันตำคอเรา มันจะตำคอของผู้ใด ผู้ใดเขาพอใจของเขา นั่นเป็นเรื่องของเขานะ ชีวิตแต่ละบุคคล เราเป็นเจ้าของชีวิต ชีวิตของเราคือชีวิตของเรา ชีวิตของเขาคือชีวิตของเขา

ในการประพฤติปฏิบัติก็เหมือนกัน นี่เรากราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กราบด้วยหัวใจนะ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อยู่ที่ไหน? ก็อยู่ที่ใจ แล้วถ้าใจมันเป็น เรามีโอกาสเป็นไหม เราจะดูถูกตัวเราขนาดนี้เชียวหรือ เห็นไหม พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เวลาจิตมันสงบเข้ามา เวลาผ่องใส ใจผ่องใสเป็นอย่างไร ใจผ่องใสเป็นใจสว่างแบบโลกเขาหรือ ถ้าใจผ่องใสสว่างของโลกเขานะ ดูการไฟฟ้าฝ่ายผลิตสิ เวลาผลิตไฟออกมา ไฟทั่วประเทศไทย เปิดทีเดียวสว่างหมดเลย แล้วสว่างของใครล่ะ สว่างแล้วได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา

แต่สว่างของเราล่ะ ถ้าสว่างของเรา มันสว่างทั้งแสงความสว่างก็มี มันสว่างเพราะความเข้าใจก็มี ความเข้าใจ ความแจ่มแจ้งในหัวใจของเราก็มี ความสว่างกระจ่างแจ้งของใจ สิ่งใดมันสกปรกโสมมอยู่ในหัวใจของเรา ของเรานะ ของใครของมัน กรรมใครกรรมมัน ไม่มีใครแบกรับกรรมแทนใครได้หรอก ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดถึงเทวทัต พระเทวทัตทำกรรมขนาดไหน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมตตาหมดนะ “เทวทัตทำอย่างนี้จะได้กรรมอย่างนั้น ทำอย่างนั้นจะได้กรรมอย่างนี้ ไม่ควรทำเลย ไม่ควรทำเลย”

แต่อีกฝ่ายจะรุกอย่างเดียว จะทำอย่างเดียวเลย เพราะอะไร เพราะว่าสิ่งที่เราทำได้ เพราะถือสถานะในปัจจุบันนั้นนะ เพราะอะไร เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นลูกกษัตริย์ เทวทัตก็ลูกกษัตริย์ พระอานนท์ก็ลูกกษัตริย์ กษัตริย์ด้วยกัน ถือว่าสถานะเท่าเทียมกันไง นี่โลกๆ เห็นไหม ความเท่าเทียมกันทางโลก

แต่ความจริง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างสมมาเป็นพระโพธิสัตว์ สร้างสมเป็นพระโพธิญาณมา แล้วค้นรื้อค้นขึ้นมา ในหัวใจเสถียรเต็มที่ของมันแล้ว เพราะมันเป็นธรรม ธรรมมีอยู่โดยดั้งเดิม แต่ใจเทวทัตมีกิเลสตัณหาเต็มหัวใจ ได้ฌานโลกีย์ เหาะเหินเดินฟ้าได้ แต่เอาความเสมอภาค เอาความเสมอกันในเรื่องโลกๆ ว่าเป็นกษัตริย์เหมือนกัน บวชเหมือนกัน เป็นพระเหมือนกัน พระเหมือนกัน แต่ใจไม่เหมือนกัน พระองค์หนึ่ง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมตตารื้อสัตว์ขนสัตว์ พระองค์หนึ่งอยากให้คนนับหน้าถือตา ขอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าจะปกครองสงฆ์

นี่กรรมใครกรรมมันนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมตตาสงสารพระเทวทัตมาก เพราะว่ายิ่งสร้างกรรมขนาดไหน สร้างกรรมกับคนอื่นมันก็ได้ผลอย่างหนึ่ง สร้างกรรมกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันได้ผลแรง แต่เพราะบุญกรรมเหมือนกัน ต้องมาพบกัน มาเกิดในสถานะเดียวกัน ความเสมอภาคไง ความเสมอภาคอันหนึ่งเป็นความเสมอภาคทางโลก

ความเสมอภาคทางธรรมนี้สำคัญมาก เวลาภิกษุประพฤติปฏิบัติไปสิ้นกิเลสนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “เหมือนเรา เหมือนเรา เหมือนเราเลย” เห็นไหม จะทุกข์จนเข็ญใจขนาดไหน มันทุกข์จนเข็ญใจมาจากเปลือกภายนอก มาจากอำนาจวาสนาจากภายนอก แต่หัวใจที่เกิดขึ้นมา ความเป็นภวาสวะ ภพของใจ แล้วภาระ ภาวะของจิตที่มันวิปัสสนาขึ้นมา มันรองรับสถานะ เห็นไหม

ทรัพย์จากภายนอก-ทรัพย์จากภายใน ทรัพย์ที่มีคุณค่าเขาเก็บไว้ในตู้เซฟของเขา เขาเก็บรักษาของเขาไว้ดี แล้วทรัพย์จากภายใน อริยทรัพย์จากภายในมันอยู่ที่ไหน? มันก็อยู่ที่ดวงจิตที่ผ่องแผ้ว ดวงจิตที่สมควรจะได้รับสถานะแบบนั้น ถ้าดวงจิตที่ผ่องแผ้ว เห็นไหม สิ่งนี้เสมอกันๆ อริยทรัพย์จากภายในนี้ใครเห็น สิ่งที่มันคงที่อันนี้ใครเห็นล่ะ

ถ้าไม่มีสิ่งที่คงที่ ไม่มีแก่นของศาสนา ไม่มีใจพระอรหันต์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้ มันจะมองเป็นโลกๆ หมดเลย โลกจะกลืนกินหมด โลกจะลากไปหมดเลย ความเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนไปเพื่อความเจริญรุ่งเรือง เปลี่ยนแปลงเพื่อทรัพยากร เพื่อลูกหลาน ความเปลี่ยนแปลงของโลก โลกดักหน้าไว้หมดแล้ว เห็นไหม นี่คือความเปลี่ยนแปลง ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมในศาสนาพุทธ นี่อนิจจัง โลกนี้เป็นอนิจจัง สิ่งนี้เข้ากับศาสนาพุทธได้ ศาสนาพุทธสอนแต่เรื่องโลกๆ นั่นเป็นความเห็นของโลก โลกเปลี่ยนแปลงอย่างนั้นก็เปลี่ยนแปลงโดยบุญโดยกรรม สภาวกรรม สภาคะ การเกิดร่วมโลก การเกิดร่วมกัน การเกิดร่วมกับผู้มีบุญกุศล การเกิดร่วมกับผู้มีบาปอกุศล สิ่งนี้มันเป็นเรื่องโลกๆ ทั้งหมดเลย แต่มันอยู่ที่เชาวน์ปัญญาไง เชาวน์ปัญญาของใครที่จะเห็นโทษ

ถ้าเราเห็นโทษ เราจะทำไหม สิ่งที่เป็นโทษเราไม่ทำ เพราะอะไร เพราะถ้าทำแล้วมันเป็นผลของเรา การกระทำเกิดขึ้นมา ในเมื่อมีกระทำ กรรมมันเกิด สิ่งที่เกิด เกิดจากไหนล่ะ? เกิดจากกิเลส เกิดจากทิฏฐิความเห็นผิดแล้วกระทำ ทำออกไปแล้วเป็นกรรม แล้วกรรมมันมาจากไหน? กรรมมันก็ย้อนกลับมาที่ใจดวงที่กระทำไง มันเหมือนบูมเมอแรงที่เหวี่ยงออกไป แล้วมันก็ย้อนกลับมาที่ใจเรา เราทำดีทำชั่วมันจะย้อนกลับมาหมดเลย แล้วควรทำไหม ควรทำสิ่งที่ดีไหม ถ้ามันทำสิ่งที่เป็นประโยชน์กับเรานะ มันสะเทือนหัวใจนะ

ดูสิ เราเกิดมา เราประพฤติปฏิบัติกัน สมาธิก็ไม่เหมือนกันนะ คนทำสมาธิง่ายก็มี คนทำสมาธิยากก็มี คนทำสมาธิแล้วไม่ได้ผลประโยชน์ขึ้นมา จะใช้ปัญญาอบรมสมาธิก็มี เราเกิดมา กำลังเราไม่เท่ากัน แม้แต่การประพฤติปฏิบัติ กำลังเราไม่เท่ากันตั้งแต่โลกๆ นะ คนมีสถานะสูง-สถานะต่ำ เราก็มองกันแต่ความเป็นไปจากข้างนอก แต่ทำไมไม่มองจากหัวใจล่ะ หัวใจที่เขามีเมตตา เห็นไหม คนที่สถานะเขาต่ำ แต่เขามีเมตตามาก เพราะสถานะเขาต่ำ เขาต้องแบกรับภาระของเขา เขายังมีน้ำใจกับสังคม เขายังมีน้ำใจกับคนอื่น เห็นไหม ไอ้คนที่มีกำลังมากเขาไม่จุนเจือสังคม นี่เขามีสถานะทางโลก แต่หัวใจเขาต่ำ

แต่คนที่มีหัวใจต่ำ-หัวใจสูงมันอยู่ตรงนี้ต่างหากล่ะ มันอยู่ที่คุณภาพ แล้วสิ่งนี้เอาอะไรวัด เพราะอะไร เพราะโลกมีแต่การสร้างภาพนะ โลกมีแต่การหลอกลวง เวลาเราจะทำบุญกุศลกันเรายังไม่กล้าทำเลย เพราะเราไม่รู้ว่าเราจะเป็นเหยื่อใครบ้าง เราไม่กล้าทำนะ ทำออกไปนี่เขามาหลอกลวงเราไหม แล้วความเห็นของโลกๆ ก็อีกอย่างหนึ่ง เขาก็เห็นว่าโลก สิ่งนี้เป็นประโยชน์...ประโยชน์โลกๆ เราก็ติดข้องกันในโลก

แต่ถ้าติดประโยชน์กับธรรมล่ะ โลกเราก็ทำ ทำเท่าที่เป็นความจำเป็น แต่ธรรมล่ะ ธรรมก็คือนั่งภาวนานี่ไง ธรรมก็นั่งสมาธิ มันต้องชักสมบัติมาจากไหน มันก็มีกายกับใจนี้ เห็นไหม บูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยร่างกายเลย นั่งขัดสมาธิบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยหัวใจ ทั้งจิตใจและร่างกายยกบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นตถาคต ถ้าเห็นตถาคตก็เห็นหัวใจของเรา นี่เราบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยความรู้สึกทั้งหมดเลย ด้วยหัวใจ

นี่การสร้างภาพกัน กราบพระกัน กราบพระไม่ถึงพระนะ เวลากราบพระ กราบพระแล้วได้อะไร กราบพระทำไม นี่มันลอกแลกๆ อยู่ในหัวใจไง

แต่ถ้าบูชาทั้งกายและใจ มันกราบพระ กราบจากหัวใจ ใจระลึกถึงคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อสัตว์ขนสัตว์ รื้อค้นธรรมที่เสถียรในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นมา ไม่มีการเผยแผ่ธรรมมาจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พวกเราจะมานั่งกันอยู่นี่ไหม พวกเราจะมีที่พึ่งที่อาศัยกันไหม จะมีวัฒนธรรมของพุทธรองรับธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม ทานทำอย่างไร ศีลรักษากันอย่างไร ประพฤติปฏิบัติกันอย่างไร มรรคญาณเกิดอย่างไร ธรรมจักรเกิดจากใจ เกิดอย่างไร

สิ่งนี้ถ้าเรามีวัฒนธรรมของพุทธ มีวัฒนธรรมหัวใจของเรา มันจะไปรองรับธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วพอประพฤติปฏิบัติเข้ามามันก็เสถียร เสถียรเข้ามาในหัวใจ สิ่งที่เสถียรคือความรู้สึกเท่านั้น คือหัวใจเท่านั้น วัตถุเสถียรไม่มี ไม่มี วิทยาศาสตร์เสถียรไม่มี โลกนี้เสถียรไม่มี วัฏฏะก็วนไปสภาวะแบบนั้น แล้วสิ่งที่มันเป็นสมมุติ สิ่งที่มันเคลื่อนไหว สิ่งที่มันอยู่ในหัวใจของเรามันมีประโยชน์อย่างนั้น เราถึงมีคุณค่าไง คุณค่าของมนุษย์ ชีวิตนี้สำคัญที่สุดนะ หัวใจ ลมหายใจเข้าและลมหายใจออก ความรู้สึกที่มันอยู่กับเรา สิ่งนี้สำคัญที่สุดเลย เห็นไหม

ถ้าเราภาวนาอยู่นะ ดูสิ พระสมัยพุทธกาลสำเร็จท่ามกลางปากเสือนะ เสือเริ่มกัดเท้า วิปัสสนาไปเรื่อย ถ้าเราโดนกัดเท้าเราก็คงตีโพยตีพายไปแล้ว แต่ปัญญาของท่านกำลังหมุนอยู่ นี่เสือเริ่มกินเริ่มกัดเท้าเข้าไป กินเข้าไปจนถึงเอวนะ คิดดูสิ ระหว่างเท้าจนถึงเอว เสือมันกัดเป็นท่อนๆ แล้วเคี้ยวกินเข้าไป เราจะเจ็บปวดขนาดไหน แต่ท่านทำสำเร็จท่ามกลางปากเสือนะ นี่อยู่ในพระไตรปิฎก

ขณะที่เราแก่เราเฒ่าขนาดไหน ถ้าเราวิปัสสนาของเรา โอกาสมันมีทั้งนั้นนะ พระอรหันต์ที่เป็นนักรบกำลังเมาเหล้า เมามหาศาลเลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่านี่พระอรหันต์ เขาหัวเราะเยาะกันนะ

ขณะเมาเหล้าเพราะไปรบทัพจับศึกกลับมา มีชัยชนะกลับมา กษัตริย์ให้รางวัล ให้เป็นกษัตริย์ ๗ วัน โอ๋ย! เพลิดเพลินในชีวิตของกษัตริย์มาก สุดท้ายแล้วภรรยาตายต่อหน้า ความสะเทือนใจเดี๋ยวนั้น มันย้อนกลับเข้ามาเดี๋ยวนั้นเลย เป็นพระอรหันต์ขึ้นมาเดี๋ยวนั้นเลย เห็นไหม

ขณะที่มันจะเป็น มันถึงเวลาของมัน ผลไม้สุกงอมแล้วมันก็เป็นได้ ขณะที่เราประพฤติปฏิบัติมันจะทุกข์ยากขนาดไหน ถ้ามันยังไม่ถึงกาลไม่ถึงเวลา เราก็ต้องมีความมุมานะ เพราะเราเห็นโทษ ไม่ใช่รอให้เราเจ็บไข้ได้ป่วย รอให้เราเป็นขนาดนั้น เราถึงจะมาเป็นพระอรหันต์ท่ามกลางปากเสืออย่างนั้น เพราะเราไม่ใช่คนประมาทอย่างนั้น เราเป็นคนมีสติ เห็นไหม

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝากธรรมไว้ เป็นปัจฉิมโอวาทเลย “ภิกษุทั้งหลาย เธอจงพิจารณาสังขารด้วยความไม่ประมาทเถิด โลกนี้จะไม่ว่างจากพระอรหันต์เลย” เห็นไหม ความประมาท องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ให้ยึดไม่ให้ถือ อย่าเข้าไปใกล้มันเลย ออกห่างมันที่สุด มันต้องตื่นอยู่ตลอดเวลา

“ภิกษุเป็นผู้ขอ” โลกเขาว่ากันว่าภิกษุเป็นผู้ขอ จะขอสมบัติเขาสิ ขอทุกอย่างเลย แต่ในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ภิกษุเป็นผู้เห็นภัยในวัฏสงสารต่างหากล่ะ ถ้าเป็นผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร สิ่งที่ได้มามันก็ดำรงชีวิตเพื่อการประพฤติปฏิบัติเท่านั้น มันเป็นอาหารที่ดำรงชีวิตนี้เพื่อประพฤติปฏิบัติ นี่เห็นภัย เห็นภัย

“ภิกษุเป็นผู้ขอ” แล้วเรียกร้องสิทธิจะขอเขาอย่างเดียวหรือ ขอเขาเพื่ออะไรล่ะ เราเป็นชาวพุทธ วัฒนธรรมของพุทธ ทำบุญกุศลแล้วได้บุญกุศล เห็นพระมาก็ตักบาตร ให้อาหารเลี้ยงชีพ ปัจจัยเครื่องอาศัย ถ้าอย่างนั้นภิกษุเป็นผู้ขอก็ต้องขอตลอดไป

มันเป็นวัฒนธรรมพุทธ เพราะว่าผู้ให้เขาก็ทำบุญกุศลของเขา ไอ้ผู้ดำรงชีวิตก็ดำรงชีวิตขึ้นมาเพื่อจะรื้อพุทธะขึ้นมาในหัวใจ ให้รื้อพุทธะ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ขึ้นมาจากหัวใจ ถ้าได้ขึ้นมามันก็เป็นสภาวธรรม นี่ถ้าเป็นสภาวธรรม

มันก็เหมือนหมอ หมอก็ให้วิชาการ ให้ธรรม เวลาให้ธรรมไป เตือนสติให้เราตื่นตัว ให้เราไม่จมอยู่กับชีวิต ชีวิตสมมุติ ชีวิตของสิ่งที่มันแปรสภาพอย่างนี้ แล้วก็ไม่ให้เอาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเสริมมัน มาเสริมให้กิเลสมันอ้วน

สิ่งนี้จะส่งเสริมกัน เห็นไหม บริษัท ๔ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝากธรรมไว้ “เมื่อใด ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา สามารถกล่าวแก้คำจาบจ้วงได้ มารเอย อีก ๓ เดือนข้างหน้าเราจะปรินิพพาน”

แต่เดิมมาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ยอมเลย มารดลใจตลอด มาร เห็นไหม มารมาจากไหน? มารก็มาจากสิ่งที่มันครอบคลุมหัวใจของสัตว์โลกนี้ มารมาจากไหน? มาจากดวงใจดวงนั้น แล้วเวลามันมา เวลาเป็นบุคลาธิษฐาน เขียนเป็นรูปยักษ์มาร เห็นไหม มารก็คือสิ่งที่มันครองใจสัตว์โลก แล้วที่มันพ้นไปจากสัตว์โลก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์แล้ว มารมันยังมีอยู่อีกหรือ

มารไม่มีอยู่หรอก แต่ความรู้สึกมันมี มันเกิดได้ไง เพราะอะไร เพราะสอุปาทิเสสนิพพาน ยังมีชีวิตอยู่ เห็นไหม ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังระลึกถึงพระเจ้าสุทโธทนะ ทำไมครูบาอาจารย์ยังคิดถึงสัตว์โลก เมตตาสัตว์ รื้อสัตว์ขนสัตว์ สิ่งที่ทำเพราะสอุปาทิเสสนิพพาน เห็นไหม เราเกิดมาจากครรภ์ของมารดา เราเกิดมาเป็นมนุษย์ก็มีสายบุญสายกรรม นี่เศษส่วนอันนี้ สอุปาทิเสสนิพพาน

พระอรหันต์ที่สิ้นชีวิตแล้ว อนุปาทิเสสนิพพาน หมด มารหาไม่เจอ พระอรหันต์สิ้นชีวิตไปแล้ว แล้วมารค้นหาใหญ่เลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “เธออย่าค้นเลย เธอค้นหาจิตของลูกศิษย์เราไม่เจอ”

แต่ขณะสอุปาทิเสสนิพพาน มันเห็นโต้งๆ อยู่นี่ไง เวลาพระโมคคัลลานะโดนเขาทุบตาย เห็นไหม พระอรหันต์ทำไมโดนเขาทุบตายล่ะ? เพราะกรรม สิ่งที่ว่ากรรม กรรมของใคร? กรรมของร่างกาย ไม่ใช่กรรมของหัวใจนั้น เพราะเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาแล้วมันจะเข้าถึงใจดวงนั้นไม่ได้เลย เพราะสิ่งนั้นสถิตคงที่อยู่ในหัวใจนั้น มันจะไม่แปรสภาพ

ดูสิ เวลาฌานโลกีย์ของเขา เขาเหาะเหินเดินฟ้าได้ขนาดไหน เขาเห็นอะไรกระทบใจเขายังเสื่อมหมดเลย แต่ธรรมพระอรหันต์ไม่มีวันเสื่อม มันเสถียรคงที่ตลอดไป แม้ทุบทำลายขนาดไหนมันก็ไม่มีการสะเทือนทั้งนั้น แล้วยังรวบออกมาเอาร่างกายนี้ด้วยฤทธิ์ ให้ร่างกายนี้รวมเข้ามาเป็นปกติ แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “สมควรแก่เวลาของเธอเถิด” เพราะพระอรหันต์กับพระอรหันต์คุยกัน พระอรหันต์จะรู้ความรู้สึก ความเสถียรของใจคงที่ มันไม่สะเทือนกับโลกเขา มันพ้นไปจากโลก พ้นไปจากวัฏฏะ เห็นไหม

เรื่องของวัฏฏะ เรื่องของโลก เขามีความเสียใจ เขามีความห่วงหาอาวรณ์กัน ลูบหน้าลูบหลังนะ โอ้โลมปฏิโลมกันอยู่อย่างนั้น...โลกๆ ทั้งนั้น พึ่งกันไม่ได้เลย พึ่งไม่ได้หรอก เพราะมันไม่เป็นความจริง ความจริงคือเป็นไปตามกรรม กรรมในหัวใจมีอยู่ มันขับเคลื่อนไปตามกรรม แล้วเราทำกรรมดีกันอยู่นี่ วิปัสสนานี่คือสุดยอดของกรรม เพราะเรื่องของกรรมจะแก้กรรมได้โดยวิปัสสนาญาณนี้เท่านั้น เพราะอะไร เพราะกรรมพาตายพาเกิด แล้ววิปัสสนาเข้าไปตัด ทำลายกรรมหมด สิ้นสุดของกรรม กรรมตามไม่ทัน ตามหัวใจไม่ทันนะ

ตามหัวใจไม่ทัน แต่ตามร่างกาย เห็นไหม ดูสิ ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังมีหมอชีวกเป็นหมอประจำตัวล่ะ ในเมื่อเราบริหารจัดการร่างกายให้เป็นประโยชน์กับโลก ในเมื่อเรายังเคลื่อนไหวได้อยู่เป็นประโยชน์กับโลก แต่ถ้าเราทำอะไรไม่ได้ มันเป็นประโยชน์กับโลกไหม

นี่สมมุติกับวิมุตติ ในเมื่อค่าของความเสถียร ค่าของการเปลี่ยนแปลงมันมีมาอยู่ตลอด แต่ใครเห็นประโยชน์ตรงไหน ใครเห็นประโยชน์ของมัน ค่าความเสถียรในใจมันมี มีจริงๆ มีจริงๆ ต่อเมื่อปฏิบัติจริงๆ แต่ถ้าค่าความเสถียรในหัวใจที่มันเป็นโลกๆ มันเสถียรไม่ได้ มันจะสถิตขนาดไหน มันจะดีขนาดไหน มันเสถียรไม่ได้หรอก มันแปรสภาพ ถ้าแปรสภาพอย่างนั้นมันก็เป็นเรื่องของโลก เห็นไหม

โลกจากภายนอก-โลกจากภายใน ภายนอกคือเรื่องของวัตถุนิยม เรื่องของความเป็นไปของโลก ภายในคืออาการของใจ คือตัวใจ คือตัวใจที่ตัวมันเป็น เห็นไหม โลกนอกเป็นอย่างนั้นนะ โลกในเป็นสมบัติของส่วนบุคคล สมบัติของใจของเรา เรารักษาของเราขึ้นมาขนาดไหน มันจะเป็นสมบัติของเรา ถ้าสมบัติของเราดีขึ้นมา เรารักษาสมบัติของเรา เห็นไหม สิ่งนี้มันมาจากไหนล่ะ? มันมาจากกรรมดี กรรมดีเพราะอะไร เพราะ อเสวนา จ พาลานํ เราจะไม่คบคนพาล

คนพาลจากข้างนอกเขาต้องจูงเราไป แต่ถ้าคนพาลจากภายใน ความคิดที่เป็นโลกๆ นี่เป็นพาล ความคิดที่เป็นบัณฑิต คิดเสียสละ เห็นไหม เสียสละเวลาของเรา เสียสละเวลามาเพื่อหาความจริง เพื่อให้ใจคงที่ เพื่อความสงบของใจ เห็นไหม เราเสียสละ เราทิ้งจากเรื่องโลกเข้ามา เราคบบัณฑิต เราไม่คบคนพาล แล้วถ้าใจคบบัณฑิตขึ้นมา คบความคิด คบปัญญา ปัญญาที่มันพาให้เราบุกเบิกมา มันจะบุกเบิกนะ บุกเบิกให้เราไปเจอความจริง เพราะปัญญาอย่างนี้มันเป็นปัญญาจากตัวตน ปัญญาจากโลก แล้วถ้าภาวนามยปัญญามันเกิดขึ้นมานะ เราจะเคารพธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามหาศาลเลย

สุตมยปัญญา ปริยัติ เขาศึกษาเล่าเรียนกันมา จินตมยปัญญา จินตนาการคาดหมายกันอย่างนั้น มันเป็นระหว่าง แต่ถ้าเป็นภาวนามยปัญญาเกิดขึ้นมานะ มันเป็นความจริงของใจแต่ละดวง เห็นไหม ขิปปาภิญญา เกิดขึ้นหนเดียว ขาด พอขาดขึ้นมามันมีค่าเสถียรคงที่ แค่นั้น แต่ถ้ามันไม่ขาด วิปัสสนาไปมันปล่อยวางชั่วคราวๆ เป็นตทังคปหาน ถึงจะต้องทำซ้ำทำซากๆ สิ่งนี้มันเป็นความจริงทั้งหมดนะ ถ้ามันเป็นความจริงทั้งหมด มันเกิดที่ไหน? มันเกิดโดยภวาสวะ ฐานของจิต ถ้าจิตดวงใดเห็นสภาวะแบบนี้ จิตดวงนั้นเห็นการกระทำอย่างนี้ จิตดวงนั้นเป็นผู้รู้ขึ้นมาเอง จิตดวงนั้นทำลายขึ้นมาเอง แล้วมันเสถียรเป็นชั้นเป็นตอนเข้ามา สิ่งนี้มันเกิดขึ้นมาจากไหน? มันเกิดขึ้นมาจากที่มันมีร่องมีรอยกันมานะ

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมและวินัยนี้ไว้ มันเป็นสุตมยปัญญา ปัญญาที่เกิดจากการศึกษาเล่าเรียนมาทั้งหมด ครูบาอาจารย์ของเราพยายามจะบุกเบิก บุกเบิกเข้ามาขนาดไหน ดูสิ มันมีแต่ภาคทฤษฎี “ปริยัติ ปฏิบัติ” ปฏิบัติเป็นการลองผิดลองถูก แล้วพอภาคปฏิบัติมันมีปฏิบัติผิดและปฏิบัติถูกอยู่เหมือนกัน ถ้าปฏิบัติผิด มันเป็นครูเป็นอาจารย์ เป็นประสบการณ์ไง คนที่ปฏิบัติแล้วถูกต้องขึ้นมาเลย มันเอามาจากไหนล่ะ มันก็มีปฏิบัติผิดและปฏิบัติถูก

ในการประพฤติปฏิบัติเราถึงให้เปิดกว้าง เปิดกว้างให้ลองผิดลองถูกไป จนกว่าเขาจะเข้าใจตัวของเขาขึ้นมา ถ้าเข้าใจตัวของเขาขึ้นมา นี่สันทิฏฐิโก เพราะใจมันรู้เอง ใจผิดก็รู้ว่าผิด ใจถูกก็รู้ว่าถูก แค่ใจมันผิดแล้วมันรู้ว่าถูก ถ้ามันคิดว่าถูกแล้วไม่ยอมเปลี่ยนแปลง ก็กรรมของสัตว์ แต่ถ้าใจมันผิดแล้วผิดไปก่อน ถ้าไม่มีสิ่งที่เป็นความถูกมาพิสูจน์กัน

แต่ขณะที่ประพฤติปฏิบัติไปแล้วมันถูกขึ้นมา มันจะเห็นค่าเลยว่าผิดและถูกต่างกันอย่างไร เหมือนมืดกับสว่าง เวลามืด มืดปกติเลย ถ้ามันมีความสว่างขึ้นมา เราจะเห็นแสงขึ้นมา เห็นไหม ความสว่างอย่างนี้มันจะเป็นความจริงขึ้นมา นี่ลองผิดลองถูกในภาคปริยัติ ในภาคปฏิบัติ ปฏิบัติความจริงขึ้นมา แล้วถ้าปฏิบัติขึ้นมาเป็นโอกาสของเรา เป็นประสบการณ์ของเรา เป็นประสบการณ์นะ ประสบการณ์ของจิตมันค้นคว้าได้ยาก

ดูสิ ทางโลกเขานะ เขามีการท่องเที่ยวกันที่ไหน แหล่งที่ไหน ปัจจุบันนี้เขาขายบัตรไปเที่ยวดวงจันทร์กันแล้วนะ เห็นไหม ถ้ามีเงินในโลก เขาพาไปได้นะ ปัจจุบันนี้เขากำลังพาท่องเที่ยวถึงดวงจันทร์

แต่ของเราจะท่องเที่ยวในหัวใจของเรา เราจะท่องเที่ยว เราจะมีประสบการณ์จริงในใจของเรา ไม่ต้องเสียเงินไม่ต้องเสียทอง มีสติสัมปชัญญะแล้วย้อนกลับมาในใจของเรา ทวนกระแสเข้าไปชำระปฏิสนธิจิตนี้ไม่ให้ไปเกิดอีก ไม่ให้ปฏิสนธิจิตตัวที่พาตายพาเกิดมันเกิดอีก ให้มันเสถียรคงที่ จบสิ้นเดี๋ยวนี้ เอวัง