เทศน์พระ

หมาตาย

๕ ก.ย. ๒๕๖o

 

หมาตาย
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๕กันยายน ๒๕๖๐
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เอาล่ะ ตั้งใจฟังธรรมะแล้ว ธรรมะเป็นของกลาง ธรรมะเหมือนแสงสว่าง ธรรมะเห็นไหม พลังงานน่ะ ดวงอาทิตย์ เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าเวลาสัจธรรมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเปรียบเหมือนแสงตะวัน ไม่ลำเอียงทั้งบ้านคนรวยและบ้านคนจน ในสังคมในโลกธาตุนี้ให้กระแสพลังงาน ให้แสงสว่างเหมือนกันหมดเลย เพียงแต่ว่าประชาชนหรือว่าชาวบ้านนั้นเป็นผู้ฉลาดหรือเป็นผู้ที่โง่เขลา ถ้าเป็นผู้โง่เขลาเขาไม่ได้สิ่งใดเลย ถ้าเขาเป็นผู้ที่ฉลาดเขาจะเก็บใช้สอยได้ประโยชน์เขามหาศาล เห็นไหม ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นสาธารณะ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสิ่งที่ค้นคว้ามาประเสริฐมีคุณค่ามาก 

นี่เวลาหลวงตาท่านพูดไง คนถ้าไม่มีอำนาจวาสนาจะไม่มีโอกาสได้นับถือพุทธศาสนา คนที่ได้นับถือพุทธศาสนาเป็นคนที่มีบุญมาก มีบุญมากๆ มีบุญมากๆ เพราะอะไร เพราะคนเกิดมาเกิดมาในวัฏฏะ เกิดมาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะเห็นไหม ด้วยอวิชชาปิดบังหัวใจมา พอปิดบังหัวใจมาเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพุทธศาสนา พระพุทธศาสนานี่มันจะโง่เง่าเต่าตุ่นขนาดไหน พระพุทธศาสนามันก็มีประเพณีวัฒนธรรม ถ้าประเพณีวัฒนธรรมเห็นไหม เราก็ได้อยู่ในประเพณีวัฒนธรรมนั้น ถ้าได้อยู่ในประเพณีวัฒนธรรมนั้นเห็นไหม ผู้ใดเห็นภัยในวัฏสงสาร ทิ้งความเป็นฆราวาส ทิ้งความเป็นมนุษย์ที่ว่าทางโลกเขาเห็นไหม 

เวลาเราจะบวชเห็นไหม เพื่อนๆ บอกเลย กูไม่เชื่อหรอก ว่าคุณไปฉันมื้อเดียวจะมีความสุขน่ะ กูน่ะกินห้ามื้อสิบมื้อ กูถึงมีความสุขเว้ย เวลาเขาพูดกันนะ เขาพยายามกีดขวาง เขาจะไม่ยอมให้เรามาประพฤติปฏิบัติไง เขาจะให้ติดอยู่ในโลกนั้นไง โลกเขามีความสุขกัน โลกเขาน่ะอยู่ในกามคุณ ๕ๆ รูปรสกลิ่นเสียงเป็นคุณน่ะ เป็นกามคุณของเขา เป็นคุณๆ เพราะอะไร เป็นคุณเพราะว่าเขาอาศัยสิ่งนั้นดำรงชีพไง เห็นไหม ดูสิ เสียงก็เป็นอาชีพได้ นี่ทุกอย่างเป็นอาชีพได้ทั้งนั้นน่ะ สิ่งที่เขาทำอาชีพ อาชีพของเขา นั่นน่ะเป็นกามคุณ ๕

เราละทิ้งสิ่งนั้นมา เกิดเป็นมนุษย์ ถ้าไม่มีอำนาจวาสนาไม่มีโอกาสได้นับถือพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาน่ะมีคุณค่ามากๆ มีคุณค่ามากเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม เป็นพระโพธิสัตว์ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย สร้างบุญญาธิการขนาดนั้นมาๆ เวลาเป็นเทวดามาจุติเป็นเจ้าชายสิทธัตถะเห็นไหมนี่มาประพฤติปฏิบัติอยู่ นั่นน่ะๆ นั่นน่ะแสวงหาสัจธรรมๆ เวลาบรรลุธรรมขึ้นมาเห็นไหม เสวยวิมุตติสุข 

มันมีที่ไหน ในสามแดนโลกธาตุ ไม่มีหรอก มันมีในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อน พอมีในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไปเทศน์ธรรมจักรเห็นไหม พระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรม พระปัญจวัคคีย์เป็นพระอรหันต์ ยสะเป็นพระอรหันต์ ชฎิลสามพี่น้องเป็นพระอรหันต์ สิ่งที่เป็นพระอรหันต์ๆ น่ะเป็นการยืนยันไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสวยวิมุตติสุขยืนยันถึงสัจธรรมอันนั้น แล้วเวลาเทศนาว่าการไปนี่ พวกที่เป็นเดียรถีย์นิครนถ์เขาเป็นเจ้าลัทธินะ เขามีอำนาจวาสนาเหมือนกันนะ ถ้าเขาไม่มีสัจจะความจริงในหัวใจ เขาจะยอมรับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ยังไง สิ่งที่เขายอมรับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพราะว่าความจริงในใจของเขาไง ถ้าความจริงในใจของเขา วิมุตติสุขอันนั้นไง ถ้าวิมุตติสุขอันนั้นน่ะ แสวงหาอันนั้นน่ะ สัทธรรมอันนั้นไง 

เราเห็นภัยในวัฏสงสาร เรามาบวชเป็นพระ แล้วบวชเป็นพระแล้วละทิ้งสิ่งนั้นแล้วน่ะ รูปรสกลิ่นเสียงเป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมารน่ะ เราละทิ้งอันนั้นมาเพื่อมาแสวงหาสัจธรรม ถ้าแสวงหาสัจธรรมมันอยู่ที่การกระทำของเราไง ศีลสมาธิปัญญามันเกิดที่หัวใจนี้ไง ถ้าศีลสมาธิปัญญามันเกิดที่หัวใจนี้ การประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริงของเราขึ้นมานี่มันถึงจะเป็นความจริงขึ้นมาไง มันไม่ได้อยู่ที่หมู่คณะหรอก หมู่คณะเป็นที่อาศัยไง 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ให้ใครปกครองสงฆ์ ให้สงฆ์ปกครองกันเองๆ ถ้าสงฆ์ปกครองกันเอง ในหมู่คณะนั้นก็อาศัยในสังฆะ ในสงฆ์นั้น เราก็อาศัยสิ่งนั้นอยู่อาศัยไง อยู่อาศัยขึ้นมา เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันต้องเกิดขึ้นในหัวใจของเราไง มันไม่เกิดขึ้นท่ามกลางสงฆ์หรอก สงฆ์เป็นสังคม สงฆ์ก็เป็นสงฆ์ แต่มรรคผลจะเกิดที่หัวใจเรานี่ไง ถ้ามันเกิดที่หัวใจเรานี่ เราทำที่หัวใจเรานี่ไง ทำไมเราไพล่ไปจับผิดคนอื่นน่ะ ไปจ้ำจี้จ้ำไชคนอื่นน่ะ แล้วมรรคผลจะเกิดที่นั่นใช่ไหม มรรคผลไม่เกิดที่หัวใจเราใช่ไหม 

ถ้ามรรคผลจะเกิดที่หัวใจเรา เราต้องทำที่นี่ไง แต่เรามาอาศัยหมู่คณะเขาอยู่ ถ้าอาศัยหมู่คณะเขาอยู่น่ะ เราจะไปจ้ำจี้จ้ำไขเขาได้ยังไง มันเป็นสิทธิ์ของทุกๆ คนน่ะ สังฆะ นี่สังฆะเห็นไหม สังฆะนี่การบวช บวชมาศีลเสมอกัน มีใครสูงกว่าใคร มีใครต่ำกว่าใคร มีใครด้อยกว่าใคร ถ้ามีด้อยกว่าลงอุโบสถสามัคคีไม่ได้ จะลงอุโบสถไม่ได้ เป็นโมฆะหมดเลย มันต้องเสมอกัน สงฆ์เสมอกัน เสมอกันแล้วเอ็งไปจ้ำจี้จ้ำไชเขาได้ยังไง ไม่มีสิทธิ์ ไม่มีสิทธิ์ สิทธิของเขาก็มี บอกเขาทนไม่ได้ ทนอะไร เขาต้องบวชมาทนเหรอ ใครบวชมาเพื่อทนการเหยียบย่ำ ไม่มี เขาบวชมาเพื่อจะแก้กิเลสของเขา 

นี่แก้กิเลสของเขา เวลาการกระทำไง ถ้าจะทำ ต้องทำคุณงามความดีของเรา ทำคุณงามความดีของเรา เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพุทธศาสนา ศาสนามีคุณค่า คุณค่าในการประพฤติปฏิบัติ ถ้าความเป็นความจริงเขาขึ้นมา ไม่ใช่ว่า นี่ไง เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเห็นไหม เราเป็นสาวกสาวกะ เราเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส นี่ห่มผ้าชัยพระอรหันต์ ห่มธงชัยพระอรหันต์ไง ผ้ากาสาวพัสตร์นี่ธงชัยพระอรหันต์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ห่มผ้าแบบนี้ พระสารีบุตรพระโมคคัลลานะก็ห่มผ้าแบบนี้ เราก็ได้ห่มผ้าแบบนี้ 

นี่มันเป็นเปลือกไง มันเป็นเปลือก สมมติสงฆ์ บวชมาโดยสมบูรณ์ในความเป็นพระโดยอุปัชฌาย์อาจารย์ ถ้าบวชมาแล้ว บวชโดยอุปัชฌาย์อาจารย์น่ะ เขาบวชมาทำไม เวลาบวชนี่ อุปัชฌาย์บอกอะไร เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ รุกขมูลเสนาสนัง อุปัชฌาย์บอกว่าไปขูดรีดเอาความดีจากสงฆ์เหรอ ไม่มี อุปัชฌาย์บอกอะไร อุปัชฌาย์สั่งให้ทำอะไร แล้วพระมีหน้าที่อะไร ถ้าพระมีหน้าที่พระก็ทำไปสิ พระนี่ก็ทำเห็นไหม ถ้ามันฉลาด มันฉลาดมันก็ต้องแสวงหาคุณงามความดี แสวงหาความจริงสิ ไม่ใช่ไปทิ่มตำจะไปจ้ำจี้จ้ำไชคนอื่น ให้คนอื่นมายอมจำนนกับตน เอ็งมีศักยภาพอะไร เอ็งจ่ายเงินเดือนเขาเท่าไร เอ็งปกครองดูแลอะไรเขา เอ็งจะเอาอะไรจากเขา เอ็งต่างหากต้องทำเพื่อเขา ต้องทำเพื่อสงฆ์เพราะเอ็งอาศัยเขาอยู่

นี่ไง เวลาของสงฆ์เห็นไหม ของของสงฆ์เอาไปใช้ เวลาจะจากลา ไม่เก็บเองก็ดี ไม่ไหว้วานใครให้เก็บก็ดี เป็นอาบัติปาจิตตีย์ นี่มุ้งหมอนผ้าห่มทั้งหมดที่เอามาใช้น่ะ ของของสงฆ์ ของของสงฆ์เป็นของส่วนกลาง ของส่วนกลางเราเอามาใช้เราเอามาใช้สอย เวลาเราจะจากนั้นไป เราต้องซัก ต้องทำความสะอาด แล้วเก็บเข้าที่ ถ้าไม่มีเวลาจำเป็นเร่งด่วนก็ต้องไหว้วาน นี่ไง ไหว้วานหมู่คณะให้ซักให้เก็บให้ด้วย แล้วตัวเองไป ถ้าไม่ทำเป็นอาบัติปาจิตตีย์ นี่ไง ของของสงฆ์เราเอามาใช้เอามาสอย เอ็งจะมารีดนาทาเร้นเอาอะไรกับสงฆ์ แต่เอ็งน่ะ เอ็งชั่วเอ็งดีขนาดไหนเห็นไหม 

นี่ไง เวลาหลวงตาท่านพูด เวลาปฏิบัติโง่แบบหมาตาย เวลาปฏิบัตินะ เวลาจะสร้างคุณงามความดีโง่กว่าหมาตาย หมามันตายแล้วยังโง่กว่ามันอีก หมามันเป็นสิ่งมีชีวิตนะ หลวงตาท่านพูดว่าท่านจะมาจำพรรษาที่น้ำตกพลิ้ว มันมีหมาอยู่ ๒-๓ ตัว เจ้าของที่เขาเลี้ยงหมาไว้ หมานั้นชื่อไอ้ช้าง มันยังฉลาดนะ เวลาทางเดินจงกรมของครูบาอาจารย์ของพระมันไม่ก้าวข้าม เวลามันจะเดินมันเดินอ้อม หมามันเดินอ้อมเลยนะ ขนาดทางเดินจงกรมน่ะ หมามันยังเคารพน่ะ หมามันเคารพทางเดินจงกรมของครูบาอาจารย์ มันไม่ก้าวข้าม มันไม่กระโดดข้าม มันเดินอ้อม มันจะเดินไปน่ะมันเดินอ้อม พระเขาสังเกต เอ๊ะ ไอ้หมาพวกนี้ทำไมมันมีพฤติกรรมแปลกๆ

นั่นไง นั่นพฤติกรรมความดีของเขา พระไปจำพรรษาพระยังเห็นเลย เห็นว่าหมามันฉลาด หมามันยังรู้จักบุญจักคุณ หมามันยังรู้จักสิ่งกาลเทศะ สิ่งใดควรสิ่งใดไม่ควร ทางเดินจงกรมของครูบาอาจารย์มันยังไม่ก้าวข้ามเลย เดินไปเดินมามันจะเดินอ้อม เวลาหลวงตาท่านไปจำพรรษาที่น้ำตกพลิ้ว หมาของพี่สาวของหลวงปู่เจี๊ยะท่านเป็นคนสร้างวัด มันเดินอ้อมนะ อ้อมทางจงกรม มันไม่กล้าข้าม แล้วนี่เวลาแม่ชีแก้วจำพรรษาที่นั่นด้วย แม่ชีแก้วบอกไอ้ช้างมันจะตายคืนนี้แหละ ตายแล้วมันจะเกิดเป็นลูกเศรษฐีในกรุงเทพฯ นี่แม่ชีแก้วพูดไว้เลย นี่พูดถึงหมา หมามันยังฉลาด นี่มันสร้างคุณงามความดีของมันเห็นไหม เวลามันตายจากหมามันจะไปเกิดเป็นมนุษย์ เป็นลูกเศรษฐีในกรุงเทพฯ เลย นี่ระบุไว้หมดเลย นี่พูดถึงแม่ชีแก้วพูดไว้

นี่พูดถึงว่าหมา หมามันยังฉลาด หมามันยังสร้างคุณงามความดี นี่เกิดเป็นคนไง บอกเป็นสัตว์ประเสริฐไง ประเสริฐกว่าหมาไง แต่ทำลายวงการทำลายพระยิ่งกว่าหมา นี่ไง เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเห็นไหม นี่ไง บอกว่าเวลาปฏิบัติโง่ยิ่งกว่าหมาตาย นี่หมามีชีวิต หมามันยังรู้จักคุณงามความดี มันรู้จักกตัญญูกตเวที มันรู้จักเจ้าของมัน ใครให้อาหารมันกินนะมันซื่อสัตย์ มันกตัญญู นี่ไง หมามันยังคิดได้ 

นี่เกิดเป็นคน เกิดเป็นคน เกิดเห็นภัยในวัฏสงสารมาบวชเป็นพระ บวชเป็นพระเป็นผู้มีศีล ๒๒๗ นี่มีศีลมีธรรมนะ ต้องซื่อสัตย์นะ ต้องมีคุณธรรม ต้องซื่อสัตย์กับศีลไง ต้องมีสัจจะ เวลาครูบาอาจารย์ของเราเห็นไหม หลวงตาครูบาอาจารย์ของเราน่ะ เวลาท่านประพฤติปฏิบัติท่านมีสัจจะ ท่านมีสัจจะขึ้นมาเห็นไหม นั่งตลอดรุ่ง ตลอดรุ่ง ถือธุดงค์ ไม่ฉัน ๗ วัน ๗ วัน นี่ คนมีสัจจะมาทำอะไรมันถึงมีกำลังใจไง ถ้าคนไม่มีสัจจะจะทำอะไร ทำอะไรก็ไม่ได้ แล้วคนอื่นทำความดีก็ไปอิจฉาตาร้อนเขานะ เห็นเขาทำอะไรนิดหน่อยก็ขวางหูขวางตาไปหมดนะ จะต้องให้เขามาเดินตามตัวเอง ให้ชั่วเหมือนเราไง

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คนเกิดมามีขวานมาคนละเล่ม ทุกคนมีปาก แต่คนนั้นมีสติสัมปชัญญะ เขาจะพูดเขาจะอะไรน่ะ เขามีสติปัญญาของเขา พูดสิ่งใดแล้วกระทบกระเทือนใครน่ะเขาไม่อยากจะพูด ถ้ากระทบกระเทือนไง เวลาครูบาอาจารย์เห็นไหม เวลาตีวัวกระทบคราด เวลาเทศนาว่าการน่ะ มันเป็นเพราะประวัติหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นน่ะ เวลาท่านอยู่ถ้ำสาริกา ท่านเห็นเลยหลวงตานั่นน่ะ เห็นพระหลวงตา ท่านมีครอบครัว เวลากลางคืนคิดถึงแต่ครอบครัวๆ 

นี่ไง เช้าลงมาน่ะ ท่านจะไปโปรดไง "หลวงตา เมื่อคืนน่ะ แต่งงานกับเจ้าสาวคนเก่ากี่รอบ" แต่งงานกับอดีตภรรยาน่ะกี่ครั้ง คิดแล้วคิดอีกๆ อู๋ย เขาตกใจนะ พอเขาตกใจนะ รุ่งขึ้นลงไปบิณฑบาตเขาไปแล้ว หลวงปู่มั่นท่านสะเทือนใจมาก การเตือนนั้นการเตือนเพื่อให้เขาได้คิด ว่าเราบวชเป็นพระแล้ว อดีตภรรยาเขาก็อยู่ที่บ้านของเขา อดีตสีกานั่นน่ะ ไอ้บวชเป็นพระแล้วน่ะก็ต้องคุ้มครองดูแลหัวใจของตน เราเป็นภิกษุ เราไม่ใช่ฆราวาส ฉะนั้น หลวงปู่มั่นท่านเลยเตือนไง แต่งงานกับอดีตภรรยาคนเก่าน่ะกี่รอบ โอ้ ความรู้สึกน่ะท่านรู้หมดน่ะ 

นี่ไง เพราะคำเตือนอย่างนั้นน่ะ พอด้วยคำเตือนเตือนเพื่อประโยชน์ แต่เขาละอายกับใจ เขาบอกคนรู้หมดแล้ว รู้ความคิดของเขา นี่ไปอีกทีเขาหายไปแล้ว นั่นน่ะมันก็เลยกลายเป็นความสะเทือนใจของหลวงปู่มั่น ตั้งแต่บัดนั้นมาหลวงปู่มั่นท่านจะพูดเรื่องนี้ท่านถึงพูดตีวัวกระทบคราด พูดอ้อมๆ ให้เขาได้คิดไง พูดตรงเกินไปเขาก็กระเทือนใจ พูดตรงเกินไปที่จะแก้ไขให้คนเป็นคนดี มันก็เลยกลายเป็นคนหนี กลายเป็นคนที่มีความทุกข์ในใจ มีคนทิ่มแทงหัวใจ เขาพูดไปแล้วเพื่อประโยชน์มันก็จะเจ็บช้ำน้ำใจ 

แต่เวลาจะสั่งจะสอนเห็นไหม มันเลยต้องตีวัวกระทบคราดไง พูดอ้อมไปนะ ว่ามึงชั่วๆๆๆ แต่มันก็ยังจะชั่วอยู่อย่างนั้นน่ะ มันต้องยิงเข้าเป้าน่ะ ยิงเข้าเป้ามันก็ยังไม่ฟังน่ะ นี่ไง เวลาหลวงปู่มั่นท่านทำ ท่านทำของท่านอย่างนั้นน่ะ นี่ไง เวลาฉันน้ำร้อนน่ะ เทศน์ทุกวันพูดทุกวันน่ะ ก็พูดถึงความชั่วของพระๆ น่ะ ก็เตือนมึงนั่นแหละ เตือนพวกมึงนั่นแหละ มันเข้าหัวใจมั่งหรือเปล่า มึงโง่ยิ่งกว่าหมา 

เวลาหมาเห็นไหมน่ะ หลวงตาพูดถ้าจะสร้างคุณงามความดีน่ะโง่ยิ่งกว่าหมาตาย หมามันตายแล้ว มันยังโง่เง่าเต่าตุ่นยิ่งกว่าหมาตาย ไอ้หมาเป็นๆ มันยังฉลาด ไอ้ช้างน่ะ ทางจงกรมมันยังไม่ข้าม หมาดีๆ มันกตัญญูนะ มันเห็นเจ้าของนี่มันซื่อสัตย์ มันซื่อสัตย์ของมันไง นี่พูดถึงว่า เวลาทำความดีน่ะโง่ยิ่งกว่าหมาตาย แต่เวลาทำความชั่ว เวลาทำความชั่วนะ ความชั่วไม่มีใครต้องการหรอก เวลาเกิดภัยพิบัติ เวลาเกิดโรคระบาด เห็นไหม ตอนนี้ทางโลกน่ะเขาวิตกวิจารณ์ไข้หวัดใหญ่ เห็นไหม ไอ้ไข้หวัดนกนั่นน่ะ เขากลัวมาก มันจะระบาดจากสัตว์มาถึงมนุษย์ องค์การอนามัยโลกบอกเลย ถ้ามันระบาดขึ้นมาน่ะประชากรโลกจะตายเป็นร้อยๆ ล้านนะ เวลาโรคระบาดนะ เวลาไข้ระบาด นี่ไง เวลาเขาต้องปกป้อง เขาต้องคุ้มครอง เขาต้องดูแล 

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าความชั่ว ความชั่วไม่ต้องเอามาโชว์หรอก ไม่มีใครต้องการ อนามัยโลกเขาป้องกันเลย เขากลัวมันระบาดจากสัตว์มาถึงมนุษย์ แล้วจะติดต่อจากมนุษย์ไปมนุษย์ แล้วไอ้ความชั่วนั่นน่ะอยู่ในใจน่ะ เอามาป้ายเขาทำไม ความชั่วไม่ต้องเอามาโชว์ ความชั่วพยายามเก็บไว้ ความชั่วมันต้องมีสติปัญญา ยับยั้งมันไว้ อย่าให้มันออกมา กิเลสความชั่วไม่มีใครต้องการหรอก 

อนามัยโลก องค์การอนามัยโลกน่ะเขาป้องกันเลยนะ เขาต้องคิดค้นวัคซีนเห็นไหม โรคระบาดเกิดมาแต่ละครั้งมันมาจากสัตว์ สัตว์มันระบาดมาจากสัตว์ก่อน โรคนี้มันไม่ระบาดในมนุษย์ โรคติดต่อจากสัตว์จะไม่เข้าสู่มนุษย์ แต่เวลาเชื้อโรคมันแปลงพันธุ์ มันกลายพันธุ์ของมัน เห็นไหม มันกลายพันธุ์มันจะหนักหน้าไปนะ มันจะเข้าไปติดในมนุษย์ แล้วมนุษย์ก็ติดอยู่แค่นั้น เวลาระบาดเข้าแค่มนุษย์ มนุษย์อยู่คนเดียว ระหว่างมนุษย์ต่อมนุษย์มันจะไม่ติดต่อกัน แต่พอมันกลายพันธุ์ขึ้นไป ระหว่างมนุษย์มันก็จะติดต่อไประหว่างมนุษย์ นี่เวลาเชื้อโรค เวลาโรคภัยไข้เจ็บนี่ เห็นไหม เขาป้องกันๆ น่ะ แล้วกิเลสมันร้ายยิ่งกว่านี้อีกน่ะ

กิเลสในใจมึงน่ะมันเลวทรามมาก แล้วไม่ใช่เลวทรามเท่านั้นนะ เลวทรามจนทุกคนเอือมระอา เอือมระอาจนเขาเบือนหน้าหนี เอ็งไม่สำนึกตนเลยหรือวะ เอ็งไม่รู้เลยหรือวะว่ามันโรคระบาดที่องค์การอนามัยโลก เขาพยายามหาวัคซีนป้องกันกันอยู่น่ะ แล้วเอ็งเป็นมนุษย์ เอ็งเห็นภัย เอ็งเห็นความทุกข์ความยากในชีวิตเอ็งถึงมาบวชเป็นพระ แล้วบวชเป็นพระ ในสงฆ์เห็นไหม ในสงฆ์ข้อวัตรปฏิบัติของเขา สิ่งในวัดนี่ใครเป็นคนดูแลรักษา ไอ้ศาลาสะอาดๆ นี่ ใครเป็นคนถู ไอ้น้ำที่มึงใช้อยู่นี่น่ะใครเป็นคนหามาให้ เอ็งไปอยู่คนเดียวสิ เอ็งไปหาของเอ็งเองสิ เอ็งไปทำของเอ็งเอง แล้วเอ็งจะได้ไม่รู้จักบุญคุณของคณะสงฆ์ไง บุญคุณของเขา เขาดูแลเขารักษา เขาดูความพร้อมเพรียงเห็นไหม 

นี่วัตรในศาลา เช้าขึ้นมาเห็นไหม ต้องถูต้องเก็บต้องกวาด น้ำล้างเท้า น้ำเขียงเท้า น้ำล้างบาตร เขาต้องเตรียมไว้ให้พร้อม เตรียมไว้ให้พร้อม นี่ไง มันมีวัตรปฏิบัติ สิ่งที่เขาทำไว้ทำไว้ให้ใคร แล้วเอ็งใช้ทำไม เอ็งใช้ของเขานี่เอ็งเห็นบุญคุณเขาไหม ไอ้ช้างมันยังรู้จักบุญคุณของคน หมามันยังรู้จักบุญคุณของคนให้อาหารมัน สิ่งที่มึงใช้สอยอยู่นี่ใครเป็นคนหามา สิ่งที่เอ็งทำอยู่นี่ใครเป็นคนหามา แล้วสิ่งที่ความชั่วในหัวใจนี่เอ็งต้องไปป้ายสีใคร แล้วจะไปป้ายสีเขาทำไม ถ้าป้ายสีเขาไม่ได้ก็จะกด กดเขาให้ยอมรับ แล้วใครเขาไปยอมรับเอ็ง เขาบวชมาเขาหวังมรรคหวังผล ทุกคนมีสิทธิ์

นี่จิตนี้มีคุณค่า จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดแล้วน่ะ จิตนี้เกิดมาเป็นเรา เรานี่มีคุณภาพ เรามีอำนาจวาสนา เราเห็นคุณงามความดีที่ไม่ใช่วัตถุ เราเห็นคุณงามความดีที่ไม่ใช่แก้วแหวนเงินทอง เราเห็นคุณงามความดีที่ไม่ใช่ยศถาบรรดาศักดิ์ เราเห็นคุณงามความดีที่ไม่ใช่เสียงสรรเสริญยกย่องของสังคม เราต้องการคุณงามความดีในหัวใจของเรา เราต้องการสติปัญญาสามารถยับยั้งความเห่อเหิมทะเยอทะยานในหัวใจของเรานี้ ในหัวใจของเราน่ะ ถ้ามันจะเห่อมันจะเหิมมันจะควรเห่อเหิมในธรรมและวินัย เวลาเรื่องธรรมและวินัย สัจจะความจริงในหัวใจน่ะ มันควรจะปลุกจุดประเด็นให้มันลุกโชนขึ้นมาในหัวใจของเรา 

ถ้ามันจุดประเด็นลุกโชนขึ้นมาในหัวใจของเรา เวลาพระบวชใหม่ๆ ด้วยความศรัทธาความเชื่อเห็นไหม เขามีบริขาร ๘ ของเขา เขาพยายามขวนขวายเข้าป่าเข้าเขาของเขา เขาพยายามจะประพฤติปฏิบัติดัดแปลง ดัดแปลงตนของเขา เขาพยายามประพฤติปฏิบัติดัดแปลงหัวใจของเขาให้เข้าสู่สัจธรรม ให้สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อค้นมา วิมุตติสุขๆ สิ่งที่สัจจะความจริงอันนี้ คนมีสติมีปัญญาที่มาบวชมาเรียนกันอยู่นี้ก็บวชเรียนเพราะว่าต้องการคุณงามความดีอย่างนี้ ต้องการสัจธรรมอย่างนี้

ถ้าต้องการสัจธรรมอย่างนี้ เขาถึงแสวงหาครูบาอาจารย์ที่เป็นที่พึ่งที่อาศัยได้ ที่เป็นที่พึ่งที่อาศัยได้เพราะอะไร เพราะประพฤติปฏิบัติไปแล้วมันจะมีกิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจมันพลิกแพลง มันเล่ห์เหลี่ยม มันจะหลอกลวงตลอดเวลา ถ้ามีครูบาอาจารย์คอยแก้ไขให้เรา มีครูบาอาจารย์คอยส่งเสริมเรา เขาแสวงหาครูบาอาจารย์กันอย่างนี้ไง ถ้าเขาแสวงหาครูบาอาจารย์เพราะอะไร เพราะจิตใจของเขามันลุกโชนขึ้นมาด้วยศรัทธา ด้วยสัจจะ ด้วยพลังงานในหัวใจนั้นเห็นไหม เขาทำขึ้นมาเพื่อประโยชน์กับเขาไง เขาถึงแสวงหาไง สัปปายะ ๔ หมู่คณะเป็นสัปปายะ ถ้าหมู่คณะเป็นสัปปายะ สิ่งที่เป็นสัปปายะ สิ่งที่สงบร่มเย็น สิ่งที่มันควรแก่การประพฤติปฏิบัติไง มันไม่ใช่สิ่งที่คอยทิ่มคอยตำไง

สิ่งที่คอยทิ่มคอยตำ เพราะในการประพฤติปฏิบัติน่ะเขาต้องการความสงบ เขาต้องการความราบรื่นในใจไง มันไม่ต้องมีการกระเทือนใจ ถ้ามันกระเทือนใจนะ กิเลสมันร้ายอยู่แล้ว ไม่มีเชื้อไม่มีไข มันก็เพ่นพ่านในหัวใจอยู่แล้ว ไม่มีสิ่งใดมันก็ครอบงำหัวใจอยู่แล้วไง แล้วถ้ามีสิ่งใดไปกระเทือนหัวใจของของเขาน่ะ แล้วเขาจะประพฤติปฏิบัติ มันจะปฏิบัติยังไงน่ะ 

เสียใจ เสียใจตรงนี้ เสียใจมาก เสียใจที่ไม่สามารถคุ้มครองลูกศิษย์ลูกหากูได้ คนที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเราพยายามคุ้มครองดูแล เพราะในการปฏิบัติน่ะมันสำคัญๆ ตรงนี้ สำคัญตรงความราบรื่นในการปฏิบัติก่อนจะเข้าทางจงกรม ก่อนที่เราเข้านั่งสมาธิ หัวใจเราไม่ควรมีอะไรคึกคะนองใช่ไหม ไม่ควรมีอะไรที่เข้าไปกระตุ้นให้มันลุกโชนใช่ไหม เวลาเราทำความสงบ เราทำเกือบเป็นเกือบตายมันก็ยากอยู่แล้วไง แล้วเวลาจะออกมาทำข้อวัตร กว่าจะเข้าไปปฏิบัติ มันมีแต่ทิ่มตำ มันมีแต่ไข้หวัดนก ไข้หวัดใหญ่ อีโบล่า มีอะไรก็ทิ่มเข้ามาๆ แล้วเอ็งมาบวชทำไม เอ็งมาบวชทำไม 

เขามาบวชเขาบวชมาเพื่อมรรคเพื่อผล เขาบวชมาเพื่อประพฤติปฏิบัติ ถ้าเขามาบวชเพื่อประพฤติปฏิบัตินี่เขาต้องแสวงหาตรงนี้ เขาแสวงหาความราบรื่นเห็นไหม ทำสิ่งใดแล้วร่วมมือร่วมใจกัน เสร็จแล้วก็ต่างคนต่างไป ทำสิ่งใดให้มันพร้อมไง นี่ เวลาเขาพร้อมน่ะ เราถึงบอกว่าถ้าคนเราเกิดมาเห็นไหม จริตนิสัยของคนมันไม่เหมือนกัน องค์ความรู้คนไม่เท่ากัน มันมองประเด็นแตกต่างกัน ถ้ามีสิ่งใดมันขัดแย้งกันเห็นไหม ก็บอกว่าเรื่องของเขาเรื่องของเรา เรื่องของเขาเราพยายามอย่าเอาเข้ามาในหัวใจของเราเห็นไหม เราจะรักษาหัวใจของเรา 

หลวงตาท่านสอนประจำ นั่นมันเรื่องของเขา เราจะทำคุณงามความดี เราจะรักษาหัวใจของเรา เราจะคุ้มครองดูแลเพื่อฝึกสติของเรา ไอ้นี่ก็ไปบอกเลยน่ะ มันทนผมไม่ได้ แล้วเอ็งมีสิทธิอะไร มีสิทธิอะไรต้องไปทนมึงน่ะ เอ็งเป็นพ่อเขาเหรอ เอ็งมีอะไรอำนาจเหนือเขาที่จะไปย่ำยีเขา เอ็งมีสิทธิอะไร ใครมีสิทธิเหนือใคร มันไม่มีสิทธิ์ ไม่มีใครมีสิทธิ์เหนือใครหรอก สิทธิไม่มี ศีลเท่ากัน มนุษย์เหมือนกัน เป็นคนไทยอยู่ใต้กฎหมายไทย อยู่ใต้รัฐธรรมนูญไทย สิทธิความเป็นมนุษย์ ทุกคนมีสิทธิความเป็นมนุษย์เท่ากันหมด ใครต้องทนใคร 

แต่นี่เพราะความประเสริฐของหลวงตา หลวงตาท่านประเสริฐบอกว่าไอ้คนหยาบๆ นี่มันโง่ มันโง่ยิ่งกว่าหมาตาย ไอ้หมาตายน่ะ หมามันตายไปแล้วมันยังโง่กว่ามันอีก เวลาปฏิบัติทำดีน่ะไม่ได้ คราวนี้เวลามันโง่ยิ่งกว่าหมาตายน่ะ เวลาสิ่งที่มันแลบออกมา เชื้อโรคน่ะ เชื้อโรคเราป้องกันมันไปทางอากาศ เห็นไหม ในทางอากาศ ในการหายใจ ทางน้ำ ทางต่างๆ เชื้อโรคมันกระจายไปใช่ไหม ถ้าโรคกระจายไป นี่ก็เหมือนกัน สังคมมันมีการกระทบกระเทือนอยู่แล้ว มันเรื่องของเขา ใครก็แล้วแต่ไปติดเชื้อมา แล้วเข้าไปในครอบครัวของตน มันก็จะไปแพร่กระจายในครอบครัวนั้น ครอบครัวนั้นจะเป็นโรคภัยไข้เจ็บไปทั้งครอบครัวนั้นเพราะมันได้รับเชื้อโรคนั้นมา เพราะมันเข้าไปแพร่กระจายในครอบครัวของตน เพราะครอบครัวของตนก็อยู่ในครัวเรือนของตน 

นี่ก็เหมือนกัน ความชั่วในใจของคนคนนั้น มันก็ระบาดอยู่ในใจของใครคนนั้นแหละ ใจคนนั้นมันมีแต่เชื้อชั่ว มันยิ่งกว่าหมาตาย เพราะหมาตาย หมาตายมันมีประโยชน์นะ หมาตาย สัตว์นักล่ามันได้อาหาร อีแร้งมันได้อาหารแล้ว พวกอีแร้งมันกินสัตว์ที่ตายแล้ว ถ้าหมามันตายนะ ไอ้พวกมันยังเป็นอาหารให้กับพวกสัตว์กินซาก ฉะนั้น สิ่งที่ว่าหมามันตายมันเป็นประโยชน์ไง แต่ไอ้เชื้อชั่วในหัวใจน่ะ ไอ้หมาตาย ไอ้กิเลสตัณหาความทะยานอยากนี่มันเผาลนในใจของตน ทำลายตัวเองจนโง่เซ่ออีกนะ ไม่รู้จัก ตัวเองน่ะเป็นโรคภัยไข้เจ็บเต็มตัวเลย โอ้โห กูนี่แข็งแรง กูนี่มาตรฐาน มันยังไม่รู้ตัวมันน่ะ 

นี่หมาตาย เวลาหมามันตายด้วยเชื้อชั่วน่ะ มันไม่รู้ว่าจากจิตใจมันตายจากความดีไปแล้ว ตายจากศีลตายจากธรรม เที่ยวทิ่มตำคนอื่นทำลายเขาไปทั่ว นั่นไง เวลาใครติดภัยไข้เจ็บ เขาเข้าไปในครอบครัวของเขา เขาก็จะไปเผยแพร่เชื้อในครอบครัวเขา ครอบครัวเขาเจ็บไข้ได้ป่วย มันรุนแรงก็มีแต่คนตายในบ้านนั้น 

ไอ้เชื้อชั่วในหัวใจเห็นไหม มันชั่วของมันน่ะ ทำลายหัวใจของมันน่ะ แล้วมันยังไม่รู้ตัวมันนะ นี่ไอ้เชื้อชั่วที่มันเผาลนในใจนั่นน่ะ สิ่งนี้มันเผาลนในใจ แล้วเชื้อชั่วนี่มันก็จะไปป้ายคนอื่นไง แต่คนอื่นเขาไม่รับ เพราะคนอื่นเขามีสติมีปัญญาของเขา เขาบวชมาบวชมาเพื่อมรรคเพื่อผล ที่มาทุกข์มายากกัน เวลาทางโลกเขาๆ มีแสงสีเสียง เขามีการดำรงชีพนะ เราก็ทำได้ เราก็มีมือ เราพูดประจำ อยู่ข้างในน่ะมีคนเข้ามาทำลาย บอกกูก็มีมือมีเท้านะ กูก็ทำได้ แต่เพราะกูละ เพราะกูเห็นคุณงามความดีของศาสนา กูเห็นคุณงามความดีของศีลของธรรม กูเห็นคุณงามความดีของมรรคของผล กูก็เลยมาบวชนี่ แล้วบวชแล้วกูจะไปทำอย่างนั้นทำไม แล้วกูไม่ทำอย่างนั้นเห็นไหม เขาทำมาไง

นี่ไง นี่เวลาหลวงตาท่านมีคุณธรรมในใจของท่านเห็นไหม เพราะท่านมีคุณธรรมในหัวใจของท่าน สิ่งที่เป็นมรรคเป็นผล สิ่งที่เป็นศีลสมาธิปัญญามันเป็นนามธรรม มันไม่มีมาอวดกันโชว์กันหรอก แต่ครูบาอาจารย์รู้ เวลาครูบาอาจารย์นะถ้าใครปฏิบัติดี หลวงปู่มั่นน่ะ ใครปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ใครปฏิบัติน่ะ หลวงปู่มั่นท่านจะถามประจำ "มหา ใจเป็นยังไงๆ" ถามทุกวัน ถามตลอด มันก้าวข้ามอุปสรรค ก้าวข้ามความลุ่มหลง ก้าวข้ามสิ่งที่มันหลอกลวงในใจ ถ้าก้าวข้ามก็เชื้อชั่วในใจนั่นไง ไอ้หมาตาย แล้วเอ็งก้าวข้ามไหม ก็ก้าวข้ามๆๆ ท่านก็ชื่นชม หลวงปู่มั่นก็ชื่นชม หลวงตาท่านก็ขวนขวาย มีการกระทำ ท่านชื่นชม ท่านยินดีกัน ทั้งครูทั้งอาจารย์ท่านส่งเสริมกันเห็นไหม ท่านส่งเสริม 

นี่ไง ศีลสมาธิปัญญาเป็นนามธรรมๆ สิ่งที่เป็นนามธรรมมันอยู่ในหัวใจของเรา อยู่ในร่างกายเรานี้ไง ถ้าร่างกายนี้เขาทำคุณงามความดีน่ะ ถ้าคุณงามความดีขนาดนี้ คุณงามความดีที่เป็นนามธรรม ศีลสมาธิปัญญานี่เขาจะมีน้ำใจต่อกัน นี่เข้ากันโดยธาตุ ธาตุของคนที่ดีๆ นะ ธาตุของคนที่มีคุณธรรมนะ เวลาไปธุดงค์ด้วยกันน่ะ ถ้ามีพระที่ไปด้วยกันมีศีลเสมอกัน อย่างเช่นหลวงปู่พรหมกับหลวงปู่ชอบท่านไปด้วยกัน ไปพม่า มันมีความสุข จะทุกข์จนเข็ญใจ จะอดจะอยาก จะไม่มีจะกิน ยิ้ม มันไว้ใจน่ะ มันอบอุ่น โฮ้ ไปกับเศรษฐี แม่งขนไปเต็มเลยน่ะ มันกินอยู่คนเดียว มันไม่เคยมองเราเลย ไปกับเศรษฐีมันกลัวอดไง มันเข็น มันใส่รถสิบล้อไปนะ แล้วมันฉันอยู่คนเดียว ให้เขาไม่ได้ เดี๋ยวหมด ให้เขาไม่ได้หรอก เดี๋ยวมันขาดแคลน มันกินอยู่คนเดียวน่ะ 

แต่เวลาเขาไปกันน่ะ นี่ไง เวลาที่เขาไปด้วยกันเห็นไหม นี่เขาศีลเสมอกัน ความเห็นเหมือนกัน นี่ก็เหมือนกัน คนเขามาบวชๆ น่ะ เขามีเป้าหมายนะ ชีวิตทุกคนมีค่าหมดน่ะ มีพ่อมีแม่เหมือนกัน มีพี่มีน้องเหมือนกัน มีการศึกษาเหมือนกัน มีหน้าที่การงานเหมือนกัน แล้วสละหน้าที่การงานมาบวชเป็นพระ มาบวชเป็นพระแล้วนี่เห็นไหม เขาไม่มีศักยภาพอะไรเลยเหรอ มองไปแล้วมันเหมือนคนบ้านนอกคอกนาคนคนหนึ่งที่มาห่มผ้ากาสาวพัสตร์เหรอ เขาก็มีของเขา เขาก็มีพ่อมีแม่ เขาก็มีพรรคมีพวก ใครไม่มี แต่เขามีแล้วเขาเก็บไว้ในใจของเขา เขาไม่เอามาป้ายสีกัน ไม่เอามาทำลายกัน 

ถ้าเขาไม่เอามาทำลายกันเห็นไหม แล้วเขาขวนขวาย เวลาเขาขวนขวายสิ่งที่เขามีเขาวางหมด อย่างเราก็เหมือนกัน เราก็วางหมด เราวาง เราทิ้งไว้ ทิ้งไว้ให้กับชาติให้กับตระกูล แล้วเรามาบวชของเรา บวชของเราแล้วเราขวนขวายของเรา จะได้ไม่ได้มันก็อยู่ที่ความสามารถของเรา ถ้ามีความสามารถของเรา เราพยายามประพฤติปฏิบัติของเราขึ้นมา ถ้าเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา มันก็ต้องการไง เราไป เห็นไหม ที่ไหนที่ครูบาอาจารย์ท่านส่งเสริม โอ้โห เราไม่ลืมบุญคุณ เวลาเราไปหลวงปู่สุวงสุวัฒน์ เราไป ท่านพูดเห็นไหม ไอ้หงบมึงมาจากไหน มาจากราชบุรี เอามาพูดทุกวัน เวลาท่าน ท่านถามเลยนะ เอ็งมาจากไหน เอ็งมีวาสนาไหม เอ็งทำได้มากน้อยแค่ไหน ท่านคอยบอกคอย เราแสวงหาครูบาอาจารย์อย่างนั้น เราก็มาประพฤติปฏิบัติของเรา 

ครูบาอาจารย์จะดีขนาดไหน ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็มีเทวทัต หลวงปู่มั่นน่ะ ดูสิๆ เวลาสิ้นจากหลวงปู่มั่นแล้วไง นี่มีโยมเขามาศึกษาประวัติหลวงปู่มั่น แล้วก็ไปหาหลวงตา "อิชั้นน่ะชื่นชมลูกศิษย์กรรมฐาน อิชั้นชื่นชมสายหลวงปู่มั่นมากค่า" หลวงตาท่านบอกเลย "ลูกศิษย์หลวงปู่มั่นมีทั้งดีและชั่ว" ไอ้ชั่วๆ ก็เยอะ ไม่ใช่ลูกศิษย์หลวงปู่มั่นจะดีไปหมดหรอก ลูกศิษย์พระพุทธเจ้ายังชั่วเลย แล้วจะมาแอบอ้างจะมาเกาะเอาเครดิตไปขายกินน่ะ ไม่มี ความดีมันเกิดจากการกระทำ ความดีมันเกิดจากหัวใจของเรา ถ้าหัวใจเราทำขึ้นมาดีเห็นไหม 

นี่ไง เวลาคนเขาศรัทธาเขาก็ศรัทธานั่นแหละ แต่เขามีสติปัญญามากน้อยแค่ไหน เขาเห็นเปลือกนอก เขาเคารพของเขา แต่วันใดเขามีสติเขาเห็นขึ้นมา เขาก็ทิ้ง ไม่มีหรอก ข้างนอกพึ่งไม่ได้ ไม่มีอะไรเป็นที่พึ่ง ที่พึ่งของเราพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์เท่านั้น พระธรรมๆ บิณฑบาตมาก็พอฉัน แต่หัวใจมันเร่าร้อนหรือไม่ บิณฑบาตมาฉัน ฉันแล้วฉันเล็กฉันน้อยน่ะ หลวงปู่พรหม หลวงปู่ขาว หลวงปู่ชอบเห็นไหม อดทีสิบวันยี่สิบวันในป่า อยู่ในป่าไม่มีจะกินก็ไม่ต้องกิน แต่จิตใจรื่นเริง จิตใจนี่สว่างไสว เขาปรารถนาตรงนั้น เขาปรารถนาคุณงามความดีในหัวใจตรงนั้น

นี่ก็เหมือนกัน วัตรปฏิบัติเขาต้องการตรงนั้น เขาต้องการตรงนั้น แต่ แต่คนเราเกิดมานี่เราเกิดจากพ่อจากแม่ พ่อแม่เราอยู่ทางโลกนะ พ่อแม่ทุกคนอยู่ทางโลก แล้วเราเป็นลูกของพ่อแม่ เราก็มีเลือดเนื้อเชื้อไขเหมือนพ่อแม่นั่นแหละ แต่พ่อแม่ท่านก็อยู่ของท่าน ท่านก็หาอยู่หากินของท่านตามอำนาจวาสนาของท่าน แต่เรามาบวชเป็นพระ แล้วบวชเป็นพระปฏิบัติ เราฉันแค่มื้อเดียว แล้วเวลาจะประพฤติปฏิบัติเรายังอดนอนผ่อนอาหาร การอดนอนผ่อนอาหารนี่ก็เพื่อให้จิตใจมันเบา ต้องการความคล่องตัวในการปฏิบัติเพราะเรามีความปรารถนาอยากได้มรรคได้ผล ถ้าเรามีความปรารถนาอยากได้มรรคได้ผล มรรคผลมันเกิดที่หัวใจ เราก็ต้องพยายามแสวงหาหัวใจของเรา 

ถ้าเราแสวงหาหัวใจของเราพบเห็นไหม ปลูกดอกบัวที่ใจๆ น่ะ เราก็พยายามประพฤติปฏิบัติค้นคว้าให้เกิดพุทธะ ให้เกิดดอกบัวขึ้นมา ให้เกิดศีล เกิดสมาธิ เกิดปัญญาขึ้นมา นี่หน้าที่ของนักบวช ถ้าเราจะเก่งเราต้องเก่งตรงนี้ เก่งตรงที่เราต้องประพฤติปฏิบัติให้เป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมา แล้วถ้าปฏิบัติเป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมา คนแค่มีศีลน่ะ เขาก็ไม่กระทบกระเทือนหมู่คณะแล้ว ศีลน่ะเขาไม่กระทบกระเทือนคนอื่นแล้ว ศีล สมาธิ ปัญญา 

ไอ้นี่บอกว่าปฏิบัติ แต่เที่ยวทิ่ม เที่ยวทิ่มเที่ยวตำเห็นไหม ไอ้หมาตายน่ะ หมาตายมันเน่ามันเหม็น กลิ่นมันขจรขจาย แล้วพอเดินไปทางไหน โอ้โห เขาหลีกหนีนะ ตอนนี้ไม่มีใครอยากเข้าใกล้เลยน่ะ กลิ่นมันเหม็น แล้วเชื้อโรคมันนี่สำคัญ ไม่ได้มันตายนะ แล้วคนไม่เคยทำ พอคนไม่เคยทำ มีคนชักนำทำหนหนึ่ง เอ๊ะ เฮ้ยทำอย่างนี้ได้เหรอ มีหนึ่ง เดี๋ยวมีสองมีสามมีสี่ นิสัยเสียหมดไง นิ้วไหนร้ายต้องตัดนิ้วนั้นทิ้ง ถ้านิ้วมันร้าย ไม่ตัดทิ้งมันจะเน่าทั้งมือ แล้วถ้ามือนั้นเน่าแล้วมันจะเริ่มเข้าสู่ร่างกาย มะเร็งเวลามันไปทั่วร่างกายแล้วไม่เหลือ นิ้วไหนร้ายต้องตัดนิ้วนั้นทิ้ง 

นี่ไง ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ ทางโลกเขาหาอยู่หากินกัน นี่ถ้ามีปัจจัยขึ้นมาเห็นไหม เราจะเสียทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ เราจะยอมสละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต แล้วถ้าปฏิบัติขึ้นมา เราจะยอมสละชีวิตเพื่อรักษาธรรม รักษาสัจธรรม รักษาคุณงามความดีไง ถ้ารักษาคุณงามความดีขึ้นมา มีสติมีปัญญาขึ้นมาเห็นไหม เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เวลาหลวงตาท่านพูดไง เวลาประพฤติปฏิบัติจะสร้างคุณงามความดีน่ะโง่ยิ่งกว่าหมาตาย แต่เวลาทำชั่วน่ะ กลิ่นมันเหม็นยิ่งกว่าหมาตายอีก นี่เวลาประพฤติปฏิบัติโง่ยิ่งกว่าหมาตาย มันไม่มีอุบายพลิกแพลงเลยเหรอ มันไม่มีอะไรทำให้เป็นคุณงามความดีขึ้นมาบ้างเลยเหรอ แล้วเวลาเราเชื้อชั่วๆ ก็งุบงิบเก็บไว้ในใจ อุ๊ยใครจะไม่รู้ไม่เห็น หมามันตายแล้ว อีแร้งมันจะบินมากินซาก หวง เก็บไว้เป็นสมบัติของตน ความดีของกูๆ ความดีของหมาตาย แล้วเชื้อชั่วน่ะมันทำลายเขา ทำลายเขาไปหมดนะ แล้วทำลายมันเป็นประโยชน์อะไร

บวชเป็นพระมานี่บวชมาเพื่อมรรคเพื่อผล บวชมาเพื่อสร้างเพื่อสมคุณงามความดี หรือบวชมาหาบาปหากรรม บวชมาเพื่อทำลาย คนที่ประพฤติปฏิบัตินะ เขานั่งสมาธิน่ะ กว่าเขาจะนั่งสมาธิ เขาจะตั้งใจ เขาทำได้มันก็แสนยาก แล้วเขาจะนั่งปฏิบัติของเขา เราเที่ยวไปยุแยง ยุแยงเจาะทำลายเขา มันจะเป็นบุญไปที่ไหน 

นี่ไง จูฬปันถกกับมหาปันถกเห็นไหม นี่ที่ว่าท่องคาถาคำหนึ่งก็ไม่ได้ๆ ก็เพราะเหตุนี้แหละ เขาท่องปาฏิโมกข์ แต่ตัวเองเป็นผู้ที่ฉลาดท่องได้คล่องแคล่วมาก ชาตินั้นเป็นชาตินักปราชญ์ เห็นเขาท่องปาฏิโมกข์ขลุกๆ ขลักๆ ติดๆ ขัดๆ หัวเราะเยาะเขา หัวเราะเยาะก็ยิ้มๆ ไง ไอ้คนที่ท่องปาฏิโมกข์มันอายมันก็เลิก ไม่ท่องปาฏิโมกข์เลย กรรมอันนั้นน่ะ เวลามาเกิดเป็นจูฬปันถกน่ะท่องธรรมะข้อเดียวท่องไม่ได้ ท่องยังไงก็ท่องไม่ได้ 

เวลากรรมมันให้ผลเห็นไหม ไอ้ที่มึงทำชั่วๆ นั่นน่ะ มึงก็ว่าเป็นความดีนั่นน่ะ เดี๋ยวถ้ากรรมให้ผลมาน่ะ นี่ชีวิตนี้ก็ทุกข์ยากขนาดนี้แล้ว แล้วไปข้างหน้ามึงจะไปเจออะไร ชีวิตปัจจุบันนี้ก็ทุกข์ยากขนาดนี้อยู่แล้ว ก็ยังสร้างความชั่วมันมากขึ้นไป ทำลายเขาอยู่ตลอด แล้วบอกว่าบวชพระแล้วไม่ได้มรรคไม่ได้ผล บวชพระแล้วไม่ได้คุณงามความดี ก็เหตุที่มึงสร้างมันดีหรือชั่วล่ะ ถ้าเหตุที่มึงสร้างมันชั่วน่ะ แล้วอนาคตมึงจะไปไหนน่ะ อนาคตน่ะ อนาคตมึงจะเจออะไรล่ะ 

โธ่ มันไม่มีใครโง่กว่าใครฉลาดกว่าใครหรอก การศึกษาธรรมตามกันได้ คนมีวาสนาไม่มีวาสนานะมันอยู่ที่การกระทำนี่แหละ ชาตินี้เราเกิดมามีวาสนาเราก็สร้างคุณงามความดีของเรา สมเด็จโตกับครูบาอาจารย์เห็นไหม ท่านบอกหมานี่อย่าไปข้ามมันนะ มันอาจเป็นพระโพธิสัตว์ก็ได้ สัตว์แต่ละตัวน่ะเขาเป็นพระโพธิสัตว์มาเสวยชาติเป็นอย่างนั้นก็ได้ เราจะไปข้าม เหยียบ ข้ามหมิ่นเขาเหรอ นี่ก็เหมือนกัน ชีวิตของเราไง ชีวิตของเราน่ะ อนาคตมันจะไปไหนน่ะ เอ็งไม่มีสติสัมปชัญญะเลยเหรอว่าเอ็งจะทำอะไร เอ็งสร้างแต่บาปแต่กรรม คนเขามาเขาพยายามสร้างคุณงามความดี เขาหาทางประพฤติปฏิบัติ เขาหาช่องทางในการกระทำ 

เวลาเราอยู่กับหมู่คณะที่ดีนะ เวลาเราไปธุดงค์ไปเห็นไหม ชาวบ้านเขาเห็นพระมานะ เขารีบทำแคร่ให้เลย นั่นน่ะเขาฉลาด เขาได้บุญแล้ว เขาสร้างวิมานเขาหลังหนึ่งแล้ว นั่นน่ะ ถ้าเขาทำดี แล้วพระปฏิบัตินะได้สมาธิ อย่างเช่น หลวงปู่ขาวนี่ไปอยู่ในป่าน่ะ แล้วสิ้นกิเลสน่ะ โอ้โห ไอ้คนที่มันเอาหญ้ามาปูให้นั่ง โห มันบุญมหาศาลเลย คนทางอีสานนะ เขาขวนขวายนะ เห็นพระมาน่ะเขาทำแคร่ให้ ทำอะไรให้ เขาปรารถนาบุญกุศล เขาปรารถนาคุณงามความดี นั่นน่ะ เขาพยายามสร้างสมคุณงามความดีของเขา ไอ้นี่แม่งพระอยู่ในวัดด้วยกัน ทิ่มเอาๆ คนคนเขาภาวนายังทิ่มเอาๆ เอ็งทำอะไรวะ ชาวบ้านเขาน่ะเขายังปรารถนาความดีนะ ชาวบ้านเขายังเห็นคุณงามความดี เขายังอยากสร้างสมคุณงามความดีเพื่ออนาคตของเขา ไอ้นี่เอ็งบวชเป็นพระแล้ว เอ็งเป็นนักปฏิบัติแล้ว เอ็งควรแยกถูกแยกผิดได้ ธรรมวินัยก็มี เอ็งควรทำคุณงามความดีเพื่อตัวเองนั่นแหละ ไม่ได้ทำคุณงามความดีเพื่อใครหรอก 

ใครทำใครได้ ทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว ใครทำชั่วต้องได้ชั่วแน่นอน ใครทำคุณงามความดีต้องได้คุณงามความดีแน่นอน แต่ แต่ที่เราปล่อยปละละเลยนี่ สิ่งนี้มันสะเทือนใจเรามาก เพราะเราเป็นผู้รับผิดชอบ แล้วเราปล่อยปละละเลยให้คณะสงฆ์โดนพระหมาตายตัวหนึ่งเข้ามาทิ่มแทง ทำลาย ทำลายพระดีๆ ให้เศร้าหมอง ทำลายให้พระดีๆ ขุ่นข้องหมองใจ แล้วก็ยังอหังการนะ พระสงบเป็นอาจารย์ พระสงบนี่มีลูกศิษย์ ยังภูมิใจอยู่นะว่าเรามีลูกศิษย์ลูกหา แต่ไม่รู้หรอก ลูกศิษย์ลูกหาน่ะโดนไอ้หมาตายมันเหยียบย่ำทำลายแค่ไหน 

มันเสียใจ เสียใจเพราะความบกพร่องของเรานี่ ทั้งๆ ที่เราก็ปรารถนา เพราะเราบวชมา เราธุดงค์มาเราก็เจอ ในสังคมทุกสังคมมีคนดีและคนชั่ว ในวงการพระเห็นไหม ดูสิ ที่หลวงตาท่านพูดน่ะ ในลูกศิษย์หลวงปู่มั่นมีทั้งพระดีและพระเลว พระเลวก็มี พระหากินก็มี พระทำลายคนก็มี มีทั้งนั้นน่ะ ในสังคมทุกสังคมมีคนดีและคนเลว แล้วเราก็ธุดงค์ผ่านประสบการณ์อย่างนั้นมา แต่ แต่เวลาเรามาอยู่ในวัด เราก็สร้างของเรามาอย่างเนี้ย แล้วเวลาปากน่ะ ปากก็พูดหวานเจี๊ยบ พูดหวาน พูดดี แต่พฤติกรรมมันเลวทราม ไอ้พวกหมาตาย เอวัง