เทศน์บนศาลา

ผู้รู้คืออวิชชา

๒๕ พ.ค. ๒๕๔๑

 

ผู้รู้คืออวิชชา
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์บนศาลา วันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๔๑
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ฟังธรรม ทุกคนอยากประพฤติปฏิบัติธรรม เพราะธรรมเป็นความสุขอย่างยิ่ง รสแห่งธรรมชนะซึ่งรสทั้งปวงไง อยากปรารถนาความสุข มนุษย์เกิดมาทุกคนอยากมีความสุข อยากมีความสมบูรณ์ แต่ไม่สมใจอยากสักคนหนึ่ง ไม่สมใจอยากนะ ให้หลงเพลิดเพลินขนาดไหนว่าฉันมีความสุข แต่ในใจก็มีความทุกข์โดยความเป็นจริง มีความทุกข์โดยความเป็นธรรมชาติ

ไฟ เกิดขึ้นที่ไหนต้องมอดลงที่นั่น ความโชติช่วงชัชวาลในหัวใจที่เกิดขึ้นจากความคึกคะนอง มันต้องมอดม้วยดับไป ต้องยุบยอบดับไป ความอาจหาญ ความรื่นเริง หลงว่าความสุขอันนั้น มันก็ต้องดับไปโดยความเป็นจริง ถึงจะบอกว่ามีความสุขด้วยความหลง หลงว่าตัวเองมีความสุข เคยคุยว่าฉันมีความสุขมาก ฉันอยู่ในความสุข ฉันจะไม่มีความทุกข์เลย พูดได้ชั่วคราวเท่านั้น ความมอดไหม้ของอารมณ์ที่มีความสุขนั้น เวลามันยุบยอบลงไปแล้ว มันจะมีความทุกข์เกิดขึ้นเป็นธรรมชาติของมัน

ถึงบอกว่าทุกข์นี้เป็นอริยสัจ สัจจะเหนือสัจจะใดๆ ทั้งสิ้น มันเป็นความจริงของโลก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ เกิดมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะก็ทุกข์ พอปรนเปรอความสุขเพื่อจะให้มองข้ามทุกข์นี้ไป เพื่อจะเหนี่ยวรั้งไว้อยู่กับโลกเขาไป แต่ด้วยบุญญาธิการ การสะสมมาของท่าน ได้เห็นยมทูตทั้ง ๔ อันนั้นทำให้เฉลียวใจว่าคนมีเกิด มีแก่ มีเจ็บ มีตายด้วยหรือ? ถ้าคนมีเกิด มีแก่ มีเจ็บ มีตายมันก็ต้องไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายเป็นของคู่กัน มันทำให้สะกิดใจ

สิ่งที่พบเห็น ถ้าเราน้อมเข้ามาเป็นประโยชน์ของเรา มันจะได้ประโยชน์มหาศาลเลย แต่เราไม่ได้คิดกันอย่างนั้น คิดแต่ว่าฉันมีความคิด ฉันมีปัญญา ฉันเป็นผู้ฉลาด ฉันเป็นผู้รู้ ที่พูดว่าทั้งฉลาด ทั้งความรู้ความประเสริฐอันนั้น เป็นอวิชชาทั้งหมด! เป็นอวิชชาล้วนๆ! เป็นอวิชชาเพราะอะไร? เพราะตัวเองไม่รู้จริง สิ่งที่ว่าเป็นปัญญา เป็นความรู้ เป็นความคิดของเรานั้น มันเกิดขึ้นจาก “อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา” อวิชชานี้เป็นดีเอ็นเอของความคิด ความคิดที่เกิดขึ้นนี้เป็นอารมณ์

ดีเอ็นเอของความคิดคือมันอยู่ใต้ความคิดนั้น มันเป็นเชื้อ ความคิดทั้งหมดที่ว่าเราฉลาด นั้นคืออวิชชา คือความไม่รู้ อวิชชาคือความไม่รู้จริง ความไม่รู้จริงในการเกิดและการตาย ความไม่รู้จริงคือการดับอวิชชาตัวไม่รู้จริงนี้ แต่เราว่าเราฉลาด เรารู้ เราว่าเราอยากหาอวิชชา อวิชชาอยู่ที่ไหน? อวิชชาคือความคิดที่เราสื่อกันอยู่ทุกวันนี้ อวิชชาคือความที่เราว่าเราใหญ่ เรารู้นั่นล่ะ! เพราะมันมาจากอวิชชา

การศึกษาเล่าเรียนในทางโลก การศึกษาความรู้ การศึกษาวิชาชีพต่างๆ เป็นอวิชชาทั้งหมด ในสมัยพุทธกาลหมอชีวกโกมารภัจจ์ ศึกษาเล่าเรียนมามหาศาลเลย แล้วสามารถผ่าตัดสมองได้ด้วยสมัย ๒,๕oo ปีก่อนในยุคนั้น หมอชีวกสามารถผ่าสมองคนได้ตั้งแต่สมัยนั้นแล้ว ทำไมหมอชีวกต้องมาเป็นลูกศิษย์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า?

เพราะว่ารู้ด้วยอวิชชา รู้มาเป็นวิชาชีพ รู้ตามความเป็นจริง รู้มาแล้วสามารถรักษาคนให้หายด้วย แต่ทำไมไม่มีคนกราบไหว้เหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า? เพราะมันไม่มีวิชชารู้ตามความเป็นจริง รู้ตามวิชาชีพ รู้ตามสถิติ รู้ตามความจำ รู้ตามที่เขาสะสมมา เป็นการสั่งสอนกันมา เป็นสถิติของวิวัฒนาการทางวิทยาศาสตร์ ว่าเป็นวิทยาศาสตร์ๆ วิทยาศาสตร์ก็เป็นวิทยาศาสตร์ แต่อวิชชาหมายถึงว่าไม่รู้เท่าตามความเป็นจริงของตัว

วิชาการนั้นมันเป็นวิชาการภายนอก การสะสม การสั่งสมความคิดจนตกผลึก ความคิดตกผลึกที่เข้าไปในหัวใจ ความตกผลึกนั้นเป็นชั้นๆๆ เข้าไปนะ เป็นสัญญาในหัวใจ ดูอย่างเช่น คลื่นวิทยุ เวลาเขาติดเครื่องส่งแล้ว ส่งคลื่นมาแต่เขาไม่ได้ออกเสียง ออกอากาศมาด้วย มันจะมีคลื่นมาดังซ่าๆ มาเฉยๆ แต่ถ้าออกเสียงมาด้วย เขาอัดเสียง หรือว่าเขาเปิดเทปออกมา มันจะเป็นรหัสออกมา มันจะมีการรับเป็นรหัสที่เราจะสื่อความหมายได้

ความคิดก็เหมือนกัน อวิชชาคือตัวคลื่น ตัวพลังงานตัวหัวใจตัวนั้น ตัวพลังงานตัวธาตุรู้ แล้วความคิดนี้เป็นรหัส เราจดจำรหัส แล้วเราว่าเรารู้รหัส เรารู้วิธีการ แต่นั้นเป็นรหัสไม่ใช่คลื่น เรายังไม่เจอคลื่น ถ้าเราเจอคลื่นนั้นคือตัวอวิชชา คือดีเอ็นเอ ในความคิด

สิ่งที่เป็นวิทยาศาสตร์ สิ่งที่เป็นวัตถุ มันต้องหมุนเวียนไป แปรสภาพไปเป็นธรรมดา เราว่าธรรมะนี้แปรสภาพไปเป็นธรรมดา ความคิดนี้ก็แปรสภาพเป็นธรรมดา แล้วเวลาเราเกิดอะไรขึ้น มันแก้ไขอะไรไม่ได้ มันต้องแปรสภาพไป แปรสภาพไป

แต่วิชชาไม่ใช่เป็นอย่างนั้น วิชชาที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ วิชชา ๓ บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ วิชชา ๓ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คืนที่ท่านตรัสรู้ตามความเป็นจริงของท่าน บุพเพนิวาสานุสติญาณ ญาณที่ระลึกชาติต่างๆ ได้ว่าเมื่อชาติที่แล้ว เมื่อชาติก่อนเป็นอะไรๆ ยังไม่ใช่เลย อันนี้ก็ผิด

แล้วเวลาเราประพฤติปฏิบัติกัน ย้อนเข้าไปในหัวใจ ย้อนเข้าไป ขณะเข้าไป ออกเห็นนิมิต ออกรู้นี่ติรัจฉานวิชา วิชาทำให้เนิ่นช้า ติรัจฉานวิชา วิชาที่ไม่ใช่วิชชาตามความเป็นจริง อย่าว่าแต่วิชาชีพ แม้แต่กำจัดอวิชชาอยู่ก็ยังไม่ใช่ เป็นวิชาที่เนิ่นช้า เป็นวิชาที่ทำให้เราแกว่ง เราเถลไถลออกนอกทาง ขนาดเข้าไปจิ่มเข้าไปเจอแล้วยังผิดพลาดเลย

อวิชชา ตัวไม่รู้ มันแน่นหนาขนาดไหน? มันปิดกั้นเราขนาดไหน? แล้วเราจะต่อสู้อย่างไร? เวลาประพฤติปฏิบัติก็ยังบอกว่าห้ามอยาก อยากไม่ได้ เขาห้ามอยากนะ ต้องวางให้เป็นกลาง ต้องวางใจ การวางใจให้เป็นกลาง การปล่อยวางอย่างนั้นมันทำแบบไม่หวังผล

“อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขาราปจฺจยา วิญฺญาณํ... อวิชฺชายเตฺวว อเสสวิราคนิโรธา”

อวิชชาปัจจยาการออกมาเป็นกิเลสทั้งหมด “อวิชฺชายเตฺวว อเสสวิราคนิโรธา” อวิชชาตัวพลิก เข้าไปถึงตัวอวิชชาแล้ว ตัวอวิชชาจะพลิกออกไป เป็นวิชชาความเข้าใจตามเนื้อหาสาระ คือก็ต้องใช้ความคิดของเราภายใน เกลือจิ้มเกลือ จิตแก้จิต ถึงจะเป็นอวิชชา แต่เป็นวิธีการเครื่องดำเนิน ต้องเป็นอวิชชาก่อน

ถ้าเป็นอวิชชาแล้วจะปฏิเสธอวิชชาเลย เหมือนเราเป็นมนุษย์ เราเป็นคน เราปฏิเสธร่างกายของเรา เราก็ต้องทำร้ายตัวเองให้เราสิ้นชีวิตไป ไร้ประโยชน์ เราคับแค้นใจ เราอยากพ้นทุกข์แต่เราไม่มีเทคโนโลยี ไม่มีความรู้ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ววางไว้ เราก็ทำลายตัวเองไป ตามความเห็นของตัวที่อวิชชามันหลอกอีกชั้นหนึ่ง ว่าเราจะพ้นทุกข์ไปด้วยการทำลายตัวเราเอง

การทำลายตัวเองไปก็ไปตกทุกข์ได้ยากเพราะกิเลสไม่ได้ยุบยอบ กิเลสไม่ได้ถลอกเลย กิเลสไม่ได้ตายไปพร้อมกับการทำลายตัวเอง การทำลายตัวเองนั้นเป็นบาปมหันต์ เพราะแม้แต่เรา เรายังทำลายได้ ทำไมเราจะทำลายสิ่งอื่นไม่ได้ บาปอันนั้นทำไปแล้วเป็นอะไร? เพราะอวิชชามันหลอก แต่ถ้าเราเชื่อว่าพระพุทธเจ้าวางเทคโนโลยีไว้ตรงนี้ คือว่าใช้อวิชชาเป็นตัวตั้ง ก็เราทำลายตัวเราเอง แต่ทำลายอุปาทานความยึดมั่นถือมั่น ในหัวใจในอวิชชาตัวนั้น

ฉะนั้นเริ่มต้นถึงจะเป็นอวิชชา ก็ต้องเอาอวิชชานี้เป็นประโยชน์ เกลือจิ้มเกลือ ต้องเอาสิ่งที่ว่าเป็นโทษนั้นพลิกมาให้เป็นมรรคอริยสัจจัง ถึงกล่าวว่าเราต้องมีแก้วสารพัดนึก เราเคารพพระพุทธ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม ธรรมะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นเทคโนโลยีที่วางไว้ให้เราเป็นเครื่องดำเนิน แต่เป็นเทคโนโลยีของจิต เป็นมรรคอริยสัจจัง เป็นนามธรรมที่อยู่ภายใน เป็น อวิชฺชายเตฺวว อเสสวิราคนิโรธา เป็นความดับของความไม่รู้

สิ่งที่ไม่รู้ สิ่งที่เป็นอวิชชาดับ ถึงเป็น “อวิชฺชายเตฺวว อเสสวิราคนิโรธา” ออกมาก็เป็นธรรม เป็นเทคโนโลยีที่วางไว้ เป็นมรรคให้เราเป็นเครื่องดำเนินเข้าไป พยายามจะเข้าไปให้ถึงตัวนั้น ฉะนั้นถึงว่าต้องมีความอยาก อยากในความเพียร ถ้าไม่มีความอยาก ไม่มีการขวนขวายเลยก็นอนนิ่งกันอยู่อย่างนั้น เป็นการประพฤติปฏิบัติที่ไม่หวังผล การประพฤติปฏิบัติไม่หวังผลก็สักแต่ว่าทำกันไป ว่าฉันเป็นผู้ปฏิบัติธรรม แต่ฉันเป็นผู้ปฏิบัติธรรมที่ไม่หวังผล เพราะไม่มีความเพียรชอบ

การงานชอบ ผลมันจะเกิดขึ้น มันเกิดขึ้นตามความเป็นจริง ตามความเป็นธรรม การเกิดขึ้นจากความเป็นธรรม ความเป็นจริงที่ผลมันเกิดขึ้นมันกลั่นออกมาจากอริยสัจ จิตนี้เข้าไปหมุนในอริยสัจ เป็นโรงงานเป็นสิ่งที่ผลิต ผลิตชำระล้างกิเลส แบบที่เขารีไซเคิลของต่างๆ เราเอาหัวใจเข้าไปรีไซเคิลในโรงงานนี้ เพื่อออกมาให้มันสะอาดขึ้น จึงว่าต้องมีความต้องการ มีความมุ่งหมาย มีความตั้งใจ มีความอยากในเหตุในการประพฤติปฏิบัติ แต่ไม่ให้อยากในผล มันเป็นตัณหาซ้อนตัณหา เป็นสมุทัย

ความเป็นสมุทัยเพราะคนเราหวังแล้วไม่สมหวังก็เป็นทุกข์ ตั้งความหวังไว้มหาศาล ทุกคนตั้งความหวังไว้ หวังทุกอย่างเลยแล้วไม่สมความหวัง เพราะความหวังนั้นอวิชชามันปั้นขึ้นมา เราหวังลมๆ แล้งๆ หวังโดยที่เรามองข้ามบารมี มองข้ามความเป็นจริงว่า เราจะมีทางเป็นไปได้อย่างนั้นไหม? เราหวังขนาดที่ว่าสิ่งนี้อยู่แค่เอื้อม คนเหมือนกัน คว้าของสิ่งเดียวกันยังคว้าได้คนหนึ่ง อีกคนหนึ่งคว้าไม่ได้เพราะกรรม เพราะดีเอ็นเอในหัวใจนั้น สิ่งที่มันสะสมมาอยู่ในหัวใจ อวิชชาตัวที่ว่าดีเอ็นเออยู่ในความคิดรากเหง้าของตัวเอง ของบุญวาสนา

รากเหง้าของเราไม่ถึง สิ่งที่หวังนั้นจึงผิดพลาด สิ่งที่หวังนั้นคือว่าโดนหลอก หลอก ๒ ชั้น ภายในคืออวิชชาก็หลอกตัวเอง แล้วยังกรรมปิดกั้นบัง เราไปหยิบสิ่งนั้นไม่ได้ ทุกข์ไหม? ความทุกข์ภายใน ความทุกข์ภายในว่าเป็นอริยสัจ ถึงเขาจะพูดว่าไม่ทุกข์ๆ นั้นปากพูด แต่ถ้าความเป็นจริงแล้วมันเฉานะ มันทุกข์อยู่ภายในหัวใจ เพราะอวิชชามันอยู่กับใจ

ความทุกข์อยู่ที่หัวใจตัวนั้น ตัวไหนคืออวิชชา? ความคิดเราทั้งหมด จึงต้องชนะตน ยับยั้งตนเองได้ ยับยั้งตนเองได้ด้วยการเชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่วางเทคโนโลยีตัวนี้ไว้ กำหนดพุทโธๆ หรือกำหนดเสียงถ้าฟังเทศน์อยู่ กำหนดไว้เลย แล้วทำใจให้สงบลงให้ได้ ทำใจให้สงบลงหมายถึงว่าเราไปบังคับมันก็ยิ่งต่อต้าน ตั้งสติไว้ สติมีอยู่คือความเพียร สติควบคุมพลังงานที่เกิดดับๆ นี้ จิตนี้เกิดดับๆ ตลอดเวลา ไม่ใช่เกิดทื่ออยู่อย่างนั้น

เกิดดับคือว่าอารมณ์มันเปลี่ยนหมุนตลอด เราควบคุมความเกิดดับ ควบคุมคลื่น ให้คลื่นนี้ไปตามเป้าหมาย แล้วแยกรหัสกับคลื่นออกจากกัน แยกความคิด พอความคิดออกไปเหลือแต่ตัวคลื่น จิตสงบแล้ว จิตสงบนี้ยังไม่ทำอะไรเลยนะ จิตสงบมีความสุขมาก มีความสุขจากสิ่งที่ไม่เคยดับ

สิ่งที่ลุกโชนอยู่แล้วมอดลง ทำให้จิตนี้เบา มีความสุขเกิดจากที่มันไม่มีตัวรหัสเข้ามาทำให้มันเป็นเรื่อง มันเป็นพลังงานเฉยๆ แต่ตัวนี้ไม่ได้แก้ไขอะไรเลย เพราะอวิชชาล้วนๆ ตัวอวิชชาล้วนๆ เลย เป็นรหัสเพราะพอจิตสงบ มันเริ่มมีการแยกออกจากกัน แยกความคิดกับตัวคลื่นออกจากกัน

แยกใจกับสัญญาอารมณ์ปรุงแต่งออกจากกัน จะทำลายอวิชชาก็ต้องใช้ความคิด ใช้ความคิดนี้ล่อให้อวิชชาออกมากับความคิด แล้วใช้วิปัสสนาญาณเข้าไปว่า ตรงไหนเป็นขันธ์ ตรงไหนเป็นสัญญา ตรงไหนเป็นสังขาร ตรงไหนเป็นวิญญาณที่รับรู้ ล่อออกมาเหมือนเราล่อเสือออกจากถ้ำ ล่ออวิชชาออกมาให้เราวิปัสสนาให้เห็นหน้า ให้เห็นหน้าในการวิปัสสนาญาณ

การวิปัสสนาเข้าไปจะทำลายอวิชชา ก็ต้องใช้ความคิด ทีแรกความคิดอันนี้เป็นโทษ ความคิดนี้ทำให้เราปั่นป่วน เราทุกข์มากเพราะเราดับไม่ได้ เครื่องติดแล้วดับไม่เป็น ดับไม่ได้เลย อันนี้เป็นโลกียะ โลกียะคือโลก คือวิชาการที่ว่าเก่งนักเก่งหนาที่ว่าสะสมมา นี่คือตัวอวิชชาล้วนๆ ที่ไม่ได้ทำอะไรเลย

แล้วสะสมมาเหมือนหมอชีวกโกมารภัจจ์ เขาใช้วิชาการออกไป แล้วพออยู่ทางโลกไปเขาไม่ได้ประโยชน์กับชีวิตตามความเป็นจริง เขาได้สร้างสมบารมีเอาไว้แต่เขาก็ต้องหมุนไปอีก แต่ถ้าเขามาพลิกพิจารณาตรงนี้ พิจารณาตรงที่ว่าจะเข้ามาพิจารณาภายใน จะทำลายอวิชชาตรงนี้ต่างหากถึงว่าจะดับอวิชชาได้ เป็นวิชชา มันถึงต่างกัน โลกกับธรรมต่างกันอย่างนั้น ตัวอวิชชาล้วนๆ นั่นเป็นโลก

ถ้าตัวหมุนเข้ามาเป็นมรรคอริยสัจจัง เป็นโลกุตตระแล้ว นี่เทคโนโลยีของพระพุทธเจ้า ให้หันกลับให้พลิก มันลึกมันอยู่กลางหัวใจ อยู่ในกระแสที่พุ่งออกมาจากพลังงานตัวนั้น พลังงานที่ตัวเองว่าเป็นคลื่นนั่นล่ะ วกกลับมา พอวกกลับมาตรงนี้ ทีแรกมันเป็นโทษ แต่พอเราจิตสงบแล้ว เราก็ต้องใช้ตัวโทษนั้น พิจารณาเอาตัวโทษนั้น เป็นเครื่องล่อให้อวิชชาออกมาเพราะเราเป็นคนจำกัดเรา เราเป็นคนทำของเราเอง อวิชชาอยู่ที่หัวใจ อยู่ที่ตัวภวาสวะ อยู่ที่ตัวพื้นฐานที่ว่าเกิดดับหัวใจของเรา ไม่มีใครสามารถแก้ไขเราได้เลย ไม่มี.. ถ้าเราไม่ทำของเราเอง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงได้ว่าเป็นสยมภูตรัสรู้ด้วยตนเอง แล้ววางเทคโนโลยีตัวนี้ไว้ให้สาวกเดินตาม ผู้จะเดินตามได้ต้องมีจิตที่สงบก่อน จิตที่เป็นพื้นฐาน จิตที่ว่าเป็นคลื่นที่ไม่มีรหัส แต่มันก็ใช้อะไรไม่เป็น เก้อๆ เขินๆ ถ้าไม่มีเทคโนโลยี ไม่มีมรรคะตัวนี้ มรรคนี้ไม่เคยมี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วถึงได้มาประกาศในธรรมจักร สิ่งที่กำหนดต้องกำหนด สิ่งที่กำหนดคือทุกข์ กำหนดทุกข์ไว้ก่อน กิจที่ควรทำคือการชำระ คือการตัดสมุทัย ไปสงบสมุทัยเป็นนิโรธ การนิโรธใช้มรรคอริยสัจจัง

พระพุทธเจ้าวางไว้เลย ประกาศธรรม ในธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ประกาศธรรม ประกาศเทคโนโลยีในหัวใจ ย้อนกลับมาถึงเป็นโลกุตตระที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ มันอยู่ที่ใจนะ ใจคือเรา ใจคือตัวเริ่มต้น ใจคือตัวเสวยสุขและทุกข์ เสวยสุขและทุกข์ของเราเอง ทุกข์ต้องกำหนด แต่เราจะปฏิเสธทุกข์ ทุกคนปรารถนาความสุข แต่การปรารถนาความสุขนั้นคือการเผลอไผล เพราะสิ่งใดก็แล้วแต่ไม่คงที่ จับดีแล้วเดี๋ยวพอดีรอดไปมันจะเป็นชั่ว จับทุกข์แล้วเดี๋ยวไปมันจะเป็นสุข ต้องจับทุกข์แล้วกำหนด เพราะทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ และทุกข์ดับไป

การกำหนดโดยใช้ตัวรหัสล่อออกมา เพราะมีตัวรหัสแล้วมีคลื่นมันส่งไป มันจะมีสูงๆ ต่ำๆ ใช่ไหมคลื่นมีสูงๆ ต่ำๆ มีความแตกต่างกันของคลื่น เราดูช่องว่างระหว่างนั้น เราดูช่องว่างระหว่างความคิด ความคิดที่พาออกไป ตรงนี้เราจะเห็น ถ้าตัวคลื่นเฉยๆ เราก็มองไม่เห็น เราก็จับอะไรไม่ได้ เราถึงไม่เห็นว่าตัวไหนเป็นกิเลส ตัวไหนเป็นตัวเสี้ยม ถึงว่าต้องให้ดับก่อน แยกออกก่อนแล้วค่อยเริ่มต้นใหม่

ถ้าปล่อยโดยปกติมันปล่อยมาเราก็ไม่รู้อยู่แล้ว เพราะปกติอวิชชาปล่อยมาตั้งแต่เกิด ตั้งแต่ก่อนเกิด เพราะจิตนี้เกิดๆ ดับๆ อยู่ มันปล่อยคลื่นมาจนมันเป็นมัน คลื่นเป็นเรา เราเป็นคลื่น ทุกข์เป็นเรา เราเป็นทุกข์ ทุกอย่างเป็นเราทั้งหมด ความเป็นเราคืออวิชชา ความเป็นอวิชชาคือเรา ความคิดต่างๆ นี้เป็นอวิชชาทั้งหมด นี่คืออวิชชา ซึ้งไหม

อยากเห็นอวิชชา เรานี่ล่ะคืออวิชชา ความคิดของเราทั้งหมดนี้คืออวิชชา ดับมันด้วยความสงบก่อน ตัดแข้งตัดขา เราไม่สามารถต่อสู้ได้เลย เพราะยักษ์ พญามารครอบคลุม เจ้าวัฏจักรคลุมทั้งหมดในสามโลกธาตุ แล้วอยู่ที่กลางหัวใจของเรา ควบคุมเรามาแต่ภพชาติไหนก็ไม่รู้ แล้วเราจะมาหักหาญเอาด้วยความง่ายๆ เป็นไปไม่ได้ ถึงต้องทำความสงบ ทำความสงบเพื่อยุบยอบให้กำลังมันอ่อนลง เราจะได้เห็นหน้าอวิชชาของเราเอง

ฉะนั้นถึงต้องต่อสู้ ถึงต้องทำด้วยความรุนแรง มันจะเป็นไปโดยง่ายๆ เป็นไปไม่ได้ เจ้าวัฏจักรฟัง เจ้าวัฏจักร ถูกควบคุมมาขนาดไหน เหมือนกับเรา อยู่ที่พื้นที่แน่นหนาที่ว่าไม่มีใครสามารถทำเราได้เลย มันจะอหังการมาก อันนี้ก็เหมือนกัน เพราะไม่มีเครื่องมือเข้าไปจับต้อง อยู่ในที่ปลอดภัย

เวลาคนเขาลักของเขาขโมยของกัน เขาไปซ่อนกันที่อื่น เราไม่เคยคิดเลยว่าขโมยมันอยู่ในห้องนอนเรา ขโมยอยู่ในเซฟเรา ในเซฟที่เราเก็บของไว้ขโมยมันอยู่ในนั้นเลย อวิชชาก็เหมือนกัน มันอยู่ในกลางหัวใจ อยู่ในเรานี่ มันถึงทำไม่ได้ ตีมือก็เจ็บเรา จะทำร้ายตัวเราเองก็เจ็บเรา ถ้าการทำร้ายร่างกายเป็นแบบนั้น

แต่เวลาการประพฤติปฏิบัตินี้ หักหาญคือหักห้าม หักห้ามคือความไม่ให้มันคึกคะนอง ถ้าทำอย่างนี้มันไม่ได้ทำร้ายเรา แต่มันทำร้ายอวิชชา ทำร้ายความเคยใจ ใจนี้มันเคยเป็นเจ้า มันเคยเป็นนาย มันเคยเป็นผู้บังคับบัญชาเรา ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าไปยับยั้ง ยับยั้งเข้าไปๆ จนคลื่นแยกออก พิจารณาๆๆ พิจารณาจนรู้เท่า มันจะรู้เท่า อารมณ์นี้จะหยุด เราควบคุมอารมณ์ได้แล้ว พออะไรจะเกิดขึ้นเราจะรู้ทันเลย

สิ่งที่เกิดขึ้นนี่เกิดขึ้นเพราะอะไร? เพราะว่ามันมีพื้นฐานในหัวใจเราคิดอยู่แล้ว สติตั้งไว้ ดูสัญญาที่มันเกิดขึ้น ดูสังขารที่ปรุงต่อไป สติทันมันก็หยุด จนหยุดหลายครั้งเข้า มันทันใช่ไหม ความทันของมันคือความทันของปัญญาของเรา มรรคมันทันกับอวิชชา ธรรมเริ่มหมุน ทันเข้ามา ทันเข้ามา

ทันแล้วมันถึงรู้เท่า พอรู้เท่ารู้แจ้ง เกิดไม่ได้ เกิดไม่ได้ เกิดไม่ได้ ถึงจุดหนึ่งเพราะเราทำบ่อยเข้า มันแตกออก แตกออกไปเลย ขันธ์เป็นขันธ์ ที่ว่าเป็นรหัส ขันธ์นี้เป็นขันธ์ออกไปเลย การหลุดด้วยวิปัสสนากับการหลุดด้วยสมาธิ ทีแรกเราแยกออกด้วยการทำใจให้สงบ แยกออกแล้วเราค่อยจับต้องได้ กับการวิปัสสนาจนมันขาดจากสายใยทั้งหมด ขาดจากอุปาทานที่มันเชื่อมอยู่

แต่เดิมเราทันเพราะว่าเราแยกด้วยอำนาจของสมาธิ ถ้ามันแยกด้วยวิปัสสนาญาณ มันตัดทั้งสายใย แยกออกแต่มีสายใย ความกังวล ความคิดถึง ความเป็นสายใยคืออุปาทาน อุปาทานในกายขาด ขาดออกเพราะความตัดบ่อยๆ ตัดจนกระแสนี้ขาดทั้งหมด อุปาทานขาดทั้งหมด แยกออกจากกันหมดเลย อวิชชาบิ่น อวิชชาบิ่นไปแล้ว อวิชชาที่ตกผลึกในหัวใจชั้นหนึ่ง เราลอกออกชั้นหนึ่ง ความตกผลึกในหัวใจ มันก็ลึกเข้าไปอีก ลึกเข้าไปอีก ดูเข้าไปอีก

เพราะเราเริ่มเชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเป็นเวไนยสัตว์ที่มีโอกาส การกระทำมันเป็นขั้นเป็นตอนเข้าไป มรรค ๔ ผล ๔ บุคคล ๘ จำพวก แต่ถ้าเป็นครั้งพุทธกาล หรือครั้งที่ว่าเรามีวาสนา ฟังองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์ต่อหน้าสำเร็จไปเลยนั่น มันเป็นการนั่งทีเดียวขาดหมด ผู้ปฏิบัติง่ายรู้ง่าย แต่ต้องมีวาสนาบารมี

เนยยะคือว่าคนที่มันมีโอกาส คนที่กำลังต่อสู้ มันต้องเป็นมรรค ๔ ผล ๔ ต้องชำระล้างเข้าไปเป็นขั้นเป็นตอน แต่ก็มีโอกาสกว่าคนที่ไม่มีโอกาสเลย ตายเกิดตายเกิดไม่พบพระพุทธศาสนา ไม่มีโอกาสเลย พบพุทธศาสนาแล้วไม่เชื่อ อวิชชาปิดกั้น ไม่ยอมให้เชื่อ ไม่ยอมให้ประพฤติ ไม่ยอมให้ปฏิบัติ ไม่ยอมให้กระทำ เกิดเสียเปล่า การเกิดเสียเปล่าทั้งๆ ที่พบพุทธศาสนา ฉะนั้นเราเป็นเนยยะ พวกเนยยะที่มีโอกาสอยู่ ถึงจะเป็นขั้นตอนที่ว่าช้าแต่ก็มี เพราะมันเป็นกาลเวลา

เวลาตอนเช้าอากาศเย็นสบาย การงานใครทำตอนเช้าออกกำลังกายสดชื่นแจ่มใส ตอนเที่ยงนักกีฬาเล่นตอนเที่ยงตอนกลางวัน นักกีฬาก็บ่น การแข่งขันกีฬาตอนเที่ยงมันต้องใช้พลังงานมากกว่าเขา เรานี่คือนักกีฬาตอนเที่ยง กึ่งพุทธกาลไง นักกีฬาไปเล่นตอนปลาย ตอนเย็น พอใกล้ค่ำมันมืด กีฬานั้นจะมอด ผู้ปฏิบัติปลายๆ ของศาสนามันจะค่ำ พอค่ำมันมืดมันมองกันไม่เห็น กีฬานั้นก็โกงกันได้ แต่ทางโลกเขาเปิดไฟ นี่เปรียบเทียบถึงความเป็นจริง เพราะมันปลายๆ ศาสนา

ศาสนานี้ความเชื่อ หรือเทคโนโลยีมันก็ตั้งไว้ถึงกาลโอกาส แต่ก่อนการพูดในสมัยพุทธกาลก็ฟังกันเข้าใจง่าย มาสมัยนี้เราก็ฟังเข้าใจยาก แต่ถ้ามันเป็นสมัยปัจจุบันก็เข้าใจง่าย ความเข้าใจ กาลและโอกาสจะเปลี่ยนเทคโนโลยีนี้ไป แต่ตัวเทคโนโลยีจริงๆ มันอยู่อย่างนั้น แต่สื่อที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ เพราะในท่ามกลาง ๕,ooo ปีนี้ ไม่มีใครเลย ไม่ว่าจะเป็นสาวกะ คือสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ไว้เป็นสัมมาสัมพุทธเจ้า เกิดได้หนึ่งเดียว เป็นเอกเท่านั้น ถึงว่าเป็นรากฐานอันเดียวกัน แต่กาลและโอกาสการสื่อต่างออกไป

เราเล่นกีฬากันตอนกลางวัน ต้องใช้พลังงานมากแต่ก็มีโอกาสกว่าคนที่เล่นตอนค่ำ เพราะมันจะค่ำไปก่อน ผู้ปฏิบัติง่ายอันนั้นอีกเรื่องหนึ่ง ผู้ปฏิบัติยากเข้าใจตรงนี้แล้วมีกำลังใจ เนยยะกระเสือกกระสนต้องทำต่อไป ทำเข้าไปถึงภายในพิจารณาต่อเข้าไปเลย เพราะสิ่งที่เห็นความขาดความหลุดออกไป ความสุขเกิดขึ้น ความสุขที่เกิดจากสมาธิธรรมอย่างหนึ่ง การเกิดจากการชำระกิเลส ที่กิเลสตกผลึกชั้นหนึ่งหลุดออกไปแล้วกิเลสอวิชชาบิ่นไปนั้น เป็นความสุขมหาศาล

เราเป็นหนี้อยู่ ๔ ส่วน เราได้จ่ายหนี้ไปแล้ว ๑ ส่วน พอเราจ่ายหนี้เราเสีย เราไม่มีเจ้าทุกข์ หรือไม่มีเจ้าหนี้คอยติดตามเราอีกส่วนหนึ่ง คนที่ไม่มีเจ้าหนี้ส่วนหนึ่ง กับคนที่มีเจ้าหนี้พร้อมโดยที่ไม่รู้ ไม่รู้ว่าเป็นเจ้าหนี้เพราะอวิชชา เพราะความไม่รู้ เพราะความหลงครอบงำไว้ กับผู้ที่มีแสงสว่างส่องให้เห็นแล้ว คนที่มีแสงสว่างส่องให้เห็น มันเห็นแนวทางการประพฤติปฏิบัติเริ่มต้นได้ง่ายกว่ามากเลย เพราะการประพฤติปฏิบัติยากมากตรงนี้ ยากมากตรงหาแสงให้เจอ ยากมากตรงเหยียบขึ้นไปกันนี้ อันนี้ยากหน่อย

ถ้าผ่านตรงนี้ไปแล้ว การกระเสือกกระสนไปก็น้ำเข้าไปในคลองแล้ว ต้องไหลไปถึงปลายคลอง เราเข้าไปในกระแสแล้วไปตามกระแส ความง่าย ง่ายตรงนี้ ความง่ายตรงนี้ก็ต้องมุมานะ ความมุมานะ ความพิจารณาดูคลื่นภายใน เพราะว่ามันมีตัวคิด ดีเอ็นเอที่ว่ามันอยู่กับหัวใจ อวิชชามันก็ยังอยู่ เพราะเราตีแค่ชายแดนเข้ามา เราตีชายแดนเข้าไปสู่เมืองหลวง ตัวอวิชชามันอยู่ที่กลางเมืองหลวงนั้น

แต่การปกครอง สายการปกครองออกไป เพราะเมืองหลวงมีอำนาจถึงได้สั่งเมืองขึ้น เมืองชายแดนได้ ความคิดจากภายในออกมาก็เหมือนกัน ทีนี้พออวิชชาบิ่น คือว่ากระแสการปกครองนั้นบิ่นออกไป กระแสของกิเลสที่ออกมาตรงนั้นมันบิ่นออกไป ความบิ่นออกไปนั้น กระแสต้องสั้นเข้า การปกครองนั้นสั้นเข้ามา อันนี้ก็เหมือนกัน แต่ตัวเจ้าวัฏจักรมันอยู่กลางหัวใจ ต้องรุกเข้าไปข้างในอย่างเดียว พิจารณาซ้ำเข้าไป พิจารณาซ้ำถึงความเป็นจริง เราจะต้องหาตัวอวิชชาให้เจอ นี่คือหลานของอวิชชาเท่านั้น ผู้เดินสารของอวิชชาเท่านั้น แต่ถ้าเป็นปกติเขาไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าเลย

การเห็นหน้า เราชำระล้างเข้าไป มันถึงว่าเราคนหนึ่งเท่านั้นที่ว่ามีความสามารถ แล้วมันกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ภายในหัวใจของผู้ปฏิบัตินั้นนะ ผู้ที่ปฏิบัติถึง ผู้ที่ปฏิบัติได้ เป็นสาวก เป็นพุทธชิโนรสโดยเนื้อหาสาระ ไม่ใช่ว่าเป็นแต่โดยทะเบียนบ้าน เป็นแต่ว่าเราเสกสรรปั้นยอว่าเราเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า แต่เป็นลูกศิษย์ที่ว่า เหยียบถึงชายจีวรเลย กับเป็นลูกศิษย์ที่ว่าเป็นเนื้อหาสาระ เป็นสาวกะโดยเนื้อหาสาระ เป็นผู้ได้ยินได้ฟัง คือได้ฟังมาก่อน ไม่ได้ฟังเลยไม่มี

ใน ๕,ooo ปีนี้ สาวก สาวกะผู้ได้ยินผู้ได้ฟังแล้วเดินตาม พอย้อนกลับเข้า กิเลสอยู่ที่เมืองหลวง กิเลสไม่อยู่ที่เมืองอื่น การตีชายแดนแล้วก็ต้องตีเข้าไปที่เมืองหลวง ป่าล้อมเมืองเห็นไหม การเข้าหาอวิชชาก็เหมือนกัน พิจารณาจากอารมณ์ภายนอกที่เราแยกแล้วนั้น พิจารณาซ้ำเข้าไป ซ้ำเข้าไป สิ่งที่ว่าแตก รหัสหลุดออกไปแล้วจากคลื่น ด้วยสายใยด้วยอุปาทานนั้น

ลองดูเข้าไปว่าแล้วมันยังมีอะไรเหลืออยู่ ทำไมมันส่งออกมาได้อีก สายคลื่นสายบัญชายังออกมาได้ ทำไมเขาส่งข้อมูลออกมาได้อีก? การส่งข้อมูลออกมาจากตัวอวิชชาตัวคลื่นนั้น ในเมื่อเราทำลายแล้ว ทำลายในอุปาทาน อุปาทานคือเรา แต่อวิชชามันยังส่งออกมาได้ ส่งออกมาได้เพราะมันยังมีขันธ์ภายใน เราทำลายคลื่น เราทำลายเครื่องรับแต่เครื่องส่งล่ะ? ย้อนกลับ ย้อนเข้าไปดูออกนอกไม่ได้ มีแต่ย้อนเข้าๆ

พอย้อนเข้า มันจับต้องไม่ได้ แต่ถ้าส่งออก ส่งออกหมายถึงว่าอารมณ์ฟุ้งออกมาข้างนอก มันเห็นภาพนอก มันเห็นเป็นวัตถุ เรามองไปข้างนอก เราจะเห็นภาพเห็นอะไรเราจะเพลิน แต่เรานึกย้อนกลับ มันจะไม่เห็นมีอะไรเลย พอไม่เห็นอะไรเลยมันคิดว่า ไม่มีอะไรแล้วไม่น่าทำ งานมันจืดชืด ถ้าส่งออก ติรัจฉานวิชา วิชาทำให้เนิ่นช้า เห็นนิมิต เห็นความอยาก เห็นเทวดา อยากเห็นข้างนอก ส่งออก! นี่ติรัจฉานวิชา อวิชชาจะครอบงำภายใน เขาก็ส่งพวกจารกรรมออกมาทำลายตลอด

การปกครองภายในมันต้องมีหน่วยงานหลายหน่วยงาน เพื่อจะรักษาศูนย์กลางอำนาจอันนี้ไว้ นี้อำนาจของอวิชชาอยู่ที่เมืองหลวงที่กลางหัวใจ การออกมาทำลายออกมาทำให้ผู้ปฏิบัติหลง มันไม่ใช่วิชชาจริง เพราะมันเป็นอวิชชาที่ทำให้เรามึนงง ให้เราเก้อๆ เขินๆ ให้เราผิดพลาดในการประพฤติปฏิบัติ แม้แต่ในการต่อสู้นะ

แต่ถ้าไม่ได้ต่อสู้ คิดออกมาภายนอกก็เป็นโลกียะ เป็นอวิชชาล้วนๆ เลย แต่ถ้าย้อนกลับเข้ามานี้ อันนี้คือธรรม อันนี้คือมรรคอริยสัจจัง อันนี้คือธรรมจักร ธรรมจักรเท่านั้นที่กิเลสกลัว กิเลสคือตัวอวิชชา กลัวอย่างเดียวกลัวธรรม ไม่กลัวสิ่งใดเลย ธรรมคือข้อจำกัด ศีลและธรรม เราตั้งกติกาของเราไว้ เราตั้งกติกาการจะประพฤติ การจะปฏิบัติ การจะนั่ง การจะไตร่ตรอง

อิทธิบาท ๔ พอใจในการไตร่ตรองจิต พอใจในการไตร่ตรองความคิดของตัว พอใจในการไตร่ตรองในคลื่นที่ออกมาพร้อมรหัส ถ้าคลื่นออกมาพร้อมรหัสนี้มันเป็นความรู้สึก มันเป็นอารมณ์ แต่ถ้าเราเอาคลื่นเอารหัสออกอารมณ์จะหมดไปเหลือแต่ความรู้สึก จิตสงบขนาดไหน จะดิ่งขนาดไหน จะมีความรู้ไปตลอด

ความรู้นี้จะไม่ขาดตอนเลย จะรวมลง จะรวมเล็ก รวมใหญ่ จะเข้าไปอัปปนาสมาธิ ขณิกสมาธิ เข้าไปพร้อมกับสติ พร้อมกับการควบคุม การงานชอบ สติชอบเป็นงานความเพียรชอบ หมุนเข้าไปๆ หมุนเข้าไปดูภายในๆ มันก็เป็นงานภายใน เป็นงานของเรา เป็นงานจะมุ่งเข้าสู่เมืองหลวง เข้าไปหาตัวภายใน

พิจารณาเข้าไปจะเห็นเลย เพราะขันธ์นอก ขันธ์ใน ขันธ์ในขันธ์ รหัสมันยังมีละเอียด มีซับมีซ้อนอยู่ มีแต่ตัวแฟ้มก่อน แล้วจะแปรเป็นคลื่นรหัสเข้าไปในเครื่อง ต้องมีบทเริ่มต้น ข้อมูลที่เราเก็บไว้ ข้างในเป็นชั้นๆๆ เข้าไป มันตกผลึกอยู่ภายใน ต้องจำกัดตรงนั้น ตรงตกผลึก ไม่ใช่จำกัดตรงอารมณ์ภายนอก

ถ้าจำกัดอารมณ์ภายนอกข้อมูลภายในมันยังอยู่ ต้องจำกัดข้อมูลการตกผลึกอันนั้นด้วย ถึงจะเป็นสมุจเฉทด้วยความเป็นจริง สมุจเฉทคือการชำระล้างออกด้วยเนื้อหาสาระ ไม่ใช่ชำระล้างด้วยอวิชชาหรอก เราพอหมุนเข้าไป ว่างเข้าไป อวิชชาคือความไม่รู้เท่า กิเลสมันจะบอกว่าจะเป็นอย่างนั้น จะรู้อย่างนั้น จะต้องออกอย่างนั้น เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้แล้วเทคโนโลยีนี้ ในตำรา เทียบเห็นไหม

อวิชชาจะหลอก หลอกทั้งข้างนอก หลอกทั้งข้างใน แม้แต่เข้าไปต่อสู้ก็หลอก ธรรมะตามความเป็นจริงหมุนเข้าไป ดูเข้าไป การดูนี้ถ้าดูด้วยความเผลอสติ มันก็เป็นเครื่องมือของมัน เราจะเข้าไปทำลายมัน มันใช้เราเป็นไส้ศึกในตัวเราเอง ใช้การประพฤติปฏิบัติทำลายตัวเราเองตลอด ฉะนั้นต้องตั้งสติ แล้วมีความมุมานะ ธรรมะครูบาอาจารย์บอกเลย “กว่าจะได้มามันอยู่ฟากตาย”

ส่วนใหญ่แล้วจะเอาคำว่าตายหลอก ทีแรกก็เอาการงาน เอาการประพฤติปฏิบัติ เอาร่างกาย เอาความทุกข์เอาความไข้ เป็นไข้ปวดหัวตัวร้อนเอามาหลอกก่อน แต่ถ้าเราตั้งใจสู้ หรือเราตั้งใจจะเข้าไปเห็นเจ้าวัฏจักร สุดท้ายมันก็เอาความตายมาค้ำคอ สุดท้ายคือว่าต้องตายนะ ต่อไปเราจะพิการ ถ้าเรายังฝืนอยู่ เราจะพิการไป เราจะเสียไป ถึงว่าฟากตาย ฟากตายคือว่าเอาตายก็ตาย ทุกอย่างให้มันเป็นไป เราเคยเกิดเคยตายมาไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ ถ้ามันจะตายเพราะคุณงามความดี มันจะตายเพราะเราจะรอดตาย ให้มันตายไป แต่พออวิชชามาหลอกแล้วส่วนใหญ่ไม่ไหว ส่วนใหญ่จะยอมแพ้ ส่วนใหญ่นะ

ยกเว้นแต่ผู้เป็นอาชาไนย สัตว์อาชาไนย มันต้องกินหรือต้องหาสิ่งที่เป็นความดีเท่านั้น มันถึงจะยอมเชื่อยอมฟัง ความเป็นอาชาไนย ความเป็นเอกบุรุษของผู้นั้น ตายก็ไม่กลัว มันข้ามถึงความตายเข้าไปได้ พอพิจารณาเข้าไปถึงตรงนี้ มันก็อ่อน มันยุบยอบลงเพราะมันเจอธรรม มันสู้ธรรมไม่ไหว กิเลสถึงได้จ้าวเป็นพญามาร พญามารถึงได้อ่อนตัวลง อ่อนตัวลงให้ธรรมะได้เขยิบขึ้น ธรรมะเขยิบขึ้น ธรรมะธรรมจักรหมุนขึ้น

ความอ่อนตัวเขยิบขึ้น มันเสมอกันหรือสูงกว่า พลังของธรรมสูงกว่า พลังธรรมทางปัญญา ธรรมมันหมุนได้ดีกว่า มันถึงชำระให้กิเลสขาดออกไปอีก ความตกผลึกที่ ๒ หมุนเข้าไปข้างใน คราวนี้มันจะเข้าถ้ำเลย มันจะมืดเข้าไปข้างใน เพราะอะไร? เพราะเราได้ตัดไฟฟ้าแล้ว ตัดไฟออกมันจะไม่มีแสงสว่าง

พอไม่มีแสงสว่างอยู่ในความมืดเราจะทำอะไรได้? เพราะในความมืดเราจับต้องอะไรไม่ได้เลย เพราะเป็นความมืดภายใน ต้องขุดค้นหาสิ่งที่มันซ่อนอยู่ในความมืดในหัวใจนั้น พอเราจะเข้าไปทำลายเครื่องภายใน หรือเข้าไปทำลายจุดศูนย์กลางของอำนาจ มันจะต้องสร้างกลไกเอาไว้ปิดกั้นเรา กิเลสนี้ไม่ใช่อ่อนๆ กิเลสนี้ไม่ใช่ของง่ายๆ

เวลาเราพูดเราอยากชำระ เราอยากทำลายสิ่งที่เราหลงใหล เราอยากทำลายสิ่งที่มีอำนาจเหนือเรา แต่เวลาเข้าไปทำลายจริงๆ เพราะมันคือเรา มันเป็นดีเอ็นเอที่อยู่ในความคิดเรา มันอยู่ในใต้ฐานของความคิดเรา ที่เราว่าเราอยากทำความดี เราอยากต่อสู้ เพราะมันมีธรรมะ มีคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์ มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพยาน

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้เป็นผู้ที่ตาสว่าง เป็นผู้ที่ข้ามพ้นกิเลสได้ ถึงชี้ให้เราเห็นว่า นี่ๆๆๆๆ คือกิเลส ถ้าไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้ เราจะไม่รู้อะไรเป็นธรรม อะไรเป็นกิเลสเลย เพราะเป็นเรา สิ่งที่เราทำต้องเป็นสิ่งที่ดีงามหมด แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ฆ่าแล้ว ได้ผ่านไปแล้ว แล้วถึงวางธรรมไว้ ถึงว่ากลัวธรรม กิเลสมันกลัวเครื่องเปรียบเทียบ กลัวเครื่องพิสูจน์

ธรรมะนี้พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว เป็นผู้ตาสว่างแล้ว ผ่านพ้นไปแล้ว ถึงได้เอามาชี้ว่าสิ่งนี้เหนือกว่า สิ่งที่เราทำอยู่ด้วยกิเลสมันหลอก สิ่งนี้คือติรัจฉานวิชา คือวิชาทำให้เนิ่นช้าแม้แต่เราปฏิบัติอยู่ กิเลสมันจะกลัว ถ้าเราไม่เคลิบเคลิ้ม เราไม่หลงใหลในความคิดของเรา เราไม่เคลิบเคลิ้มกับสิ่งที่มันล่อ มันจะล่อเราให้เราเชื่อว่าสิ่งนี้เป็นความจริง สิ่งนี้เราผ่านพ้นแล้ว สิ่งนี้ควรเป็นอย่างนี้ อารมณ์ที่เราเป็นอย่างนี้ เป็นธรรมะด้นเดา อวิชชาหลอกตัวเอง แล้วก็หลอกให้เดาคาดหมายไปอีก

ในความมืดต้องหมุนกลับมาๆ การหมุนเข้าภายใน เพื่อจะเข้าไปขุดคุ้ยให้เจอสิ่งนี้ก่อน สิ่งนี้คือตัวอวิชชา ความตกผลึกอวิชชา จากแสงที่ไม่ค่อยสว่างนัก เพราะเป็นลูกเป็นหลาน กระแสมันออกมามาก กลับให้มันสั้นเข้าไป สั้นเข้าไป แสงข้างในมันจะสว่างขึ้นเรื่อยๆ แต่พอแสงมันสว่างขึ้นเรื่อยๆ ทำไมเราไม่เห็น เพราะมันดับไป เพราะเราจะเข้าไปหามัน

แต่ถ้าจับต้องได้ ถึงจะเห็น อ้อ! เพราะเป็นขันธ์ภายใน แต่เดิมส่งกระแสออกมาต้องมีคลื่นรับ พอถึงภายในแล้วมันเป็นตัวมันเอง ถึงบอกว่าเวลาปฏิบัติ ข้างนอกนี้เป็นสติเป็นปัญญา ถึงจังหวะนี้เป็นมหาสติและมหาปัญญาเท่านั้น ถึงจะเจอ มันเป็นจังหวะเดียวไม่ใช่จังหวะสอง เป็นผู้กระทำผู้เดียว

แต่เดิมมีคู่หูกายและใจนี้เป็นการทำงานร่วมกัน ใจคือนายเป็นคนคิด ออกมาที่กายเป็นบ่าว ทำออกไปร่วมกัน เราพิจารณากายจนหลุดออกไป พิจารณาอุปาทานในกายจนหลุดออกไป ด้วยขันธ์ ด้วยคลื่นและด้วยรหัส ทำลายวัตถุที่มันเป็นตัวรับคลื่น มันก็เป็นคนๆ เดียว หมายถึงว่าเป็นเครื่องส่งอันเดียว เป็นเครื่องส่งแล้วก็ส่งออกมาพร้อมกับเสียงอันนั้น มันอยู่ที่กลางหัวใจ มันถึงได้ยาก

แต่จะยากขนาดไหน ง่ายขนาดไหน ไม่พ้นจากความวิริยะอุตสาหะ เพราะความเพียรชอบ ความอุตสาหะ สิ่งใดที่มีเหตุมีผล สิ่งใดที่เป็นขวากเป็นหนาม อยู่ที่กลางหัวใจ เราเอามือกวาดไปต้องเจอ เสี้ยนหนามอยู่ที่นั่น เอามือกวาดไป มือต้องตำเสี้ยน มีความรก มีความสกปรกโสมมอยู่ที่กลางหัวใจ แล้วเราใช้ธรรมเข้าไปจับ ทำไมเราจะจับเสี้ยนหนามอันนั้นไม่ได้?

เราต้องเจอเสี้ยนหนามที่กลางหัวใจเรานั้น ที่เราไม่เจอเพราะว่าเราโดนหลอก ว่าเป็นเรา พอเราจะลูบไป มันบอกลูบแล้วๆ พอจะทำ มันบอกทำแล้วๆ เป็นอย่างนั้นทั้งหมดเลย นี่คือตัวอวิชชา อวิชชาภายใน ไม่ใช่อวิชชาภายนอก ย้อนกลับเข้าไปจับ ลูบเข้าไปจนเจอ ขุดคุ้ยหาจนพบ การพิจารณาต่อสู้ การพิจารณา การแยกแยะ ๒ คนแยกแยะแยกง่าย คนเดียวอยู่ภายในจะแยกอย่างไร เราจับคน ๒ คนมา ระหว่างกายกับใจ เราจะพิจารณาว่าคนใดผิด? เพราะการลักขโมยหรือการทำความผิด ๒ คนนี้ ต้องซัดกัน หรือ ๒ คนนี้จะต้องมีเหตุมีผลต่างกัน

เราเป็นเราคนเดียว ใจเป็นใจล้วนๆ แล้วต้องสอบสวนตัวเอง แล้วเราจะยอมรับผิดไหม? ฉะนั้นกว่าจะสอบสวนหรือไต่สวน หรือแยกคลื่นที่มันเป็นตัวภายใน คลื่นกับคลื่นแยกกันเอง จากที่ว่ามีเครื่องมือเข้าไปจับแล้วแยก แต่ต้องให้มันแยกตัวมันเอง มันถึงว่าต้องเป็นมหาสติ เป็นมหาปัญญา แยกแยะออกว่า ตัวไหนเป็นรหัส ตัวไหนเป็นคลื่น

เพราะตัวรหัสกับตัวคลื่น การเกิดคลื่นพลังงาน แต่อารมณ์ภายใน คนเดียวก็มีอารมณ์ คนเดียวก็มีความคิดจะลักจะขโมย คนเดียวก็ทำความดี คนเดียวก็ทำความชั่ว เพราะคนๆ นั้นมันมีความคิด มหาสติมหาปัญญาเข้าไปใคร่ครวญตรงนี้ ใคร่ครวญแล้วไม่ใคร่ครวญเปล่า ใคร่ครวญนี้คือปัญญานะ ปัญญาที่เกิดขึ้นจากการทำให้ใจสงบ ถ้าปัญญาอันนี้อ่อนด้อย ปัญญาใช้มากๆ มันฟั่นเฝือ มันอ่อนด้อย เราต้องกลับมาพักสมาธิ

การทำงานที่มันเมื่อยมันล้า มันจะไม่ได้งาน เราก็ห่วงอยากจะได้ด้วยความโลภเห็นไหม ด้วยความโลภ แม้แต่การประพฤติปฏิบัติก็โลภ ความโลภที่ไม่รู้เรื่องก็หลงไปในตัวมันเอง ต้องพัก การพักกลับมาทำความสงบ เพื่อเอาพลังงาน เอาความฉลาด เอาความยับยั้งชั่งใจ เอาความละเอียด ถ้าเข้าไปตรวจสอบแล้วต้องให้ละเอียดรอบคอบ ตัวนี้ต้องกลับมาทำความสงบ แล้วเข้าไปพิจารณาใหม่ๆ ทำอยู่บ่อยๆ เพราะมันเป็นภายใน ทำอยู่แล้วต้องไม่เผลอ ตรวจสอบอยู่ตลอดเวลา

สิ่งที่เป็นภายใน อย่างเช่น เราเป็นฝี แล้วฝีพุแตกออก ความปวดนั้นก็หายไป แผลนั้นก็กระจายออก นี่ก็เหมือนกัน เราตรวจสอบจนถึงจุดหนึ่ง มันระเบิดออก การระเบิดจากภายใน อวิชชาทนไม่ไหว อวิชชาทนการตรวจสอบ ทนความละเอียดรอบคอบของปัญญาไม่ได้ การระเบิดออกจากภายใน ครืนเลยนะ การระเบิดออก อวิชชานี้หลุดออกไปอีก ๑ ส่วน อวิชชาหลุดออกไปอีก ๓ ส่วนแล้วนะ การระเบิดออก คิดดู ตัวเราเองระเบิด เราฝังระเบิดไว้ในกลางตัวแล้วระเบิดออก มันจะเหลืออะไรล่ะ? เราก็ต้องตายสิ! แต่นี่เป็นเรา

ถ้าเป็นกิเลสอวิชชาระเบิดออกนะ ว่างหมดเลย ว่างหมดเลย ความเวิ้งว้างอันนั้น ความเวิ้งว้างกลางหัวใจ ความเวิ้งว้างมันมีความสุข แล้วเราจะรู้ด้วยตามความเป็นจริงว่าอวิชชาได้หลุดออกไป แล้วมันเหลือวิชชาภายในหรือ? อวิชชานี้หลุดออก การที่จะหมุนไปอีกแล้วไม่มี เพราะว่ามันเป็นกามภพ เป็นกามภพแล้วอยู่ที่ไหน?

เราเข้าไปถึง เราทำลายกำแพงเมืองแล้ว เข้าไปในเมืองแล้ว เข้าไปจับเจ้าวัฏจักรมา กษัตริย์ผู้ปกครองเมืองนั้นอยู่กลางใจเมือง ความว่างของเมือง เราทำลายหมดเลย แล้วหาใครเจอ? กษัตริย์เป็นมนุษย์เราจับเรายังมองเห็น แต่เจ้าวัฏจักรสิมันอยู่กลางหัวใจมองไม่เห็นหรอก มองไม่เห็น เพราะมันเป็นตอ มันเป็นตัวพุทโธๆ ผู้รู้ เราว่าพุทโธๆ คำว่าพุทโธเกิดที่ใจ พุทโธละเอียดเข้าไป จนพุทโธกับเราเป็นอันเดียวกัน อันนี้สิเราจะเข้าไปหาผู้รู้ แสงสว่าง

“จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้เป็นผู้ข้ามพ้นกิเลส”

ผู้รู้คือตัวตอของจิต ผู้รู้คืออวิชชา ตัวอวิชชาแท้ๆ คือผู้รู้นั้นน่ะ ตัวที่ว่ารู้ๆ อยู่แล้วมันก็ไม่รู้ตัวมันเอง แล้วก็หาไม่เจอ หาไม่ได้ เพราะมันว่างหมด เราก็ว่างไปด้วย เพราะมันเป็นนามธรรม เราระเบิดร่างกาย ระเบิดขันธ์ทั้งหมดเลย มันเป็นผู้รู้มันไม่ใช่ขันธ์

“อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณํ ... อวิชฺชายเตฺวว อเสสวิราคนิโรธา สงฺขารนิโรโธ...”

สังขารก็ดับ ทุกอย่างก็ดับ แต่ก่อนดับไปเจอตรงไหน? ตัวอวิชชาตัวผู้รู้ ตัวเรา ตัวความรู้สึก อันนั้นคือตัวอวิชชา ตัวที่ว่าว่าง ความรู้นี้เวิ้งว้างว่างหมด ความรู้ตัวเป็นแสงสว่างนะ เวิ้งว้างเป็นแสงสว่าง นั้นคืออวิชชา นั้นคือตอของจิต นี้คือตัวดีเอ็นเอภายในเลย ต้องหาตัวดีเอ็นเอตัวนี้ ตัวเริ่มต้น

เพราะดีเอ็นเอของทางโลก ดีเอ็นเอทางวิทยาศาสตร์หรือวัตถุ มันต้องเจอเลือดถึงเข้าไปตรวจสอบดีเอ็นเอ แล้วมันก็ต้องแปรสภาพไปตลอด เพราะมันเป็นวัตถุ แต่ผู้รู้ตัวอวิชชาตัวนี้ มันพลิก “อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา” ปัจจยาการ “อวิชฺชายเตฺวว อเสสวิราคนิโรธา” อวิชชานี้ดับ จับผู้รู้แล้วระเบิด พลิกจากอวิชชาเป็น “อวิชฺชายเตฺวว อเสสวิราคนิโรธา” ความดับสนิท ตัวผู้รู้ ตัวภายในคือตัวอวิชชา ตัวเริ่มต้นขับเคลื่อนออกมา

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาท่านตรัสรู้แล้วถึงได้เย้ยพญามาร “มารเอยเธอเกิดจากความดำริของเรา” นี่ตัวอวิชชาตัวเริ่มต้น “เธอเกิดจากความดำริของเรา เดี๋ยวนี้เราเห็นหน้าเธอแล้ว เธอจะเกิดอีกไม่ได้เลย” พญามารหน้าม่อยไปเลย พญามารม้านไปเลย อวิชชาจะเกิดอีกไม่ได้ เพราะพลิกจากอวิชชาเป็นวิชชา

ตัวเวิ้งว้าง ตัวที่หาไม่เจอ นั่นล่ะคือตัวอวิชชา เราก็เคลิบเคลิ้ม เราระเบิดร่างออกไปแล้ว ไหม้หมดเลย ว่างหมดเลยเพราะเราระเบิดไปหมดแล้ว ระเบิดขันธ์ ขันธ์คือความคิด ร่างคือเรา คือสัญญา คือความจำภายใน คือสิ่งที่จับต้องได้ที่เป็นอารมณ์ แล้วระเบิดสิ่งนี้ออกไป อารมณ์ก็ไม่มี สัญญาก็ไม่มี ความจำได้หมายรู้ไม่มีหมดเลย มันก็ไปเป็นอวิชชา มันเป็นปัจจยาการ “อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา” ความคิดทั้งหมดที่ว่ามันเป็นอารมณ์ มันไม่มี มันระเบิดไปแล้ว มันเป็นขันธ์ ๕

แต่ตัวขับพลังงานภายใน พลังงานที่ว่ามันเกิดดับพร้อมกัน ไม่แบ่งเป็นกองเป็นขันธ์ ตัวนี้มันถึงว่าเป็นตัวอวิชชา เป็นตัวผู้รู้คืออวิชชา แต่จับต้องไม่ได้เพราะมันเป็นหนึ่งเดียวรวมกัน ภพชาติเกิดดับ อารมณ์หนึ่งๆ ที่เกิดดับ อวิชชาเกิดดับๆ อยู่ภายในหัวใจ มันเกิดพร้อมกัน ไม่ใช่เกิดเป็นปัจจยาการ เกิดพร้อมกันเลย

การเจอตัวนี้เห็นไหม ถึงบอกว่าผู้รู้คืออวิชชา ตัวผู้รู้นั้น ตัวฐานนั้น ตัวแสงสว่างนั้น ตัวเริ่มต้นความคิดนั้น จากอวิชชาเป็น “อวิชฺชายเตฺวว” จากตัวที่ว่ามันเป็นโทษมหาศาล มันเป็นสิ่งที่เริ่มต้นทำให้เราหลงทาง มันเป็นสิ่งที่ควบคุม เป็นเจ้าวัฏจักรที่ควบคุมให้เรา เกิดตายเกิดตายอยู่ เราเข้าไปถึงจุดนั้นแล้วเราพลิกออกจากสิ่งที่ชั่ว จากสิ่งที่หลง พลิกให้มันเป็น เอโก ธัมโม

ดีเอ็นเอที่โลกเขาทำกันมันก็ต้องมีสถิติ แล้วก็มีเชื้อสายต่อไป แต่ตัวพลิกอวิชชาตัวนี้แล้วไม่มี! มันเหนือวิทยาศาสตร์ เหนือสิ่งที่จะพิสูจน์ เป็นสิ่งที่พ้นออกไปเป็นวิมุตติ พ้นออกไปเป็นวิมุตติเลย ไม่มีการเริ่มต้น ไม่มีการชนต่อ ไม่มีสิ่งใดๆ อยู่อีกที่จะมาเจือปนได้เลย มันถึงว่าเป็นวิมุตติพ้นออกไปเลย พ้นออกไปเป็นสิ่งที่ว่าคงที่ คงที่แบบวิมุตติ

นี่คือตัวอวิชชาแท้นะ ที่ว่าหาอวิชชาไม่เจอๆ เพราะไปหากันที่ไหน? ถ้าหาอวิชชาเจอ อวิชชาอยู่กลางหัวใจ อยู่กับเรา อยู่กับเริ่มต้นของความคิดที่ว่าออกมาทั้งหมด ถึงบอกว่าถ้าเป็นความคิดของเรา เป็นวิชาชีพ เป็นอะไรก็แล้วแต่ นั่นคืออวิชชา แต่ถ้าการประกอบอาชีพ หรือการประกอบสิ่งที่เกิดขึ้นมาเป็นปัจจัย ๔ เป็นสิ่งดำรงชีวิตอันนั้นมันต้องทำ เพราะเราเกิดเป็นมนุษย์

มันเหมือนกับ “อวิชฺชายเตฺวว” นี่แหละ จากอวิชชาเป็น “อวิชฺชายเตฺวว” พลิกจากไม่ดีเป็นดี อันนี้ก็เหมือนกัน ถ้าเรารังเกียจ หรือเราเริ่มต้น เราปฏิเสธหมด เราจะเข้าไปไม่ถึงตรงนี้เลย เราต้องเริ่มต้นจากสิ่งที่ไม่ดีพลิกเป็นดี สิ่งที่ไม่ดีพลิกเป็นดีเรียกว่ามรรค มรรคคือเครื่องดำเนิน มรรคคือทางอันเอก มรรคคือสิ่งที่ทอดเข้าไปถึงตัวกลางหัวใจ

สิ่งที่ดี ดีจากการดำรงชีวิต คนที่ทำดีอยู่ในความดีเป็นนิสัย คนที่ดีอยู่ทางโลกพอประพฤติปฏิบัติมันก็จะมีความเข้มแข็งในใจ เพราะสิ่งที่เราเคยเป็นนิสัย เราฝึกหัดจนเป็นนิสัย ขอนิสัย ทำตามนิสัย เราทำตามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอนิสัย เราเป็นลูกศิษย์ตถาคต เราเป็นพุทธชิโนรส เราจะเดินตามเลย ท่านวางไว้หมดแล้ว วางไว้มรรคอริยสัจจัง วางไว้หมด

มรรคคือเครื่องดำเนิน เราเดินตามสิ เพราะเราฝึกนิสัยจากทางโลกเข้ามา ทางโลกคือการดำรงชีวิต เป็นอวิชชาทั้งหมด แต่อวิชชาก็เป็นประโยชน์ถ้าเราใช้มันเป็นประโยชน์ แต่ถ้าเราว่าอันนี้เป็นอวิชชาแล้วก็ง่อยเปลี้ยเสียขา ทำขึ้นไปไม่ได้ สิ่งที่เราจะทำความดีนั้นเป็นอวิชชาทั้งหมดเลย แล้วเราก็จะไม่ได้อะไรเลย

อย่างเช่นกายเรานี่แหละ กายเป็นสิ่งสกปรกหรือ? แต่เกิดเป็นมนุษย์นี้ก็เป็นอริยทรัพย์ มนุษย์สมบัติไง เกิดเป็นมนุษย์ถึงจะมีกายกับใจ ถึงจะได้พิสูจน์ ถึงประพฤติปฏิบัติได้ แต่ถ้าว่าเราพิจารณาให้กายเน่าเปื่อย กายเป็นสิ่งที่ไม่ดี เพราะเริ่มต้นมีทรัพย์ เริ่มต้นมีต้นทุน มีอริยทรัพย์นี้เราถึงประพฤติปฏิบัติได้

ถ้าเรารังเกียจแต่แรก แล้วเราทำลายตัวเราเอง รังเกียจเพราะความโง่ ถูกอวิชชามันหลอก อยากจะให้มันพ้นทุกข์ไวๆ ก็เชือดคอเลย มันก็ตายเปล่า อวิชชาหลอกให้เป็นความผิดพลาด กับเอาอวิชชามาให้เป็นแง่บวก ให้เป็นมรรคอริยสัจจัง มันก็เป็นอวิชชาเหมือนกัน จากอวิชชาด้วยนามธรรม อวิชชาด้วยลูกหลาน อวิชชาด้วยกระแส เดินย้อนกลับเข้าไปจนถึงเจ้าวัฏจักร “อวิชฺชายเตฺวว อเสสวิราคนิโรธา” ดับทั้งหมด ดับด้วยความมุมานะ ดับด้วยการเชื่อฟังครูบาอาจารย์ เชื่อเทคโนโลยี เชื่อธรรมะ เชื่อฟังผู้ที่มีปัญญา

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ที่ตาสว่าง เป็นผู้เปิดตาก่อนแล้วเสวยวิมุตติสุขก่อน ถึงได้มาสอน ถึงได้ห่วงใยสัตว์โลก อยากให้สัตว์โลกพ้นจากทุกข์ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกข์มาก่อน ผู้ที่ผ่านทุกข์ ผู้ที่รู้จักทุกข์ แล้วขยะแขยงเกลียดชังทุกข์ แล้วเห็นคนอื่นอยู่ในท่ามกลางของกองทุกข์ คนที่เคยอยู่ในทุกข์แล้วพ้นจากทุกข์ มันจะรู้จักว่าคนที่ตกอยู่ในมูตรคูถ ขึ้นจากมูตรคูถแล้วชำระล้างร่างกายสะอาดแล้ว มันมีความสุขขนาดไหน

ก็จะบอกให้พวกเราลูกศิษย์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เป็นชาวพุทธ เกิดมาพบพุทธศาสนา พุทธศาสนาวางแนวทางไว้แล้ว พยายามจูงให้เราเดินตามขึ้นไป เราถึงต้องเชื่อฟังผู้ที่มีปัญญาธรรม ปัญญาโลก-ปัญญาธรรม ปัญญาที่สว่าง ผู้ที่ตาสว่าง เราตามืดบอด คลำไป ทั้งมืดด้วย ทั้งบอดด้วย ทั้งคลำไป ทั้งเถียงไป ทั้งไม่เชื่อไป ทั้งจะดึงท่านให้ต่ำด้วย ต้องมาพิสูจน์สิ่งนี้ก่อน พิสูจน์สิ่งนั้นก่อน เชื่อก็ไม่เชื่อ แถมยังจะลบล้างอีกต่างหาก

ให้เห็นโทษอวิชชาที่มันปิดกั้นในหัวใจเรา สิ่งที่พูดมานี้คืออวิชชามันเสี้ยมออกมา เราก็ว่าเราเป็นคนดี เราจะทำให้มันถูกต้อง แต่อวิชชามันไม่รู้เท่า ไม่รู้จริง ไม่รู้ใดๆ เลย รู้แต่ว่ามันสั่งให้คิด นี่คืออวิชชา เข้าไปจนดับสนิทถึงตัวจริงของมัน อวิชชากระแส กับอวิชชาตัวจริงที่มันอยู่กลางหัวใจ แล้วดับได้จริง พอดับได้จริงถึงจะกราบพระพุทธเจ้าด้วยความเต็มใจ กราบแล้วกราบเล่า กราบแล้วกราบเล่าเพราะมหัศจรรย์

สิ่งที่มหัศจรรย์นี้ทำไมมันเกิดท่ามกลางหัวใจเรา สิ่งที่มหัศจรรย์ มหัศจรรย์มาก มันเป็นไปได้อย่างไร ลึกซึ้งขนาดที่ว่ามันเห็นเป็นไปไม่ได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้ได้อย่างไร? ผ่านพ้นไปได้อย่างไร? ที่ว่ากราบๆ กราบตรงนั้น กราบเพราะสิ่งมหัศจรรย์นั้น สิ่งมหัศจรรย์นั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้สัมผัสก่อน ได้รู้ตามความเป็นจริงก่อน แล้วถึงวางไว้ แล้วเราเข้ามาสัมผัส ผู้ที่ปฏิบัติผู้นั้นสัมผัส มันถึงกราบด้วยความซึ้งใจ เต็มใจกราบด้วยความสุดซึ้ง คือสุขแท้ คือสุขที่พระพุทธเจ้าปรารถนาให้พวกที่ประพฤติปฏิบัติ ลูกศิษย์ตถาคต พุทธชิโนรสให้ได้เสพ ได้รู้รสอันนั้น แล้วกราบด้วยความเต็มใจเหมือนกันหมด เอวัง

 

เพิ่มเติมท้ายกัณฑ์

เอวังละ ผู้รู้ ผู้รู้คืออวิชชาสิ เพราะว่ามันรู้โดยไม่รู้ตัวมันเอง ผู้รู้ รู้สิ เพราะรู้ รู้เลยออกหมดเลย รู้ความเป็นไป รู้ออก ตัวผู้รู้ แต่ก่อนจะถึงผู้รู้ เพราะมันลึกลับ มันว่างอยู่ข้างใน มันว่างอยู่ แล้วมันไม่รู้เลย แต่ใช้คำว่าผู้รู้ แต่ตามข้อเท็จจริงไม่มีทางรู้ มันมีพลังงานตัวเดียวรู้ได้อย่างไร?

ใช้คำว่าผู้รู้คือว่า ความรู้สึกภายนอก ใช้คำว่าเป็นความรู้สึกภายนอก ความรู้สึกอันนี้เพราะผู้รู้อวิชชาเลยไม่เชื่อ เพราะมันรู้อยู่ด้วยสติพร้อม คนมีสติสัมปชัญญะ เป็นอวิชชาได้อย่างไร? เป็นสิ! เป็นเพราะตรงนี้ ตรงที่ว่ารู้ภายใน

ตัวอวิชชามันคือตัวเบื้องล่าง เบื้องลึก ตัวข้างล่างเลย ตัวเริ่มต้นของพลังงาน ตัวเริ่มต้นของความคิด ตัวเริ่มต้นของดำริ มโนเจตนา มโนสัมผัส “มโนสมฺผสฺเสปิ นิพฺพินฺทติ” มโนสัมผัส

นี่ตัวผู้รู้ ตัวเริ่มต้น ตัวผู้รู้จึงเป็นอวิชชา ตัวผู้รู้เป็นโดยความเป็นจริง เป็นโดยตามหลักของเขา แต่ภาษาโลก ภาษาความคิด ก็ต้องว่าไปตามภาษาความคิดอันนั้น แต่ภาษาธรรม ภาษาตามความเป็นจริง ผู้รู้คืออวิชชา ต้องเห็นตามความเป็นจริงถึงจะรู้ ผู้รู้เป็นอวิชชาจริงหรือเปล่า? จริง! จริงตามข้อเท็จจริง จริงในเนื้อหาสาระของเขา จริงโดยการเข้าไปเห็นตามความเป็นจริง ผู้รู้คืออวิชชา (เทปสิ้นสุดเพียงเท่านี้)