เทศน์พระ

กลิ่นธรรม

๓๑ ม.ค. ๒๕๖๑

 

กลิ่นธรรม
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๖๑  
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะ ตั้งใจฟังธรรม เพราะเรามาแสวงหาธรรม เรามาแสวงหาความจริงนะ เราไม่ได้มาแสวงหาความเท็จ ความเท็จความลวงโลกมีอยู่ประจำโลกอยู่แล้ว เพราะความลวงโลกนั้นนะมันเป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ทำให้เรามีอวิชชา มีกิเลสตัณหาความทะยานอยากถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ความเกิดเป็นมนุษย์ เห็นไหม สิ่งที่ความเกิดเป็นมนุษย์ก็มีอวิชชา ทุกดวงใจที่เกิดมีอวิชชาทั้งนั้นน่ะ มีกิเลสมากกิเลสน้อยเป็นเรื่องธรรมชาติ เป็นเรื่องสัจจะ เป็นเรื่องความจริง ใครสร้างเวรสร้างกรรมมามากมาน้อยแค่ไหน 

ถ้าใครสร้างกรรมดีมา เห็นไหม พระโพธิสัตว์ๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างแต่คุณงามความดีมา เพราะการสร้างคุณงามความดีมานี่ทศชาติ พอ ๑๐ ชาตินั้นนะ มหาเวสสันดรสละหมดทั้งนั้นเลย ถ้าขอขออะไรก็ให้ ขอลูกก็ให้ ขอเมียก็ให้ ขออะไรก็ให้ ให้ทั้งนั้น เพราะมีความปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ มีความปรารถนาจะเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอนาคต คำว่าอนาคต เห็นไหม สิ่งที่เสียสละๆ เพื่อนี่ทศชาติ ๑๐ ชาติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ต้องสละลูกสละเมีย การสละลูกสละเมียนั้นนะการสละๆ ได้ในภพชาตินั้น

แต่เวลามาเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ได้นางพิมพามาเห็นไหม ได้สามเณรราหุลมาเห็นไหม สิ่งที่สามเณรราหุลนั้นนะเป็นโอรสขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่สิ่งที่เป็นมาๆ มันเป็นด้วยสายบุญสายกรรมไง การสร้างบุญกุศลมาด้วยกันไง การสร้างบุญกุศลมาด้วยกัน พระเวสสันดรเห็นไหม กัณหาชาลีต้องเสียสละนั้นนะ มันมีการส่งเสริมกันมา มีการเกาะเกี่ยวกันมา มีการสร้างเวรสร้างกรรมกันมา 

นี่สหชาติๆ ถึงได้เกิดมาร่วมสหชาติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม นั้นนะสิ่งที่ทำคุณงามความดีมา การที่ทำคุณงามความดีมามันถึงมีหัวใจที่เป็นคุณธรรม มีหัวใจที่คิดแต่เรื่องดีๆ คนเราเกิดมานี่ถ้ามีกลิ่นของความดีอยู่ มันจะต้องรู้จักผิดชอบชั่วดี ผิดชอบ ผิดกับถูกมันต้องแบ่งกันชัดๆ ถ้าคนหัวใจที่เป็นธรรมๆ ไง แต่ถ้าคนมีกิเลสหนาปัญญาหยาบ ความผิดความชอบไม่สำคัญ สำคัญกูได้หรือกูเสีย กูได้นั้นนะถูกต้อง ถ้ากูเสียนั้นนะไม่ได้ นั้นนะกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันไม่มีคุณธรรมไง ถ้ามันมีคุณธรรมเห็นไหม มันต้องรู้จักผิดชอบชั่วดี

ถ้าคนรู้จักผิดชอบชั่วดีจะทำสิ่งใดนี่ทำแต่คุณงามความดีๆ ถ้าเขามีคุณธรรมในใจของเขา ถ้าเขาปรารถนาถึงที่สุดแห่งทุกข์ไง เราเกิดเป็นมนุษย์เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนเห็นไหม เวลาหลวงตาท่านสอน ท่านสอนบอกว่าศาสนานี่เหมือนห้างสรรพสินค้า ใครเข้าไปในห้างสรรพสินค้าแล้วนี่จะได้ทรัพย์สมบัติสิ่งใดไง โดยมากไปตากแอร์ไม่ได้อะไรเลย 

นี่ก็เหมือนกันเกิดมาเป็นชาวพุทธ เกิดมาเป็นมนุษย์เกิดมาพบพระพุทธศาสนา นี่ไม่ได้อะไรเลย ได้แต่ตามกระแสสังคมกระแสโลกไป นี่เห็นเขาบวชก็บวชตามเขาไป เห็นเขาปฏิบัติก็ปฏิบัติกับเขาพอเป็นพิธี แล้วอยากได้ชื่อเสียงด้วยนะ อยากให้เขาเคารพนับหน้าถือตา ขอให้ได้กลิ่นนะ ได้กลิ่น ได้เข้ามาเฉียด ได้กลิ่นได้สีไป แล้วก็จะเอาไปอวดชาวบ้านเขา แล้วชาวบ้านที่ไหนเขาจะยอมรับ มันรับไม่ได้หรอก 

นี่เวลากลิ่นของธรรมๆ นะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมๆ นะ สิ่งที่ดีงามๆ กลิ่นของธรรม ใครๆ ก็ปรารถนาจะได้เฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นั้นเพราะอะไร เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ชำระล้างกิเลสในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์ คำว่ารื้อสัตว์ขนสัตว์คือปรารถนาดีกับบริษัท ๔ คำว่าปรารถนาดีกับบริษัท ๔ ใครเข้าไปใกล้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะได้บุญกุศล จะได้สิ่งต่างๆ เห็นไหม

ดูสิ ในลูกของเศรษฐีตระหนี่ เห็นไหม เวลาเขาร่ำรวยมหาศาล เขาจะรักษาลูกเขา ก็กลัวว่า เดี๋ยวหมอเข้ามาในบ้านเห็นทรัพย์สมบัติจะเรียกราคารักษาแพง นี่เอาลูกชายไปทิ้งไว้หน้าบ้านไง ไม่ให้หมอมาเห็นทรัพย์สมบัติของตน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเล็งญาณๆ อยู่ในตาข่ายญาณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แค่บิณฑบาตผ่านไป แสงฉัพพรรณรังสีฉายแวบไป นี่ลูกเศรษฐีนั้นเห็นแสงนั้นคืออะไร หันไปมององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วปลื้มใจนัก นี่เสียชีวิตลงในขณะนั้นไปเกิดเป็นเทวดานะ 

นี่ใครๆ ก็อยากเข้าใกล้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครๆ อยากได้บุญกุศลจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แค่ให้ได้เข้าใกล้น่ะ ได้เห็นแสงบารมีฉัพพรรณรังสีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยความปลื้มใจนะ ไปเกิดเป็นเทวดานะ ไอ้เศรษฐีนั้น เศรษฐีขี้เหนียวมีลูกชายคนเดียว เวลาลูกชายตายไปแล้วก็เอาไปฝังไว้น่ะ ทุกวันก็ไปคร่ำครวญถึงลูกชายของตนนะ นี่ไงลูกชายไปเกิดเป็นเทวดา จะมาแก้ไขพ่อของตนไง 

นี่ทรัพย์สมบัติพ่อก็มีมหาศาล ถ้าพ่อได้ทำบุญกุศลซะบ้างจะดีกว่าเราอีก ขนาดเราไม่ได้ทำอะไรเลยนะ แค่เห็นแสงฉัพพรรณรังสีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยความปลื้มใจอันนั้นนะ ด้วยบุญกุศลอันนั้นได้ไปเกิดเป็นเทวดาน่ะ เวลาพ่อจะมาคร่ำครวญก็มาก่อนไง มาร้องไห้คร่ำครวญอยู่ไง เวลาพ่อเข้ามานะ เอ๊ะ วันนี้ใครมันมาร้องไห้ก่อนน่ะ เอ็งมาร้องไห้อยู่ทำไมน่ะ ร้องไห้จะเอาดาวเอาเดือนไง เอ็งจะบ้าเหรอ เอาดาวเอาเดือนมันมาจากไหน แล้วมึงจะบ้าเหรอ คนตายไปแล้วจะมานั่งคร่ำครวญอยู่อย่างนั้นน่ะ

  เวลาลูกมันอยู่ก็ไม่รักษามัน ไม่ดูแลมัน ด้วยตระหนี่ถี่เหนียวไง ทรัพย์สมบัติก็มีไม่รู้จักใช้ประโยชน์ไง นี่ได้คิดเห็นไหม ดูสิ คนเวลาเข้าใกล้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เขาได้ประโยชน์อย่างนั้นนะ เขาถึงจะเข้าใกล้นะ นี่กลิ่นของธรรม กลิ่นของธรรมมันหอมทวนลม มันหอมขจรขจายไปทั่ว แล้วกลิ่นของธรรมเพราะเขาทำดีจริงๆ ของเขา เขาทำด้วยเนื้อหาสาระด้วยความเป็นจริงไง ไม่มารยาสาไถยไง ถ้ามารยาสาไถย ได้กลิ่นไง อยากจะได้เป็นอย่างนั้นไง แล้วมันไม่เป็น มีความทุกข์ความยากทั้งนั้นนะ

  เราอยากจะให้เขานับหน้าถือตานะ ใครจะนับหน้าถือตา แล้วทำความเป็นจริง ความเป็นจริงมันมาจากไหน ความเป็นจริงมันจากการกระทำนั้นนะ ถ้ามันจากการกระทำนั้นนะ เห็นไหม ไปอยู่ที่ไหนมันก็เป็นอย่างนั้นนะ ไอ้นี่ไปอยู่ไหนก็แล้วแต่ต้องการให้เขายอมรับๆ หมามันก็ไม่รับ แต่ถ้าเป็นความจริงๆ เป็นความจริงของมันในตัวของมันเอง ใครจะรับไม่รับเป็นเรื่องของเขา มันเป็นเรื่องของเขาไง 

ในโลกนี้มีคนดีและคนชั่ว มีคนโง่และคนฉลาด เวลาคนที่เขาฉลาดเขาแสวงหาของเขา เขาก็ได้ประโยชน์ของเขา ไอ้คนโง่นะ เห็นไหม มันเหยื่อทั้งนั้นนะ แล้วต้องการให้คนโง่มานับถือใช่ไหม ถ้าเราสร้างภาพมันก็มีแต่ไอ้คนโง่เท่านั้นนะมานับถือ ไอ้คนดีเขาไม่นับถือหรอก เขาดูออก เขารู้ นี่มันเป็นไปไม่ได้หรอก กลิ่นของธรรมๆ ต้องให้มันตามความเป็นจริง ไม่ใช่มารยาสาไถย จะให้มันเป็นขึ้นมาด้วยความพอใจของตน แล้วคิดว่าตัวเองแนบเนียนนะ ความลับไม่มีในโลกหรอก นี่ความลับตัวเองรู้ คนทำนะมันรู้ 

นี่ก็เหมือนกันเวลาคนที่มาปฏิบัติเขาอวดอ้างกันว่าบรรลุธรรมๆ นี่เราไม่เชื่อหรอก มันเป็นไปได้อย่างไร ถ้ามันบรรลุธรรมมันต้องมีคุณธรรมในใจของมัน ถ้ามีคุณธรรมในใจของมัน เห็นไหม แร่ธาตุนะ ธาตุอะไรมันก็เป็นแบบนั้นแหละ ธาตุธรรมๆ ถ้าธาตุมันเป็นธรรมมันก็ต้องธรรมวันยังค่ำ มันจะไปอยู่ที่ไหนมันก็เป็นธรรม ไปอยู่บาดาลก็เป็นธรรม ไปอยู่นรกก็เป็นธรรมถ้ามันเป็นธรรม ไอ้นี่มันไม่เป็นธรรม ความไม่เป็นธรรมมันอยู่ที่ไหนมันก็ไม่เป็นธรรมทั้งนั้น มันเอียงกระเท่เร่ แต่กิเลสมันอยากจะเป็นธรรมมันเป็นไปไม่ได้

ไอ้ที่เรามากันอยู่เนี่ยเรามาชำระล้างกิเลสไง นี่สิ่งที่จะชำระล้างธรรมวินัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะโง่หรือฉลาดมันก็ต้องอยู่ในธรรมวินัย อย่าก้าวล่วงธรรมวินัย ถ้าก้าวล่วงธรรมวินัยนะ นั่นน่ะเหยียบหัวพระพุทธเจ้าแล้วแสดงธรรม เหยียบหัวพระพุทธเจ้าไป นี่ดูสิ เวลาหลวงตาท่านพูดไง เราเองคือตัวหลวงตาท่านเองนะ ท่านบอกว่าจะทำให้มันสมบูรณ์แบบธรรมวินัยทั้งหมดมันเป็นไปได้ยาก แต่ก็จะพยายามทำให้ผิดน้อยที่สุด จะทำมันเป็นได้ยากเพราะจริตนิสัยไง ก็ความว่าเป็นนิสัยๆ นี่นิสัยอย่างหลวงตานิสัยอย่างครูบาอาจารย์ของเรานี่มันไม่มีกิเลสแล้วล่ะ

นี่คำว่านิสัย ก็มันทำด้วยความถนัด มันจะบิดเบือนบ้าง บิดเบี้ยวๆ เห็นไหม นี่เราพยายามเหมือนกัน แต่คำว่านิสัยๆ อย่างนั้นไง ถ้านิสัยอย่างนั้นนะ เห็นไหม มันทำของเขาด้วยสติวินัย ไอ้นี้บ้าบอคอแตก อยากเข้าไปนะ อ้างถึงหลวงปู่ตื้อนะ หลวงปู่ตื้อเป็นอย่างนั้นๆ แล้วหลวงปู่ตื้อท่านประพฤติปฏิบัติมาจนสิ้นกิเลสไปทำไมไม่ทำตรงนั้น หลวงปู่ตื้อท่านประพฤติปฏิบัติของท่าน ท่านทำความจริง ไอ้ตรงทำนั้นนะทำไมไม่พูดถึง ไอ้เวลาเหตุที่ทำเป็น คุณธรรม ทำให้มันเป็นการชำระล้างกิเลสไม่พูดถึง 

แต่ความถนัดของหลวงปู่ตื้อนิสัยของท่านเป็นอย่างนั้นๆ แต่หลวงปู่มั่นท่านยอมรับน่ะ คำว่าหลวงปู่มั่นยอมรับแสดงว่ามันเป็นความจริงในใจ เห็นไหม นี่ดูสิ เวลาไปอยู่กับหลวงปู่มั่น เวลาเขาแจกอาหารอยู่ เห็นไหม หลวงปู่ตื้อท่านฉันระหว่างแจกอาหารนั้นนะ 

“ตื้อ ทำไมทำอย่างนั่นนะ” 

“อ้าว ก็ผมหิวน่ะ” 

หลวงปู่มั่นเป็นพระอรหันต์นะ เป็นอาจารย์ที่แพรวพราวเพียบพร้อมด้วยอาวุธที่จะปราบกิเลสในใจของลูกศิษย์ แต่ด้วยการกระทำของหลวงปู่ตื้ออันนั้นนะ ด้วยความแพรวพราวด้วยความรู้เท่า เห็นไหม นี่ตื้อทำไมทำอย่างนั้นล่ะ ก็ผมหิวน่ะ คำว่าก็ผมหิวมันเป็นข้อเท็จจริงนะ มันเป็นธรรมะอันหนึ่งนะ

คนเรา เห็นไหม โรคหิวเป็นโรคประจำตัวของคนทั้งนั้น ก็ผมหิวมันก็เป็นเรื่องจริง ก็ผมหิว ผมหิวผมก็ฉัน นี้ก็เป็นธรรมอันหนึ่ง เป็นธรรมอันหนึ่งเพราะมันเป็นความจริง เป็นความจริงจนหลวงปู่มั่นท่านพูดไง “ใครอย่าเอาอย่างท่านตื้อนะ ท่านตื้อนั้นเป็นสมบัติส่วนตัวของท่าน ใครจะเอาสมบัติอย่างนี้ไม่ได้” ใครอย่ามาเลียนแบบ ใครอย่ามาดัดจริต ใครอย่ามาสร้างภาพ

แต่ความเป็นจริงนั้นมันทำต่อหน้าหลวงปู่มั่น แล้วหลวงปู่มั่นท่านก็รับสัจจะความจริงอันนั้น คือความจริงมันเป็นความจริงวันยังค่ำ อยู่ที่ไหนก็เป็นความจริงไง นี่กลิ่นของธรรมๆ มันเป็นความจริงอย่างนั้นไง ถ้ามันเป็นความจริงอย่างนั้น ถ้าไม่ยอมรับความจริงนี่ แต่เพราะเป็นความจริงของหลวงปู่ตื้อที่ท่านพูดจริงๆ เป็นความรู้สึกจริงๆ เป็นสัจธรรมจริงๆ แล้วพูดจริง

แต่โดยทางโลก สังคมโลก เห็นไหม เราก็หิวกันทั้งนั้นน่ะ แต่เวลาเราหิวเรากระหาย เห็นไหม แต่เรามีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ถ้ามันหิวๆ มันก็อ้างว่าหิวไง ใครไม่หิวบ้าง หิวน้ำ หิวข้าว หิวต่างๆ มันก็หิวทั้งนั้น แต่ความหิวมันก็เกิดดับนะ ความหิวความกระหาย เห็นไหม ดื่มน้ำมันก็หายหิว เวลามันหิวข้าว เห็นไหม หิวข้าวรุ่งขึ้นพรุ่งนี้เช้าบิณฑบาตมาฉันมันก็หาย พอมันไม่หายขึ้นมาแล้วนี่ ถ้ามันหิวมันกระหายมันหิวก็กิเลสแล้วล่ะ กิเลสมันเห็นสังคมเขากิน ๘ มื้อ ๑๐ มื้อมันจะกินตามเขา เห็นเขาสะดวกสบายมันจะไปตามเขา มันมองไปทางโลกไง มันมองไปทางโลกคิดว่าสิ่งนั้นจะเป็นความสุขไง

  สิ่งที่กินอิ่มนอนอุ่นเป็นหมูนั้นนะ มันจะเป็นความสุขไง แต่ในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง การชักฟืนชักไฟออกจากกองไฟนั้นจะเป็นการดับไฟ การหิวการกระหายโดยกิเลสตัณหาความทะยานอยากนะ ถ้ามีศีลมีธรรมคอยตรวจสอบคอยชักกิเลสตัณหาความทะยานอยากออกจากหัวใจอันนั้นจะเป็นการประพฤติปฏิบัติไง การหิวการกระหายของกิเลสตัณหาความทะยานอยากไร้สาระ

  เวลาหลวงปู่ตื้อท่านบอกว่าท่านหิวไง ไอ้เราก็หิวเหมือนกันไง แต่หิวของเรา เราหิวแบบสวาปามไง หิวจะปรนเปรอกิเลสไง หิวเพื่อจะกินให้กิเลสมันพอใจไง หิวเพื่อศักยภาพของความเหนือกว่ามนุษย์ไง หิวเพื่อจะอวดเขาไง ว่าเรามีศักยภาพไง ความหิวกระหายของกิเลสตัณหาความทะยานอยากไง มันไม่ใช่ความหิวแบบธรรมชาติไง

นี่ไงถ้าธรรมกับกิเลสมันแตกต่างกัน แต่ด้วยความดัดจริต พอได้ยินได้ฟังขึ้นมาก็จะดัดจริตจะทำให้เหมือนไง มันจะเหมือนไปไม่ได้หรอก เพราะมันเป็นมารยาสาไถย แต่ถ้ามันเป็นความจริงๆ นะการกระทำนะ ความจริงเป็นความจริง ธรรมเป็นธรรม ธรรมเหนือโลก  ธรรมเหนือโลกมันแสดงออกโดยสัจธรรม มันไม่ได้ทำเพื่อมารยาสาไถย มันไม่มีสิ่งใดจะไปเติมเต็มหรือจะไปทำให้บกพร่องในดวงใจของพระอรหันต์เป็นไปไม่ได้ 

สิ่งที่อยู่นี้สอุปาทิเสสนิพพาน สอุปาทิเสสนิพพานมันคือเศษส่วน ชีวิตที่เหลือนี่มันเศษทิ้ง แต่เขาอยู่กันนะ เขาอยู่เพื่อจรรโลงศาสนา เขาอยู่กันเพื่อความร่มรื่นในศาสนาว่าศาสนานี่มีคุณธรรม มีสัจธรรมจริงในใจของครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นธรรม ความเป็นอยู่อย่างนั้นนะธรรมในใจนะมันเลอเลิศนะ สิ่งเศษทิ้งนะ เศษทิ้งของเหลือเดนนี่ มนุษย์กินเดน พวกมนุษย์กินเดนเห็นไหม พระภิกษุฉันอาหารเสร็จเหลือแล้วนี่แจกให้กับพวกเป็นเดียรถีย์ เห็นไหม พวกมนุษย์กินเดน 

แต่ภิกษุเห็นไหม เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง บิณฑบาตนี่บาตรปัตตัง บาตรเลี้ยงชีพๆ มาเพื่อประพฤติปฏิบัติไง เราไม่ได้กินเดน เราหาของสดๆ ร้อนๆ จากในหัวใจของบริษัท ๔ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาที่เขารื่นเริง เขาชื่นชม เขาอยากได้บุญกุศลของเขา เขาอยากทำทานของเขา นี่ปฏิคาหกไง ภิกษุผู้มีคุณธรรมในหัวใจ เช้าออกบิณฑบาตเลี้ยงชีพ เช้าออกบิณฑบาต เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโปรดสัตว์ไง ไอ้เราไปให้สัตว์โปรดไง

วันนี้เขาจะใส่อะไรเราเนาะ โอ้ วันนี้อยากจะกินไอ้นั่น วันนี้อยากจะกินไอ้นี่ แหม ส่งซิกไปบอกเขาเลยนะ ถ้าทำอย่างนี้แล้วจะได้บุญเยอะ ถ้าทำอะไรที่ถูกใจจะบุญมาก ถ้าทำอะไรไม่ถูกใจ ของต่ำทราม ของไม่มีรส ไม่มีคุณค่า ทำแล้วไม่ได้บุญหรอก ของอะไรที่มันเลอเลิศทำมาแล้วบุญเยอะๆๆ ไอ้พวกเปรต! พวกเปรตพวกผี นั้นนะมันทำของมันอย่างนั้น 

แต่ถ้าเป็นความจริง นี่ไง กลิ่นของธรรมๆ กลิ่นของครูบาอาจารย์ของเรา เห็นไหม แล้วถ้าครูบาอาจารย์ของเรา ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่เทศนาว่าการปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ เห็นไหม เวลาเป็นหมู่เป็นคณะขึ้นมา เทวทัต เทวทัตนะมาขอปกครองสงฆ์ ขอพร ๕ ประการ ให้อยู่โคนไม้เป็นวัตร ให้บิณฑบาตเป็นวัตร ห้ามรับกิจนิมนต์ ห้ามอยู่ในบนกุฏิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ให้สักอย่างหนึ่งเลย นี่เวลาเขาแอคชั่น เวลาเขาทำ นี่ไง เวลาเขาทำมันโดยความกิเลสไง ด้วยความการอยากปกครองสงฆ์ไง แล้วก็เอาธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเป็นตั้ง แต่จะให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารับรอง ว่าต้องให้ภิกษุทำอย่างนั้นไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ให้

ถ้าใครมีอำนาจวาสนาอยากทำอย่างนั้น เราตถาคตอนุญาต แต่จะบังคับให้ทุกๆ คนทำมันเป็นไปไม่ได้ คนเราเกิดมานี่จริตนิสัยของคน เห็นไหม เศรษฐีกุฎุมพีมาบวชเป็นพระ คนที่เขาเคยสุขรื่นเริงมาในโลก แล้วจะไปบังคับเขาอย่างนั้น มันก็ปิดโอกาสของเขา แต่ถ้าเขาเข้ามาแล้วนี่ เขาจะมีอำนาจวาสนามากน้อยขนาดไหน แต่เวลาเขาบวชมาแล้วนี่ เขาจะเข้มข้นขนาดไหน นั้นเป็นวาสนาของเขา เป็นการตัดสินใจของเขา ถ้าใครปรารถนาทำเราอนุญาต แต่ถ้าใครยังไม่ปรารถนาทำ จะยังอยู่ในศีลในธรรมอย่างนี้ก็ยังได้ นี่ไงเวลากลิ่นของธรรมๆ ในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามัชฌิมาปฏิปทาด้วยความสมดุลความพอดีของการกระทำ ความสมดุลความพอดีของวาสนา ความสมดุลความพอดีของความเพียร ความพอดีของคนที่จะประพฤติปฏิบัติมันเป็นความเพียรความพอดีของเขา ถ้าความพอดีของเขานะ แล้วถ้าเขาทำแล้วคนที่มีอำนาจวาสนาเขาก็จะเพิ่มพูนของเขามากขึ้นไปๆ นั้นนะกลิ่นของธรรมๆ กลิ่นของธรรมต้องเป็นแบบนั้น 

  เวลาหลวงตาท่านศึกษานะจนเป็นมหา ถ้าเราเป็นมหาเราจะออกปฏิบัติ แล้วเวลาออกปฏิบัติแล้วนี่จะปฏิบัติที่ใคร เห็นไหม เราคิดถึงหลวงปู่มั่นๆ คำว่า “คิดถึงหลวงปู่มั่น” ท่านบอก เราได้ยินกิตติศัพท์กิตติคุณของหลวงปู่มั่นมาตั้งแต่ท่านเป็นเด็กๆ ท่านอายุเด็กๆ นี่กลิ่นศีลกลิ่นธรรมของหลวงปู่มั่นท่านขจรขจายไปทั่วประเทศ ขจรขยายไปในชาวพุทธ นี่กลิ่นของธรรมๆ ท่านปรารถนาเลยนะ ว่าจะต้องไปฝึกฝนกับท่านอาจารย์ของท่านองค์เดียวคือหลวงปู่มั่น ไปอยู่ที่ไหนคนพยายามจะเหนี่ยวรั้งไว้ เพราะว่าเป็นคนดีไง คนดีหมายถึงว่าคนขยันหมั่นเพียร คนใฝ่ดี คนเอาดี

คนเอาดีเวลาไปอยู่ที่ไหนก็ทำข้อวัตรปฏิบัติขึ้นมา เห็นไหม ไปอยู่หนองคายนั้นนะ โยมมาขอให้อยู่นั่น ท่านบอกว่าท่านปรารถนาจะไปฝึกหัดกับหลวงปู่มั่นเท่านั้นๆ เวลาไปถึงหลวงปู่มั่นนะ นี่มหามาหาอะไรนี่ โดนทันทีเลย ปรารถนาไปหาความจริงนะๆ นั้นก็คือความจริงไง ความจริงอันนั้น เห็นไหม พยายามจะชี้นำให้เข้าถึงในหัวใจไง เวลาจิตมันเสื่อมก็ไปหาหลวงปู่มั่นไง 

เวลาไปหาหลวงปู่มั่น เห็นไหม “มหา จิตนี้เหมือนเด็กๆ นะ มันต้องการอาหารของมัน นี่จิตมันเสื่อมไปหมดแล้วมันต้องการอาหารของมัน ให้พุทโธไว้ๆ นั้นนะ ถ้าพุทโธๆ ไว้นั้นนะ คืออาหารของจิต แล้วถ้ามันหิวมันกระหายเด็กนั้นถ้ามันไปถึงสุดฤทธิ์ของมันแล้วนี่ มันต้องกลับมาหาอาหารของมัน” ถ้ามันไม่หาอาหารมันก็ตาย นี่จิตเวลามันดื้อมันรั้นเพราะมันเสื่อมไปโดยความสะเพร่าความไม่ละเอียดรอบคอบในการประพฤติปฏิบัติของตน ตนที่คิดปรารถนาดีๆ ตั้งใจทำดี แล้วมีอำนาจวาสนามา คำว่ามีอำนาจวาสนามาเพราะอะไร เพราะถึงที่สุดแล้ว หลวงตานั่นนะท่านปฏิบัติจนสิ้นกิเลสไป ท่านเป็นพระอรหันต์องค์หนึ่ง

การที่เป็นพระอรหันต์องค์หนึ่งแสดงว่าต้องมีอำนาจวาสนา ต้องมีจริตนิสัยที่สร้างสมมา การสร้างสมมา เห็นไหม แต่เวลาไปหาหลวงปู่มั่นจิตมันเสื่อมๆ เสื่อมด้วยความสะเพร่า เสื่อมด้วยความไม่เท่าทันกิเลส เสื่อมไปเพราะว่าไม่รอบคอบไง เวลาไม่รอบคอบเพราะตัวเองก็ฟื้นฟูขึ้นมาไม่ได้ไง แล้วมันจะไปข้างหน้าก็ไม่ได้ จะไปถอยหลังก็ไม่ได้ไง เวลาไปถึงหลวงปู่มั่นไง ให้ระลึกพุทโธไว้ๆ กลับไประลึกพุทโธ ๓ วันแรกอกแทบแตก เพราะมันปล่อยตามสบาย เพราะถือว่าเวลาบวชครั้งแรกจากอุปัชฌาย์ท่านก็พุทโธ เรียนอยู่ ๗ ปีทำความสงบได้ ๓ ครั้ง ๗ ปี เรียนด้วยปฏิบัติด้วย ทำความสงบได้ ๓ ครั้ง นี่เวลาครั้งที่ ๔ ขึ้นมามันเสื่อมหมดเลย ทำดีมากออกปฏิบัติใหม่ๆ นี่เข้มข้นมาก จิตนี้นิ่ง เข้มข้น กำหนดดูจิตเฉยๆ เพราะว่ามีการศึกษา ฉลาด ไม่ได้กำหนดพุทโธ เวลาไปหาหลวงปู่มั่นน่ะ หลวงปู่มั่นให้กลับมาพุทโธๆ กว่าจะกลับมาพุทโธนะ ๓ วันแรกอกแทบระเบิด มันดื้อด้าน จิตนี้ปล่อยไม่ได้ ถือตัวถือตนว่าฉลาด ถือตัวถือตนว่ามีความรู้ เวลามีความรู้ขึ้นมานี่ความรู้ของกิเลสไง ไม่ใช่ความรู้ของธรรมไง ทั้งๆ ที่ศึกษามาจบมหานะ

เวลาไปหาหลวงปู่มั่น เห็นไหม กลิ่นของศีลกลิ่นของธรรมไง กลิ่นของธรรมคือ คุณธรรมในใจของหลวงปู่มั่น กลิ่นของธรรมคือข้อวัตรปฏิบัติของหลวงปู่มั่น กลิ่นของคุณงามความดีของหลวงปู่มั่น กลิ่นถึงสัจจะความจริงที่หลวงปู่มั่นท่านปฏิบัติของท่านได้แล้ว ท่านรอบรู้ไปหมดน่ะ ท่านถึงว่าให้กำหนดพุทโธๆ ไง พอกำหนดพุทโธ ๓ วันแรกอกแทบระเบิดเพราะอะไร เพราะมันปล่อยจนเคยชินไง นี่มันปล่อยจนกิเลสมันท่วมหัวไง

สามสี่วันนะอกแทบระเบิด แต่เวลาทำไปทำแล้วมันก็เป็นจริงขึ้นมา เห็นไหม เป็นความจริงขึ้นมา เวลาท่านระลึกย้อนหลังไป สอนเหมือนเด็กๆ เด็กๆ คือเบสิกเริ่มต้นของการฝึกหัดในการปฏิบัติ ทั้งๆ ที่มันคิดว่าปฏิบัติแล้วนี่เราจะมีหลักมีเกณฑ์ของเราไง พื้นฐานนะมันยังทำไม่เป็นเลยไง แต่เวลามันทำเป็นขึ้นมา เห็นไหม สิ่งที่ทำขึ้นมานี้เพราะอะไร นี่ไงกลิ่นของศีล กลิ่นของธรรมไง กลิ่นของศีลกลิ่นของธรรม เห็นไหม เวลาท่านอยู่กับหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นฝึกหัดท่าน หลวงปู่มั่นเป่ากระหม่อมเรามาๆ ไง ทั้งข้อวัตรปฏิบัติไง 

นี่จิตที่มันสงบระงับขึ้นมาได้นี่มันต้องสติ จิตที่มันสงบระงับได้มันต้องมีพุทโธ ถ้าคำว่าพุทโธคือคำบริกรรม บริกรรม เห็นไหม กรรมฐาน ๔๐ ห้องไง การกระทำนี่มันมีเหตุมีผล มีวัตถุมีสิ่งที่จับต้องได้ ความจับต้องได้จิตมันจับต้องเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมา ไม่ใช่อากาศธาตุ ทำสิ่งใดก็คว้าน้ำเหลว ทำสิ่งใดก็ไม่มีสิ่งใดเป็นชิ้นเป็นอันไง มันต้องเป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมา เห็นไหม มันจับต้องของมันได้ไง จับต้องด้วยนามธรรม จับต้องโดยสติ จับต้องโดยปัญญาไง เวลามันเป็นจริงๆ ขึ้นมา เห็นไหม มันกำหนดพุทโธๆ เข้ามาจนมันสงบระงับขึ้นมา

  เวลาอยู่กับท่าน มีข้อวัตรไว้เป็นที่เครื่องอยู่ของจิตๆ นี่กรรมฐาน หลวงปู่มั่นท่านวางเป็นหลักมา หลวงปู่มั่นท่านเป็นอาจารย์ใหญ่ของกรรมฐานนี่ เห็นไหม ข้อวัตรปฏิบัติๆ เป็นเครื่องอยู่ของจิตๆ ถ้ามันมีที่เป็นเครื่องอยู่แล้วนี่มันเป็นเครื่องอยู่ของมัน เห็นไหม ให้มันเกาะอยู่สิ่งนี้ อย่าให้กิเลสมันท่วมหัวไง นี่กลิ่นของธรรมๆ เหยียบย่ำไปตลอด กูเก่ง กูแน่ กูรู้ แต่ทำเหี้ยอะไรไม่เป็น ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน วินัยก็เหยียบมันไป ทำอะไรก็ตามใจกู กูเป็นผู้มีอำนาจ นี่ไง นี่กลิ่นของธรรมเหรอ กิเลสทั้งนั้น แล้วเอากิเลสมาแล้วจะมาเหยียบย่ำคนอื่นไง คนอื่นต้องทำตามเราๆ ใครจะทำตาม

  นี่ใครจะโง่ใครจะฉลาดมันต้องมีธรรมวินัยเป็นเครื่องชี้วัด ผิดเป็นผิด ถูกเป็นถูก ผิดก็คือผิด แล้วมีใครบ้างบอกว่าทำผิดแล้วเป็นถูก แล้วเราจะเอาแต่ความพอใจของตน เหยียบหัวมันไปใช่ไหม คนอื่นไม่ใช่คนเหรอ คนอื่นก็คนทั้งนั้นนะ แล้วคนที่มีน้ำใจด้วย คนที่มีจรรยาบรรณด้วย คนที่รู้ผิดรู้ถูกด้วย คนที่มีมารยาทด้วย เขาเก็บไว้ในใจ เขาไม่พรั่งพรูออกมา นี่กลิ่นของศีลกลิ่นของธรรมไง ถ้ากลิ่นของศีลกลิ่นของธรรม เห็นไหม มันอยู่ที่ไหนมันก็เลอเลิศ มันอยู่ที่ไหนมันก็ขจรขจายไปทั่ว 

  นี่หลวงตาท่านพูดเอง เราได้ยินชื่อเสียงของหลวงปู่มั่นตั้งแต่ท่านเด็กๆ เวลาเข้าไปหาหลวงปู่มั่น เห็นไหม เวลาอยู่กันทางโลกนะ ท่านบอกนะ เหมือนพ่อกับลูก พระ เห็นไหม คนที่ดีที่สุดก็มาบวชพระ คนที่มีอำนาจวาสนาก็มาบวชพระนะ คนที่สิ้นไร้ไม้ตอกก็มาบวชพระ ในวงพระนี่มีทั้งดีและชั่ว มีทั้งดีและเลว ถ้ามีสังคมที่เลวทรามก็มีการแข่งขันแย่งชิง ชิงดีชิงชั่ว อยากจะได้ความชั่วกัน มันคิดว่ามันดีเพราะหัวใจมันชั่ว 

  แต่พระที่ดีๆ นะ เขาดูแลเขาอุปัฏฐากกัน อุปัชฌาย์อาจารย์ เวลาอุปัชฌาย์กระสันอยากสึก นี่สัทธิวิหาริกต้องคอยเหนี่ยวรั้งไว้ คอยช่วยดูแลไว้ สัทธิวิหาริกอยากสึกกระสันอยากสึก อุปัชฌาย์อาจารย์ท่านจะควบคุมดูแลไว้ นี้ถ้าเป็นพระที่ดี เพื่อนที่ดีต่อเมื่ออยู่ลับหลังเพื่อน นวโกวาทนะ เพื่อนแท้ถ้าเพื่อนเราโดนเขานินทา โดนเขาใส่ร้ายๆ ใส่ไคล้ เราจะแก้แทนเพื่อนทั้งต่อหน้าและลับหลังเพื่อนที่ดี คนเทียมมิตร มิตรเทียมไง นินทามัน มันอยู่ข้างหลังก็เสียบมันเลย ไอ้นั่นสู้กูไม่ได้ กูแน่กว่า ไอ้นั้นคนเทียมมิตรนะ 

  นี่ในหมู่สงฆ์มีทั้งดีและชั่วๆ เวลาดีและชั่วนี่ เวลาด้วยอำนาจวาสนาบารมีของตนไง เวลาสิ้นไร้ไม้ตอกไม่มีใครดูใครแลไง แต่ในวงกรรมฐานเขาทำกันอย่างนั้นไหม ในวงกรรมฐานนะเขาดูแลกันหมดนะ เวลาเขาดูแลกัน เขาดูแลด้วยความเป็นธรรมไง ด้วยความเป็นธรรมก็นี้ด้วยกลิ่นของธรรมไง อย่าโกหก! อย่ามารยาสาไถย ไอ้เรื่องมันฉ้อฉล อ้างนู่นอ้างนี่แล้วก็จะเอาแต่ใจตน ต่ำทรามนะ มันต่ำทรามนี้เพราะอะไร ต่ำทรามเพราะว่าคิดว่าตัวเองฉลาด คิดว่าตัวเองพูดแล้วจะไม่มีใครรู้เท่า 

  ในโลกนี้เขารู้ทันกันหมดล่ะ แต่ด้วยมารยาทด้วยความเป็นธรรม สามัคคีธรรมๆ เขาไม่ต้องการให้มันกระเทือนกันไง แต่ถ้าจะเอามาแฉกันทั้งหมด มึงโกหกมดเท็จทั้งนั้น มึงอย่ามาหลอกลวง สงฆ์ เอ็งว่าสงฆ์ไม่มีปัญญาเหรอ พระทั้งหมดน่ะโง่เง่าเต่าตุ่นที่เราจะหลอกลวงได้ทั้งหมดเหรอ มันเป็นไปไม่ได้หรอก 

แต่ถ้าเป็นธรรม กลิ่นของธรรมๆ นะ กลิ่นของธรรมมันไม่มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นไปนะ ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ เราเข้าใจ เห็นไหม อุปกิเลสเวลากิเลสอย่างหยาบๆ มันสงบตัวลง เวลาภาวนาไปมันเกิดอุปกิเลส เห็นไหม กิเลสอันละเอียดที่มันนี่อุปกิเลส โอภาสสว่างไสว ความว่างนั้นกิเลสอย่างละเอียดไง ไอ้เราไอ้บ้องตื้นไง เราก็ไปว่างๆ อุปกิเลส เห็นไหม ว่าสว่างไสว

นี่ถ้ามันบ้องตื้นมันก็เที่ยวอวดไง อวดผลของการปฏิบัติของตนไง ธมฺมสากจฺฉา ถ้าครูบาอาจารย์ท่านบอก เออ ไอ้บ้องตื้น แต่ถ้าเขาไม่พูดอย่างนั่นนะ เออ เก่งเนาะ แต่ลองทำอย่างนี้ดูๆ ท่านพยายามจะให้ทำอีกฝ่ายตรงข้าม ให้ทำฝ่ายที่ถูกต้องดีงามไง ให้สงบเข้ามาในหัวใจของตน นี่แสงกับจิตมันส่งออกมันรับรู้สิ่งต่างๆ ถ้ามันกลับเข้ามาสู่จิตของตนน่ะ อ๋อ สมาธิมันเป็นแบบนี้ ถ้าสมาธิมันเป็นแบบนี้ ไอ้ความว่างๆ นี่มันเป็นอุปกิเลส กิเลสอย่างละเอียดที่เราไปติดพันมันไว้ 

ถ้าเข้ามาสู่ความสงบความเป็นจริง เห็นไหม ความสงบคือความสงบ สมาธิคือสมาธิไง สัมมาสมาธิคือจิตตั้งมั่นไง จิตตั้งมั่นแล้วมีกำลังไง พอมีกำลังมันมีความสุขของมันไง พอมีความสุขก็ติดอีก อ๋อ นิพพานเป็นเช่นนี้เอง ไอ้บ้องตื้น นี่จิตสงบแล้วเขาถึงออกฝึกหัดใช้ปัญญา พอฝึกหัดใช้ปัญญาขึ้นมาแล้วนี่ พอมันออกฝึกหัดปัญญาขึ้นมา เห็นไหม มันเกิดภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการภาวนาไง มันจะเห็นเลยสุตมยปัญญาเป็นอย่างไร จินตมยปัญญาเป็นอย่างไร ภาวนามยปัญญาเป็นอย่างไร แล้วขณะนี้ภาวนามยปัญญาเกิดขึ้นจากในใจของเรา เกิดขึ้นจากในใจของเราเพราะอะไร เพราะเรามีครูบาอาจารย์คอยกระทืบ ไอ้บ้องตื้นๆ ไอ้บ้องตื้นพอมันรู้มันเห็นขึ้นมามันก็อวดดีน่ะ อวดดีอวดเก่งอวดรู้น่ะ กิเลสอย่างละเอียดไง

  เวลาครูบาอาจารย์ท่านปฏิบัติเป็นความเป็นจริงขึ้นมาท่านก็จะพูด พูดเป็นอุบายนะๆ กิเลสมันบอกไอ้บ้องตื้นนี่มันจะอัดอาจารย์มันในใจนะ อัดอาจารย์ในความคิดแต่ไม่กล้าพูด จะบ้องตื้นที่ไหน กำลังจะสำเร็จแล้วนะ กำลังจะสำเร็จอยู่นี่จะบ้องตื้นได้อย่างไง มันจะเถียงในใจนะ มันไม่กล้าพูด ถ้ามันภาวนาได้จริง พอจิตมันสงบแล้วเป็นความจริง อ๋อ กิเลสอย่างหยาบ กิเลสอย่างละเอียด กิเลสละเอียดสุดในใจมันหลอกมันลวงทั้งนั้น ถ้ามันหลอกมันลวงทั้งนั้น มันต้องแสดงว่าจิตดวงนั้นต้องมีสติ จิตดวงนั้นต้องมีอำนาจวาสนา มันถึงได้รู้เท่าอารมณ์ของตน มันถึงได้รู้เท่าว่ากิเลสมันหลอกมันเป็นอย่างใด 

แต่ถ้ามันยังบ้องตื้นอยู่นี่มันติดอยู่ในกิเลสอันนั้น มันยึดความรู้ความเห็นอันนั้น มันก็บอกว่ากำลังจะสำเร็จแล้วนะๆ อาจารย์อย่าอิจฉาๆ ถ้ามันบ้องตื้นมันก็ยังบ้องตื้นอยู่อย่างนั้น แต่ถ้ามันเป็นจริงขึ้นมานะมันสังเวช โอ้ ถ้าไม่มีครูมีอาจารย์นะ เราก็จะติดอยู่อย่างนี้ ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์เราติดอย่างนี้แล้วไม่ติดธรรมดานะ ถ้าเราติดอยู่อย่างนี้แล้วเวลามันเสื่อมไปแล้ว มันเหมือนกรรมฐานม้วนเสื่อเลย กรรมฐานม้วนเสื่อคือมันม้วนจิตจนไม่มีกำลังขึ้นมา แล้วมันจะเริ่มต้นขึ้นมามันจะทำได้ยากนี่ 

  ถ้ามันรู้จริงนะ พอมันรู้จริงขึ้นมา เห็นไหม กลิ่นของศีลกลิ่นของธรรมแล้ว กลิ่นของศีลกลิ่นของธรรมเพราะหลวงตาครูบาอาจารย์ท่านอยู่กับหลวงปู่มั่นนะ ท่านเคารพบูชาหลวงปู่มั่นเพราะ เพราะเวลาภาวนาที่ผิดพลาดไป หลวงปู่มั่นท่านก็คอยจิ้มคอยทิ่มคอยไซ คอยจี้คอยไซให้พยายามมีสติ ให้พยายามรู้เท่าทันกิเลส ให้พยายามพลิกแพลงให้หัวใจให้มันพลิกกลับมา ให้มรรคให้ผลที่มันกระทำ เห็นไหม 

แล้วถ้ามันเป็นจริงอย่างนั้นนะ นี่ไง การเคารพบูชาของครูบาอาจารย์ของเรา ที่เคารพหลวงปู่มั่นน่ะท่านเคารพด้วยหัวใจไง หัวใจที่มันผิดพลาดไป หัวใจที่มันทำลายตัวเองไป หัวใจที่มันจะสร้างแต่บาปกรรมนั้นนะ แล้วมีครูบาอาจารย์คอยชี้คอยนำ คอยพยายามพลิกแพลงให้อุบายพลิกแพลงให้มันรู้ผิดเห็นผิดไง มันเป็นปัจจัตตังเป็นสันทิฏฐิโกในใจนั้นไง ถ้าใจนั้นมันพลิกมันแพลงมันกลับมานะ พอมันกลับมานะความจริงมันเป็นอีกอย่างหนึ่งไง ความจริงเป็นอีกอย่างหนึ่งต่อเมื่อเรารู้ถึงความจริงเราถึงจะเห็นความจอมปลอมอันนั้นไง

ถ้าเรารู้ถึงความจริงอันนั้น ความจริงอันนี้มันเกิดขึ้นมาจากใครล่ะ เกิดขึ้นจากครูบาอาจารย์ที่ท่านคอยบอกไง เกิดขึ้นจากอุบายวิธีการของท่าน นี่อุบายนะ ถ้าบอกตรงๆ ไอ้บ้องตื้นมันจะอวดว่ามันเก่ง มันจะบอกว่า โอ้ หลวงปู่มั่นก็ไม่มีการศึกษา มหาก็ไม่ได้เป็น ๙ ประโยคก็ไม่มี ยศถาบรรดาศักดิ์ก็ไม่มี อู้ย จะมาสอนอะไรเรา เออ ถ้ามันยังบ้องตื้นนะ มันคิดแต่กับความบ้องตื้น แล้วเหยียบย่ำเขาไปทั่ว เหยียบย่ำเขาไปทั่วเขาเป็นสัตว์นรก เขาไม่มีปัญญา เขาไม่มีการศึกษา มันย่ำเขาไปอย่างนั้นน่ะ ย่ำแล้วมันเป็นบาปเป็นกรรมๆ มันทำให้จิตใจต่ำทราม จิตใจต่ำช้า นี่ไง นี่ไงไอ้กิเลสเวลากิเลสมันหนาๆ อย่างนั้นนะ

แต่ถ้าเป็นกลิ่นของธรรม กลิ่นของธรรมกลิ่นตั้งแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าศาสดาของเรา เวลาตรัสรู้ธรรมขึ้นมานะ คนเคารพนบนอบเคารพบูชา นั้นน่ะกลิ่นของธรรม ธรรมคืออะไร ธรรมคืออาสวักขยญาณในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรมๆ กราบธรรมคือสัจธรรมในใจอันนั้น ถ้าในใจอันนั้นแล้วนี่มันไม่ปรารถนาใดๆ ทั้งสิ้น ปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์ๆ 

คำว่ารื้อสัตว์ขนสัตว์นะ รื้อสัตว์ขนสัตว์เพราะจิตใจของสัตว์โลกมันมีแต่กิเลสตัณหาความทะยานอยาก ทั้งๆ ที่เกิดมาก็มีอำนาจวาสนาขนาดไหน ติดดีและชั่ว ดีและชั่ว ดีและชั่ว ดีเดี๋ยวก็ชั่ว ชั่วเดี๋ยวก็ดี คนที่เข้ามาในศาสนาทุกคนชื่นชม ทุกคนบูชา อยากทำดี อยากจะปกป้องศาสนาทั้งนั้นนะ แต่พอเข้ามาปกป้องศาสนาแล้วนี่ พอมันชั่ว ชั่วด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยากนะ อยากดังอยากใหญ่ อยากมีอำนาจขึ้นมาในศาสนานั้นไง นี่ไงคนเรามาฟอกตัวไง เวลาไปอยู่ข้างนอกมันไม่มีใครชื่นชมดูแล เวลามาบวชเป็นพระขึ้นมานี่ ธงชัยพระอรหันต์ไงผ้ากาสาวพัสตร์ไง เวลาห่มผ้าชัย ผ้ากาสาวพัสตร์แล้วนี่เป็นธงชัยพระอรหันต์ นี่เป็นศากยบุตรพุทธชิโนรสไง ทำสิ่งใดแถวบ้านเขาก็เกรงใจไง ก็เหยียบย่ำเข้าไปด้วยอำนาจไง เวลาจะมีอำนาจขึ้นมา ห๊ะๆๆ อู้ย กางปีกเชียว แหม กล้ามใหญ่ โอ้โฮ คิดว่าเขาไม่เท่าทันเรา 

เขาเคารพธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาทางโลกเขาพูดนะ ยกให้ผ้าเหลือง ยกให้หัวโล้นที่ห่มผ้าเหลือง ยกให้ คำว่ายกให้คือวัฒนธรรมในใจของเขา คือมารยาท คืออารยธรรมในใจของชาวพุทธ ชาวพุทธจะโง่ไปทุกๆ คนเหรอ ชาวพุทธที่เขาผ่านโลกมานี่ นี่รัตตัญญูผ่านราตรีมามาก เขาเห็นมาเยอะ เขาไม่รู้เหรอ เขายิ่งกว่ารู้อีก แต่เขาสังเวชๆ นี่ไงพระเป็นอย่างนั้นเหรอ นักปฏิบัติเป็นอย่างนั้นเหรอ เขาสังเวชนะ สังเวชแล้วเขาจะไปนินทาลับหลัง

  แต่ไอ้นั่นมันเป็นเรื่องโลกนะ เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก มันเรื่องในใจของเรา ถ้ามันจะย้อนเข้ามาในใจของเรานะ กลิ่นของธรรมๆ มันถึงจะเป็นความจริงไง ไอ้นี่กลิ่นของธรรมมันไม่มี มันเอากลิ่นเน่าๆ เอาความรู้ความเห็นของตน แล้วก็เลียนแบบๆ ทางโลก เห็นไหม นี่สัจธรรมปฏิรูป ทำให้เหมือนธรรมะ ไอ้ทางโลกของเขานี่สินค้าลอกเลียนแบบนี่ ลิขสิทธิ์เขาฟ้องร้องนะ แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มี ไม่มีกำมือในเรา แบตลอด ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแบตลอดให้พวกเรานี่มั่นคง ให้พวกเรานี่ฝึกหัดให้มันเป็นจริงขึ้นมาในใจของรา ถ้าเป็นความจริงในใจของเราไม่มีค่าลิขสิทธิ์ 

  ถ้ายิ่งหลวงปู่มั่นเวลาท่านประพฤติปฏิบัติของท่าน เวลาท่านบรรลุธรรม ท่านพิจารณาธรรมของท่าน ในประวัติหลวงปู่มั่น เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอรหันต์ในครั้งพุทธกาลนะมาอนุโมทนาสาธุกับท่าน นี่ไง มันชื่นชม ธรรมมันชื่นชมธรรม ธรรมเข้ากับธรรม ความจริงก็เอาความจริง ความผิดชอบชั่วดี นี่ความชอบความดีความต่างๆ มันเข้าด้วยกัน มันเข้ากันโดยธาตุ แต่ถ้าธาตุมารธาตุเน่ามันเข้ากับความเหม็นเน่า แล้วความเหม็นเน่ามันก็ปิดบังไว้ แล้วก็จะเอาธงชัยพระอรหันต์นะมาปิดไว้ ช้างตายทั้งตัวมันจะเอาใบบัวมาปิด 

แล้วสังคมสงฆ์ สังคมสงฆ์เขาปรารถนาดีเขาทำคุณงามความดี ทำคุณงามความดีเพื่อหัวใจ เพื่อให้หัวใจมันมีมาตรฐาน มาตรฐานของพระ เห็นไหม พระบวชเป็นพระแล้วนี่ถ้าอยากเรียนก็ไปสำนักเรียน เรียนจะเอาชั้นไหนก็แล้วแต่เรียนมา เรียนสอบให้ผ่าน ผ่านเสร็จแล้วนี่มีความรู้มากน้อยแค่ไหน ถ้าอยากจะประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม ก็มาวัดปฏิบัติ นี่แล้วถ้าวัดปฏิบัติแล้วนี่มันต้องซื่อสัตย์กับข้อวัตรปฏิบัติ เห็นไหม ธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่าเหยียบหัวพระพุทธเจ้าแล้วแสดงธรรม เหยียบหัวพระพุทธเจ้าไง 

เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา เห็นไหม สิ่งที่เจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมานั้นมันก็ได้รับการยกเว้น ถ้าได้รับการยกเว้น ยกเว้นแค่ไหน ยกเว้นแค่เจ็บไข้ได้ป่วยหายแล้วก็ต้องยกเลิก แล้วก็ต้องกลับมาเข้มแข็ง กลับมาประพฤติปฏิบัติเพื่อเอาชนะกิเลส ไม่ใช่ยกเว้นตลอดไป ถ้ายกเว้นตลอดไป เห็นไหม เดี๋ยวปาฏิโมกข์ สัตตาหกรณียะนั้นนะ ยกเว้น ๗ ประเภทนั้นนะ สติวินัย อมูฬฺหวินโย ทาตพฺโพ  นี่สิ่งต่างๆ เห็นไหม สิ่งที่ยกเว้น ๗ ชนิด ยกเว้นเพราะอะไร ยกเว้นเพราะสิ่งนั้นมันทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไม่มีสิ่งใดที่จะไปคุ้ยเขี่ยขึ้นมาได้อีกแล้ว

อันนั้นมันเป็นสัจจะเป็นความจริง ไม่ได้ยกเว้นแบบเรานี้ไง ยกเว้นนะ กลิ่นเน่าๆ เห็นครูบาอาจารย์ทำก็จะทำตาม ครูบาอาจารย์เราไม่ได้เป็นแบบนั้น มันมีแต่ความเหม็นเน่า มีแต่กลิ่นของกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ถ้าเป็นกลิ่นของธรรมๆ นะ กลิ่นของธรรมเราบวชมาเพื่อประพฤติปฏิบัติธรรม เพื่อสัจธรรม เราจะหาความจริง ไอ้ของข้างนอกน่ะ เห็นไหม ข้อวัตรปฏิบัติเป็นเครื่องอยู่ของหัวใจเรานะ เป็นเครื่องอยู่หัวใจของพระ ของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ข้อวัตรปฏิบัติ นั่นเป็นข้อวัตรปฏิบัติ 

สิ่งใดที่อยู่อาศัยๆ เห็นไหม พระสังฆาธิการต้องอบรม อบรมก็การซ่อมบำรุงรักษาของในวัดนะ ของในวัดเป็นวัตถุน่ะมันเป็นของของสงฆ์ มันเป็นของของกลาง ของกลาง ของของสงฆ์ ถ้าของของสงฆ์ผู้ใดเอาไปใช้ไม่รักษาไม่ดูแลเป็นอาบัติทั้งนั้นนะ สิ่งนี้มันเป็นวัตถุ แต่วัตถุนี้ เห็นไหม มันก็เป็นวินัยๆ เพื่อให้หัวใจคนละเอียดๆ จิตที่ละเอียดจิตที่หยาบ ที่ละเอียดเขาก็ดูแลรักษา ไอ้ที่หยาบมันก็จะเอาไปตุนไว้จะใช้คนเดียวนั่นน่ะ ไอ้นั้นมันมีทั้งนั้นนะ

บวชแล้วท่องเที่ยวไปมันจะรู้จะเห็นเรื่องบ้าบอคอแตกในบ้าบอคอแตกของกิเลส บ้าบอคอแตกของความเน่าเหม็น บ้าบอคอแตกของการฟุ้งเฟ้อ แต่มันไม่เห็นครูบาอาจารย์ของเราน่ะ ครูบาอาจารย์ของเรานะ ครูบาอาจารย์ของเราแต่ละองค์น่ะประหยัดมัธยัสถ์ หลวงปู่มั่นก็ประหยัด ครูบาอาจารย์ของเราที่เป็นพระที่มีชื่อเสียงมีกิตติศัพท์กิตติคุณ ท่านเป็นผู้ที่ประหยัดมัธยัสถ์มีสิ่งใดมาแล้วให้ลูกศิษย์ก่อน มีสิ่งใดแล้วให้หมู่คณะก่อน นี่ให้เราเป็นองค์สุดท้ายองค์ภายหลัง เขาทำกันอย่างนั้น จนพระนี่เห็นแล้วน้ำตาไหล นี่มันเคารพครูบาอาจารย์ด้วยความเมตตาด้วยหัวใจอันนั้นไง นี่กลิ่นของธรรม

ถ้ามันเป็นกลิ่นของธรรม มันจะเป็นสัจจะเป็นความจริง กลิ่นของกิเลสอย่าเอามาโชว์นะ เหม็น เบื่อ นี่เราเกิดมาเราก็มีกิเลสกันทุกคน เราทำเพื่อคุณงามความดีของเรา เกิดเป็นมนุษย์ไง สังเวชนะ ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด ทุกคนต้องตายทั้งนั้นนะ แต่ตายไปด้วยคุณธรรม หรือตายไปด้วยบาปอกุศล ตายไปด้วยความตอแหล ตายไปด้วยความฉ้อฉล ตายอย่างนั้นนะตายตกต่ำ นี่ให้มันตายแล้วให้มันเจริญขึ้น ตายด้วยคุณธรรม ถ้ามันยังปฏิบัติไม่ได้ 

แต่ถ้ามันปฏิบัติได้แล้วนะ ตายน่ะของสมมุติ สมมุติบัญญัติ กิเลสตายแล้วไม่มีอะไรตาย จบสิ้น นั่นน่ะของแท้ เนี่ยกลิ่นของธรรม เอวัง