เทศน์บนศาลา

ธาตุสี่-ขันธ์ห้า

๒๒ ม.ค. ๒๕๕๑

 

ธาตุ ๔ – ขันธ์ ๕
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์บนศาลา วันที่ ๒๒ มกราคม ๒๕๕๑
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรม ฟังธรรมนะ ธรรมะกับการกระทำของเรามันต่างกัน ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ธรรมของเรา เราไม่เข้าใจธรรมกัน แล้วเราก็ตีความของเรานะ “ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕” ธาตุ ๔ ธาตุเป็นวัตถุ ขันธ์ ๕ เป็นนามธรรม เห็นไหม รูปนาม นามรูป ธาตุ ๔ และ ขันธ์ ๕

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ นี่พุทธลักษณะ แม้แต่กาฬเทวิลอยู่บนพรหม เทวดาส่งข่าวไป แม้แต่การเกิดขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โลกธาตุหวั่นไหว เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปลงอายุสังขาร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพาน โลกธาตุจะหวั่นไหว นี่ด้วยบุญญาธิการนะ

บุญขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์สร้างบุญมามหาศาลเลย สร้างมาขนาดนั้นนะ เวลาเกิดมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ กาฬเทวิลมาพยากรณ์ เห็นพุทธลักษณะ “นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแน่นอน แน่นอน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแน่นอนเลย” แต่ขณะนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือยังล่ะ เป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ได้ครองเรือน มีสามเณรราหุล สุดท้ายแล้ว ด้วยบุญญาธิการ ไปชมสวน พอชมสวน เห็นยมทูต คนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย...คนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตายมันเป็นอย่างนี้ วัฏฏะเป็นอย่างนี้ แล้วเราก็ต้องเป็นอย่างนี้หรือ มันต้องมีฝ่ายตรงข้ามที่ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย

สิ่งใดมันเป็นของคู่ โลกนี้เป็นของคู่ เห็นไหม ธรรมะของโลกนี้เป็นของคู่ ขณะนั้นยังไม่ได้ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เพราะการสร้างสมบุญญาธิการมา มันมีสิ่งใดแทงหัวใจทำให้เราคิดออกมาจากภายใน คิดว่ามันต้องมีฝ่ายตรงข้าม มีสิ่งตรงข้าม ถึงได้ออกแสวงหา ขณะที่ออกแสวงหา เห็นไหม ขณะที่ไปศึกษากับเจ้าลัทธิต่างๆ ฤๅษีชีไพรเขาทำความสงบของเขาได้ เขามีปัญญาของเขา ความคิดความเห็นต่างๆ เรื่องของนามธรรม เรื่องของธรรม นี่ธาตุ ๔ และ ขันธ์ ๕

ธาตุ ๔ และ ขันธ์ ๕ มันไม่เป็นธรรมหรอก มันเป็นธรรมไปไม่ได้

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบรรลุธรรม ตรัสรู้ธรรมขึ้นมาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สอุปาทิเสสนิพพาน ยังมีชีวิตอยู่ พระอรหันต์ยังมีชีวิตอยู่ ขณะที่ออกค้นคว้าอยู่ สิ่งที่มรรคญาณมาชำระความเห็นจากภายใน ธาตุ ๔ และ ขันธ์ ๕ สิ่งนี้มันเป็นอาการของใจ มันเป็นสิ่งที่ว่าเราเกิดมา เราเป็นปุถุชน เราเกิดมาด้วยกิเลสพาเกิด เราเกิดมาเป็นมนุษย์ มีธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ แล้วมาศึกษาธรรมกัน ศึกษาด้วยความเห็นของเราไง ถ้าศึกษาด้วยความเห็นของเรา มันเป็นธรรมไหม

มันเป็นธรรม มันเป็นปริยัติ มันเป็นสัญญา มันเป็นความจำ สิ่งนี้เป็นความจำ แล้วเราจะไปเอามรรคญาณเข้าไปตัด ตัดกิเลสตัณหาความทะยานอยาก สิ่งที่มันไปเป็นเนื้อเดียวกัน เห็นไหม อนุสัยนอนเนื่องมากับใจ อนุสัยนอนเนื่องมา สิ่งนี้มันสมานกันหมด เป็นสามัญสำนึก สามัญสำนึกที่เราคิดกันอยู่นี่เป็นสามัญสำนึก ธาตุ ๔ และ ขันธ์ ๕ เป็นสามัญสำนึก มันเป็นผล มันเป็นวิบาก เป็นผลของบุญกุศลที่เกิดมาเป็นมนุษย์ เราเกิดมาเป็นมนุษย์ มีธาตุ ๔ และ ขันธ์ ๕ แล้วก็มีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก กิเลสตัณหาความทะยานอยากอยู่ในจิตมันออกสมานธาตุ ๔ และ ขันธ์ ๕ สิ่งต่างๆ เป็นเราไปทั้งหมดเลย เป็นอันเดียวกัน เป็นเนื้อเดียวกัน เป็นสิ่งต่างๆ แต่เราไปศึกษาทฤษฎีกันว่า ธาตุ ๔ และ ขันธ์ ๕ เป็นธรรมๆ...ไม่เป็นธรรม ไม่เป็น

ถ้ามันเป็นธรรมขึ้นมา ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้ว ธาตุ ๔ และ ขันธ์ ๕ สอุปาทิเสสนิพพาน ใจเป็นธรรม ตัวใจที่เป็นนิพพานเป็นธรรม นี่เศษส่วนของพระอรหันต์ไง สิ่งนี้เป็นเศษ เป็นของเหลือทิ้ง สิ่งที่เป็นเศษเหลือทิ้ง ร่างกายและขันธ์ ๕ เป็นเศษที่ทิ้งเพราะมันเป็นสมมุติ ขันธ์ ๕ นี้เป็นสมมุติทั้งหมด เวลาจิตมันปล่อยเข้ามา สิ่งนี้เป็นสมมุติ มันเกิดดับ มันเป็นสมมุติ ไม่ใช่ตัวใจ ธาตุ ๔ นี้ก็ไม่ใช่ของเรา มันไม่ใช่ของเราหรอก แต่มันเป็นผลของการเกิดมาเป็นเรา นี่สิ่งที่เกิดเป็นเรา

พวกพราหมณ์พยากรณ์แล้ว “นี่พุทธวิสัย พุทธลักษณะ”

ถ้ามีพุทธลักษณะก็เป็นพระพุทธเจ้าตั้งแต่คลอดมา ตั้งแต่เกิดมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะสิ...มันไม่ได้เป็น เห็นไหม มันไม่ได้เป็นเพราะอะไร เพราะไม่ได้เป็นแล้วยังครองเรือนอีกต่างหาก จนมีทายาท สิ่งนี้คืออะไร

พุทธลักษณะ เห็นไหม ในปัจจุบันนี้เราไปตื่นกันเรื่องโหงวเฮ้ง เรื่องลักษณะของคน เรื่องสถิติ เรื่องการพยากรณ์ สิ่งที่พยากรณ์...ใช่ เกิดมา พยากรณ์ สถิติทำได้นะ ในเรื่องของความเป็นไปของเรามันพยากรณ์ได้ ด้วยความคิดก็เหมือนกัน ความคิดเป็นขันธ์ ๕ สิ่งที่เป็นขันธ์ ๕ คือความเกิดดับ สังขาร ความคิด ความปรุง ความแต่ง มันก็เป็นไปกับเรา แล้วสิ่งนี้มันไม่สะอาดมาจากภายในหรอก มันเป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจากภายนอกขึ้นมา แล้วเราก็ไปตื่นเต้นกันสภาวะแบบนั้น นี่โลกต้องเป็นสภาวะแบบนั้น ธาตุ เรื่องฮวงจุ้ย ต้องจัดให้เป็นฤกษ์ยาม จัดแล้วมีพลัง พลังชั่วคราว เพราะอะไร เพราะดวงดาวเคลื่อนไป เรื่องสิ่งต่างๆ พอเคลื่อนไป มันก็มีอายุขัยของมัน มันเป็นอนิจจังทั้งนั้น คำว่า “เป็นอนิจจัง” มันเป็นของชั่วคราว โลกนี้เป็นอนิจจัง เห็นไหม

ดูสิ พระนันทะมีลักษณะเหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย เวลาเคลื่อนไหวไป พระเห็นเดินมานึกว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จัดอาสนะไว้รับหลายครั้งเลย นี่ผู้ที่มีลักษณะคล้ายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็มี พระอรหันต์ในสมัยพุทธกาล ผู้ที่ลักษณะไม่น่าดูเลยก็มี เห็นไหม ลักษณะมันก็ส่วนลักษณะสิ สิ่งที่เป็นลักษณะข้างนอกเป็นสิ่งที่เราเกิดโดยผลบุญผลกรรม แต่วาสนา วาสนาจิตที่มันมีเชาวน์ปัญญา ปฏิภาณไหวพริบ ถ้ามีปฏิภาณไหวพริบ มีความฉุกคิด มันจะสะเทือนหัวใจของเรา ถ้าสะเทือนหัวใจของเรา ดูสิ เวลาเจ้าชายสิทธัตถะไปชมสวน เห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย นี่เห็นธรรมไหม

ในพระไตรปิฎก เวลาเราปุถุชนสิ้นชีวิตไป ยมทูตจะถามว่า “ได้เคยเห็นธรรมะไหม เคยได้ยินธรรมะไหม”

“ไม่เคย”

แล้วยมบาลจะถามว่า “เคยเห็นคนเกิดไหม เคยเห็นคนแก่ไหม เห็นคนเจ็บไหม เห็นคนตายไหม นั่นคือธรรม” นี่ธรรมะ

ธรรมะคืออะไร? การเกิดและการตายเป็นธรรม ตัวธรรมเลย นี่ตัวธรรม สิ่งที่เป็นตัวธรรม เพราะอะไร เราเป็นธรรม การเกิดและการตายก็เป็นธรรม ชีวิตเรา การเกิดมามันก็เป็นธรรม เป็นธรรมชาติ การเกิดและการตายเป็นธรรมชาติ การมีคู่ครองก็เป็นธรรมชาติ แต่พรหมจรรย์นี้ไม่เป็นธรรมชาติ ฝืน การประพฤติพรหมจรรย์นี่ฝืนธรรมชาติ ฝืนธรรมชาติเพื่ออะไร? เพื่อให้จิตมันเข้าใจธรรมชาติแล้วปล่อยวางธรรมชาติตามความเป็นจริง ธรรมนี้เหนือธรรมชาติ เพราะถ้าเป็นธรรมชาติมันต้องแปรปรวนไปตามธรรมชาตินั้น

ธาตุ ๔ และ ขันธ์ ๕ ถ้ามีหัวใจที่มันสงบเข้ามา จิตเราสงบเข้ามา เรามีศรัทธามีความเชื่อ ถ้าเรามีศรัทธาความเชื่อ เราจะมีความจงใจ ถ้ามีความจงใจ เราจะเข้าไปหาสัจจะความจริง เรามีปฏิภาณ เรามีสติของเรา สิ่งใดที่เราประพฤติปฏิบัติมามันไม่จริงๆๆ ทั้งนั้นล่ะ การปล่อยวางๆ มันไม่จริง เห็นไหม ขันธ์ ๕ มันเกิดดับ ถ้าขันธ์ ๕ มันเกิดดับแล้วมันก็เป็นความว่าง จิตมันว่างเฉยๆ ไม่มีสติ มันก็เป็นท่อนไม้ เป็นวัตถุไป จิตมีความรู้สึกทำให้เป็นวัตถุอันหนึ่ง ปล่อยวางกันไปเป็นวัตถุอันหนึ่ง ปล่อยวางแบบไม่มีสติสัมปชัญญะ ไม่มีสิ่งใดเลย มันเป็นมิจฉาสมาธิ นี่มันเป็นมิจฉาด้วย ขนาดปล่อยไปแล้วนะ ถ้าเป็นสมาธิมันก็เป็นมิจฉาไป เพราะมันไม่มีเจ้าของ ไม่มีผู้ควบคุมมัน

ดูสิ ดูสัตว์ สัตว์ใหญ่สัตว์โตขนาดไหน เขาเอามาฝึกฝน เอามาใช้ประโยชน์ได้ทั้งนั้นเลย แล้วหัวใจของเรา เราเชื่อธรรม เรามีอำนาจวาสนา เราเชื่อ เราเชื่อในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นแก้วสารพัดนึก แล้วเราจะสร้างสมขึ้นมาให้เกิดพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ในหัวใจของเรา เราเชื่อมั่นของเราขนาดนี้แล้ว เวลาทำไป ทำไมเราไม่มี นี่ขาดสติ ขาดสติให้มันเป็นสิ่งที่ไม่มีใครควบคุมมันเลยหรือ เพราะมันขาดสติมันก็ไม่มีใครควบคุม ไม่มีใครเป็นเจ้าของ เราถึงไม่รู้สึกตัวเราเองเลย นี่มันฟ้อง ฟ้องชัดๆ ฟ้องชัดๆ ขณะที่เราสนทนาธรรมกัน “ความว่าง ความว่าง”...ว่างๆ อย่างนั้นล่ะ ว่างไม่รู้สึกตัวเลย ว่างจนเข้าใจตัวเองไม่ได้เลยว่าใครเป็นเจ้าของ

แต่ถ้ามีสติสัมปชัญญะขึ้นมา ถ้าจิตมันสงบเข้ามานะ “ว่าง! เป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนั้น ว่างเลย” นี่มันควบคุมตลอด จิตมันควบคุมตลอด ถ้าจิตมันควบคุมมาตลอด จิตมันเป็นความว่างอย่างนี้ นี่ถ้าจิตเป็นความว่างอย่างนี้ ถ้าพูดถึงคนไม่มีวุฒิภาวะ มันก็ว่าสิ่งนี้เป็นธรรม เป็นธรรมคือนิพพานไง มีสติควบคุมอยู่ แล้วทำได้ ชำนาญในวสี ถ้าชำนาญในวสี เราชำนาญในเหตุ ถ้าเรารักษาเหตุดี เรากำหนดคำบริกรรม นี่กรรมฐาน ถ้ามีกรรมฐานอยู่ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ นี่กรรมฐาน พุทโธ ธัมโม สังโฆ เป็นกรรมฐาน

กรรมฐานคือจุดยืน ถ้าจิตดวงใดมีจุดยืน มีเจ้าของ มีการกระทำ เวลาจิตมันสงบเข้ามา ตัวจิตมันจะรู้จักเรา

ถ้าเราไม่มีจุดยืนเลย เราปล่อยเลย ดูสิ ดูเขาเล่นกีฬากัน เขาเล่นว่าวกัน มันต้องมีอะไร? มีตัวว่าว ต้องมีเชือก ต้องมีลม มันจะขึ้นใช่ไหม เราเห็นเขาทำกัน เชือกคืออะไร? เชือกคือสตินี่ไง ตัวว่าว ตัวลมมันพัดไป แต่ต้องมีการควบคุมใช่ไหม เราเห็นเขาทำกัน เราก็จับว่าวขึ้นมา โยนขึ้นไปบนฟ้าเลย เห็นเขาเล่นว่าว ก็เอาว่าวร่อนขึ้นไปเลย มันไม่มีการควบคุม แล้วว่าวมันขึ้นได้ไหม? มันก็ขึ้นได้ด้วยแรงเหวี่ยง แรงเหวี่ยงขึ้นไปแล้วมันก็หัวปักลงมา พอหัวปักลงมาแล้วใครเป็นเจ้าของมัน นี่มันเริ่มต้นไม่ได้

แต่ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะ เราควบคุมของเรา นี่จุดยืน นี่กรรมฐาน กรรมฐานต้องมีที่ตั้ง ฐานของการงาน ฐานของการกระทำ แล้วทำกันที่ไหน ถ้าไม่มีจะทำกันที่ไหน งานการเขาทำกัน เขาต้องมีงานทำของเขานะ นักกีฬาเขาต้องมีที่ซ้อมของเขา ซ้อมเสร็จแล้วเขาต้องมีการแข่ง แข่งเพื่อชัยชนะ เพื่อการเล่นกีฬากัน นี่ก็เหมือนกัน มันต้องมีธรรมกับกิเลสสิ ธรรมกับกิเลสมันต้องมีการต่อสู้กัน ต้องมีการทำลายกัน แต่ในเมื่อเกิดธรรมกับกิเลสมีการแข่งขันกัน เราก็ไม่ยอมแข่งขันกับเขา ทั้งๆ ที่เราว่าเราอยากเป็นนักกีฬา เราอยากจะมีชัยชนะ เราอยากจะมีความสุขของเรา แต่การกระทำของเรา เราทำโดยไม่มีจุดยืนเลย สิ่งนั้นมันจะเป็นธรรมขึ้นมาได้อย่างไร

ถ้าธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ มันเป็นธรรม เราเกิดมาก็เป็นธรรม คนเกิดมาเป็นพระอรหันต์หมดเลยทั้งโลกนี้ เพราะมีธาตุ ๔ และ ขันธ์ ๕ มาด้วยกัน แต่ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ มันเป็นอาการของใจ ไม่ใช่ตัวใจ ตัวใจคือปฏิสนธิจิต จิตปฏิสนธิ ปฏิสนธิวิญญาณเข้ามาในไข่ของมารดา เกิดมาในไข่ ในครรภ์ ในน้ำครำ ในโอปปาติกะ การเกิดและการตายมันแปรสภาพอย่างนี้ การแปรสภาพอย่างนี้มันเป็นผลของวัฏฏะ นี่ผลของวัฏฏะเพราะการกระทำของจิต จิตมีแรงขับเคลื่อน คือมีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันขับเคลื่อนตามวาระของมันไป แล้วมันแปรสภาพของมันไปตลอดเวลา แปรสภาพของมันไปตามแต่บุญกุศล เห็นไหม บุญกุศล อกุศล

ดูสิ ดูเทวดา กลางคืนเป็นเทวดา กลางวันเป็นเปรต ทำไมเขามีสถานะอย่างนั้นล่ะ? ก็เพราะการกระทำของเขา เขาอยู่ในการกระทำของเขา มันก็เวียนไปตามวัฏฏะ แล้วนี่บุญกุศลของเรา เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เวลาเทวดาเขาอวยพรกัน “เวลาตายไปแล้วเกิดเป็นมนุษย์ขอให้พบพระพุทธศาสนาเถิด” เพื่ออะไร? เพื่อสร้างบุญกุศลของเขาเพื่อให้เป็นเทวดาอีก เห็นไหม ดูวุฒิภาวะของเทวดาเขาสิ วุฒิภาวะของเทวดาเขา สถานะของเทวดาเขาพูดโดยสถานะของเขา เขารู้ได้แค่นั้นของเขา นี่ขันธ์ ๕ คือนามธรรม รูปเขาเป็นทิพย์ เขาไม่มีร่างกายอย่างเรา เรามีธาตุด้วย ธาตุ ๔ ของเราด้วย แล้วธาตุ ๔ ของเรา เพราะอะไร เพราะมันสะเทือนหัวใจของเรา

เราเป็นนักรบที่มีอาวุธพร้อมนะ เทวดาเขาเป็นนักรบ แต่เขาไม่มีอาวุธของเขา เขายังอยากฟังธรรมจากผู้ที่มีธรรมในหัวใจเลย ที่ไหนมีธรรมขึ้นมาในหัวใจ เขาอยากจะทำอย่างนั้น เพราะอะไร อริยสัจอยู่ที่ไหน อริยสัจอยู่ที่ไหน สัจจะความจริงอยู่ที่ไหน เกิดตายๆ มันก็ทุกข์อยู่อย่างนี้ ไม่มีสิ่งใดสะเทือนใจเขานะ

แต่เราเกิดเป็นมนุษย์ เรามีธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ มันเป็นร่างกายของเรา มันต้องมีอาหารของมัน มันต้องมีธาตุเข้าไปปรนเปรอมัน นี่มันกินอาหารไปเพื่อดำรงชีวิตของมัน แล้วเราก็สรรหามัน เพราะอะไร เพราะเราเกิดมาโดยสัญชาตญาณ เรารู้ว่าถ้ามันหิวมันก็บีบคั้น ความบีบคั้นความทุกข์ของร่างกายมันควรสะเทือนหัวใจเราให้เห็นโทษของการเกิดและการตาย แต่เราไม่เห็นอย่างนั้น เราเห็นความหิวความกระหายเป็นธุรกิจ ธุรกิจบริการ เราจะบริการให้เกิดเป็นเงินเป็นทองของเราขึ้นมา

ดูสิ เราเป็นชาวพุทธนะ ถ้าเรามีศรัทธา มีใจเป็นธรรม เราจะเจือจานกัน เราจะเผื่อแผ่กัน สังคมจะมีความสุขมาก สังคมถ้าใจเป็นธรรมมันจะมีการเสียสละ จิตใจที่เป็นสาธารณะมันจะเผื่อแผ่กัน มันจะดูแลคนอื่น ไม่คิดถึงเรา คิดถึงคนอื่นก่อน คิดถึงเราทีหลัง แต่ถ้าเป็นกิเลสมันต้องคิดถึงเราก่อน มันคิดสะสมของเราก่อน แล้วการสะสมของเราทำให้สังคมมีการเบียดเบียนกัน มีการบกพร่องในสังคมนั้น สังคมนั้นเอารัดเอาเปรียบกัน

ถ้าหัวใจมันมีบุญกุศล หัวใจมันเป็นธรรม มันเป็นธรรมมาตั้งแต่เริ่มต้นนะ ใจมันเป็นธรรมขึ้นมา มองสภาวะเป็นธรรม ว่าธรรมชาติเป็นธรรม ทุกอย่างเป็นธรรม...ใช่ เป็นธรรม แม้แต่ใบไม้ใบหนึ่งหลุดจากต้นก็เป็นธรรม เป็นธรรมเพราะอะไร เป็นธรรมเพราะคนคนนั้นเป็นธรรม เป็นธรรมเพราะคนคนนั้นมีการฉุกคิด ดูสิ ใบไม้มันยังแก่ของมัน มันต้องร่วงจากขั้วของมัน มันต้องร่วงไปของมัน ชีวิตเราก็ต้องเป็นอย่างนั้น

ดูสิ เราขับถ่าย ชีวิตของเรา ร่างกายกินอาหารเข้าไปมันก็ขับถ่ายทุกวัน เห็นไหม ร่างกายถ้าใจเป็นธรรม สอุปาทิเสสนิพพาน แบบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๔๕ ปี สิ่งนี้เป็นธรรม มันเหมือนท่อน้ำนะ อาหารที่กินเข้าไปในร่างกายเราเหมือนท่อน้ำ น้ำจะผ่านท่อน้ำไปเฉยๆ นี่ก็เหมือนกัน ในการวนเวียน ร่างกายมันก็มีอาหารผ่านไป มันกินเข้าไปแล้วมันก็ขับถ่ายออกไป แต่มันก็ดำรงชีวิตของเรามา แล้วมันเป็นสิ่งของ มันเป็นธรรมชาติอย่างนั้น แต่เราไม่รู้เรื่องเลย จิตใจเรายึดมั่นถือมั่น ยึดมั่นถือมั่นโดยจิตใต้สำนึกนะ สรรพสิ่งนี้เป็นเรา อะไรก็เป็นเรา...มันไม่เป็นเราหรอก มันไม่เป็นเรา แต่มันเป็นสมมุติ สมมุติว่าเป็นเรา สมมุติว่าเป็นเราเพราะอะไร เพราะถ้าเราปฏิเสธว่าไม่เป็นเราเลย มันเป็นสัจจะความจริงอย่างไร

เราเกิดมาจากกรรมนะ กรรมนี้เกิดมาจากไหน สายบุญสายกรรม เกิดมาจากพ่อจากแม่ เกิดมาจากครูบาอาจารย์ เกิดจากอุปัชฌาย์ ได้บวช นี่สมมุติสงฆ์ เกิดมาเป็นคฤหัสถ์แล้วยังมีศรัทธาความเชื่อ มีโอกาส เห็นไหม เพราะมีภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา มันมีธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เราฝึกฝน นี่มันมี

ที่เรามาอยู่กัน เรามาได้อย่างไร มันมีถนนหนทางใช่ไหม มันมียานพาหนะมาใช่ไหม แล้วเรามีจิตใจ เรามีความเชื่อของเราใช่ไหม เราถึงพามาถึงที่นี่ได้ เห็นไหม ธรรมและวินัยเป็นอย่างนั้น ข้อวัตรปฏิบัติเป็นถนนหนทางให้เราดัดแปลงตน ให้เราดัดแปลงเราเข้ามาหาตัวเราเอง เข้ามาหาตัวเรา ทวนกระแสกลับเข้ามา ทวนกระแสกลับเข้ามาในหัวใจ ถ้ามันมีศรัทธาความเชื่อ เราเกิดมาแล้วมีอำนาจวาสนาอย่างนี้ มันย้อนถึงผลประโยชน์ของเรา ถ้าประโยชน์ของเราเกิดขึ้นมา นี่เรื่องของขันธ์นะ สังขารขันธ์ ความคิด ความปรุง ความแต่ง เป็นขันธ์ ๕ แล้วมันเป็นธรรมหรือยัง ถ้าจิตมันไม่สงบขึ้นมา มันเป็นธรรมหรือยัง

ธรรมมันต้องให้จิตสงบเข้ามา จิตสงบเข้ามา เห็นไหม

“ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ” ปริยัติคือศึกษาทฤษฎี ศึกษาเครื่องดำเนิน แล้วดำเนินมา เรายังทำขึ้นมาไม่ได้ เราก็ไม่รู้หรอก เห็นไหม ของที่เป็นสาธารณะเราใช้ประโยชน์ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้เป็นธรรมสาธารณะ สังคมของชาวพุทธ ชาวพุทธรับธรรมขึ้นมา นี่พุทธมามกะ ผู้เป็นชาวพุทธต้องทำคุณงามความดี คุณงามความดีนี้ความดีเพื่อใคร คุณงามความดีเพื่อกิเลส ให้กิเลสมันตัวใหญ่ขึ้นมาใช่ไหม ทำดีเพื่อเรา ถ้าทำความดีไม่ได้สมใจเรา มันจะมีความทุกข์ของมัน

แต่ถ้าการเสียสละ ความดีเพื่อความดี ความดีไม่ใช่เพื่อเรา ความดีของเรา เพราะความดีไม่ใช่กิเลส เห็นไหม กุศลทำให้เกิดอกุศล กุศล คุณงามความดี ทำความดีแล้วไปติดดี ติดว่าต้องทำอย่างนั้นๆ ไม่ทำอย่างนั้นมันเป็นไปไม่ได้ นี่กุศลจากภายนอกนะ

แต่เวลาทำความเพียรล่ะ เรามีศรัทธาความเชื่อ เราทำความดีของเรา ความดีเพื่อความดี เดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนากี่ชั่วโมง ร้อยชั่วโมง กี่ปีกี่ชาติก็ต้องมีวิธีการกระทำ นี่คือความเพียร ความเพียรชอบ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกให้มีความเพียรชอบ เราจะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียร ความเพียร วิริยอุตสาหะของจิต นี่ความเพียรวิริยอุตสาหะของจิตนะ ถ้าจิตมันมีศรัทธามีความเชื่อ มันจะมีความรื่นเริงอาจหาญในทางจงกรม ในการนั่งสมาธิภาวนา

เดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนา คิดทางวิทยาศาสตร์ คิดทางกิเลส เดินจงกรม ๑ ชั่วโมงได้ระยะทางเท่าไร ปีหนึ่งเดินเท่าไร คิดแต่ว่า เราคิดออกมาแล้วเดินไม่ได้ เดินจงกรมตั้งแต่เกิดมาจนตายนะ เดินรอบโลกนี้เดินกี่รอบ ระยะทางเดินรอบโลกกี่รอบ นี่คิดออกมาให้มันขาอ่อนไง คิดออกมาให้มันทำแล้วมันเสียวยอกใจ คิดออกมาไม่ให้มีกำลังใจของเราเลย

ถ้าเป็นความเพียรชอบ ความเพียรชอบมันจะเดินกี่ชั่วโมง อันนั้นมันเป็นกิริยา เราไม่ได้เดินเอาระยะทาง ไม่ได้เดินเอากาลเวลา ไม่ได้เดินเพื่อใคร เราเดินเพื่อความสงบ เหมือนเรากินอาหาร อาหารเข้าไปในปาก แล้วย่อยสลายออกไป ขับถ่ายออกไป แล้วผลที่เกิดมาคืออะไร? คือร่างกายแข็งแรง คือมีสารอาหาร คือการดำรงชีวิต เดินจงกรมเพื่ออะไร? เดินจงกรมเพื่อความสงบของใจ เดินจงกรมด้วยความอาจหาญ เดินจงกรมด้วยความชื่นใจ จิตสงบขึ้นมามันจะมีความรื่นเริงอาจหาญ

“ทุกข์ควรกำหนด สมุทัยควรละ” สุขควรกำหนดไหม สุขควรกำหนดหรือเปล่า จิตมันสงบเข้ามา นี่กรรมฐาน ถ้าเรามีกรรมฐาน เรามีจุดยืนของเรา เรามีครูบาอาจารย์ ถ้าเป็นสมาธิก็ให้เป็นสัมมาสมาธิ ถ้าสมาธิของเราก็ให้มีจุดยืนของเรา จุดยืนของจิตนะ ไม่ใช่จุดยืนของครูบาอาจารย์ของเรา ไม่ใช่จุดยืนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้เคยขอแบ่งผลบุญกับใคร ไม่ได้ขอแบ่งประโยชน์กับใคร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เคยปรารถนาสิ่งใดกับสาวก-สาวกะเลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์ รื้อขึ้นด้วยวิธีการใด? รื้อด้วยธรรมวินัย

พระอานนท์อาราธนาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อยากให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ตลอดไป

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “อานนท์ เราบอกเธอแล้วไม่ใช่หรือ แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ต้องปรินิพพานไป”

พระอานนท์ถามว่า “ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้วจะพึ่งใคร”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตอบว่า “ธรรมและวินัยจะเป็นศาสดาของเธอ”

สิ่งที่เป็นศาสดา เป็นเครื่องดำเนิน สิ่งที่ดำเนิน เราดำเนินตรงนี้เพื่ออะไร เพื่อบูชาใคร? ก็บูชาเรา เห็นไหม การเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนานี้เพื่อความสุขของเรา ถ้าเป็นสมาธิก็เป็นสมาธิของเรา สมาธิของจิตที่สัมผัส เห็นไหม เรานั่งกันอยู่เต็มศาลา ถ้าจิตของใครดิ่งลงก็เป็นสมบัติของคนนั้น คนที่นั่งข้างๆ เราเต็มศาลา มันจะได้ผลความสุขจากสมาธิอันนี้ไหม? ไม่ได้หรอก ของใครของมัน จิตของใครของมัน หน้าที่ของเราเป็นหน้าที่ของเรา ความเพียรเป็นความเพียรของเรา เราเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนาก็ไม่ใช่เพื่อกิจอย่างใดๆ เลย ก็กิจเพื่อหัวใจของเรานี่แหละ เพื่อความสงบของใจนี่แหละ เพื่อให้จิตมันมีวุฒิภาวะขึ้นมา ให้มันเป็นวุฒิภาวะขึ้นมา ให้เป็นผู้ใหญ่นะ

เด็กวุฒิภาวะอ่อนๆ มีศรัทธามีความเชื่อ ไปวัด เราก็เห็นคุณงามความดีของเขาแล้ว เพราะเขาไปวัดไปวา ไปวัดใจของเขา การไปวัดไปวามันเหมือนไปวัดใจ ใจของเราถ้ามันไม่มีศรัทธาไม่มีความเชื่อ เราจะไปทำไม จิตมันตระหนี่ถี่เหนียว มันมีความยึดมั่นถือมั่น มันมีตัณหาความทะยานอยาก ไม่ยอมรับใครเลย จิตทุกๆ ดวง จะยาจกเข็ญใจ จะเป็นเศรษฐีกุฎุมพีขนาดไหน จะว่าตัวเองรู้ตัวเองเก่งทั้งนั้นเลย นี่โดยสัญชาตญาณของมัน มันต้องคิดสภาวะแบบนั้น

แต่ถ้ามันไปวัดไปวาเพื่อวัดมัน เพื่อควบคุมมัน ดูสิ การคำนวณความลึกของน้ำ ความลึกของต่างๆ หรืออากาศ คำนวณได้ทั้งหมดเลย แต่ความรู้สึกของจิตใครคำนวณมันได้ แล้วจิตเวลาคำนวณออกไป ความลึกของน้ำ ความลึกของมหาสมุทรแต่ละที่แต่ละจุด ความลึกความตื้นต่างกันไหม

หัวใจของคนก็เหมือนกัน สิ่งที่มันลึกมันตื้น มันหยาบละเอียดต่างกัน ความลึกความตื้น ความละเอียดหยาบต่างกัน มันคือบุญกุศลของใจดวงนั้นที่สร้างมา สิ่งที่สร้างมา ทำสมาธิก็ทำได้ยาก-ได้ง่าย ก็ต่างกันตรงนี้ สิ่งที่ต่างกัน เหตุขนาดไหน คนสร้างมาหยาบละเอียดอย่างไรก็แล้วแต่ มันก็ต้องเอาความเพียรชอบที่หยาบละเอียดอย่างนั้นเข้าไปแก้ไขมัน ต้องเข้าไปทำกันอย่างนั้น แล้วถ้ามันสงบขึ้นมา นี่เป็นสมบัติของเรา

สิ่งที่เป็นสมบัติของเรา ธรรมสาธารณะ อากาศสาธารณะ อากาศในปอดของเรานะ หายใจเข้าไปในปอดเป็นของเรา สมาธิที่เกิดสร้างขึ้นมา เราสาวก-สาวกะได้ยินได้ฟังก่อน แล้วถ้าพูดถึงปฏิบัติไปมันจะซึ้งใจมาก เห็นไหม สิ่งใดที่รู้มาไม่พ้นจากพุทธปัญญา ไม่พ้นจากปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปได้เลย แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เอาสิ่งที่ฟั่นเฝือ สิ่งที่กว้างขวางมาสั่งสอนเรา แต่สั่งสอนเราด้วยหัวใจเลย ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค อริยสัจ สัจจะความจริง สัจจะความจริงเกิดจากอะไร? เกิดจากสติปัฏฐาน ๔ กาย เวทนา จิต ธรรม

“ธาตุ ๔ และ ขันธ์ ๕” มันจะเป็นธรรมขึ้นมาต่อเมื่อเราทำให้เป็นธรรม เราต้องทำให้เป็นธรรมมันถึงเป็นธรรมขึ้นมา

ถ้าเราไม่ทำให้เป็นธรรมขึ้นมา มันก็อยู่ของมันโดยธรรมชาติของมัน ดูคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตายโดยธรรมชาติของมัน แล้วเขาก็เกิด เขาก็แก่ เขาก็เจ็บ เขาก็ตาย สร้างบุญกุศล ทำคุณงามความดีขนาดไหนก็เวียนไปตามวัฏฏะ นี่ผลของวัฏฏะ

ผลของวัฏฏะที่ไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เทวดาเขาก็อวยพรกันอยู่แล้ว “ให้เกิดเป็นมนุษย์แล้วพบพระพุทธศาสนา แล้วทำบุญกุศลขึ้นมาให้เกิดเป็นเทวดาอีก” นี่เพราะอะไร เพราะความรู้สึกวุฒิภาวะเขามีเท่านั้น แต่เราเป็นมนุษย์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นมนุษย์ เกิดเป็นมนุษย์แล้ววางธรรมวินัยไว้ นี่มีร่องรอย มีพระไตรปิฎก มีตำรับตำรา มีครูบาอาจารย์คอยชี้นำเรา คอยชี้นำขึ้นมาให้ผ่านจากความคิดหยาบๆ จากวุฒิภาวะของวัฏฏะอันนี้ เข้าไป ออกมา ให้จิตมันพ้นออกวิวัฏฏะ แล้วมันจะพ้นออกวิวัฏฏะได้อย่างไรในเมื่อเราไม่เห็นตัวตนของมัน ไม่เห็นสถานที่ตั้งของมัน ไม่เห็นจิตที่มันเกิด ที่มันยึด...เกิดที่ไหนล่ะ

“ธาตุ ๔ และ ขันธ์ ๕ เป็นธรรม” ธาตุ ๔ คือธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ คือขันธ์ ๕ แต่จิตมันสงบขึ้นมาแล้วมันเห็น เห็นธาตุ ๔ และ ขันธ์ ๕ ด้วยจิตที่เป็นสัมมาสมาธิ

ถ้าจิตไม่เป็นสัมมาสมาธิ มันเห็นโดยนิมิต เห็นโดยการคาดหมาย เห็นโดยสัญญา เห็นสภาวะแบบนั้นมันก็หลุดมือไปๆ การเห็นนะ เห็นไหม คนทำธุรกิจ เริ่มต้นตั้งแต่เราทำวิจัยตลาด เราต้องทำโครงการของเรา พยายามทำแล้วถ้าประสบความสำเร็จ ธุรกิจของเรามันไปรอด ธุรกิจเราเลี้ยงตัวเองได้ เราจะดีใจมากเลย แล้วเราจะทำธุรกิจให้ขยายใหญ่โตขึ้นไป

การประพฤติปฏิบัติก็เหมือนกัน ในเมื่อการกระทำของมัน ถ้ามันไม่มีผลตอบแทนขึ้นมา แล้วอะไรคือผลตอบแทนล่ะ อะไรคือผลตอบแทน นี่ทำธุรกิจแล้วก็ขาดทุน ทำธุรกิจแล้วล้มลุกคลุกคลานอยู่ตลอดเวลา เราท้อใจไหม เวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา แล้วเราไม่เคยเห็น เราไม่เคยได้ประโยชน์ขึ้นมาจากการประพฤติปฏิบัติของเราเลย เราจะมีปัญญาเดินต่อไปไหวไหม เราจะมีกำลังปฏิบัติไปถึงไหน

ในการปฏิบัติมันก็มีผล ผลอันนี้ เห็นไหม “ทุกข์ควรกำหนด” สุขก็คือสุข สุขมันอยู่กับเรานะ อนิจจังทั้งนั้น มันอยู่กับเราชั่วคราว ถ้าไปติดสุข ติดความพอใจ ติดความเป็นไปอย่างนี้ มันก็ภาวนาไปโดยการคาดหมาย การคาดหมายก็ทำให้เราทุกข์อีก สิ่งที่จะเป็นความจริงของเราขึ้นมา เราต้องมีความเพียรชอบ ถ้าความเพียรชอบขึ้นมา เราตั้งสติของเรา

คนต้องมีจุดยืน คนไม่มีจุดยืนเป็นผู้ปกครองเขาไม่ได้ จะเป็นคนใหญ่คนโตขึ้นมาไม่ได้ คนที่มีจุดยืนขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ปกครองได้ จิตถ้ามีสมาธิเข้ามา มีสัมมาสมาธิเข้ามา มันมีจุดยืนของมัน มันมีอำนาจที่จะต่อรองกับกิเลส กิเลสมันต้องการชักนำให้จิตนี้ไปอยู่ใต้อำนาจของมันด้วยรูป รส กลิ่น เสียง ด้วยความเป็นไปของโลก รูป รส กลิ่น เสียง ความสัมผัส สิ่งนี้มันต้องการมากโดยความกระหายของมัน จิตมันจะอยู่เลี้ยงตัวเองไปไม่ได้ด้วยความกระหายของมันเอง ด้วยความบกพร่องของใจ ใจมันบกพร่อง มันหิวกระหายของมัน มันจะเอารูป รส กลิ่น เสียงเป็นอาหารของมัน

อาหารในวัฏฏะ กวฬิงการาหาร วิญญาณาหาร ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร อาหารในวัฏฏะ ไม่ใช่อาหารของมนุษย์ มนุษย์กินกวฬิงการาหาร อาหารที่เป็นคำข้าวเท่านั้น แต่อาหารของวัฏฏะ ดูสิ วิญญาณาหาร อาหารของเทวดา ผัสสาหาร อาหารของพรหม

มโนสัญเจตนาหาร เราก็บอกเป็นเจตนาๆ สิ่งนี้อาหารของใจ สิ่งที่เป็นคุณธรรม ถ้าคุณธรรมมันจะเกิดขึ้นมา อาหารมันเกิดมาได้อย่างไร ธรรมมันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ถ้าธรรมมันจะเกิดขึ้นมา เราต้องมีความจริงใจของเรา สิ่งนี้มันถึงจะเป็นธรรม

ของมันมีอยู่ กำปั้นทุบดิน ธาตุ ๔ และ ขันธ์ ๕ มีกันทุกคน คนเกิดมามีธาตุ ๔ และ ขันธ์ ๕ ถ้ามีธาตุ ๔ และ ขันธ์ ๕ แล้วเราก็ว่าสิ่งนั้นเป็นธรรม เราก็ไปนอนใจกับมันว่ามันเป็นธรรมะของเรา...มันเป็นธรรมะของกิเลส สิ่งที่เป็นธรรมของกิเลสมันจะทำให้เราลุ่มหลงไป ถ้าลุ่มหลงไปมันก็หมดโอกาสไปใช่ไหม เราจะหมดโอกาสไป เราจะเดินตามรอยกิเลสให้กิเลสมันสร้างภาพขึ้นมา แล้วก็เดินตามไปว่าธาตุ ๔ และ ขันธ์ ๕ เป็นธรรมๆ...ไม่เป็น! ไม่เป็น!

ธาตุ ๔ และ ขันธ์ ๕ เป็นของทิ้ง ของทิ้งเลย เพราะสอุปาทิเสสนิพพาน พระอรหันต์ที่มีชีวิตอยู่ สะคือเศษส่วน คือขันธ์ ๕ คือสิ่งที่สื่อกันอยู่นี่ สิ่งที่สื่อ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๔๕ ปีที่เทศน์อยู่ สิ่งที่เทศน์อยู่ เทศน์จากอายตนะ สิ่งที่กระทบ เพื่ออะไร? เพื่อสัตว์โลก เพื่อรื้อสัตว์ขนสัตว์ สัตว์โลกมันสื่อธรรมกันได้ด้วยโสต โสตเข้าถึงหัวใจ ถ้าใจมันเปิดนะ ถ้าใจเปิด เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการ เหมือนหงายภาชนะที่คว่ำให้หงายขึ้นมา

ถ้าภาชนะเราคว่ำอยู่ เราจะไม่ยอมรับสิ่งใดๆ เลย จะไม่เชื่อสิ่งใดๆ เลย สิ่งนี้เป็นแค่คำพูด สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ เพราะอะไร เพราะความคิดของกิเลส แต่ถ้าเป็นครูบาอาจารย์หรือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มีธรรม เวลาพูดออกมามันมีธรรม มีความจริงออกมาจากหัวใจ มันจะแทงเข้าไปในหัวใจดำของเรา

แต่ถ้าเราไปจำมามันก็เป็นคำพูด มันเป็นคำพูดเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการ พระอานนท์จำได้หมดเลย เวลาสังคายนา พระอานนท์เป็นผู้สังคายนาธรรมะ พระอุบาลีเป็นผู้สังคายนาวินัย ธรรมและวินัย สิ่งที่จำมาอย่างนั้น ถึงที่สุด ทำขึ้นมาเองแล้วมันก็เหมือนกัน เหมือนกันคือมีกำลัง จิตมันมีกำลัง มันมีความเห็นของมัน มันถึงสะเทือนเข้าไปถึงหัวใจ แล้วสิ่งนี้มันสะเทือนหัวใจเราไหม มันสะเทือนหัวใจเราเพราะอะไร นี่ความเสมอภาคของจิต

จิตทุกดวงจิตที่เกิดมามันเกิดมาด้วยอำนาจวาสนา ถ้าไม่มีอำนาจวาสนา โลกนี้มันหมุนไป มันเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ เพราะใจมหัศจรรย์มาก ดูสิ เราดูสัตว์ เราดูสิ่งต่างๆ ที่มันเกิดสิ สัตว์มันเกิดขนาดไหน นี่มันเกิดโดยธรรมชาติของมัน แต่ถ้ามันเกิดสภาวะแบบนั้น นั่นอบายภูมิ สัตว์เดรัจฉาน นี่อบายภูมิ อบายภูมิ ๔

แล้วเป็นมนุษย์ขึ้นมาเป็นกลาง ถ้าเราตกนรกอเวจี มันก็เหมือนกับเราติดคุกติดตะราง มันจะมีกฎข้อบังคับ ถ้าเราขึ้นไปบนสวรรค์ บนพรหม มันก็เหมือนเราอยู่ในสถานที่ที่สุขสบาย มีสถานะที่ดี...ก็เท่านั้น ก็เท่านั้น วัฏวนเดี๋ยวนี้มันก็เห็น คุกมันก็เห็นอยู่เดี๋ยวนี้ สิ่งที่จองจำมันอยู่มันก็เห็นเดี๋ยวนี้ สิ่งที่จองจำ แล้วแต่กาลเวลาจะหมดโทษ มันก็ออกมาจากการจองจำนั้น มันหมดกรรม หมดเวลาแล้วมันก็หมุนเปลี่ยนไป แล้วในปัจจุบันมันย้อนกลับเข้ามาได้ ถ้ามันพิจารณาเข้ามามันจะสลดสังเวช ถ้ามันสลดสังเวช มันหดตัวเข้ามา จิตมันจะหดตัวเข้ามา

จิตที่มันแผ่ออกไป มันแผ่ออกไปยึดไปทั้งหมดเลย ยึดไปในวัฏฏะ คาดหมายได้ทั้งหมด ตั้งแต่พรหมลงมา แต่คาดหมายโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามีไม่ได้ ถ้าพูดออกมา ถ้าไม่เป็นความจริงก็พูดมาผิดๆ ว่า “สิ่งนั้นเป็นธรรมๆ มันเป็นธรรมอยู่แล้ว” ถ้าเป็นธรรมอยู่แล้ว เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ก็เป็นธรรมเลย

“มันเป็นธรรมอยู่แล้ว”...แต่นี่มันไม่เป็นน่ะสิ ศึกษาขนาดไหนก็ไม่เป็น ศึกษาขนาดไหน มันเป็นการจำมา มันไปดูบัญชีของคนอื่น ไปดูในธนาคารชาติ เงินในธนาคารชาติมหาศาลเลย...ใช่ เราเป็นชาวไทย เราก็มีสิทธิในเงิน ในสถานะอันนั้นด้วย นี่ก็เหมือนกัน เราเป็นชาวพุทธ เราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช่ไหม เราก็มีสิทธิ์ในศาสนานี้ด้วย แต่สมบัติของเราล่ะ ความจริงของเราล่ะ ความจริงเกิดขึ้นมาหรือยัง ถ้าความจริงเกิดขึ้นมา เราถึงจะต้องไม่นอนใจอันนี้ แล้วทำความสงบเข้ามา ให้ตั้งใจ

“ปริยัติ ปฏิบัติ” การประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเพื่อใคร ดูสิ เขาทำธุรกิจกันเพื่อเขาๆ ไอ้นี่เพื่อเขานะ น่าสลดสังเวช มันเป็นมรดกตกทอด มันเป็นสมบัติของโลก ไม่ได้เป็นของใครเลย เราหามา เรามีอำนาจวาสนา คนที่มีอำนาจวาสนามันจะมีจังหวะและมีโอกาส ประกอบสิ่งใดจะประสบความสำเร็จบ่อยครั้งมาก เพราะอะไร เพราะอำนาจวาสนาของเขา เขาสร้างของเขามา อำนาจวาสนาของเราน้อยกว่าเขา แต่ด้วยความขยันหมั่นเพียร ด้วยความมุมานะของเรา เราทำงานของเราด้วยความลงทุนมากกว่าเขา แต่ผลตอบแทนพอๆ กัน

คนที่มีอำนาจวาสนาทำขนาดไหนก็แล้วแต่ แล้วมันได้ประโยชน์ นี่คืออำนาจวาสนา อำนาจวาสนามันสร้างสมมาสภาวะแบบนี้ แล้วสิ่งที่เราทำของเราเพื่อประโยชน์ของเราขึ้นมาก็มีอำนาจวาสนาเหมือนกัน นี่อำนาจวาสนาจากภายใน ถ้าวาสนาจากภายใน เราก็ต้องมีความมุมานะ

งานของโลกทำแค่ไหน เขาก็ทำไว้เพื่อเป็นสมบัติของโลก แม้แต่ลูกหลานเรา ลูกหลานสายบุญสายกรรม มันก็เป็นสายบุญสายกรรม นี่ไปผูกไปข้อง เราไปผูกไปข้อง เราไปห่วงอาลัยอาวรณ์ไปหมดเลย แต่สมบัติของเราล่ะ สมบัติของเราถ้าเราปล่อยขึ้นมาก็ว่า เราเป็นคนไม่รับผิดชอบ ทำไมเราไม่รับผิดชอบ ขนาดครอบครัวยังไม่ดูแล

ดู! ดูด้วยธรรม เห็นไหม สร้างสมมันขึ้นมา ให้เขามีความสามารถ ให้เขาบริหารจัดการเป็นสมบัติของเขาได้ แล้วเราก็บริหารจัดการหัวใจของเรา

ดูสิ ชาวพุทธเราเวลาแก่เฒ่าขึ้นมาให้ไปวัด ไปวัดเพื่ออะไร? ไปวัดเพื่อเตรียมตัวตาย แล้วก็ตายไปโดยเข้าไม่ถึงศาสนา ตายไปในวัฏฏะ หมุนเวียนไปโดยที่ว่าธาตุ ๔ และ ขันธ์ ๕ นี้เป็นธรรมไง...เป็นธรรมสำหรับใจที่เป็นธรรมดู แต่ไม่เป็นธรรมสำหรับกิเลสเลย กิเลสมันจับเป็นสิ่งที่อ้างอิง อ้างอิงว่าไม่ทำ อ้างอิงว่ารู้แล้ว ว่า “ธาตุ ๔ และ ขันธ์ ๕ นี้เป็นธรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้ปล่อยวาง ปล่อยวางหมดแล้ว” ปล่อยวางจริงหรือเปล่า ปล่อยวางจริงไหม

นี่ธรรมบังเงา ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสุดยอดเลย แต่กิเลสมันบังเงา เอามาหลอกเรา ใช้เรา ทำให้เราไม่เข้าใจในสภาวธรรมเลย ทั้งๆ ที่ของมีอยู่กับตัว หัวใจอยู่กลางหน้าอกเรานี่ ร่างกายก็ขับเคลื่อนอยู่นี่ แล้วมันจะแปรสภาพไป แล้วมันจะตายไป ถึงเวลาแล้วมันจะหมดโอกาสไป

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ เวลาหมดโอกาสไป สอุปาทิเสสนิพพาน เพราะมันเป็นเศษอยู่แล้ว เวลากิเลสมันขาด ขาดตั้งแต่โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามีขึ้นมา ขาดถึงมรรคญาณขึ้นมา ทำลายหัวใจทั้งหมดเลย ทำลายขันธ์ ๕ ทั้งหมดเลย ทำลายขันธ์ ๕ แล้วยังทำลายตัวมันเองอีก แล้วทิ้งไปหมดเลย ใจมันพ้นออกไป ใจเป็นสอุปาทิเสสนิพพาน คือจิตที่เป็นธรรมแท้ๆ ไม่ใช่ธาตุ ๔ และ ขันธ์ ๕

เพราะขันธ์ ๕ เป็นสมมุติ จิตเวลามันเสวยอารมณ์ขึ้นมา นี่มโนสัญเจตนาหาร มโนวิญฺาเณปิ นิพฺพินฺทติ มโนสมฺผสฺเสปิ นิพฺพินฺทติ สิ่งที่เกิดจากความสัมผัสนั้นก็เบื่อหน่าย มโนก็เบื่อหน่าย ทำลายเบื่อหน่าย เบื่อหน่ายทำลายหมดเลย ทำลายจิตหมดเลย ทำลายหมดแล้วมันไปอยู่ไหน? ก็อยู่ที่นิพพาน แล้วเวลาออกมาเพื่อสื่อสาร ออกมาเพื่อประโยชน์ชาวโลก มันออกมา ตั้งตัวขึ้นมา มโนๆ มโนวิญฺาเณปิ นิพฺพินฺทติ มโนสมฺผสฺเสปิ นิพฺพินฺทติ มโนก็ตั้งขึ้นมา

มโนเป็นสมมุติหรือยัง มโนเป็นภพ มโนเป็นสิ่งต่างๆ มันเป็นภพขึ้นมา ตั้งขึ้นมา ความคิดเกิดจากไหน? ความคิดเกิดจากฐีติจิต ความคิดเกิดจากเรา แล้วความคิดที่เกิดจากเรามันเกิดมาได้อย่างไร ถ้ามันไม่มีฐานที่ตั้ง ไม่มีเจ้าของ มันจะสื่อความคิดออกมาได้อย่างไร

พลังงานทั้งหมดมันมีที่มาที่ไปหมดนะ ความคิดก็มีที่มาที่ไปทั้งหมดเลย แต่มันทำลายหมดแล้ว ถึงเป็นเศษส่วน เป็นเศษทิ้ง ของทิ้งทั้งหมดเลย แต่ของเรามันทิ้งได้ไหม บอกว่า “ปฏิบัติธรรม ปล่อยวางๆ”...ปล่อยวางโดยใคร ปล่อยวางโดยกิเลสสิ ปล่อยวางโดยกิเลส ไม่ได้ปล่อยวางใดๆ เลย ปล่อยวางโอกาสของเรา ปล่อยวางชีวิตนี้ เกิดมาแล้วตายเปล่า ปฏิบัติโดยไม่มีสิ่งใดติดมือไปเลย

การปฏิบัติมันต้องมีสิ่งใดติดมือไป แม้แต่จิตมันสงบขึ้นมามันก็ติดความรู้สึกนี้ไป มันจะมีความสงบของมันนะ จิตที่สงบขึ้นมาจะมีความสุข ความสุขถ้าไม่มีวุฒิภาวะ แค่มีความสุขมันก็ว่านิพพานแล้ว เพราะอะไร เพราะมันเป็นเจ้าของ ถ้ามันเป็นนิพพานนะ ฤๅษีชีไพรเป็นพระอรหันต์หมดแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ต้องตรัสรู้ธรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปศึกษากับอาฬารดาบส “เจ้าชายสิทธัตถะนี้มีความรู้เหมือนเรา เข้าฌานสมาบัติได้เหมือนเรา เป็นอาจารย์สอนได้” เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิเสธหมดเลย ปฏิเสธเพราะเวลาคลายออกจากสมาธิแล้วมันก็เป็นปุถุชน

แต่ถ้าเรามีวาสนามันจะย้อนไป ดูสิ เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม...เห็นกายเห็นอย่างไร ธาตุ ๔ มันอยู่ข้างนอก ธาตุ ๔ มันเป็นธาตุ มันเป็นสสาร แล้วเวลาไปเห็นกาย เห็นธาตุอันนี้ มันเห็นจากใจ มันไม่ได้เห็นจากตาเนื้อหรอก มันไม่ใช่เห็นโดยสามัญสำนึกหรอก เพราะสามัญสำนึกกับจิตมันสมานกัน เราเกิดมา เราเป็นมนุษย์ขึ้นมา เพราะมีจิตใจนะ

ดูสิ โดยความคิดของเรา สมองมันคิด มันคิดมาจากไหน เวลาเราหลับขึ้นมา สมองมันคิดได้อย่างไร สมองที่มันคิดเพราะอะไร เพราะมันมีพลังงาน มันมีพลังงานตัวจิตให้มันคิด สิ่งที่มันคิดขึ้นมา มันคิดขึ้นมาโดยกายกับจิตมันเกี่ยวเนื่องกัน ถ้าคนที่จิตไม่รับรู้เลย จิตมันเหม่อลอยของมัน แล้วเห็นสภาพสิ่งใด เราจะไม่รู้สิ่งใดๆ เลย เห็นไหม ระหว่างกายที่มันรับรู้อยู่มันก็ต้องมีจิต

ถ้าจิตไม่ออกรับรู้ มันสักแต่ว่า เสียงกระทบหูก็ไม่ได้ยิน ได้ยินแต่เสียง ไม่มีข้อมูล ตาเห็นรูปขึ้นมา รูปสักแต่ว่ารูป ไม่รู้เรื่องอะไรเลย เพราะอะไร เพราะจิตมันไม่รับรู้ แล้วเห็นสภาวะแบบนั้นเห็นด้วยอะไร? ก็เห็นด้วยตัวตนของจิต เห็นเพื่ออะไร? เห็นเพื่อสร้างตัณหาความทะยานอยาก เห็นแล้วมันก็เป็นไปตามมัน

แต่ถ้าจิตมันสงบเข้ามา ทำจิตให้สงบเข้ามา มีคำบริกรรมต่างๆ มีปัญญาอบรมสมาธิ ถ้าเป็นปัญญาวิมุตติ ปัญญาอบรมสมาธิ ต้องมีปัญญาไล่เข้ามา เพราะมันเห็นปัญญามันไล่ต้อน ไล่ต้อนความคิดของเราเข้ามา มันไล่ต้อนความคิด เห็นไหม ความคิดนี้ไปกว้านฟืนกว้านไฟมาเผาตัวมันตลอดเวลา ความทุกข์ที่เกิดขึ้นมา เกิดเพราะความคิดของเราเอง เพราะความคิดมันไปกว้านสิ่งนั้นมาเหยียบย่ำหัวใจของเรา แล้วธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันมีเหตุมีผลว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นมา โทษที่เกิดขึ้นมา เวลามันเจ็บมันปวด มันแสบมันร้อน ใครไปเอามา? ไม่มีใครเอามาเลย แต่ด้วยความโง่ ไปหยิบมันมาเอง ไปกว้านมันมาเอง แล้วเอามาเหยียบย่ำเรา แล้วผลที่เกิดขึ้นมาคืออะไร? ผลที่เกิดขึ้นมาคือน้ำตาไหล คือความทุกข์ความยากนี้ไง

ถ้ามันเห็นโทษ มีสติสัมปชัญญะ นี่ไง มันจี้ใจดำ มันจะรู้สึกใจเราเอง พอเห็นใจเราเอง มันก็เริ่มปล่อยๆ ปล่อยอะไร? ปล่อยฟืนปล่อยไฟ ปล่อยบ่วงของมาร ปล่อยสิ่งที่รูป รส กลิ่น เสียง ปล่อยเข้ามา มันสงบเข้ามาบ่อยครั้งเข้าๆ จนจิตเห็นเหตุเห็นผล เห็นเหตุเห็นผลเพราะอะไร เพราะมันเป็นสัมมา สัมมาเพราะมีสติควบคุม สติมันรับรู้ สติเป็นเจ้าของ

เพราะคิดก็ทุกข์ ปล่อยก็วาง ปล่อยเพราะอะไร ปล่อยเพราะปัญญามันรู้ทัน ปล่อยเพราะมีสติสัมปชัญญะ มันปล่อยเข้ามาๆ ฝึกฝนบ่อยครั้งเข้า ฝึกฝนจนมันมีความชำนาญการของมัน เราคุมมันไปบ่อยครั้งเข้า จนเห็นจิตนะ เห็นจิต เห็นอาการของจิต เห็นไหม เพราะความคิดมันเป็นอาการ มันเป็นเงา ไม่ใช่ตัวจิต พอตัวจิตมันหดเข้ามา ทำไมมันเป็นตัวมันเองได้ล่ะ ทำไมเป็นอิสระได้ ทำไมมันปล่อยวางได้ ความคิดกับความปล่อยวางมันต่างกันอย่างไร

ความคิดที่เกิดขึ้นมา โดยสามัญสำนึกนะ โดยธรรมชาติ ว่าธรรมะเป็นธรรมชาติ โดยธรรมชาติของคนมันก็คิดโดยธรรมชาติ เด็กถ้ามีการศึกษามันจะมีข้อมูลของมัน การศึกษาทางวิชาการสิ่งใด เวลาคิดออกมา คิดออกมาจากมุมมองนั้น เพราะการศึกษานั้นมันเป็นสัญญา มันเป็นการฝึกฝนมาของจิต มันก็คิดตามมุมมอง เห็นไหม เหตุการณ์หนึ่งนักกฎหมายคิดอย่างหนึ่ง นักรัฐศาสตร์คิดอย่างหนึ่ง นักการปกครองคิดอย่างหนึ่ง คิดแต่ละอย่างไม่เหมือนกันสักอย่างเลย เพราะอะไร เพราะข้อมูลการศึกษา แต่ถ้าคนไม่มีการศึกษาล่ะ คนไม่มีการศึกษามันก็คิด มันคิดโดยสามัญสำนึกไง

ถ้ามันคิดโดยสามัญสำนึก นี่ธรรมชาติของจิต ธรรมชาติของธาตุ ๔ และ ขันธ์ ๕ มันเป็นอย่างนี้ แต่มันมีตัวจิตอีกตัวหนึ่ง ตัวจิตที่มันสมานตัวนี้เข้ามาให้มันดำเนินการไปโดยสามัญสำนึก แล้วสติของเรา เราควบคุมความคิดของเราไป มันตามความคิดไปด้วยธรรม ด้วยธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เราศึกษาธรรม ธาตุ ๔ และ ขันธ์ ๕ เป็นธรรมๆ อยู่นี่ คำว่า “เป็นธรรม” เป็นธรรมเพราะมีสติสัมปชัญญะ เป็นธรรมเพราะเราใช้เป็นธรรม

ถ้ามันไม่เป็นธรรมเพราะเราใช้เป็นกิเลส เราใช้ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นกิเลสนะ เราใช้ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยกิเลสใช้ มันเป็นโลกียปัญญา โลกียปัญญานี่ใช้ตรึกในธรรม ความคิดไปในธรรม แล้วก็เข้าใจว่าเป็นธรรม มันก็เลยเสียโอกาส เสียโอกาสในการประพฤติปฏิบัติ เสียโอกาสขณะที่ร่างกายของเราสดชื่น เรามีกำลังของเรา เราทำคุณงามความดีของเราได้ แต่ถ้าเราปล่อยมันจนอ่อนแอ ปล่อยมันจนเจ็บไข้ได้ป่วย แล้วเราเสียโอกาสไหม ความคิดโดยโลกียปัญญา ปัญญาที่กิเลสเอาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาใช้จะทำให้เราเสียโอกาสไป แต่ถ้าเป็นธรรมล่ะ เป็นธรรมมันมีสติสัมปชัญญะ ทำบ่อยครั้งเข้า ทำบ่อยครั้ง เพราะเส้นแบ่งระหว่างโลกียะกับโลกุตตระ

โลกียะคือความคิดของกิเลส พอกิเลสมันสงบตัวลงๆ ถ้ากิเลสไม่สงบตัวลง เกิดสมาธิไม่ได้ ถ้ากิเลสมันสงบตัวลง เห็นไหม โดยสามัญสำนึก ธาตุ ๔ และ ขันธ์ ๕ เป็นธรรม ก็เป็นธรรม ความคิดเป็นธรรม ทุกอย่างเป็นธรรม เป็นปัญญาปฏิบัติโดยตรง ตรงโดยธรรม เข้าถึงธรรม ปัญญาก็คิดว่านี่เป็นปัญญา เห็นไหม นี่ความคิดแบบกำปั้นทุบดิน ความคิดแบบกิเลส ความคิดแบบไม่รู้สึกตัวเลย

แต่ถ้ามันเป็นธรรมขึ้นมา จิตมันสงบเข้ามา สงบเข้ามาเป็นอะไร ถ้ากิเลสไม่ยุบยอบตัวลง จิตมันจะสงบได้ไหม จิตไม่สงบ เห็นไหม นี่เพราะกิเลสมันโดนธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตะล่อมเข้ามา ตะล่อมเข้ามาจนเป็นตัวของมันเอง เป็นตัวของจิตเองโดยสัมมา โดยความเห็นถูกต้อง มันจะมีสติสัมปชัญญะ มันจะรู้จักว่าสงบ มันจะรู้จักว่าจิตของเรามีกำลัง จิตที่มีวุฒิภาวะ เห็นไหม ปุถุชนเป็นกัลยาณปุถุชน

ถ้าเป็นปุถุชน ความคิดอย่างนี้เกิดขึ้นไม่ได้เลย มันไม่รู้ว่าอะไรเป็นความคิด อะไรเป็นจิต อะไรเป็นธาตุ อะไรเป็นขันธ์ มันเป็นอันเดียวกัน แยกไม่ออกหรอก ไม่รู้ ไม่รู้ นี้คือคนไม่เคยภาวนา เห็นไหม ถ้าคนภาวนาเห็นจิตสงบเข้ามามันจะเห็นความสงบของมัน แล้วมันปล่อยวางอะไรเข้ามา พอจิตมันปล่อยวางเข้ามา มันสงบเข้ามาเรื่อยๆ

เหมือนกับเราฝึกงาน เราทำงานไม่เป็น เราทำงานด้วยการฝึกฝน ด้วยความชำนาญของเรา เราฝึกงานจนเราทำงานเป็นนะ งานมานี่เราทำงานเป็นหมดเลย จิตก็เหมือนกัน มันเริ่มปล่อย มันเริ่มมีสถานะของมัน มันปล่อยของมันแล้วมีสติควบคุมนะ

ปล่อยเพราะอะไร ปล่อยเพราะสติ ปล่อยเพราะปัญญามันไล่ความคิด

พอความคิดมันปล่อยออกมา จิตมันสงบเข้ามาๆ มันรู้สึกตัวของมัน แล้วมันทึ่ง ทำไมความเห็นของเราว่า “นามธรรมจับต้องไม่ได้ สิ่งที่เป็นสัมมาสมาธิรับรู้ไม่ได้ อะไรก็รู้ไม่ได้ นามธรรมไม่มี ขันธ์ ๕ นี่ก็เป็นปัญญา”...นี่มันจับต้องได้ทั้งนั้น ถ้ามันจับต้องไม่ได้มันจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นสมาธิ มันจับต้องไม่ได้มันจะรู้ได้อย่างไรว่าเริ่มต้นจุดของความคิดมันเกิดจากตรงไหน ความคิดที่มันออกมาจากจิตมันออกมาอย่างไร

เห็นจิตสงบเข้ามา สงบเข้ามาบ่อยครั้งเข้า จนชำนาญเข้า มันจะตัดเลย ถ้าเราฝึกฝนจนมันเป็นความจริงนะ เห็นไหม รูป รส กลิ่น เสียง ไม่ใช่จิต...รูป รส กลิ่น เสียง เป็น รูป รส กลิ่น เสียง ไม่เคยให้โทษใครเลย ดูสิ แสงไฟฟ้า แสงเทียน เราจุดแสงสว่าง เราจุดเพื่อประโยชน์ใช่ไหม ทุกอย่างถ้าเราใช้มันเป็นนะ รูป รส กลิ่น เสียง เป็นอาชีพของเขาเลย ดูสื่อที่เขาหากินกัน นี่มันก็เสียงทั้งนั้น ภาพทั้งนั้น สิ่งต่างๆ เขาเอามาเป็นอาชีพได้หมดนะ ถ้าคนใช้มันเป็นมันใช้เป็นประโยชน์ได้หมดเลย

แต่เพราะไอ้กิเลสมันโง่ เขาจะได้ประโยชน์ เขาเอาไปหาเงินหาทอง แต่เราไปเสพสื่อนั้นแล้วก็ตื่นเต้นไป ตกกระแสไปกับเขาให้เป็นเหยื่อของโลก โลกเขาใช้สื่อสารมวลชนหลอก แล้วก็ตามมันไป ถ้าจิตมันมีสัมมาสมาธิขึ้นมา มันปล่อย มันรู้ทันหมดล่ะ สิ่งนั้นมันเป็นเรื่องของโลกๆ เขา โลกเป็นอย่างนี้ไง เป็นสภาคกรรม กรรมสร้างกันมาอย่างนี้ ถึงคราวถึงยุค มันจะเป็นสภาวะแบบนี้ เราช่วยได้ขนาดไหนเราก็ช่วย ช่วยไม่ได้มันก็วางไว้ตามความเป็นจริง แต่เรารักษาใจของเรา พอรักษาใจของเรา สิ่งที่ว่ารูป รส กลิ่น เสียงไม่ใช่จิต รูป รส กลิ่น เสียงไม่ใช่เรา ไม่ให้โทษเราเลย ถ้าเราคุมจิตเราได้ตัวเดียว

โลกนี้มีเพราะมีเรา ถ้าเราคุมตัวเราแล้ว โลกจะมีอะไร โลกก็คือโลกสิ นี่จิตมันปล่อยเข้ามา มันเป็นอิสระของมัน แล้วสังเกต ต้องหมั่นสังเกต หมั่นฝึกฝน นี่จิตเริ่มออกคิด มันเสวยอารมณ์ มันเสวยอย่างไรระหว่างขันธ์ ๕ กับจิต แต่ถ้าพิจารณากาย จิตสงบเข้ามาจะเห็นสภาวะกาย เห็นรูปของกาย นี่การฝึกฝนวิปัสสนาอย่างนี้

ธาตุ ๔ และ ขันธ์ ๕ มันจะเป็นธรรมขึ้นมาต่อเมื่อจิตมันสงบ จิตสงบเป็นสัมมา ถ้าจิตสงบเป็นสัมมา ต่างคนต่างอยู่มันก็ยังไม่เป็นธรรม มันเป็นสักแต่ว่า ต่างอันต่างอยู่ เพราะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย เพราะอะไร เพราะคนเกิดตายทุกวัน ถ้ามันมีประโยชน์ คนตายไปเผาเป็นพระอรหันต์หมดเลยที่เชิงตะกอน...ไม่ได้หรอก ไม่เป็น ไม่เป็น มันจะเป็นต่อเมื่อจิตเราสงบ มีวุฒิภาวะ มีสัมมาสมาธิ มีจิตสติสมบูรณ์ สมบูรณ์นะ ถ้าสติขาดมันก็ไม่เป็นอย่างนี้ เห็นไหม สติสมบูรณ์ ทุกอย่างสมบูรณ์ แล้วใคร่ครวญด้วยสติปัฏฐาน ๔ นี่ธรรมเกิดตรงนี้ ที่จะเป็นธรรมเพราะอะไร เพราะจิตมันใคร่ครวญ เป็นวิปัสสนา จิตใคร่ครวญ จิตศึกษา จิตเห็นจิต จิตเห็นอาการของจิต คือเห็นอาการของจิตที่มันเสวยอารมณ์ นี่เสวยอารมณ์นะ ขันธ์ ๕ กับจิตไม่ใช่อันเดียวกัน

ถ้าเป็นอันเดียวกันนะ เราจำสิ่งใดได้ เราทำสิ่งใดได้ มันจะอยู่กับเราตลอดชีวิต เหมือนรอยสักเลย รอยสักที่ผิวหนังเราจะไม่หลุดเลยถ้าเราไม่ไปเช็ดหรือใช้น้ำยาล้างมันออก ความคิดถ้ามันเป็นเรา มันต้องมีรอยสักในหัวใจตลอด แล้วมันต้องจำได้ตลอดเลย แต่ทำไมมันจำไม่ได้ล่ะ ทำไมบางอย่างลืม คิดทบทวนเท่าไรก็ลืม ลืมหมด ลืมโดยถ้าเป็นประโยชน์นะ

แต่มันจะไม่มีวันลืมเลยถ้ามันเป็นโดยสามัญสำนึก เพราะการเกิดและการตาย บุญกุศลหรือบาปอกุศลมันจะฝังลงที่ใจ บุพเพนิวาสานุสติญาณ ย้อนอดีตชาติได้หมด อดีตชาติที่เกิดมามันจะอยู่ที่เมล็ดพันธุ์พืช อยู่ที่หัวใจ พอจิตสงบเข้าไปมันจะย้อนอดีตได้หมดเลย ไปเปิดข้อมูลจะรู้จักทั้งหมด ทั้งหมดเลย แล้วมันเป็นอะไร? มันก็เป็นสสารอันหนึ่ง มันก็เป็นวิบากอันหนึ่ง มันก็เป็นผลอันหนึ่ง เพราะมันเวียนตายเวียนเกิด เป็นวิบาก เป็นผล เห็นไหม นี่เป็นผลที่เกิดขึ้นมาแล้ว แต่ในปัจจุบันนี้เราจะลบล้าง ลบล้างสิ่งที่มันข้องใจ นี่เห็นการเสวยของมัน จิตเสวยอารมณ์อย่างไร แล้วจับ

เวลาพระสารีบุตรฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เขาคิชฌกูฏ ขณะที่หลานของพระสารีบุตรมาต่อว่านะ “ไม่พอใจสิ่งต่างๆ เลย ไม่พอใจสิ่งใดๆ เลย”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “ถ้าเธอไม่พอใจสิ่งต่างๆ เธอต้องไม่พอใจอารมณ์ความรู้สึกที่เธอไม่พอใจเขาด้วย เพราะอารมณ์ความรู้สึกมันเป็นวัตถุอันหนึ่ง เป็นวัตถุอันหนึ่ง”

ถ้าใครเป็นปัญญาวิมุตติ ความรู้สึกมันเป็นวัตถุ ทำไมมันจะจับไม่ได้ มันจับต้องได้ มันแยกแยะได้ แยกแยะรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มันทำงานกันอย่างไร มันมีเหตุผลอย่างไรมันถึงทำให้เราหลงใหลมันอยู่นี่ ถ้ามันมีสติสัมปชัญญะมันจะจับได้หมดเลย แล้วแยกหมด รูปเป็นรูป เวทนาเป็นเวทนา

เวทนา ไม่ต้องเวทนากายหรอก เวทนาของใจนี่ เพราะมันมีความรู้สึก ถ้ามันมีอารมณ์ความรู้สึก มันมีชอบและไม่ชอบ มีชอบและชัง ความชอบ สุขเวทนา-ทุกขเวทนา ถ้าชอบก็เป็นสุขเวทนา ถ้าทุกข์ ไม่พอใจ ผลัก มันเป็นทุกขเวทนา

สัญญา สัญญาคืออะไร ถ้าไม่มีสัญญาข้อมูลเปรียบเทียบ ความคิดเกิดไม่ได้ ถ้าไม่มีความคิดเปรียบเทียบ สัญญาเปรียบเทียบ พอใจ-ไม่พอใจ พอมีความคิดขึ้นมา ไม่ยอมคิด เพราะอะไร เพราะเราไม่พอใจ แต่ถ้าชอบ คิดทันทีเลย

สังขารปรุงแต่ง วิญญาณรับรู้ สมานขึ้นมาเป็นอารมณ์ มันก็หมุนไปๆ แล้วเร็วมากๆ เร็วมากจนไม่ทัน แต่ถ้าจิตมันสงบเข้ามานะ จับมันขึงพืด จับจิตนี้ขึงพืดเลย ความเกิดขึ้นมาจะเห็นสภาวะแบบนั้นเลย วิปัสสนาไปบ่อยครั้งเข้ามันจะปล่อย การปล่อย ตทังคปหานนะ การวิปัสสนา ขันธ์ ๕ เป็นธรรมอย่างนี้ เป็นธรรมต่อเมื่อเราจับมันแยกแยะ เป็นธรรมต่อเมื่อเราเห็นขันธ์ ๕ เราเห็นความคิด นี่ถ้าเราเห็นขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ จะเป็นธรรมขึ้นมา แต่ถ้าเราไม่เห็นขันธ์ ๕ นะ ขันธ์ ๕ เป็นมาร

ดูสิ พระอรหันต์ ขันธ์ ๕ เป็นภาระ แต่เรานี่ขันธ์ ๕ เป็นมาร ถ้าขันธ์ ๕ เป็นมาร มันก็เหยียบย่ำสิ ความคิดก็เหยียบย่ำ ความคิดมีกำลังมากกว่าเรา ความคิดทำลายเราตลอดเวลา แล้วเราเป็นผู้รับผล แล้วแต่ความคิดมันจะฉุดกระชากลากไป จะทำอะไรก็ให้ความคิดมันลากเราไป แล้วเราก็เป็นเบี้ยล่างให้ความคิดมันเหยียบย่ำตลอดเวลา แต่ถ้ามันเป็นธรรม เราไม่ยอมไปกับมัน เราดึงมันมา ดึงความคิดมา เราเห็นหมดนะ เห็นจิต ถ้าเราควบคุมจิตได้ ความคิดเกิดไม่ได้

แต่ขณะที่จิตมันสงบขึ้นมาแล้วเราต้องการผล ต้องการผลคือต้องการปล่อยให้จิตออกมาคิด ถ้าจิตออกมาคิด เราเห็น เห็นไหม จิตเป็นอวิชชา แล้วมันผ่านกระบวนการของมันคือผ่านเข้าไปในขันธ์ คือข้อมูลนี้มันต้องการสิ่งใด นี่ไง มาร จิตนี้เป็นอวิชชา มันเป็นมาร แล้วมันอาศัยขันธ์ ๕ ไปออกหาเหยื่อ

ถ้าเราพิจารณาเจโตวิมุตติ ถ้าจิตมันสงบเข้ามา จิตมันสงบเข้ามาแล้วเห็นเป็นภาพกาย เห็นโดยใคร? เห็นโดยจิตนะ ไม่ใช่เห็นโดยตาเนื้อ ถ้าเห็นโดยตาเนื้อ เห็นโดยสามัญสำนึก อย่างนี้เป็นกายนอก ดูสิ เราประพฤติปฏิบัติกันใหม่ๆ เราไม่มีกำลังของเราขึ้นมา เราจะไปเที่ยวป่าช้า ไปเที่ยวป่าช้าเพราะอะไร เพราะไปเห็นซากศพแล้วมันสลดสังเวชนะ นี่ซากศพนอนอยู่ เราก็ต้องเป็นอย่างนี้ ซากศพมันก็เป็นคนเหมือนกัน ก่อนที่เขาจะตาย เขาก็มีชีวิต แต่เขาเพลิดเพลินในโลก เขาไม่มีวุฒิภาวะ เขาไม่รู้จักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาตายไปเปล่าๆ เราก็ต้องตายอย่างนี้ นี่เห็นสภาวะแบบนั้นมันจะหดตัวเข้ามาๆ จิตมันจะหดตัวเข้ามา

เราคิดถึงความตาย จิตมันจะไม่มีกำลังออกไปยึดรูป รส กลิ่น เสียงมาเป็นสมบัติของมัน ถ้ามันเพลินในตัวของมัน มันจะว่ามันไม่เคยตายเลย มันจะอยู่ค้ำฟ้า มันจะเที่ยวไประรานเขา ระรานด้วยความคิดนะ ความคิดระรานเขาไปหมดเลย อยากได้อย่างนั้น อยากมีอย่างนี้ อยากทำอะไร ไประรานเขาหมดเลย

แต่ถ้ามันคิดถึงความตายๆ มันจะหดตัวเข้ามา หดตัวเข้ามาเป็นตัวของมันเอง มันจะไม่ระรานใครเลย ไม่ระรานใครมันก็ย้อนกลับเข้ามา นี่ดูกายนอก กายนอกๆ เพราะผลของมันคือสมถะ ผลของมันคือการสงบตัวเข้ามา จิตจะหดตัวเข้ามาเป็นอิสระ เป็นตัวของมันเอง แล้วน้อมไป ถ้าเห็นกายใน เห็นเป็นกาย เห็นเป็นโครงสร้างของร่างกาย จะส่วนใดส่วนหนึ่งก็ได้ ผมเส้นหนึ่งก็ได้ ขนเส้นเดียวก็พอ ผิวหนังตรงไหนก็ได้ที่มันขยายส่วนออกไป มันเห็นสภาวะของมัน มันขยายส่วนของมัน ขยายส่วนด้วยอะไร? ขยายด้วยธรรม

นี่ไง ธาตุ ๔ และ ขันธ์ ๕ เป็นธรรมต่อเมื่อจิตมันสงบเข้าไป แล้วเห็นธาตุ ๔ และ ขันธ์ ๕ ตามความเป็นจริง แล้วขยายส่วน แยกส่วน เป็นวิภาคะ วิภาคะคือการขยายส่วน

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมเอาไว้ ขณะที่เป็นเจ้าชายสิทธัตถะก็มีธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ เหมือนกัน เป็นพุทธลักษณะ นี่เขาพยากรณ์แล้วมันก็ยังไม่เป็น ถ้ายังไม่มีการฝึกมันยังไม่เป็นหรอก ถ้ามีการฝึกฝนก่อน มีการฝึกฝน มีการกระทำขึ้นมาของจิต กิจจญาณ เวลาสำเร็จแล้วไปเทศน์ปัญจวัคคีย์ “เมื่อก่อนเราไม่เป็น อยู่ด้วยกัน ๖ ปี อุปัฏฐากมา เราไม่เคยพูดใช่ไหมว่าเราเป็นพระอรหันต์ บัดนี้เป็นพระอรหันต์นะ กิจจญาณ สัจจญาณ เกิดขึ้นมาจากเรา” เทศน์ธัมมจักฯ “เงี่ยหูลงฟัง เงี่ยหูลงฟัง” นี่เงี่ยหูฟังด้วยจิตสงบ ด้วยจิตของพระปัญจวัคคีย์ที่ได้ฝึกฝนมา อุปัฏฐากมา ๖ ปี ทำความสงบมาพร้อม นี่ทำความสงบของใจมา

ขณะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาธัมมจักฯ พระอัญญาโกณฑัญญะใช้ปัญญา ใช้ตาของใจ ไตร่ตรองตามไป “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายต้องดับทั้งหมดเลย”

เกิดความคิด ขันธ์ ๕ ธาตุ ๔ และ ขันธ์ ๕ เกิดดับหมด แต่เพราะไม่รู้เท่า เพราะไม่ทัน เพราะไม่รู้จริง แต่มีกำลังของจิต พอมีกำลังของจิต เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมขึ้นมา ปัญญาที่มีกำลัง แล้วปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ อุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาด้วยกัน ทำไมไม่บรรลุธรรมพร้อมกัน ทำไมไม่เห็นเหมือนกัน ทำไมต่างกัน

นี่ไง วาสนา การกระทำ ที่เราทำบุญกุศลกัน สิ่งนี้มันจะสะสมลงมาที่นี่ แม้แต่ปัญจวัคคีย์ก็ไม่เหมือนกัน จะรู้เหมือนกันเป็นไปไม่ได้ แต่รู้ขณะที่สร้างบุญญาธิการมา พระพุทธเจ้าเทศนาว่าการทีละองค์ๆ ขึ้นมาจนเป็นพระโสดาบันทั้งหมด เทศน์อนัตตลักขณสูตรออกไปเป็นพระอรหันต์ทั้งหมดเลย พอเป็นพระอรหันต์ทั้งหมด นี่มีพยานหลักฐาน มีสิ่งที่รู้ตามกัน ประพฤติปฏิบัติจากหัวใจ ใจมืดบอดมันจะรู้ตามกันได้ นี่มันเห็นมาจากใจ

ถ้าจิตมันสงบเข้ามาแล้วเห็นกายโดยตาของใจ เห็นไหม ถ้าเห็นกายโดยตาของเนื้อ ดูสิ เราไปดูซากศพแล้วหลับตา ในวิสุทธิมรรคนะ การไปเที่ยวป่าช้า ให้ขึ้นไปทางเหนือลม อย่าไปใต้ลมเพราะกลิ่นมันแรง ให้ขึ้นไปทางเหนือลม แล้วเพ่ง หลับตา ภาพนั้นติดไหม ถ้าภาพไม่ติด ให้เพ่ง ทำจิตให้สงบแล้วเพ่ง แล้วหลับตา การหลับตา นั่นน่ะ เกิดภาพนิมิต

ถ้าหลับตาแล้วเห็น ให้กลับมาที่อยู่ กลับมาที่อาศัย แล้วพยายามเพ่ง พยายามทำความสงบให้ภาพนั้นชัดเจน ภาพชัดเจนขึ้นมาแล้วให้ขยายส่วนแยกส่วน การขยายส่วนแยกส่วน วิภาคะ นี่เป็นธรรม เป็นธรรมต่อเมื่อจิตมันมีการกระทำ เป็นธรรมต่อเมื่อเราเป็นเจ้าของการกระทำ ถ้าเป็นเจ้าของการกระทำ “ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ” เหตุเราสร้างขึ้นมาดี เหตุเราทำมาถูกต้อง มันก็จะเป็นธรรมของเรา

พระไตรปิฎกนี่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งนั้น แล้วไม่ใช่ธรรมจริงๆ ด้วย ธรรมจริงๆ คือใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่บรรลุธรรม ที่ตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้วปรินิพพานไป นี้เป็นกิริยาของธรรม เป็นคำสั่งคำสอน เป็นคำเทศน์ เป็นวิธีการที่วิ่งเข้าหาเป้าหมาย เป็นวิธีการที่ชี้เข้ามาที่ใจของเรา ไปวิเคราะห์ตัวนั้นไม่ได้ เราไปวิเคราะห์วิจัยกันว่าเราจะเดินผิดพลาด เราจะวิเคราะห์วิจัยธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “ต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนั้น” ส่งออกหมดนะ

เราไปเบิกเงินคนอื่นแล้วนับให้คนอื่น นี่โดนปล้น เราต้องไปใช้จ่าย ใช้แทนเขานะ นี่ก็เหมือนกัน ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ยึดกัน แล้วก็ต้องเป็นสภาวะแบบนั้น เราเองแห้งผากนะ ใจเราไม่มีเลย ถ้าใจเรา เราศึกษาธรรมขนาดไหนมันเป็นแนวทาง แนวทางชี้เข้ามาที่ใจ ทวนกระแสเข้ามาที่ใจ เราวางให้หมด เวลาประพฤติปฏิบัติต้องวาง ถ้าไม่วางไว้ สิ่งนั้นมันจะสร้างภาพเป็นวิปัสสนึก อารมณ์เป็นอย่างนั้น สภาวะเป็นอย่างนั้น สิ่งต่างๆ เป็นอย่างนั้น แล้วมันจะขัดแย้งกับความเป็นจริง

ความเป็นจริง เพราะจิตเราสงบจริงๆ ปัญญาเราเกิดจริงๆ แล้วเกิดอย่างนี้ ขณะคนที่เป็น เห็นไหม ดูสิ ผู้ที่ชำนาญการเขามองเราออกว่าเราทำอะไรผิดอะไรถูก ขณะที่เราเกิดขึ้นมา เกิดมาทำไมไม่เหมือนกับพระไตรปิฎกล่ะ ทำไมไม่เหมือนกับธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า...ไม่เหมือน เพราะอันนั้นเป็นผล อันนั้นเป็นผลจากการกระทำที่มันเป็นผลแล้ว

แต่ขณะที่เราจะเจริญงอกงาม หน่อของพุทธะมันเกิดกับใจของเราแล้วไม่กล้าทำ ไม่กล้ารดน้ำพรวนดิน ไม่กล้ารักษาหน่อพุทธะ หักมันทิ้งซะ เพราะอะไร เพราะมันไม่เหมือนกับในพระไตรปิฎก...ไม่เหมือน ไม่เหมือนเพราะนั่นมันเป็นช่อ เห็นไหม ดูกอไผ่มันเป็นช่อเป็นลำ มันใหญ่โต แต่หน่อมันผุดขึ้นมา นี่มันเป็นความเพียรของเรานะ

มันสังเวชตรงนี้ สังเวชว่า นี่ทำเพื่อประโยชน์กับเรา แต่เราเอากิเลสไปศึกษากัน แล้วก็มาเหยียบย่ำหน่อของพุทธะในหัวใจที่มันจะเกิด พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อยู่ที่ใจ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์จะเกิดจากหัวใจนี้ แล้วหัวใจมันจะมีกำลังขึ้นมา มันจะสร้างกำลังขึ้นมา มันจะเป็นธรรมขึ้นมา แล้วเราไม่ยอมให้เป็นความเป็นจริง เราจะบอกให้เหมือนทางวิชาการ...ไม่เป็น ไม่เป็นหรอก ไม่เป็น

แม้แต่ปฏิบัติมาเหมือนกันก็ไม่เหมือนกัน เพราะจริตนิสัยไม่เหมือนกัน การชอบต่างกัน จริตนิสัย ไม่มีอะไรเหมือนกันเลย ปล่อยให้มันเป็นสัจจะความจริง ให้เป็นปัจจุบันของใจดวงนั้น ใจดวงใดปฏิบัติแล้วให้มันเป็นความจริงกับใจดวงนั้น ถ้ามันเป็นความจริงกับใจดวงนั้น มันก็เกิดขึ้นมากับใจของเรา

สิ่งที่มันเป็นความจริง ความจริงเกิดจากจิต เกิดจากการกระทำของจิตของเราเอง จิตเราไอ้ขี้ทุกข์ขี้ยาก ไอ้ปฏิสนธิจิตที่มาเกิดในร่างกาย จะเป็นนาย ก. นาย ข. จะพระอะไรก็แล้วแต่เกิดมา สิ่งที่เกิดขึ้นมามันชั่วคราวทั้งนั้น นี่สมมุติ แต่สมมุติโดยวาสนา เกิดมาได้บวช ได้เป็นพระ เป็นพระนี่เป็นนักรบ รบกับอะไร? รบกับกิเลส แล้วมีอุปัชฌาย์อาจารย์ บวชมาแล้วเป็นสงฆ์ เป็นสงฆ์โดยสมบูรณ์ด้วยกันทั้งหมด เพราะเป็นสมมุติสงฆ์ มีศีล ๒๒๗ ด้วยกัน เสมอภาคกัน ทิฏฐิเสมอกัน ความเห็นเสมอกัน ลงอุโบสถสังฆกรรมด้วยกันได้ทั้งหมด ทำสังฆกรรมได้ ทำทุกอย่างได้หมด นี่วาสนามีหรือยัง นี่โอกาสเปิดกว้างให้ทุกๆ คนเลย แล้วโอกาสเปิดกว้างขนาดนี้ทำไมไม่ขวนขวาย ไม่จริงใจ ไม่มีการกระทำให้มันเกิดขึ้นมาเป็นสมบัติของเรา

สมบัติของเราจะเกิด “สมบัติของเรา” ฟังสิ มันจะมีบุญกุศล อริยภูมิในหัวใจเท่านั้นที่เป็นสมบัติของเราที่จะไปกับใจดวงนี้ เรื่องต่างๆ ไม่ไปกับเราหรอก ไม่ไปกับเรา เห็นไหม โลกจะแปรปรวนยิ่งน่ากลัวมาก สภาวะโลกน่ากลัวมากเพราะอะไร เพราะโลกนี้พร่องอยู่เป็นนิจ โลกไม่มีสิ่งใดเต็มหรอก แต่เพราะการสื่อสาร แต่เพราะความเป็นไปของโลก การสื่อสาร จะให้โลกนี้เป็นตลาดเดียว พอเป็นตลาดเดียว ทุกอย่างมันรวดเร็ว แล้วมันทำความแปรปรวนของโลก โลกจะมีแต่ความเร่าร้อนตลอดไป

ไม่ใช่ว่าเราเร่าร้อนแล้วจะหนีมันนะ เร่าร้อนแล้วเราต้องอยู่กับมัน แต่เรามีอะไรเป็นที่พึ่งอาศัยล่ะ แต่ถ้าเรามีหัวใจอันนี้ เรามีหัวใจของเรา เร่าร้อนเราก็อยู่กับความเร่าร้อน เพราะเป็นสภาคกรรม เกิดมาร่วมโลก หนีไม่ได้หรอก ดูสิ เราเกิดมากึ่งพุทธกาล สิ่งนี้มันก็เป็นคุณธรรมอยู่แล้ว แล้วเราสร้างของเราขึ้นมา

ถ้าจิตของเรา เราเร่งของเรา เราทำของเรา แล้วถ้าจิตของเรามันมีที่พึ่งอาศัย ทำสมาธิขึ้นมา จิตสงบขึ้นมา เหมือนมีบ้านมีเรือนหลังหนึ่ง ดูสิ เราเปรียบเหมือนนั่งอยู่กลางแดดกลางฝน ฝนตกแดดออกตลอดไป เราก็เปียกปอนตลอดไป เราก็มีความเร่าร้อนตลอดไป เราไม่มีที่พึ่งเลย ถ้าเราสร้างหลักใจของใจเราขึ้นมา พอจิตมันสงบเข้ามามันก็มีที่พึ่ง มันพออยู่พอกิน มันมีบ้านมีเรือนให้อาศัยแล้ว เพราะเราหลบเข้าที่นี่ได้ เขาร้อนกัน เราไม่ร้อน เขาตื่นไปกับโลก เราไม่ตื่นไปกับเขา เราหลบเข้ามาเป็นตัวของเราเอง

สิ่งที่มันเกิดมันตายมันก็เป็นธรรมชาติทั้งนั้น ถึงวิกฤติแล้วมันก็ต้องเป็นไปอย่างนี้ แต่เรามีหลักใจของเรา เรามีที่พึ่งอาศัย แล้วถ้ามันวิปัสสนาขึ้นมาอีก นี่เป็นธรรม ธาตุ ๔ และ ขันธ์ ๕ หัดให้มันมีความจริง ให้มันเกิดมาจากใจของเรา ให้เกิดการแยกแยะ ให้เกิดการจับต้อง ให้เกิดการวิปัสสนา ให้เกิดความเป็นจริง

โลก เห็นไหม ดูสิ รถเขาปล่อยเกียร์ว่างหมด มันไม่มีใครขับเคลื่อนไปได้เลย แล้วรถของเรา เราติดเครื่องได้ เราใส่เกียร์ รถเราเคลื่อนออกไป รถของเราจะเคลื่อนออกไปนะ เพราะอะไร เพราะมันทดเฟืองออกไป มันต้องวิ่งออกไปโดยธรรมชาติของมัน จิตก็เหมือนกัน ถ้าเกิดได้วิปัสสนา ถ้ามันเป็นไปนะ ดูความเคลื่อนไปของจิตสิ จิตมันจะขับเคลื่อนของมันไปอย่างไร มันวิปัสสนาไปแล้วมันปล่อย มันปล่อยวางอะไรไป เห็นไหม มันปล่อยวาง ตทังคปหาน แล้วทำบ่อยครั้งเข้า จะธาตุ ๔ ก็ได้ ขันธ์ ๕ ก็ได้ ถ้ามันปล่อยบ่อยครั้งเข้าๆ ถึงที่สุด เราถึงเป้าหมายนะ

รถมันเคลื่อนไป ผ่านวิกฤติต่างๆ ขึ้นห้วยลงเขา ขึ้นลง มันต้องบังคับรถเราไป ขณะที่เราวิปัสสนาไปมันจะมีสิ่งนั้นเข้ามาสอดแทรก เห็นไหม เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา วิปัสสนาของเราขึ้นมา ปัญญา ธรรมนี้ประเสริฐมาก แต่กิเลสของเรา ความพลั้งเผลอของเรา การวิปัสสนาของเราไป ทำแล้วหน่วงอย่างนั้น ปล่อยอย่างนี้ มันจะมีกิเลสเข้ามาชักให้เราคล้อยตามไป ถ้าคล้อยตามไปทีหนึ่งก็ผิดทีหนึ่ง ก็ตั้งต้นใหม่ ผิดทีหนึ่งก็ตั้งต้นใหม่ มันจะมีนะ การประพฤติปฏิบัติไป การวิปัสสนาไป

ไม่ใช่ว่าพอเราเป็นนักปฏิบัติ เห็นไหม ดูสิ เรามีลูกศิษย์ลูกหา เราเป็นผู้ใหญ่ เด็กจะทำดี เราบอกเด็กว่าจะทำดี เราจะช่วยเหลือกัน เราจะเจือจานกัน แต่เวลากิเลส พอเราทำดี มันไม่ให้เจือจานหรอก มันหลอก มันจะขุดหลุมพราง มันจะพาเราไปตกเหวตกบ่อ มันจะทำให้การกระทำของเราผิดพลาด เพราะอะไร เพราะถ้าเราผิดพลาด เราไม่สามารถชำระกิเลสได้ เราไม่สามารถทำลายกิเลสให้มันขาดออกไปจากใจได้

ขันธ์เป็นมาร เพราะมารมันต้องการที่อยู่ของมัน มารมันยึดหัวใจของสัตว์โลกเป็นที่อาศัยมากี่ภพกี่ชาติ แล้วเวลาเรามาเจอธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากึ่งพุทธกาลเจริญขึ้นมาอีกหนหนึ่ง แล้วเราทำของเราขึ้นมาจนเกิดเป็นความจริงขึ้นมา เกิดเป็นความจริงขึ้นมานี่แหละ “มันมีปัญญาใคร่ครวญแล้ว มันปล่อยวางแล้ว ทุกอย่างปล่อยวางแล้ว” แต่ถ้าเราหมั่นคราดหมั่นไถ หมั่นกระทำบ่อยครั้งเข้า จนถึงที่สุดมันจะเป็นสมุจเฉทปหาน

การปล่อยวางมันจะเป็นตทังคปหาน มันปล่อยวางชั่วคราวๆ เว้นไว้แต่ขิปปาภิญญา ขิปปาภิญญาคือผู้ที่มีอำนาจวาสนา มันคิดพิจารณาไปมันจะขาดทันทีเลย ถ้าย้อนกลับล่ะ ย้อนกลับขึ้นมา กว่าที่เขาจะได้มา ต้นทุน คือเขาทำมาของเขาอย่างนั้น เขาได้สร้างบุญกุศลของเขาอย่างนั้น เขาได้สละมา ดูสิ เวลาพระอรหันต์ขึ้นมา เห็นไหม ทำไมพระสิวลีไปไหนก็มีลาภสักการะรององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสารีบุตรมีปัญญารององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คำว่า “รอง” คือเหลือล้นทุกๆ องค์นะ

แต่ถ้าผู้ที่ทุกข์ยาก เห็นไหม นี่ก็เหมือนกัน ในการกระทำของเรา ถ้าเราปล่อยวาง เราไม่ใคร่ครวญของเรา เราไม่มีสติรอบคอบ สติ-มหาสติ ปัญญา-มหาปัญญา ปัญญาที่เกิดขึ้นมันจะละเอียดรอบคอบขึ้นไปเรื่อยๆ บ่อยครั้งเข้า แยกแยะมันๆ มันจะปล่อยวางขนาดไหน มันไม่มีผลตอบสนอง มันไม่มีขณะของจิตที่มันเป็นไป

ขณะของจิตนะ กุปปธรรม-อกุปปธรรม เห็นไหม กุปปธรรม คือ สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรมที่เกิดขึ้นมา สภาวะที่เกิดขึ้นมาคืออนัตตา คือการเกิดขึ้น การตั้งอยู่ และการแปรสภาพไป โดยธรรม หรือโดยสมาธิ หรือโดยปัญญาก็แล้วแต่ มันเป็นกุปปธรรม มันเกิดขึ้นมาโดยธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่ไง ที่บอกกิริยาของธรรม กิริยาไม่ใช่ผล ธรรมในพระไตรปิฎกเป็นกิริยาของธรรมทั้งหมด มันไม่ใช่เป็นผล

“ผล” ผลคือโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี คืออะไร พระไตรปิฎกบอกไว้ไหม? พระไตรปิฎกไม่ได้บอกไว้เลย แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมา สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา เป็นกุปปธรรม มันเกิดขึ้นมา แล้วเราทำสภาวธรรมอย่างนี้อยู่ มันเป็นธรรมที่เกิด แล้วโดยธรรมชาติ โดยธรรมที่ว่ามันเป็นอนัตตา มันแปรสภาพ โดยความเป็นจริงมันก็อนิจจังอยู่แล้วโดยข้อเท็จจริงของสสาร ของธาตุ ๔ และ ขันธ์ ๕ แล้วปัญญามันเกิดขึ้นมาทำลายมันอีก เป็นอนัตตาไปอีก นี่กุปปธรรม บ่อยครั้งเข้าๆ ถึงที่สุด ขาด สมุจเฉทปหาน กายเป็นกาย จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์ กายกับจิต ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่ทุกข์ ทุกข์ไม่ใช่ขันธ์ ๕ อกุปปธรรม ถ้าขาด หนเดียว ขณะที่มันสรุป สรุปผลรอบเดียว

แต่ถ้ายังปล่อยๆๆ มันยังสรุปไม่ได้ ไม่มีเหตุมีผล สรุปไม่ลง นี่ไม่เป็นธรรม ไม่เป็นธรรม แต่จะสรุปลงของมันเป็นความจริง ขณะที่มันเป็นธรรมแล้ว ขันธ์ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ทุกข์ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ทุกข์ ทุกข์เป็นทุกข์ จิตเป็นจิต ปล่อยหมด ว่างหมด ปล่อยหมดเลย ปล่อยอย่างไร ใครเป็นคนบอกว่าปล่อย? ธรรมะไง

ขณะที่วิปัสสนาไป ถ้ามันเป็นกิเลส กิเลสมันก็ขุดบ่อล่อตลอดไป แต่ถ้าเป็นธรรม เรามีสติสัมปชัญญะบ่อยครั้งเข้าๆ ธรรมคือสัจธรรม ธรรมคือสัจจะความจริงที่เราสร้างขึ้นมาเอง มันเป็นสมบัติส่วนตน มันเป็นสมบัติของจิตดวงนั้น เป็นสันทิฏฐิโกที่จิตมันสัมผัสได้ จิตมันปล่อยวางได้ แล้วมันเป็นอกุปปธรรม จะจับพลิกหัวคว่ำดิน พญามารจะมาข่มขี่ขนาดไหน จะให้เสื่อมจากตรงนี้ไป เป็นไปไม่ได้ เพราะมันเป็นอกุปปธรรม อกุปปธรรมคืออฐานะที่มันจะแปรปรวน มันเป็นความจริงในใจดวงนั้น

ใจดวงนั้นมีความจริงส่วนหนึ่ง แล้ววิปัสสนาไป ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ เป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ ทั้งนั้น ธาตุ ๔ และ ขันธ์ ๕ คือกายกับจิตนี้เท่านั้นที่เป็นสถานที่ทำงาน ขณะที่ทำงานไป จิตมันทำงานของมันไป นี่เป็นธรรม ถ้าเป็นธรรม เราสร้างขึ้นมา

ถ้าเป็นกิเลส กิเลสมันก็พาล้มลุกคลุกคลาน กิเลสมันจะต่อต้าน ดูสิ ดูคนทิฏฐิ คนที่มีมานะกล้า จะต้องมีครูบาอาจารย์ที่เข้มแข็ง จะต้องมีการโต้แย้งที่รุนแรง ต้องมีอุบายวิธีการที่จะชักนำให้ความเห็นเข้ามาในทำนองคลองธรรม ทำนองคลองธรรมคือสัมมาทิฏฐิ สัมมาทิฏฐิที่เป็นการตรวจสอบกัน การ ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ มันจะลงในรอยเดียวกัน

ในการกระทำ ในการก้าวเดิน วิธีการต่างกันได้มหาศาล ผลอันเดียวกัน ผลต้องเป็นอันเดียวกัน ต่างกันไม่ได้ เพราะถ้าต่างกันไม่ใช่อริยสัจ อริยสัจ สัจจะกับอริยสัจจะ อริยสัจจะเป็นความจริงอย่างนี้ ถ้าความจริง มันตอบสนองมาเหมือนกัน แต่เพราะว่าวาสนาของคนไม่เหมือนกัน การกระทำของคนไม่เหมือนกัน ให้เขาก้าวเดินมาตามการกระทำที่เป็นจริงของเขา ไม่ใช่เห็นการกระทำของเขาแล้วเราไปสงสารนะ

เราไปสงสารชาวเรือ ชาวเรือเขาเดินทางด้วยเรือทางน้ำ เราบอกทำไมไม่เอารถล่ะ เอารถไปให้เขา เอาสิ่งต่างๆ ไปให้เขา มันเป็นไปได้ไหม ในเมื่อเขาเป็นชาวเรือ เราก็ต้องเอาเรือให้เขา ให้สิ่งที่จะอำนวยความสะดวกทางเรือ ถ้าเขาเดินทางทางบก เราอำนวยความสะดวกกับเขาทางบก

นี่ก็เหมือนกัน เจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ การเดินทางของแต่ละการเดินทาง การเดินทางระหว่างจิตที่มันก้าวเดิน ครูบาอาจารย์ถ้ารู้จริงจะมีความเห็นชอบ จะมีการชักนำ นี่มีครูมีอาจารย์เป็นผู้ชี้นำ เป็นคนบอกอุบายวิธีการ ถ้าเราไม่มีครูบาอาจารย์ชี้อุบายวิธีการ เราจะต้องเอาหัวชนภูเขา แล้วลองผิดลองถูกของเราไป

หลวงปู่มั่นลองผิดลองถูกมา ขณะที่ประพฤติปฏิบัติมา ไปเห็นกายขนาดไหนก็แล้วแต่ เวลาจะย้อนเข้ามาพิจารณากายมันไม่ยอมเข้า เพราะอะไร เพราะพระโพธิสัตว์กางกั้น จนกระทั่งได้ดุลพินิจ ใช้การใคร่ครวญ “เป็นเพราะเหตุใด เป็นเพราะเหตุใด ออกมาแล้วก็มีความเห็นเหมือนปกติ มันไม่ได้ชำระล้างกิเลส กิเลสไม่ได้เบาตัวลงเลย ความขุ่นใจ ความหมองใจ ความเศร้าสร้อยเหงาหงอยมันไม่ได้จางออกไป อะไรออกไปเลย สงบเข้าไปก็เหมือนเรากินข้าวแล้ว พรุ่งนี้ก็กินข้าวอีก มันก็เท่านั้นเอง ถึงที่สุดแล้วมันเพราะเหตุใด”

ถึงต้องลา ลาพระโพธิสัตว์ ลาสิ่งที่สร้างสมมา เพราะสร้างสมมาถึงมีเชาวน์ปัญญา เพราะมีเชาวน์ปัญญาถึงได้มีการค้นคว้า เพราะการค้นคว้าตามความเป็นจริงมันถึงมีผลเกิดขึ้นมาตามความเป็นจริง สิ่งที่เกิดความเป็นจริงมันเกิดมาจากที่ไหนล่ะ มันเกิดมาจากหนังสือตำรับตำราเล่มไหน

มันก็เกิดจากในหัวใจของท่าน ก็เป็นสมบัติของท่าน ท่านมีสมบัติความเป็นจริงขึ้นมา ท่านถึงเป็นครูบาอาจารย์ของเรา แล้วท่านก็เอาประสบการณ์ของท่านมาดูแล มาถนอมธรรมทายาท ที่เราจะเป็นธรรมทายาทกัน ถนอมรักษาขึ้นมา ให้ธรรม ให้ทายาทขึ้นมา ให้มันเจริญเติบโตขึ้นมา เจริญเติบโตมาเพื่อใคร? ก็เพื่อดวงใจดวงนั้น ถ้าดวงใจดวงนั้นมันมีหลักของมันแล้ว ดวงใจดวงนั้นมีหัวใจเป็นธรรมแล้ว มันจะทำสิ่งใดๆ ไม่ได้เลย เพราะมันเป็นอกุศล สิ่งที่เป็นอกุศลจะเข้ากับจิตที่เป็นธรรมไม่ได้ จิตที่เป็นธรรมคือใจเป็นธรรม นี่สิ่งที่เป็นธรรม เห็นไหม น้ำกับน้ำมันเข้ากันไม่ได้หรอก จิตที่เป็นธรรมแล้วทำสิ่งที่เป็นอกุศลไม่ได้ เพราะอะไร

เพราะธาตุ ๔ และ ขันธ์ ๕ พอจิตมันเสวยอารมณ์ มโนวิญฺาเณปิ นิพฺพินฺทติ มโนสมฺผสฺเสปิ นิพฺพินฺทติ มันทิ้งไปแล้ว แล้วมันเป็นฐานของความคิด แล้วฐานความคิดมันจะออกมาสื่อกับสังคม แล้วออกมาเป็นสิ่งที่สกปรกนี่ออกมาทำไม ออกมาเพื่อให้มันสกปรก ออกมาทำไม ดูสิ เราจะไปไหน เราชอบแต่ของสวยๆ งามๆ สิ่งที่สกปรกเราไม่ชอบใจเลย แต่ของสวยๆ งามๆ ในโลกนี้มันไม่มี เพราะอะไร เพราะมันไม่มีอะไรคงที่ มันต้องแปรสภาพ มันต้องเน่าเปื่อยอยู่ตลอดเวลา

แต่ขณะจิตที่มันสงบขึ้นมา สิ่งนี้เป็นเศษส่วนไง สอุปาทิเสสนิพพาน สิ่งที่เป็นเศษส่วน สิ่งที่สื่อความหมาย สื่อกันเพื่อความเข้าใจ สื่อกันเพื่อหัวใจของเขา จากใจดวงหนึ่งให้กับใจดวงหนึ่ง จากใจดวงที่รู้แล้ว ใจที่เข้าใจแล้ว ให้กับใจที่มันมืดบอด เพื่ออะไร? เพื่อจรรโลงศาสนทายาท สิ่งที่ศาสนทายาทขึ้นมา มันเจริญเติบโตขึ้นมาอย่างนี้ ถ้าจิตมันเจริญเติบโตขึ้นมา มันเป็นประโยชน์กับใคร มันเป็นประโยชน์กับใครล่ะ? มันเป็นประโยชน์กับสัตว์โลก

สัตว์โลก สัตตะเป็นผู้ข้อง เราเป็นผู้ข้องนะ ในสโมสรสันนิบาต ทุกดวงใจว้าเหว่ แม้แต่ในสโมสรสันนิบาตมีความสุขขนาดนั้น แต่มันเศร้าหมองในหัวใจ เห็นไหม แต่ถ้ามันเกิดสภาวธรรมขึ้นมาล่ะ เพราะใจดวงนั้น สัตตะเป็นผู้ข้อง ในเมื่อสัตตะเป็นผู้ข้อง เป็นผู้ปลดความข้องเหล่านั้น มันก็ไม่เป็นผู้ข้อง จิตมันก็ไม่มีใครเหยียบย่ำ สิ่งที่ไม่มีใครเหยียบย่ำมันก็เป็นธรรม

พอเป็นธรรมขึ้นมา นี่ไง ถ้ามีความจริงอย่างนี้ มันไม่มีอะไรปิดกั้นในหัวใจหรอก ไม่มีสิ่งใดเลยจะปิดตาธรรมได้ ตาธรรมทะลุเลย จากใจดวงหนึ่งให้กับใจดวงหนึ่ง ใจดวงนี้สว่างไสว ใจดวงนี้มีความสุข มีความเป็นไป นี่สุขในวิมุตติสุข ไม่ใช่สุขทางโลกๆ หรอก สุขทางโลกนี้สุขโดยอามิส สุขโดยขันธ์ ขันธ์ ๕ สุขคู่กับทุกข์ สุขเวทนา-ทุกขเวทนา ก็สุขในขันธ์ไง ขันธ์ ๕ ธาตุ ๔ และ ขันธ์ ๕ เป็นธรรมๆ...ไม่เป็นหรอก ไม่เป็น

เพราะมันพ้นไปจากธาตุ ๔ และ ขันธ์ ๕ มันถึงเป็นวิมุตติสุข เอวัง