ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

เห็นผิด

๒ ก.พ. ๒๕๖๒

เห็นผิด

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) .หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ถาม : ข้อ ๒๓๑๗. เรื่อง “ระหว่างความจริงกับประเพณี”

กราบนมัสการหลวงพ่อ โยมขอถามนอกเรื่องภาวนาด้วยครับ คือเรื่องประเพณีตรุษจีน สารทจีน เชงเม้งของคนไทยเชื้อสายจีนว่า

๑. การที่เราตั้งเครื่องบูชากราบไหว้บรรพบุรุษ บรรพบุรุษเราจะได้รับเครื่องเซ่นไหว้นั้นนไหมครับ ถ้าได้ ต้องอยู่ในภพภูมิของอะไรครับ

๒. ถ้าไม่ได้รับเครื่องเซ่นไหว้ที่เราบูชา เราควรทำตามประเพณีต่อไปไหมครับ โยมเคยอ่านเจอว่า การบูชาบรรพบุรุษ ถ้าจะได้รับ คือญาติหรือบรรพบุรุษต้องอยู่ในภพภูมิของเปรตวิสัย โยมไม่แน่ใจว่าจริงไหม เลยต้องขอถามหลวงพ่อว่าจริงไหมครับ

๓. การนั่งสมาธิเมื่อจิตสงบ เราสามารถแผ่เมตตาให้บรรพบุรุษได้ภพภูมิที่ท่านไปเกิดใช่ไหมครับ

โยมขอถามหลวงพ่อ ๓ ข้อ โยมกราบขอบพระคุณครับ

ตอบ : ไอ้เรื่องนี้ตอบทุกปีเลย พอใกล้ตรุษจีนได้ตอบทุกปี เวลาตอบไปแล้ว คนที่สงสัยก็เขียนมา ไอ้คนที่เขียนมาแล้ว ตอบไปก็อย่างนั้น

มันเป็นกงกรรมกงเกวียน มันเหมือนกับเรื่องอดีต ปัจจุบัน อนาคต แล้วมันก็เป็นอย่างนี้ แล้วประสาเรา เราก็คิดอย่างนี้เหมือนกัน ตอนเราบวชใหม่ๆ เราบวชใหม่ๆ เราก็กลับมาหาพ่อหาแม่เหมือนกัน เวลากลับมาหาพ่อหาแม่ บอกว่าไม่ต้องไหว้เจ้า ไม่ต้องอะไรทั้งสิ้น แล้วเรากลับไปนะ เห็นแม่คอตกเลยนะ แม่เขาทำใจไม่ได้ เพราะแม่เขาก็ไหว้บรรพบุรุษมาตั้งแต่เกิด

เรากลับไป กลับไปก็นั่งคิดในรถไปเรื่อย กลับไปอีสาน ปีหนึ่งจะไปเยี่ยมบ้านทีหนึ่ง พอกลับไปอีสาน กลับไป คิดแล้วมันกลับเสียใจ กลับเสียใจว่า เราไม่น่าเอาความทุกข์ไปยัดเยียดให้คนอื่นเลย เราไม่น่าเอาความทุกข์ไปให้คนอื่นได้แบกหามเลย

ไอ้เรื่องอย่างนี้มันเป็นความสงสัยของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติใหม่ เหมือนคนไม่เคยสงสัยในเรื่องศาสนามาสนใจศึกษาเรื่องศาสนา มันก็มีความรู้ของมันใหม่ๆ มันแค่หางอึ่ง พอมีความรู้แค่หางอึ่ง มันอวดรู้ อยากจะไปสอนคนนู้นคนนี้ไง

นี่ก็เหมือนกัน เราบวชใหม่ๆ เรากลับมาจากภาคอีสาน มาบอกแม่ บอกว่า ศาลพระภูมิก็จะไม่ให้ตั้งนะ ศาลพระภูมิก็ไม่ได้ อะไรก็ไม่ได้ทั้งสิ้น แล้วเราก็กลับไป กลับไปนะ เราก็เอาไปคิดในรถ อืม! เราไม่น่าเอาความทุกข์ไปใส่หัวอกคนอื่นเลย หัวอกของคนอื่นเขาศรัทธามั่นคง ศรัทธาคลอนแคลน ศรัทธานะ แล้วศรัทธามันก็ไม่เหมือนกันใช่ไหม แล้วอย่างของเรา ประสาเรา แม่ แม่กับลูก ลูกทำไมไม่รักแม่ ทำไมลูกไม่สามารถจะบอกแม่ได้ มันก็อยากจะบอกแม่ให้แม่ได้บุญดีๆ ไอ้นี่ความเห็นแค่หางอึ่งไง เพิ่งบวชปฏิบัติใหม่ๆ แหม! ความรู้ดีนัก จะมาสอนแม่

แล้วเราก็กลับไปนะ กลับไปก็คิดวิตกอย่างนี้ว่า วุฒิภาวะของคนไม่เหมือนกัน จิตใจของคนไม่เท่ากัน จิตใจของคนที่เขาอยู่ทางโลก จิตใจมันต้องมีที่พึ่งที่อาศัย เราถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รัตนตรัยก็เป็นที่พึ่ง ถ้าคนไม่มีที่พึ่งมันคลอนแคลน คนไม่มีที่พึ่งมันหวั่นไหว เวลาเราจะไปไหน ออกจากบ้านต้องให้ฤกษ์ดีมีชัยนะ ออกไปแล้วให้ไม่ประสบอุบัติเหตุ แหม! คิดซะดีเชียว

นี่ก็เหมือนกัน เวลาจิตใจมันเร่ร่อนมันไม่มีที่พึ่งหรอก แล้วประชาชนโดยทั่วไปก็เป็นอย่างนั้นน่ะ ปุถุชนมันแบบว่าจะให้มีหลักมีเกณฑ์มันเป็นไปได้ยาก แล้วเราไปบอก ไปบอกแล้ว เวลากลับไปจากบ้านนะ กลับไปภาคอีสาน นั่งคิดไปตลอดทาง เสียใจ ปีรุ่งขึ้นมาใหม่ ปีหนึ่งจะไปเที่ยวบ้านสักหนหนึ่ง พอปีรุ่งขึ้นมาใหม่ ศาลพระภูมิเขาก่อซะอย่างใหญ่โต คือเขารื้อทิ้งหมดเลย แต่เขาทำใหม่ดีกว่าเก่าอีกหลายเท่าเลย โอ้โฮ! เวรกรรม กลับภูมิใจ กลับดีใจนะ ดีใจว่า เออ! เขาทำของเขาแล้ว ทีนี้ไม่พูดอีกแล้ว เรื่องของเขา ถ้าเขาเห็นดีเห็นงามขึ้นมาเขาจะลดละเลิกของเขาไปเอง แต่คนที่เขายังหวังที่พึ่งอยู่ก็ให้เขามีที่พึ่งที่อาศัยของเขาไป

แต่ถ้าคนเวลาศึกษานะ มันเป็นแบบนี้ คนที่บวชใหม่ๆ มา หรือคนที่ปฏิบัติใหม่ๆ มาจะเป็นอย่างนี้ จะต้องสะอาดบริสุทธิ์ เพราะเราศึกษาอย่างนั้นจริงๆ ศีล สมาธิ ปัญญา ศีลก็อยากให้ศีลที่มั่นคง ศีลที่เป็นอธิศีล ศีลที่สะอาดบริสุทธิ์ ก็อยากจะทำให้มันชัดเจนแจ่มแจ้ง เพื่อเป็นบาทฐานจะได้มีสมาธิ จะได้ภาวนาของตัวเองขึ้นไป

เวลาศึกษาแล้ว เพราะคนศึกษามันก็อยากจะสะอาดบริสุทธิ์ มันเหมือนทางโลกเลย เวลาพวกศึกษาในมหาวิทยาลัยออกไปจะทำงานมันคิดเต็มที่เลย พอออกไป ตกงานหมดเลย เรียนจบตกงาน ไม่มีงานทำ แต่เวลาเรียนอยู่มันคิดนะ โอ๋ย! จะทำนั่นทำนี่ มันวาดฝันไว้เต็มที่เลย พอไปแล้วมันไปไม่รอด

นี่ก็เหมือนกัน เวลาบอกว่า เวลาปฏิบัติใหม่ๆ ทำอย่างนั้นๆๆ แล้วเหลือมาเท่าไร ไม่เหลือเลย ตายหมด นี่พูดถึงว่าประสบการณ์ของเราเอง เรื่องอย่างนี้ตอบทุกปีเลย แล้วก็จะมีอย่างนี้

ผู้ถามเราก็เข้าใจ พอศึกษา คนเราศึกษามันก็เหมือนกับธรรมดาเยาวชนใช่ไหม สังคมก็มีเด็ก มีผู้ใหญ่ มันก็มีผู้เฒ่าไปข้างหน้า แล้วเด็กมันเกิดใหม่ เด็กมันฝึกหัดใหม่มันก็เป็นอย่างนี้ มันก็ถามทุกปี เวลาถามทุกปีแล้ว ถ้าพูดถึงโดยรัตนตรัยนะ ขาดหมดเลย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เท่านั้น ไม่ถือมงคลตื่นข่าว ไม่ถือนอกศาสนา ไม่ถืออะไรทั้งสิ้น ขาดหมด ขาดหมดเพราะอะไร

เพราะเราบวชใหม่ๆ เหมือนกัน ที่เรากลับมาสอนแม่ ก็ไปทางภาคอีสาน โอ้โฮ! สมัยนั้นนะ เขาเข้มงวดมาก ถือศีล ๘ นี่นะ การละเล่นฟ้อนรำไม่มี การพนันนี่ไม่แตะ เรื่องเหล้ายาปลาปิ้งหมดสิทธิ์ ถ้าเป็นลูกศิษย์ที่ครูบาอาจารย์นะ อย่างเช่นหลวงปู่กงมา สมัยเราไป หลวงปู่กงมา หลวงปู่ฝั้น ลูกศิษย์ อู้ฮู! สุดยอด ไม่ถือมงคลตื่นข่าว ศีล ๘ ไง ดูหนังดูละครไม่มี ที่ไหนเขามีหนังมีละครกัน มันเหมือนอยู่ในนวโกวาทเลย นักเลงกลางคืน ที่ไหนมีเสียงเพลง ไปที่นั่น ที่ไหนมีการมีงาน ไปที่นั่น

เวลาครูบาอาจารย์ เราถึงชื่นชมว่า สมัยหลวงปู่มั่น สมัยครูบาอาจารย์ของเรานะ ท่านเผยแผ่ธรรมไปนะ แล้วมันมีหลักมีเกณฑ์นะ แม้แต่ฆราวาส พระไปเขาอุปัฏฐาก กัปปิยัง กโรหิ พวกน้ำมีตัวสัตว์ เขาทำให้เปี๊ยะ! เพราะเขาก็ปรารถนาความจริงเหมือนกัน สมัยเราไปอีสานใหม่ๆ นะ โอ้โฮ! โยมนี่ระเบียบเขาเพียะๆๆ เลย เพียะๆๆ นี่ใครสอน

มันต้องมีครูบาอาจารย์สอนใช่ไหม มีครูบาอาจารย์บอกใช่ไหม แล้วถ้ามีครูบาอาจารย์บอก เราเพิ่งไปจากภาคกลาง เขาเรียกว่าไอ้ไทยกรุงเทพฯ ไอ้พวกไทยกรุงเทพฯ ไอ้พวกกุมารทอง ผู้ดีไง อ่อนแอ ไอ้พวกไทยกรุงเทพฯ

คำว่า ไทยกรุงเทพฯ” เพราะภาษาภาคอีสานไง ไทยสกลฯ ไทยเลย ไทยที่ไหน ไอ้พวกเรานี่ไอ้พวกไทยกรุงเทพฯ พูดภาษากลาง ข้าวเหนียวก็กินไม่เป็น ปลาร้าปลาแจ่วกินไม่ได้ แต่พวกฝรั่งมานะ โอ้โฮ! เขาทำได้หมดเลย พวกฝรั่งมาจากยุโรป โอ้โฮ! มันกินส้มตำ มันกินอะไรได้ทั้งนั้นเลย

เราไปอยู่อีสานใหม่ๆ เราขึ้นไป เพราะเราไปเห็นถึงว่าพื้นฐานเบสิกที่ครูบาอาจารย์ท่านทำไว้ โอ้โฮ! สุดยอด คำว่า สุดยอด” มันต้องมีตัวอย่าง มันต้องมีครูบาอาจารย์ที่ดี ครูบาอาจารย์ที่วางรากฐานที่ดี เหมือนนักปกครองที่ดี สังคมก็ดีงาม ถ้านักปกครองคอร์รัปชั่น เห็นแก่ตัว สังคมเหลวแหลกเพราะอะไร เพราะไอ้คนที่มันเอารัดเอาเปรียบมันมี แล้วตัวนั้นเป็นตัวอย่างที่เลว แล้วคนก็จะเอาอย่างนั้น

เราไปธุดงค์นะ เราขึ้นไปสมัย เราบวชปี ๒๕๒๑ หลวงปู่ฝั้นเสียปี ๒๕๑๙ ปี ๒๕๑๙ ๒๕๒๐ ๒๕๒๑ เราขึ้นไปอยู่ภาคอีสานแล้ว ขึ้นไป โอ๋ย! พื้นฐานเขาดีมาก พื้นฐานเขาดีเพราะครูบาอาจารย์เขาดี แล้วประชาชนมันน้อยด้วย สอนแล้วดีงามมากเลย

แต่สมัยนี้นะ ไทยกรุงเทพฯ ไทยอุบลฯ ไทยอุดรฯ เหมือนกัน จะไทยภาคไหนนะ ภาคธุรกิจเหมือนกัน ค้ากำไรเหมือนกัน จะอุบลฯ อุดรฯ ขอนแก่น กรุงเทพฯ นนทบุรี เหมือนกัน เพราะเดี๋ยวนี้มันเจริญเสมอภาคกัน เหมือนกัน

นี่พูดถึงพอเราเจอสภาพแบบนั้นมันก็สะท้อนใจคิดถึงแม่ไง พอกลับมาก็บอกว่า ให้ถือศีล อยู่ในรัตนตรัย แต่ภาษาเรา เขาอยู่ในสังคมก็ต้องเป็นแบบนี้

ฉะนั้น เรื่องที่ว่า ถ้าพูดถึงเอาความจริงนะ เวลาเราบวชเณร บวชเณรนี่ขอไตรสรณคมน์ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ บวชเณร แล้วถ้าพูดถึงขาดไตรสรณคมน์ก็ขาดจากความเป็นเณร ไอ้เราพุทธมามกะ มันก็ถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ถือรัตนตรัยนะ ไม่ถือมงคลตื่นข่าว แล้วตอนนี้พอกลับมาถึงคำถามแล้ว แล้วประเพณี ตรุษจีน สารทจีน เชงเม้ง ไทยเชื้อสายจีนที่ว่า เขาว่าเป็นการตั้งบูชาบรรพบุรุษ

ไอ้บูชาบรรพบุรุษนะ ถ้าเราบูชาทางโลก พ่อแม่เราอยู่ เรายกมือไหว้พ่อแม่เราได้ไหม ได้ แล้วพ่อแม่เราตายไปแล้ว เราไหว้พ่อแม่เราได้ไหม ได้ ทำไมจะไม่ได้ บูชาบรรพบุรุษก็บูชาบรรพบุรุษไง มันจะเสียหายตรงไหน

แต่ถ้าพูดถึงบูชาบรรพบุรุษ ไหว้เจ้าแล้วต้องอุทิศส่วนกุศลร้อยแปด พูดถึงอย่างกรณีถ้าพูดถึงรัตนตรัย ทำไมพ่อแม่เราจะกราบไม่ได้ พ่อแม่เรากราบได้ทั้งนั้นน่ะ เรายกมือไหว้พ่อแม่เรา ทำไมเราจะยกมือไหว้ไม่ได้ มันได้อยู่แล้ว

การบูชาบรรพบุรุษ การไหว้ นี่เพราะการไหว้เป็นการนอกรัตนตรัย เขาว่าไป

พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ถ้าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พูดถึงรัตนตรัยนะ การไหว้ ถ้าได้นะ เขาบอกว่า “เวลาตั้งเครื่องบูชากราบไหว้บูชา บรรพบุรุษได้รับเครื่องเซ่นไหว้หรือไม่”

ฉะนั้น เครื่องเซ่นไหว้ เราไหว้บรรพบุรุษก็อย่างหนึ่งนะ ถ้าคนที่มีสติปัญญา ใส่บาตร ทำบุญกุศลอุทิศให้ ทำบุญกุศลอุทิศให้ เรื่องอย่างนี้นะ ถ้าพูดถึงมันมีประสบการณ์ทั้งนั้นน่ะ ถ้าเรื่องจริงๆ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เราทำคุณงามความดี พ่อแม่เราตายไปแล้ว ถ้าพ่อแม่เราตายไปแล้วนะ เราทำคุณงามความดีอยู่ พ่อแม่เขารับรู้ได้ด้วย คุณงามความดีทำให้พ่อแม่มีความสุขทั้งนั้นน่ะ เราทำดีดีกว่าไง

เรื่องการเซ่นไหว้ การระลึกถึง ระลึกถึงได้อยู่แล้ว แล้วถ้าพูดถึงนะ เราตักบาตร เราทำบุญกุศลแล้วอุทิศไปจบเลย แล้วยิ่งง่ายด้วย นี่พูดถึงว่ามันทำแล้วมันอยู่กับสังคมได้หรือไม่ ถ้าสังคมเป็นแบบนั้น แล้วสังคมของคนจีน เขากราบเขาไหว้ก็เรื่องของเขา

มันมี ที่เราไป แม่พระ แม่เพื่อนเรา เขาบอกว่าเขาอยากไหว้บรรพบุรุษ เขาบอก ดูสิ คนจีนรวยทุกคนเลย คนไทยมีแต่คนจนทั้งนั้นเลย

โอ้โฮ! เราบอกว่า ไอ้ไหว้นี่แล้วรวยเนาะ ถ้าไหว้แล้วไม่ต้องทำงานจะรวยไหม มันเป็นไปไม่ได้หรอก มันอยู่ที่สายเลือด มันอยู่ที่พันธุกรรม ดูสิ เวียดนาม คนจีน เขาถนัดเรื่องการค้าขาย เขาถนัดทำธุรกิจของเขา ไอ้นี่มันเป็นความถนัดไง มันอยู่ในสายเลือด ไอ้นี่มันเป็นความขยันของเขา ไอ้เรานะ ถ้าอยากรวย เราก็ขยัน มันก็รวย ไม่ใช่อยู่ที่การกราบไหว้ไม่กราบไหว้หรอก แต่นี้คนของเขาเยอะ ประเพณีของเขา

ถ้าพูดถึงว่า การกราบไหว้ได้หรือไม่

กราบไหว้ พูดถึงมันมีผลทั้งนั้นน่ะ มันมีผลความระลึกถึง การทำคุณงามความดี แล้วพูดถึง “ถ้าได้ ต้องอยู่ในภพภูมิใด”

ต้องอยู่ในภพภูมิใด ไอ้นี่เป็นวิทยาศาสตร์ เวลาเราศึกษาธรรมะ ศึกษาแล้วเป็นวิทยาศาสตร์ ต้องอย่างนั้นๆๆ เวลาต้อง เห็นไหม ทีนี้พอต้องปั๊บ มันก็ไปอยู่ในอจินไตย ๔ อจินไตย เรื่องกรรม

โลก พุทธวิสัย กรรม ฌาน อจินไตย ๔ อจินไตยคือว่าเรียงลำดับไม่ได้ ถ้าเรียงลำดับไม่ได้ จะบอกว่า ถ้าทำแล้วอยู่ในภพภูมิใด จะเรียงลำดับเป็นวิทยาศาสตร์เลย มันเรียงลำดับไม่ได้ มันเรียงลำดับไม่ได้หมายถึงว่าจังหวะและโอกาส คนรู้จักกันเดินมา สวนกันไปสวนกันมาไม่เห็นกัน ไม่เจอกัน มันจะเห็นไหม มันก็ไม่เห็น

นี่ก็เหมือนกัน เราอยู่ภพภูมิใด อยู่ใดๆ มันต้องชัดเจนอย่างนั้น ถ้าชัดเจนอย่างนั้น เขาบอกว่ามันเป็นวิสัยไง พูดถึงภพภูมิใดที่ได้รับ แต่ความระลึกถึง เราระลึกถึงได้หมด นี่พูดถึงข้อที่ ๑.

“๒. ถ้าไม่ได้รับเครื่องเซ่นที่เราบูชา เราควรทำตามประเพณีต่อไปหรือไม่ โดยเคยอ่านว่าถ้าการบูชาบรรพบุรุษจะได้รับคือญาติหรือบรรพบุรุษอยู่ในภพภูมิที่เป็นวิสัยของเปรต”

นี่อยู่ในพระไตรปิฎกมีอยู่เลย เปรตชั้นหนึ่ง แต่การกระทำของเราอย่างนี้ เพราะพูดถึงการกระทำชั้นหนึ่งนะ แต่เวลาหลวงปู่มั่นท่านประพฤติปฏิบัติถึงที่สุดแห่งทุกข์ มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีครูบาอาจารย์มาอนุโมทนาเลย มาอนุโมทนาเลย ทำคุณงามความดีของหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นท่านนั่งสมาธิภาวนาของท่าน นั่นภพภูมิอะไร แล้วมาอนุโมทนานี่ได้บุญหรือไม่ได้บุญ

แต่คำว่า เสียสละ” อย่างนั้นมันแบบว่า หนึ่ง พระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์ในสมัยพุทธกาล จิตใจท่านเหนือโลกใช่ไหม แล้วผู้ที่ประพฤติปฏิบัติมันเหนือโลกด้วยกัน มันแบบว่า ภาษาเราว่า คลื่นเดียวกันมันก็ตรงกัน มันได้อยู่แล้ว

แต่เวลาคนตายไปแล้วมันคลื่นตรงกันหรือเปล่า ถ้าคลื่นไม่ตรงกัน ไอ้เรื่องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ไอ้เรื่องนี้มันเป็นเรื่องผลของวัฏฏะนะ ผลของวัฏฏะคือลึกลับมหัศจรรย์ แต่มันต้องมีเหตุมีผล มันต้องมีที่มา มันต้องมีเหตุมันต้องมีปัจจัยทั้งสิ้น

แล้วจะให้พูด กรรมเป็นเรื่องอจินไตย คำว่า กรรมเป็นอจินไตย” มันยืดยาวจนเราจับต้องไม่ได้ เราคุยกันได้ก็ภพชาติใกล้ๆ นี้ กรณีนี้ ประวัติหลวงปู่ตื้อ ไปดูสิ หลวงปู่ตื้อบอกว่า มาถามเราได้หมดทุกเรื่องเลย ยิ่งเป็นพันๆ ปียิ่งดีใหญ่เลย เพราะอะไร เพราะกูรู้คนเดียว มึงรู้ไม่ได้หรอก กูพูดอย่างไรมึงก็ต้องเชื่อ หลวงปู่ตื้อท่านพูดประจำ แล้วหลวงปู่ตื้อท่านรู้จริงด้วย แต่รู้จริงแล้ว เรารู้จริงหรือเปล่า โดยว่าเราอยากรู้เท่านั้นน่ะ

นี่ก็เหมือนกัน “ถ้าบรรพบุรุษเราได้ มันต้องอยู่ในภพของเปรตใช่ไหม”

ไอ้นี่มันก็ว่าอย่างนั้นไป แต่ภพของเปรตมันเหมือนกับการให้ ดูสิ เวลาเราเกิดเป็นเทวดา อินทร์ พรหม อาหารทิพย์ อาหารทิพย์แบบว่ามันสำเร็จรูป ดูสิ พูดถึงคนที่เขาไปเที่ยวนรกกัน เขาบอกว่า เวลาตายไปแล้วไปอยู่ที่ยมบาล ที่ยมบาลที่จะไปมันมีอะไร มีอาหาร มีต่างๆ แล้วของใครของมัน จับแล้วหายหมดเลย คำว่า หายเลย” มันเป็นทิพย์ไง เราทำของเราไปมันเป็นอย่างนั้น นี่ภพยมบาลนะ เวลาออกพ้นจากยมบาลไป ไปเป็นจาตุมฯ ดุสิต มันเป็นอย่างไร อาหารมันเป็นอย่างไร นี่พูดถึงวัฏฏะ พูดถึงวัฏฏะแล้วเดี๋ยวมันจะแบบว่า เขาถามเรื่องหนึ่ง ตอบไปอีกเรื่องหนึ่ง แล้วมันจะบานปลาย ถ้าบานปลายแล้วเดี๋ยวจะงงใหญ่เลย

ฉะนั้นบอกว่า “ถ้ามันไม่ได้ เราควรจะทำหรือไม่”

การกระทำของเรามันเรื่องอย่างหนึ่งนะ นี่พูดถึงข้อที่ ๒.

๓. การนั่งสมาธิเมื่อจิตสงบแล้วเราสามารถแผ่เมตตาให้บรรพบุรุษได้ทุกภพทุกภูมิที่ท่านได้รับใช่หรือไม่”

มันจะเข้าตรงนี้ ถ้านั่งสมาธิ พอนั่งสมาธิ จิตมันเป็นสากลไง นั่งสมาธินี่จิตเป็นสากล อย่างนี้มันไปได้ มันรับรู้ได้ แล้วแผ่ไปมันก็รับรู้ได้ ถ้าแผ่ไป รับรู้ได้ ย้อนกลับมาที่ว่าการอุทิศส่วนกุศล มันไม่ใช่สมาธิ ไม่ใช่สมาธิ ดูสิ เวลาคนที่เขาแก้เคล็ดกัน เขาไปสร้างเครื่องบูชาสามแพร่งสี่แพร่ง พวกสัมภเวสีตายแล้วยังไม่ได้เกิดนะ ให้เขาได้อาหารของเขา เหมือนกับบูชาผี ว่าอย่างนั้นเถอะ ถ้าบูชาผีๆ ให้ผีเขาได้อยู่ได้กินของเขา ถ้าบูชาผี มันเป็นวัตถุที่ให้ แต่ถ้าเป็นสมาธิ มันเป็นเรื่องของจิต จิตที่เราส่งมันถึงกัน มันอุทิศส่วนกุศล มันแผ่ถึงกัน

ฉะนั้นบอกว่า เราถึงว่า ถ้าเราอุทิศส่วนกุศล มันจะถึงหรือไม่ มันจะทำอย่างนี้

เราทำคุณงามความดี เวรกรรมมันเกี่ยวพันกันไปหมด แต่เวลาให้อย่างนี้มันให้เหมือนกับเราหยิบต้องได้เป็นวัตถุไง ให้เหมือนอาหารเป็นจานๆ จับต้องได้ มันเป็นวัตถุ มันเปลี่ยนมิติไม่ได้ มันเป็นวัตถุ แต่ถ้าความรู้สึกของคนมันเปรียบเทียบกับความรู้สึกได้ ถ้าเปรียบเทียบกับความรู้สึกได้ นี่พูดถึงนะ ไอ้นี่มันจะนอกศาสนาพุทธแล้วมั้ง พูดไปพูดมามันเป็นศาสนาของใครวะ

นี่พูดถึงเรื่องของจิตไง จิตที่มันอบรมดีแล้ว บ่มเพาะดีแล้ว มันเข้าใจเรื่องอย่างนี้ได้หมด ทีนี้เข้าใจเรื่องอย่างนี้ได้หมด เพียงแต่ว่า ธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือพระไตรปิฎก เวลาพระไตรปิฎกบอกว่า สิ่งที่บัญญัติไว้มันเหมือนใบไม้ในกำมือ ในตู้พระไตรปิฎก ใบไม้ในกำมือของเรา แต่โดยธรรมชาติ ใบไม้ในป่ามันมหาศาล คือข้อเท็จจริงความเป็นไปมันอีกมหาศาล

แต่เวลาเราพูดกัน เราพูดเฉพาะใบไม้ในกำมือ บังคับให้อยู่ในหลักการ แล้วถ้าออกจากหลักการ ผิดๆ ถ้าหลักการโดยความเถลไถล หลักการโดยความเสียหาย ผิด เราเห็นด้วย แต่ถ้าเป็นความจริงๆ ความจริงเป็นความจริง มันเอาอะไรมาผิด มันถูกของมันอยู่แล้ว แต่เราทำเองไม่ได้

อย่างโดยโลกสมัยปัจจุบันนี้เขาเรียกว่าคิดนอกกรอบๆ ไอ้ที่สังคมมันคิดกันอยู่นี่ เราคิดอีกอย่างหนึ่ง เราจะไปได้ดีกว่า แต่ให้มันเป็นความจริงนะ อย่าคิดนอกกรอบด้วยการทำลายตัวเอง สังคมเขาดีอยู่แล้ว ทำลายตัวเอง ตัวเองไม่ได้มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันหรอก ไม่เป็นประโยชน์อะไร

นี่พูดถึงว่า ในรัตนตรัย ในการเราถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ถ้าเอาสัจจะเอาความจริงนะ ถ้าเราถือหรือเราเคารพรูปเคารพอย่างอื่น ขาดจากไตรสรณคมน์ทั้งสิ้น แล้วถ้าเราพูดอย่างนี้ เราต้องการความจริง เราต้องปรารถนาความดี แล้วเรากลับไปดูวัดสิ วัดที่มีรูปเคารพอื่นๆ มีรูปพวกศาสนาพราหมณ์ไปสร้างไว้ในวัด มันจะเป็นวัดพุทธหรือวัดพราหมณ์

ถ้าวัดพุทธก็เป็นพระพุทธรูปเท่านั้น ขนาดพระพุทธรูปยังเอามาวิเคราะห์วิจัยกันเลยว่าสมัยพุทธกาลไม่มีพระพุทธรูป ไอ้พวกวัดที่มีพระพุทธรูป นั่นคือว่าเริ่มคล้อยตามไปทางกระแสโลกแล้ว ถ้ากระแสธรรม สมัยโบราณเขามีแต่แท่นอาสน์สงฆ์เท่านั้นน่ะ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเขาเคารพมาก แล้วพอต่อไปก็มีรูปเคารพ มีอะไรต่างๆ มา แล้วพอไป ออกนอกลู่นอกทางไปเลย อันนั้นมันยิ่งน่าสังเวช

แต่ถ้าเป็นเรานะ เราถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วถ้าเรา การถือบรรพบุรุษของเรา เราจะกราบจะไหว้ มันจะเป็นประเพณีของไทยเชื้อสายจีน เราก็เคารพความคิดเขา ไม่ดูถูกดูแคลนใครทั้งสิ้น ถ้าเขาทำแล้วเขาทำได้ด้วยความสุขความชื่นใจของเขา ปีหนึ่งได้ระลึกถึงพ่อแม่ปู่ย่าตายายเสียทีหนึ่ง เราก็ว่ามันก็ไม่เสียหายอะไร

คำว่า เสียหาย” แล้วเวลาจะมาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราก็ไม่ได้หวังพึ่งพ่อแม่ปู่ย่าตายายของเราหรอก เราหวังพึ่งศีล สมาธิ ปัญญาในใจของเรา เวลาจะเอาจริงขึ้นมา เราจะหวังพึ่งใจเราเอง ถ้าจะหวังพึ่งใจเราเองนะ เราก็มีศีล สมาธิ ปัญญาควบคุมใจเราเอง

เรื่องปู่ย่าตายาย เรื่องครอบครัวของเรา มันเป็นแบบว่ามีพี่น้องปู่ย่าตายาย มีพี่ป้าน้าอาเขามีความเชื่อ เขาจะหาความสุขได้แค่นี้ เราจะเป็นก้างขวางคอ เขาจะมีความสุข ความระลึกถึงพ่อแม่ของเขาบ้าง ก็จะไปคอยติเตียนเขา มันไม่น่าหรอก เราอย่าไปติ อย่าไปเตียน ถ้าเขามีความสุขด้วยความระลึกถึงปู่ย่าตายายของเขา เราก็ควรดีใจไปกับเขา

แล้วบอกว่า “อู๋ย! ก็มันออกนอกลู่นอกทาง มันไม่ใช่ไตรสรณคมน์ ไม่ใช่ชาวพุทธ”

แล้วมึงได้อะไรล่ะ มึงเป็นพุทธหรือยัง มึงภาวนาหรือยัง มึงเห็นพุทธแล้วหรือ มึงก็ไม่ได้อะไรเหมือนกัน มึงว่าเขาหยำเป มึงหยำเปยิ่งกว่าเขาอีก เพราะว่ามึงรู้แล้วมึงทำไม่ได้ ถ้ามึงทำได้ ปล่อยเขา เป็นความสุขเล็กน้อยที่เขาจะมีได้บ้าง ควรจะร่วมดีใจไปกับเขา แล้วถ้ามันเป็นจริงได้ เขาละเขาวางเอง

อย่างเช่นเราที่ว่า เรามาบอกแม่ แล้วกลับไปนั่งเสียใจ เสียใจนะ ยังเสียใจจนถึงเดี๋ยวนี้เลย ทั้งๆ ที่แม่ก็ตายไปแล้ว แต่มันดีใจ ปีรุ่งขึ้นกลับมานะ เขายกฐานขึ้นมาเลยนะ พระภูมิ กลับมาเห็น โอ้โฮ! ยอดๆ ใช้ได้เลย เขามีความสุขของเขา ที่พึ่ง ที่พึ่งทางใจ ถ้าใจเขาจะมีที่พึ่งของเขาบ้าง เราก็ควร เออ! มีที่พึ่งของเขาบ้าง ถ้ามันไม่ผิดไม่เสียหายจนเกินไป ถ้ามันผิดมันเสียหาย เราค่อยมาพยายามกัน

แล้วถ้าบอกว่า “โอ๋ย! ก็ให้มันสะอาดบริสุทธิ์สิ”

แล้วเอ็งสะอาดบริสุทธิ์หรือยังล่ะ เอ็งรู้ได้หรือยัง สะอาดบริสุทธิ์มันของง่ายหรือ ถ้าของมันทำให้จริงขึ้นมา เขาจะมีที่พึ่ง มีอะไรบ้างก็สาธุ

แต่ถ้าให้เราพูดถึงทางสัจจะความเป็นจริงนะ ขาดไหม ขาด ขาดจากรัตนตรัย ไม่ถือนอกพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เท่านั้น ถ้าคนจริง

ดูสิ เราไม่ได้พูดนะ อย่างเช่นวัดนี้ไม่มีรูปใครเลย ไม่มีทั้งสิ้น เพราะอยู่กับหลวงตา หลวงตาบอกว่า ท่านไปวัดใดก็แล้วแต่ เหมือนโรงลิเก มีแต่ฉากลิเก ไปดูวัดไหนสิ รูปบ้าบอคอแตกเต็มไปหมดเลย

ของเรามีคนเอามาให้เยอะแยะ เก็บออกหมด ถ้าใครอยากให้ เก็บไว้ ถ้าจะให้ติดตั้ง เป็นไปไม่ได้ สังเกตได้ แต่เราไม่เคยโม้เลย เห็นไหม วันนี้โม้สักนิดหนึ่ง รูปของใครก็ไม่ได้ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เท่านั้น อย่างอื่นไม่ได้เด็ดขาด

แต่ไม่ต้องพูดออกมาไง ไม่ต้องโม้ ไม่เคยโม้เลย เว้นไว้แต่คนเขารู้ไม่รู้ อย่างเช่นรูปครูบาอาจารย์มีคนมาขอเปลี่ยนเยอะแยะ จะเอาภาพสีเลย จะเอามหัศจรรย์เลยล่ะ จะเอาอย่างไรก็ได้

เราบอกว่า นี่ของฉันสุดยอดเลย นี่ศิลปะ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราเคารพครูบาอาจารย์ของเราเอง ตื่นกระแสโลกไม่ได้ ขออย่างเดียว ขอให้เรามีอยู่จริง ขอให้เรามีหลักจริง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์จริง เราจะจริงกลางหัวใจของเรา แล้วถ้าคนอื่นเขาจริงขึ้นมามันจะเป็นความจริงในใจของเขา

ไอ้นี่เราไปเที่ยวชี้ เที่ยวคอยบอกชี้แนะเขา เขาจะมีความสุขบ้างอะไรบ้าง เรื่องของเขา สาธุนะ แต่เราไม่ได้ส่งเสริมว่าให้คนออกนอกลู่นอกทาง แต่คนเราวุฒิภาวะเขาแค่นั้น เขารับรู้ได้แค่นั้น เขาจะมีความสุขบ้าง ระลึกถึงญาติโกโหติกาของเขา สาธุ ขอให้เขามีความชุ่มชื่นในหัวใจเถิด ขอเถอะ เราอย่าไปติไปเตียนเขา แต่ถ้าเราทำได้จริง เราทำของเราขึ้นมา

แล้วถ้าพูดถึงหลักการ ถ้าถือนอกจากพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ขาดจากรัตนตรัยทั้งหมด นี่ข้อเท็จจริง จบ

ถาม : ข้อ ๒๓๑๙. เรื่อง “สร้างกุฏิในเขตสงฆ์ แล้วทำการซื้อขายได้ไหมคะ”

กราบนมัสการหลวงพ่อที่เคารพ ขออนุญาตถามปัญหาที่โยมพอจะทราบคำตอบอยู่แล้ว แต่เพื่อให้ญาติธรรมที่ไม่แน่ใจได้ทราบคำตอบที่ถูกต้องแน่ชัดจากครูบาอาจารย์ดังนี้

การที่ฆราวาสได้สร้างกุฏิในเขตสงฆ์หรือเขตของวัดไว้เพื่อตนจะได้ใช้พักไปปฏิบัติธรรมที่วัดโดยที่ไม่ได้ยกถวายวัดอย่างเป็นทางการดังนี้

๑. กุฏิหรือเสนาสนะนั้นยังเป็นของเราหรือไม่

๒. เราสามารถคัดเลือกคนที่จะเข้าไปพักปฏิบัติธรรมในกุฏิที่เราสร้างนั้นตามความพอใจของเราได้หรือไม่

๓. หากเราต้องการขายกุฏินั้นโดยไม่ให้ทางวัดทราบ ได้หรือไม่คะ

กราบขอบพระคุณ

ตอบ : อันนี้คำถามอย่างนี้นะ เราเห็นว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระมาก มันเป็นเรื่องของทางโลกที่เอาโลกเข้ามาเหยียบย่ำธรรม

เวลาหลวงตาท่านพูด โลกกับธรรมๆ โลกคือธุรกิจ เรื่องสังคมเป็นใหญ่ ถ้าเรื่องของในวัดต้องวัดเป็นใหญ่ ถ้าวัดเป็นใหญ่แล้ว เรื่องอย่างนี้ไม่ต้องมาถาม

ถ้าเรื่องความจริงนะ เราไปวัดไปวาอยู่แล้ว เราจะไปสร้างอิทธิพลอะไร เราจะไปสร้างอิทธิพลสิ่งใด

ฆราวาสไปสร้างกุฏิในเขตสงฆ์ ในเขตวัด โดยที่ตนเองใช้พักอาศัยประพฤติปฏิบัติธรรมที่วัด โดยที่ไม่ได้ยกถวายให้วัด

แล้วสร้างทำไมล่ะ มึงก็ปฏิบัติที่บ้านมึงสิ บ้านมึงอยู่ไหน มึงก็ไปซื้อที่ปลูกเองสิ มึงจะมาปลูกในวัดทำไม ในเขตวัดๆ เขตวัดเขาเคารพบูชาวัด ในเขตวัด

แล้วตอนนี้พูดไป คำว่า ไม่อยากพูด” ไม่อยากพูดเพราะอะไร เพราะพระเองตัวหาเรื่อง ตัวไปกว้านเอาโยมมา กลัวโยมจะไม่มาวัด สร้างให้เขาอยู่ เอ็งมีสิทธิอะไร มันที่ของสงฆ์ เอ็งมีสิทธิอะไร แล้วเอ็งสร้างให้เขาทำไม

แต่ถ้ามันสร้าง เราสร้างเป็นของวัด ที่วัดป่าบ้านตาด ท่านก็สร้าง หลวงตาท่านก็สร้างของท่าน เวลาสร้างของท่าน ใครมาอยู่ ท่านให้เลือก ถ้าคนที่แบบว่าพอที่จะเลือกได้ ถ้ามาให้เลือก ท่านก็ให้คนหาที่ให้พัก

แล้วเวลาหาที่ให้พักแล้ว เวลาคนที่เขาจะมาสร้างที่วัดป่าบ้านตาดนะ หลวงตา ไปดูเมื่อก่อนในครัวบ้านตาด มันมีแค่เพิงผ้าใบผืนเดียวเขาก็อยู่กันแล้ว ท่านบอกว่าสร้างไม่ได้ ท่านพูด เราฟังแล้วเราเข้าใจหมด

ท่านบอกว่าสร้างไม่ได้หรอก

ทำไมล่ะ

เพราะสร้างคอนโดอีก ๕๐๐ ชั้นมันก็ไม่พออยู่

มันจะสร้างอะไร เพราะคนทั้งโลก คนทั้งแผ่นดิน ใครๆ ก็อยากปรารถนาไปอยู่กับหลวงตาพระมหาบัว แล้วอยู่แล้วจะอยู่กุฏิอยู่ชั้นอย่างดี มันจะเอาที่ไหน มันไม่มีหรอก ท่านก็สร้างเท่าที่กำลังของวัดจะทำได้ มีความจำเป็นแค่นั้น

แล้วถ้าใครมาแล้วท่านบอกเลย พอใจปฏิบัติหรือไม่ พอใจหรือไม่พอใจปฏิบัติ ถ้าพอใจปฏิบัติก็ปฏิบัติได้แค่นี้ ถ้ามันมีที่อยู่ที่อาศัยก็ได้แค่นี้ แต่ถ้ามันจะเอามากกว่านี้มันมีไม่ได้ แล้วถ้ามีได้นะ ให้ใครๆ ก็สร้างได้ มันก็ขนาดไหน

แต่ตอนหลัง พอโครงการช่วยชาติแล้ว ท่านต้องพึ่งพาอาศัยสังคมบ้าง สังคมเข้าไป ท่านถึงผ่อนคลาย ผ่อนคลายให้กับผู้ที่มีบุญมีคุณเข้ามาอยู่บ้าง มันต้องเป็นอย่างนั้น แต่พอเข้าไปแล้วมีแต่เจ้าพ่อเจ้าแม่ทั้งนั้นน่ะ

เราฟัง มีคนมาฟ้องเยอะ ไปอยู่ที่นั่นนะ แม้แต่จะเข้าห้องน้ำ มันยังไม่ให้เข้ากันเลย ต่างคนเอาคนนั้นไปเฝ้า เอาคนนี้ไปเฝ้า

เฮ้ย! เรามาประพฤติปฏิบัตินะ เรามาอยู่วัดเพื่อปฏิบัติธรรมนะเว้ย เราไม่ใช่เกิดสงคราม มาอยู่วัดต้องเอากองทัพมาด้วยหรือ ยิงกัน สู้กัน เฮ้ย! อย่างนี้กูปฏิบัติที่บ้านกูก็ได้ กูต้องไปปฏิบัติที่วัดมึงหรือ บ้าบอคอแตก

เขาเอาที่สงบสงัดทั้งนั้นน่ะ ถ้ามึงจะมาเปิดวัดเพื่อเป็นสนามรบ เพื่อเป็นสงคราม เพื่อวางกล้าม มึงกลับไปอยู่บ้านมึงได้บุญมากกว่านะมึง มึงกลับไปอยู่บ้านมึงยังดีกว่าอีก ดีกว่าจะมาเปิดวัดแล้วเกิดสงครามรบกันในวัด มาเอาบาปเอากรรมในวัด มึงมาทำไมกัน

นี่พูดถึงการที่ฆราวาสมาสร้างกุฏิในเขตสงฆ์หรือในเขตวัด เพื่อตนเวลาใช้ในการปฏิบัติ

ไอ้กรณีนี้ ประสาเรา เอ็งพูดก็พูดไป ในวัดนี้เราเป็นเจ้าอาวาส ได้รับการแต่งตั้งจากสมเด็จญาณสังวรฯ เราเป็นพระอธิการ ในใบตราตั้งเขาจะเขียนเลย ถ้าวัดนี้ขอให้ได้ตั้งให้เป็นเจ้าอาวาส คือเป็นนิติบุคคลนะ เพื่อดูแลรักษาวัดนี้ ถ้าวัดนี้เกิดอธิกร คำว่า เกิดอธิกร” หมายความว่า พระมีความเห็นแตกต่าง แล้วมีการกระทบกระทั่งกัน ขอให้ท่านได้ชำระ ได้คุ้มครองดูแล นี่สิทธิของเจ้าอาวาสใน พ.ร.บ.สงฆ์นะ

มันเหมือนนายอำเภอ อำเภอนั้นอยู่ในความคุ้มครองดูแลของนายอำเภอ วัดนี่ก็เขตการปกครองนั้น เจ้าอาวาสก็ต้องมีสิทธิการปกครองในวัดนั้น ถ้ามีสิทธิการปกครองในวัดนั้นตามกฎหมายนะ ถ้าตามกฎหมายปั๊บ เจ้าอาวาสมีอำนาจที่จะอนุญาตก็ได้ ไม่อนุญาตก็ได้ ทำให้มันถูกต้อง ถ้าเจ้าอาวาสนั้นมีคุณธรรมในใจ ถ้าเจ้าอาวาสนั้นเป็นหุ่นเชิด นี่จะเข้าแล้ว เจ้าอาวาสเป็นหุ่นเชิด เจ้าอาวาสไม่มีภูมิ มันมีเจ้าแม่ เจ้าแม่มันชักใย วุ่นวายไปหมด แล้วถ้าวุ่นวาย นั่นวุ่นวายนะ

ทีนี้พูดถึงเป็นเจ้าอาวาส บอกว่า ไปสร้างกุฏิในเขตสงฆ์

สงฆ์ไหนอนุญาตให้สร้าง ถ้าไปสร้างในเขตสงฆ์น่ะ

พูดถึงนะ อสังหาริมทรัพย์ สังหาริมทรัพย์ อสังหาริมทรัพย์สร้างอยู่ในอสังหาริมทรัพย์ไหน เป็นสมบัติที่นั้น นี่ตามกฎหมาย

วัดยิ่งกว่านั้นอีก ของของสงฆ์ เอ็งไปสร้างแล้ว ถ้าสร้างแล้ว เอ็งโง่ไปสร้าง มันก็เป็นของวัด...อ้าว! ว่าเลย ก็เอ็งไปสร้างอสังหาริมทรัพย์ สร้างในอสังหาริมทรัพย์ ทรัพย์ที่เคลื่อนที่ได้ไปสร้างอยู่นั่น มันก็เป็นสมบัติติดที่ดินนั้น อ้าว! ว่าเลย มันจบแล้ว

ถ้าสงฆ์เป็นสงฆ์ วัดเป็นวัด เรื่องนี้มันไม่มีหรอก แล้วเรื่องนี้นะ กุฏิที่สร้างขึ้นมาแล้ว ที่ว่ายังไม่ได้ยกให้สงฆ์ เวลาสร้างเสร็จแล้ว เห็นไหม

หลวงตา ครูบาอาจารย์ของเรานะ ท่านสร้างสิ่งที่เป็นสมบัติกับสงฆ์ สมบัติกับศาสนา สร้างเสร็จแล้วคือเสร็จ พิธีเปิดพิธีปิดไม่มี พิธีเปิดพิพิธภัณฑ์ พิธีเคารพถึงวันตาย

หลวงตาท่านพูดเอง หลวงปู่กงมาท่านเสียชีวิตปีแรกที่วัดดอยธรรมเจดีย์ หลวงตาท่านก็ไปงาน ไปงานครบรอบวันมรณภาพรถชนของหลวงปู่กงมา ท่านไปปีเดียว ถ้าปีที่ ๒ คราวนี้มีอีกบอกว่ามันเป็นเรื่องโลกๆ แล้ว ถ้าเราระลึกถึงกันด้วยคุณธรรม ด้วยความจริง ด้วยความดีงาม ระลึกถึงที่ไหนก็ได้ การกระทำของเรา นั่งสมาธิอะไรก็ได้ ไม่ต้องจัดกิจกรรมขึ้นมาเที่ยวล่อหลอกให้โยมควักตังค์เดินทางทั่วประเทศไทย ทัวร์บุญ ไม่มีหรอก หลวงตาท่านไม่ให้ทำหรอก

หลวงปู่กงมา ท่านไปปีแรก ท่านพูด เรานี่จำแม่นเลย ท่านบอกไปปีเดียว ปีที่ ๒ ท่านบอกว่าเป็นเรื่องโลกๆ แล้ว ท่านไม่เอา ท่านไม่เคยไปอีกเลย แล้วพอไม่ไปแล้ว เรื่องตอนที่ว่าจัดวันครบรอบวันมรณภาพของหลวงปู่กงมาก็จบไป ไม่เห็นมีเลย ไม่เห็นมี

การสร้างสิ่งใด หลวงปู่ลี หลวงตา ท่านสร้างเสร็จแล้วก็คือเสร็จ สร้างเสร็จก็ใช้สอย มีอะไร ต้องฉลองอีกหรือ ฉลองๆ มีอะไร มันไม่มีอยู่แล้ว ถ้ามันไม่มี

ทีนี้คำว่า ไม่มี” ก็เหมือนกับคำที่ว่ากล่าวคำถวายนี่ไง เขาจะถือว่าถ้าเราสร้างที่ไหน ยังไม่ได้กล่าวคำถวาย ยังเป็นของเราหรือ มันไม่มี

มันอยู่ที่ข้อตกลงไง ระหว่างเจ้าอาวาสหรือคณะสงฆ์กับผู้ที่มาสร้าง แล้วผู้ที่มาสร้าง เวลาทำบุญกับหลวงตา ทำแล้วก็จบ ถ้าบอกว่าทำแล้วจะเพื่อนั่น ท่านบอกเอากลับไป มันเป็นการผูกมัด แล้วทำอย่างนั้นแล้วมันทำไม่ได้ สังเกตได้ ไปทำบุญกับหลวงตา จะให้ทำนู่นทำนี่ ท่านไม่รับหรอก อย่ามาชี้นำ เป็นไปไม่ได้

นี่ก็เหมือนกัน กุฏิที่สร้างหรือเสนาสนะ มันเป็นของเราหรือไม่ เป็นของใคร ถ้าเป็นข้อตกลงระหว่างสงฆ์นั้น สงฆ์นั้นเป็นสงฆ์แท้หรือเปล่า สงฆ์นั้นยึดธรรมวินัยหรือยึดอิทธิพลของโยม

ยึดอิทธิพลของเขา กลัวเขาจะไม่มาวัด เดี๋ยวถ้าไม่สร้าง เดี๋ยวเขาจะไม่มาวัดนะ อู้ฮู! ต้องเชื้อเชิญเขานะ เวลามาต้องปูพรมให้เขาก่อน เวลาจะกินข้าวต้องขออนุญาตเขาก่อนนะ โยมๆ พระฉันข้าวได้หรือยัง ถ้าโยมไม่อนุญาต พระฉันไม่ได้นะ

มันอยู่ที่เจ้าอาวาสนั้น อยู่ที่พระนั้น ถ้าพระนั้นถูกต้องดีงามแล้ว เรื่องอะไรก็เกิดไม่ได้ พูดถึงถ้าเจ้าอาวาสไม่มีหลักเกณฑ์ เจ้าอาวาสเห็นโลกเป็นใหญ่ ไม่ใช่สังฆะเป็นใหญ่ ไม่ใช่สงฆ์เป็นใหญ่มันจะเกิด “กุฏิหรือเสนาสนะยังเป็นของเราหรือไม่ถ้ายังไม่ได้กล่าวคำถวาย”

เราจะบอกว่าไม่ใช่เลย มันก็ว่า เพราะเขาบอกว่า เขายังไม่ได้ยกถวายวัด

ไม่ยกถวายวัดแล้วมาสร้างอะไรกันน่ะ ถวายปัจจัยหลวงพ่อ ๕๐๐ ถวาย แต่ยังไม่ให้ ยังไม่ให้นะ อย่างนั้นหรือ ถวายเงิน ๕๐๐ แต่ยังถืออยู่ไม่ให้ มาสร้างกุฏิ ไม่ได้ยกถวาย ยังเป็นของโยมอยู่หรือ

ถ้ามันเป็นจริง มันเป็นจริงมันจะไม่ขัดแย้งหรอก

ถ้ามันขัดแย้ง เห็นไหม “กุฏิหรือเสนาสนะยังเป็นของเราหรือไม่”

ถ้ายังยึดว่าของเรา นี่ไง จะเข้าที่ว่า หลวงปู่มั่นท่านไปธุดงค์ที่เชียงใหม่ แล้วพอนั่งไป ที่แม่ชีกับเณรที่มาเดินรอบๆ เจดีย์นั่นน่ะ แล้วหลวงปู่มั่นก็ถาม “ทำไมเป็นอย่างนี้”

“สร้างเจดีย์แล้วยังไม่เสร็จ ตายเสียก่อน เกี่ยวพันกับมันก็เลยมาเกิดเป็นเปรต”

หลวงปู่มั่นท่านก็บอกว่า “สิ่งที่ทำคุณงามความดีแล้ว สร้างเจดีย์ถวายแล้วในพระพุทธศาสนามันก็เป็นบุญแล้วแหละ แล้วต้องไปติดพันมันทำไมล่ะ” เทศนาว่าการจนมันปล่อย พอปล่อยแล้วนะ เป็นเทวดาเลย มากราบขอบคุณหลวงปู่มั่น

แล้วเอ็งสร้างกุฏิเพื่อบุญกุศลหรือเอ็งจะไปเป็นเปรตเฝ้ากุฏิเอ็ง ถ้าเอ็งถวายหรือไม่ถวาย นี่ข้อที่ ๑. เป็นของเราหรือเป็นของวัด

แล้วเอ็งสร้างเพื่อใครล่ะ ถ้าสร้างจะขอมาอยู่ มาอยู่ก็อยู่ได้ แต่จะมายึดว่าเป็นของเอ็งๆ เกิดถ้าไฟไหม้ที่นั่น ใครจะไปดับ กุฏิหลังนั้นเกิดไฟไหม้ขึ้นมา พระทั้งวัดเลยบอกว่าให้เจ้าของกุฏิมาดับ พระก็นั่งดูอยู่ เขาไม่ดับ เพราะของเอ็งไง แต่ถ้าเป็นของวัด ถ้าไฟไหม้ พระดับทันทีเลย เพราะของวัด

นี่เจ้าแม่ ระบบเจ้าแม่ เราเห็นมาเยอะ ไร้สาระ

“๒. เราสามารถคัดเลือกคนที่เข้าไปพักปฏิบัติธรรมในกุฏิที่เราสร้างได้ตามความพอใจของเราได้หรือไม่”

เราไปเอาคนต่างด้าวเข้ามาอยู่ในเมืองไทยได้หรือไม่ คนไทยไปเอาคนต่างด้าวมาอยู่ในเมืองไทยโดยพลการได้หรือไม่

ไม่ได้ ไม่ได้หรอก มึงจะเอาคนต่างด้าวเข้ามา มันก็ต้องขออนุญาตถูกต้องตามกฎหมายเข้ามา

นี่ก็เหมือนกัน “เราสามารถคัดเลือกคนมาพักปฏิบัติธรรมในกุฏิที่เราสร้างตามความพอใจของเราได้หรือไม่”

ถ้ามันมีขโมย มีโจรหนีคดีมา มันจะแอบพักในกุฏิของเอ็งอยู่นี่ เอ็งจะให้พักหรือไม่

มันก็ต้องบอกเจ้าอาวาส มันก็ต้องบอกพระ เอ็งจะเข้ามาในวัด มันเขตของวัด พระเขาต้องอนุญาตไม่อนุญาต มันได้อยู่แล้ว แล้วกุฏิที่มันอยู่ในวัด เอ็งจะมาอนุญาตซ้อน ซ้อนเจ้าอาวาสมันเป็นไปได้อย่างไร มันเป็นไปไม่ได้หรอก

“เราจะคัดเลือกคนที่มาอยู่ปฏิบัติธรรมในกุฏิเราเองได้หรือไม่”

โอ้โฮ! ตาย เป็นไปไม่ได้หรอก มันสิทธิในเขตวัดมันเป็นของเจ้าอาวาส มันเป็นของพระ แล้วเอ็งจะเอาคนเข้าคนออกโดยพลการ เป็นไปไม่ได้หรอก นี่มันเป็นไปไม่ได้

เวลาพระสังฆาธิการ เวลาเขาประชุมสังฆาธิการ เขาสอนเรื่องระบบการปกครองนะ สิทธิของเจ้าอาวาสมีอะไรบ้าง ผู้ที่อยู่อาศัย สัทธิวิหาริก อุบาสก อุบาสิกาที่เข้ามาอยู่วัด มันต้องอยู่ในปกครองของเจ้าอาวาสทั้งสิ้น ถ้าเจ้าอาวาสให้มาพักได้ถึงจะพักได้ ถ้าเจ้าอาวาสไม่ให้พัก ต้องออกไป สิทธิ์ขาดอยู่ที่เจ้าอาวาส

ทีนี้ถ้าเจ้าอาวาสดี เจ้าอาวาสที่เป็นพระที่ดีนะ โอ๋ย! สังคมร่มเย็นเป็นสุขนะ เพราะเจ้าอาวาสที่ดี บริเวณตำบลหมู่บ้านนั้นจะร่มเย็นเป็นสุขไปหมด หลวงตาพระมหาบัวเป็นเจ้าอาวาสวัดป่าบ้านตาด ท่านอุทิศนะ ท่านให้เครื่องมือแพทย์ ทั้งศูนย์อุดรฯ ขอนแก่น ทั่วประเทศ ท่านให้หมดเลย ถ้าเจ้าอาวาสที่ดี สังคมร่มเย็นเป็นสุขไปหมด

ถ้าเจ้าอาวาสไม่มีกึ๋น ให้คนมาชักใยอยู่ ไร้สาระ แล้วสังคมเขาเห็น ทุกคนก็เห็นได้ ทุกคนมีตา เดี๋ยวนี้ตอนนี้นะ พุทธศาสน์ มหาจุฬาฯ ดอกเตอร์ ฆราวาสเป็นดอกเตอร์ ศึกษาจบดอกเตอร์เยอะแยะเลย เขารู้หมดน่ะ พระเขาเห็นกึ๋นมึงนะมึง เดี๋ยวการศึกษามันทั่วถึงหมดแล้ว แล้วจะมายึดติดยึดบ้าบอคอแตก มันเป็นไปไม่ได้หรอก

เราจะมาคัดเลือกคนไปพักไปอะไรเอง

เอ็งจะสร้างโฮมสเตย์ในวัดหรือ กูจะสร้างโฮมสเตย์ในวัดเว้ย แล้วกูก็จะเอาคนเข้ามาพัก ไปยึดพื้นที่วัดใด สร้างโฮมสเตย์เลย กูสร้างรีสอร์ต แล้วกูก็จะให้คนเข้ามาพัก

โลก โลกให้กลับไปอยู่ที่บ้านนะ โลกอย่ารุกรานวัด วัดต้องเป็นวัด บ้านต้องเป็นบ้าน หลวงตาท่านสอนประจำ บ้านเป็นบ้าน วัดเป็นวัด เราอยากจะประพฤติปฏิบัติ เราไปอยู่ในวัดแล้วเราก็ไปสร้างอิทธิพลในวัด เอ็งจะมาละกิเลสหรือเอ็งจะมาเพิ่มกิเลส ถ้าเอ็งจะละกิเลส เอ็งต้องเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ถ้าเอ็งเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ถึงรัตนตรัย

เอ็งจะเป็นชาวพุทธ เอ็งเป็นอุบาสก อุบาสิกา แต่เอ็งจะวางอำนาจบาตรใหญ่เหนือพระ เอ็งอายตัวเองไหม อายความคิดของตัวหรือเปล่า เอ็งศีลเท่าไร พระนะ อย่างน้อยท่านก็บวชมาท่านก็มีศีล ๒๒๗ แล้วเอ็งมีศีลเท่าไร เอ็งจะเข้าไปบงการชี้นำในเขตวัด เอ็งอายสังคมไหม

ถ้าเอ็งอายสังคมนะ เอ็งรู้จักอับรู้จักอาย รู้จักสำนึกได้ ศาสนาจะมั่นคงเพราะมีพระพุทธ มีพระธรรม มีพระสงฆ์ มีอุบาสก มีอุบาสิกา มีพระสงฆ์ มีอุบาสก มีอุบาสิกา พระสงฆ์ต้องเป็นพระสงฆ์ อุบาสกต้องเป็นอุบาสก อุบาสิกาต้องเป็นอุบาสิกา อุบาสิกาจะถือสิทธิ์เหนือพระสงฆ์ขึ้นมา เอ็งข้ามขั้นตอนแล้ว เอ็งทำอะไรกัน

นี่พูดถึงว่าจะได้หรือไม่ได้ ยิ่งข้อ ๓. นี่ฟังไม่ได้เลยนะ

“๓. หากเราต้องการขายกุฏินั้นโดยไม่ให้ทางวัดรับทราบได้หรือไม่”

เอ็งขายได้อย่างไร เอ็งผิดกฎหมายตั้งแต่เอ็งไปสร้างในเขตวัดแล้ว เอ็งสร้างไปแล้ว สิ่งที่เอ็งปลูกสร้างมันตกเป็นของวัดวันที่เอ็งสร้างเสร็จ จบแล้ว โดยนิตินัย โดยพฤตินัย โดยทุกอย่างเป็นของวัด ไม่ใช่ของโยม

ถึงโยมจะไปขอสร้าง ขอสร้างก็ขอสร้าง ขอสร้างเพื่ออยู่อาศัย ขอสร้าง เอ็งก็อยู่อาศัยไป เอ็งหมดชีวิตตรงนั้น เพราะว่าที่ดินของวัดซื้อขายแลกเปลี่ยนไม่ได้ โอนกรรมสิทธิ์ไม่ได้ ที่ของวัดโอนกรรมสิทธิ์ไม่ได้ ต้องออก พ.ร.บ. ออกกฎหมายมาโอนสิทธิ์ ที่ดินของวัดโอนสิทธิ์ไม่ได้ แล้วเอ็งจะเอากุฏิไปขายอะไร ที่ดินของวัดน่ะ แล้วสิ่งปลูกสร้างมันอยู่ในเขตวัด เอ็งจะขายกุฏิโดยที่ไม่ให้วัดทราบ นี่คำถามนะ

โอ๋ย! ปวดหัว ปวดหัวมาก มันเป็นไปไม่ได้หรอก โดยพฤตินัย โดยนิตินัย แต่โดยสังคมไง โดยสังคม ความเกรงอกเกรงใจ โดยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ โดยอิทธิพล โดยเกรงกลัวอิทธิพล ถ้าพูดถึงนะ เราจะพูดตรงๆ ตามกฎหมายนะ

พระไปอยู่ตามป่าตามเขา มีอิทธิพลเข้ามาต้องการพื้นที่ เข้ามาบุกรุก ไปต่อต้านกับเขา ดูพระที่โดนฆ่าเป็นข่าวๆ เวลาพระโดนฆ่าแล้วเป็นข่าวลงหนังสือพิมพ์ก็เพราะเหตุนี้ เหตุที่ไปปกป้องสิทธิของวัด เหตุเพราะไปดูแลเขตวัด แล้วผู้ที่มีอิทธิพลเข้ามารุกมารานมาทำลาย ถ้ามันโดยอิทธิพล โดยความสังคมกิเลสหนา นั่นเป็นสิ่งที่ทำได้ แต่เป็นบาปเป็นกรรม

แต่นี่เราพูดถึงธรรมไง คำว่า ธรรม” ธรรมคือสัจจะคือความจริง ความเชื่อในพระพุทธศาสนาไง แล้วก็โดยกฎหมาย กฎหมายนี่ต่ำกว่านะ กฎหมายนี่เป็นศีล กฎหมายเป็นกติกา โดยกฎหมายก็ไม่ได้ โดยธรรมก็ไม่ได้ โดยอะไรไม่ได้ทั้งนั้นน่ะ ขายไม่ได้ เพียงแต่ว่าเอ็งทำ เอ็งทำโดยสิทธิ์ของเอ็ง

ไม่ได้ ไม่ได้อย่างไร ไม่ได้ รับตังค์เขามาแล้วนี่ไง ไม่ได้ เพิ่งขายมา การซื้อขายก็ซื้อขายโดยที่ความเข้าใจของพวกเอ็งไง เข้าใจแบบโลกๆ แบบอิทธิพลที่มึงเข้าใจกันเองไง แต่โดยบาปโดยกรรม โดยข้อเท็จจริง เอ็งจะรับรู้หรือไม่รับรู้ มีเวรมีกรรมทั้งสิ้น ของของสงฆ์ ของของส่วนกลาง โดยข้อเท็จจริง แต่โดยการงุบงิบ โดยการกระทำของเอ็ง เอ็งทำของเอ็งไป เวรกรรมของใครก็เป็นเรื่องเวรกรรมของคนนั้น

เพราะว่าคำถามว่า “หากต้องการขายกุฏินั้น”

หากต้องการ นี่ยังยึดอยู่ ถ้าอยากจะไปวัดไหน ไม่ต้องสร้าง ที่ไหนกระต๊อบห้องหอในวัดเราก็มี มานี่ก็ไม่เคยให้ใครสร้างเลย พระป่วยเขาจะมาสร้างกัน บอกไม่ต้อง วัดสร้างเอง พระเราป่วย ถ้าป่วยแล้วมันต้องมีห้องน้ำห้องท่าในกุฏิ นี่เราสร้างเอง

แต่พอมีคนเขาบอกช่วยสร้างกุฏิพระป่วย ตอนนี้ได้รับซองบ่อยเลย ช่วยสร้างกุฏิพระป่วย

เวลาพระเราป่วยขึ้นมานะ ตอนนี้ไปให้คีโมอยู่ แล้วมันต้องมีห้องน้ำห้องท่าในตัว เราทำเองหมด เวลาถึงมีความจำเป็น เราทำได้ทั้งนั้น ถ้ามันมีความจำเป็นนะ แต่ถ้าไม่มีความจำเป็น ไม่ให้กิเลสมันใหญ่ ไม่ให้กิเลสมันมาครอบงำ อย่างไรก็อยู่ได้

หลวงตาท่านชื่นชมมาก อยู่ในกระต๊อบห้องหอ ไม่ต้องไปดูแลมันมาก เรามีโอกาสได้ภาวนามาก เห็นไหม ถ้าคนจิตใจมันหวังประพฤติปฏิบัติธรรมนะ เรื่องที่อยู่อาศัยเป็นเรื่องรอง เรื่องสุดท้าย

แต่ไอ้พวกที่มาอยู่วัดเพื่อศักยภาพ โอ้โฮ! ถ้าไม่ได้สร้างรีสอร์ตนี่อยู่ไม่ได้ มันต้องสร้างมหัศจรรย์เลย ดูสิ ในวัดไม่มีใครทำได้เลย กูทำได้คนเดียว เออ! กูนี่เก่ง กูนี่สิทธิพิเศษนะ เอ็งดูกุฏิกูสิ สุดยอด มาอวดกัน มาเหยียบย่ำกัน มาทำลายกัน ประโยชน์อะไร มันมีประโยชน์อะไร

แต่ถ้ามันเป็นจริง เป็นจริงนะ ที่ไหนก็อยู่ได้ หลวงตาท่านถามประจำ มีหลังไหม มีหลังหรือเปล่า ถ้ามีหลังนะ ก็ล้มนอนลงสิ จบ

หลวงตาท่านพูดอย่างนี้นะ เวลาคนมาหาท่านน่ะ ท่านบอก ที่มานี่มีหลังมาด้วยหรือเปล่า ถ้ามีหลังมานะ ล้มลงนอนที่ไหน ที่นั่นก็ได้ไง นี่ดูหลวงตาเราพูด อย่างนี้มันจบ ถ้ามาด้วยจุดมุ่งหมายอย่างนี้ เรื่องต่างๆ มันไม่เกิดขึ้น มันไม่มีหรอก

แต่ถ้าเรื่องที่เขาถามมานี่ นี่ภาษาเรานะ เขาถามมา มันเป็นระบบเจ้าแม่ เราขยะแขยง ระบบเจ้าแม่นี่เกลียดมาก ทีนี้ระบบเจ้าแม่ สิ่งที่เราไม่เห็นอยู่ด้วย เราไม่ชอบอยู่ด้วย แล้วเขาเขียนมาถาม ก็เลยมีโอกาสได้พูดเสียหน่อยหนึ่ง แล้วก็จบ