เทศน์บนศาลา

คุยกับตน

๑๖ ก.ค. ๒๕๔๑

 

คุยกับตน
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์บนศาลา วันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๔๑
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

คุณค่าของธรรมของศาสนาพุทธไง “ศาสนาพุทธ” พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ประเสริฐ ผู้ใดเกิดพบพระพุทธศาสนาเป็นคนที่มีบุญมีกุศลเกิดมาในช่วงศาสนาที่ยังเป็นหลักเป็นเกณฑ์อยู่ ต่อไปมันก็จะอ่อนไป อ่อนด้อยไปเพราะศาสนาจะเหลือแต่ลมปากไง มีแต่คำพูดกัน มีแต่คำพูด มีแต่สิ่งอ้างอิง แต่เราเข้าไม่ถึงหลักของศาสนา

ศาสนพิธี ศาสนวัตถุ ศาสนธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า

ศาสนาธรรมคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ได้วางบัญญัติไว้ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมมีความสุขมหาศาล จากมีความทุกข์นะ ก่อนจะออกบวชนี่แสนทุกข์ เพราะเป็นมนุษย์เหมือนกัน เป็นถึงกษัตริย์ มีครอบครัวมาก่อน แบกไปด้วยความพะรุงพะรังของความทุกข์หนักในหัวใจ

ความทุกข์มันก็มีสิ่งที่ว่าต้องพ้นจากทุกข์ได้ ผู้ที่สร้างบุญญาธิการมาขนาดนั้นไง ผู้ที่สร้างบุญญาธิการมานะ ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า สั่งสมบุญมามหาศาล แต่ก็ต้องมาเกิดในใต้อุ้มของกิเลส เพราะการเกิดในชาติสุดท้ายเกิดมาก็แสนทุกข์ มีความสุขนะ ทางโลกว่ามีความสุขเพราะพระเจ้าสุทโธทนะพยายามจะเอาลูกไว้ ก็ต้องพยายามทำปรนเปรอด้วยความสุข ปรนเปรอนะ คำว่า “ปรนเปรอด้วยความสุข” มันก็ปรนเปรอด้วยเปลือก ปรนเปรอแต่เปลือกนอก แต่ความในหัวใจทำไมมันจะมีสุขได้อย่างไรในเมื่อกิเลสมันยังเป็นเครื่องดองสันดานอยู่ในใจนั้น

ฉะนั้นพอเราปรนเปรอขนาดไหน ด้วยบุญของท่าน ๑ ด้วยบุญที่สั่งสมมาปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า ๑ กับด้วยที่ว่ามันมีความขวนขวาย มีความเห็นสิ่งที่ว่าเป็นยมทูตมาแสดงตนให้เห็น มันเป็นการได้เปรียบเทียบ คนที่ขวนขวายมีแต่นิมิตภาพให้เห็นกระทบเข้ามาก็ได้ประโยชน์แล้ว

แล้วว่าสิ่งนี้มันเป็นอะไร เพราะเราไม่เคยเห็นเลย เกิด แก่ เจ็บ ตาย แล้วเราก็ต้องเป็นอย่างนั้นเหมือนกัน นี่มีการเกิด มีการแก่ มีการเจ็บ มีการตาย ก็ต้องมีการไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย สิ่งที่ตรงข้ามต้องมีอยู่ แต่ผู้ที่แสวงหายังไม่มี ผู้ที่จะหลุดพ้นไปไม่มี เพราะผู้ที่หลุดพ้นก็คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซะเองไง แต่ยังไปไม่ได้ ยังไม่หลุดพ้นไปเพราะไม่มีผู้ชี้นำ

แต่สิ่งนั้นก็มาสะกิดใจให้ออกจากสมบัติ ออกจากสิ่งที่เป็นโลก สิ่งที่เขายกย่องสรรเสริญกันว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่โลกแสวงหา แต่ท่านต้องสละออกไปเพื่อหาโมกขธรรม “โมกขธรรม” คือความตัดชำระจากกิเลสนั่นน่ะ ท่านออกบวชถึง ๖ ปี ปฏิบัติอย่างอุกฤษฏ์จนพบธรรมอันประเสริฐไง ศาสนธรรม ธรรมอันนั้น

ศาสนธรรม ธรรมแท้จริง เอโกธัมโม ธรรมอันเอก ธรรมเหนือโลก

มีเกิดต้องมีแก่ มีเกิดต้องมีตาย มีเกิด มีแก่ มีเจ็บ มีตาย ก็ต้องมีไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ฝั่งตรงข้ามเป็นของคู่ มีมืดต้องคู่กับสว่าง โลกนี้เป็นของเหตุและผลปนเปกันไป มีความสุขความทุกข์คละเคล้ากันไป สุขขนาดไหนก็ต้องเจือด้วยทุกข์ไปตลอด จนถึงเอโกธัมโม ธรรมอันเอก ธรรมอันเอกอันนั้นต่างหากที่ว่าเป็นธรรมแท้ๆ ที่อุตส่าห์สะสมบุญญาธิการมาเพื่อจะแสวงหาโมกขธรรมแล้วพบธรรมอันนั้น แล้ววางไว้เป็นศาสนธรรมคำสั่งสอน

ศาสนธรรม ธรรมแท้ๆ เอโกธัมโมในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอันนั้นเป็นธรรมแท้ คือความสุขแท้เป็นความรู้แท้ แล้วก็บอกวิธีการเป็นศาสนธรรม ธรรมเครื่องดำเนินไง นี่ศาสนาเจริญ เจริญด้วยศาสนธรรมคำสั่งสอน วิธีการ เทคนิคการเข้าหาพ้นจากทุกข์ ศาสนธรรมคำสั่งสอนก็เป็นเครื่องดำเนิน เป็นมรรคอริยสัจจัง

เราเกิดมาพบพระพุทธศาสนา เชื่อในคำสั่งสอน ศาสนธรรมที่เป็นวิธีการยังมีอยู่ เห็นไหม เราถึงว่าเราเป็นคนหนึ่งที่มีวาสนา เราเป็นคนหนึ่งที่เกิดมาพบพระพุทธศาสนาด้วยวิธีการประพฤติปฏิบัติ ด้วยวิธีการเข้าถึงการกำจัดทุกข์ เราถึงว่าเราเป็นผู้ที่มีวาสนา การเกิดเป็นมนุษย์แสนยาก การเกิดเป็นมนุษย์ เราว่ามนุษย์นี้กลาดดาษดื่นไปหมดเลย มนุษย์นี้ดาษดื่น มันยากตรงไหน มีแต่การควบคุมไว้ไม่ให้เกิดอีกต่างหาก แล้วเกิดเป็นมนุษย์ทำไมแสนยาก?

ยาก! ยากจริงๆ เพราะมนุษย์คือเราไง มนุษย์คือคนๆ หนึ่ง

การเกิดนี้จิตดวงหนึ่งกว่าจะปฏิสนธิเกิดมาเป็นมนุษย์นี้แสนยาก เพราะวัฏวนนี้ จิตนี้วนเวียนมาแสนดึกดำบรรพ์ไม่มีต้นไม่มีปลาย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย้อนกลับไปด้วยบุพเพนิวาสานุสติญาณไม่มีวันที่สิ้นสุด จิตดวงนี้เกิดๆ ดับๆ มาไม่มีวันที่สิ้นสุด แล้วมาตกแจ๊คพอตไง ตกเกิดมาพบพระพุทธศาสนาที่กำลังมีการประพฤติปฏิบัติอยู่ ทำไมไม่มีวาสนา การเกิดเป็นมนุษย์นี้แสนยาก เกิดเป็นมนุษย์นะ ถ้าไม่เกิดเป็นมนุษย์มันต้องเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เกิดเป็นสัตว์นรก เกิดบนสวรรค์ เกิดบนพรหม เกิดหมด

“จิตนี้เป็นธรรมชาติของการเกิด”

“จิตนี้เป็นธาตุรู้”

“จิตนี้ต้องเสวยรู้อยู่ตลอดเวลา”

“จิตนี้ไม่มีดับ เป็นอนันตกาล”

แต่การเกิดในภพ ในชาติ ในครั้งคราวคราวหนึ่ง อันนั้นต่างหากที่มันดับไง กับดักคือการตายการเกิด เห็นไหม ดับจากภพชาติหนึ่ง เกิดภพชาติใหม่ เกิดจากภพชาติภายนอก-ภพชาติภายใน

“ภพชาติภายนอก” คือภพชาติที่เป็นมนุษย์สมบัติ

“ภพชาติภายใน” คืออารมณ์หัวใจที่มันเกิดดับเกิดดับในหัวใจ

นี่มันเป็นรูปธรรมและนามธรรม

รูปธรรมคือการเกิดมามีกายเป็นมนุษย์ เราว่าเราไปหลงกันว่าเรามีความทุกข์ ทุกข์เพราะว่าสิ่งที่จรมา แต่เราไม่ดูทุกข์ที่การเกิดเลย “ชาติปิ ทุกฺขา การเกิดนี้เป็นทุกข์อย่างยิ่ง” เพราะการเกิดนั้นสิ่งต่างๆ ถึงตามมา การเกิดนี้เป็นหัวรถจักรไง เพราะมีเราทุกข์ถึงมีมา เราตายไปแล้วเราก็ไม่มีทุกข์ แต่โลกก็ยังเร่าร้อนอยู่อย่างนี้ตลอดไป ความเร่าร้อนของโลก ความเร่าร้อนของการสะสม การเร่าร้อน การเบียดเบียนมันจะมีบีบบี้สีไฟไปอนันตกาล

โลกเกิดก็ดับเกิดก็ดับไปอยู่อย่างนี้ เราเกิดมาก็พบโลกนี้มีอยู่แล้ว วัฏวนนี้มีอยู่แล้ว เราตายไปมันก็มีอยู่อย่างนี้ แต่เราไปอยู่ในตำแหน่งอื่นไง ตำแหน่งที่กรรมของเราไสให้ไป แต่ปัจจุบันนี้กรรมเราสะสมมาให้ได้เกิดเป็นมนุษย์ ถึงว่าเป็นสมบัติมหาศาลที่การเกิดเป็นมนุษย์นี้แล้วพบพระพุทธศาสนา เพราะพระพุทธเจ้าก็เป็นมนุษย์ มนุษย์นี้ทำความดีและความชั่วได้ มนุษย์นี้แบ่งแยกสิ่งดีและสิ่งชั่วได้ มนุษย์นี้ดีกว่าสัตว์เดรัจฉาน สัตว์เดรัจฉานเป็นสัตว์เดรัจฉานมีชีวิตมีจิตใจเหมือนกัน แต่มันไม่สามารถแบ่งแยกคุณงามความดีได้ไง สัตว์เดรัจฉานสักแต่ว่ามีชีวิต เกิดมาแล้วใช้ชีวิตหนึ่งให้หมดไปเพราะเป็นสัตว์ เป็นการกระทำของสัตว์ คนถึงไม่ถือเป็นคติ ไม่ถือเป็นความทุกข์ร้อนมากนัก เราเห็นเราให้อภัยเพราะเป็นสัตว์ แต่สัตว์มันก็กัดกัน มันก็ทำลายกันในความเป็นสัตว์นั้นเพราะมันไม่มีศีลธรรม

มนุษย์ว่าเป็นสัตว์ประเสริฐ ต่างกับสัตว์เพราะมีศีลมีธรรม มีการยับยั้งชั่งใจ เห็นไหม มนุษย์นี้เป็นสัตว์ประเสริฐมีปัญญา การเกิดเป็นมนุษย์ถึงต่างกับสัตว์ตรงนั้นไง ต่างกับสัตว์ต้องให้สูงกว่าสัตว์ แล้วมนุษย์เองก็มาทำลายกันเอง มนุษย์เองก็เป็นทุกข์เพราะคนอื่นไง

เรากว้านมาทุกอย่าง ในการนินทากาเล ในสิ่งที่เขาเบียดเบียนมา มนุษย์เท่านั้นทำลายมนุษย์ มนุษย์ที่ว่าเป็นสัตว์ประเสริฐ เป็นสิ่งที่ควรจะสร้างคุณงามความดี แต่มนุษย์ก็ทำลายกันด้วยกิเลสไง เกิดมามีขวานมา ขวานคือปาก ทำลายกัน ถากถางกัน มีแต่ความเจ็บปวด มีแต่การเร่าร้อนเข้ามาสู่หัวใจ

เราแสวงหาความสุข คนเราอยู่คนเดียวไม่ได้ มันว้าเหว่ มันต้องเกาะเกี่ยวกันเป็นสังคม แล้วสังคมนั้นก็ให้ค่าเป็นทุกข์ เป็นการบีบบี้ เป็นการตำหนิ เป็นการที่ให้เราเป็นขี้ข้าของสังคม กติกาของสังคมเพราะมนุษย์สร้างขึ้น กฎหมายก็มนุษย์สร้างขึ้น แล้วมนุษย์ก็มาติดกรงขังของตัวเองไง กรงขังที่เราบัญญัติขึ้นมาเพื่อขังเรา แล้วเราก็แหวกกรงขังนั้นออกไปไม่ได้ เหมือนเป็นระบบไง ระบบที่ว่าเป็นดีเพราะให้สังคมนั้นเป็นความสุข...มันดีจริงอยู่ระบบนั้น แต่คนใช้ระบบนั้น คนเอาเปรียบระบบนั้น เราอยู่คนหนึ่งในระบบนั้น เราก็ต้องมีความได้เสียอยู่ในระบบนั้น

เพราะเราไปหวังพึ่งภายนอกไง เพราะเราหวังพึ่งเกาะเกี่ยวกับสังคม

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงบอกให้ถือพรหมจรรย์ เราถือพรหมจรรย์ออกจากสังคม ออกมาอยู่ป่า ออกมาจำศีลภาวนา กบเขายังจำศีล สัตว์เขายังมีการจำศีล เราเป็นมนุษย์ ถึงว่ามีทาน มีศีล มีภาวนา เราจำกัดเราเองมาให้อยู่ในขอบเขตของเรา ขอบเขตที่เราไม่ต้องไปเกาะเกี่ยวให้สังคมนั้นมีอำนาจเหนือเรา

“ศีล” ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑o ศีล ๒๒๗ อธิศีลที่เกิดขึ้นมาเป็นศีลแท้ๆ ในหัวใจ เรารักษาของเราเพื่อให้เราไม่ต้องไปเกาะเกี่ยวให้เป็นความทุกข์จนเกินกว่าเหตุ เห็นไหม เราหวัง สิ่งหวังนั้นไม่สมหวังก็เป็นทุกข์ เราหวังพึ่ง หวังเกาะเกี่ยว หวังการช่วยเหลือเจือจานกัน แล้วย้อนกลับมาว่าเราได้สิ่งที่หวังสมหวังไหม เพราะเราไปเกาะเกี่ยวข้างนอก

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงได้สอนให้มีศีล มีสมาธิ มีปัญญา การเกาะเกี่ยวเข้ามานะ เราไปพูดกับคนอื่น เราไปหวังพึ่งคนอื่น มันเป็นการหวังข้างนอก เราไม่พูดกับตัวเองบ้างล่ะ เราเคยคุยกับตัวเองบ้างไหม เราเคยคุยกันภายในตัวเองบ้างไหม ความคิดที่มันเกิดขึ้น ความคิดที่เกิดขึ้นมันเกิดขึ้นมาจากไหน แล้วความคิดนั้นเราไม่จับขึ้นมาตั้งเป็นโจทย์ แล้วเราใช้ความคิดนั้นใคร่ครวญในความคิดของตัวล่ะ

เราควรคุยกับตัวเอง เราควรจะพึ่งตัวเอง เราควรจะรู้จักเราไง

“เรา” เป็นตน เรานี้เป็นตนๆ หนึ่ง เราหวังแต่สิ่งภายนอก จะมีความสุขก็ต้องรูป รส กลิ่น เสียงภายนอก ดูหนังดูละคร มีการพึ่งพาฟังเพลง มีการเกาะเกี่ยว มีการเล่นกัน เห็นไหม เราว่าอันนั้นเป็นความสุข แต่เราไม่ได้คุยกับตัวเราเอง ถ้าเราคุยกันภายใน เราดูสิ่งที่เกิดขึ้นจากภายในนะ จากภายในตน เคยคุยกับตน จำกัดตน เห็นไหม เราฟุ้งซ่านเพราะสิ่งที่ฟุ้งซ่านมันส่งออก อารมณ์ที่เกิดขึ้นจากภายใน เราไปคุยกับคนอื่น เราจะไม่ได้ประโยชน์เลย มันเป็นลมปาก มันเป็นนามธรรม มันเป็นลมปาก เป็นนิวรณธรรม แต่ถ้าเราคุยกับตัวเราเอง เรากำจัดสิ่งที่ส่งออกให้มันหดตัวเข้ามา

พลังงานนี้สูญเปล่าไง พลังงานนี้เกิดมาชาติหนึ่ง เกิดมาภพหนึ่งก็ใช้ไป พ่นออกไป พลังงานนี้พ่นออกไปแล้วไม่ได้อะไรกลับมาเลย ไม่ได้จริงๆ จะได้วัตถุกลับมาคือสิ่งทำธุรกิจ สิ่งที่ย้อนกลับมาเป็นผลกำไร อันนั้นเราก็วางไว้ในโลก แม้แต่ร่างกายของเรายังต้องสละทิ้งไป ไม่มีใครเคยมีชีวิตอยู่ค้ำฟ้า ไม่มี

แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ปรินิพพานไปแล้ว ๒,๕๐๐ ปีเศษ แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นองค์ศาสดาอันเอกยังต้องนิพพาน แล้วเราเป็นใคร เป็นมด เป็นปลวกมาจากไหนจะอยู่ค้ำฟ้า ในเมื่อเราอยู่ค้ำฟ้าไม่ได้ แม้แต่ร่างกายก็ยังต้องบุบสลายไป เราต้องแตกดับไปเป็นธรรมดา เราควรจะหาสมบัติความเป็นจริงจากภายใน

การเกาะเกี่ยว การทำประโยชน์ข้างนอกขึ้นมา มันก็ไว้เป็นสมบัติของโลกนี้ สมบัติของโลกนี้เป็นเครื่องอยู่อาศัยให้เราพอมีชีวิตดำรงชีวิตไปเพื่อการประพฤติปฏิบัติ เพื่อให้เกิดความจริงใจขึ้นมา ให้เกิดความจริงจังในหัวใจ ให้หัวใจดวงนั้นพึ่งตัวเองได้ เป็นการต้องคุยกับตัวเองไง

“ปัญญาอบรมสมาธิ” การน้อม การเกาะเกี่ยว การตะล่อมความคิดของตัวเองไม่ให้ออกไปสู่ภายนอกไง เราคิดถึงบ้าน เราคิดถึงเมือง เราคิดถึงประเทศ มันส่งออกทั้งหมดเลย แล้วเราอยากให้บ้านให้เมืองให้ประเทศนี้เจริญรุ่งเรือง เราอยากให้บ้านให้เมืองเจริญรุ่งเรือง แต่เราไม่ให้เราเจริญรุ่งเรือง

บุคคลคนหนึ่ง ทุกๆ คนเป็นผู้เจริญขึ้น ทุกๆ คนเป็นคนมีศีลมีธรรม ไม่เบียดเบียน ไม่บีบบี้สีไฟกัน บุคคลคนนั้นดี ทุกๆ คนดี รวมมาเป็นชาติ ชาตินั้นก็ต้องดี บ้านเมืองนั้นก็ต้องดี เราไปหวังว่าคนอื่นดีก่อน...ไม่ได้! ต้องเราดีก่อน เราบุคคลนั้นดี บุคคลนั้นสงบ บุคคลนั้นอยู่ได้บนพื้นฐานของความคิดของตัวเอง พึ่งตัวเองได้ บุคคลนั้นเป็นคนดี สังคมนั้นไม่ต้องมาพึ่งพา ไม่ต้องมาคอยเอาใจใส่ ไม่ต้องคอยมาช่วยเหลือบุคคลคนนั้น สังคมนั้นก็ไม่มีภาระไป ๑ ขั้นตอนแล้ว สังคมนั้นไม่ต้องเจียดจ่ายพลังงานในสังคมนั้นเพื่อบุคคลคนนั้น เพราะบุคคลนั้นเอาตัวรอดได้ เราเป็นคนๆ หนึ่ง เราจะเอาตัวเรารอดได้คนหนึ่ง เราทำให้ใจเราได้เป็นคนหนึ่ง เราทุกคนดีขึ้นหมด สังคมดีเพราะดีจากเราออกไป

นี้เราไปหวังข้างนอก เราไปหวังสิ่งที่ไม่สมหวัง เราไปหวังสิ่งที่ว่าพ้นจากอำนาจของเรา เราถึงต้องคุยกับเรา เราต้อง “พูดกับตน” ถามตนเองว่าเดี๋ยวนี้เราเป็นใคร เดี๋ยวนี้เราจะดำรงชีวิตอย่างไร ปัจจุบันนี้เรากำลังอยู่ในภาวะของการมาจำศีล เรามาอยู่ในภาวะของการภาวนา มันเป็นการมีศีลมีภาวนาในหัวใจเราจริงไหม นี่คุยกับตน

“การน้อม” การน้อมคุยกับตน การน้อมถึงตัวเราเอง การตั้งปัญหาถามตนเอง อันนี้เป็นสิ่งที่ประเสริฐ สิ่งที่ประเสริฐเพราะมันจะใคร่ครวญไง เราไม่ได้เคยใคร่ครวญเลย เราห่วงไปหมด ลูก เมีย ภรรยา สมบัติ ห่วงเขาไปหมด ยุ่งเขาไปหมดเลยแต่ลืมตน ไม่ได้ห่วงตนเอง เราสงบซะ สิ่งที่เราไปยุ่งกับเขา เขาสบายใจ เขาทำของเขาไปได้ แต่เราไปก้าวก่ายจนเขาจะทำหน้าที่ของเขา เขาก็ต้องมาพะวักพะวนกับคำพูดของเรา

เราถึงหยุด สงบ แล้วเรามาดูของเรา อย่าออกไป

ความคิดที่คิดนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วดับไป เราวิตกกังวลมากไปไหม การตั้งปัญหาถามตนเอง ถามตนเองคุยกับตนเอง การคุยกับตนเอง ตั้งสติขึ้นมา สติเท่านั้นทำให้การขับเคลื่อนไปของกระแสจิตเบาลงๆ เพราะเรามีสติยังยั้งไง ถ้าเราไม่มีสติยังยั้งเลย มันปล่อยออกได้สุดๆ มันปล่อยไปตามธรรมชาติของมันเลย

กระแสน้ำที่ไหลรุนแรงอยู่อย่างไรมันก็อย่างนั้น ยิ่งรุนแรงเท่าไร ร่องน้ำนั้นมันจะขยายให้มากขึ้น กระแสจะแรงขึ้นเรื่อยๆ เราปล่อยกระแสของจิตพุ่งออกไปตลอดเวลาโดยที่ไม่เคยยับยั้งไว้เลย พลังงานนี้สูญเปล่าไปตลอด จนเราตั้งปัญหาถามตนเองแล้วใช้สติยับยั้งตนเองให้ได้ ให้จิตนี้อยู่กับตัวได้ มันจะเกิดพลังงานขึ้นมาโดยที่ว่าเราไม่ต้องเหนื่อย เราไม่ต้องเพลีย เราไม่ต้องล้า

เราเหนื่อย เราเพลีย เราล้ามาก ทำไมร่างกายเราไม่เข้มแข็ง เพราะจิตใจนี้มันไม่อยู่กับตัวไง คูหาของกายแล้วหัวใจว่างเปล่า มีแต่กายเดินไปสักแต่ว่าเดิน ความคิดสติยับยั้งไม่เคยอยู่กับเนื้อกับตัว เห็นไหม ความคิดสติยับยั้งอยู่กับเนื้อกับตัว เมืองนั้นมีเจ้าของไง คูหานั้นมีคนรักษาไง เราปล่อยให้คูหานั้นร้างว่างเปล่ามาโดยที่ว่าเราไม่เคยเหลียวมาแลเลย นี่คือการคุยกับตน ยับยั้งตนไว้ให้เราอยู่กับตัวเรา ความคิดอยู่กับเรา จากกระแสที่พุ่งออกไป พลังงานที่ส่งออก มันจะเป็นน้อมกลับเข้ามาเป็นพลังงานคงที่ พลังงานคงที่จนทำจิตให้เป็นพื้นฐานขึ้นมา จิตเป็นพื้นฐานขึ้นมา จิตอยู่โดยปกติของมัน จิตนี้จะสงบ ความสงบจะเกิดความสุขอย่างยิ่ง ความสุขที่ไม่เคยประสบ ความสุขที่ไม่เคยมี

โลกมีความสุขเพราะเกิดจากอามิส ความสุขจะเกิดขึ้นต้องมีค่าจ้าง ต้องมีสิ่งเป็นอามิสสินจ้างเข้าไปให้หัวใจนั้นพอใจ หัวใจนั้นพอใจจะเกิดความสุขแค่แว็บๆ แค่ชั่วคราว แต่ความสุขเกิดจากจิตนี้สงบโดยตัวมันเอง เป็นความสุขจากการอบรมการสั่งสอนของศาสนธรรม ธรรมเกิดขึ้นแล้ว

“รสของธรรมชนะซึ่งรสทั้งปวง” รสของความสงบในหัวใจภายใน รสจากหัวใจที่เคยหิวกระหายอิ่มเต็มด้วยพลังงานที่ส่งออก มันยับยั้งไว้จนหัวใจนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงานในตัวมันเอง เกิดจากการคุย เกิดจากการใคร่ครวญ เกิดจากการยับยั้งที่สติปัญญาของเราที่เราปฏิบัติธรรมมาตั้งแต่หลายๆ ปี หลายๆ ชั่วอายุที่สะสมมา เห็นไหม เราต้องเหนี่ยว เราต้องรั้ง

จิตแก้จิต จิตดึงจิต ความรู้สึกดึงความรู้สึกภายในออกมา...ออกมาจากไหน? ออกมาจากอารมณ์ที่มันรูป รส กลิ่น เสียงที่มันเกาะเกี่ยวให้มาเป็นตัวของตัวมันเอง ให้เป็นเอกเทศ นี่การคุยกับตนเอง จะคุยกับคนนอก จะคุยกับญาติพี่น้อง คุยไปเถิด อันนั้นมันเป็นกาลเวลาที่เราควรจะเป็นประโยชน์ เป็นครั้งคราว เป็นวิสาสะ แต่คุยกับตนเองนี้ต้องคุยตลอดเวลาทุกลมหายใจเข้าออก

“ลมหายใจเข้าออก” หายใจเข้าและหายใจออก ความรู้สึกตัวตลอดเวลานั้นคือสติ สตินี้ยับยั้ง เช็คตนเองอยู่ตลอดเวลา การใคร่ครวญตนเองอยู่ตลอดเวลานั้นคือการพูดคุยกับตน คุยกับคนอื่นไม่มีประโยชน์ เป็นประโยชน์ของโลกชั่วคราว คุยกับตน ใคร่ครวญตน คอยตรวจสอบตน อันนั้นเป็นประโยชน์มหาศาล เป็นประโยชน์เพราะเราไม่ผิดพลาด ๑ ความไม่ประมาทในทุกๆ โอกาส ความไม่ประมาททำให้ชีวิตนี้มีคุณค่า ความประมาททำให้ความพลั้งเผลอชีวิตนี้มีการแตกดับเป็นธรรมดา แต่เราไม่ยอมแตกดับเพราะเรายังไม่มีเครื่องประดับหัวใจไง เรายังไม่มีอาภรณ์ เรายังไม่มีเครื่องประดับใจให้เกิดสูงขึ้นๆ

จิตนี้ตายแล้วต้องเกิดหมด เกิดแล้วก็ต้องตายหมด แต่การประพฤติปฏิบัตินี้ทำให้เป็นอนันตกาลได้ด้วยเอโกธัมโมไง “เอก” เอกอันหนึ่งเดียวเท่านั้นคือธรรมแท้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่วางไว้ให้เป็นเป้าหมายของผู้ที่ปฏิบัติธรรม ผู้ที่เชื่อธรรมไง เชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดาอันเอก

การคบมิตรที่ดีคือคบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชี้ทางให้พ้นทุกข์ ชี้ทางให้ออกจากวัฏฏะ ออกจากเครื่องเกาะเกี่ยว

เรามองกันว่าสิ่งที่เป็นในครอบครัวของเรานี้จะเป็นที่พึ่งเป็นที่อาศัย...ไม่ใช่ เขาส่งกันแค่เชิงตะกอนเท่านั้น เขาไม่เคยส่งจิตนี้ไปถึงไหน แต่ศาสนธรรมนี้ส่งจิตนี้ไปสวรรค์ อย่างน้อยสิ่งที่ดีเป็นประดับในหัวใจส่งถึงสิ้นจากอาสวะขัย อาสวะในหัวใจไง จนส่งถึงเอโกธัมโม มันเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุดที่คนจะใฝ่หา ฉะนั้นสิ่งที่เป็นประเสริฐที่สุด เราต้องหาของเรา แล้วเราต้องเอามาประดับใจของเราด้วยมรรคอริยสัจจังอันนี้ไง ไม่ใช่ว่าเราไปยุ่งไปคุยกับข้างนอก คุยอันนั้นเป็นโอกาสๆ หนึ่ง

การพูดคุย คุยข้างในนี้ คุยกับตัวเองไง “จิตสงบไหม?” ถ้าจิตนี้สงบมันเป็นการคุยหยาบๆ ไง เราเหนี่ยวรั้งไว้ให้มันเป็นเอกเทศ การเป็นเอกเทศนี้มันเป็นความสุขด้วยจิตที่มันไม่เคยเป็นเอกเทศ มันเกาะเกี่ยว

สมาธิธรรมนี้มีความสุขอิ่มเอิบ จนว่าผู้ที่เข้าถึงสมาธินี้ จนมีอันว่าเคลิบเคลิ้มไปแล้วกันล่ะ ว่าอันนี้เป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นเอโกธัมโม มันเป็นเอกัคคตารมณ์ เป็นอันหนึ่ง เป็นเอกไง รูปฌาน เป็นเอก จิตนี้เป็นหนึ่ง จิตนี้เอกัคคตารมณ์ จิตนี้สักแต่ว่ารู้ แต่สักแต่ว่ารู้มันก็สิ่งที่เป็นเชื้อ เป็นอาสวะอยู่ในนั้นหมดเลย ขนาดอยู่ในนั้นมันยังมีความสุขขนาดนี้ แล้วถ้ามันหลุดออกไปเป็นขั้นเป็นตอนเข้าไปมันจะมีความสุขขนาดไหน

ความสุขที่ได้มาเกิดขึ้นจากกลางหัวใจของเรา เราปฏิบัติขึ้นมาเป็นความสุขที่เกิดขึ้นโดยที่ไม่มีอามิสเลย ไม่มีสิ่งใดจะมาเจือปนได้เลย เงินทองก็ซื้อไม่ได้ ไม่มีตำรับตำราเล่มไหนว่าซื้อสมาธิล้านหนึ่ง ซื้อมรรคผล ๕ ล้าน ซื้อแล้วจนถึงกับซื้อมรรคผลได้หมด...ไม่มี ไม่มีหรอก เกิดขึ้นมาจากลำแข้งหรือหัวใจที่คุยกับตนเองนั้นเท่านั้น มันถึงเป็นทิพย์ไง เป็นทิพย์สมบัติที่เราไขว่คว้า

ศาสนธรรมนี้เป็นกลางไง เหมือนแสงเดือนแสงตะวันที่ส่องมายังโลก ใครเป็นคนเก็บเกี่ยวพลังงานอันนั้นได้มากที่สุด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมไว้นี้ก็ยังสดๆ ร้อนๆ ไง ทุกข์นี้เป็นความจริง เพราะเราไม่พอใจในทุกข์นั้น เราถึงเป็นตัณหา เราปฏิเสธความเป็นทุกข์นั้นไง เกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นเราแล้วเรามีความทุกข์

เราเข้าใจว่าเป็นความทุกข์ๆ เราว่าสิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งนี้เป็นทุกข์ จนลืมไปไงว่าการเกิดดับนั้นต่างหากที่เป็นทุกข์ ไอ้สิ่งที่ว่าเราเป็นทุกข์นี้มันเป็นเครื่องเคียง เป็นสมบัติ เป็นสิ่งที่ว่าใครยึดก็ทุกข์ ใครปล่อยก็ไม่ทุกข์ ไม่มีโทษอันไหนหรอกที่ว่าทุกคนโดนประสบโทษอันนั้นแล้วเป็นทุกข์ ไอ้พวกซาดิสม์มันชอบความรุนแรง มันว่าเป็นความสุข เราว่ามีความกระทบกระทั่งเป็นความทุกข์ แต่ทำไมมันเป็นความสุขของจิตดวงที่เขาพอใจได้ล่ะ

ความทุกข์อันนี้ มันเป็นความทุกข์เพราะหัวใจเข้าไปยึดทั้งนั้น มันไม่ใช่ทุกข์เฉพาะชาติการเกิดไง เพราะการเกิดอันนี้มันเป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์ ทีนี้เราก็ต้องกลับมาย้อนว่าเกิดนี้เพราะอะไร เกิดนี้เพราะมีตัณหา ตัณหาความทะยานอยากมันแสวงหาตลอดเวลา การแสวงหาอันนี้เราต้องแสวงหาในสิ่งที่ถูก

การแสวงหาในการพ้นทุกข์นี้ ว่าเป็นความอยาก เป็นความอยากพ้นทุกข์ เป็นความอยากเพราะเรามีหัวใจไง คนหิวต้องกิน คนที่กินอาหารยังกินอาหารที่เป็นพิษเป็นภัย กับคนกินอาหารที่เป็นอาหารที่เป็นประโยชน์ เห็นไหม ตัณหาความทะยานอยากเพราะมันมีหัวใจ เราเกิดเป็นมนุษย์มีหัวใจกับร่างกาย ไม่ใช่สัตว์ถึงคิดไม่เป็น

การคิดเป็นคือการแสวงหาในการพ้นจากทุกข์ อันนี้เป็นมรรค

คำว่า “เป็นมรรค” คือเป็นความฉลาดที่เอาตนพ้นจากกิเลสได้

เอาตนพ้นจากเชื้อโรคในหัวใจได้

แต่ถ้าเราปฏิเสธการแสวงหาหรือการแยะแยกผิดถูกอันนี้ เราเข้าใจว่าเป็นตัณหาทั้งหมด อันนั้นก็เป็นสมุทัยซ้อนสมุทัยโดยที่เราไม่รู้ตัวเลย นี่เวลากิเลสมันคิด มันคิดแบบกำปั้นทุบดินไง มันคิดแบบไม่เคยแสวงหา ไม่เคยกระทำ

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำแล้ว ประพฤติแล้ว ถึงได้บอกไว้เป็นขั้นเป็นตอนว่าความแสวงหา การคิดเพื่อจะให้พ้นจากกิเลสอันนั้นไม่ใช่ตัณหา มันเป็นการพ้นเพราะเรามีชีวิต คนมีชีวิต คนมีจิตใจไม่ใช่ซากศพที่มันคิดไม่เป็น ถึงจะได้สิ่งใดๆ ว่าเป็นกำปั้นทุบดินไง แต่คนมีปัญญาการจะเอาตนพ้นออกจากกิเลส ต้องมีปัญญาเท่าทันกิเลสที่มันยุมันแหย่ มันปัดแข้งปัดขาจะไม่ให้กระทำ

ถึงว่าการกินอาหารที่เป็นประโยชน์เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง เพื่อให้เป็นการแสวงหาการทำงานต่อไป กับกินอาหารที่ว่าอะไรก็กินเข้าไปโดยที่ไม่รู้เรื่องแบบที่โลกเขาเป็นกัน เกิดมาแล้วก็แสวงหา แสวงหาเพื่อจะให้ความสุขไง แสวงหาความสุข พยายามต้องการความสุข แต่ไม่เคยเจอความสุขจริงๆ เลย มีแต่อามิสสุขที่ว่าเกิดขึ้นชั่วคราวๆ เท่านั้น เพราะมันพอใจ มันมืดบอดในหัวใจไง แล้วก็ตายไปโดยพร้อมกับความทุกข์อันนั้น

แต่การแสวงหาอันนี้ ถ้าเราคิดว่าเป็นความทุกข์อันนั้น...ไม่ใช่ มันเป็นมรรคอริยสัจจัง พ้นออกจากกิเลสได้ด้วยมรรค ด้วยชีวิตจิตใจที่การทุ่มเทใส่กับความเพียรชอบ ความดำริชอบ ดำริในการเกิดดับที่ว่าเป็นทุกข์แท้ๆ นี่ไง

เราเข้าใจถึงความเป็นทุกข์แท้ ถึงจะย้อนกลับมาถึงเห็นว่าการเกิดอันนี้เป็นประโยชน์ เกิดเป็นมนุษย์นี้ประเสริฐที่สุด แล้วจะเอาสมบัติประเสริฐนี้ไปให้ได้ ไม่ใช่เกิดเป็นมนุษย์แล้วเอาสมบัติของโลกเกาะเกี่ยวกันไป แล้วก็เป็นของชั่วคราว นี้ว่าเกิดเป็นมนุษย์ถึงได้ประเสริฐ ต้องคุยกันกับมนุษย์เราเอง

เพราะกิเลสมันเกิดขึ้นจากหัวใจ กิเลสเกิดขึ้นจากฐีติจิต กิเลสเกิดขึ้นจากจิตปฏิสนธิ กิเลสไม่ได้เกิดขึ้นจากภายนอก สิ่งที่เขาพูดเขาว่าเรามา ถ้าเราเก็บเข้ามาเป็นความทุกข์ มันก็เป็นความทุกข์ เพราะเราไปเก็บเกี่ยว เราไปเกาะ เราไปแสวงหามา เราไปโน้มมา มันเป็นนิวรณ์ แต่ความเกิดขึ้นจากภายใน การโต้ตอบกัน การปฏิบัติที่มันทุกข์ยากอยู่นี้มันเป็นเนื้อหาสาระ แล้วกิเลสมันก็ผลักไสเราว่าเราไม่มีปัญญา เราเป็นคนวาสนาน้อย เห็นไหม การใคร่ครวญภายในมันจะเป็นประโยชน์กับเรา เพราะมันสะเทือนถึงหัวใจไง มันสะเทือนถึงฐีติจิต มันสะเทือนถึงกิเลสตัวนั้น ฉะนั้นการตรงนี้มันถึงว่าเป็นความเข้มแข็งของจิตดวงนั้น จิตดวงนั้นหมายถึงความคิดเริ่มต้นของเราดวงนั้นที่พยายามจะแสวงหาทางออก

การแสวงหาทางออก การพบพระพุทธศาสนา การคบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมและวินัยเป็นศาสดาของเรา เราเกิดไม่ทันองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เราเกิดทันในช่วงที่ธรรมและวินัยนี้ยังเข้มแข็ง ธรรมและวินัยนี้ยังเป็นเครื่องชักนำเราออกจากกิเลสได้ เห็นไหม เราคบ เราเป็นมิตรกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราถึงเกาะไว้โดยเอาชีวิตเข้าแลกเลย เราเกาะไว้เป็นมิตรถาวร เป็นมิตรข้างใน อันนี้เกิดขึ้นจากเราใคร่ครวญที่เราคุยกับตน มันเกิดขึ้นจากภายใน

ถ้าเกิดขึ้นจากภายนอก เราก็วิ่งแสวงหาจากภายนอก แล้วมันเป็นประโยชน์กับเราไหม? ไม่เป็น เพราะมันเป็นสัญญา มันเป็นการจำ แต่การประพฤติปฏิบัติภายในมันเป็นการทดสอบ มันเป็นการปฏิบัติตรงไง มันเป็นการเกิดขึ้นจากกระแส จากความเป็นไปของอาการของจิตที่มันทุกข์อันนั้น มันสะเทือนถึงอันนั้น มันจะแก้ไขได้ การประพฤติปฏิบัติโดยตรงเท่านั้นมันถึงจะชำระกันได้ การฟังมา การใคร่ครวญมาอันนั้นมันเป็นวิธีการเท่านั้น เป็นเทคนิคที่เราจำมา แต่เทคนิคจำมาขนาดไหน ถ้าไม่เกิดขึ้นจากเทคนิคของเราเอง เทคนิคจากภายในอันที่มันสันดาปกันจากภายใน

เวลามันเสพสมาธิธรรม จิตที่สงบมันถึงได้มีความสุขไง มีความสุขแต่ไม่ใช่ผล ไม่ใช่เอโกธัมโม ถึงต้องคุยให้ลึกเข้าไป การคุยกับเรา คุยจากรูป รส กลิ่น เสียงภายนอก ตะล่อมเข้ามาจนเป็นเอกเทศ กับการคุยภายในเข้าไปนะ พอมันเป็นเอกเทศขึ้นมาแล้วก็ต้องถามตัวเองว่า

“กาย เวทนา จิต ธรรมอยู่ที่ไหน?”

จากเป็นเอกเทศขึ้นมา มันก็สะสมไว้อยู่ข้างใน มันติดที่กายเรา ความคิดนี้สัมพันธ์กันไปหมดเลย สิ่งที่ว่าเป็นของชั่วคราว กายนี้เป็นคูหาที่จิตอาศัยอยู่ นี่มันอาศัยจริงหรือ? มันเป็นเราไปทั้งหมด กายกับเรานี้เป็นอันเดียวกัน เป็นอันเดียวกันนะ จับเนื้อตรงไหนมันก็สะเทือนถึงใจทั้งหมด เสียใจตรงไหนร่างกายก็ขนพองสยองเกล้าไปทั้งหมด เวลาเราเดือดเนื้อร้อนใจ ใจมันเดือดร้อนทำไมขนพองสยองเกล้าล่ะ ทำไมน้ำตาไหลน้ำตาร่วงล่ะ ทำไมมันสัมพันธ์กันเป็นอันเดียวกันไปหมดเลย

นี่ถ้าเราจับกายขึ้นมา จิตนี้สงบพิจารณากาย ถ้ามีวาสนาจะเกิดเป็นภาพกะโหลก ก้อนเนื้อ เป็นอะไรก็แล้วแต่ ถ้าจิตนี้จับต้องได้ จิตนี้เจอครั้งแรก จิตนี้ไม่เคยสัมผัส

การคุยภายนอก การแสวงหาภายนอกเป็นสิ่งที่ชั่วคราวทั้งหมด เป็นภพๆ หนึ่งเพราะเราสร้างคุณงามความดีเกิดเป็นมนุษย์แล้วเราได้เสวยภพนั้น แต่การแสวงหา การคุยภายในนี้ มันคุยถึงรากเหง้า คุยถึงฐานไง อันนี้การแสวงหาภายใน การทักภายในถึงว่าให้เห็นกาย เวทนา จิต ธรรม เพราะต้องสิ่งนี้ หัวใจที่มันเกาะเกี่ยวกับกายกับใจนี้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เราพิจารณาให้หัวใจสอนไง เราคุยกับตัวเองแล้วยังต้องจับให้ตัวเองเข้าใจ ให้เห็นสภาวะว่ากายกับใจที่ว่าเป็นเนื้อเดียวกัน มันเป็นเนื้อเดียวกันอย่างไร

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า “กายนี้ไม่ใช่เรา เรานี้ไม่ใช่กาย”

ธรรมอันนั้นเป็นความจริง แต่กิเลสมันปิดไว้ทั้งหมด กายกับเรานี้เป็นอันเดียวกัน

เราจำ เราศึกษามาว่ากายกับเรานี้ไม่ใช่ แต่อันที่เป็นความจำนี้เป็นสุตมยปัญญา ปัญญาที่รู้เข้ามาจากคำบอกเล่า เราก็ยึดไว้ว่าเราเป็นชาวพุทธ เรารู้ทฤษฎี เรารู้เทคนิค แต่วิธีการนี้ต้องเกิดขึ้นจากกระแสของใจที่มันเกิดดับเกิดดับ ทุกข์จริง สุขจริง เกิดจริง ดับจริงจากหัวใจนั้น ต้องสันดาปกันขึ้นมาจากภายใน นี่ธรรมแท้ๆ มันสอนวิธีอย่างนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนอย่างนี้ เราถึงว่าถ้ามีวาสนามันจะเกิดเป็นวัตถุสิ่งใดสิ่งหนึ่งในร่างกายของเรานี้ นี่มีวาสนา คนๆ นั้น จิตดวงนั้นเคยสั่งสมมา ถ้าไม่มีต้องนึกขึ้น

จากจิตธรรมดา เราหลอกตัวเอง เราอยากมีอยากเป็น เราตั้งจินตนาการอย่างไรเรายังตั้งได้ ทำไมเราตั้งจินตนาการเรื่องของกาย ของวัตถุ สิ่งใดสิ่งหนึ่งในร่างกายนี้ให้หัวใจนี้ได้ลับเป็นหินลับปัญญาไม่ได้หรือ

“หินลับปัญญา ” ตำราไหนก็แล้วแต่ เราได้ดู เราได้ศึกษา มันจะใคร่ครวญได้ ในเมื่อเราไม่มีสิ่งใดๆ ให้จิตนี้ได้พิสูจน์ไง เราถึงต้องตั้งกายนี้ขึ้นมาเพื่อให้จิตคือหัวใจนี้พิสูจน์ว่าสิ่งนั้นเป็นเราจริงหรือ ถ้าเป็นเราจริงมันต้องอยู่คู่กันไป มันต้องเป็นสิ่งที่มันบังคับบัญชาได้ แต่ถ้าจิตนี้เป็นสมาธิขึ้นมา เป็นฐานของตัวเอง มันจับ มันอยู่ในความว่าง มันอยู่ในความที่ว่าไม่ใช่เอกเทศของมัน กับสิ่งที่ว่ากายกับใจนอนเนื่องอยู่ด้วยกันเป็นเนื้อเดียวกัน

แต่ในเมื่อทำให้จิตนี้เป็นเอกเทศ เป็นสมาธินี้เป็นเอกเทศ เป็นพื้นฐานของตัว ยกภาพนั้นขึ้นมาให้ดูไง นึกขึ้นมาให้เห็นกาย การพิจารณากายนั้น พอเห็นแล้ว ปัญญาเกิดขึ้น ปัญญาคือคุยกับตัวเองด้วยเป็นการภายใน เป็นภายในหมายถึงว่าไม่ใช่สัญญาข้างนอกนี้ ไม่ใช่ความคิดที่เราคิดเป็นปุถุชนอยู่นี้

มันเป็นปัญญาภายใน มันจะเร็วมาก ความเร็วของมัน เพราะว่ามันจากกระแสที่มันวนออกมาข้างนอกนี่มันไม่วนออกมา มันเป็นกระแสอยู่ภายในเพราะมันเป็นเอกเทศ มันไม่มีการเติมค่าของกิเลสไง กิเลสมันจะบอกว่า “วัยรุ่นร่างกายจะเต่งตึง คนแก่ร่างกายจะเหี่ยวเฉา คนตายไปแล้วร่างกายจะเน่า” อันนั้นมันเป็นสัญญา แต่เป็นสัญญาด้วยกาลเวลาที่รู้จากสุตมยปัญญา รู้ๆ กันอยู่ ความรู้อย่างนั้นคิดแล้วไม่เป็นประโยชน์ แต่จิตนี้เป็นเอกเทศ มันไม่มีสัญญาตัวนี้มาซับ มันจะเป็นเอกเทศของมัน แล้วจะเกิดตอนเราพิจารณาอยู่ เพราะเป็นเอกเทศไม่มีตัวกิเลสนี้มาผลักไส ไม่มีกิเลสนี้มาคอยบังคับบัญชาว่าให้เป็นไปตามสัญญา ตามกิเลสที่สะสมมา ตามวัฏฏะ ตามเจ้าวัฏจักรที่มันสั่งไง มันเป็นเอกเทศเพราะมันเป็นเอกเทศแล้วมันเป็นสมาธิ ไม่มีกิเลส กิเลสมันยุบยอบลง ใช้ปัญญาตัวนี้ การคุยกับตัวเองตัวนี้ไง อันนี้คือมรรคอริยสัจจัง

มรรคตัวนี้จะเห็นความแปรสภาพใช่ไหม พอตั้งขึ้นมามันจะแปรสภาพด้วยกลายเป็นดิน กลายเป็นน้ำ กลายเป็นลม กลายเป็นไฟ หรือแปรสภาพออกมาเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา การแปรสภาพเดี๋ยวนั้น การเห็นเดี๋ยวนั้น การพิจารณาเดี๋ยวนั้น การปล่อยเดี๋ยวนั้นไง จากการคุย จากการต่อสู้ จากการใช้ปัญญาญาณพิจารณากายอยู่ปัจจุบันนั้น พิจารณาจนกว่าเห็นตามความเป็นจริงนะ เห็นตามความเป็นจริงเพราะวนเป็นภายในไง วนเป็นธรรมอันเอก เป็นธรรมจักร ไม่ใช่วนออกมาจากการเกาะเกี่ยวอารมณ์ภายนอก

ปัญญาตัวนี้เป็นปัญญาเอกเทศ เอกเทศเกิดขึ้นมาจากธรรมะไง เอโกธัมโมที่วางไว้แล้วเราเดินถูกต้องตามธรรมอันนั้น เดินถูกต้องตามธรรมไง การเข้าถึงจุดตามความเป็นจริง แล้วสิ่งที่เป็นจริงจะแปรสภาพให้เห็นตามความเป็นจริงนะ จะแปรสภาพให้เห็นตามความเป็นจริง มันจะบุบสลายไป มันจะเป็นอนัตตาให้เห็นตามความเป็นจริง อันนั้นจะเกิดเป็นการหลุดออกไป

เดิมทีมันเห็นตามความเป็นจริงแล้วมันจะปล่อย เพราะความเป็นความเหนียว ความวัฏวนที่มันสะสมมา นี่มันปล่อย มันไม่ขาด มันไม่ขาดหมายถึงว่ามันไม่สมุจเฉทออกไป มันปล่อยวาง ปล่อยวางตัวนี้วางใจไม่ได้ ปล่อยวางแล้วต้องตรวจสอบ พิจารณาซ้ำ พิจารณาซาก ครูบาอาจารย์บอกว่าต้องคราดต้องไถอยู่ตลอดเวลา คราดไถโดยไม่หวังผล คราดไถโดยหวังผลนี้เป็นตัณหาซ้อนตัณหา

อย่างที่ว่าเมื่อกี้นี่ ที่ว่าตัณหาซ้อนตัณหา ความอยาก เห็นไหม ความอยากให้เป็นอย่างนั้นว่าเป็นกิเลส ความอยากในโลกนี้เป็นสิ่งที่ดี ความอยากจะทำประพฤติปฏิบัติ กิเลสมันว่าอันนี้ผิด

อันนี้ก็เหมือนกัน ความอยากให้เป็นไป ความอยากว่าฉันนี้อยากจะชำระกิเลส อันนี้เป็นตัณหาซ้อนตัณหา เป็นตัณหาเพราะความอยากในผลนี่ ความอยากจะกินโดยที่ไม่ต้องเอาของใส่ปาก ความอยากจะอิ่มโดยที่ไม่ต้องกิน มันจะเป็นไปได้อย่างไร

“ความอยาก” การใคร่ครวญคือการตรวจสอบ คือการคราดการไถ มีหน้าที่คือการคราดการไถ การใช้ปัญญาญาณนั้นเท่านั้น เท่านั้นจริงๆ เพราะว่าการเติมค่าอันนั้นมันเป็นเรา เป็นกิเลสตัวเสี้ยมตัวเผา กิเลสเสี้ยมเข้าไปมันก็จะผิดพลาดจากตามความเป็นจริงแล้ว เราต้องทำตามธรรมจักรเท่านั้น

การใคร่ครวญด้วยปัญญาตลอดเวลา จนบ่อยครั้งเข้า มันเคยบุบสลาย มันเคยแตกออกจากทิฏฐิ จากความยึดมั่นถือมั่นระหว่างกายกับใจที่เป็นเนื้อเดียวกัน จนสภาวะตามความเป็นจริง เอกทั้งหมด ธรรมนี้เป็นเอก มรรคอริยสัจจัง มรรค ๘ รวมกันเป็นหนึ่งเป็นธรรมจักรชำระออกไป กายกับใจจะแตกออกจากกัน

จากสิ่งที่เป็นอันเดียวกัน มันจะแยกออกกันเห็นๆ ว่ากายนี้ก็ไม่ใช่เรา กายนี้ไม่ใช่จิต กายนี้ไม่ใช่ความรู้สึก กายนี้สักแต่ว่ากาย หัวใจที่เป็นขี้ข้าโดนร่างกายนี้บีบบี้สีไฟที่มันเป็นเจ้าของอยู่ มันทำให้หัวใจนี้ต้องอยู่ในอำนาจของมัน ต้องเจ็บ ต้องทุกข์ ต้องเจ็บไข้ได้ป่วย มันหลุดออกมานะ หลุดออกมาเป็นจิตอย่างล้วนๆ เลย จิตนี้ไม่ใช่กาย กายกับจิตแยกออกจากกัน ทุกข์ที่เกิดขึ้นระหว่างจิตกับกายก็ไม่มี ไม่มีหรอก เป็นเอกเทศออกไปเลย จิตนี้จะมีความสุขมาก จิตนี้ที่เป็นขี้ข้ามาตลอด มันจะหลุดพ้นออกไปจากความเป็นขี้ข้า มันจะเข้าใจตามความเป็นจริง จะมีความสุขนะ มีความสุขที่เป็นเอก

คนที่เป็นหนี้ คนที่เป็นขี้ข้าเขามาตลอด แล้วพ้นจากหนี้ พ้นจากขี้ข้าของกายนี้ ฟังสิ! เราเกิดมาชาติหนึ่ง หัวใจกับเรามันก็ต้องอาศัยกันไปตลอด แต่พิจารณาถึงจุดนี้แล้ว กายนี้สักแต่ว่าอาศัยกันไป หัวใจนี้รู้เท่าตามความเป็นจริง

คนที่ไม่กังวล คนที่ไม่วิตก คนที่ไม่ทุกข์ร้อนกับกาย คิดดูสิ ของที่อยู่ด้วยกันก็สักแต่ว่าอยู่ด้วยกัน เก้อๆ เขินๆ จะมีความสุขขนาดไหน มีความสุข สุขจริงๆ นี่ความสุขของพระโสดาบัน ความสุขของขั้นตอนที่ ๑ จิตนี้เวิ้งว้างไปหมดเลย

นี่เกิดขึ้นจากการคุยกับตัวเองนะ เกิดขึ้นจากการทดสอบภายใน ทดสอบไปเรื่อย

การคุยกับขันธ์นอก การคุยกับคนข้างนอก จิตคุยกับขันธ์นอก รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณไม่ใช่จิต จิตนี้ไม่ใช่รูป ไม่ใช่เวทนา ไม่ใช่สัญญา ไม่ใช่สังขาร ไม่ใช่วิญญาณ ขันธ์นอก การคุยกันภายในก็เป็นความหยาบละเอียดเข้าไปเป็นชั้นๆ เข้าไป

การคุยกับความอุปาทานในกาย ถึงจะปล่อยออกไปแล้วแต่มันยังเกาะเกี่ยวกัน มีกระแสถึงกันอยู่ ใช้มรรคอริยสัจจังตรวจสอบคุยกัน คุยกับภายในให้หัวใจดวงนั้นตั้งสกิทาคามรรคขึ้นมา ตั้งขึ้นมา ตั้งขึ้นมาเพื่ออะไร เพื่อจะคุยกันไง เพื่อจะเป็นเวทีที่จะตรวจสอบกันอยู่ภายในไง ตรวจสอบคุยกัน คราดแล้วไถแล้วจนเข้ามา

จากกายนี้เป็นอนัตตา ตรวจสอบเข้าไปจนกายนี้ น้ำเป็นน้ำ ดินเป็นดิน ลมเป็นลม ไฟเป็นไฟ กายนี้เป็นอนัตตาก็จริงอยู่ มันแปรสภาพ มันแยกส่วนออกไปอีกต่างหาก หัวใจที่เคยว่ากายนี้เป็นอนัตตา กายนี้ไม่ใช่เรา แต่มันแปรสภาพให้เห็นซ้ำเข้าไปอีกว่ามันเป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟ จิตนี้หลุดพ้นออกไป กายกับจิตแยกกันโดยธรรมชาติ เวิ้งว้างเป็นสุขมหาศาล

สุขที่ว่ากายไม่ใช่ขี้ข้านั้นอันหนึ่ง สุขที่ไม่เกาะเกี่ยว สุขที่เป็นเอกเทศ สุขเข้าไปอีก

จากอารมณ์ของขั้น ๑ มีความสุขที่หลุดพ้นออกมาจากเป็นขี้ข้า

อารมณ์ของขั้นที่ ๒ ความสุขไง ความสุขคือวุฒิภาวะของใจที่พ้นออกมา มันเป็นอิ่มหนำสำราญนะ เป็นเอกเทศเหมือนกับอยู่ในอวกาศเลย เวิ้งว้างไปหมด จับต้องไม่ได้เพราะมันเหมือนกับเราอยู่ในน้ำ แล้วลืมตาสิ เห็นแต่ใสไปหมดเลย จิตนี้พ้นออกไปจากความเป็นกังวลทั้งหมด พ้นออกไปจากกาย พ้นจากอุปาทานในกาย พ้นออกไปเลย เป็นจิตเอกเทศเลย นี่เป็นเอกเทศ

เราดำน้ำอยู่ เราลืมตาในน้ำ น้ำใสไปหมดเลย เราไม่เห็นตัวอะไรทั้งสิ้นเลย การคุยกับขันธ์ในหัวใจเลย หัวใจนั้นมันลืมตาอยู่ มันเห็นน้ำ เรายังมีอยู่ เรายังเป็นตัวตนอยู่ นี่ความคุยที่ละเอียดเข้าไปอีก การคุยเป็นชั้นๆ เข้าไปนะ “คุยกับตน” มองตนเอง คุยกับตน ตรวจสอบตนภายใน เพราะเราเกิดเป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนา เป็นผู้ที่ประเสริฐ ศาสนาสอนให้พ้นออกไปจากทุกข์ให้หมด คุยกับตนจนชำระตนออกไปถึงซึ่งที่สุดแห่งทุกข์ อันคุยกับตนอยู่ภายในมันว่างเวิ้งอยู่ในน้ำ เราโดนกดถ่วงอยู่ในน้ำ แรงบีบแรงอัดของน้ำมันขนาดไหน

ความที่ว่าเวลาเป็นสุข เป็นสุขมาก เพราะว่าเราพ้นขึ้นมาเป็นขั้นเป็นตอน พ้นจากฐานะหนึ่งเป็นหนี้อีกขั้นหนึ่ง พ้นจากฐานะหนึ่งเป็นหนี้อีกขั้นหนึ่ง พ้นขึ้นมา แต่ความเป็นหนี้พ้นออกมา เราใช้หนี้เขาไปแล้ว แต่เรายังไม่ได้ใช้หนี้ตัวเองเพราะอะไร เพราะเราต้องใช้ใช่ไหม เราต้องใช้ เราต้องสื่อ เพราะอันนี้มันเป็นอสุภะไง ใช้หนี้ตัวเองหมายถึงว่าจิตนี้มันพะรุงพะรังไปด้วยอสุภะ พะรุงพะรังไง มันเป็นการนิวรณธรรม มันอ้อยสร้อยอยู่ภายใน

ความพ้นออกมาจากภายนอกละเอียดเข้าไปเรื่อยๆ แต่ความอ้อยสร้อยเข้าไปใน แม้แต่มันสุขขนาดไหนก็เป็นความสุขอย่างนั้น พอความสุขอันนั้นมันจางลงใช่ไหม พอจางลง เชื้อโรคในหัวใจมันจะแสดงตัวออกมา

เราเจ็บไข้เป็นแผลที่ผิวหนัง เราชำระล้างออกไปหมด เราทายาหายไป แผลนั้นหายไป พอแผลนั้นหายไป เราเป็นโรคกระดูก เจ็บไข้กระดูก เรารักษากระดูกนั้นหายไป ไข้นั้นหายไป เราเป็นความทุกข์ภายในหัวใจ โรคกระดูกนั้นหายไป แต่เราเป็นคนที่ว่าเป็นโรคจิตไง เราเป็นคนโรคจิต เราป่วยทางจิตไง เราต้องเข้าโรงพยาบาลประสาทไง

เพราะอันนี้มันเป็นจิตล้วนๆ ความที่เป็นจิตล้วนๆ ความทุกข์ของจิต จิตนี้ยังไม่บริสุทธิ์ เพราะมันไม่ได้ชำระตัวเอง จิตนี้ยังเกาะเกี่ยว มันเป็นอสุภะ-อสุภังไง ร่างกายนี้ ถ้าพิจารณากาย ร่างกายตัวนี้ เราค้นหาตัวนี้ คุยกันจนเห็นว่า มันทำไมจิตนี้ป่วยล่ะ จิตนี้ป่วยเพราะจิตนี้ไม่เป็นเอกเทศ จิตนี้ไง จิตนี้ป่วยเพราะว่าจิตนี้มันต้องการดิ้นรนไง จิตนี้ต้องการการดิ้นรนไปเพราะมันมีที่อยู่อาศัย มันยึดในภพไง ในกามภพไง

นี่การคุยกับที่จิตป่วย การคุยกับภายในมันเป็นนามธรรม มันเป็นขันธ์ของใจ มันเป็นขันธ์ของฐีติจิต ฐีติจิตออกมาเป็นขันธ์ของใจ ขันธ์นอก ขันธ์ใน เวทนานอก เวทนาใน เวทนาในเวทนา จิตนี้มีความรู้สึกอยู่ จิตนี้โลกยังมีอยู่ การคุยกับตัวนี้มันละเอียดอ่อนมาก ต้องใช้มหาสติ

จากสติปัญญาธรรมดาที่เราคุยกันเข้ามา คุยกันเข้ามานั้น อันนี้เราเข้าไปคุยในห้องส่วนตัว ในตู้เซฟ ในระหว่างคูหาของจิต จากคูหาของกาย เข้าคูหาของจิต เพราะจิตนี้มันเป็นที่ให้อยู่อาศัยได้ เราอาศัยกายอยู่ พอจิตนี้เข้าไปถึงตัวเป็นว่างๆ แต่ขันธ์นี้มันเป็นอารมณ์ เราก็เอาหัวใจไปพักในอารมณ์นั้นได้ เราคิดสิ่งใดมันเป็นอารมณ์ แล้วหัวใจนี้ก็อยู่ในอารมณ์นั้น อารมณ์นั้นครองใจนั้นอยู่ไง ขันธ์ภายในนี้มันไม่ใช่กาย แต่มันเป็นอารมณ์ที่ภายใน เป็นความคิดไง อารมณ์นี้พอมีอารมณ์ขึ้นมามันก็เหมือนกับสร้างวิมานขึ้นมาแล้วหัวใจก็ไปอยู่ในนั้น กามอันนี้รุนแรงมากเพราะมันเสพตัวมันเองได้ การพิจารณา การคุยเข้าไป คุยตรงนี้คุยลำบาก เพราะมันเป็นนามธรรม การคุยลำบาก

แต่เราเป็นคนที่ประเสริฐ เราเป็นนักปฏิบัติ เราจะเอาเราพ้นออกจากโรคประสาทที่มันเป็นแค่ความป่วยของจิต ไม่ใช่ความป่วยของกาย จิตแพทย์เขาใช้อารมณ์ เขาใช้คำพูด เขาใช้จิตวิทยาเข้าไปแก้ไขจิตตัวนี้ ไอ้นี่ก็เหมือนกัน มันหมายออกไป มันต้องการออกไป เราก็ต้องใช้ความเร็วของมัน ความคิดย้อนกลับมา เพราะเราต้องแก้เรา ไม่มีใครแก้ให้ใครได้ ไม่มี เราต้องแก้ของเราเอง

ผู้ที่ปฏิบัติสันดาปขึ้นมาจากความเป็นจริงไง ต้องสันดาป ต้องประสบจากภายในให้กิเลสกับธรรมมันสันดาปกันเกิดขึ้นจากจิตที่หลุดพ้นออกไปจากการสันดาปกันภายใน ถึงจะเป็นการเทคนิคที่เกิดขึ้นจากการประพฤติปฏิบัติจากมรรคอริยสัจจังนี้เท่านั้น ไม่มีการเกิดขึ้นจากครูบาอาจารย์ที่ประสิทธิ์ประสาทให้ อันนั้นเป็นวิธีการ เป็นต้นทุนที่เราจะเข้าไปประพฤติปฏิบัติ เข้าไปการก่อเกิดให้มันเป็นมรรคอริยสัจจังเกิดขึ้นมาจากอนาคามรรค เกิดขึ้นมาจากอารมณ์จากภายใน เราต้องก่อร่างสร้างตัวขึ้นมา เราต้องพยายามขวนขวายขึ้นมาจากการตรวจสอบการพูดคุยจากภายใน

การพูดคุย การแสวงหาภายนอก อันนั้นเป็นการแสวงหาภายนอกที่ไม่สามารถ เห็นไหม ของที่อยู่นอกบ้านเรา ยาที่อยู่นอกบ้านเรา เราอยู่ในบ้านเรา เราจะกินได้ไหม แต่ยาที่อยู่ภายในบ้านเรา ยาที่เราแสวงหามาตุนเอาไว้ในห้องยาของเรา อันนั้นเราจะใช้ประโยชน์ได้เพราะมันเป็นของเรา

ความติดข้องภายในหัวใจนี้มันก็อยู่ภายใน จากข้างนอกมาก็เป็นยาข้างนอก จากข้างในถึงจะเป็นยาข้างใน ยาข้างในเกิดขึ้นจากความดำริชอบ ความดำริชอบเป็นมรรคองค์แรก ความดำริจะแก้ไขภายใน ความดำริที่ว่าเรายังมีกิเลสอยู่ ความดำริจากภายในถึงเข้าไปแก้ไอ้สัญญา ไอ้ตัวเริ่มต้นของความคิด ไอ้ตัวที่เป็นความคิด ความคิดที่ว่าเป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้นมาให้หัวใจมันนอนอยู่ในคูหาของจิตตัวนั้น นี่มรรคอริยสัจจังจะเข้าไปค้นคว้า จะเข้าไปตรวจสอบตลอดเวลา พิจารณากายเป็นกายของใจมันก็เป็นอสุภะ-อสุภังไง ความน่าเกลียดน่าชังของความคิด ความน่าเกลียดน่าชัง ความน่าขยะแขยง ความอยู่ในเครื่องดองของเมา ความอยู่ในชุ่มช่ำของกามภพ

การตรวจสอบภายในมันจะมองเห็นตัวนี้ไง ความเป็นไปไม่ได้ ความน่าขยะแขยง

แต่ถ้าเราไม่ตรวจสอบ มันเป็นเรา เราทำความดี เราทำความไม่ดี เราเป็นคนทำ เราประเสริฐ คนอื่นทำความไม่ดี คนนั้นเลว แต่ถ้าเราทำจะเป็นสิ่งที่ดีไปหมด กิเลสไม่เคยติเรา กิเลสไม่เคยว่าเราชั่ว กิเลสจะว่าเรานี้ประเสริฐ เรานี้เป็นเทวดาตลอดเวลา “เราๆๆ” ถ้าเราทำ ฉะนั้น สิ่งที่มันเกิดขึ้นมาในคูหา ในการเป็นกามอันนี้ หมายถึงว่าถ้าเราเสพเข้าไปในใจตัวเอง มันถึงว่าไม่ขยะแขยงไง แต่มรรคอริยสัจจังเข้ามาตรวจสอบแล้วถึงว่าอันนี้มันเป็นสิ่งที่ชุ่มไปด้วยกาม อันนี้เป็นสิ่งที่น่าขยะแขยง ความสิ่งที่น่าขยะแขยง ความเป็นปฏิกูลอันนั้นมันน่าสงวนเอาไว้หรือ

จากที่ไม่เคยเห็นความสกปรกโสมมของความคิดของตัวเองไง จากที่ไม่เคยเห็นความเป็นไปว่าทำไมเราชั่วขนาดนี้ไง มรรคอริยสัจจังเท่านั้นเป็นเครื่องตรวจสอบ มรรคอริยสัจจังเกิดขึ้นจากภายในที่หัวใจเราตั้งขึ้นมาที่เราคุยกันที่เราตรวจสอบขึ้นมาจากภายในของเรา อันนี้ต่างหากมันเป็นสิ่งที่ประเสริฐ

สิ่งที่ประเสริฐได้เกิดขึ้นแล้ว ธรรมจักรได้เกิดขึ้นแล้วจากการขวนขวาย จากการตรวจสอบ จากการพูดคุย จากการเห็นตนไง จากตนกับตนตั้งขึ้นมา ตนเท่านั้นกับธรรมะสันดาปกัน ก่อเกิดขึ้นมาให้เป็นมรรคอริยสัจจัง สมุจเฉทปหานจนกามนั้นหลุดออกไป ฟังสิ! จากทิ้งกายมาแล้ว ทำไมมาทิ้งธาตุขันธ์ภายในจากโรคจิต มันสลัดออกเลยเพราะธรรมจักรนี้ได้เคลื่อนอย่างรุนแรงที่สุด ในการตรวจสอบภายใน ในการแสวงหาในการตรวจสอบในการพูดคุยของเรา การพูดคุยกับตนเอง จิตคุยกับจิตถึงจะเป็นประโยชน์ที่สุด

จากการออกมาจากเรือนจากพรหมจรรย์ไง หลุดออกไปนะ หลุดออกไปเลย จากที่ว่าจิตล้วนๆ ที่ว่ามีความสุขมากอันนี้ จากที่ว่ามีความสุขมาก ว่าขั้นตอนที่ ๒ มีความสุขมาก วุฒิภาวะของจิตอันนั้น ภพของจิตอยู่ในขั้นนั้นสุขมหาศาล สุขมหาศาลก็มีเครื่องทำให้เป็นโรคประสาท กับเราทำลายคูหาของจิตทั้งหมด ทำลายอารมณ์ของจิตทั้งหมด ทำลายสิ่งที่จิตนี้ไปอ้อยอิ่งไปนอนอาศัยอยู่ในนั้นทั้งหมด ความสุขอันนี้จะมหาศาลขนาดไหน

อนาคาผลนี้คือว่าอนาคามี ผู้ที่ไม่มีเรือนไง ไม่มีคูหาของใจไง ทำลายอาคารของนามธรรมที่เป็นที่อยู่ของใจทั้งหมด เวิ้งว้างไปหมดเลย ฐีติจิต จิตนี้สว่างไสว จิตนี้เป็นเอกเทศ จิตนี้เป็นหนึ่งเดียวไม่มีอาคาร ไม่มีเครื่องอยู่ ไม่มีคูหา หลุดพ้นออกไปจากว่าเป็นผู้ที่ไม่มีเรือน จิตนี้ไม่มีเรือน จิตนี้ไม่มีที่เกาะเกี่ยวได้ จิตนี้พ้นออกไปเป็นเอกเทศ สุขมาก

ความสุขนี้เกิดขึ้นจากคุยกัน จากการจิตนี้เข้ามาค้นคว้าภายใน จากการที่เราสลัดสิ่งที่เป็นไร้สาระที่เราเกาะเกี่ยวกับสังคม เกาะเกี่ยวกับความเป็นไป จนเข้ามาเป็นภายในเพราะเราเป็นเอกเทศ เราตรวจสอบเรา เราคุยกับเรา ถึงว่าเป็นประโยชน์ที่สุด พระพุทธเจ้าสอนตรงนี้ไง สอนให้บุคคลคนนั้นไง บุคคล ๘ จำพวกใช่ไหม ไต่เต้าขึ้นมาจากการตรวจสอบภายใน จากการคุย ธรรมะกับกิเลสต่อสู้กันภายใน

การต่อสู้กันภายใน เห็นไหม ว่าผู้ที่ไม่มีเรือน ผู้ไม่มีเรือนนี้เป็นสสาร เป็นธาตุรู้ธาตุอันหนึ่ง เป็นอวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา ระหว่างคูหาของจิตกับจิตต่อสู้กัน มันเป็นการต่อสู้กันระหว่างคูหาของจิตกับจิต แต่จิตนี้ทำลายคูหาออกไปแล้วเป็นหนึ่งเดียว หนึ่งเดียวนี้เป็นฐีติจิต หนึ่งเดียวนี้เป็นตอของจิต หนึ่งเดียวนี้พ้นจากขันธ์ ๕ ไง ขันธ์ที่คูหาทำลายไปแล้ว

แต่หนึ่งเดียวนี้เป็นตอไง “เป็นตอ” เป็นหนึ่ง มันไม่ใช่ขันธ์ ๕ มันเป็นปฏิสนธิจิต มันเป็นฐีติจิต มันเป็นที่เกิดขึ้นอวิชชาไง อวิชชาเกิดขึ้นจากฐีติจิต อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณํ มันเกิดขึ้นพร้อมกันในองค์เดียวกัน เป็นหนึ่งเดียว แต่หนึ่งเดียวนี้เป็นแสงเหมือนกับแสงเลเซอร์ที่เราส่งออกไป มันจะเป็นลำแสงไปตลอด ความเร็วอันนี้ถึงว่าเป็นเจ้าวัฏจักรไง

ที่ว่าจากจิตที่มันเกิดขึ้น จากความดำริของจิตที่ว่าเป็นขันธ์ ๕ แต่อันนี้ไม่ต้องดำริ มันอ้อยสร้อย แสงเลเซอร์ที่ส่งออกมา แสงนั้นมันพร้อมทั้งพลังงานในตัวมันเอง พร้อมทั้งความรู้สึกทั้งหมด นี่วนกลับ การคุยกับตัวเองอันนี้เหมือนกับว่าเราเอาปากกับปากคุยกันเลย จ่อกันถึงตัวต้นฐานเลย จากคุยกันภายในระหว่างจิตกับขันธ์มันมีการส่งต่อกัน แต่ถึงภายในทีเดียวเลยนะ มันเป็นหนึ่งเดียว ฐีติจิต

ถึงบอกว่า “พลิก” การพลิกออกมาจากอวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา ย้อนกลับมาจนถึงเป็นวิชชา วิชชา วิชชา พ้นจากไง อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณํ จนถึงภพชาติ

การตรวจสอบ การค้นหาตัวนี้ลึกลับมาก ลึกลับขนาดไหนมันก็ไม่พ้นจากมรรคอริยสัจจัง ไม่พ้นจากปัญญาญาณ ไม่พ้นจากความตรวจสอบภายในของบุคคลผู้ที่มีวาสนา ผู้ที่มีเอก มีวาสนา มีปัญญา มีการเกิดขึ้นมาพบพระพุทธศาสนาแล้ว ศาสนาที่ว่าถึงบอกว่า ศาสนาพุทธยอดของศาสนา พ้นถึงเอโกธัมโมไง จิตที่เป็นเอก ตอของจิต มันเป็นสิ่งที่อวิชชายังกลบอยู่นั้น มันถึงไม่รู้ตามความเป็นจริงไง ถึงว่าเป็นอวิชชาไง

แต่การตรวจสอบนี้จนพลิกขึ้นมาเป็นวิชชา วิชชา อาโลโก ดับหมด เป็นวิชชาเป็นความเข้าใจ ตัวนี้พลิกออกไป การพลิกออกนี้ จากตอที่เป็นกิเลสล้วนๆ ไง จากตอที่เป็นอวิชชา พลิกขึ้นมาเป็นเอโกธัมโม ธรรมอันนี้ไม่มีของคู่ไง ถึงว่าธรรมอันเอก เอโกธัมโม ธรรมเป็นของจริง ธรรมที่ในพระพุทธศาสนาที่เป็นเป้าหมายของผู้ที่ปฏิบัติ

ผู้ที่ปฏิบัติเกิดขึ้นจากการพูดคุย เกิดขึ้นจากการตรวจสอบ เกิดขึ้นจากการเข็นตัวเองขึ้นไปจากของหยาบๆ ขึ้นไปจนถึงจุดสุดยอดของศาสนา ศาสนธรรมคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า วางไว้เป็นมรรคอริยสัจจังให้เป็นทางอันเอก ให้หัวใจเราเดินไป ร่างกายนี้ทิ้งไว้ที่นี่ถ้ามันดับขันธ์ แต่หัวใจนี้พ้นจากกิเลสทั้งหมด พ้นจากวัฏวน

เพราะว่าเชื้อของมัน ขั้นตอนของมันที่ไปเกิดไปดับตามตำแหน่งหน้าที่ที่ว่ามันเป็นสะสมอยู่ในหัวใจได้ทำลายไปทั้งหมดด้วยมรรคอริยสัจจัง ด้วยศาสนธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เราเป็นสาวก สาวก-สาวกะ การใคร่ครวญ การได้ศึกษาเล่าเรียนมาจนประพฤติปฏิบัติตามทางอันเอกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จนเป็นเอโกธัมโม เป็นธรรมทั้งแท่ง

หัวใจเป็นธรรมทั้งแท่งเพราะมนุษย์สมบัตินี้มีกายกับใจ หัวใจเท่านั้นเป็นเครื่องบรรจุธรรม ร่างกายนี้เป็นที่อาศัยของหัวใจที่อยู่ในร่างกายนี้ ยังมีลมหายใจสืบต่อไป แต่หัวใจนี้บรรจุธรรมล้วนๆ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นเอโกธัมโม เป็นเครื่องยืนยัน เป็นสิ่งหลักประกันตามความเป็นจริงว่า ธรรม ศาสนธรรมมันมีอยู่โดยธรรมชาติ ธรรมมีอยู่โดยความเป็นจริง

แต่เพราะกิเลสเท่านั้นที่มันครอบงำไว้ กิเลสเท่านั้นหลอกลวง กิเลสเท่านั้นเป็นโป้ปดมดเท็จให้เราไม่เชื่อ ให้เราขาอ่อน ให้เราไม่สามารถปฏิบัติถึงหลักตามความเป็นจริงได้ กิเลสเท่านั้น กิเลสเท่านั้นเพราะกิเลสนี้มันอยู่ที่หัวใจ มันอยู่ที่ตรงอวิชชา ตรงเจ้าวัฏจักรนั้น

แต่เพราะเราคบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ธรรมและวินัยที่เป็นศาสดาของเรา เราดำเนินขึ้นไปตามหลักธรรม ตามความเป็นจริง ตามความเชื่อที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้เมตตา มหาการุณิโก นาโถ เป็นผู้มีเมตตาครอบจักรวาลทั้งหมด แล้วเราเชื่อมั่นในความเมตตา เราเชื่อมั่นในปัญญาญาณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราถึงเกาะให้แน่นๆ ไง เราถึงยึดมั่นหลักการอันนี้แล้วแสวงหา พยายามใช้การสันดาปเกิดจากการประพฤติปฏิบัติจากหัวใจระหว่างกิเลสกับธรรมสันดาปกันกลางหัวใจของเรา เข้าไปชำระล้างจนสิ้นจากอาสวขัยทั้งหมด เป็นเอโกธัมโมตามองค์ศาสดาไป

ถึงบอกว่าธรรมนี้ไม่ใช่ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านิพพานไปแล้วจะเอาไปด้วย

เป็นของบุคคลที่เข้าไปสัมผัสแล้วเป็นธรรมของหัวใจดวงๆ นั้น ดวงที่เข้าไปสัมผัสธรรมตามความเป็นจริงแล้วเป็นสมบัติของใจดวงนั้น เป็นของแต่บุคคลไง ถึงเป็นสาวกะก็เป็นสาวกะเพราะความเชื่อมั่นอันนั้นแล้วได้ความเป็นจริง มันจะลังเลสงสัยไปไหน มันเป็นความจริงแท้ จริงพ้นจากสมมุติ จริงตามวิมุตติตามความเป็นจริง เป็นเครื่องดำเนินเกิดขึ้นจากหัวใจของเรา เป็นความสุข สุขที่พูดไม่ได้ เป็นสุขโดยวิมุตติสุข วิมุตติอันนั้นยกไว้เป็นเครื่องยืนยันเท่านั้นเอง

เราผู้ที่ปฏิบัติก็ปรารถนาอันนั้น ถึงว่ามันเป็นสิ่งที่เป้าหมายสูงสุดของชาวพุทธ มันเป็นสิ่งที่สูงสุดของการเกิดเป็นมนุษย์ที่พบพระพุทธศาสนาเรานี้ เราเกิดเป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนา เราถึงเป็นผู้ที่มีบุญกุศลมหาศาล แต่เรามองข้ามบุญกุศลอันนี้ไป มองข้ามมนุษย์สมบัติไป มองข้ามภาชนะที่จะใส่ธรรมอันนี้ไป เราไปหยิบอันอื่นจนบังความเป็นจริงอันนี้ไง

ฉะนั้น วันนี้เราจะมาเริ่มต้นการประพฤติปฏิบัติ เราต้องกลับมาเห็นคุณค่าของใจของเรา เห็นคุณค่าของการปฏิบัติของเรา แล้วเราจะมีบุญกุศล เราจะเข้าถึงธรรมด้วยความจริงของเราที่เรามีความจริงขนาดไหน เอวัง เอวังด้วยมีประการเช่นนี้

เพิ่มเติมท้ายกัณฑ์

“มนุษย์สมบัติ” ความเกิดเป็นมนุษย์ มนุษย์นี้เยี่ยมประเสริฐที่สุด อย่าหลงความเป็นมนุษย์ การเกิดเป็นมนุษย์นั้นหลงระเริงตัวเองไง ไม่ใช่ให้มนุษย์สมบัติเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ มองอย่างอื่นมีค่ากว่ามนุษย์ มองอย่างอื่น ไปมองสิ่งภายนอกจนลืมตนเอง ลืมมองข้ามไป มองข้ามสิ่งที่เป็นประโยชน์ หัวใจอยู่ในร่างของมนุษย์นี้เยี่ยมที่สุด

หัวใจที่อยู่ในร่างของมนุษย์นี้จะได้ประโยชน์ก็เลยไม่ได้ประโยชน์ เพราะคนที่เป็นเจ้าของหัวใจโง่เอง คนที่เป็นเจ้าของหัวใจ มีหัวใจแต่ไปมองสิ่งอื่นดีกว่าหัวใจของตัว มองข้ามหัวใจของตัวเองไป ดูถูกตนเองแล้วก็มาบ่นๆ ว่าทุกข์ว่ายาก มาบ่นกันว่าไม่ประสบความ...ก็ไม่รู้จักหา ไม่รู้จักใจของตัว บ่นว่าทุกข์ว่ายาก แต่ก็อยากออกแสวงหาสิ่งที่ผิด จะสุขได้อย่างไร แสวงหาสิ่งที่ผิด แสวงหาสิ่งที่เป็นทุกข์ แล้วจะบอกให้มันเป็นความสุข มันเป็นไปได้อย่างไร

ธรรมะไม่แสวงหา หัวใจไม่แสวงหา หัวใจไม่ประพฤติปฏิบัติธรรม

เราปฏิบัติธรรมไม่ได้ นี่มันไม่เป็นประโยชน์

หัวใจถึงธรรม ธรรมกับใจอยู่ด้วยกันอันนั้นประเสริฐที่สุด ธรรมเป็นของเก่า แต่ไม่มีสิ่งที่บรรจุมันไง ถ้าเข้าบรรจุที่ใจแล้ว มันบรรจุเข้าไปพอดี มันก็เป็นของประเสริฐขึ้นมา สิ่งที่เป็นประเสริฐไง “อากาศ” อยู่บนอากาศไม่มีที่รับ ใจเท่านั้นรับ เหมือนแผ่นยาง การติดไง ยางติด ธรรมกับใจติดกันขณะเดียวกัน ธรรมกับใจแนบเป็นชิ้นเดียวกัน อันนั้นต่างหากล่ะถึงจะเป็นประโยชน์แท้