เทศน์พระ

ใจเป็นสัปปายะ

๒o พ.ย. ๒๕๔๙

 

ใจเป็นสัปปายะ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๔๙
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เวลาเกิด ไม่รู้ใครเกิดมาจากไหน เวลาเกิดแล้วเห็นไหม เวลาบวชแล้วมาจากต่างๆ กัน มาอยู่ในสังฆกรรมร่วมกัน ต่างคนต่างมา แต่เกิดแล้วเป็นภิกษุด้วยกัน เป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส ภิกษุเป็นผู้จรรโลงชีวิต จรรโลงศาสนา ถ้าเราจรรโลงศาสนาได้ เราจะมีหลักประกันของตัวเอง เราจะมีจุดยืน แม้แต่ความสงัดยังยอมรับไม่ได้เลย แล้วเราบอกเป็นพระป่ากันนะ

ในความสงัด ความวิเวก สิ่งที่เป็นความสงัดอยู่ไม่ได้ อยู่ไม่ได้เพราะอะไร เพราะความเคยชินไง ความเคยชินมันจะบอกถึงความเป็นมาเลยนะ ในปัจจุบันนี้ถ้าเราอยู่ในความสงัดไม่ได้ จิตใจมันคลุกเคล้าขนาดไหน จนมันกลายเป็นความเคยชิน จนกลายเป็นใจด้าน ใจมันด้านแล้วเหมือนคนใจแตก

ถ้าคนใจแตก เด็กใจแตกมันจะไปตามประสามัน จะรู้สึกตัวต่อเมื่อต้องหาเลี้ยงชีพเอง หาเลี้ยงชีพเองก็เลี้ยงชีพเองไปไม่รอด เพราะอะไร เพราะหาไม่พอคุ้มจ่าย ถ้าหาไม่พอคุ้มจ่ายมันจะอยู่ได้อย่างไรในโลกนี้

แต่ถ้าเราฝึกฝนของเราขึ้นมานะ หัวใจมันจะเรียกร้องขนาดไหน มันแสดงออกมาขนาดไหน มันต้องเอาให้อยู่ ถ้าเราเอาจิตของเราอยู่นะ มันจะรักมาก ครูบาอาจารย์ของเราจะรักเรื่องความสงบมาก รักเรื่องความวิเวกมาก สิ่งนี้มันเป็นการบอกถึงหลักของใจ ถ้าหลักของใจ ธรรมชาติเป็นอย่างนั้น สิ่งต่างๆ เป็นอย่างนั้น

ในปัจจุบันนี้โลกเขาแสวงหากัน กลับไปกินแต่ของที่เป็นธรรมชาติ นี่ชีวจิตๆ ต้องกลับไปกินของเป็นธรรมชาติ แต่เดิมก็เขาเอง โลกก็ว่ากันไปเห็นไหม โลกต้องเจริญ ต้องแสวงหา ต้องทำให้สิ่งต่างๆ ต้องให้ปุ๋ยทางวิทยาศาสตร์ เพื่อจะให้ประชาชนพอบริโภค พอถึงที่สุดแล้วนะ ทำลายหมดเลย ทำลายสิ่งแวดล้อม ทำลายทุกอย่างเลย แล้วสุดท้ายตัวเองก็อยากให้ชีวิตตัวเองมีคุณค่า กลับไปตัวเองไม่กล้ากินนะ สิ่งต่างๆ ที่เอาไปขายก็ไม่กล้ากิน ตัวเองจะกินต้องปลูกไว้ต่างหาก เอาไว้กินต่างหาก

นี่หัวใจเอารัดเอาเปรียบโลก คิดว่าตัวเองจะอยู่ได้ไง สุดท้ายมันก็อยู่ไม่ได้หรอก เพราะสิ่งนี้มันย้อนกลับมา อากาศ.. มันมาตามอากาศนะ เราหายใจแล้วอากาศเป็นพิษ มันกระจายไปทั่ว นี่ก็เหมือนกัน สังคมมันเป็นพิษมันกระจายไปทั่ว

เราเป็นพระ ถ้าเราไม่มีหลักของใจ ถ้าเราไม่มีจุดยืนของหัวใจ ถ้าจุดยืนของหัวใจแล้วเราเอาอะไรเป็นหลักเกณฑ์ล่ะ เราก็อยู่ในวัด อยู่กับหมู่คณะ มันก็ไปทำลายหมู่คณะ ไปทำลายวัด เพราะหมู่คณะเขามีหลักเกณฑ์ของเขา

ในเมื่อมีข้อวัตรปฏิบัติ ครูบาอาจารย์ถึงสอนศีล สมาธิ ปัญญา ในเมื่อมีศีล อาจริยวัตร อาคันตุกวัตร วัตรต่างๆ ผู้ที่มา ผู้ที่ไป มีธรรม มีวินัย เข้ามาแล้วก็ใช้ของของสงฆ์ จะจากของของสงฆ์ไปแล้วก็ต้องเก็บ ถ้าไม่เก็บต้องบอกให้คนอื่นเก็บไว้ สิ่งที่เราเอามาใช้ เราเอาเตียง เอาตั่ง มาปูมานอน ก่อนจะไปต้องเก็บ

ถ้าไม่เก็บต้องบอกให้ใครคนใดคนหนึ่งมาเก็บ บอกใครล่ะ? ก็ต้องบอกหมู่คณะไง บอกสังคม บอกสังฆะด้วยกัน บอกหมู่คณะด้วยกัน ถ้าไม่เบียดเบียนธรรมวินัย ในเมื่อหมู่คณะมีความจำเป็นต้องไป ฝากสิ่งนี้ไว้เราก็ต้องทำ เราทำสิ่งนี้เพราะอะไร? เพราะได้ฝึกฝนมา มันรู้ไง กฎหมายข้อเดียวกัน ธรรมวินัยอันเดียวกัน

ขณะที่เวลาเราไป ถ้าเรามีเวลาเราก็เก็บของเรา ถ้าเราไม่มีเวลาก็ไปไหว้วานหมู่คณะเก็บให้ เพราะเราฝึกฝนกันมาอย่างนี้ เราอยู่ในสังคมอย่างนี้ สังคมนี้มันก็เป็นไปตามสังคมอย่างนั้น สังคมก็ดีขึ้นเห็นไหม สังฆะก็เจริญ ถ้าหัวใจมีหลักมีเกณฑ์ สังคมก็เป็นหลักเป็นเกณฑ์ ถ้าหัวใจไม่มีหลักมีเกณฑ์ หมู่คณะก็อยู่กันได้ แต่เราอยู่ไม่ได้ เพราะอะไร เพราะมันเดือดร้อนในหัวใจ หัวใจมันดิ้นรน หัวใจมันสงัดไม่ได้ สถานที่วิเวกแต่ใจไม่วิเวก ใจมันเคยคลุกคลี มันใจแตก ใจมันดิ้นรน มันสงัดไม่ได้

สงัด สงัดออกมาจากภายใน ถ้าสงัดมาจากภายใน ความสงบออกมาจากภายใน สมาธิมันก็เกิดขึ้นมาได้ มีความเป็นอยู่ ขณะที่มีธรรมเป็นเครื่องอยู่ ถ้ามีธรรมเป็นเครื่องอยู่มันจะไปเดือดร้อนอะไร แต่ถ้ามีกิเลสเป็นเครื่องอยู่ กิเลสทั้งนั้น แล้วก็อ้างกันนะว่าเป็นพระปฏิบัติ เป็นพระป่าๆ พระป่าทำตัวกันอย่างนั้นหรือ พระป่าฟุ้งเฟ้อไปในโลกหรือ

เราอาศัยโลกอยู่นะ เกิดมาเป็นโลก พ่อแม่ก็เป็นโลก เราเกิดมาจากกาม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเตือนพระโมคคัลลานะ มีพวกคฤหัสถ์เขาจะถวายกาม แล้วพระโมคคัลลานะมีฤทธิ์ เพ่งไปทีเดียวเป็นตัวหนอนออกทางทวารทุกทวารเลย สงสารมากไปแก้แล้ว แต่แก้ไม่ได้เพราะมันเป็นกรรมเขาแล้ว

ไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กามอันนี้ให้ผลร้ายขนาดนี้ “โมคคัลลานะเธอพูดอย่างนั้นไม่ได้ เราก็เกิดมาจากกาม” องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดมาจากพ่อจากแม่ มาจากกามไหมล่ะ? มาจากกาม แล้วกามมันคืออะไร? กามก็คือโลก แล้วเราเกิดมาจากอะไร? เราก็เกิดมาจากกาม เราจะดูถูกพ่อแม่เราหรือ? เราจะดูถูกครูบาอาจารย์เราหรือ? เราดูถูกไม่ได้ นี่เป็นโลก เราอยู่กับโลกเขา แต่เราอยู่กับโลกโดยธรรม เราไม่ตื่นกระแสไปกับโลก

เวลาศึกษากัน เวลาเอาหลักเอาเกณฑ์กัน ครูบาอาจารย์หรือผู้ที่ไม่มีหลักเกณฑ์สอนเห็นไหม โลกเจริญแล้ว พระเราจะอยู่อย่างนี้ไม่ได้ ต้องอยู่กับโลก ต้องมองโลกเขา ต้องแบบโลกเขา แล้วถ้ามันเป็นธรรมล่ะ นี่เห็นไหม ไม่เห็นแก่ธรรมเลย ไปเกาะกับโลก ไปกับโลกเขาหมดเลย ทำไมไม่คิดถึงธรรมบ้างล่ะ ถ้าคิดถึงธรรม ธรรมอยู่ที่ไหน?

เดี๋ยวนี้ในพวกนักบริหาร เวลาพักผ่อนเขาพักผ่อนที่ไหน เขาไปพักผ่อนชายทะเล เขาไปพักผ่อนตามแหล่งธรรมชาติ ต้องการความสงบสงัด เขาพักผ่อนของเขาอย่างนั้น มันย้อนกลับมาจิตของเรานั่นล่ะ แล้วเราเป็นศากยบุตร เราเกิดมา เราไปขวางโลกที่ไหน

เราไม่ได้ขวางโลก เราอยู่กับโลก เราต้องเข้าใจว่าเราอยู่กับโลก แต่อยู่กับโลกก็มีธรรมวินัย เสขิยวัตรก็มีพร้อมอยู่แล้ว ถ้าเสขิยวัตรมีพร้อมอยู่แล้ว เราก็เอาเสขิยวัตรเป็นเครื่องตัดสิน ผิดถูกว่ากันตามเสขิยวัตร เว้นไว้แต่ธาตุขันธ์

ธาตุขันธ์นะ เป็นที่อ้างของพระมาก ธาตุมันไม่พอใจอย่างนั้น อากาศที่นี่มันอับ อากาศที่นี่มันไม่ดี ธาตุขันธ์ไง ธาตุขันธ์หมายถึงว่ามันเข้าไปแล้วมันไปโต้แย้งกับความรู้สึกของเรา ความรู้สึกของเราอยู่อย่างนี้ไม่ได้ มันจะเจ็บไข้ได้ป่วย

ธาตุขันธ์เห็นไหม อากาศชื้น อากาศอับ แล้วทำให้เราเป็นโรคภูมิแพ้ เรามีอะไร เราก็เปลี่ยนแปลง เราก็แก้ไขของเรา เว้นไว้แต่เวลาธาตุขันธ์มันรับไม่ได้จริงๆ เห็นไหม เสขิยวัตรอันนั้นมันก็แบบว่ามันเป็นกฎหมาย แล้วเราไม่ได้ทำผิดหรอก เราไม่ได้ทำให้เป็นอาบัติ แต่ถ้าทำอย่างนี้แล้วมันจะเป็นโทษกับเรา เช่น ในการอดอาหาร

การอดอาหารมันก็มีระดับของมัน เวลาครูบาอาจารย์ท่านสอนนะ เราต้องรู้ถึงร่างกายของเราสิ ร่างกายของเรารับได้แค่ไหน ถ้ารับได้แค่ไหนนะ แล้วเวลาประพฤติปฏิบัติไปกิเลสมันจะอ้างตรงนี้ “ไม่ได้แล้วนะ พอแล้วนะ” อย่างนี้เราก็ต้องมีความเข้มแข็ง มีความเข้มแข็งว่าระดับไหนเราจะรับได้ ระดับไหนกิเลสมันโดนต้อนเข้าจนมุม

การอดอาหารคือการตัดแขนตัดขากิเลส ไม่ให้กิเลสมันเข้มแข็งขึ้นมา เราก็เข้ามุม แล้วถ้ามันเป็นการตีกลับล่ะ กิเลสมันบังเงาเห็นไหม ทำอย่างโน้นก็ไม่ได้ ทำอย่างนี้ก็ไม่ได้ ทำจนเกินกว่าเหตุก็มี อย่างเช่น หลวงปู่มั่นท่านอดอาหาร พิจารณาข้าวจนเป็นตัวหนอน ข้าวเป็นตัวหนอนแบบในส้วมเลย เป็นเม็ดตัวหนอนที่ดิ้นกระดุกกระดิกได้ เราสามารถหยิบตัวหนอนใส่ปากได้ไหม

เวลากิเลสมันตีกลับนะ กิเลสมันตีกลับจนมันปฏิเสธ ปฏิเสธอาหาร ปฏิเสธต่างๆ อย่างนี้นะ กิเลสมันตีกลับอย่างนี้มันทำให้เราถึงที่สุดได้ เวลามาร เราพยายามจะชำระกิเลส ถ้ากิเลสตีกลับมันทำให้เราดำรงชีวิตไม่ได้เลย มันจะให้เราตายไป แต่มารมันอยู่ในหัวใจของเรา อย่างนี้ก็ต้องแก้ไขนะ

ในพระไตรปิฎกมี กรณีอย่างนี้ก็มี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไม่อยากเทศน์เลย เพราะเทศน์ไปแล้วพระจะเอาเรื่องนี้มาเป็นทางออก “มันจะเกินไป มันจะเป็นอย่างนั้น” ..ไม่เป็นหรอก น้อยคนนักที่ทำแล้วมันจะมีกิเลสตีกลับ

กิเลสตีกลับแบบในปัจจุบันนี้ส่วนใหญ่แล้วไม่ต่อสู้ เหมือนปฏิบัติแล้วยอมจำนน ว่าเราทำเต็มที่แล้ว เราทำแล้วไม่ได้ผล มันไปขาอ่อนซะชินไง นี่กิเลสมันตีกลับอย่างนี้ นี่กรรมฐานม้วนเสื่อ มันไม่มีความเข้มแข็ง มันไม่มีความเป็นไป มันไม่มีความต่อสู้เลย ถ้ามันมีความต่อสู้ ดูสิ ชีวิตของเราเห็นไหม โลกเขาปากกัดตีนถีบนะ เขาต้องต่อสู้ของเขา เราก็ต่อสู้ของเรานะ

เป็นพระเด็กๆ เราก็ต้องศึกษาให้ได้นิสัย ๕ ปีนะได้นิสัย ดูสิ ดูเวลาหลวงปู่มั่น ท่านวางระบบระเบียบไว้ เวลาอยู่กับหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นเวลาท่านสอนนะ บอกว่า “พระที่มีพรรษาให้ฝึกพระเด็กๆ” เพราะอะไร? เพราะต่อไปมันจะไม่มีข้อวัตรติดตัวมัน

ข้อวัตรติดตัวมันทำให้เราไม่ว้าเหว่ไง มีข้อวัตรติดตัว ฝึกฝนให้ได้นิสัย ถ้าเราได้นิสัยมันจะฝึกความเป็นอยู่ของเรา ถ้าเราฝึกความเป็นอยู่ของเรา เราอยู่ในโคนไม้ อยู่ในที่สงบสงัดนะ มันอยู่ได้ ถ้าเราไม่ฝึกของเรานะ เราไปอยู่ที่ไหนต้องมีความสะดวก ต้องมีการอำนวยความสะดวก ต้องหาเครื่องอำนวยความสะดวกมา แล้วมันออกปฏิบัติไม่ได้นะ ต่อไปนี้มันจะไปไหนไม่ได้เลย

วัดไหนถ้าไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวก มันจะไปอยู่กับเขาไม่ได้ แต่ถ้าของเรา เราฝึกฝนจนเป็นนิสัย เราอยู่ติดกับธรรมวินัย อยู่กับข้อเท็จจริง จะไปอยู่ที่ไหนก็อยู่ได้ จะทำอย่างไรก็ทำได้ อยู่กับหมู่คณะก็อยู่ได้ แต่อยู่แล้วมันยิ่งจะหาทางออก

อยู่กับหมู่คณะไง เหมือนสัตว์ป่า สัตว์ป่าไปอยู่ในฝูง ดูสิ ในพระไตรปิฎก แม้แต่ช้าง แม้แต่สัตว์อาชาไนยไปอยู่กันในฝูง หากินก็ไปกินแต่หญ้าที่แตกใบอ่อน ถ้าอยู่ตัวเดียวเห็นไหม หญ้าแตกใบอ่อนมีความสะดวกสบาย เวลาลงน้ำก็ไม่มีตัวไหนลงไปก่อนก็ให้น้ำมันขุ่น เวลาออกจากหมู่มันกลับมีความสุขนะ ถ้าเป็นสัตว์อาชาไนยมันจะมีความสุขของมันมาก

แต่ถ้าเป็นเรื่องของกิเลส มันไปคลุกคลี ความคลุกคลีอย่างนั้นอยู่ไม่ได้เลย ทำอะไรก็ไม่ได้ จะทำอะไรก็ไม่ได้ เพราะว่ามันเหงา พอมันเหงามันอะไร มันก็อยู่ใต้อำนาจของมาร อยู่ใต้อำนาจของมาร ทำลายตัวเองก่อนนะ ทำลายโอกาสของเราก่อน แล้วก็ไปทำลายคนอื่น เวลาเหงาแล้วไปอยู่กับใครล่ะ มันก็ต้องหาเพื่อน เพื่อนเขาต้องการความสงัด เขาต้องการความวิเวก เขาต้องการเวลาของเขา ก็ไปชวนเขาคุย มันเป็นการทำลายเขา

พอไปทำลายเขาอย่างนี้หรือการส่งเสริม อย่างนี้หรือคือหมู่คณะ อย่างนี้หรือคือศากยบุตร นี่มันพระเทวทัต มันเป็นลูกศิษย์เทวทัตต่างหากล่ะ พยายามจะสร้างหมู่คณะสร้างอะไรขึ้นมาอยู่ในหมู่วงของสงฆ์

สงฆ์! สงฆ์โดยสังฆะ ความสะอาดบริสุทธิ์นี่มันเหมือนน้ำทะเล ทะเลมหาสมุทรมันซัดซากศพซากสิ่งสกปรกเข้าฝั่งอยู่แล้ว แล้วสิ่งนี้มันเป็นอยู่เห็นไหม ยิ่งปลาใหญ่ยิ่งตัวใหญ่ยิ่งอยู่ในน้ำลึก มันยิ่งมีความสนุกสนานของมัน น้ำตื้นเราไปไม่ได้เต็มที่นะ

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าศีลเราบริสุทธิ์ สังฆกรรมของเรามันน่าเลื่อมใส มันมีความสุข ถ้ามีความสุขอย่างนี้มันก็เป็นประโยชน์กับเรา อยู่กับเรามันก็ให้เราทำได้เต็มที่ ให้เราได้แสดงออกเต็มที่ แสดงออกเต็มที่ให้ธรรมวินัยในหัวใจเรามันกังวานขึ้นมาให้ได้ไง เรามีโอกาสทำนะ

เราเคยเป็นพระเด็กๆ มาก่อน เราจะดูข้อวัตร ถ้าข้อวัตรสิ่งไหนควรจะเป็นของส่วนกลาง เราจะทำทันทีเลย ถ้าพ้นจากส่วนกลางแล้ว เวลาของเรามีขนาดไหน เราต้องเอาเวลาของเรา เราต้องพยายามให้เวลาของเราควบคุมใจของเราตลอดเวลา เพราะอะไร เพราะสุขทุกข์มันอยู่ที่เรานะ ใจเป็นของเรา

เราเกิดมา แล้วเรามาบวชเป็นพระเป็นภิกษุ เป็นเพศบรรพชิต ผู้หญิง ผู้ชาย เพศสมณะ เราได้อีกเพศหนึ่ง เพศที่สังคมเขายอมรับ สังคมเขายอมรับนะ พระไปอยู่ที่ไหนสิ่งต่างๆ จะไว้ใจหรือไม่ไว้ใจก็ต้องดูไปก่อน เพราะเป็นเพศของที่สังคมยอมรับ

แล้วถ้าเป็นพระที่ดี มันเป็นสิ่งที่ดี เขาอบอุ่น เขามีที่พึ่งอาศัย ภิกษุเห็นไหม พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นแก้วสารพัดนึกนะ ทำดีกับผู้ที่มีศีลมันก็ได้ประโยชน์กับเขา ประโยชน์กับเขาก็ได้ ประโยชน์กับเราก็ได้

ถ้าเราทำดีซะอย่างเดียว สิ่งที่ตอบสนองเป็นสิ่งที่ดี สิ่งต่างๆ จะเกิดเป็นความดีกับเราหมดเลย เกิดเป็นความดีกับเรานะ เกิดความดีจากไหนล่ะ ความดีเกิดจากไหน ความดีเกิดจากมือหรือ เกิดจากปากหรือ ทำดีๆ ทำกันที่ปากหรือ ทำความดีจากมือหรือ สิ่งนี้เป็นเรื่องของโลกๆ

เดี๋ยวนี้นะ ดูสิ ดูทางวิทยาศาสตร์เขาสิ เวลาเขาประชุมกัน เขาประชุมกันทางคอมพิวเตอร์ของเขา เขาประชุมกันเขาทำได้หมดนะ เขาสั่งการได้ นี่สิ่งต่างๆ เขาอำนวยความสะดวกได้

ดูบ้านสิ บ้านเห็นไหม ขนาดว่ากลับบ้านก่อนมันจะเปิดไฟเอง มันจะบริหารจัดการของมันเอง คนเราแทบจะไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่ต้องทำอะไรเลยนะ อยู่เฉยๆ นะก็อำนวยความสะดวก

แล้วถามสิว่าใจมันเป็นอย่างไร ใจมันเป็นอย่างไร มันทุกข์ร้อนไหม มันสุขไหม มันเป็นไปไม่ได้ แล้วเราจะมีความสุขอย่างนั้นเป็นไปได้ไหม เพราะอะไร เพราะมันเป็นการหมักหมม น้ำที่ไม่มีการเคลื่อนไหว น้ำที่ไม่มีออกซิเจน มันจะเป็นน้ำเน่า ใจก็เหมือนกัน เราไปในห้างสรรพสินค้า ทุกอย่างมันจะสั่งซื้อได้หมดเลย เราสั่งมา อาหารอะไรก็สั่งได้ แต่หัวใจมันทุกข์นะ

แต่ของเราออกบิณฑบาตด้วยปลีแข้ง ถ้าเราไม่ได้ออกไปบิณฑบาต เว้นไว้แต่เราอดอาหาร แต่ถ้าเราไม่อดอาหารเราต้องออกไปบิณฑบาตด้วยปลีแข้ง เพื่ออะไร เพราะไปเห็นความสุขความทุกข์ของโลก โลกเขาได้ห้าได้สิบมา เขาทำมาหากินมา เขาทุกข์ยากของเขามา เขามีความศรัทธามีความเชื่อ แต่เขาไม่มีโอกาส เพราะเขาทุกข์อยู่ เขาจมอยู่ในกองทุกข์ เขาถึงอยากออกจากทุกข์

เราว่าเป็นนักรบจะออกจากทุกข์ แล้วเราออกไปบิณฑบาตไปเห็นความเป็นไปของเขา ดูสิ เขาหาอาหารมา เขายกใส่หัวนะ เขาจะใส่บาตรเราเขายกใส่หัวนะ ขอให้ได้บุญกุศล ขอให้ได้ออกประพฤติปฏิบัติ

เขาเห็นอย่างเราเป็นนักรบ เป็นชาตินักรบ เป็นศากยบุตร เป็นผู้ที่ทรงธรรม เขาคิดของเขาอย่างนั้นนะ แล้วเราออกไปเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง เราไปเห็นการนบน้อมของเขา มันสะเทือนใจเราไหม เขากราบเขาไหว้เรา เรามีสิ่งใดจุนเจือเขาไหม มันจะเป็นบุญกุศลไหม ของที่เขาสละมา เราใช้สอยแล้วมันจะเป็นประโยชน์กับเขาไหม มันสะเทือนใจเราเข้ามา นี่หาเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง หาเลี้ยงชีพเลี้ยงชีวิตเรา เลี้ยงชีวิตเราเพราะชีวิตเราต้องเลี้ยงไว้เพื่อจะประพฤติปฏิบัติ เพื่อจะให้ธรรมเกิดมาในหัวใจของเรา

แล้วนี่หาเลี้ยงธรรม หาเลี้ยงธรรมเห็นไหม เวลาเขาทุกข์เขาสุขขึ้นมา เขาพยายามแสวงหามา หามาเพื่ออะไร ก็หามาเพื่อดำรงชีวิตของเขา แล้วสิ่งนี้สิ่งที่เป็นคุณค่าของเขา สิ่งที่เป็นผลประโยชน์ของเขา เป็นสิ่งที่เป็นคุณค่าของเขา

เขาอุตส่าห์มาใส่บาตรพระ ใส่บาตรพระเพื่ออะไร? เพราะเขาปรารถนา เขาไม่มีโอกาส เขาไม่มีโอกาสได้ประพฤติปฏิบัติของเขา นอกจากเขาปรารถนา เขาจะถวายเป็นปัจจัยเครื่องอาศัยกับเรา เพื่อให้บุญกุศลตอบกับเขาด้วย

เราเอาอาหารของเขามาเราพิจารณาไหม เราได้ปฏิสังขาโยไหม ฉันอาหารเข้าไปเห็นไหม ฉันเข้าไปแล้วนอนเป็นหมู เพราะอะไร? เพราะมันไปสะสมในกระเพาะอาหารไง พลังงานมันเหลือใช้ เราจะฉันแบบพอประมาณ

ดูสิ นี่วิเวก กายวิเวก จิตวิเวก นี่สัปปายะ อาหารเป็นสัปปายะ สิ่งนี้เป็นสัปปายะ แม้แต่อาหารยังต้องเป็นสัปปายะ นักปฏิบัติมันต้องมีปัญญา ปัญญาใคร่ครวญชีวิตเรา แล้วจะไปปฏิบัติเป็นนักปฏิบัติ ปฏิบัติกับอะไร

“โอ๊ย นักปฏิบัตินะ มันต้องสร้างหอคอยงาช้างนะ แล้วจะไปนั่งปฏิบัติบนหอคอยงาช้างให้เทวดาเขาอนุโมทนา” ไอ้นั่นมันความคิดของใคร ความคิดของมาร กว่าจะได้ทำอย่างนั้นนะ แล้วใครมันจะสร้างหอคอยได้ กว่าจะสร้างหอคอยงาช้างขึ้นมา กว่าจะได้นั่งปฏิบัติ ให้เขาสาธุกันทั่วประเทศมันไปอยู่ที่ไหน

การประพฤติปฏิบัติก็การบิณฑบาต การออกบิณฑบาต การปฏิบัติโคจรบิณฑบาตเห็นไหม การปฏิสังขาโย นี่มันประพฤติปฏิบัติแล้วนะ เพราะจิตมันออกแล้ว จิตมันออกรับรู้แล้ว ตั้งแต่ตื่นนอนขึ้นมากิเลสมันเหยียบหัวแล้ว กิเลสมันเหยียบหัวแล้วตั้งแต่ตื่นนอน

ตื่นนอนขึ้นมา นี่เห็นไหมทำข้อวัตร จัดศาลา แล้วก็ออกบิณฑบาต บิณฑบาตกลับมาแล้วจะฉันแบบหมูเลย เสร็จแล้วก็จะนอน แล้วจะรอไปปฏิบัติ จะรอไปปฏิบัติ ปฏิบัติตอนไหน แต่ถ้ามันเคลื่อนไหวตั้งแต่ตื่นนอน ตั้งแต่เคลื่อนไหว ตั้งแต่การกระทำ สิ่งนี้มันเป็นนิสัย แล้วมันเป็นการควบคุมจิต

โคถูกผูกไว้ พุทโธๆๆ ตามรอยโค แล้วจะไปเห็นถึงตัวโค แล้วพอถึงเวลาก็จะมาพุทโธๆๆ กันนะ แต่เวลาอยู่กับชีวิตประจำวันปล่อยให้กิเลสมันเหยียบย่ำหัวใจเต็มที่เลย แล้วถึงเวลาก็จะไปจับโค โคมันอยู่ไหนล่ะ

การเคลื่อนไหว การตั้งสติ การล้างบาป การต่างๆ เราก็มีสติตลอดไป นี่โคผูกไว้ มีสติพร้อม ถึงเวลาแล้วเราก็สาวเชือกมา เวลานั่งสมาธิเห็นไหม พุทโธๆๆ กำหนดลมหายใจ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ อะไรก็แล้วแต่ นี่ตัวโคกับตัวจิตไง เราจะย้อนเข้าไปหาจิต ให้ความสงบของจิตให้จิตมันสงบมาได้ ถ้าจิตสงบมาได้ นี่พื้นฐาน ถ้าใครไม่มีความสงบของใจนะ ใช้ปัญญาขนาดไหน เป็นโลกียปัญญา โลกียปัญญาคือปัญญาอบรมสมาธิ

จะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ เราผู้ที่ประพฤติปฏิบัติใหม่ต้องทำความสงบของใจเข้ามาให้ได้ ถ้าใจมันสงบก่อนให้มันเป็นปัจจัตตัง ให้มันสัมผัสกับความสงบอันนั้น ถ้าความสงบอันนั้นเป็นความสงบของใจอย่างหนึ่ง

เวลาถ้ารักษา เราต้องมีสติไว้ มีสัมปชัญญะไว้ รักษาไว้ นี่ความสงบนี้มันจะมั่นคง จนมันเอกัคคตารมณ์ แล้วเวลามันคลายตัวออกมา เห็นความคลายตัวออกมา ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์ มันจะเข้าใจว่าสิ่งนี้เป็นคุณธรรมนะ

นี่ถ้าความสงบเห็นไหม รถปลดเกียร์ว่าง พอเวลาเราติดเครื่องแล้วก็ปลดเกียร์ว่างไว้ ฮื้มๆ อยู่อย่างนั้นนะ แหม รถนี้วิ่ง ..มันวิ่งไปไหน มันไม่ได้วิปัสสนาเลยไง ถ้ารถติดเครื่องไม่ได้ล่ะ รถติดเครื่องไม่ได้ ดูเด็กมันเล่นเห็นไหม เด็กมันเล่นอยู่บนรถ แล้วรถก็จอดไว้ที่บ้าน เด็กมันเล่นกันแล้วปิดกระจก จนมันตายคารถนะ นี่ก็เหมือนกัน เด็กๆ มันเล่นบนรถ มันก็เข้าใจว่ารถมันวิ่งไป มันสนุกสนานในรถ

นี่ก็เหมือนกัน จิตมันสงบไหม จิตมันเป็นไปไหม ถ้าจิตมันเป็นไป เวลามันเสื่อมมา จิตสงบแล้วมันเสื่อม กับสิ่งต่างๆ มันเป็นคุณธรรมจริงหรือเปล่า สิ่งนี้มันจะพิสูจน์กับเรามา การประพฤติปฏิบัติจากเก็บเล็กผสมน้อยนะ การประพฤติปฏิบัติ ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ อะไรคือการปฏิบัติ ถ้าไม่รู้จริงนะปฏิบัติแค่ห่มผ้าสีดำๆ นี่ปฏิบัติแล้ว ห่มผ้าสีเหลืองๆ เขาไม่ได้ปฏิบัติ ใครห่มผ้าสีกรักนี่เป็นพระปฏิบัติ

แล้วโรงงานทอผ้ามันมีมหาศาลเลย นี่ความไม่เข้าใจข้อวัตรปฏิปทาเครื่องดำเนินมันก็ปฏิบัติ ถ้าใจเป็นธรรมจะย้อนกลับมาถึงตัวเราตลอดเวลา ถ้าใจไม่เป็นธรรมนะ สิ่งนี้ทำอะไรแล้วจะให้มีผู้อุปัฏฐาก คนโน้นต้องมาอุปัฏฐาก คนนั้นต้องมารับผิดชอบ เรามีหน้าที่เคลื่อนไปเคลื่อนมาให้เขากราบไหว้บูชา

..กราบไหว้บูชา ถ้ามันเป็นคุณธรรมนะ แม้แต่เราไม่เคยเห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากัน ทำไมเรากราบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เรากราบกัน เรากราบกันเพราะว่าอะไร ถ้าไม่มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่มีครูบาอาจารย์ สิ่งที่เรากำลังแสวงหาอยู่นี้เราหลับตานะ หลับตาคลำช้างนะ คนหลับตา คนที่ไม่มีความสว่างของดวงตา มันจะไปเห็นอะไร มันจับต้องอะไรทุกข์มากนะ มันมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระไตรปิฎก มีครูบาอาจารย์ มีข้อวัตรปฏิบัติ

เราธุดงค์ไปเห็นไหม บางวัดทำอย่างนี้ บางวัดทำอย่างนี้ นี่มันเป็นสิ่งที่ให้เราใช้ปัญญานะ บางวัดทำอย่างนี้ ถ้าเรามีสติปัญญานะ เราเคยเป็นพระเด็กมาก่อน ไปอยู่ที่ไหนก็แล้วแต่ เขาทำอย่างไร จะทำไปกับเขา แล้วก็ศึกษา ทำไมทำอย่างนี้? ครูบาอาจารย์เราแนะนำเพราะเหตุใด? ที่ทำอย่างนี้มันเหตุใด? แล้วมันตรงกับพระไตรปิฎกอย่างไร? พระไตรปิฎกอยู่หน้าไหน? แล้วออกมาเป็นอย่างไร? นี่จะศึกษาตลอด ถ้าเราจะศึกษาเลย ศึกษาความแตกต่าง ความแตกต่างจริตนิสัยมันแตกต่างอยู่แล้ว ความแตกต่างต่างๆ เราก็ศึกษามา

ถ้าเราศึกษา เราใคร่ครวญมาอย่างนี้ เราจะได้ประโยชน์มา พระเด็กๆ พระเล็กๆขึ้นมาเราก็ต้องศึกษาอย่างนี้ เพื่อให้เห็นความเป็นจริง เราไปเราไม่รู้หรอก ดูสิ ดูอย่างการแสดง ละครชาตรีต่างๆ เขาแสดง คณะนี้มีชื่อเสียง คณะนี้ไม่มีชื่อเสียง คณะนี้เล่นสมบทสมบาท

นี่ก็เหมือนกัน ข้อวัตรอะไรมันจะสะท้อนเข้ามาถึงใจบ้างล่ะ ถ้าข้อวัตรอย่างภายนอกที่คิดขึ้นมาเองก็มี คิดกันขึ้นมาเองนะ อย่างนี้ควรจะทำอย่างนี้ อย่างนี้ควรจะทำ ..เถรส่องบาตรไม่เป็นความจริงหรอก

ถ้าจะเป็นความจริงนะ อย่างหลวงปู่มั่น อย่างครูบาอาจารย์เราทำมันมีมา ทำอย่างนี้เพราะอะไร ทำอย่างนี้เพราะมาจากพระไตรปิฎก พระไตรปิฎกนะมาจากบาลี บาลีว่าอย่างไร เมื่อใด กาลใด ดูสิ ดูอย่างรองเท้าเห็นไหม พระมหากัจจานะขอให้พระโสณะมาขอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากี่ชั้นๆ นี่มันมีที่มาที่ไปหมด

สิ่งที่มีที่มาที่ไป มีตัว มีตน มีสถานที่ทั้งหมด มันพิสูจน์ได้ ทางวิทยาศาสตร์ก็พิสูจน์ได้ ทางวัฒนธรรมก็พิสูจน์ได้ แล้วความเป็นจริงในหัวใจพิสูจน์ได้ไหม? ความเป็นจริงของหัวใจ หัวใจเรามันติดข้องอะไร สงสัยไหม สงสัยไหม ที่เขาทำอยู่นี่มันสงสัยไหม แต่มันมีหยาบ มีละเอียด มีต่างๆ ในโลก

ถ้าเราไม่เข้าใจ เราไม่เห็นต่างๆ เราว่าสิ่งนี้จะถูกต้องไปหมด ดูประเพณีวัฒนธรรม ผิดหมด ประเพณีวัฒนธรรมที่ทำอยู่นี่ผิดหมด เพราะอะไร เพราะเป็นไทม์ มันไม่มีหรอก แต่เราต้องไปกับเขา

แต่ข้อวัตรของเรา ธุดงควัตรสิ่งนี้มันมีอยู่ในพระไตรปิฎกเลย ชัดเจนเลย ชัดเจนแล้วเขาทำกันไหมล่ะ ไม่ทำเพราะอะไร เพราะมันคนส่วนน้อย มันไม่เวิร์ค มันไม่เป็นไปตามโลก โลกเขาต้องการการสัมพันธ์กัน การสิ่งต่างๆ โลกเขาต้องมีการคลุกคลีกัน แล้วทำเป็นประสาโลก นี่โลกเจริญ แล้วศาสนาก็ถึงเจริญ เจริญอย่างนั้นนะ สร้างวัดเป็นที่ท่องเที่ยว อย่างนี้เจริญ

ถ้าสร้างวัดเป็นที่ปฏิบัติ โอ้โฮ มีแต่พระ ทำไมกันนี่ ทะเลาะกันหน้าดำคร่ำเครียดไม่มองหากันเลย นี่ของที่เป็นคุณงามความดี ของที่เป็นประโยชน์กับโลก โลกไม่เห็นเลย แต่ถ้าไปกับเขา ถ้าข้อวัตรปฏิบัติอย่างนั้นเราไม่เอา เราไม่เอากับเขา นั่นเป็นเรื่องของโลกๆ

โลกคืออะไร โลกคือกิเลส โลกคือสิ่งที่ยอมจำนนกับโลก ยอมจำนนให้เขาเป็นใหญ่ โลกเป็นใหญ่เหยียบย่ำธรรม แต่ถ้าธรรมเป็นใหญ่นะ เขาจะเชื่อ เขาจะไม่เชื่อ มันเรื่องของเขา เรื่องของเรา เราทำถูกต้องไหม ตรวจสอบได้

ตรวจสอบเห็นไหม ดูสิ ศีลถ้ามีบริสุทธิ์ขึ้นมาจะเข้าสังคมไหน ของเรามันตรวจสอบได้ เข้ามาในหมู่คณะอย่างนี้ อย่างเช่นอุโบสถเราเข้ามาใครผิดใครถูกเห็นหมดนะ สวดมนต์ใครผิด มันผิดอทังกรณ์ มันจะขัดกันล่ะ

นี่ก็เหมือนกัน ในเรื่องหมู่สงฆ์เรา ถ้าเข้ามาถ้ามันถูกต้องหมด อะไรผิด ผิดที่ไหนมันก็ต้องสมฺมุขาวินโย ทาตพฺโพ ต้องมีการตรวจสอบสมฺมุขา ต้องมีการตรวจสอบกันโดยสมฺมุขาคือปาก คือตรวจสอบกัน นี่อันนี้ถูกต้องไหม เรามาปรึกษากันเห็นไหม ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ แสดงธรรม คุยธรรมะกัน เข้ามาตรวจสอบอย่างนี้ ศาสนาถึงเจริญ

เจริญอย่างนี้มันเจริญเพราะอะไร เพราะมันถูกต้องๆ ถ้าผิดเพราะอะไร เพราะกิเลสมันอยู่กับเรา เราเห็นอะไร เราก็ว่าสิ่งนี้ถูกต้อง สิ่งนี้เป็นคุณงามความดี อย่างปัจจัตตัง ใช่ เห็นหมดเลย ความเป็นจริงของเราหมดเลย แต่จริงของใคร จริงของกิเลสหรือจริงของธรรม

ถ้าจริงของกิเลสมันก็เป็นประสากิเลส ถ้าจริงของธรรมกิเลสมันยุบยอบตัวลง กิเลสมันเบาตัวลง สิ่งนี้มันเป็นประสบการณ์ของจิต นี่คือการปฏิบัติ ปฏิบัติๆ อย่างนี้ ปฏิบัติได้ทุกวินาที ปฏิบัติได้ตลอดเวลา ไม่ใช่ปฏิบัติต้องไปอยู่บนความคิดของกิเลส ปฏิบัติอย่างนั้น สิ่งนั้นไม่เป็นความจริง

การปฏิบัติได้เคลื่อนไหวทั้งหมด แล้วเคลื่อนไหวแบบธรรมนะ ไม่ใช่เคลื่อนไหวแบบโลก ถ้าทำแบบนี้ ใช่ อยู่บ้านก็ทำได้ อยู่ที่ไหนก็ทำได้ แต่ทำอย่างนั้นมันเป็นจริงไหม? เป็นประโยชน์กับเราไหม? ไม่เป็นประโยชน์กับเรา ไม่เป็นประโยชน์นะ

ประโยชน์กับเราหมายถึงว่าถูกต้อง “ผู้ใดปฏิบัติธรรม สมควรแก่ธรรม” เป็นประโยชน์กับใจ มันเป็นธรรม ปฏิบัติโดยกิเลส ผู้ปฏิบัติธรรมไม่สมควรแก่ธรรม สมควรแก่กิเลส สมควรแก่โลก โลกชัดๆ

ปฏิบัติไป ปฏิบัติไปเพื่ออะไร ปฏิบัติไปให้เขายกย่องนับถือ ปฏิบัติไปให้เขายอมรับ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พรหมจรรย์ ไม่ได้ปฏิบัติไปเพื่อให้ใครนับถือ ไม่ได้ปฏิบัติเพื่อครูบาอาจารย์ของเรา ไม่ได้ปฏิบัติเพื่ออะไร ปฏิบัติเพื่อพรหมจรรย์ ปฏิบัติเพื่อสิ้นกิเลส ไม่ได้ปฏิบัติเพื่อแก้กิเลสของใครเลย ไม่ได้ปฏิบัติเพื่อจะไปแก้ใคร ถ้าคิดจะแก้เขาอยู่ตัวนั้นคือกิเลส

แต่ถ้ามันถึงที่สุดแล้วจิตมันหมดจากกิเลส เพื่อพรหมจรรย์ เพื่อความสะอาดของจิตของเรา ถ้าจิตของเรามันสะอาดบริสุทธิ์แล้ว ถ้ามีอำนาจวาสนา ถ้าเขาฟังเรา เห็นไหมเขาฟัง มันเป็นประโยชน์ ดูสิ ดูเวลาคนเจ็บคนป่วยไปหาหมอสิ จะหาหมอที่ดี จะหาหมอที่ไม่เลี้ยงไข้ จะหาหมอที่รักษาเรา เราไปหาหมออย่างนั้น

นี่ก็เหมือนกัน ไปหาครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ยังพูดตามธรรม ครูบาอาจารย์ไหนอยู่ในธรรม พูดตามธรรม อยู่ในธรรม เหมือนกับเป็นยารักษาโรคที่ไม่มีเชื้อพิษเจือปน

แต่ถ้าเราไปหาครูบาอาจารย์องค์ไหน พูดตามกิเลส พูดเพราะรัก พูดเพราะชัง พูดว่าพวกเรา คนนี้คนของเรา คนนั้นไม่ใช่คนของเรา มันไม่เป็นธรรมหรอก มันไม่เป็นธรรม มันเป็นเรื่องของการลำเอียงแล้ว ลำเอียงเพราะรัก ลำเอียงเพราะชัง ยานั้นก็มีคุณภาพน้อยลง ไม่สะอาด ไม่บริสุทธิ์

ถ้าสะอาดบริสุทธิ์เห็นไหม นี่เป็นธรรม ผิดเป็นผิด ถูกเป็นถูก มันคือธรรม นี่ก็เหมือนกัน เราไปปฏิบัติอย่างนั้นเพื่ออะไร ก็เพื่อสัจจะความจริง แล้วเราปฏิบัติเพื่อความจริง เราไปกลัวอะไรกับความจริง เราปฏิบัติความจริงเราก็กล้าเผชิญกับความจริง ถ้าความจริงเป็นอย่างนั้น เราก็ปฏิบัติเพื่อความจริง ให้ความจริงมันเกิดขึ้นมากับเรา

สมาธิก็เป็นสมาธิจริงๆ เป็นสัมมาสมาธิ ปัญญาเกิดก็ต้องเป็นปัญญาเกิดกับเรา ถ้าปัญญาอย่างนี้เกิดขึ้นมา นี่ปัญญาของเรา มันจะย้อนกลับมาถึงข้างในนะ มันจะเห็นความหยาบ เห็นความละเอียด ปัญญาหยาบๆ อย่างนั้นเราไปเห็นปัญญาหยาบๆ อย่างนั้น เมื่อก่อนเราว่าปัญญา พอปัญญาละเอียดเข้ามาๆ มันถึงเห็นไง เห็นความหยาบละเอียดเห็นไหม โสดาปัตติผล สกิทาคามิผล อนาคามิผล ปัญญาต่างกัน ทุกอย่างต่างกัน สิ่งต่างๆ ต่างกันหมดเลย

แล้วเหมือนพ่อแม่เลย พ่อแม่นี่ทุกข์ยากนะ หาเงินมาเลี้ยงลูก เวลาลูกแบมือขอตังค์ แบมือขอตังค์ นี่ก็เหมือนกัน เวลาไปแบมือขอ ปัญญาเกิดอย่างนี้ๆ มันเป็นปัญญาไหม แต่! แต่พ่อแม่คนไหน ครูบาอาจารย์คนไหนไม่รักลูกศิษย์บ้าง อ้าว...เป็นอย่างนั้นล่ะๆ แต่ถ้าเดี๋ยวรู้ขึ้นมาจากความจริงนะ เดี๋ยวย้อนกลับเลย “ทำไมเราโง่อย่างนั้น ทำไมเราไม่เห็นสภาวะแบบนี้ สภาวะแบบนี้มันก็มีกับเราอยู่แล้ว ทำไมเราไม่เห็น ทำไมเราไม่รู้” นี่มันจะเป็นสภาวะของมัน

ถ้าเป็นสภาวะของมันจิตเรามันจะพัฒนาขึ้น ถ้าเรารู้ว่าเราผิดนะ ถ้าเราไม่ยอมรับว่าเราผิด เราว่าเราถูก เราดี ความดีจะไม่เกิดกับเราเลย แต่ถ้าอันนี้เป็นความผิดพลาดของเรา อันนี้เราแก้ไข มันเป็นความผิดพลาดนะ ความผิดพลาดหมายถึงความคิด หมายถึงสิ่งที่มันเกิดแล้วดับไป ไม่ใช่ความผิดว่า เราผิดต้องจับเราติดคุก ไม่ใช่

ความผิดนี่ คิดอย่างนี้คิดอย่างไร ความคิดอย่างนี้มันคิดไม่เป็นประโยชน์ ความคิดอย่างนี้มันเป็นโทษกับเรา ความคิดอย่างนี้จะทำให้นิสัยเราต่อไปเราจะไม่เข้มแข็ง อะไรที่เป็นขึ้นมาก็จะให้อ่อนแอ อ่อนแอตลอดเวลา ความคิดอย่างนี้หรือจะเป็นนักปฏิบัติ ความคิดมันก็จะดีขึ้น ความคิดจะดีขึ้น มันมีความคิดแยกแยะ ความคิดแยกแยะมันจะทำให้พัฒนาขึ้น สิ่งต่างๆ พัฒนาขึ้นมา นี่ความคิดจากข้างนอกนะ

เวลาเป็นปัญญาญาณไม่เป็นความคิดหรอก มันละเอียดลึกซึ้ง เหมือนความรู้สึก เราคิดถึงปัญญาความคิดในความคิดใช่ไหม แต่ความรู้สึก ความรู้สึกว่าสุขว่าทุกข์ แล้วความรู้สึกว่าถูกว่าผิด

แต่ถ้าความรู้สึกว่าถูกว่าผิดมันก็เป็นความว่าเราตั้งฉาก เราจัดฉากขึ้นมาให้เห็นว่าเป็นปัญญาญาณเวลาเป็นปัญญาญาณ แต่จริงๆ มันเหมือนกับเป็นความรู้สึก แล้วเป็นญาณ รับรู้เข้าไป รับรู้เข้าไปนะ เป็นปัญญาอันละเอียดสุดที่เข้าไปชำระอวิชชา

ตั้งแต่สติปัญญา มหาสติ มหาปัญญา แล้วปัญญาญาณ ปัญญาญาณเกิดกับจิต จิตเกิดขึ้นมา ความละเอียดลึกซึ้ง เวลาครูบาอาจารย์จะสั่งสอนลูกศิษย์ เพราะอะไร เพราะมันประสบการณ์ของใจ ใจเคยผ่านอย่างนี้มา เคยผ่านปัญญาอย่างหยาบมา

เริ่มจากปัญญาโลกียปัญญา ปัญญาโลกียปัญญาที่พูดๆ อยู่นี่โลกียปัญญา เพราะขนาดที่ผู้แสดงเป็นสัจธรรม เพราะอะไร เพราะมันออกจากจิตที่ผู้รู้ แต่เวลาออกไปแล้วผู้ฟัง ถ้าจิตเราเป็นโลก เป็นโลกียปัญญา โลกียปัญญาเพราะอะไร เพราะมันฟังมาจากข้างนอก แต่ถ้าเวลาเกิดจากเรา ถ้าเกิดจากความคิดของเรา เกิดจากขันธ์ ๕ ของเรา ขันธ์ ๕ ไม่ใช่จิต จิตไม่ใช่ขันธ์ ๕ มันเกิดจากภายนอก

ถ้าเกิดจากภายนอก เวลามันเกิดขึ้นมามันโลกียปัญญา ถ้าโลกียปัญญา ถ้ามันใคร่ครวญธรรมะของพระพุทธเจ้าก็แล้วแต่ จะใคร่ครวญอะไรก็แล้วแต่ สิ่งนี้มันเป็นปัญญาอบรมสมาธิ ถ้าปัญญาอบรมสมาธิขึ้นมา มันย้อนกลับมาเป็นกัลยาณปุถุชน

ถ้าปัญญามันเกิดขึ้นมาอีกมันก็เป็นปัญญาจากขันธ์ ๕ จากขันธ์ ๕ มันมีสัมมาสมาธิรองรับ ไม่มีตัวตน ปัญญานี้ไม่มีใครเป็นเจ้าของ มันเกิดโดยสัญชาตญาณ คือว่ามันเกิดโดยขันธ์ ๕ นี่แหละ แต่มันมีสมาธิเข้ามารองรับ

นี่ไงเพราะมีสมาธิอันนี้ มันถึงเป็นสัมมาสมาธิ มันถึงเป็นปัญญา มันถึงเป็นมรรค เป็นโลกุตตรปัญญา ถ้าเป็นมรรคเป็นโลกุตตรปัญญา ปัญญาอย่างนี้เข้ามามันก็หมุนเข้ามา ชำระล้างเข้ามาบ่อยครั้งเข้ามันก็เป็นโสดาปัตติมรรค แล้วก็ชำระเป็นโสดาปัตติผล เป็นสกิทาคามิมรรคละเอียดขึ้นไป เป็นอนาคามิมรรคขึ้นไป

พอมันเป็นปัญญาญาณ มันไม่ใช่ขันธ์ ขันธ์ไม่ใช่จิต จิตไม่ใช่ขันธ์ ตัวจิตแท้ๆ เป็นตัวจิต ตัวจิตแท้ๆ มันปล่อยขันธ์เข้ามาชำระขันธ์ขาดลงมา ทำไมขันธ์ไม่ขาดในข้อมูล ข้อมูลคือปฏิฆะ ปฏิฆะคือกามราคะ คือสเปค คือความชอบของใจ ใจชอบสิ่งใดมันก็มาเทียบกับใจ มันก็พอใจไป

พอใจไปสิ่งนี้มันทำลายกัน พอทำลายกันมันก็หมดไป ขันธ์ก็ขาดออกจากจิต จิตเป็นจิต จิตไม่ใช่ขันธ์ ขันธ์ไม่ใช่จิต แล้วตัวจิตปัญญาญาณที่ชำระตัวจิต เหมือนกับปัญญาญาณไง ปัญญาญาณที่มันละเอียดลึกซึ้งเข้าไปทำลาย..เข้าไปทำลาย..

ความเป็นไปของครูบาอาจารย์จะเหมือนกับพ่อแม่ ก่อร่างสร้างตัวหาเงินหาทอง ลูกเกิดมาแต่ละคน ดูสิ ดูลูกเล็กขึ้นมากินอาหารอ่อน ต้องอยู่ต้องนอน กินแล้วก็นอน นอนแล้วก็กิน เพราะเด็กเล็กจะนอนเกือบทั้งวันเลย พอโตขึ้นมาต้องหัดให้เป็นผู้ใหญ่ โตขึ้นมาหน่อยต้องรู้ต้องรับผิดชอบตัวเอง ต้องช่วยตัวเอง

นี่ก็เหมือนกัน จิตของเรา เราจะเป็นตัวอ่อนอย่างนี้ตลอดไปหรือ เราจะไม่เข้มแข็งขึ้นมาเลยหรือ เราจะไม่ทำให้จิตเราดีขึ้นมา ถ้าจิตเราพัฒนาขึ้นมา เราเป็นพระนะ เราบวชโดยอุปัชฌาย์ เป็นสมมุติสงฆ์ แล้วถ้าเราปฏิบัติขึ้นมานะ มันจะเป็นพระที่ใจ ถ้าใจเราขึ้นมาเป็นพระนี่นะ มันเป็นหลักใจของเราก่อน แล้วมันจะเป็นหลักใจของหมู่คณะ เราจะเป็นผู้ใหญ่ไปข้างหน้า

ครูบาอาจารย์นะ อย่างครูบาอาจารย์ท่านมีอายุขัยขึ้นมานะ ท่านห่วงมาก ห่วงเห็นไหม ดูสิ เวลาเด็กเณรน้อย เวลามาบวชเราก็ว่าเณรน้อย เณรน้อยต่อไปเขาจะเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมา ถ้าเราติดปัญญาวุฒิ ติดธรรมาวุฒิให้กับหัวใจของเขา เขาจะพัฒนาขึ้นมา ต่อไปเขาจะเป็นผู้นำ

นี่ไง ศาสนาส่งต่อกันมาเป็นชั้นเป็นตอน เราจะเป็นผู้ใหญ่ขึ้นไป เราต้องให้ใจเราเข้มแข็ง ให้ใจเรามีปัญญา แล้วให้ใจเราจับต้องแยกแยะ สิ่งใดเป็นบวก สิ่งใดเป็นลบ ในสังคมของเรา สังคมของสงฆ์ ให้อยู่กันร่มเย็นเป็นสุข ร่มเย็นเป็นสุขโดยธรรมนะ

แม้แต่อาหารก็ไม่มีจะกิน น้ำท่าก็ลำบากอัตคัดขาดแคลน แต่ถ้ามันถูกต้องตามธรรมวินัยมันเป็นสุขนะ แต่ถ้าเราบอกเลยว่า เราต้องอุดมสมบูรณ์ไปทุกอย่าง ร่มเย็นเป็นสุขอย่างนั้นกิเลสมันอยู่ในหัวใจนะ ทำไมสังคมอย่างนั้นพระทะเลาะเบาะแว้งกัน ทำไมพระของเขามีปัญหาขัดแย้งกัน เขาขัดแย้งทั้งๆ ที่ทุกอย่างสมบูรณ์นะ สมบูรณ์หมดเลย แต่ทำไมความเป็นอยู่ของเขาไม่มีความสุขล่ะ

ของเราถ้ามันอยู่ป่าอยู่เขา มันจะอัตคัดขาดแคลนเราก็พอใจ อัตคัดขาดแคลนเพราะอะไร เพราะไม่อัตคัดขาดแคลนเรายังอดอาหารเลย เรายังอดอาหาร เรายังอดนอน เรายังจะพยายามให้หัวใจสดชื่น ให้หัวใจรื่นเริงในธรรม ถ้าเราปฏิบัติธรรมอย่างนั้น ความเป็นสุขเราเกิดจากตรงนี้ไง

นี่สัปปายะ ๔ เห็นไหม แม้แต่ความสงบสงัดเรายังแสวงหาโหยหานะ โลกยังโหยหากันเลย แล้วเราปฏิบัติว่าเราเป็นพระป่า ถ้ามันสงบสงัดอย่างนั้น ทำไมเราไม่กล้าสู้กับความสงัดในหัวใจของเราล่ะ ทำไมเราไม่กล้าสู้กับความเป็นจริงล่ะ

เวลาเข้าไปอยู่ในความสงัดเราก็กลัวผี กลัวความมืด กลัวไปต่างๆ ความกลัวมันก็ปิดกั้นไม่ให้จิตสงบได้ ถ้าเรามีปัญญาขึ้นมาสิ่งนี้เราไม่ให้เกิดขึ้นมากับเราเลย เราจะไม่ให้เกิดมาได้ด้วยอะไร ด้วยสติ สตินะ ถ้ามีสติจับ จับทุกอย่างที่เข้ามาในความรู้สึก

ที่กลัวๆ นั้นกลัวอะไร เราเองไม่เป็นอย่างนั้นเลย เราต้องเป็นอย่างนั้นทุกๆ อย่าง แล้วเราไปกลัวอะไร นี่กิเลสมันสอดแทรกเข้ามา ถ้าไม่มีสติจับนะ ถ้ามีสติจับแล้วปัญญาใคร่ครวญจบหมด จบหมด!

“สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง สิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นอนิจจัง สิ่งนั้นเป็นความทุกข์ สิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา”

มันแปรปรวนตลอด น่าสลดสังเวชมาก ในความรู้สึกที่มันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลานี้ แล้วถ้าเราพิจารณาไปถึงที่สุดแล้ว จิตนี้ดับหมด แล้วจิตนี้ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอีกเลย มันเป็นวิมุตติสุข มหัศจรรย์หัวใจอย่างนี้ น่าสนใจมาก

แล้วถ้าครูบาอาจารย์ท่านไม่มีสิ่งนี้ ท่านเอาอะไรมาสอนเรา สิ่งนี้มันตรวจสอบได้นะ ถ้าครูบาอาจารย์ขี้เท่อนะก็อวดสอนไปอย่างนั้นนะ เวลาลูกศิษย์ถามปัญหาขึ้นมาตอบไม่ได้หรอก แล้วมันไม่มีจริงเอาความขี้เท่อมาสอนเรา มันเป็นไปไม่ได้

แต่ถ้าสิ่งนี้มันมีอยู่ แล้วเราประสบการณ์อยู่ในสังคม ในหมู่คณะ ในสังคมสงฆ์ที่กำลังรื่นเริงอาจหาญในธรรมอย่างนี้ ทำไมเราไม่รีบค้นคว้า ทำไมเราไม่รีบขวนขวายขึ้นมาแล้วเอาใจของเราขึ้นมา เหมือนคนไข้เลย หมออยู่ตรงหน้าเรา ทำไมเราไม่รีบรักษาให้อาการไข้เราหาย

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าอาการไข้เราหายเราก็เริ่มต้นจากตรงนี้ เริ่มต้นจากว่าเราปฏิบัติทุกวินาที ทุกเวลา ในการเคลื่อนไหวเราจะมีสติพร้อม แม้แต่พูดเล่นพูดหัว แม้แต่การเคลื่อนไหวอยู่สติก็พร้อม โคผูกไว้แล้วเอาจริงเอาจังขึ้นมา เราก็จับได้ แล้วจับได้ โคคือใจ แล้วแยกแยะ เนื้อโค ปอดโค หนังโคก็ขายได้ เขาโคก็ขายได้ กระดูกโคก็ขายได้ โคทั้งตัวขายได้หมดเลย

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราจับใจของเราได้นะ กาย เวทนา จิต ธรรม ทำให้เราเป็นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ จนถึงที่สุดแห่งทุกข์ เอวัง