อัตโนมัติ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๖๓
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ถาม : เรื่อง “ผลการปฏิบัติ”
กราบนมัสการหลวงพ่อ นานแล้วที่ไม่ได้มาฟังเทศน์และตอบปัญหาธรรมะของหลวงพ่อ โดยภารกิจหน้าที่การงานและครอบครัวครับ แต่ก็ยังคงปฏิบัติภาวนาทุกวัน ทั้งก่อนนอน ตอนเช้า หลังจากเสร็จภารกิจเกี่ยวกับลูกๆ ก่อนไปโรงเรียน ไม่เว้นแม้แต่เวลาว่างช่วงเวลาทำงาน เก็บเล็กผสมน้อยไปเรื่อยๆ ดีกว่าไม่ได้ทำ เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเลยก็ว่าได้ครับ
วันหนึ่งในขณะที่จิตกำลังสงบได้สักระยะก็มองเห็นร่างกายของตัวเอง ก็พิจารณาว่า ร่างกายของเรานี้ในวัย ๔๐ เริ่มเสื่อมลงแล้วหนอ ไม่มีส่วนใดเลยที่จะไปยึดเอาไว้ให้คงสภาพได้เลย แล้วพิจารณาต่อว่า หากร่างกายนี้สิ้นสลายไป แล้วจิตจะยึดเอาอะไรเป็นหลักได้ ไม่เคว้งคว้าง พลันก็มีเสียงหนึ่งพูดขึ้นว่า “ธรรม”
พอเสียงพูดจบก็เหมือนได้มาอยู่อีกที่ที่หนึ่งซึ่งรู้สึกเป็นอิสระ ไม่สุข ไม่ทุกข์ แล้วก็มีเสียงดังขึ้นอีก จำได้ว่าเป็นเสียงหลวงตาพูดขึ้นมา “ธรรมล้วนๆ ไม่มีสิ่งใดมาเจือปน” อยู่อย่างนี้แป๊บเดียวจิตก็ถอนออกมา รู้สึกตื่นเต้นและนั่งภาวนาต่อ
พิจารณาสิ่งที่เกิดขึ้น สิ่งที่ผมได้สัมผัสมันช่างน่าอัศจรรย์จริงๆ ครับ ความอัศจรรย์นี้ แม้ผมได้สัมผัสแค่เล็กน้อย มันเป็นความรู้สึกที่เป็นสุขมาก มากมายมหาศาลเลยครับ ประสบการณ์ภาวนาของผมนี้ก็มีเพียงเท่านี้ มีข้อผิดพลาดต้องแก้ไขประการใด ขอพระอาจารย์เมตตาด้วยครับ
ตอบ : นี่พูดถึงว่าในการประพฤติปฏิบัติๆ ถ้าในการประพฤติปฏิบัติ ถ้าเรามีอำนาจวาสนานะ แล้วไม่มีข้อกังวลใดๆ ทั้งสิ้น เวลาปฏิบัติของเราต่อเนื่องไปๆ ถ้าปฏิบัติต่อเนื่องไป ถ้ามีเวลา แล้วถ้าการจะปฏิบัติต่อเนื่องไปมันต้องมีศรัทธามีความมั่นคง
ถ้าไม่มีศรัทธาความมั่นคง เวลาปฏิบัติไปแล้วกิเลสมันแทรก กิเลสมันจะแทรกเข้ามา แทรกเข้ามานะ ยังไม่จำเป็น ยังไว้เมื่อนั้น ยังทำเมื่อไหร่ก็ได้ พอจะทำเมื่อไหร่ก็ได้ มันเว้นระยะไป เวลาจะกลับมาภาวนาใหม่ก็เหมือนกับการเริ่มต้นใหม่ พอการเริ่มต้นใหม่ก็ทำอยู่อย่างนั้นน่ะ
แล้วคนถ้าไม่มั่นคงแล้วนะ มันก็มีความลังเลสงสัย มันมีความเบื่อหน่าย มันมีความกดดันในหัวใจ แล้วมันก็จะเลิกไปๆ คำว่า “เลิกไป” นะ แล้วพอเวลาไปประสบทุกข์ในทางโลกแล้วมันก็กลับมาภาวนาใหม่ มันอย่างนี้ มันจะกลับไปกลับมาอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา
แต่ถ้าเราทำต่อเนื่องไปๆ เห็นไหม นี่เขาบอกว่า ไม่ได้เข้ามาฟังเทศน์ ไม่ได้ตอบปัญหากับหลวงพ่อมานาน สิ่งที่ไม่ได้เข้ามานาน แต่ก็ทำต่อเนื่องมาๆ จนขณะที่ว่าทำต่อเนื่องมาๆ เวลาจิตมันสงบบ้าง สักระยะมันเห็นร่างกาย พิจารณากายไป ถ้ามันเสื่อมไป
การพิจารณากาย การเสื่อมไป การบอกว่าเวลาใช้ปัญญา ในวัย ๔๐ มันก็เริ่มเสื่อมลงแล้ว พอมันทำต่อเนื่องมาแล้วมันใช้ปัญญา มีปัญญาแยกแยะด้วย เวลาแยกแยะด้วย เวลาแยกแยะไปบอกว่า ถ้ามันเสื่อมสภาพไป ถ้ามันสิ้นชีวิตไป เราจะเอาอะไรเป็นที่พึ่งๆ นี่พูดถึงการดำเนินการ แต่พอสักพักหนึ่ง พลันก็มีเสียงเกิดขึ้นว่านี่เป็นธรรม
มันก็เป็นธรรมอยู่ในตัวมันนั่นแหละ เราพิจารณานี่มันเป็นธรรมไหม มันก็เป็นธรรมอยู่แล้ว แต่บอกว่านี่มันเป็นธรรม เวลาธรรมมันเกิดๆ ไง
เวลาธรรมมันเกิดขึ้นมา สิ่งที่เป็นธรรมขึ้นมาเกิด แล้วยังมีความรู้สึกอีกนะว่านี่เป็นเสียงของหลวงตา พอเสียงหลวงตา พอเสียงหลวงตาแป๊บเดียวมันมีความสุข มันมหัศจรรย์มาก แล้วสักพักหนึ่งจิตมันก็ถอนออก
คำว่า “ถอนออกมาๆ” คนถ้าฝึกหัดภาวนาต่อเนื่องไปจนมีความชำนาญพอภาวนาเป็นภาวนาได้ มันจะรู้ว่า เวลาเข้าสมาธิเราต้องพยายามฝึกฝน พยายามตั้งสติเพื่อให้มันเข้าไปสู่ความสงบระงับ แล้วมันคลายออกมา มาถอนไง การเข้า การออก การเข้า การออก คนเขาถึงรู้ได้ว่าการเข้าการออกสื่อสารกันได้ สื่อสารว่าเวลาเข้ามันเข้าอย่างไร เวลามันออกมันออกอย่างไรไง
ทีนี้คนที่ทำไม่เป็น “เอ๊ะ! มีการเข้ามีการออกด้วยหรือ สมาธิเป็นอย่างนั้นหรือ ความรู้สึกเป็นอย่างนั้นหรือ หลอกตัวเองหรือเปล่า”
มีเยอะมากนะว่าในการประพฤติปฏิบัติ เวลาหลับหูหลับตาแล้วมันก็จะไม่มีปัญญา ไม่มีการศึกษา ไม่มีปัญญา หลับหูหลับตามันจะรู้สิ่งใด
แล้วเวลาถ้ามันจะรู้ขึ้นมาด้วยความเป็นจริง ด้วยความเป็นจริง ด้วยการประพฤติปฏิบัติโดยความชอบธรรม ถ้าโดยความชอบธรรมๆ นะ อกาลิโก ไม่มีกาลไม่มีเวลา
แล้วเวลาเป็นขึ้นมา ที่ว่าสิ่งที่อัศจรรย์ มหัศจรรย์จริงๆ ครับ แค่ได้สัมผัสแค่เล็กน้อยนี้ยังมีความมหัศจรรย์ขนาดนี้
นี่ไง เรียกร้องสัตว์ทั้งหลายมาดูธรรมๆ ก็นี่ไง ได้สัมผัสเล็กน้อยก็มีความเล็กน้อยนี้เป็นเครื่องยืนยันไง ถ้ามีความรู้สึกเล็กน้อยเป็นเครื่องยืนยัน
บอก “ไอ้พวกหลับหูหลับตามันจะรู้อะไร ไอ้พวกหลับหูหลับตามันไม่มีการศึกษา มันจะเอาธรรมะมาจากไหน เวลาไม่รู้จะเอาธรรมะมาจากไหน เวลาทำไปแล้วมันเกิดนิมิตแล้วก็ไปติดในนิมิต มันก็เป็นการหลงใหล เป็นการหลงไป” ไอ้เขาพูดอย่างนี้ส่วนใหญ่ แต่มันก็จริงนะ
มันจริงที่ว่า เพราะผู้ปฏิบัติส่วนใหญ่ คำว่า “ผู้ปฏิบัติส่วนใหญ่ คนส่วนใหญ่ คนหมู่มาก” เวลาคนหมู่มากจะทำให้เป็นความจริงขึ้นมา มันเป็นความจริงขึ้นมาได้ยาก แต่เวลาที่เป็นความจริงขึ้นมา มันมีผู้ที่ทำเป็นความจริงขึ้นมาได้
นี่ยืนยันได้หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น เวลาครูบาอาจารย์ของเราที่เป็นพระอรหันต์ๆ ยังยืนยันอยู่ว่าเป็นพระอรหันต์ ใครจะบอกว่าไม่เป็นหรือว่าเพราะว่าไม่มีใครการันตี ไม่มีใบรับรอง ไม่มีการยืนยันจากใครทั้งสิ้น แต่มันยืนยันกันในหัวใจของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นที่ท่านประพฤติปฏิบัติมา
ยืนยันในหัวใจของหลวงปู่มั่นท่านบอกว่า “ต่อไปถ้าเราไม่อยู่แล้วให้ระลึกถึงท่านขาวนะ ให้ระลึกถึงหลวงปู่ขาวนะ เพราะหลวงปู่ขาวได้สนทนาธรรมกับเราแล้ว” เป็นการยืนยันกันไง ยืนยันระหว่างหลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่ขาว
แล้วหลวงปู่ขาวเป็นการยืนยัน ยืนยันกับหลวงตาพระมหาบัวที่เวลาท่านคุยธรรมกัน ยืนยันกันโดยว่าหลวงปู่ขาวท่านได้สนทนาธรรมกับหลวงปู่แหวนอย่างนี้ นี่มันยืนยันๆ ยืนยันโดยธรรม ไม่มีใบประกาศ ไม่มีใบรับรอง ผู้ที่ปฏิบัติเป็นจริงมันมีเป็นจริงอย่างนี้
เวลาในทางวิชาการ ไอ้พวกหลับหูหลับตามันจะรู้ได้อย่างไร ไอ้พวกหลับหูหลับตามันก็ติดนิมิตของมัน แล้วมันก็สร้างเป็นประเด็นขึ้นมา เป็นปัญหาในวงการสงฆ์
ในวงการสงฆ์ สิ่งที่ผู้ที่สร้างปัญหามา เราไม่อยากพูดเลยนะ เหมือนเป็นการเรียกร้อง แต่ไม่
คันถธุระ วิปัสสนาธุระ วิปัสสนาธุระนะ เมื่อก่อนเขามีคันถธุระ มีวิปัสสนาธุระ วิปัสสนาธุระต้องมีครูบาอาจารย์ เพราะครูบาอาจารย์ที่เป็นจริงท่านได้ว่าชี้ผิดถูกอย่างไร แล้วชี้แล้ว มันผิดแล้วมันต้องแก้ไข
ไอ้นี่มันคันถธุระ วิปัสสนาธุระ ไม่มีการผู้มีฐานะคอยชี้ถูกชี้ผิดไง เพราะไม่ยอมรับว่าใครภาวนาได้ ใครภาวนาไม่ได้ไง
แต่ในวงกรรมฐานเอง โดยหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น เช่น ปีนี้เป็นปี ๑๕๐ ปี องค์การยูเนสโกยังยอมรับคุณสมบัติการกระทำผลที่เกิดขึ้น ผลข้างเคียงนะ ไอ้ผลที่เกิดขึ้น ผลที่เกิดขึ้นที่โลกเห็นนั่นผลข้างเคียง ผลข้างเคียงที่ท่านอบรมบ่มเพาะสั่งสอนอบรมประชาชนให้นับถือพระพุทธศาสนา ท่านให้ชาวพุทธมั่นคงในการประพฤติปฏิบัติ ให้ชาวพุทธสั่งสอนธรรมทายาทขึ้นมาเป็นครูบาอาจารย์ส่งต่อกันมาไง นี่เป็นการยืนยัน ยืนยันที่เป็นความจริง ความจริงมันมี
แต่สิ่งที่เป็นจริงๆ เพราะวิปัสสนาธุระไม่มีอำนาจในการปกครอง ในการตัดสิน ในการต่างๆ เพราะไม่มีหน้าที่ ครูบาอาจารย์ท่านถึงพยายามแก้ไขในวงกรรมฐาน ในครอบครัวกรรมฐาน นี่ยืนยันโดยธรรม มันก็เป็นธรรมน่ะ เป็นธรรมก็เป็นธรรม เป็นธรรมแล้วมันธรรมเหนือโลกมันก็จบ
แต่ถ้าบอกว่า นี่ไม่มีการศึกษา แล้วหลับหูหลับตามันจะรู้ได้อย่างไร
ถ้ารู้ได้อย่างไร ก็ยืนยันคำถามนี้ไง เพราะอะไร เพราะว่าผู้ที่ประพฤติปฏิบัติเขารายงานผลการปฏิบัติ เขาปฏิบัติมานาน แล้วส่งคำถามมาหาเราให้เราแก้ไขมาตลอด เราก็แก้ไขๆ
ถ้าคำถามมันจะมีคุณสมบัติในตัวมันเอง ถ้าอ่านหนังสือมา ฟังเขาเล่ามา เขียนมานะ มันเป็นการเล่านิทาน แต่ถ้ามันเป็นความจริงนะ เพราะคนที่ประพฤติปฏิบัติมาแล้วจิตมันสงบหรือไม่สงบ มันทุกข์มันยากมันกดมันดัน มันมีความทุกข์ในใจของมัน มันเขียนมาตามข้อเท็จจริงอันนั้นน่ะ เหมือนคนโดนกดทับไว้แล้วอยากจะให้เอาสิ่งกดทับออก มันต้องบอกตามความเป็นจริง ตอนนี้อึดอัดมาก ตอนนี้ตัวแทบแบนแล้ว
วงการปฏิบัติ เวลาคำถามที่มีคุณสมบัติที่มันเป็นตัวมันจริง นี่คือการปฏิบัติมา แล้วคำถามมันก็แก้ไขมาเรื่อย การแก้ไขมาเรื่อยก็แก้โดยทางโลกๆ นั่นไง
ทางโลก การปฏิบัติที่มันยากก็ตั้งแต่เริ่มต้น แล้วเริ่มต้นคนมันคิดแบบวิทยาศาสตร์ คิดแบบโลกคิดแบบเถรตรง เถรส่องบาตร แล้วจิตใจกิเลสมันเป็นสิ่งมีชีวิตที่มันปลิ้นมันปล้อน ไอ้เถรส่องบาตรมันก็เท่าแต่ที่มันจะส่องได้เห็นได้ แต่กิเลสที่มันปลิ้นมันปล้อนมันตลบหลัง มันบังเงา มันหลอกมันลวงร้อยแปด
นี่ไง สิ่งที่ร้อยแปด เวลาปฏิบัติที่มันยาก มันยากคราวแรกนี้ แล้วเวลาคราวแรกนี้เราก็ฝึกหัดปฏิบัติไปๆ จนที่เขาปฏิบัติมาจนมันเป็นอย่างนี้ แล้วถ้าเป็นอย่างนี้แล้ว สิ่งที่เขาทำมาๆ เขาบอก นี่ผลของการปฏิบัติ แล้วมีสิ่งใดแก้ไขหรือไม่
ถ้าสิ่งใดแก้ไขหรือไม่นะ ถ้าเรามีสติแล้วเรามีคำบริกรรมของเรา ถ้าแบบว่ามันไม่มั่นคง เราก็อยู่กับคำบริกรรมซะ ต่อเนื่องกันไป
แล้วนี่พอมันไป พิจารณาของเรา พิจารณา เพราะวันหนึ่งขณะที่จิตสงบได้สักระยะหนึ่งก็มองเห็นว่าร่างกายที่ตัวเองพิจารณาอยู่ ร่างกายในวัย ๔๐ นี้ นี่ปัญญามันพิจารณาไป ผลที่มันตอบ ไอ้นี่คือธรรม พลันมีเสียงตอบเลยว่าเป็นธรรมๆ
เป็นธรรมเพราะเราพิจารณาร่างกาย พิจารณาร่างกายที่มันสลดมันสังเวช พิจารณาไปมันเป็นธรรม เป็นธรรมแล้ว พอมันเป็นธรรมขึ้นมา ผลวิบากที่ได้รับจากการว่าเป็นธรรมนั้นมันมหัศจรรย์ มันเห็นคุณค่า ไม่เคยได้ประสบสิ่งนี้มาเลย เขาว่านะ มันเลยมหัศจรรย์จริงๆ แล้วความมหัศจรรย์นี้มันแค่สัมผัสแค่เล็กน้อย
ใช่ คำว่า “สัมผัสแค่เล็กน้อย” เราทำได้แค่นี้ไง ถ้าสัมผัสแค่เล็กน้อย เราก็สัมผัสของเราได้แค่นี้ ถ้าสัมผัสของเราได้แค่นี้ นี่ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก เป็นสัจจะเป็นความจริง แล้วไม่ใช่เกิดจากตำรา ไม่ใช่เกิดจากการศึกษามาจากใคร ไม่ใช่เกิดมาจากการฟังหลวงพ่อบอกด้วย
เพราะว่า จากใจดวงหนึ่ง ใจของครูบาอาจารย์ก็เป็นของท่าน แล้วจากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่ง สู่ใจดวงหนึ่งบอกวิธีการ อีกใจดวงหนึ่งที่มันเป็นสัจจะเป็นความจริง นี่ใจสู่ใจ ใจมันเป็นความจริงขึ้นมา นี่ก็เป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก เป็นข้อเท็จจริงไง เวลาเป็นข้อเท็จจริงอย่างนี้มันถึงมหัศจรรย์ไง
เราก็ฟังนะ มหัศจรรย์ๆ แล้วเมื่อไหร่กูจะมหัศจรรย์สักทีวะ
นี่เวลามันเป็นจริงแล้วมันเป็นจริง นี่มันเป็นปัจจัตตัง นี่เป็นสัจจะเป็นความจริง เป็นความจริงของร่างกายเรา
ฉะนั้นที่บอกว่า ถ้ามีข้อผิดพลาดที่ต้องแก้ไขประการใด ขอให้หลวงพ่อช่วยแนะนำด้วย
ข้อแก้ไขก็มีสติสัมปชัญญะต่อเนื่องไป เวลาจิตมันเจริญแล้วเราก็ดูแลรักษา เวลามันเสื่อมมันก็เสื่อมตามสภาพของมันนะ มันจะไม่เสื่อมไม่ได้หรอก มันจะเสื่อมตามสภาพของมัน ถ้าเสื่อมอย่างไรก็เรื่องของมัน เราก็มีการปฏิบัติของเรา มีกำหนดพุทโธของเรา มีใช้ปัญญาของเรา
ถ้าเรามีการปฏิบัติของเรา มีสติปัญญาของเรา มันจะเสื่อมไปได้อย่างไร เพราะเหตุ เหตุที่ว่าเรารักษาอยู่ เหตุที่เราส่งเสริมขึ้นไป ถ้ามันเป็นจริงนะ แต่โดยธรรมชาติ โดยธรรมชาติของมันเลย ถ้ามันยังไม่สมุจเฉท มันจะเสื่อมของมันแน่นอน ต้องเสื่อม
คำว่า “เสื่อม” นะ เพราะมันเป็นอนิจจัง มันแปรปรวนของมันไง โดยตัวของมันเองก็ด้วย โดยความประมาทก็ด้วย โดยขาดสติก็ด้วย โดยขาดการรักษาก็ด้วย มันต้องเป็นไปอย่างนั้น แต่เราก็ปฏิบัติของเราต่อเนื่องไปๆ ผลของการปฏิบัติ ถ้าผลของการปฏิบัติมันจะเป็นความจริงของมัน จบ
ถาม : เรื่อง “ขอความเมตตาท่านอาจารย์สอบถามเรื่องการภาวนาเจ้าค่ะ”
กราบนมัสการพระอาจารย์ที่เคารพอย่างสูง โยมขอความเมตตาจากท่านอาจารย์สอบถามเรื่องการภาวนาเจ้าค่ะ โยมเริ่มปฏิบัติภาวนามา ๒๕-๓๐ ปีแล้วเจ้าค่ะ การปฏิบัติของโยมเริ่มจากการภาวนาพุทโธและการพิจารณาดูอสุภะอสุภังเพื่อดูขันธ์ ๕
พอตีขันธ์ ๕ แตกแล้ว คือเห็นเน่าก่อนตายที่จิต จากนั้นสมาธิก็เกิดขึ้นที่จิต แล้วปัญญาฆ่ากิเลสก็ตามมา จากนั้นก็มีการเกิดดับๆ เกิดขึ้น
ซึ่งแต่ก่อนตอนที่โยมปฏิบัติอยู่กับท่านอาจารย์พระมหาบัว ทำไมจิตมันห้าวหาญคึกคัก มันไม่ค่อยหลับ ไม่ค่อยพักผ่อน บังคับให้นอนก็ไม่นอน จะใช้พุทโธเข้าสมาธิ พุทโธก็หาย มีแต่ความเกิดดับๆ ที่จิต ลงที่จิตหมด พุทโธ ธัมโม สังโฆไม่รู้ไปไหน ดูแต่การเกิดดับที่จิตอย่างเดียว จิตมันทำงานอัตโนมัติ สติปัญญาเป็นอัตโนมัติหมดเลย ถึงเวลาท่านก็ทำงาน ถึงเวลาหยุดก็หายไปไหนก็ไม่รู้ พยายามดูจิต ดูไปดูมาจิตหายไปไหนก็ไม่รู้ พอถึงเวลาท่านก็ทำงาน เป็นอย่างนี้มาตลอด
โยมอยากจะทราบว่า การปฏิบัติของโยมนั้นทำผิดหรือถูกอย่างไร อยากจะขอความเมตตาท่านอาจารย์โปรดชี้แนะและแก้ไขด้วยค่ะ
หมายเหตุ : เนื่องจากโยมอายุ ๘๘ ปีแล้ว สังขารไม่อำนวย ไม่สามารถเดินทางไปกราบท่านอาจารย์ได้ด้วยตนเอง จึงขอท่านอาจารย์โปรดสงเคราะห์เมตตาและชี้แนะในทางปฏิบัติให้โยมด้วยเจ้าค่ะ กราบขอบพระคุณอย่างสูง
ตอบ : ไอ้นี่พูดถึงคำถามเนาะ คำถามนี้มันถามมา ถามมาด้วยความสงสัย เริ่มต้นถึงการประพฤติปฏิบัติว่าพิจารณาอสุภะ ดูอสุภะเป็นอสุภัง ดูขันธ์ ๕ จนตีขันธ์ ๕ แตก เห็นมันเน่าก่อนมันจะตาย จากนั้นสมาธิมันก็เกิดดับๆ
สิ่งที่พูดมานี้มันเป็นหลักการในการภาวนา แล้วถ้าเวลาเราภาวนาๆ อยู่นี่นะ เวลาเราภาวนาอยู่ เขาบอกว่าเขาภาวนาอยู่กับหลวงตามา ๒๕-๓๐ ปีแล้ว ฉะนั้นบอกว่า ทำไมตอนอยู่กับหลวงตามันสงบระงับ มันดีไปหมดเลย
ดีสิ มันดีเพราะเราอยู่กับอาจารย์ไง เวลาอยู่กับอาจารย์ อาจารย์คุ้มครองดูแลเรา มันก็ดูดีไปหมดน่ะ
แล้วอยู่กับหลวงตามา ๒๕-๓๐ ปี
เวลาอยู่กับหลวงตา หลวงตาท่านมีคุณธรรมในใจของท่าน เวลาท่านแสดงธรรมๆ ธรรมะของท่านปกครองคุ้มหัวของลูกศิษย์ทั้งหมดไง บารมีธรรมของท่านคุ้มครองหัวใจของผู้อยู่รอบข้างให้มันร่มเย็นๆ ไง กิเลสมันไม่กล้าโผล่มาหรอก กิเลสเรามันกลัวบารมีธรรมของหลวงตาพระมหาบัว มันก็เลยสงบไง
อยู่กับหลวงตามา ๒๕ ปี ๓๐ ปี โอ้โฮ! มีความร่มเย็นเป็นสุข มีความองอาจ มีความกล้าหาญ มีความสุขมาก แต่เวลาหลวงตาพระมหาบัวท่านนิพพานไปแล้ว พอนิพพานไปแล้ว ตอนนี้โยมภาวนามันมีแต่เกิดดับๆ มันเป็นอัตโนมัติ
คำว่า “เป็นอัตโนมัติๆ” คำว่า “อัตโนมัติ” เวลาหลวงตาท่านพูดนะ ท่านแสดงธรรมๆ มันต้องมีเหตุมีผล การขุดคุ้ยหากิเลสเป็นงานชนิดหนึ่ง การใช้สติปัญญาในธรรมจักรนั่นเป็นชนิดหนึ่ง ผลของการที่ใช้ปัญญาพิจารณาแล้วเวลามันขาดไปเป็นผลอีกชนิดหนึ่ง ชนิดหนึ่งๆ มีเหตุและผล มีเหตุและผลมาตลอด
แต่เวลาท่านแสดงธรรมๆ ของท่านไปนะ จากเรื่องหยาบๆ ปุถุชน กัลยาณชน เรื่องโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล เวลายกขึ้นไปท่านบอก มันละเอียดๆ ละเอียดเข้าไปจนอสุภะอสุภัง อสุภะอสุภังคือการพิจารณากามราคะ เวลากามราคะมันขาด ขันธ์อย่างละเอียดขาดจากจิตไปแล้ว ทีนี้มันเป็นปัญญาญาณ มันเป็นญาณหยั่งรู้ นี่ในอวิชชา นั่นน่ะท่านบอกว่ามันเหมือนอัตโนมัติเลย มันเหมือนอัตโนมัติเลย
คำว่า “อัตโนมัติของท่าน” คือมันละเอียด มันมีการใช้ปัญญาอย่างหยาบๆ มาเป็นพื้นฐาน ปัญญาอย่างกลางส่งต่อขึ้นมาถึงปัญญาอย่างกลาง เวลาส่งต่อขึ้นไปถึงปัญญาอย่างละเอียด ละเอียด มันเหมือนอัตโนมัติเลยแต่ไม่ใช่อัตโนมัติ แต่มันเหมือนอัตโนมัติเพราะมันอธิบายได้ยากไง
ฉะนั้นบอกว่า มันเป็นอัตโนมัติ พอเป็นอัตโนมัติเราบอกว่าเกิดดับๆ เป็นอัตโนมัติ
คำว่า “อัตโนมัติ” เวลาในวงการพระนะ เวลาเขาสอบเรื่องธรรมวินัย เรื่องวินัยเวลาใครผิด บอก มันเป็นอัตโนมัติ คือไม่มีที่มาที่ไป ทำผิดก็ไม่รู้ว่าผิด ทำถูกก็ไม่รู้ว่าถูก เป็นอัตโนมัติ อัตโนมัติคือความพอใจของตน ถ้าตนพอใจนั้นเป็นอัตโนมัติ
อัตโนมัติมันไม่มีเหตุไม่มีผล คำว่า “ไม่มีเหตุไม่มีผล” สิ่งที่โยมปฏิบัติมา ๒๕-๓๐ ปี ปฏิบัติมาเป็นบุญเป็นกุศลในการประพฤติปฏิบัติ เป็นบุญเป็นกุศลในการถือศีล ไปวัดไปวาถือศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ ไปถือศีล ถือศีล ถือภาคปฏิบัติ เวลาปฏิบัติก็ปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเวลาที่หลวงตาพระมหาบัวท่านยังมีชีวิตอยู่ โยมได้อยู่กับหลวงตามา บารมีธรรมของท่านคุ้มครองปกป้องดูแลมา
นี่เขาถามไง ทำไมเวลาอยู่กับหลวงตา จิตมันห้าวหาญ มันไม่ค่อยหลับไม่ค่อยนอนเลย
ไม่หลับไม่นอนเพราะว่าท่านกระตุ้นไง เวลาฟังธรรมๆ ขึ้นมาแล้วเราก็อยากได้คุณธรรมอย่างนั้น อยากได้ความเป็นจริงอย่างนั้น มันมีครูบาอาจารย์คอยกระตุ้น คอยให้กำลังใจ คอยคุ้มครองดูแล มันดีไปหมดเลย เวลาครูบาอาจารย์ท่านล่วงไปแล้วนะ เราจะต้องดูแลตัวเราเองแล้วล่ะ ถ้าเราดูแลตัวเราเอง เห็นไหม
สิ่งที่ว่า เวลาดูการเกิดดับที่จิตอย่างเดียว จิตที่ทำงานอัตโนมัติ สติปัญญาเป็นอัตโนมัติ มันเป็นอัตโนมัติไปหมดเลย
อัตโนมัติมันก็หมุนของมันอยู่อย่างนี้ เหมือนเครื่องจักรมันก็หมุนอยู่อย่างนี้ แล้วมันจะเริ่มต้นงานตรงไหน ท่ามกลางที่ไหน แล้วสิ้นสุดที่ตรงไหนล่ะ อัตโนมัติๆ อยู่อย่างนั้นน่ะ คำว่า “อัตโนมัติ” มันเลยบอกว่า เป็นการบอกว่า มันไม่มีเหตุไม่มีผล
คำว่า “ไม่มีเหตุไม่มีผล” นะ การขุดคุ้ยหางานของตน ถ้ามันได้งานของตนแล้วมันพิจารณาของมันไป เวลามันปล่อยวางๆ ชั่วคราวๆ มันของชั่วคราว ชั่วคราว ตทังคปหานมันชั่วคราวๆ
คำว่า “ชั่วคราว” มันไม่มีสิ่งใดย่อยสลาย ไม่มีกิเลสตัวไหนหลุดจากจิตไปเลย ไม่มีสิ่งใดที่เราได้ทำเลย เพียงแต่ว่ามันมาหลบมาซ่อน มันตทังคปหาน มันปล่อยชั่วคราวๆ ไง แล้วเดี๋ยวมันก็ฟูขึ้นมา เหมือนหญ้า ถากหญ้า หินทับหญ้าๆ พอเอาหินออก หญ้ามันก็งอก
นี่ก็เหมือนกัน ตอนนี้ถ้าคำว่า “อัตโนมัติ” แสดงว่า เรายังไม่ได้สมบัติที่เป็นสมบัติของเราแม้แต่ชิ้นเดียว แล้วถ้าเราจะเอาสมบัติของเราเป็นชิ้นเดียวนะ ถ้าเรามีสมบัติของเราแล้วนะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน พระอานนท์เป็นพระโสดาบันนะ ร้องไห้คร่ำครวญอยู่นั่นน่ะ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถามพระ “ภิกษุทั้งหลาย อานท์ไปไหน”
“พระอานนท์ไปกอดกลอนประตูร้องไห้อยู่นั่นพระเจ้าค่ะ”
“เรียกอานนท์มา”
พอพระอานนท์กลับเข้าไปกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
“อานนท์ เธอเป็นอะไรไป”
“ข้าพเจ้ายังมีกิเลสในหัวใจ ข้าพเจ้ายังต้องการผู้ชี้นำ ข้าพเจ้ายังต้องการผู้คุ้มครองดูแล”
“อานนท์ เราบอกเธอแล้วไม่ใช่หรือ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายทั้งปวงต้องดับไปเป็นธรรมดา แม้เราตถาคตก็ต้องนิพพานในคืนนี้ เธออย่าเสียใจไปเลย อย่าเสียใจไปเลย”
นี่ปลอบแล้วนะ “เธออย่าเสียใจไปเลย อย่าเสียใจไปเลย เรานิพพานไปแล้ว อีก ๓ เดือนข้างหน้าเขาจะมีสังคายนา เธอจะได้เป็นพระอรหันต์ในวันนั้น เธอจะได้เป็นพระอรหันต์ในวันนั้น”
เวลาพระอานนท์นะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน ยังคร่ำครวญ ยังร้องไห้คร่ำครวญอยากให้คนชี้นำ อยากให้คนคุ้มครองดูแล
ไอ้นี่ก็เหมือนกัน เวลาเราอยู่กับครูบาอาจารย์ อยู่กับหลวงตาพระมหาบัวท่านคุ้มครองท่านดูแล คำถามมันฟ้องไง คำถามบอกเลย เวลาอยู่กับหลวงตาพระมหาบัวมา ๒๕ ปี ๓๐ ปี มันห้าวหาญ มันอาจหาญ มันคึกคัก ไม่เคยหลับไม่เคยนอนเลย
ไม่เคยหลับไม่เคยนอนนี่เป็นผลการปฏิบัติ แต่คุณสมบัติไง เวลาหลวงตาท่านสอน สอนให้เป็นผู้นำๆ สอนให้รู้จริงในใจของตนไง ผู้รู้จริงอยู่แล้ว ความจริงในใจแล้วมันเป็นความจริงตลอดไปไง ถ้าตอนนั้นพยายามซ้ำแล้วซ้ำเล่าๆ ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมานะ ถ้าเวลามันขาด ขาดขึ้นไปมันจะเป็นชิ้นเป็นตอนเลย
เราเคยอยู่กับหลวงตาเหมือนกัน เวลาท่านเทศน์ เราก็พยายามจะทำความเข้าใจ ทำความเข้าใจไง เริ่มต้นก็เข้าใจได้ เข้าใจได้เพราะเราก็พอทำเป็นไง แต่พอไปๆ ไม่รู้เรื่องนะ ฟังน่ะฟังเข้าใจ แต่ทำไมเราไม่มีคุณสมบัติอย่างนั้น
เหมือนกับที่ว่า คนทานอาหารที่อร่อย เฮ้ย! เราก็ทานอยู่แต่ไม่เห็นอร่อยเลย ไม่เห็นอร่อยเพราะอาหารไม่เหมือนกันไง ของท่านอาหารประณีต ของเราก็ผักต้มเท่านั้นน่ะ ผักต้มจิ้มน้ำพริก ผักต้มจิ้มน้ำพริก ไอ้ของท่านเลอเลิศไปหมดเลย
มันรู้ไม่ได้หรอก ถ้าคนมันไม่มีความจริงนะ มันรู้เท่าไม่ได้หรอก
เวลาหลวงตาท่านพูดไง “ไม่รู้ ถามไม่ได้ ไม่รู้ ตอบไม่ได้”
ไอ้นี่เหมือนกัน ไม่รู้ แต่อยู่กับท่าน ท่านคุ้มครองดูแล เวลาท่านล่วงไปแล้ว ทีนี้ขอความเมตตา
ขอความเมตตาก็สาธุ เราก็เป็นนักปฏิบัติคนหนึ่ง เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนาแล้วมีบุญกุศลด้วย ได้อยู่ประพฤติปฏิบัติกับหลวงตามา ๒๕-๓๐ ปี แล้วความร่มเย็นเป็นสุขอันนั้นก็ด้วยบารมีธรรมของท่าน แล้วเราก็พยายามประพฤติปฏิบัติ ที่ว่าเราพยายามประพฤติปฏิบัติๆ แต่เวลาประพฤติปฏิบัติมันต้องย้อนเข้ามาดูใจของตน
เวลาฟังเทศน์อยู่กับหลวงตา ฟังเทศน์หลวงตาก็สาธุ พอหลวงตาท่านเทศน์จบ เราก็กลับมาเข้าทางจงกรม เราก็พยายามทำให้มันเป็นจริงขึ้นมา ซ้ำแล้วซ้ำเล่าๆ ให้มันเป็นจริงไง
แต่นี่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าๆ แต่เป็นอัตโนมัติ
อัตโนมัติ เพราะไม่รู้ถึงบอกว่าอัตโนมัติ ถ้ามันรู้มันต้องบอกสิ พิจารณากาย พิจารณาอสุภะอสุภัง พิจารณาเป็นอสุภะอสุภังนะ แล้วพิจารณาขันธ์ ๕ นะ เวลาพิจารณาไปแล้ว พอตีขันธ์ ๕ แตก เขาบอกว่าเขาพิจารณาจนตีขันธ์ ๕ แตก
เวลาตีขันธ์ ๕ แตก ความคิดเรา เห็นไหม ไม่อยากเอ่ยชื่อ มีอาจารย์องค์หนึ่งเวลาสอนลูกศิษย์สอนอย่างนี้ ให้เป็นปม แล้วให้ใช้ปัญญา แล้วให้นั่งร่วมกัน พิจารณาร่วมกัน ถ้าใครขบปัญญาแตก โสดาบัน ขบแตก ขบปัญหาแตกไง ขบปัญหาแตกก็เป็นโสดาบัน ขบปัญหาแตกก็เป็นสกิทาคามี ขบปัญหาแตกก็เป็นอนาคามี ขบปัญหาแตกก็เป็นพระอรหันต์
เวลาสุดท้ายแล้วเขาไม่เชื่อ เขาบอกว่า ก็เหมือนกับที่ชลบุรี ถ้าเอ็งไม่อยาก เอ็งเป็นโสดาบัน ถ้าเอ็งอยาก เอ็งอด
นี่เป็นอารมณ์ ตัดสินกันด้วยอารมณ์ไง ตัดสินกันที่ความคิดหยาบๆ นี่ไง ตั้งประเด็นธรรมะแล้วใครขบแตก ใครตอบปัญหาได้ ก็ดูในทิเบต ตบมือปั๊บๆ ตอบกันอยู่นั่นน่ะ ตอบอยู่นั่น ไอ้นี่มันก็เหมือนข้อสอบตอบปัญหาธรรมะ ถ้าตอบปัญหาธรรมะก็เท่านั้นน่ะ แต่มันก็เป็นให้คนฉลาดขึ้น คนฉลาดขึ้นแต่กิเลสมันก็ฉลาดตามไปด้วย มันไม่ได้ฆ่ากิเลสอะไรเลย
ฉะนั้น สิ่งที่ว่า ขบปัญหาแตกๆ ตีขันธ์ ๕ แตก
ถ้าตีขันธ์ ๕ แตกด้วยสติด้วยปัญญาโดยสัมมาทิฏฐินะ ก็ปัญญาอบรมสมาธิไง
เวลามันคิดสิ่งใด คิดเท่าไรก็ไม่รู้ ต้องหยุดคิด เวลาใช้ปัญญาไปมันก็หยุดคิด หยุดก็คือตีขันธ์ ๕ แตกไง ขันธ์ ๕ มันก็ขันธ์ ๕ หยาบๆ นี่ไง ขันธ์ ๕ ก็รูปความคิดนี้ไง
แล้วเวลามันแตกแล้วเป็นอย่างไร
โอ๋ย! มันเห็น มันเน่า มันต่างๆ
ไอ้คำพูดคำถามอย่างนี้มันมีมาโดยดั้งเดิม มีมาโดยสัญญา โดยโลก แต่เวลาหลวงตา ครูบาอาจารย์ท่านสอนอะไร ถ้าการประพฤติปฏิบัติขาดสติ เป็นสักแต่ว่าทำ ไม่เป็นสัมมาทิฏฐิ
ในการเดินจงกรม ในการนั่งสมาธิ ในการภาวนา ต้องมีสติพร้อมระลึกรู้ตัวตลอดไปเสมอ ต้องมีสติพร้อมเสมอกับการประพฤติปฏิบัติทั้งสิ้น จิตเป็นสมาธิต้องรู้ว่าจิตเป็นสมาธิ จิตยกขึ้นสู่วิปัสสนาต้องรู้ว่ายกขึ้นสู่วิปัสสนา แล้ววิปัสสนาสิ่งใดก็ด้วยสติด้วยปัญญาสมบูรณ์แบบ
เวลาพิจารณาไปแล้วเวลามันปล่อยมันวางขึ้นมาน่ะรู้ เวลามันเน่ามันอะไรน่ะรู้ แต่มันปล่อยชั่วคราวๆ มันเลยเป็นอัตโนมัติอยู่นี่ไง
แต่ถ้ามันเป็นความจริงนะ เวลาปล่อยวางชั่วคราวก็รู้ เวลามันสรุปลงแล้ว เวลาจะสมุจเฉทปหาน เวลาขาด เวลาขาด ทุกข์ สมุทัย นิโรธ นิโรธคือการดับทุกข์ นิโรธ ถ้ามันขาดน่ะมันนิโรธ นิโรธคือขาด ขาดคือนิโรธ นิโรธคือขณะ ขณะคือนิโรธ นี่ผลของมัน ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ๘ นี่ชัดๆ ถ้าอย่างนี้ชัดๆ แล้วนะ มันไม่เป็นอัตโนมัติหรอก
ถ้าว่าเป็นอัตโนมัติๆ สิ่งนี้มันก็ล่วงมาแล้ว จากสติปัญญาของเราที่เราว่าเราได้ปฏิบัติกับท่าน แล้วเราปฏิบัติของเราอย่างนี้ มันปฏิบัติอย่างนี้
แต่ด้วยบุญกุศลนะ ได้ไปอยู่กับหลวงตา ๓๐ ปี อยู่กับท่าน ท่านคุ้มครองดูแลเราโดยบารมีธรรมของท่าน เราก็เลยนึกว่า อู๋ย! สุดยอด เราเก่งกล้า เป็นอินทรีย์ยิ่งใหญ่
เวลาท่านล่วงไปแล้วไง เวลาท่านล่วงไปแล้ว ท่านล่วงไปแล้ว สิ่งที่ผ่านไปแล้วนั่นคือบุญกุศลของเรา แล้วเขาบอกว่า ตอนนี้โยมอายุ ๘๘ แล้ว ไม่มีความสามารถจะไปไหนได้ แม้แต่จะไปหาหลวงพ่อ
ไม่ต้อง ให้ปฏิบัติ ถ้านอนอยู่บนเตียงก็นอนพุทโธไปเลย ติดเตียงก็ภาวนาได้ คนป่วยก็ภาวนาได้ แล้วถ้าภาวนานะ ถ้ามันเห็นโทษขึ้นมามันไม่ส่งออก ไม่ส่งออก ทวนกระแสกลับเข้าไปสู่ใจของตน จะเอาปัจจัตตัง สันทิฏฐิโกในการปฏิบัติธรรมจากผลงานของเรา จากผลงานของจิตของเรา
จิตของเราที่สงบระงับแล้ว แล้วประพฤติปฏิบัติ เราต้องการปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก ต้องการผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมของเรา ถ้าเป็นของเราแล้วนะ สิ่งที่อยู่กับครูบาอาจารย์มา หลวงตาท่านเทศน์ทุกวัน เช้า สาย บ่าย เย็น แต่เวลาใครไปฟังเทศน์ก็ “นี่เหมือนกันเลย เหมือนกันเลย”
กิเลสมันปลิ้นปล้อน หลวงตาพูดอะไร เราก็จะเป็นอย่างนั้น หลวงตาท่านบอกว่าดีอย่างไร เราก็เป็นคนดีอย่างนั้น หลวงตาบอกว่าเป็นคนเลว ไอ้พวกเลว ไอ้พวกเข้ามาทำลาย ไอ้นั่นเป็นคนเลวแต่ไม่ใช่เรา เราไม่เป็นอย่างนั้น ถ้าดี เราเป็นอย่างนั้น ถ้าเลว ไม่ใช่ คนอื่น นี่คือโลกธรรม ๘ หมดเลย เราไม่ได้เป็นอย่างนั้น
นี่พูดถึงว่าเวลาเป็นไปแล้ว สิ่งที่ว่าตีขันธ์ ๕ แตก ขันธ์ ๕ แตกเพราะมันเป็นปัญญาของเราไง
ถ้าขันธ์ ๕ แตกนะ ถ้าขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่ทุกข์ ทุกข์ไม่ใช่ขันธ์ ๕ สักกายทิฏฐิมันขาด ถ้ามันขาดไปนะ โอ้โฮ! ธรรมะคือธรรมะ ธรรมเหมือนธรรม ธรรมอันเดียวกัน ธรรมไม่มีแตกต่าง
ถ้าธรรมไม่มีแตกต่างนะ มันจะไม่มีคำว่า “อัตโนมัติ” ไง คำว่า “อัตโนมัติ” มันไม่มี ไม่มีเริ่มต้น ท่ามกลาง และที่สุดที่เป็นผลงานของจิตนั้น
จิตนั้นมันต้องมีเริ่มต้น ท่ามกลาง และที่สุดในการกระทำ ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ มันต้องมีเหตุผลสมบูรณ์ของมัน ถ้าเหตุผลสมบูรณ์ของมัน เวลามันขาดก็รู้ว่าขาด ถ้าขาดแล้วจบเลย กราบหลวงตาแล้วกราบหลวงตาเล่า
เวลาหลวงตาท่านสิ้นกิเลส มีพระหนุ่มๆ องค์หนึ่งกราบแล้วกราบเล่าๆ กราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วหลวงตาเวลาท่านเล่าเอง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านรู้ได้อย่างไร เพราะเราขนาดมีหลวงปู่มั่น มีครูบาอาจารย์เป็นผู้เป่ากระหม่อมมามันยังเถียง มันยังจับผลัดจับผลูอยู่อย่างนี้
แต่ด้วยอำนาจวาสนาที่ได้อยู่กับหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น อยู่กับครูบาอาจารย์มา ถึงที่สุดแล้วท่านก็ทำจิตใจของท่านถึงที่สุดแห่งทุกข์ไง ถึงที่สุดแห่งทุกข์ ท่านเห็นคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง ถึงกราบแล้วกราบเล่าๆ ไง
นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเวลาพิจารณาขันธ์ ๕ จนมันแตกมันขาดตามความเป็นจริงนะ จะไม่มีความเดือดร้อนในใจเลยล่ะ พาดกระแสแล้วนะ อย่างไรมันก็พาดกระแส คำว่า “พาดกระแส” มันก็มีคุณธรรมในใจไง
แล้วคำว่า “พาดกระแส” จะบอกว่า จิตมันทำงานโดยอัตโนมัติ สติทำงานโดยอัตโนมัติ ปัญญาทำงานโดยอัตโนมัติ นี่พูดไม่ได้หรอก คนถ้าบอกว่าอัตโนมัติ แสดงว่าเราไม่มีความรู้อะไรเลย ไม่มีเริ่มต้น ท่ามกลาง และที่สุด
อัตโนมัติ ความรู้ของเรา ความรู้ของเรานี้ก็เป็นสามัญสำนึก โลกียะไง รู้แบบโลกๆ ไง รู้แบบการศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง แต่ไม่ได้รู้โดยภาคปฏิบัติไง
ถ้ารู้โดยภาคปฏิบัตินะ โอ้โฮ! มันสุดยอด มันสุดยอดของมัน เพราะอะไร เพราะอวดอุตตริมนุสสธรรม มันเป็นธรรมเหนือมนุษย์ เหนือสามโลกธาตุ ถ้ามันเป็นธรรมๆ นะ ธรรมเหนือโลก เหนือสามโลกธาตุ เหนือตำรับตำรา เหนือวิชาการ เหนือทุกอย่าง เพราะมันเป็นธรรมจริงๆ มันเป็นธรรมแท้ มันถึงไม่เป็นอัตโนมัติไง มันเป็นข้อเท็จจริง
ฉะนั้นถึงบอกว่า “หมายเหตุ : เนื่องจากโยมอายุ ๘๘ แล้ว สังขารไม่อำนวย ไม่สามารถเดินทางไปกราบหลวงพ่อได้ ขอท่านหลวงพ่อโปรดสงเคราะห์เมตตาชี้แนะแนวทางปฏิบัติให้โยมด้วย”
ไม่ต้องทำอะไรเลย หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธอยู่อย่างนี้ พยายามจะหายใจชัดๆ อยู่กับพุทโธๆๆ ไป แล้วพอพุทโธแล้ว เราปรับพื้นที่แล้วมันแสดงตามความเป็นจริงเลย
แล้วปฏิบัติมา ๓๐ ปีแล้ว พุทโธๆ ถ้าสมาธิมันมั่นคงนะ ปัญญามันเกิดขึ้นมานะ มันจะตอบโจทย์ตัวเองหมดเลย มันจะแก้สงสัยไง มันจะแก้สงสัยในใจของโยมเองนี่
เพราะตอนนี้โยมปฏิบัติมา ๓๐ ปี อยู่กับหลวงตามา ๓๐ ปี แล้วเวลาหลวงตาท่านเทศน์ ตอนหลวงตาท่านอยู่ เพราะหลวงตาอยู่ ไม่กล้าเถียงไง พอหลวงตาอยู่ กิเลสมันไม่กล้าโผล่มาไง เวลาหลวงตาอยู่ กิเลสมันลีบเลยล่ะ มันหลบอยู่ในใจของโยมไง พอหลวงตาตายไปแล้วกิเลสมันครองใจเลย มันถึงได้สงสัยไง แล้วที่ปฏิบัติมานี่มันเป็นบาทฐานมันเป็นพื้นฐานที่โยมมีอยู่ในใจอยู่แล้ว แต่กำลังมันไม่พอไง
โยมหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ หรือพุทโธๆๆ ทำอย่างนี้
ตอนนี้โยมไม่ต้องใช้ปัญญาอะไรเลย โยมใช้หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ พุทโธๆๆ จนจิตมันสงบแล้วมีกำลัง ถ้าจิตสงบแล้วมีกำลัง สิ่งที่มันฝึกมา ๓๐ ปีมันจะเป็นแนวทางเป็นพื้นฐาน เป็นพื้นฐานที่อยู่กับหลวงตา
หลวงตาได้มอบอาวุธให้แล้ว มอบอาวุธ มอบวิธีการ เราได้เห็นหลวงตาทำสิ่งใด มีประสบการณ์อย่างไร เราเห็นหมดแล้ว แต่เราไม่มีกำลัง คือไม่มีสมาธิ ไม่มีพื้นฐานไง
ถ้ามีสมาธิ มีพื้นฐานนะ อยู่กับหลวงตามา ๓๐ ปี หลวงตาเทศน์อะไร หลวงตาทำอะไร โยมก็เห็นหมดแล้ว ถ้าเห็นหมดแล้ว พอจิตมันสงบแล้ว ปัญญาที่มันเกิดขึ้น ปัญญาที่มันเกิดขึ้นนะ นี่ไง สิ่งสิ่งนี้มันจะเป็นประโยชน์กับโยมไง
แล้วทีนี้มันก็จะเริ่มต้นแล้ว เริ่มต้นขุดคุ้ยหามันให้เจอ พอเจอแล้วใช้ปัญญาต่อไปมันก็เป็นท่ามกลางและที่สุดไง มันก็มาเหตุและผลไง ไม่ใช่อัตโนมัติ ไม่ใช่ ถ้าอัตโนมัตินะ จบ
ธรรมะเป็นอัตโนมัติ กฎหมายเป็นอัตโนมัติ วินัยเป็นอัตโนมัติ พระโดยทั่วไปถือวินัย ถ้าบอกว่าวินัยอัตโนมัตินะ พระเขายิ้มๆ เลย ถ้าวินัยอัตโนมัติก็ไม่ต้องมาแก้ไข ไม่ต้องมาแนะนำ เพราะฉันเป็นอัตโนมัติ คือไม่ฟังใคร อัตโนมัติคือไม่เอาอะไรเลย อยู่สบายๆ นี่เป็นอัตโนมัติ
ฉะนั้น เป็นอัตโนมัติ มันเป็นข้อเท็จจริงของใจ แล้วฝึกฝนใหม่ เอาใหม่เนาะ
ถ้าสิ่งที่ทำมาแล้วถ้าคิดว่ามันเป็นความจริง โยมก็อยู่กับข้อเท็จจริงนั้น แต่ถ้าจะพิสูจน์กัน หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ หรือพุทโธๆๆ บริกรรมไวๆ ใช้ปัญญาเห็นโทษ ปัญญาอบรมสมาธิก็ได้ ปัญญาอบรมสมาธิคือเห็นโทษของความคิด เห็นโทษของการหลงใหล เห็นโทษของการไม่เข้าใจ พิจารณาไปแล้วมันจะหดตัวเข้ามา
ความคิดทั้งหมดเป็นสมุทัย ผลของมันเป็นความทุกข์
ถ้าเป็นความทุกข์ เราพิจารณาของเรา ใช้ปัญญาอบรมสมาธิมันจะสงบเข้ามา
จิตเห็นจิตเป็นมรรค ผลจากการจิตเห็นจิตเป็นนิโรธ
นิโรธคือการดับทุกข์ นิโรธคือขณะจิตที่ทำลายกิเลสเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป แล้วมันจะเป็นประโยชน์กับเรา
ฝึกหัดอย่างนี้ ทำอย่างนี้ก่อนนะ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ หรือพุทโธถี่ๆ แล้วใช้ปัญญาอบรมสมาธิ แล้วถ้ายังสงสัยสิ่งใดให้เขียนมาใหม่นะ ถ้าสงสัยสิ่งใด ทบทวนแล้วฝึกหัดภาวนา มีปัญหา มีความสงสัยแล้วเขียนมาถามพระสงบได้ เพราะเป็นลูกศิษย์หลวงตาด้วยกัน เราเป็นชาวพุทธด้วยกัน สิ่งที่ช่วยเหลือเจือจานกันด้วยประสบการณ์นะ
จะบอกว่า หลวงพ่อน่ะพระเด็กๆ อย่ามาอวดรู้
อันนั้นก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ถ้าเป็นประสบการณ์ เป็นสิ่งที่เราสนทนาธรรมเป็นมงคลแห่งชีวิต อย่างนี้ถามมาได้
แต่ถ้าบอกว่า โอ๋ย! เด็กวานซืนจะมาสอนอะไรฉัน ฉันลูกศิษย์หลวงตาพระมหาบัวนะ
อย่างนี้ก็สาธุ เอวัง