เทศน์บนศาลา

สมาธิจิตบำบัด

๘ ก.พ. ๒๕๖๓

สมาธิจิตบำบัด

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

เทศน์บนศาลา วันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะ ตั้งใจฟังธรรมนะ วันนี้วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา วันนี้เป็นวันมาฆบูชา เป็นวันมาฆบูชาเห็นไหม ชาติที่นับถือพระพุทธศาสนา เขาจะเห็นเป็นวันสำคัญไง รัฐบาลให้เป็นวันหยุดเพื่อไปทำบุญกุศล

วันธรรมดาเขาก็ให้หยุดอยู่แล้ว แต่วันสำคัญทางพระพุทธศาสนานะ ให้ไปทำบุญ ทำบุญกุศล เพื่อให้บุคคลคนนั้นเป็นบุคคลที่มีศีลมีธรรม บุคคลที่มีศีลมีธรรมเป็นสังคมขึ้นมา สังคมนั้นจะร่มเย็นเป็นสุข สังคมจะร่มเย็นเป็นสุขนะ แต่ว่าคนเราเกิดมาสร้างเวรสร้างกรรมมาไม่เหมือนกัน อาจจะมีการขาดตกบกพร่อง อาจจะมีคนอุดมสมบูรณ์ต่างๆ เขาจะช่วยเหลือเจือจานกัน

วันสำคัญทางพระพุทธศาสนาให้ตอกย้ำ ตอกย้ำความเป็นชาวพุทธเรา ชาวพุทธเราว่าวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาเป็นการยืนยันว่า วันนี้วันที่พระอรหันต์ ๑,๒๕๐ องค์ ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยไม่ได้นัดโดยไม่ได้หมายกันไป แต่ไปด้วยความกตัญญูกตเวที ด้วยความระลึกถึงคุณของท่าน ด้วยความที่ไปกราบไหว้ครูบาอาจารย์ของตน

กราบไหว้ครูบาอาจารย์ของตนเพราะอะไร เพราะว่าเวลามันมืดมันบอด คนที่เจ็บไข้ได้ป่วย คนที่มีโรคภัยไข้เจ็บ คนที่หัวใจมันทุกข์มันยากแล้วมีคนมาทำให้หาย มีคนมาทำ มาชักนำ ด้วยการฝึกหัดจนหัวใจมันพ้นจากกิเลสไป พ้นจากกิเลสไปไง

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรมๆ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมขึ้นมาเห็นไหม พระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรม เป็นพระรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

เวลาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ขึ้นมา พระสงฆ์ที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมาจนสิ้นกิเลสไป พระสงฆ์ที่สิ้นกิเลส ๑,๒๕๐ องค์ ทั้งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มีกิเลสเลย แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ไง เราจะไม่ทำความชั่วใดๆ ทั้งสิ้น เราจะทำคุณงามความดีของเรา ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว เป็นพระอรหันต์มีความสุข วิมุตติสุข ไม่มีสิ่งใดมีค่าเท่านั้นเลย นั่นพระพุทธศาสนานะ

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์เป็นศาสดา พระสาวกที่ได้ยินได้ฟังประพฤติปฏิบัติเป็นพระอรหันต์ เป็นพระอรหันต์นะ นี่สัจธรรมธรรมะเหนือโลก เหนือวัฏฏะ เหนือสิ่งกิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจของคนที่บีบคั้นมา สอุปาทิเสสนิพพานพระอรหันต์ที่ยังดำรงชีพอยู่

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอุปาทิเสสนิพพาน เราฉันอาหารของนางสุชาดา เราถึงซึ่งกิเลสนิพพาน ฉันอาหารของนางสุชาดาแล้วประพฤติปฏิบัติเข้ามา พยายามทำความสงบของใจเข้ามา บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณทำลายอวิชชาในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราฉันอาหารของนางสุชาดา เราถึงซึ่งกิเลสนิพพาน กิเลสตายไปจากใจ

พระอรหันต์ ๑,๒๕๐ องค์ มีแต่คุณธรรม ธรรมเหนือโลก ธรรมที่ยิ่งใหญ่ ยิ่งใหญ่ที่ไหน ยิ่งใหญ่ในหัวใจที่เป็นปกติไง ยิ่งใหญ่ธรรมดาอยู่ที่ในใจดวงนั้น

เวลาถึงคราวสุดท้ายปลงอายุสังขารจะไปนิพพาน ไปฉันอาหารมื้อสุดท้ายของนายจุนทะ เราฉันอาหารของนายจุนทะ ถึงคืนนี้เราจะถึงซึ่งขันธนิพพาน ขันธนิพพานถ้าทางวิชาการก็เถียงกันปากเปียกปากแฉะ ขันธ์อะไรจะนิพพาน ขันธ์ ๕ หรือ

สอุปาทิเสสนิพพานพระอรหันต์ที่ยังมีเศษส่วนอยู่ ยังมีความรู้สึกมีความรู้นึกคิดอยู่ นี่เศษส่วน เกิดในสมมุติ เกิดในโลก เกิดสิ่งที่มีชีวิต เกิดสิ่งที่มีชีวิตกายกับใจๆ เกิดเป็นมนุษย์ไง มนุษย์มีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ไง มีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ประพฤติปฏิบัติไปจนถึงสิ้นกิเลส นี่กิเลสนิพพาน นี่สอุปาทิเสสนิพพานเพราะยังมีเศษส่วนคือขันธ์ ๕ ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ อยู่

เวลาจะถึงขันธนิพพาน ทิ้งมันคืนนี้ ตายด้วยความสุข ตายด้วยอุดมการณ์ ไม่หวั่นไม่ไหว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน ยังเทศน์เอาสุภัททะเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา ìเธออย่าถามให้มากไปเลย ศาสนาไหนก็ดีๆ ศาสนาไหนไม่มีมรรค ศาสนานั้นไม่มีผลî

ศาสนาไหนไม่มีมรรคไง ศาสนาไม่มีเหตุ ไม่มีการกระทำให้ถึงสิ้นสุดแห่งทุกข์ไง ศาสนาไหนไม่มีมรรค ศาสนานั้นไม่มีผล เธออย่าได้ถามมากไปเลย ให้พระอานนท์บวชเห็นไหม กำลังจะนิพพาน กำลังจะสิ้นชีวิต ยังเทศน์สอนแจ้วๆๆ เลย นี่ไง ถึงสิ่งที่ว่าขันธนิพพาน จบสิ้นกันที

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังดำรงพระชนม์ชีพอยู่ ใครๆ ก็ไปกราบไปไหว้ ไปฟังธรรมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นร่องเห็นรอยไง เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน พระอรหันต์ทั้งหมดเลย นั่งล้อมอยู่นั่นน่ะ จนสงบนิ่งอยู่

ìไม่ใช่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะนิพพานแล้วหรือî

พระอนุรุทธะผู้เลิศในทางรู้วาระจิต ìยัง ขณะนี้กำลังเข้าปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน เข้าอากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะî เวลาเข้าฌานสมาบัติ เวลาระหว่างกึ่งกลาง เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านิพพาน ìใช่ บัดนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วî

นี่วิมุตติสุข วิมุตติสุขไง จะบอกว่าพระอรหันต์มีอุดมสมบูรณ์ในใจพร้อม มันไม่มีอะไรไปกดไปถ่วง มันไม่มีสิ่งใดไปอยากได้อยากดีกับใครทั้งสิ้น เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอรหันต์ ๖๐ องค์ไง พ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและบ่วงที่เป็นทิพย์

บ่วงที่เป็นโลกๆ ชื่อเสียงกิตติศักดิ์ กิตติคุณ คนเยินยอ คนยกย่องสรรเสริญ นี่บ่วงทางโลก อยากดัง อยากใหญ่ อยากมีหน้าอยากมีตา

บ่วงทางทิพย์เห็นไหม พ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและบ่วงที่เป็นทิพย์ แล้วจะมีอะไรในหัวใจนั้น มันมีแต่ความสุข ความสงบ มีแต่ดีงามทั้งสิ้น แล้วชาวพุทธบริษัท ๔ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา มันยังมีที่พึ่งที่อาศัย มีแต่ความร่มเย็นเป็นสุข มีแต่สัจจะความจริง ทำบุญกุศลแล้วได้บุญกุศลเต็มที่ไง เป็นเนื้อนาของโลกไง

แล้วเวลาครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมๆ ท่านสั่งสอนสิ่งใด ทำสิ่งใด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหนึ่งไม่มีสอง พูดคำไหนเป็นคำนั้น พูดเป็นความจริงทั้งสิ้น

พระอรหันต์ที่เป็นความจริงในหัวใจท่านก็รู้ของท่านตามความเป็นจริงอันนั้น ท่านพูดสิ่งใดขึ้นมาก็เพื่อประโยชน์กับบริษัท ๔ บริษัท ๔ ที่ขวนขวายมีการกระทำอันนี้ มันมีแต่ความสุข มันมีแต่ความจริงๆ มันไม่มีกะล่อนปลิ้นปล้อน ไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้เสียหาย ไม่มี

แต่ศาสนามันเผยแผ่มากไป เผยแผ่ต่อเนื่องไป คนเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนามันก็มีจริงมีปลอมมาบ้าง ปลอมบวชก็มี สิ่งใดก็มี ในสมัยพุทธกาลก็มีในสมัยพระเจ้าอโศกเห็นไหม จับสึกๆ จับสึกเยอะแยะไปหมด นั้นเวลาปลอมบวช เห็นแก่ลาภ เห็นแก่สักการะ เพื่อบวชเข้ามา เพื่อมีเครื่องแบบ แล้วก็แสวงหาความสุขในศาสนาไง  มันก็มีปัญหาต่อเนื่องกันมาตลอด

         วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา หมายความว่า พระอรหันต์ ,๒๕๐ องค์ นี่เป็นพระอรหันต์ล้วนๆ แล้วพระอรหันต์ล้วนๆ นั้นมันมีความร่มเย็นเป็นสุขเป็นสัจจะเป็นความจริง เป็นประกาศยืนยันว่ามันมีอยู่จริง แล้วเวลามีการกระทำ กระทำต่อเนื่องๆ มา

เวลามันเศร้าหมอง เวลายุคสมัยมันผ่านพ้นไป ìกึ่งพุทธกาลศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่งî ถ้ามีการเจริญอีกหนหนึ่งต้องมีผู้มีบุญมาเกิด เวลาผู้มีบุญมาเกิด เกิดแล้วเกิดเล่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านก็เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะเวลามาเกิดเป็นหลวงปู่มั่น เป็นเด็กชายมั่น แต่ท่านมีความมั่นคงในพระพุทธศาสนา ท่านก็บวชเณรหนหนึ่ง สึกไปช่วยทางครอบครัว 

หลวงปู่เสาร์ท่านก็คอยเฝ้าคอยระวังไปเอากลับมาบวชใหม่ พอบวชเป็นพระขึ้นมาแล้วนี่ บวชเป็นพระแล้วหลวงปู่เสาร์ท่านก็จับอบรมสั่งสอน อบรมสั่งสอน ฟังสิ! อบรมสั่งสอน อบรมสั่งสอนเพราะอะไร เพราะคนบวชมานี่เรามาจากปุถุชน ดูเด็กน้อยสิ เด็กเกิดขึ้นมานี่กว่าจะมีความรู้ กว่าจะเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมา เขามีประสบการณ์สิ่งใด เขาชอบสิ่งใด 

นี่ก็เหมือนกัน เวลาจะบวชเป็นพระขึ้นมา บวชเป็นพระ บวชขึ้นมาด้วยญัตติจตุตถกรรม เป็นสงฆ์โดยสมมุติไง พอเป็นสงฆ์โดยสมมุติแล้ว จะเป็นสงฆ์ตามความเป็นจริงขึ้นมามันต้องฝึกหัดปฏิบัติไง การฝึกหัดปฏิบัติขึ้นมานี่ถ้ามันฝึกหัดปฏิบัติตามความเป็นจริงขึ้นมาได้ ครูบาอาจารย์เราท่านทำด้วยความเป็นจริง ล้มลุกคลุกคลานขนาดไหน ท่านก็พยายามของท่านไง

นี่คนบุญ คนบุญไง คนบุญคนมาเกิดเห็นไหม คนบุญคนมาเกิดมันต้องมีอำนาจวาสนา มันต้องมีจุดยืนของมันไง อะไรที่ไม่เป็นความจริงคัดออก คัดออกไง

แต่ถ้าคนไม่มีอำนาจวาสนา ทั้งจริงทั้งปลอมมันมั่วสุมกันอยู่ในใจนั่นน่ะ ทั้งดี ทั้งเท็จ แล้วแยกถูกแยกผิดไม่ได้ แล้วล้มลุกคลุกคลานอยู่อย่างนั้น แล้วเจริญก้าวหน้าไปก็ไม่ได้

         แต่ถ้าเป็นคนบุญ คนเราเกิดมามันมีอวิชชา อวิชชาคือความไม่รู้ ความไม่รู้ในข้อเท็จจริงนั้น ความไม่รู้ในสัจธรรมนั้น โลกเจริญด้วยการศึกษาๆ การศึกษามาเห็นไหม ศึกษามาเพื่อเป็นวิชาชีพทางโลกนี่ศึกษามา คนมีการศึกษามามากน้อยขนาดไหนก็แล้วแต่ แต่คนคนนั้นก็มีความทุกข์ความยาก มีกิเลสตัณหาความทะยานอยากเหมือนกัน

นี่ก็เหมือนกัน เราก็มาศึกษาพระพุทธศาสนา เวลาศึกษาพระพุทธศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมและวินัยนี้ไว้ มันมีอยู่แล้วนะ

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อค้น ค้นคว้าขึ้นมา มันไม่มีเลย พอมันไม่มีเลย ไปศึกษากับใครก็แล้วแต่ เขาก็อบรมสั่งสอนไปในแนวทางลัทธิความเชื่อของเขา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าศึกษามาทั้งสิ้น มีอำนาจวาสนาแล้วมันไม่มี จนที่สุดแล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องมาประพฤติปฏิบัติเอง มาค้นคว้าเอง ค้นคว้าเองเพราะอะไร

ค้นคว้าเอง เพราะพระโพธิสัตว์เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะสร้างแต่คุณงามความดีมาทั้งสิ้น สร้างแต่คุณงามความดีมีแต่เมตตากรุณา มีแต่เมตตาคุณ แบ่งปันให้กับสัตว์โลกไว้ ได้ช่วยเหลือได้เจือจานกับสัตว์โลกไว้ เตรียมพร้อมไว้ๆ เตรียมพร้อมไว้ถึงเวลาท่านมาเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ นี่ไง

เวลาเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะมีอำนาจวาสนาในหัวใจของตนๆ จะรื้อค้น จะรื้อค้นออกมา รื้อค้นไปศึกษามาแล้ว ศึกษามาแล้วก็ยังเรื่องของโลก เรื่องของโลกมันไม่มีความจริง มันเป็นโลกียปัญญา ปัญญาของโลก ฤๅษีชีไพรจะมีฌานมีสมาบัติขนาดไหน มันก็เป็นเรื่องของโลกไง มันไม่เกิดปัญญาขึ้นมาไง

ถ้าเกิดปัญญาขึ้นมา เกิดปัญญาๆ ปัญญาที่เกิด เวลาทำความสงบของใจเข้ามา ใจที่มันเข้าสู่หัวใจของตน ทวนกระแสกลับเข้าไปที่ใจนั้น แล้วเกิดปัญญาจากภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากจิตนั้น เกิดจากจิตนั้นทำลายอวิชชาในปฏิสนธิในจิตดวงนั้น พอสำรอกคายมันออกมันมหัศจรรย์ๆ มันเป็นความจริงในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาแสดงธรรมๆ อบรมบ่มเพาะ เอหิภิกขุบวชให้ บวชให้แล้วก็อบรมสั่งสอนไง มีทิฏฐิมีความเห็นผิดก็ชักนำมาให้มันถูกต้อง

ถ้าภาวนาไปแล้ว ถ้าสิ่งใดที่มันอ่อนแอไป สิ่งใดที่มันไม่สมควรแก่การเป็นสัจจะความจริงก็พยายามส่งเสริมสิ่งนั้นไง สิ่งนั้นขึ้นมาแต่ละองค์ๆ แต่ละองค์เวลาสำเร็จมาเป็นพระอรหันต์มีความถนัดแตกต่างกัน ตั้งให้เอตทัคคะในทางถนัดแตกต่างกันไป แต่ความถนัดแตกต่างกันไป สิ่งที่มันจะถนัดแตกต่างกันไปมันต้องชำระกิเลสให้กิเลสนั้นสิ้นไปก่อน

เวลากิเลสสิ้นไปก่อนเห็นไหม โดยความแง่งอนในใจมันไม่มี มันจะไปแง่งอนทำไม เพราะความแง่งอนนั้นเป็นเรื่องของกิเลสไง แล้วถ้ากิเลสมันตายไปแล้วมันจะมีอะไรมาแง่มางอนไง มันไม่มีสิ่งใดเป็นหลุมพรางสิ่งใดที่หลอกลวงหัวใจดวงนั้น ถ้าหัวใจดวงนั้นมันพ้นไปแล้ว มันอิ่มเต็มในใจดวงนั้นอยู่แล้ว

พระอัญญาโกณฑัญญะเวลาเป็นพระอรหันต์ท่านไปอยู่ในป่าในเขา ไม่ได้สอนใครเลยๆ นี่ไง อยู่ที่วาสนาไง แต่เวลาพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ ท่านสร้างอำนาจวาสนาของท่านมา เวลาสร้างอำนาจวาสนาของท่านมานี่จะเป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายและเบื้องขวา ต้องสร้างอำนาจวาสนา คือสร้างมา คือฝึกฝนพันธุกรรมของจิต ทำให้จิตใจมันเข้มแข็ง จิตใจให้มันมีสติปัญญาที่สามารถจะทำงานอย่างนั้นได้

เวลามาเนี่ย เวลาจะมาบวชกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ìนี่ไง อัครสาวกเบื้องซ้าย เบื้องขวาเรามาแล้วî ยังไม่ทันสำเร็จเป็นพระอรหันต์นะ เวลาอบรมสั่งสอน สั่งสอนพระโมคคัลลานะจนสิ้นกิเลสไป สั่งสอนพระสารีบุตรจนสิ้นกิเลสไป แล้วเวลาแต่งตั้งขึ้นมา แต่งตั้งให้เป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายและเบื้องขวา เป็นธรรมเสนาบดีเพื่อจรรโลงพระพุทธศาสนา

นี่ไง พระโมคคัลลานะมีฤทธิ์มีเดชขึ้นมา เพื่อปรับทัศนคติของผู้เห็นผิดๆ ความเห็นผิดมันเกิดจากใจดวงนี้ไง เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาความเห็นผิด ผิดในหัวใจของตน กิเลสตัณหาความทะยานอยากไง ถ้ากิเลสตัณหาความทะยานอยาก คนที่มันมีกิเลสหนามันคล้อยตามไป มันว่าสิ่งนั้นเป็นความจริง

เวลาครูบาอาจารย์ของเราไม่เป็นอย่างนั้น เวลาประพฤติปฏิบัติพยายามขวนขวาย พยายามทำให้มันเป็นความจริงขึ้นมา ผู้ที่ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม สมควรแก่ธรรมฝึกหัดค้นคว้าการประพฤติปฏิบัติขึ้นมาให้มันเป็นจริงๆ ขึ้นมา เป็นจริงที่ไหน เป็นจริงมันเป็นจริงที่หัวใจ เป็นจริงที่มีสติสัมปชัญญะ

เราคนทำเอง เราเป็นคนพิสูจน์เอง มันจะเป็นจริงหรือไม่เป็นจริง เราค้นคว้าหาหัวใจของเราอยู่นี่เองไง แล้วมันเป็นจริงหรือเปล่าล่ะ มันเป็นอารมณ์หรือมันเป็นจิต มันเป็นสัจจะหรือไม่เป็นสัจจะ แล้วเวลาภาวนาไปแล้ว สงบแล้ว เวลาออกมาแล้วไม่มีอะไรดีขึ้นเลย มันไม่ใช่ มันต้องแสวงหาพยายามตรวจสอบ พยายามค้นคว้าว่าสิ่งที่มันไปขัดไปข้องมันเป็นเพราะอะไร

มันไปข้องเห็นไหม ทุกอย่างมันมีบวกและมีลบทั้งสิ้น สิ่งที่มีบวกมีลบ ถ้ามันมากเกินไปมันก็ไม่ดี ถ้ามันน้อยเกินไปมันก็จะเป็นสัจจะความจริงไม่ได้ สิ่งที่ตรวจสอบแล้วตรวจสอบอีก ถึงเวลาแล้วเวลาลาพระโพธิสัตว์แล้วไง

เวลาจิตสงบแล้ว พอจิตสงบแล้วนะ เวลาตำรับตำราก็มี เวลาท่านมีหลวงปู่เสาร์คอยชักนำขึ้นมา เวลามันเป็นความจริงขึ้นมานะ มันพิจารณากายของมันโดยเห็นตามสัจจะความจริงของมัน

การพิจารณากายๆ เขาใช้จิตพิจารณาในแนวทางสติปัฏฐาน ๔ ในแนวทางสติปัฏฐาน ๔ จิตสงบแล้วถ้าเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง ความเห็นอันนั้นมันเห็นกิเลส เห็นกิเลสเพราะอะไร เพราะมันสั่นไหวไปถึงกิเลสไง

แต่ในการประพฤติปฏิบัติในสำนักปฏิบัติทั่วๆ ไป ในแนวทางสติปัฏฐาน ๔ มันนึก มันคิด มันปรุง มันแต่งได้ทั้งสิ้น มันเป็นไปได้ทั้งนั้นแหละ ถ้ามันนึก มันแต่ง มันปรุงขึ้นมาแล้ว มันก็เหมือนอยู่ที่วุฒิภาวะของใจ ทำแล้วได้ประโยชน์หรือไม่ได้ประโยชน์

ถ้าคำว่า ìได้ประโยชน์ขึ้นมาî คนเรามันทุกข์มันยาก โดยธรรมชาติของเรา ชาติปิ ทุกฺขา การเกิดเป็นทุกข์อย่างยิ่ง เวลาเกิดเป็นทุกข์อย่างยิ่งแล้ว เราเกิดแล้ว เราต้องมีหน้าที่การงานของเรา เราก็พยายามทำหน้าที่การงานของเรา ทำแล้วประสบความสำเร็จหรือไม่ประสบความสำเร็จ มันจะให้ผลเป็นทุกข์อีกชั้นหนึ่ง เพราะมันไม่สมหวังไม่สมความปรารถนาของเรา มันน้อยเนื้อต่ำใจ

แต่ถ้าเรามีสติปัญญา เราใช้สติ พยายามฝึกหัดหัวใจของตน ถ้ามันฉลาดขึ้นๆ ไอ้ความน้อยเนื้อต่ำใจมันก็เห็นเป็นไปตามกรรม สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม กมฺมพนฺธุ กมฺมปฏิสรโณ กรรมเป็นเผ่าพันธุ์ กรรมเป็นแดนเกิด กรรมเป็นที่พึ่งอาศัย การกระทำนั้น แล้วกรรมเก่า กรรมใหม่ มันสืบเนื่องกันมา

ถ้ามันมีสติปัญญามันใคร่ครวญแล้ว ความทุกข์นั้นมันก็ไม่เข้ามาเผาลนจนเกินไปนัก แล้วเวลาธรรมสัจจะความจริงเป็นความจริงขึ้นมา หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านสอนให้ทำความสงบใจเข้ามาก่อน ถ้าใจสงบระงับขึ้นมานี่ ความว่าทำความสงบใจเข้ามาก่อน แล้วใจมันจะสงบหรือไม่

โดยธรรมชาติของกิเลสมันยุมันแหย่ตลอดเวลา คนเราทุกข์ ทุกข์เพราะความคิด ความรู้สึกนึกคิดของเรานี่มันคิดขึ้นมาแล้วมันทำลายตัวเราทั้งสิ้น เพราะอะไร เพราะมันคิดด้วยกิเลสไง ถ้าคนที่มีศรัทธาจริตถ้าเห็นคุณค่า ส่วนใหญ่คนเกิดมา เกิดมาเป็นชาวพุทธ ชาวพุทธก็ชาวพุทธที่ทะเบียนบ้าน แล้วเวลาไปวัดไปวาก็ไปขอลาภขอหวย ลาภที่ไม่ควรได้

เวลาเป็นชาวพุทธ ชาวพุทธเห็นไหม ดูสิ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านแท้จริง เวลาท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมาท่านก็ขวนขวายเอาชีวิตของท่านแลกมา เวลาเอาชีวิตของท่านแลกมาแล้วท่านประสบความสำเร็จของท่าน ท่านปฏิบัติแล้วเห็นไหม สิ่งใดที่ไม่เข้าใจ สิ่งใดที่ว่าพ้นยุคพ้นสมัยท่านก็ใช้ความสามารถของท่าน

เวลาท่านสิ้นกิเลส พอสิ้นกิเลสไปเห็นไหม มีพระอรหันต์สมัยพุทธกาลสมัยต่างๆ มาอำนวยอวยพร มาชี้แนวทาง มาให้เห็นข้อปฏิบัติขึ้นมา นี่มันเป็นการสืบต่อ สืบต่อจากธรรม ธรรมกับธรรมมันเข้าถึงกัน  เพราะมันเป็นความจริงเหมือนกัน

ถ้าความจริงเข้าสู่กับความจริงไง ไม่ใช่ความจอมปลอม ความจอมปลอมแล้วแต่คิด แล้วแต่จินตนาการ แล้วแต่ความเห็นของตนว่าทิฏฐิมานะความเห็นของตนนี่มันถูกต้อง คนที่ไม่เห็นเหมือนเราคนนั้นเป็นคนโง่ คนนั้นเป็นคนที่ไม่มีอำนาจวาสนา นี่ไปเพ่งโทษแต่คนอื่นไง แต่ตัวเองก็ทำด้วยทิฏฐิมานะของตน ไม่เป็นความจริงสักอัน

แต่ถ้าเป็นความจริงๆ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านทำของท่านเป็นความจริงของท่านขึ้นมา เป็นประโยชน์กับตัวท่านก่อน เป็นประโยชน์กับตัวท่านเพราะอะไร เพราะคนเกิดมามีกิเลส คำว่า ìมีกิเลสî กิเลสคือพญามาร พญามารมันทั้งหลอกทั้งล่อ ทั้งเหยียบทั้งย่ำ ทั้งทำลาย มันทำลายทั้งสิ้น มันอาศัยหัวใจของสัตว์โลกอยู่นะ แล้วมันไม่เกรงใจเลย มันทำแต่ให้ดวงใจนั้นมีความทุกข์ ความทุกข์ทั้งนั้น

แล้วเวลาเป็นความทุกข์นะ มันเป็นผลของวัฏฏะไง มันเป็นเรื่องธรรมชาติไง จิตที่มันเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะไง มันมีเวรมีกรรมมากน้อยขนาดไหนก็แล้วแต่ คนที่สร้างเวรสร้างกรรมขึ้นมาไปกว้านเอาแต่บาปมาใส่หัวใจของตน มันก็เกิดแต่ผลของกรรม เวลามันคิดถึงสิ่งใดแล้วมันเหยียบ มันย่ำ มันทำลายทั้งสิ้น 

คนเรามันมีกิเลสบีบคั้นในหัวใจอยู่แล้ว ถ้าคนมีกิเลสบีบคั้นในหัวใจ นี่ผู้ที่จะประพฤติปฏิบัติแต่ถ้าเกิดในวัฏฏะแล้วมันไม่มีอำนาจวาสนา มันก็จะแสวงหาความสุขในชีวิตไง แสวงหาความสุขในชีวิตว่าสิ่งนั้นเป็นความสุขๆ นั่นเพราะทัศนคติมันมองอย่างนั้น

แต่คนที่มีอำนาจวาสนานะ ทุกคนก็มีสิทธิเสรีภาพเสมอกัน ทุกคนก็ทำอย่างนั้นได้ทั้งสิ้น แล้วทุกคนมันก็จะตายไปโดยไม่มีสิ่งใดเป็นชิ้นเป็นอันกับชีวิตนี้ แล้วถ้ามันจะตายไปโดยไม่มีสิ่งใดเป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมานี่ เขาก็มีสติมีปัญญาแสวงหาความจริง

ถ้าแสวงหาความจริง ความจริงมันกลับเป็นนามธรรม ความจริงมันกลับเป็นความรู้สึกในใจ ความรู้สึกๆ ไง จิตแก้จิต เอาอย่างอื่นไปแก้ไม่ได้ สิ่งที่เห็นไหม เวลาทางโลกเขาติดสินบนๆ เขาเอาแต่ผลประโยชน์ไป ไปเพื่อแลกเปลี่ยนกับผลประโยชน์ของเขา แต่อันนี้เราจะซื่อสัตย์กับใจของเราไง เราจะมีการกระทำของเราไง

ถ้าเรามีการกระทำของเรา ถ้ามันเป็นความจริง หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านวางข้อวัตรปฏิบัติไว้ให้เป็นเครื่องอยู่ของใจๆ ถ้าเป็นเครื่องอยู่ของใจนะ เราประพฤติปฏิบัติให้ใจมันเกาะเกี่ยวนี้ไว้ แล้วเวลามันทำด้วยความศรัทธาความเชื่อมันมีความสุข มีความสุขเพราะอะไร เพราะเราเคารพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาเราประพฤติตามข้อวัตรปฏิบัติ เราก็ทำบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง

ìธรรมและวินัยเป็นศาสดาของเรา ธรรมและวินัยเป็นศาสดาของเราî

ข้อวัตรปฏิบัติมันมีอยู่แล้ว แต่เพราะว่าสังคมปล่อยปละละเลย ทำให้ลืมเลือนไป แต่เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านกลับมาฟื้นฟู ฟื้นฟูเพราะท่านต้องการสร้างธรรมทายาท สร้างธรรมทายาทจะเอาอะไรไปสร้าง? ไม่มีแนวทางในการปฏิบัติจะเอาอะไรไปสร้าง?

ท่านจะสร้างธรรมทายาท เพราะท่านได้ประพฤติปฏิบัติจนถึงที่สุดแห่งทุกข์ ท่านมีวิมุตติสุขในใจแน่นอน ท่านมีคุณธรรมในใจ ท่านมีธรรมเหนือโลกในใจของท่าน พ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและบ่วงที่เป็นทิพย์

แต่ที่การขวนขวาย การกระทำของท่านทำด้วยความเป็นธรรม ทำโดยการสร้างธรรมทายาท ทำโดยการเห็นคุณกับธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเราเกิดในธรรมๆ ไง ไม่มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่มีแก้วสารพัดนึก เราจะปฏิบัติอย่างไร

ขณะที่การปฏิบัติมันมีอยู่แล้ว มันยังล้มลุกคลุกคลานขนาดนั้น แต่ด้วยอำนาจวาสนาของท่าน ท่านก็บุกเบิกมาจนที่สุดแห่งทุกข์ไปได้ พอถึงที่สุดแห่งทุกข์ไปได้นี่วางธรรมและวินัยนี้ไว้ วางข้อวัตรปฏิบัติต่อเนื่องกันมา เรามีข้อวัตรปฏิบัติต่อเนื่อง เราก็ทำเพื่อเป็นเครื่องอยู่ๆ ของใจ ถ้าเครื่องอยู่ของใจ พอเครื่องอยู่ของใจ ใจมันก็สร้างวุฒิภาวะของมันมากขึ้น

ถ้าสร้างวุฒิภาวะมามากขึ้น จากเครื่องอยู่ของใจมันก็มาอยู่คำบริกรรม คำบริกรรมมันเป็นนามธรรมแล้วเข้ามาสู่ใจ ถ้าเข้ามาสู่ใจแล้ว เวลาคำบริกรรม ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ มันเป็นไปได้หรือไม่ได้ ถ้ามันเป็นไปได้มันก็มีความสุข ความสงบ ความระงับชั่วคราว  

เริ่มต้นจากความเป็นอยู่โดยชีวิตประจำวัน เราก็อยู่กับข้อวัตร ข้อวัตรเป็นเครื่องอยู่ให้หัวใจมันอยู่ที่นี่ อย่าให้มันคิดไปนอกเรื่อง เวลาจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันก็มีคำบริกรรม หายใจเข้านึกพุธ หายใจออกโธ เพื่อมีนวกรรม มีการกระทำ

ใจไม่มีการกระทำมันจะสงบเข้ามาได้อย่างไร เพราะกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันขับดันตลอด ความคิดโดยกิเลส ความคิดโดยสามัญสำนึกมันขับดันตลอด

แต่พอเราใช้คำบริกรรม สิ่งที่มันจะขับดันมันเป็นพุทธานุสติ กลับว่าเราใกล้ชิดองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับหัวใจเราจะเป็นอันเดียวกัน ถ้าเราพุทโธ จนพุทโธไม่ได้ พุทโธไม่ได้ๆ ตัวมันเองเป็นพุทโธเสียเอง

เวลาจิตมันสงบระงับขึ้นมาแล้ว ถ้าจิตสงบระงับแล้วน้อมไปๆ ฝึกหัดใช้ปัญญาๆ สมาธิแก้กิเลสไม่ได้ แต่ไม่มีสมาธิมันจะเกิดภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากจิต จิตที่เป็นปัจจุบันธรรม ปัจจุบันเป็นภาวนามยปัญญาเกิดมาไม่ได้

นี่ไง มันเป็นชั้นเป็นตอนเข้ามา ถ้าเป็นชั้นเป็นตอนเข้ามา หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านถึงสอนให้ทำสมาธิ ทำสมาธิก่อน สมาธิแก้กิเลสไม่ได้ แต่คนที่เป็นปุถุชนคนหนา เวลากิเลสมันฟุ้งมันซ่าน เวลากิเลสมันครอบงำ ความคิดมันทำลายตัวเอง มันมีแต่ความทุกข์ ความทุกข์ทั้งนั้น

เวลามันใช้คำบริกรรม หายใจเข้านึกพุท หายใจออกโธ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ มันจะพ้นจากความคิดที่มันเคยคิดทุกข์คิดยาก ให้มันอยู่กับพุทโธซะ เวลามันคิดมันทุกข์ยากให้มันอยู่กับปัญญาอบรมสมาธิซะ เวลามันปล่อยวางอย่างนั้น ปล่อยวางจากความรู้สึกนึกคิดที่มันขับดันออกมา มันก็มาอยู่กับพุทโธ พุทโธจนพุทโธไม่ได้ มันก็เป็นตัวของมันเอง

จากข้อวัตรปฏิบัตินะ จากที่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านวางแนวทางปฏิบัติไว้ ให้ทำความสงบใจเข้ามาก่อน พอใจสงบระงับเข้ามา เดี๋ยวก็เจริญแล้วเสื่อมๆ ก็ฝึกหัดๆ ให้มั่นคงขึ้นมา พอมั่นคงขึ้นมาๆ มั่นคงขึ้นมา สมาธิแก้กิเลสไม่ได้ แต่มีสมาธิแล้วฝึกหัดใช้ปัญญาๆ นี่วิปัสสนาอ่อนๆ มันเกิดตรงนี้ เวลาใจสงบแล้วมันใช้ปัญญาของมัน ใช้ปัญญาโดยยังไม่เห็นสติปัฏฐาน ๔

แต่เวลาถ้ามันสงบแล้วมันเห็นสติปัฏฐาน ๔ นะ มันสะเทือนหัวใจ การสะเทือนหัวใจนี่มันเห็นเลยแหละ อ้อ! อันนี้กิเลส กิเลสรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร ถ้าคนเห็นกาย โอ๊ะ! มันสะเทือนหัวใจเลย ถ้าคนจับเวทนาได้ เวทนา เวทนาก็คืออาการของใจ อาการที่เกิดขึ้นจากใจ นี่ไง ปัญญาเกิดจากจิตๆ พิจารณากาย พิจารณาเวทนา พิจารณาจิต พิจารณาธรรม เวลาธรรมารมณ์ๆ ธรรมที่เกิดขึ้น

มันไม่ใช่ว่าเหยียดย่างแล้วจะรู้ไปหมด ใช้ความคิดปกตินี่เรารู้ธรรมๆ มันเป็นไปไม่ได้หรอก นี่ที่โลกียปัญญาๆ ก็โลกๆ คิดโดยสามัญสำนึก คิดโดยโลกไง

นี่ไง สอุปาทิเสสนิพพาน นี่ขันธ์ ขันธ์ที่มันเป็นขันธมาร ปุถุชนคนหนามนุษย์นี่ความคิดเป็นมาร แต่พระอรหันต์นะ ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา เป็นภาระหน้าที่ไม่มีมาร พระอรหันต์ไม่มีมาร ความคิดไม่ใช่มาร และไม่มีมารด้วย

แต่ปุถุชนคนหนานี่ความคิดเป็นมาร เพราะความคิดปนกิเลส กิเลสมันครอบงำมา มันถึงเป็นมารไง ฉะนั้น เวลาถ้าจิตมันสงบแล้ว ถ้ามันจับ จับต้องมันเห็นได้ มันเห็นมารไง เพราะมันจับได้ มันสะเทือนกิเลสไง

บอก ìกิเลสตัวมันเป็นอย่างไร ไปจับมันได้อย่างไร มันเป็นนามธรรม จับกิเลสไม่ได้î จับกิเลสไม่ได้ก็ไม่เคยเห็นกิเลส จับกิเลสไม่ได้ก็เริ่มต้น ท่ามกลาง ที่สุดไม่ได้ ถ้าจับกิเลสไม่ได้ เพราะไม่เห็นกิเลส ไม่จับกิเลส ไม่รู้จักกิเลส

แต่เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านสอนเป็นข้อเท็จจริง เพราะท่านเป็นพระอรหันต์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดาเป็นพระอรหันต์ ครูบาอาจารย์นี่พระอรหันต์ ๑,๒๕๐ องค์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ฝึกสอนมาเองเป็นพระอรหันต์ พระอรหันต์กับพระอรหันต์เข้าใจกันหมด เข้าใจกันได้ แล้วร่มเย็นเป็นสุข

ìเราจะไม่ทำความชั่วใดๆ ทั้งสิ้น เราจะทำคุณงามความดี เราจะทำจิตใจให้ผ่องแผ้วî นี่อุดมการณ์ของพระอรหันต์ ไม่มีไปเบียดเบียน ไม่มีทำลายใครทั้งสิ้น เป็นประโยชน์ทั้งหมด

แต่เรายังทำไม่ถึงไง แต่ถ้าเราทำถึงของเรา เราจะรู้จะเห็นของเราขึ้นไป เวลาถ้ามันจับได้ นี่ไง แนวทางสติปัฏฐาน ๔ ในวงกรรมฐานเขาเริ่มต้นตั้งแต่ตรงนี้  เริ่มต้นตั้งแต่ทำสมาธิ

ìสมาธิแก้กิเลสไม่ได้ สมาธิแก้กิเลสไม่ได้î แต่ถ้าไม่มีสมาธิจะไม่มีทางได้เห็นแนวทางสติปัฏฐาน ๔ โดยข้อเท็จจริง

ไอ้ที่ทำกันนั้นพร่ำเพ้อทั้งนั้น เป็นโรค เป็นไข้สูง จนเพ้อ ละเมอ ไข้ขึ้นสูง นี่เป็นการบ่นเพ้อกันไป ไม่มีอะไรเป็นจริงเลย แต่แนวทางสติปัฏฐาน ๔ ลูบๆ คลำๆ พอเป็นพิธี ทำเป็นพอเป็นพิธี พิธีในพระพุทธศาสนาว่าพระพุทธศาสนาสอนเรื่องปริยัติ ปฏิบัติ ก็จะปฏิบัติกัน ปฏิบัติกันพอเป็นพิธี

วันนี้สำคัญทางพระพุทธศาสนา พระอรหันต์ ๑,๒๕๐ องค์ ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ทั้งสิ้น แล้วสังคมพระอรหันต์ พระอรหันต์ด้วยกันมันจะมีการขัดการแย้งเป็นไปไม่ได้หรอก ไม่มี ไม่มี เพราะอะไร

เพราะว่าวิมุตติสุขๆ ความสุขมันแน่นอนอยู่แล้ว เวลาพระอรหันต์ที่โต้แย้งกันเรื่องตามความถนัดไง ตกลงแล้วไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยกัน นี่เอตทัคคะ ๘๐ อย่าง  นั่นน่ะมาทีหลัง สิ่งที่สำคัญที่สุดอาสวักขยญาณ อรหัตมรรคทำลายกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ทำลายอวิชชา นั่นเป็นอรหัตผล มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ อันนั้นสำคัญที่สุด สิ่งที่สำคัญที่สุดคือมรรค ๔ ผล ๔ อันนี้สำคัญที่สุด

สิ่งที่รู้ที่เห็นมันตามมาทีหลัง นี่เอตทัคคะที่มีความชำนาญต่างๆ เป็นความชำนาญจากการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะแล้วได้สร้างบุญสร้างกรรมมาแตกต่างกัน

สสารในโลกนี้แร่ธาตุที่แตกต่างกัน สายแร่ เวลาเขาไปเจอสายแร่ทองคำ ไปเจอเหมืองถ่านหิน สายแร่มันมาแตกต่างกัน มันมีคุณค่าแตกต่างกัน มันใช้ผลประโยชน์ได้แตกต่างกัน แต่มันเป็นธาตุ ธาตุดินประจำโลก

นี่ไง ก็พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานหัวใจไง หัวใจเวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันเป็นสัจจะเป็นความจริงอันนี้ไง ถ้าเป็นสัจจะเป็นความจริงอันนี้ เวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริงเป็นมรรคเป็นผลขึ้นมา มันมีเหตุมีผลขึ้นมาไง

นี่ไง สมาธิแก้กิเลสไม่ได้ ไม่มีสมาธิ จะไม่มีสมาธิไม่มีตัวตนของเรา ไม่มีจิตของเราจะไปภาวนาอะไรกัน จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะไม่มีใครรู้ใครเห็นมัน

เวลาทำสมาธิขึ้นมาได้ อ๋อ! แล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนาได้หรือไม่ได้ นี่อยู่ที่วาสนา

คำว่า ìอยู่ที่วาสนาî คือว่าได้สร้างบุญสร้างกรรมมามากน้อยแค่ไหน ถ้ามันได้สร้างบุญสร้างกรรมมามากแค่ไหน มันมีสติมีปัญญา มีความเฉลียวใจ มีประเด็นให้ค้นคว้าจนได้ พอค้นคว้าจนได้ พอเห็นสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริง เอ้อเฮ้อ! นั่นล่ะ ยกขึ้นสู่วิปัสสนา

ถ้ายกขึ้นสู่วิปัสสนานะ ในแนวทางประพฤติปฏิบัติมันยังต้องไปอีกมากมายมหาศาลเลย มันถึงจะเป็นมรรค ๔ ผล ๔ จนถึงที่สุด จนเป็นพระอรหันต์ ๑,๒๕๐ องค์ มาเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง

แต่มีแนวทางปฏิบัติที่ล้มลุกคลุกคลาน มีแนวทางปฏิบัติที่มีความเห็นของตนเป็นใหญ่ไง นี่ไง สมาธิหลับตา สมาธิลืมตาไง หลับตาลืมตา แค่สมาธิยังหลับตาลืมตาได้อย่างไร นี่ถ้ามันหลับตาลืมตา พระอรหันต์ ๑,๒๕๐ องค์ ไม่พูดอย่างนี้หรอก เพราะสมาธิเป็นบาทเป็นฐาน สมาธิโดยสามัญสำนึกของคน

เวลาคนเกิดมาเห็นไหม คนที่มีอำนาจวาสนาเกิดมา เกิดมาแล้วมีอวัยวะ ๓๒ ประการสมบูรณ์เป็นมนุษย์โดยปกติ เวลาคนเกิดมานะ เป็นพิกลพิการก็มี คนเกิดมา เด็กเกิดมาเห็นไหม กว่าจะรู้ได้ว่านี่เป็นเด็กพิเศษ หมอมีการรักษา เวลาเป็นเด็กขึ้นมา สมาธิสั้น สมาธิยาว สมาธิสั้นเห็นไหม เด็กสมาธิสั้น เขามีทางรักษา

เราเกิดมาเห็นไหม เกิดมาจิตเป็นผิดปกติ จิตผิดปกติเห็นไหม ในปัจจุบันนี้โลกเจริญขึ้น ทางการแพทย์เจริญขึ้น ทางจิตบำบัดเขามี ถ้าจิตบำบัดของเขา เขาก็บำบัดของเขา แล้วจิตบำบัดขึ้นมา ทางการแพทย์ทางวิชาการเขารู้เลยว่านี่โรคอะไร ซึมเศร้า ซึมเศร้ามากน้อยขนาดไหน เวลาซึมเศร้าขึ้นมา คนที่ซึมเศร้าขึ้นมา เขาก็หายาของเขา หมอรักษาของเขา แล้วบางคนเป็นซึมเศร้ามา ๒๐ ๓๐ ปี บางคนเป็นซึมเศร้าแล้วหายได้แล้ว  เพราะอะไร เพราะว่ารักษาทางการแพทย์ไง

เวลาคนที่เจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาแล้ว เราเกิดมา เรามีกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของเรา เราก็อยากมีธรรมโอสถเพื่อรักษาหัวใจของเรา ถ้ามีธรรมโอสถรักษาใจเรานะ ถ้าใจเรามีอำนาจวาสนาขึ้นมาก็ประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริง

ศีล สมาธิ ปัญญา มรรค ๔ ผล ๔ การปฏิบัติขึ้นมาด้วยความเป็นจริง แล้วเวลาครูที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันมีธรรมโอสถ เวลาธรรมโอสถ ธรรมโอสถคือเจ็บไข้ได้ป่วยแล้วใช้คุณธรรม ใช้สมาธิบำบัดเยอะแยะไป นั่นอันนั้นเป็นกรณีพิเศษ ไม่ใช่อริยสัจ เวลาจิตมันผิดปกติไง

ถ้าจิตปกติขึ้นมาเห็นไหม คนเราจิตของเรา จิตของคน  เห็นไหม คำว่า ìมีอำนาจวาสนามากน้อยแค่ไหนî ความมากน้อยแค่ไหนมันก็มีจุดยืนไง แต่คนที่โลเล คนที่อ่อนแอมันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งนะ คนที่โลเล คนที่อ่อนแอทำอะไรก็ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะมันวิตกกังวล มันทำสิ่งใดไม่ได้ทั้งสิ้น

เวลาเด็กที่มีการศึกษาเห็นไหม นักกีฬา นักกีฬาต่างๆ เขาต้องมีสมาธิๆ สมาธินี่ปุถุชนก็มีสมาธิ คนเราก็มีสมาธิ แต่สมาธิของปุถุชนไง ปุถุชนคนหนา

เวลาในหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านสอนเห็นไหม ปุถุชน เวลาปุถุชนแล้วเราพยายามหายใจเข้านึกพุท หายใจออกโธ พยายามทำขึ้นมาเป็นกัลยาณชน พอกัลยาณชนขึ้นมาแล้วเวลายกขึ้นสู่โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล เป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป ถ้าสติที่มันเป็นบาทเป็นฐาน ถ้ามีสตินะ ถ้ามีสติมีสมาธิเป็นบาทเป็นฐาน

แต่ไอ้พวกที่ขาดตกบกพร่อง ทางการแพทย์เขาวิเคราะห์วิจัยได้ โรคหลงตัวเอง ความหลงตัวเอง หลงว่าตัวเองยิ่งใหญ่ หลงว่า คำว่า ìหลงî คำว่าหลงนี่มันไม่มีสติสัมปชัญญะรู้เท่าทันจิตของตน โรคมันกำเริบ ยกตัวเองให้สูงขึ้น แล้วจะคบคนที่สูงกว่า คบสังคมที่ต่างคนต่างยกย่องกันไป โรคหลงตัวเอง หลงจนเป็นว่าวเชือกขาด หลงจนจับต้นชนปลายไม่ได้ แต่อ้างธรรมะนะ เอาธรรมะมาเปิด แล้วก็ว่านี่ธรรมะว่าอย่างนั้นๆ นะ ก็มันหลงในตัวมันเองแล้ว แล้วธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างนั้นหรือ แต่เขาว่าธรรมะของพระพุทธเจ้าชัดเจนๆ

ทางปริยัตินะ เวลาเขาประชุมวันวิสาขบูชา องค์กรพระพุทธศาสนา พระในโลกเขามาประชุมกัน นั่นทางวิชาการทั้งสิ้น ทางวิชาการเขาก็มีของเขาอยู่แล้ว

แล้วเวลาว่าพระปฏิบัติๆ ปฏิบัติตรงไหน เวลาปฏิบัติขึ้นมาเห็นไหม ดูสิ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นครูบาอาจารย์ของเรา เวลาปฏิบัติทำความสงบใจเข้ามาก่อน พอใจสงบระงับแล้วเห็นไหม ใจมันสงบแล้วเจริญแล้วเสื่อม เสื่อมแล้วเจริญไง มีอำนาจวาสนาหรือไม่ วางรากวางฐานของใจ

เวลามันเป็นปกติ จิตปกติเรานี่มันก็ไม่ทุกข์ไม่ยากใช่ไหม เวลาจิตถ้ามีกิเลสครอบงำมันก็เป็นเรื่องหนึ่ง เวลามันป่วยไข้ เวลาป่วยไข้ทางโลกเขาก็รักษา รักษากันในทางการแพทย์

แต่ในพระพุทธศาสนา เราเกิดเป็นชาวพุทธ เราเกิดมาพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาเห็นไหม สิ่งที่ว่าเป็นที่พึ่งที่พาอาศัยของเรามหาศาล เวลาคนตกทุกข์ได้ยากขึ้นมาก็อาศัยวัดเป็นที่พึ่งพาอาศัย เวลาคนที่เจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา เวลาพระที่เขาบวชมาแล้วเขาจะเป็นหมอยา เขาจะเป็นหมอรักษาคนไข้ นั่นก็เป็นอำนาจวาสนาของเขา นั้นเป็นเรื่องของโลก เป็นเรื่องของการสงเคราะห์

แต่ถ้ามันเป็นสัจจะเป็นความจริง วงกรรมฐานขึ้นมา เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาอาจจะมีการผิดพลาด เห็นสิ่งใดแล้วตกใจ เห็นสิ่งใดแล้วขาดสติ มันจะเจ็บไข้ได้ป่วยได้ เขาพยายามฟื้นฟูนะ การฟื้นฟูเวลาเป็นจิตบำบัด เขาฟื้นฟูมาให้เป็นปกติ ถ้าจิตใจของเรา เราควบคุมไม่ได้ เราควบคุมสติไม่ได้ เราควบคุมความคิดไม่ได้ ถ้าเราควบคุมไม่ได้ต่างๆ เนี่ย นี่ผิดปกติ

แต่ถ้าโดยคนเป็นปกติเห็นไหม เราก็ควบคุมความคิดของเราไม่ได้ เวลาควบคุมความคิดของเราไม่ได้เพราะอะไร เพราะเราไม่ได้ฝึกหัด ถ้าเราฝึกหัด ฝึกหัดของเรา เริ่มต้นตั้งสติไว้ ตั้งสติมันก็พยายามจะรู้เท่าทันความคิดของตน เวลาคิดสิ่งใดสติมันเท่าทันแล้วมันก็ดับความคิดนั้นได้ เวลามันดับความคิดนะนี่ถ้ามันเป็นปกติ

แต่ถ้ามันไม่ปกติ เราใช้ความคิดของเรา เราดับความคิดไม่ได้ พอเราดับความคิดไม่ได้นี่เวลาจิตมันไม่ปกติ มันดับความคิดไม่ได้ มันก็คิดของมันต่อเนื่องไป พอคิดต่อเนื่องไป อู้! เนี่ยวิปัสสนาๆ วิปัสสนาอะไร เพราะมันไม่ปกติ นี่ไง เวลาสมาธิจิตบำบัด เวลาทำสมาธิๆ คือบำบัดความผิดปกติของใจ แล้วถ้ามันสมาธิบำบัดนะ 

แต่เวลาในพระพุทธศาสนาไม่ได้สอนเรื่องสมาธิ ในพระพุทธศาสนาสอนเรื่องสัจธรรม ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ ที่เราทุกข์เรายากกันอยู่นี่มันมีที่มาที่ไป มันมีเหตุของมัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนเห็นไหม สอน สอนให้ไปดับที่เหตุของทุกข์

ทุกข์ ทุกข์มันเป็นวิบาก ผลเกิดจากการหลงผิด เกิดจากการคิดผิด เกิดจากการเห็นผิด เกิดจากการต้องการปรารถนาสิ่งที่เราชอบใจ เราอยากได้แล้วไม่ได้ตามใจอยาก

เหตุ เหตุให้เกิดทุกข์ๆ เวลาเหตุให้เกิดทุกข์เห็นไหม ถ้าผู้ที่ประพฤติปฏิบัติพอจิตสงบแล้วนี่ ถ้ามันจับของมันได้ ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ มันจับทุกข์ได้ มันจับกาย จับเวทนา จับจิต จับธรรมได้ มันวิปัสสนา มันจะสาวไปหาเหตุให้เกิดทุกข์

ถ้าสาวไปหาเหตุให้เกิดทุกข์ ถ้ามันดับที่เหตุนั้น ทุกข์อยู่ไหน ถ้าเหตุมันไม่มี เหตุมันไม่มีทุกข์จะเกิดมาจากไหน ถ้าเหตุมันไม่มี แต่นี่ทั้งทุกข์ก็ไม่รู้จัก เหตุก็ไม่รู้จัก เพราะจิตมันไม่ปกติ แล้วมันก็จินตนาการธรรมะไปไง เอาตำรามากางกัน ไอ้นี่มันปริยัติล้วนๆ แล้วอ้างว่าเป็นนักปฏิบัติ ปฏิบัติยิ่งใหญ่ แต่ในทางการวินิจฉัยในทางการแพทย์นะ นี่โรคหลงตัวเอง แล้วถ้าโรคหลงตัวเอง หลงตัวเองแล้วนี่กางตำราแล้วก็วิเคราะห์วิจัย มันไม่ใช่

ในวงการปฏิบัติ ศึกษาเป็นปริยัติ ศึกษาก็คือการศึกษา ศึกษาจบแล้ววางไว้นั่น เราต้องปฏิบัติให้รู้ขึ้นมาจากใจของเรา ให้มันเป็นความจริงขึ้นมา ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นอย่างไร นี่ไง เวลาจิตเป็นสมาธิ สมาธินี่ เวลาเป็นสมาธิแล้วมันมีหลับตาลืมตาหรือไม่ ถ้ายังสมาธิหลับตาลืมตาอยู่นี่ สมาธิอะไรมันหลับตามันลืมตา สมาธิก็เป็นสมาธิสิ หลับตาลืมตาก็เป็นการหลับตาลืมตามาเกี่ยวอะไรกับสมาธิ ไม่เกี่ยวเลย  

แต่เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านสอน ครูบาอาจารย์ของเราสอนไง ทำสมาธินะ แล้วเวลาฝึกหัดใช้ปัญญาๆ ไง สมาธิจับ ปัญญาตัด ปัญญามันเป็นปัญญา มันไม่ใช่สมาธิ สมาธิเป็นปัญญาไปไม่ได้ ถ้าสมาธิเป็นปัญญาไป หลวงตาท่านพูดเลย ìเราไม่ติดสมาธิ ๕ ปีî ถ้าสมาธิเป็นปัญญาไง

นี่บอก ìสมาธิลืมตามันเป็นปัญญาไปเลยî ปัญญาอะไร ปัญญามาจากไหน นี่โรคหลงตัวเอง โรคหลงตัวเองหลงจนไม่รู้ว่าที่มาที่ไปมันเป็นอย่างใด ที่เกิดที่ดับมันดับอย่างไร มันเกิดขึ้นแล้วตั้งอยู่แล้วดับไปอย่างไร

ไม่มี ไม่เห็นตามความเป็นจริง พอไม่มีไม่เห็นขึ้นมา มันก็เลยกลายเป็นโรคหลงตัวเอง หลงตัวเองตอนนี้ให้ค่าใหญ่เลย ให้คะแนน ยกคุณค่าของตัวเองสูงส่ง ยกคุณค่าแล้วเหยียบย่ำคนไปทั่ว เหยียบย่ำ เหยียบย่ำมันไร้สาระไง เพราะมันเป็นโรคหลับตาลืมตา

แต่ความเป็นจริงของครูบาอาจารย์เราไม่มี เวลาทำความสงบของใจเข้ามา หลับตาก็ทำได้ ลืมตาก็ทำได้ แล้วมันทำขึ้นมานี่ทั้งหลับตาทั้งลืมตามีทั้งถูกและผิด หลับตาที่ภาวนาแล้วมันไม่สงบเข้ามาก็มากมายมหาศาล ลืมตาที่มันไม่ได้สิ่งใดเลยก็มากมาย

สิ่งที่มากมายเห็นไหม ผู้ที่จะประพฤติปฏิบัติธรรมตามความเป็นจริง เขาก็ต้องดูแลรักษาใจของตน รักษา ใจเป็นนามธรรมไง ใจอยู่ที่ไหน เวลาหัวใจไง เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เวลาเกิดมาในครรภ์ ในไข่ ในน้ำครำ ในโอปปาติกะ  เกิดอย่างไร

เกิดเพราะไม่รู้ถึงได้เกิด ถ้ารู้เกิดได้อย่างไร เกิดเพราะความไม่รู้นั้นแหละ เกิดมาแล้วก็ยังไม่รู้อีก จนกว่าคนจะเลี้ยงดูฟูมฟักขึ้นมาจนโตขึ้นมา ถึงจะรู้ว่าวันเกิดว่าเป็นเรา แล้ววันเกิดเป็นเราก็จับต้นชนปลายไม่ถูกอีก 

แต่เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านประพฤติปฏิบัติ เวลาหลวงปู่มั่นท่านจะสังเกต สังเกตว่า เขามีอำนาจวาสนาหรือไม่ ถ้าไม่มีอำนาจวาสนาแค่ให้หัดทำ เราให้เด็กมาหัดทำงาน ถ้ามันทำได้มันขยันขันแข็งแล้วมันทำต่อเนื่องไป มันก็จะเป็นผลงานของมัน เด็กบางคนทำไม่ได้ก็คือทำไม่ได้ ถ้าทำไม่ได้มันจะลงโทษรุนแรงเกินไปก็ฆ่าให้ตายเปล่า เพราะอะไร เพราะเขาทำของเขาไม่ได้

นี่ก็เหมือนกัน จิตของคน จิตของคนที่จะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา มันอยู่ที่อำนาจวาสนาของคน ถ้ามีอำนาจวาสนาของคนนะ ถ้าทำแล้วมันเป็นไปได้ แล้วเราพยายามขวนขวายจะทำให้ได้ แล้วทำให้ได้ขึ้นมาแล้ว ถ้ามันขาดตกบกพร่องอย่างใด เราก็พยายามจะแก้ไข ความพยายามจะแก้ไขนั้นเขายังมีอำนาจวาสนาอยู่

แต่คนที่เวลาประพฤติปฏิบัติไปแล้วไปรู้ไปเห็นสิ่งใดแล้ว แล้วเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจต่างๆ เลิกไปเลย เขาเรียกกรรมฐานม้วนเสื่อ คือมันหมดโอกาส หมดวาสนาไปไง เพราะมันทำต่อไปแล้วมันไม่เข้มแข็ง ไม่มีการกระทำของมันขึ้นมา

นี่พูดถึงถ้าทำตามความเป็นจริง เราก็ขวนขวายของเรา ทำของเราอย่างนี้ มันไม่ใช่ว่ามาหลับตาลืมตา แล้วถ้ามันหลับตาลืมตาแล้วมันได้อะไรขึ้นมา มันได้สามัญสำนึกของโลกนี่แหละ แล้วให้คุณค่ากันนะ คนนั้นมีภูมิธรรมขั้นนั้นขั้นนี้

เหมือนครูสอบเลย ถ้าครูให้คะแนนเท่าไรเป็นเท่านั้น ไม่ใช่ มันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก คนที่รู้ไง พระโสดาบันต้องรู้ความเป็นพระโสดาบันของตน ถ้าตัวเองปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก มันไม่รู้ตามความเป็นจริงขึ้นมา แล้วถ้ามันรู้ตามความเป็นจริงขึ้นมานะ มันจะย้อนกลับไปเลย

นี่เป็นจิตเภทเพราะสอนผิดๆ แล้วถ้ามันจะเอาความถูกต้องๆ นี่สมาธิจิตบำบัด คนที่จะมีความทุกข์ความยาก จิตใจเราผิดปกติขนาดไหนก็แล้วแต่ เราตั้งใจไว้ว่าเราจะแก้ไขจิตของเรา ถ้าเราแก้ไขจิตของเรา ตั้งสติไว้ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกโธของเราต่อเนื่องกันไป

เราใช้ปัญญา ใช้ปัญญาก็ปัญญาตรวจสอบจิตใจของเรา ไม่ใช้ปัญญาใคร่ครวญ ปัญญาวิปัสสนา ถ้าปัญญาขึ้นมามันสร้างภาพอยู่แล้ว จิตผิดปกตินะ ดูสิ จนมันหลอน เห็นเทวดาไปทั่วบ้านทั่วเมือง เห็นคนมาสั่งมาสอน เห็นพระพุทธเจ้ามาให้อำนาจให้สิทธิพิเศษ ไม่มีหรอก เวลาถ้ามันผิดปกติไง

เราต้องทำให้กลับมาเป็นปกติ ถ้าทำให้เป็นปกตินะ โดยทั่วไป นักปฏิบัติเรา เราเวลาปฏิบัติ เราก็พยายามขวนขวายของเรา อย่างใดถ้าทำแล้วมันล้ำหน้าเกินไป หรือมันไม่มีสิ่งใดก้าวหน้า เราก็ต้องทบทวน การทบทวนๆ แล้วถ้าการทบทวนตั้งสติไว้นะ นี่สมาธิจิตบำบัด

สมาธิจิตบำบัดคือพยายามรักษาจิตของตนให้มั่นคง ถ้าจิตของตนกลับมาเป็นปกติ จิตของตนๆ ด้วยอะไร ด้วยการบำรุงรักษาจากสติ จากปัญญา จิตแก้จิต จิตของเรามันจะรู้เอง

จิตของเราวิตกกังวล จิตของเราควบคุมไม่ได้ จิตของเรามันมีความทุกข์ความยาก เราวางไว้ นี้เป็นธรรมชาติของจิต  นี้เป็นข้อเท็จจริงของจิตดวงนี้

จิตดวงนี้มันมีเวรมีกรรมของมันมา พอมันมีเวรมีกรรมของมันมา มันสร้างเวรสร้างกรรมมา ถึงเวลาวิบากกรรมมันให้ผลของมัน เวลาให้ผลของมันเรายอมรับกรรมตามความจริงอันนั้น  

แล้วตอนนี้เราเกิดเป็นมนุษย์เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พอเกิดมาพบพระพุทธศาสนาแล้ว เรามีพระรัตนตรัย มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง ถ้ามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง เราพยายามในชีวิตประจำวันของเรา เราก็แก้ไขของเรา เราพยายามสร้างแต่คุณงามความดีของเรา แล้วถ้าเป็นทางโลกเขาก็ไปหานายแพทย์ แพทย์เขาก็ให้ยามาควบคุมของเขา แล้วเขาก็พยายามหายใจเข้านึกพุธ หายใจออกนึกโธ พยายามรักษาจิตของเขา

ถ้ารักษาใจ แค่ทำความสงบของใจเข้ามานี่สมาธิจิตบำบัด มันจะบำบัดไง บำบัดสิ่งที่มันวิตกกังวล บำบัดสิ่งที่มันลังเลสงสัย บำบัดสิ่งที่ว่ากิเลสมันบีบคั้น มันบำบัด บำบัดด้วยหายใจเข้านึกพุท หายใจออกโธ พุทโธๆๆ จิตบำบัด สมาธิจิตบำบัด จิตบำบัดถ้ามันมีกำลัง มันมีคำบริกรรมมันก็จะกลับมาเป็นปกติ มันกลับมาเป็นปกติได้ จิตนี้ไม่เคยตาย จิตนี้ไม่เคยตาย

จิตที่มีอำนาจวาสนาขนาดไหนขึ้นมา มันอยู่ที่การกระทำขึ้นมา มันจะเป็นประโยชน์กับจิตดวงนั้น จิตดวงไหนที่มีวาสนาขึ้นมา เราพยายามทำแล้วทำเล่า มันก็ได้ผลของเรานะ มันก็ทุกข์ก็ยากของมัน จิตไม่เคยตายมันจะมีบุญกุศลมากน้อยขนาดไหน มันต้องพลัดพรากจากกันแน่นอน ชีวิตนี้มันต้องตายแน่นอน แต่จิตไม่เคยตาย จิตไม่เคยตายมันก็ไปเสวยภพชาติ มันก็เกิดเป็นภพชาติ

ชาติไม่มีใช่ไหม ไม่รู้ไม่เห็นอะไรเลยใช่ไหม ไอ้นั่นมันไม่ปกติ ถ้ามันบำบัดให้กลับมาเป็นปกติแล้วมันจะไม่มีหลับตาลืมตา สมาธิไม่มีหลับตาลืมตา สมาธิเป็นสมาธิ สมาธิเกิดจากจิต ไม่ใช่เกิดจากที่ลูกตา ตาไม่ทำให้เกิดสมาธิ แล้วตาก็เป็นแค่อายตนะกระทบกับรูปของเราเท่านั้น สิ่งใดที่ได้สัมผัสโดยตา เราก็ใคร่ครวญเพื่อฝึกหัดปัญญาก็เท่านั้น

แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาอบรมสั่งสอนเห็นไหม ทำความสงบใจเข้ามาก่อน อนุปุพพิกถา เวลาท่านเผยแผ่ธรรมนะ เวลาฆราวาสญาติโยม เพราะฆราวาสญาติโยมเขามีหน้าที่การงานของเขา งานเขาล้นมือ แต่เขามีศรัทธาความเชื่อของเขา

อนุปุพพิกถาให้เขาฝึกให้ทานก่อน พอฝึกหัดให้ทาน พอให้ทานมันเริ่มหงายภาชนะในใจของตนไง เข้าไปสัมผัสสัมพันธ์ขึ้นมา สัมผัสสัมพันธ์ใจมันรับรู้ พอใจรับรู้ ถ้าให้ทานให้ฝึกหัดให้การเสียสละการให้ทาน แล้วเสียสละการให้ทานแล้วมันจะมีวุฒิภาวะ

ถ้าให้ทานถ้าตายแล้วไปเกิดบนสวรรค์ ถ้าเกิดบนสวรรค์แล้วให้ถือเนกขัมมะ พยายามฝึกหัดอบรมจนจิตเขามีโอกาส จนจิตเขาควรแก่การงาน ถ้าจิตเขาควรแก่การงาน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงเทศน์เรื่องอริยสัจ ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์

เวลาจิตมันควรแก่การงานแล้ว คำว่า ìจิตมันควรแก่การงานî เริ่มต้นขึ้นมาจากที่เป็นคฤหัสถ์ หน้าที่การงานเขาล้นมือ ความรับผิดชอบของเขา ครอบครัวของเขา ทรัพย์สินสมบัติของเขา เขาส่งจิตใจไปผูกพันกับสิ่งนั้นทั้งหมดเลย ของฉัน ของฉัน ของฉัน ฉันต้องมีหน้าที่รักษา ฉันต้องมีหน้าที่เก็บหอมรอมริบ ต้องมีการดูแลเห็นไหม

จิตเขาไปพะวงกับทรัพย์สินจากทรัพย์สมบัติ จากหน้าที่การงานของเขา แต่ให้ฝึกหัดให้เสียสละ เสียสละทาน มีบุญมีกุศลเห็นไหม เวลามีบุญมีกุศลแล้ว ถ้าบุญกุศลแล้วถ้ามันดับขันธ์ มันก็ไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ อะไรต่างๆ

แล้วถ้าจิตมันควรแก่การงาน จิตมันควรแก่การงานถึงเทศน์อริยสัจ ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ เวลาจิตมันควรแก่การงาน การงานของจิตไง จิตที่เป็นปกติ จิตที่ควรแก่การงาน จิตที่เป็นปกติจิตที่ควรแก่การงาน งานของจิตคืออะไร งานของจิตคือจิตแก้จิตไง พอจิตแก้จิตเป็นปัจจุบันไง

ìมันไม่เป็นปัจจุบัน มันไม่เป็นปัจจุบัน มันไม่ลืมตา มันไม่รู้ไม่เห็นî

จิตควรแก่การงาน เวลายกขึ้นสู่อริยสัจสัจจะความจริง ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ เวลามันดับทุกข์ขึ้นมามันเป็นสัจจะความจริงขึ้นมาเห็นไหม

นี่พระอรหันต์ ๑,๒๕๐ องค์ เขาประพฤติปฏิบัติมา เขามีแนวทางของเขา เขาปฏิบัติของเขา แล้วเขาปฏิบัติมาเหมือนกัน จะปฏิบัติในทางพิจารณากาย ในทางพิจารณาเวทนา ในทางพิจารณาจิต ในทางพิจารณาธรรม ในอริยสัจ กาย เวทนา จิต ธรรม สิ่งใดสิ่งหนึ่ง

เวลาปฏิบัตินะ ถ้ากายก็พิจารณากายไป ถ้าเวทนาก็พิจารณาเวทนาไป ถ้าจิตก็พิจารณาจิตไป ถ้าธรรมก็พิจารณาธรรมไป สิ่งใดสิ่งหนึ่งทำงานให้มันชัดเจน ทำงานให้มันสมบูรณ์แบบ แล้วทำงานให้มันเสร็จ แล้วเวลาทำงานไป คนทำงานหน้าที่การงานอันหนึ่งทำไปแล้วมันเบื่อหน่าย มันเบื่อหน่ายมันแฉลบไปพิจารณาเวทนา ก็จับเวทนาพิจารณาเวทนาได้ก็หนึ่งเหมือนกัน

หน้าที่การงานของเราหนึ่งเดียวให้ชัดเจน ให้สมบูรณ์แบบ พอสมบูรณ์แบบถ้าพิจารณาไปแล้วเวลาปัญญามันเกิด ปัญญามันหมุนไป ปัญญามันเกิด มรรคมันเกิด ปัญญาที่มันรวดเร็วมากมันพิจารณาของมัน ที่ความคิดที่เร็วมาก ความคิดที่ควบคุมไม่ได้ แต่มีสัมมาสมาธิ มีสติของเราแล้ว เราฝึกหัดของเรา เราพิจารณาของเรา ฝึกหัดซ้อมจิตให้มันพิจารณาของมัน

เวลามันพิจารณาไปแล้ว มันพิจารณาวงรอบของปัญญามันเกิด เรารู้เห็น นี่ไง งานชอบ เพียรชอบ ดำริชอบ เขาเรียกว่าอะไร จกฺขํุ อุทปาทิ  มันเกิดดวงตาจากหัวใจ จิตมันเห็น จิตมันรู้ อูย! จิตมันชื่นบาน ไม่ใช่หลับตาลืมตาหรอก

หลับตาลืมตาเขาผิดปกติ เลยเอาวัตถุธาตุ เอาตาเนื้อมาพิจารณาธรรม ถ้าคนพิจารณาโดยปัญญา โดยเดินจงกรมเขาก็ใช้ตาเนื้อ เวลาคนเดินจงกรมนะ เขาเห็นเป็นโครงร่างกระดูกต่อหน้า นั่นเขาพิจารณาของเขาได้ เกิดจากจิต จิตที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา จิตเข้มแข็งถึงแข็งแรงขึ้นมา เขาทำของเขาได้ เกิดจากจิตโดยผ่านตาเนื้อ เพราะเดินจงกรมอยู่

แต่เวลาหลับตาเวลาพิจารณาของมัน นี่จิตมันเป็น จิตมันเห็น จิตมันรู้ มันชัดเจนของมัน ความเจ็บปวดต่างๆ เวทนามันเกิดจากจิต มันไม่ต้องลืมตาไปเห็นอะไรหรอก ธรรมารมณ์ๆ อารมณ์ที่มันขุ่นมัว อารมณ์ที่มันชัดเจน อารมณ์ที่มันทุกข์มันยาก มันต้องลืมตามันถึงเห็นหรือ อารมณ์ความรู้สึกมันต้องลืมตาใช่ไหมมันถึงเห็น หลับตาไม่เห็นใช่ไหม

สิ่งที่เป็นจิตๆ จิตที่มันผ่องแผ้วมันผ่องใสไง เพราะมันผิดปกติเลยต้องทำสมาธิจิตบำบัดก่อน เอาสมาธิเป็นจิตบำบัด บำบัดให้ใจเป็นปกติ ถ้าจิตใจเป็นปกติแล้วมันตามข้อเท็จจริง มันไม่หลงไง

หลงยกตนให้สูงขึ้น คบคนที่สูงกว่า คบคนพยายามจะโน้มน้าวให้ตัวเอง เพราะมันหลงตัวเอง หลงจนเป็นปุยนุ่นที่ไม่มีสิ่งใดมาทบทวน แล้วพยายามเปิดพระไตรปิฎกนะ เทศน์เองไม่ได้ ต้องเปิดพระไตรปิฎกตลอด แล้วตั้งหัวโจทย์ขึ้นมา แล้วก็ตามแต่ข้าจะพอใจ จะแปลของข้าแหละ ของพวกเอ็งข้าไม่เกี่ยว ข้าเป็นยอดคนไง

หลง ต้องทำสมาธิจิตบำบัดๆ บำบัดจิตนั้นให้ได้ก่อน แล้วค่อยมาพูดถึงธรรมะนะ ศีล สมาธิ ปัญญา สมาธิยังเป็นพื้นฐานเป็นบาทฐานไม่ได้ ปัญญาที่แจ้วๆ อยู่นั่น นกแก้วนกขุนทอง มันเป็นสังคมของนกแก้วนกขุนทอง มันก็ขันกันอยู่อย่างนั้น ในป่าในเขาเวลาเช้าเวลาค่ำนกมันขัน มันเป็นเรื่องนกเรื่องกา มันไม่มีสาระความจริงในจิตใจ

ถ้ามีสาระความจริงในจิตใจนะ มีการกระทำๆ ทำให้มันเป็นปกติ เป็นปกติแล้ว ดูสิ เราเกิดมาสมบูรณ์แบบ ร่างกายแข็งแรง จิตใจเข้มแข็ง แต่ทำสมาธิไม่เป็น ทำสมาธิไม่ได้ เยอะแยะไป แต่เวลาจิตมันผิดปกติไง นี่ไง สิ่งที่มันป่วยทางจิต เวลาป่วยทางจิตขึ้นมาแล้ว เวลาใช้ปัญญาไป ปัญญาไปมันเตลิดเปิดเปิงนะ

ฉะนั้น สิ่งที่โดยปกติ ถ้าเรามีปัญหานะ เราตรวจสอบใจเราได้ ถ้ามันเป็นไปได้ คือต้องให้มันสงบระงับได้ สงบระงับเข้ามาเห็นไหม ความสงบระงับเราสั่งได้เลย เราจะสั่งให้สงบเมื่อไรก็ได้ จะปล่อยวางเมื่อไรก็ได้ นั่นน่ะเป็นปกติ แต่ถ้ามันไปโดยที่ว่าหยุดไม่ได้ เบรกไม่ได้ จัดการไม่ได้ นั่นผิดปกติ ถ้าผิดปกติขึ้นมาทำสมาธิจิตบำบัด สมาธิบำบัดจิตได้

ในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในการทำความสงบของใจสามารถทำให้จิตที่มันผิดปกติเป็นปกติได้ เป็นปกติได้ด้วยจิตดวงนั้นๆ เพราะจิตดวงนั้นเจ็บไข้ได้ป่วยเอง มันเจ็บไข้ได้ป่วยมาจากจิต พอมันเจ็บไข้ได้ป่วยมามันจากเวรจากกรรมขึ้นมา จากการสะสมมา

แล้วเราเกิดเป็นมนุษย์เกิดมาพบพระพุทธศาสนา แล้วเราจะเป็นนักบวช เราเป็นนักบวช เราเป็นพระ เราเป็นนักปฏิบัติ เวลาเราจะทำสมาธิจิตบำบัดของเรา เราก็แค่ทำสมาธิ ไม่ต้องไปจินตนาการว่าจะวิปัสสนา จะรู้แจ้งอะไร

การวิปัสสนาการรู้แจ้ง นั่นน่ะเปิดทาง เปิดทางให้ความหลงนั้นเป็นปุยนุ่นลอยไปไง ลอยขึ้นไป ลอยขึ้นไปจับต้องอะไรไม่ได้เลย มันลอยไป มันก็เป็นจิตป่วยไง ผิดปกติไง พอผิดปกติขึ้นมาแล้ว โอ้โฮ! พูดจามันลึกลับซับซ้อนเลย เอ้า! ก็พระอรหันต์ คนบ้าอยู่ด้วยกันไง

พระอรหันต์นะ เวลาพิจารณาสิ่งต่างๆ แล้วสติอัตโนมัติ พระอรหันต์สติอัตโนมัติเลย เวลาหลวงตาท่านพูดเลย ìความคิดเหมือนท่อนซุง เวลาจะคิดที คนเราจะแบกท่อนซุงต้องออกแรงขนาดไหนî คำว่า ìออกแรงî เราจะบอกว่ามันจะรู้ตัวตลอดไง นี่เป็นว่าสติเป็นอัตโนมัติ ถ้ามันสติเป็นอัตโนมัตินี่พระอรหันต์

แต่คนบ้า คนบ้ามันไม่มีสติหรอก พูดไปเป็นนกแก้วนกขุนทอง แต่เปิดตำราพูด พูดไปอย่างนั้น นี่ไง มันต้องทำสมาธิจิตบำบัด ไม่ใช่หลับตาลืมตา หลับตาลืมตามันไม่มีผลกับสมาธิหรอก มันอยู่ที่วาสนาไง อำนาจวาสนาของคนอยู่ที่จริตนิสัย ถ้าจริตนิสัยนะถ้าหลับตาแล้วดีนะ โอ้โฮ! หลับตาแล้วดีมาก ถ้าลืมตาแล้วดีนะ เดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนา หลวงปู่ชอบเดินจงกรมทั้งวันทั้งคืน มันจะไปหลับตาเดินจงกรมได้อย่างไร มันก็ลืมตา มันก็เป็นความถนัดของท่าน

แต่ก็มันไม่มีใครมาเถียงกันเรื่องหลับตาลืมตาเลย เพราะมันหยาบเกินไป มันเป็นแค่ธาตุ ๔ มันไม่ใช่จิต มันไม่ใช่ที่ความสงบระงับ มันไม่ใช่ แต่ถ้ามันไม่ใช่แล้ว แล้วเอามาเป็นประเด็นทำไม เอามาเป็นประเด็นเพราะหลงไง เพราะไม่รู้ที่มาที่ไป ไม่รู้ถึงกายกับใจ กายก็คือกาย ใจก็คือใจ ไม่เกี่ยวกัน ไม่เกี่ยวกัน

แต่ถ้าเราเกิดเป็นมนุษย์มันเป็นสมมุติๆ สมมุติจริงตามสมมุติ คนเรามีกายกับใจๆ ไง เวลาเทวดาอย่างนี้ เวลาพระอรหันต์พ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและบ่วงที่เป็นทิพย์ ความที่บ่วงที่เป็นทิพย์ ใจล้วนๆ เลยทิพย์ ทิพย์สมบัติ เทวดา อินทร์ พรหม ทิพย์สมบัติ เรื่องของใจล้วนๆ เลย กายกับใจเห็นไหม ตกนรกอเวจีไปก็เรื่องของใจล้วนๆ เลย เพราะภพชาติเขาละเอียด

แต่ของเราล่ะ เราเกิดเป็นมนุษย์ไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดเป็นมนุษย์ไง ในบรรดาสัตว์สองเท้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุดไง

เพราะเราเกิดเป็นมนุษย์เรามีกายกับใจนี่ไง เพราะร่างกายนี่มันบีบคั้นไง โรคหิวเป็นโรคประจำตัวไง คนเราเกิดมาแล้วมีร่างกายต้องแบกรับไปไง เวลาคนเกิดมาเห็นไหม มีโรคภัยไข้เจ็บ เจ็บไข้ได้ป่วย คนเกิดมาพิการเห็นไหม เพราะเวรเพราะกรรมไง มนุษย์มีกายกับใจไง มันถึงมีโอกาสมากกว่าพวกโลกแห่งความเป็นทิพย์ไง

พวกทิพย์สมบัติ พวกเรื่องของใจ เขามีทิพย์สมบัติ เขามีความสุข นึกอะไรได้อย่างนั้น ด้วยตามแต่บุญกุศลที่สร้างมา เรามาเกิดเป็นมนุษย์มีกายกับใจ นึกสิ นึกให้ได้ ยิ่งนึกโดยขาดสติ เดี๋ยวก็ต้องจิตบำบัดไง เพราะมีเวรมีกรรมไง เพราะร่างกายเนี่ย พูดถึงร่างกายมันเป็นภาระต้องเลี้ยงอยู่นะ ต้องให้อยู่ให้กินเพื่อให้ร่างกายสดชื่น เพื่อให้ร่างกายไม่เกิดทุกข์กับร่างกายจนเกินไป

แล้วเวลาพูดถึงร่างกาย นี่ไง เวทนากาย เวทนาใจ เวทนากาย เวทนาจิต เวทนานอก เวทนาใน เวทนาในเวทนา สิ่งนี้มันเป็นสัจจะ พอเป็นสัจจะขึ้นมา พอเป็นมนุษย์ขึ้นมานะ ถ้ามนุษย์มีอำนาจวาสนาฟังธรรมๆ มันแสดงออกเพราะมีกายกับใจ

ถ้าเวลาไปคิดทางวิทยาศาสตร์ ไอ้พวกจิตบำบัดมันก็จะพูดเลยร่างกายเป็นอย่างนั้น สสารเป็นอย่างนั้น ธาตุ ๔ ธาตุส่วนธาตุ จิตส่วนจิต แล้วเวลาพิจารณาขึ้นมา จิตตภาวนาๆ ธาตุไม่มีชีวิต เซลล์ต่างๆ ที่ในร่างกายเราพอถึง ๗ ปี เปลี่ยนเป็นเซลล์ใหม่หมดเลย นี่พูดถึงธาตุไง

แต่ถ้าจิตสงบแล้วนะ จิตเห็นกาย จิตเห็นกายเป็นอุคคหนิมิต จะเห็นเป็นอวัยวะ จะเห็นเป็นกระดูก จะเห็นเป็นเนื้อต่างๆ  อุคคหนิมิตเป็นนิมิต วิภาคะคือการขยายส่วน การขยายให้เป็นไตรลักษณ์ ถ้าจิตสงบแล้วนะ แล้วถ้ามันเห็นกายมันจะเป็นความมหัศจรรย์

ความมหัศจรรย์ของจิต จิตมันจะตื่นตัว อู้! นั่นคืออะไร คือปัญญา เป็นไตรลักษณ์ที่เกิดจากจิต ถ้าเป็นไตรลักษณ์ที่เกิดจากจิต จิตที่ภาวนาไง ตามความเป็นจริงไง ไม่มีหลับตาลืมตาหรอก หลับตาลืมตาแขวนไว้ มันไร้สาระ แต่เขาเอาสิ่งนั้นมาเป็นสินค้า มาเป็นการแบ่งแยก ไร้สาระ

สาระตามความเป็นจริงไง ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ความสมควรแก่ธรรมนะ อยู่ที่กิเลสตัณหาความทะยานอยากของแต่ละบุคคล กิเลสของใครๆ เบาบางแตกต่าง การประพฤติปฏิบัติก็ไม่ต้องเข้มข้นจนเกินไปนัก แต่เวลาคนเรานะ ถ้ามันกิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจเรามันเข้มข้น มันบีบมันคั้น มันทำให้ทุกข์มันทำให้ยาก เราก็ต้องเข้มข้นไปกับมัน

หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านสอนไว้แล้ว การประพฤติปฏิบัติมันต้องมีหนักมีเบา คำว่า ìมีหนักมีเบาî เริ่มต้นที่มันฝืน เริ่มต้นที่ทำมันไม่ได้ เริ่มต้นที่มันควบคุมไม่ได้ เราต้องหนักหน่วงไปกับมัน แต่เวลาถ้ามันพอหนักหน่วงไปแล้ว ถ้ามันพอมีน้ำหนักที่ควบคุมได้เห็นไหม เราก็ไม่ต้องเข้มข้นขนาดนั้น ถ้าควบคุมได้แต่ต้องมีสติรักษานะ ควบคุมได้แล้วถ้ามันหนักหน่วงขึ้นมา มันดิ้นรน เราก็ต้องหนักหน่วงไปกับมัน แล้วถ้ามันเบาเราก็ทำพอประมาณเพื่อรักษาหัวใจของเราขึ้นมา ถ้ามีอำนาจวาสนานะ ยกขึ้นสู่วิปัสสนาได้

การทำสมาธิๆ ทุกคนจะดูถูกเหยียดหยามว่าเป็นสมถะ ทำสมาธิแล้วไม่สำเร็จมรรคผลต่างๆ ไม่มีสมาธิเป็นพื้นฐาน ไอ้ที่ว่ามรรคผลๆ ที่ว่าจะทำกันไม่มีเลย เกิดขึ้นไม่ได้

สมถกรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงาน สมถกรรมฐานเกิดจากไหน เกิดจากจิต จิตเป็นสัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิกับจิตไม่ใช่อันเดียวกัน สัมมาสมาธิเกิดจากจิต ถ้าไม่มีสัมมาสมาธิ จิตก็ยังคงเดิม แล้วจิตก็มีแต่ความฟุ้งซ่าน จิตก็มีแต่กิเลสควบคุม

แต่เวลาพุทโธๆ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิเห็นไหม สมาธิเกิดจากจิต เวลาจิตเป็นสมาธิ จิตเป็นสมาธิจิตก็ร่มเย็นเป็นสุข จิตก็สงบระงับ จิตเพราะว่ากิเลสมันหลบมันซ่อนอยู่ในจิตนั้นแหละ สมาธิเกิดจากจิต แล้วสมาธิก็เสื่อมจากจิต เวลาสมาธิเสื่อมไป เสื่อมไปเห็นไหม เราก็ทุกข์ เราก็ยาก เราก็อยากได้ เราก็อยากเรียกร้องคืนมา เราก็ขวนขวายขึ้นมา ทุกข์ซ้อนทุกข์อยู่อย่างนั้น

แต่ครูบาอาจารย์ของเราท่านสอนให้เรามีข้อวัตรปฏิบัติขึ้นมาเป็นเครื่องอยู่ๆ เพื่อไม่ให้กิเลสมันแทรกมันแซง ไม่ให้กิเลสมันยุมันแหย่ให้เราไม่ทุกข์ไม่ยากจนเกินไป ชีวิตนี้มันก็ทุกข์พอแรงแล้วแหละ

เวลาคนแก่คนเฒ่านะ ต่อไปเห็นไหม เขาต้องออกซิเจนคอยไว้ที่ปลายจมูก หายใจก็ทุกข์ แต่ตอนนี้เรายังหนุ่มยังแน่นกันอยู่ ยังหายใจคล่องคอกันอยู่ เวลาแก่เวลาเฒ่าหายใจล่ะหายใจไม่เต็มปอดเชียว แค่หายใจก็ทุกข์ มันทุกข์ทั้งนั้น แต่มันเป็นสัจจะเป็นความจริงไง แล้วตอนนี้เรายังหายใจกันเข้มแข็งปอดยังสดชื่น

เรามีสติ ถ้ามีสติจิตกำหนดปั๊บเป็นอานาปานสติ ถ้าจิตไม่กำหนดสิ่งใด หายใจก็หายใจไป หายใจทิ้งเปล่าๆ หายใจไม่เป็นประโยชน์สิ่งใดเลย หายใจเพื่อดำรงชีพเท่านั้น แต่มันหายใจดำรงชีพด้วย มีสติปัญญาดูแลรักษา มันก็จะเป็นอานาปานสติ แล้วถ้ามันละเอียดลึกซึ้งขึ้น มันก็จะเป็นสัมมาสมาธิ

สมาธิเป็นสมาธิ แล้วสมาธิประสาเราน่ะพื้นฐาน ประสาทางโลกนะ คนที่ปฏิบัติใหม่เขาเถียงกัน เถียงกันเรื่องสมาธิ ไม่สมาธิ สมาธิแก้กิเลสได้หรือแก้กิเลสไม่ได้ ไอ้พวกปฏิบัติใหม่ๆ ก็เถียงกันอยู่อย่างนั้น เถียงกันแค่เรื่องสมาธิ เพราะมันยังไม่รู้จักสมาธิ

นี่ก็เหมือนกัน หลับตาลืมตา เพราะมันไม่รู้จักมันถึงเถียง แล้วก็บอกนะ ทำมาเยอะแยะ เยอะแยะก็ทำไม่เป็นไง ถ้าทำเป็นจะพูดอย่างนั้นหรือ เยอะแยะ อย่าคิดว่าเยอะแยะแล้วทำมามากแล้วจะรู้ว่าเก่งนะ ทำมามากทำไม่เป็นก็เยอะแยะไป คนที่เขาทำได้ เขารู้ได้ สมาธิเป็นสมาธิ

แล้วถ้าเกิดปัญญาขึ้นมา ศีล สมาธิ ปัญญา ดำริชอบ งานชอบ เพียรชอบ สติชอบ สมาธิชอบ ปัญญาชอบ มันอันเดียวกันที่ไหน มันคนละชื่ออยู่แล้ว คนละคนอยู่แล้ว ๘ องค์ ก็ ๘ อย่างอยู่แล้ว มันไม่เกี่ยวอะไรกันเลย

แต่มันเกิดขึ้นจากจิต แล้วเวลามันเกิดขึ้นแล้ว ภาวนามยปัญญา ปัญญาที่เกิดจากจิต แล้วเวลาเกิดจากจิตขึ้นมา ถ้ามันเป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมา ถ้ามันสมดุลของมัน ความสมดุลความพอดีของแต่ละคน กิเลสของคนไม่เหมือนกัน จริตนิสัยของคนไม่เหมือนกัน บุญอำนาจวาสนาของคนไม่เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าจะต้องเป็นเหมือนกันหมดหรอก

แต่ถ้ามันสมดุลของมัน มัชฌิมาปฏิปทา ฉะนั้น จะมัชฌิมาปฏิปทาของใคร ของคนกิเลสหนาก็ต้องหนักหน่วงหน่อย ของคนกิเลสบางก็เบาบางหน่อย มัชฌิมาปฏิปทาคือความสมดุลพอดี

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเราตรัสรู้เองโดยชอบ พระอรหันต์ ๑,๒๕๐ องค์ วันมาฆบูชาเนี่ย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้อบรมสั่งสอน แล้วเขาใช้สติปัญญาของเขา พยายามพิจารณาของเขาจนสมดุลพอดีของเขาแต่ละบุคคลๆ อำนาจวาสนามันถึงไม่เหมือนกัน

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดา สิ่งที่เป็นความรู้ต่างๆ เห็นไหม พุทธวิสัย พุทธวิสัยเห็นไหม สิ่งที่ว่าเป็นปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีใครเทียบได้หรอก ไม่มีใครได้ขี้ตีนหรอก ไม่มี ไม่มี

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมบูรณ์แบบ แล้วอบรมสั่งสอนมา ๑,๒๕๐ องค์ วันนี้วันมาฆบูชา เขาไม่พูดหลับตาลืมตากันหรอก เขาพูดถึงอาสวักขยญาณ ญาณที่ชำระล้างกิเลสในใจของเขา ไม่มีหลับตาลืมตา หลับตาลืมตาต้องไปทำสมาธิจิตบำบัดก่อน ทำสมาธิจิตบำบัดให้จิตมันกลับมาเป็นปกติ แล้วมึงค่อยหัดภาวนาใหม่ เอวัง