เทศน์พระ

เทศน์พระ ๑๕

๓ มี.ค. ๒๕๕o

 

เทศน์พระ วันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๕๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เวลาบวชแล้วไง เวลาออกจากคฤหัสถ์มาบวชแล้วเหมือนกับนกมีปีกและมีหาง เวลาบวชขึ้นมาแล้วเป็นอิสระไหมล่ะ? มันเป็นอิสระไปจากไหนในเมื่อมันยังโดนกิเลสครอบงำนะ

ถ้ากิเลสมันครอบงำจิตใจเราไม่ได้นะ ทางโลกมันเป็นอิสระสิ เห็นไหม อิสระเพราะอะไร อิสระเพราะว่าร่างกายเห็นไหม วัตถุ ในเมื่อวัตถุมันจับต้องได้ สอุปาทิเสสนิพพาน พระอรหันต์ที่สิ้นกิเลสแล้วไง มารตามรอยไปไม่ได้ ถ้ามารตามรอยไม่ได้ มารตามใจดวงนั้นไม่ได้ เป็นอิสระ

สิ่งกระทบกระทั่งถ้ามีกิเลสอยู่นะ สิ่งนี้เจ็บปวดแสบร้อนมาก แต่ถ้าไม่มีกิเลสอยู่นะ สิ่งใดถ้ามันกระเทือน มันกระเทือนถึงใจ ถ้ามันกระเทือนถึงใจ ใจมันรับรู้ตลอดเวลา

เวทนาของกายมี แต่มันเข้าเวทนาของจิตไม่ได้ เวทนาของจิตมันเข้าถึงไม่ได้เลย เป็นอิสระอย่างนี้ แต่พระโมคคัลลานะเป็นพระอรหันต์ ทำไมโดนโจรตีจนตายหมด

ทันเรื่องของร่างกายเรื่องของวัตถุแล้ว วัตถุของโลกมันมีอยู่ทั่วไปดาษดื่นเลย ถ้าเราไปยึดกับมันเห็นไหม เราเป็นเจ้าของมัน ยึดกับมันก็มีการโต้แย้ง ถ้ามีการโต้แย้งเราเป็นทาสเขาเอง เราไปยึดมั่นเขาเอง เราเป็นทาสเขาเอง มันถึงไม่เป็นอิสระไง

ถ้าบวชแล้วเป็นอิสระ นี่อิสระเห็นไหม ถ้าเราจะเป็นอิสระกับเรา เราต้องดูแลใจเรา เราต้องรักษาของเรา ถ้ารักษาของเรา รักษามาจากไหน ใจมันอยู่ที่ไหนล่ะ? ใจมันอยู่ที่วัตถุหรือ ใจมันอยู่ที่ข้าวของหรือ

ศาสนวัตถุ ศาสนพิธี ศาสนธรรมเห็นไหม มันเป็นพิธี พิธีกรรมเห็นไหม พิธีกรรมก็เพื่อเข้ามาหาใจ ถ้าใจมันมีพิธีกรรมเข้ามาหานะ ข้อวัตรปฏิบัติเห็นไหม ดูสิเรื่องของทาน เรื่องของการเสียสละ เรื่องของวัตถุโฆษณากันเห็นไหม สร้างเจดีย์ สร้างวิหาร สร้างแล้วจะได้วิมานบนสวรรค์ชั้นนั้นๆ มันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ถ้าทำโดยธรรม

ทำโดยธรรมหมายถึงว่า เขาเสียสละด้วยเจตนาของเขา มันไม่มีอกุศล ไม่มีสิ่งใดๆ เข้ามาเคลือบแฝง บุญนั้นก็บริสุทธิ์ เขาก็ได้ของเขา นี่ไงวัตถุก็ได้วัตถุไง ก็ได้วิมาน วิมานบนสวรรค์ แล้ววิมานมีคนอยู่ไหมล่ะ สร้างวิมานแล้วเราตกนรก คนสร้างวิมาน วิมานอยู่บนสวรรค์ แต่ไอ้เจ้าของวิมานตกนรกอเวจี

เพราะว่าขนาดสร้างวิมานมันยังมีบุญกุศล แล้วการดำรงชีวิตล่ะ เราไปทำบาปทำกรรม ไปทำอกุศล ไปทำต่างๆ จิตนี้มันก็ตกนรกอเวจี ทำบุญกุศลก็ส่วนกุศลไป ทำบาปก็ส่วนบาปไป แล้วจิตมันไปไหนล่ะ เจ้าของไม่มี เจ้าของไปอยู่ไหนก็ไม่รู้ วิมานอยู่บนฟ้า เจ้าของตกนรกอเวจีอยู่นั่นนะ

แต่ถ้าเรารักษาหัวใจของเราล่ะ ศาสนพิธีไง มันละเอียดเข้ามา ละเอียดเข้ามาเป็นวัตถุ วัตถุต้องหาเงินหาทองมา ต้องแสวงหามาเพื่อบุญกุศล เพื่อผลของวัฏฏะ เพื่อเกิดดี ถ้ายังมีการเกิดอยู่ก็เกิดดี

แต่ถ้ามันไม่เกิดเลยล่ะ ไม่เกิดเลยนะมันเป็นเครื่องยืนยัน ทุกข์ไหม? ทุกข์ จับต้องได้ไหม? จับต้องได้ ถ้าทำลายที่นี่เห็นไหม ทำลายที่ทุกข์นี่ ทำลายสิ่งที่จับต้องได้ ทำลายที่ทุกข์

ทุกข์เกิดจากไหน ทุกข์เกิดจากใจนะเห็นไหม ลมพัด แดดออก สิ่งต่างๆ พายุเกิดขึ้นมา วัตถุที่มันโดนทำลายไป มันไม่บ่นว่าเจ็บปวดแสบร้อนเลย สิ่งที่ทำลาย ทำลายเมืองทั้งเมืองเลยเห็นไหม เฮอริเคนเข้ามาราบเป็นหน้ากองเลย พังไปทั้งเมืองเลย วัตถุนั้นมันไม่เดือดร้อนเลย แต่รัฐบาล คนในประเทศชาตินั้นต้องช่วยเหลือเจือจานกัน เพราะมนุษย์เดือดร้อน คนไม่มีจะอยู่กิน ข้าวของสิ่งเสียหายที่ชำรุดทรุดโทรมไปแล้ว มันเสียหายไปแล้วต้องมาฟื้นฟู เพราะอะไร เพราะมันเป็นปัจจัยเครื่องอาศัย เพราะคนมันเดือดร้อน

พอคนเดือดร้อน เขาต้องพัฒนาเพื่อคน เขาต้องทำมาเพื่อให้คนอยู่ได้ไงเห็นไหม วัตถุมันไม่เดือดร้อนหรอก ใจต่างหากเดือดร้อน ทุกข์มันอยู่ที่ไหน? ทุกข์มันเกิดจากใจ สิ่งต่างๆ มันเกิดจากธรรมชาติของมัน พัฒนาขึ้นมาขนาดไหน จะสูงส่งขนาดไหน มันก็เป็นวัตถุ เราไปอาศัยมัน เราใช้มัน

ถ้าเป็นคนที่มีความสุขก็ใช้ให้มันเป็นประโยชน์ ถ้าคนไม่มีความสุข มันจะทุกข์อยู่นั่นนะ ขนาดโดดจากตึกสูงฆ่าตัวตาย เพราะอะไร เพราะมันไม่มีความสุขกับสิ่งที่มันเป็นเจ้าของนี่ไง ถ้าเราไปมองตรงนั้นว่าเป็นสิ่งที่มีความสุขได้จริง

แต่เวลาคนทุกข์คนยากมันก็มองอย่างนั้น มองว่าคนมั่งคนมีจะมีความสุขไง คนมั่งคนมี เพราะมันมั่งมันมีมันต้องรักษามาก ไอ้เราอยู่โคนไม้กันนะ ยิ่งเป็นภิกษุเป็นนักบวชเห็นไหม ชีวิตเป็นอิสระ เป็นอิสระจริงๆ นะ

ถ้าเป็นพระผู้น้อยเป็นผู้อิสระ ถ้าเป็นพระผู้ใหญ่เป็นผู้ปกครอง ต้องแบกรับภาระ แต่ถ้าเป็นครูบาอาจารย์ หลวงปู่มั่นท่านสั่งเห็นไหม ดูสิ เจ้าคุณอุบาลีตั้งให้เป็นเจ้าอาวาส เป็นอุปัชฌาย์ด้วย “พระครูเอ้ย เอ็งอยู่ในโบสถ์นี่นะ ข้าจะไปแล้วล่ะ ข้าไม่สนใจเอ็งหรอก”

นี่เห็นไหมถ้าเป็นผู้ใหญ่ผู้ปกครอง ถ้าผู้ปกครองโดยการปกครองทางโลก มันเป็นกฎหมาย เป็น พ.ร.บ. สงฆ์ การปกครองเป็นเรื่องของเขา เป็นภาระรับผิดชอบ คนดีก็มี คนเห็นแก่ตัวก็มี

แต่ถ้าพูดถึงเราปกครองตัวเราเองล่ะ เราปกครองตัวเอง เราเข้าป่าเข้าเขาเห็นไหม เข้าป่าเข้าเขานะ เวลาประพฤติปฏิบัติกัน เวลาได้ผลขึ้นมาทุกคนอยากมี อยากเป็น อยากเข้าใจ แต่เวลาออกประพฤติปฏิบัติ เวลาออกไปหาเหตุ เหตุมันไม่สมควรแก่ธรรม ถ้าเหตุไม่สมควรแก่ธรรม มันจะเป็นไปได้อย่างไรล่ะ

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการ ภิกษุบวชเมื่อแก่จะเข้าป่า “ขอให้บอกคำบริกรรมมา บอกเหตุบอกวิธีการมา” บวชเมื่อแก่อยากจะเข้าประพฤติปฏิบัติ ไม่มาเรียนปริยัติอยู่ ไม่มาเรียนทรงจำธรรมวินัยอยู่ จะเข้าประพฤติปฏิบัติ เข้าป่าเข้าเขานะ นี่มีมาก เวลาเข้าไปในป่าในเขา เวลาเข้าไปถ้าเจอเหตุการณ์วิกฤต เจอเหตุการณ์ต่างๆ มันก็สู้ ถ้าสู้ขึ้นมามีโอกาสเห็นไหม ถ้าเกิดเหตุการณ์วิกฤต ไปเจอผีหลอก ไปเจอต่างๆ วิ่งกลับมาหาพระพุทธเจ้ามากเลย พระพุทธเจ้าบอกกลับไปใหม่ กลับไปใหม่ เพราะวิธีการทำไม่ถูกไง

มันไปสำคัญตนก่อน สำคัญตนที่ว่าเรายิ่งใหญ่ไง กิเลสมันร้ายกาจนัก เป็นคฤหัสถ์เห็นไหม เราเป็นภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา อุบาสกต้องดูแลต้องอุปัฏฐากครูบาอาจารย์

เวลาบวชแล้วเป็นพระเป็นเจ้า มันยิ่งใหญ่ ถ้ากิเลสมันยิ่งใหญ่ขึ้นมาแล้ว ทำอะไรมันก็ยิ่งใหญ่ ยิ่งใหญ่มันก็ทำผิดเห็นไหม มันจะยิ่งใหญ่มาจากไหน เพราะอะไร เพราะบวชมาแล้ว มันก็บวชมาเพื่อเป็นนักรบ รบกับกิเลส

ถ้ารบกับกิเลสมันยิ่งต่ำต้อยนะ ต่ำต้อยเพื่ออะไร ต่ำต้อยเพื่อไม่ให้กิเลสมันพองตัวไง เราทำตัวเราเอง ถ้าเราไปทำตามกิเลสมันจะยิ่งใหญ่ ถ้ายิ่งใหญ่ขึ้นมานะ สิ่งนี้มันจะเป็นความเป็นธรรมไหม? มันจะเป็นสมาธิได้ไหม? มันเป็นทัพพีขวางหม้อ ถ้าทัพพีขวางหม้อมันไม่รู้รสชาติอะไรเลย มันเป็นทัพพี เขาจะตักก็ตักไม่ได้เพราะทัพพีมันขวางอยู่ ความยิ่งใหญ่ของเรามันขวางใจเราเอง แล้วมันยิ่งใหญ่ไปไหน ก็คนเหมือนกันเพียงแต่เป็นนักบวช

บวชขึ้นมาแล้วเพื่อชำระกิเลส ชำระกิเลส ชำระกิเลสที่ไหน กิเลสมันอยู่ที่ใจ มันก็ไม่มีความอหังการ เพราะเราอหังการตัวเราเอง เราอหังการ เราคิดว่าสิ่งนี้มันเป็นคุณประโยชน์กับเรา

แต่สิ่งที่มันเกิดขึ้นมาจากใจมันเป็นนามธรรมนะ ถ้าเป็นนามธรรมสิ่งที่เป็นนามธรรมมันก็ทำลายใจเรา มันทำลายใจเรานะ เพราะมันบังไว้หมดเลย มันบังเห็นไหม ดูสิ สอุปาทิเสสนิพพาน สิ่งนี้มันมีอยู่ในใจ มันมีอยู่ในใจ ความสุขมันมีอยู่ในใจ

สิ่งต่างๆ มันเป็นวัตถุ วัตถุก็คือวัตถุ วัตถุเครื่องดำเนินอยู่นี้ วัตถุเครื่องดำเนินเห็นไหม ปัจจัยเครื่องอาศัยสิ่งนี้ดำเนินอยู่นี้ เราใช้หมดก็ได้ชีวิตนี้ ใช้หมดคนอื่นใช้ต่อไป

แต่หัวใจนี่ประเสริฐมาก หัวใจมันปล่อยวางมาหมด มันปล่อยวางมาหมด มันมีความร่มเย็นของใจ สโมสรสันนิบาตของผู้ที่มีธรรมในหัวใจ นี่คุยธรรมะกันนะ วิหารธรรม สิ่งนี้มีความสุขในหัวใจเห็นไหม ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ ถ้าพูดธรรมะกันมันรื่นเริงมันเข้ากันโดยธรรม

แต่ถ้ามันพูดเรื่องอธรรมมันขัดขวางกัน ทัพพีมันก็ขวางหม้อในหัวใจเราอยู่แล้ว แล้วสิ่งนี้ทิฏฐิอันนี้จะให้คนอื่นเชื่อ ทุกคนต้องฟังเรา ทุกคนต้องเชื่อเรา ใครมันจะไปเชื่อล่ะ เพราะมันมีทัพพี ทัพพีมันก็ชนกันนะสิ

สิ่งนี้เวลาสนทนาธรรมมันไม่เป็นธรรม ถ้ามันเป็นมงคลมันเป็นธรรมขึ้นมา เป็นธรรมฟังแล้วมันรื่นเริงนะ เพราะอะไร เพราะกิเลสมันกลัวธรรม กิเลสนี่มันกลัวธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ถ้าเราพูดครูบาอาจารย์ที่มีธรรมในหัวใจ มันออกมาจากใจ ออกมาจากสัจจะความจริง ออกมาจากธรรมมันรื่นเริง มันน่าฟัง แล้วกิเลสมันกลัวด้วย แต่ถ้ามันเป็นกิเลสนะ เวลาพูดออกมามันไม่รื่นเริง มันไม่รื่นเริงเพราะอะไร เพราะมันมีกิเลสแฝงออกมาด้วย สิ่งที่เป็นกิเลสแฝงออกมา

ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสะอาดบริสุทธิ์มาก สิ่งนี้มีคุณค่ามากเห็นไหม ปรมัตถธรรม กราบธรรมๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรมจริงๆ

แต่เรากราบกิเลส เพราะกิเลสมันอ้างธรรม มันอ้างว่าธรรม มันกราบ มันกราบกิเลสด้วย พอกราบกิเลสไปกิเลสมันก็ย้อนกลับมาทำลายเรา เพราะมันขวางอยู่ในหัวใจเราอยู่แล้ว แล้วสิ่งที่พอใจกับมัน พอใจกับมันคือสิ่งที่มันขัดขวางในใจ แล้วพอใจกับมัน มันก็ฟูนะสิ กิเลสมันก็ตัวใหญ่ขึ้นมา แล้วกระทำมันก้าวเดินไม่ได้เลยนะ เราอ่อนแอ ทุกข์ยากเห็นไหม

เวลาบวชแล้วทำไมทุกข์ยาก เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกสิ่งนี้ประเสริฐที่สุด การบวชเป็นภิกษุประเสริฐที่สุด เพราะอะไร เพราะเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการคฤหัสถ์ เทศน์อนุปุพพิกถา เทศน์เรื่องของทาน ถ้าเขารู้จักการเสียสละ เขามีการให้ทาน เขารู้จักเสียสละ เรื่องของทาน เรื่องของสวรรค์ เรื่องของเนกขัมมะ เทศน์เรื่องของการเสียสละขึ้นมาก่อน ถ้าเสียสละแล้วถึงได้เนกขัมมะถึงออกบวช คฤหัสถ์ออกบวช ออกบวชมาเพื่ออะไร ออกบวชมาเพื่อต้องการเวลานะ เวลาที่กว้างขวางนะ

ภิกษุ นักรบ มีหนทางกว้างขวาง คฤหัสถ์เป็นผู้มีทางคับแคบ หน้าที่การงานของเรา เราเป็นคฤหัสถ์นะ หน้าที่การงานของเขา เขาต้องทำมาหากิน เขาต้องรับผิดชอบเห็นไหม เรื่องครอบครัว เรื่องสังคม เรื่องต่างๆ ต้องรับผิดชอบหมดเลย เวลาออกมาเป็นภิกษุภิกษุนักรบในศาสนาพุทธเห็นไหม ยกเว้นให้ภิกษุ ทุกอย่างยกเว้นให้หมดเลย แล้วเวลาออกประพฤติปฏิบัติ ๒๔ ชั่วโมงนะ เว้นแต่ว่าเรารับผิดชอบ เราเข้าเวร เราช่วยกันดูแล เราก็สละเวลาออกมาเพื่อสังคม เพื่อหมู่คณะ

ดูสิ เวลาเราไปบิณฑบาต เท้าเดินไปก้าวย่างไป เท้ามันเกี่ยงมือไหมล่ะ? เท้ามันเกี่ยงปากไหม? ปากเวลากลับมาแล้วฉันอาหาร ปากได้แต่เคี้ยวแต่กิน มันไม่เดินไปบ้างเลยเห็นไหม มือทำงานเป็นระวิงเลยนะ แล้วมันหัวไม่ทำมั่งล่ะ สังคมพระเราก็เหมือนกัน ในวัดๆ หนึ่ง พระที่เสียสละมาเป็นเท้า เสียสละมาเป็นมือ เสียสละมาเป็นศีรษะ เสียสละเป็นหูเป็นตา ช่วยเหลือกันเจือจานกัน สังคมมันก็ไปได้ สังคมก็เป็นความดี

ถ้าความดีเกิดขึ้นมาทำขึ้นมาแล้ว มันเป็นเพื่อใครล่ะ? เพื่อคนคนนั้นนะ เพราะการกระทำทุกอย่างไม่มีของฟรี เพราะเราทำขึ้นมา ดูครูบาอาจารย์ท่านว่าสิ มีข้อวัตรปฏิบัติ ข้อวัตรปฏิบัติมันมีกับหัวใจของเราไป

ถ้าเรามีข้อวัตรปฏิบัติเราจะไม่เก้อเขินกับสิ่งใดๆ เลย เราไม่เคยทำงานในตำแหน่งหน้าที่ใด พอไปทำมันผิดพลาดไปหมด แต่ถ้าคนทำเคยทำอยู่แล้ว มันจะต่างคนต่างทำ มันก็เหมือนร่างกาย สังคมก็เหมือนร่างกาย เหมือนกับเราอยู่ในเรือ เราต้องอาศัยเรือเข้าฝั่ง

นี่มันสังคมของสงฆ์ สังฆะ สังฆะคือหมู่สงฆ์ หมู่สงฆ์หมู่ที่จะประพฤติปฏิบัติ การสอนอันประเสริฐคือการสอนโดยไม่ต้องสอน การดำรงชีวิตของเราชาวบ้านเขามองดูกันอยู่นะ

เวลาใครจะบวชก็แล้วแต่ เรื่องของกิเลสนะ บวชออกไปเป็นพระจะไปอยู่อย่างไร แก่เฒ่าขึ้นมาใครจะดูแลรักษา มันวิตกวิจารไปหมดเลย เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “ถ้าใครอยากอุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้อุปัฏฐากภิกษุไข้เถิด”

แล้วเวลาภิกษุไข้ เวลาคนเจ็บไข้ได้ป่วยในวัดดูแลกันไหม ถ้ามีข้อวัตรปฏิบัติ มีคุณธรรมมันก็ดูแลรักษา ดูแลรักษาเพื่อใคร รักษาเพื่อเราไง เพราะว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไว้แล้ว ให้อุปัฏฐาก ให้ดูแล

มันเป็นการจรรโลงศาสนา มันเป็นการจรรโลงหมู่สงฆ์ มันเป็นการจรรโลงเห็นไหม เอื้อเฟื้อในธรรมและวินัย มันมีความเอื้อเฟื้อ มีความเผื่อแผ่ มีความเป็นไป สิ่งนี้มันมีอยู่แล้วไม่ขาดไม่แคลนหรอก เราไม่ต้องไปละโมบโลภมาก เราไม่ต้องไปกักตุนสิ่งต่างๆ ไม่ต้องหรอก มันขาดให้มันขาดด้วยกัน หัวหน้าก็ต้องตายไปก่อน หัวหน้าเป็นผู้รับผิดชอบ ถ้าหัวหน้าที่ไหนมีหัวหน้าตายไปก่อนเลย ถ้าหัวหน้าอิ่มหมีพลีมันแล้วลูกน้องตายก่อนนะ สงฆ์สังฆะนั้นอยู่ไม่ได้หรอก

สังฆะมันอยู่ได้ ถ้ามันขาดเหลืออะไร หัวหน้าต้องรับผิดชอบสิ หัวหน้าต้องรับผิดชอบเห็นไหม ผู้นำไง การจะเป็นผู้นำมันหาได้ยากนะ ถ้าหาได้ยากเห็นไหม ขณะที่เราเจอผู้นำ เราควรจะประพฤติปฏิบัติไหม เราเป็นคนไข้นะ เราเจ็บไข้ได้ป่วย เวลาเราเจอหมอเจอยา เราควรจะรักษาโรคภัยไข้เจ็บเราไหม ถ้าเราจะรักษาโรคภัยไข้เจ็บของเรา เราต้องรีบขวนขวาย ถ้าไม่รีบขวนขวายนะ เวลาเขาไปโรงพยาบาลกันเห็นไหม เวลาเขาจะผ่าตัด เขาต้องเตรียมร่างกาย เขาต้องทำความสะอาด เขาถึงได้ผ่าตัดเพื่อไข้นั้นนะ

นี่ก็เหมือนกัน เราจะแก้กิเลสของเรา เราทำความสงบของใจได้ไหม เราจะแก้ไขเราไหม เราจะมีความเอื้อเฟื้อในตัวเราเองไหม เอื้อเฟื้อในตัวเราเองนะ ไม่ต้องเอื้อเฟื้อใครเลย เอื้อเฟื้อตัวเราเอง มันจะมีโอกาสประพฤติปฏิบัติไง มันจะมีโอกาสเข้ามานะ

สิ่งนี้มันก็ไม่เกิดความอหังการ ธรรมมันเกิดที่นี่นะ ผู้ใดมีธรรมเห็นไหม สูงสุดสู่สามัญ มันไม่มีอัตตาในหัวใจ สิ่งที่การกระทำไปมันเป็นหน้าที่รับผิดชอบ มันเป็นเรื่องภาระ ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา แม้แต่ขันธ์ เวลาต้องรับผิดชอบมันไป ขันธ์นี่นะ ร่างกายนี้

แต่ทางโลก ร่างกายเห็นไหมต้องอิ่มหมีพลีมัน ต้องขัดผิวกัน ต้องดูแลกัน ต้องให้มันสวยๆ งามๆ แล้วประสาธรรมของเรา มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ มันเป็นอนิจจัง สิ่งใดเป็นอนิจจังสิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์สิ่งนั้นเป็นอนัตตา

สิ่งที่เป็นอนัตตามันหมุนเวียนในวัฏจักรของมันเป็นสภาวะแบบนั้น วัฏจักรของมัน ถ้ามีธรรมในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงเห็นวัฏจักรของมัน แต่หัวใจของเรา เราไม่เห็นวัฏจักรของมัน แต่เพราะมันมีกิเลส กิเลสมันขวางใจอยู่ พอกิเลสมันขวางใจเราอยู่ มันก็พอใจตามเรื่องของโลกเขา มันก็เป็นสุภะ มันก็เป็นเรื่องของโลกรื่นเริงกัน

แต่ถ้าเป็นธรรมเห็นไหม เป็นธรรมมันเป็นอสุภะ สิ่งที่เป็นอสุภะ อสุภะจะเกิดได้อย่างไร? อสุภะนี่ก็เป็นอสุภะ พูดกันปากเปียกปากแฉะนะ เป็นอสุภะ พกหนังสืออสุภะกันนะ สิ่งที่เป็นอสุภะมันเกิดขึ้นมาจากหัวใจ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแก้กิเลสไปได้เห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปเที่ยวสวน เห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย มันสะเทือนใจมาก

มันสะเทือนใจคนที่มีคุณธรรม แล้วเวลามันจะเกิดอสุภะ มันก็ต้องหัวใจที่มีคุณธรรม หัวใจที่มีคุณธรรมมันมีความอ่อนโยนของมัน ถ้าหัวใจที่ไม่มีความอ่อนโยนมันทำงานไม่ได้หรอก

ดูสิ เขาปั้นหม้อปั้นไห ดินมันต้องนิ่มนวลควรเหนื่อยการงาน เขาต้องทำดินนั้นให้นิ่มนวล ควรจะปั้นดินปั้นไหขึ้นมา หัวใจมันแข็งกระด้าง หัวใจมันอีโก้เต็มตัวอย่างนั้น มันจะไปทำงานอะไร มันทำงานไม่ได้ มันก็เป็นวิปัสสนึก มันก็เอาหัวโขนมาสวมใส่หัวมัน มันยิ่งออกเป็นมิจฉาไปใหญ่เลย มิจฉาเพราะอะไร เพราะกิเลสมันเป็นใหญ่ในหัวใจเห็นไหม

วิปัสสนาโดยกิเลส มันก็เป็นกิเลสทั้งนั้นนะ แต่อ้างธรรมว่าเป็นความปล่อยวาง เป็นความว่าง ความว่างของกิเลสไง มันไปสุดเขตสุดแดนของมัน มันแสดงตัวเต็มที่ของมันแล้วมันก็ปล่อย มันเหมือนกับการขับเคลื่อนของจรวด มันขับเคลื่อนไปจนหมดกำลังของมันแล้ว จนหมดเชื้อเพลิงแล้วมันก็ปล่อย แล้วมันก็ตกไป จรวดยิงขึ้นไปพอหมดแล้วเครื่องมันก็ตก

ความคิดมันก็คิดไปถึงที่สุดแล้ว มันก็สุดสิ้นของมันแล้วมันก็ตก พอตกมันก็เป็นความว่าง ความว่างนี้เป็นความว่างของใคร? ความว่างมันก็เป็นความอหังการในหัวใจ แต่ถ้ามันเป็นธรรมขึ้นมา มันมีอหังการมาจากไหน? มีแต่ความรื่นเริง มันมีความองอาจกล้าหาญ องอาจกล้าหาญมันเป็นกลางนะ องอาจกล้าหาญในความถูกต้อง องอาจกล้าหาญโดยกิเลส องอาจกล้าหาญในกิเลสเห็นไหม มันก็ขวางเขาไปหมด

ถ้าองอาจกล้าหาญโดยธรรม โดยธรรม ฟังสิ โดยธรรม มันจะเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มันเจือจานแม้แต่หัวจรดหาง มันเป็นคุณธรรมไปทั้งนั้นนะ มันเป็นความรื่นเริง มันเป็นความสุข มันไม่ขัดแย้งกับหมู่คณะ มันไม่ขัดแย้งกับสิ่งใด

ร่างกายเราไม่เกิดพิการ มันไม่เคยเจ็บไข้ได้ป่วยในร่างกาย เราจะเป็นความทุกข์อย่างไร แม้แต่หนามตำเท้า เดินบิณฑบาตเดินไปเหยียบเศษแก้ว เดินมามันยังโขยกเขยกเลย แล้วนี่สิ่งใดๆ ที่เกิดในหมู่สงฆ์ เกิดในหมู่ของเรา ในหมู่สงฆ์ จากหมู่สงฆ์ข้างนอก สังฆะ อริยทรัพย์จากภายใน สังฆะเกิดจากภายใน สังฆะมันเกิดจากภายใน ถ้าสังฆะเกิดจาภายในเห็นไหม ดูสิ นางวิสาขาไม่ได้บวชก็เป็นพระโสดาบัน นี่มันเป็นสังฆะจากภายใน

ถ้าสังฆะจากภายใน เป็นอริยสงฆ์จากภายใน สงฆ์อันแท้จริงเกิดจากที่นี่เห็นไหม ถ้าสงฆ์แท้เกิดจากที่นี่ จะทำอย่างไรให้เกิดที่นี่ล่ะ มันต้องรักษาพื้นฐาน ต้องรักษาใจก่อน ใจมันควรจะเปิด ควรจะเผื่อแผ่ให้กัน

การเผื่อแผ่มันเผื่อแผ่ขึ้นมาแล้ว มันเผื่อแผ่กลับมาใจเรานะ การเผื่อแผ่คนอื่นเพราะอะไร เพราะมันเป็นคุณธรรม มันเป็นความเผื่อแผ่จากหัวใจ มันเป็นการให้ เป็นการเสียสละ พอเสียสละมันก็เปิดพื้นที่ในใจ

แต่ถ้ามันเป็นการเอารัดเอาเปรียบ มันปิดหมดเลยปิดกั้นเลย ทำลายป่าแต่ป่ายังอยู่ มันไม่เห็นป่า ไม่เห็นอะไรเลย เห็นแต่การเอารัดเอาเปรียบ มันเป็นอาการของใจ มันเป็นอกุศล อกุศลมันก็เหยียบย่ำเขาไป พอเหยียบย่ำเขาไปมันก็ปิดใจตัวมันเอง

ถ้ามันมีการเผื่อแผ่ มีการคิดถึงสังคมคิดถึงโลก มันจะเปิดใจของเราเอง การเสียสละ คนที่เสียสละเป็นผู้ได้ ถ้าผู้ได้ขึ้นมาพระโสดาบันจะเกิดตรงนั้น เกิดตรงที่สถิตของพระโสดาบันไง พระโสดาบันมีโอกาสให้โสดาบันเข้ามาสถิตในหัวใจของเราได้ แต่ถ้าเราไม่เปิดโอกาสให้ที่ตั้งที่สถิตของโสดาบันขึ้นมาเลย แล้วมันจะวิปัสสนากันอย่างไร? มันจะเอาผลงานมาจากไหน? แล้วใครเป็นผู้รับผลประโยชน์เห็นไหม

เวลาบอกเวทนาทางสุข ทุกข์สุขทางโลกเป็นเวทนา ความสุข ความทุกข์ ทางโลก เขารู้จากกันเห็นไหม แล้วถ้าวิมุตติสุขมันสุขได้อย่างไร มันไม่สุขในเวทนาๆ มันเกิดความสุขมาจากไหน เวลาถามถามกันมากเหลือเกินนะ นี่วิมุตติสุขๆ สุขอื่นใดเท่าความสงบไม่มี แล้วมันสุขอย่างไรน่ะ สุขเท่ากับความสงบไม่มี

เวลามันเกิดความอหังการของใจ อันนั้นเป็นความสุขหรือ ความว่างนั้นเป็นความสุขหรือ เพราะความสุขอย่างนี้มันไม่คงที่ ความสุขอย่างนี้มันเป็นอนิจจัง เพราะมันเกิดดับเกิดดับในหัวใจของเรา มันจะเป็นความสุขมาจากไหน? แล้วเราไปติดความสุขอย่างนี้มันจะเป็นความสุขได้อย่างไร? มันก็สุขเวทนา มันก็เกิดดับ มันไม่เป็นความจริง

แต่ถ้ามันเป็นสัจจะความจริงขึ้นมาเห็นไหม สัจจะความจริงมาจากไหน? สัจจะความจริงมันเปิดพื้นที่ มันมีการเสียสละ มีความเอื้อเฟื้อ มันเปิดพื้นที่ให้มันก่อน ไม่เปิดพื้นที่ขึ้นมาให้มันรับผล มันจะเอาอะไรไปรับผล ผลการกระทำ ผลที่ตั้งภวาสวะ ตัวภพ ตัวใจ ใจอยู่ไหนๆ ใจเวลาประพฤติปฏิบัติใจอยู่ไหน

วันนี้วันมาฆบูชานะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการพระสงฆ์ ๑,๒๕๐ องค์ มีใครค้านองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าค้านภิกษุใน ๑,๒๕๐ องค์นั้นไหม

ในคราวลงอุโบสถคราวหนึ่ง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้แสดงอุโบสถ ตั้งแต่ปฐมยาม มัชฌิมายาม จนถึงยามสุดท้าย จนพระอานนท์นิมนต์แล้วนิมนต์อีกนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพระอานนท์

“เราจะไม่แสดงปาติโมกข์ ถ้าแสดงปาติโมกข์ภิกษุ ๒ คนนั้นจะตกนรก หัวจะแตกเป็น ๘ เสี่ยง” หัวจะแตกเป็น ๘ เสี่ยง หัวนี่จะแตกเลย

เพราะอะไร เพราะเป็นพระไม่บริสุทธิ์อยู่ในสังคม พระไม่บริสุทธิ์คือมันผิดศีล ไม่ใช่บริสุทธิ์พระอรหันต์หรอก เป็นผู้ผิดศีล จนพระอนุรุทธะกำหนดจิตดู พระอนุรุทธะนี่รู้วาระจิต มีฤทธิ์เลิศทางรู้วาระจิต เห็นแล้วลุกไปจูงมือพระ ๒ องค์นั้นออกจากสังฆะนั้นเลย แล้วพระอานนท์ก็นิมนต์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงปาติโมกข์ไง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสลดใจมาก “ต่อไปเราจะไม่แสดงปาติโมกข์แล้ว จะให้พวกเธอภิกษุของเรานี่แสดงกันเอง” เห็นไหม ทำการแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ในหมู่สงฆ์ที่ไม่บริสุทธิ์! องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่แสดงธรรม ยังให้ออกไป แล้วในวันมาฆบูชา สงฆ์ ๑,๒๕๐ องค์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงโอวาทปาติโมกข์ โอวาทปาติโมกข์เกิดจากใคร พระภิกษุที่เป็นพระอรหันต์ยังจะต้องแสดงปาติโมกข์อีกหรือ สิ่งที่แสดงปาติโมกข์เราจะแสดงปาติโมกข์กัน ปาติโมกข์เห็นไหม ศีล ๒๒๗ ข้อ มันเป็นการแสดงเพื่อความบริสุทธิ์ของสงฆ์

สงฆ์คือสมมุติสงฆ์เรา เราต้องแสดงปาติโมกข์กัน แสดงปาติโมกข์เพื่อให้เรารื่นเริงอาจหาญในกฎ ในธรรมเนียม ในธรรมเนียมปฏิบัติของพระ ถ้าพระยังมีศีลบริสุทธิ์อยู่อย่างนี้ โอกาสที่เราจะมีศีล สมาธิ ปัญญา มันจะเกิดโอกาสเข้ามาจากในหัวใจ

เปิดพื้นที่ เปิดพื้นที่ให้กับโสดาบัน เปิดพื้นที่ให้สกิทาคามี เปิดพื้นที่ให้กับอนาคามี แต่ต่างคนต่างไม่ทำ ต่างคนต่างไม่เอื้อเฟื้อในวินัย เป็นอาบัติปาจิตตีย์ตั้งแต่เริ่มต้น เริ่มต้นถึงคราวทำอุโบสถไม่ทำอุโบสถเห็นไหม

ในวัดวัดหนึ่งถ้าครบสงฆ์ แล้วสงฆ์ไม่มีใครสวดปาติโมกข์ได้ปรับอาบัติปาจิตตีย์ทั้งหมดเลย ถึงได้ส่งสงฆ์องค์ใดองค์หนึ่งไปศึกษา เพราะสมัยพุทธกาลไม่มีหนังสือ ไปศึกษาปากเปล่าจากสำนักอื่นมา อนุญาตให้ไปได้ต้องศึกษากลับมา กลับมาเพื่อแก้อาบัติไง เพื่อปลดอาบัติของหมู่คณะไง สิ่งนี้เพื่อให้รื่นเริงอาจหาญ ให้อยู่ในข้อปฏิบัติเดียวกัน ให้ย้อนกลับมาในหัวใจ ข้อวัตรปฏิบัติจากภายนอก ข้อวัตรปฏิบัติจากภายใน

ข้อวัตรปฏิบัติจากภายในนะ เวลาผู้ที่บริหารเขาใช้บริหาร เขาใช้ปัญญาของเขา ผู้บริหารคิดการบริหารจัดการจนเครียดมาก นั่นเป็นการบริหารจัดการในเรื่องของวัตถุ แต่เวลากิจจญาณมันเกิดเห็นไหม ข้อวัตรภายใน มรรคญาณมันเกิดเห็นไหม มรรคญาณมันเกิดขึ้นมา กงจักรเกิดกับธรรมจักรเกิดในหัวใจ มันต่างกันอย่างไร?

เวลากงจักรเกิด กงจักรมันหมุนเข้าไป มันทำลายกิเลสทั้งหมด กงจักรมันทำลายกิเลสนะ กงจักรมันทำลายเรา เราก็ว่าสิ่งนี้เป็นธรรม สิ่งนี้เป็นธรรมไง แต่มันเป็นกิเลสเข้าไปทำลายเรา เราก็ว่าสิ่งนี้ยังเป็นมรรค เป็นมรรคอยู่ นี่ไงเราไม่เปิดพื้นที่ มันมืดแปดด้าน มรรค ๘ มืดแปดด้าน มันเข้าไปทำลายกิเลสไม่ได้ มันก็เป็นกงจักรนะสิ

ถ้าเป็นธรรมจักรล่ะ มันสว่างขึ้นมา มันรู้เข้าจากภายในขึ้นมา ภายในมันจะรู้เข้าจากภายใน ภายในมันย้อนกลับเข้าไปธรรมเห็นไหม ถ้าธรรมจักรมันเกิด สิ่งนี้มันเกิดอย่างนี้ เกิดอย่างไร นี่ข้อวัตรภายใน

ถ้ามีข้อวัตรภายใน มันมีศีล มีสมาธิ มีปัญญา มันรู้จักถนอมรักษานะ คนเราเมื่อรู้จักถนอมรักษา ปลูกต้นไม้ ปักมันเอาตั้งแต่ปลายลงเลย แล้วก็เอาน้ำรดๆ จะให้มันขึ้นมามันเป็นไปได้อย่างไร เขาต้องเอาโคนลง เอาโคนลงเขายังต้องมีการบำรุงรักษาโคนต้น เขายังต้องมีรักษาให้น้ำให้ปุ๋ย เพื่ออะไร ก็เพื่อรักษาให้มันงอกงามขึ้นมา ให้มันแตกขึ้นมา

นี่พุทธะ หน่อของพุทธะมันจะแตกขึ้นมา หน่อของพุทธะนะ หน่อของหัวใจมันเจริญงอกงามขึ้นมา ถ้างอกงามขึ้นมาเห็นไหม ดูสิ ในมุตโตทัย เห็นไหม ธรรมสถิตในหัวใจของใคร ธรรมสถิตในใจของพระอรหันต์ สะอาดบริสุทธิ์ทั้งหมด ธรรมสถิตอยู่ในใจของพระอนาคามีเห็นไหม มีความสะอาดส่วนหนึ่ง มีความสกปรกส่วนหนึ่ง พระสกิทาคามี พระโสดาบันเห็นไหม มีความสะอาด..

แล้วธรรมที่สถิตอยู่ในหัวใจที่สกปรกล่ะ มันจะเอาธรรมมาจากไหน ธรรมมาจากไหนก็ธรรมมาจากความจำ ความจำก็พูด เวลาไม่มีอกุศล ไม่มีสิ่งใดกระทบ มันก็พูดโดยธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อใดมันมีลาภสักการะ มีสิ่งใดที่มันเป็นเครื่องล่อ มันจะกล่าวถึงตู่พุทธพจน์ มันจะอ้างอิง อ้างอิงไปหมดเลย เพื่อเราๆๆ เห็นไหม เพื่อใคร ก็เพื่อลาภ เพื่อสิ่งต่างๆ

ธรรมสถิตในหัวใจของใคร ธรรมสถิตในหัวใจของครูบาอาจารย์เราที่สะอาดบริสุทธิ์ มันจะเป็นธรรมที่สะอาดบริสุทธิ์ ธรรมสะอาดบริสุทธิ์เพื่อใคร เพื่อหัวใจของครูบาอาจารย์เราหรือ? ในเมื่อมันเป็นธรรมแล้ว มันต้องเอาสิ่งใดไปเติมอีกเห็นไหม ไม่ต้องการสิ่งใดๆ อีกแล้ว เพราะจิตมันเป็นธรรม เติมไม่ได้ น้ำมันล้นแก้ว มันเพื่อใคร ก็เพื่อสังฆะ ก็เพื่อสังคม เพื่อธรรม เพื่อรัตนตรัย เพื่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เพื่อศาสนา เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของศาสนาไง เพื่อสิ่งนั้นถึงแบกรับภาระไงเห็นไหม

ดูว่าพฤติกรรม พฤติกรรม เวลาการแสดงออกทำไมมันฉุนเฉียวขนาดนั้น มันเป็นอาการของธรรมที่มันแสดงออกมาจากใจที่มันเป็นธรรมนะ น้ำสะอาดที่มันชำระสิ่งสกปรก มันก็ต้องมีอาการของมัน แต่เราก็ไปเลือกกัน เราไปคัดแยกกัน ไม่ได้ๆ สิ่งนี้เป็นกิเลส ถ้าสิ่งนี้เป็นกิเลสหมด กิเลสในหัวใจก็เป็นกิเลสหมด เราเกิดมา เกิดมาโดยกิเลสทั้งนั้นนะ คนที่เกิดมาทุกคนมีกิเลส แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะก็มีกิเลส

แต่กิเลสสิ่งนี้เกิดขึ้นมาเพราะมันยังมีสิ่งอยู่เหมือนกับ สอุปาทิเสสนิพพาน พระอรหันต์ที่ยังมีร่างกายอยู่ เพราะการเกิดมา เกิดโดยกิเลส แต่ทำความสะอาดของใจแล้ว มันยังมีร่างกายอยู่ เพราะมันยังไม่ถึงวาระของการดับ ถ้าถึงวาระของการดับแล้วก็เป็นอนุปาทิเสสนิพพานคือสิ้นชีวิตไป เป็นความสะอาดบริสุทธิ์ มันสะอาดตั้งแต่ในหัวใจอยู่แล้ว กิเลสมันตายตั้งแต่ขนาดที่ว่าสมุจเฉทปหาน ตั้งแต่มรรคญาณเกิดขึ้นขนาดนั้น กิเลสมันตายอยู่แล้ว ใจดวงนี้มันไม่มีที่ตั้ง มันไม่มีสิ่งใดๆ เลย แต่ในเมื่อมันเป็นบุญวาสนาที่ว่ามันยังสถิตอยู่ในร่างกายที่ยังมีชีวิตอยู่นี่ไง

พระอรหันต์ที่ยังมีชีวิต พระอรหันต์นี้ตายแล้วเห็นไหม มันถึงเป็นความสะอาดบริสุทธิ์ แล้วสิ่งที่เป็นสะอาดบริสุทธิ์อย่างนี้มันแสดงออกมามันเหมือนกับฝนตก ฝนตกฟ้าร้อง ถ้าฝนกระหน่ำลงมาเรามีความร่มเย็นเป็นสุขของเรา

ครูบาอาจารย์ที่มีคุณธรรม แสดงธรรมนะเหมือนฝนตกฟ้าร้องเลย ฟังขนาดไหนมันก็มีความร่มเย็นเป็นสุข แต่ถ้ามันเป็นฝนกรดล่ะ มันเป็นฝนพิษ มันตกลงมาแล้วใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้เลย ทำให้ต้นไม้ตายด้วย ใช้ประโยชน์อะไรก็ไม่ได้ เพราะมันแสดงออกมาจากใจที่สกปรก

ถ้าใจสกปรกมันแสดงออกมาก็เพื่อประโยชน์ของมัน สิ่งนี้มันแสดงออกมาแล้วมันเพื่อศาสนาไหม ถ้าเพื่อศาสนามันต้องเจริญรุ่งเรืองสิ แสดงธรรมขึ้นมาแล้ว มีแต่ความร่มเย็นเป็นสุขสิ

เวลาฝนตกขึ้นมาแล้วต้นไม้ต่างๆ มีแต่ความเจริญงอกงาม มีความชุ่มชื่น มีความร่มเย็นเป็นสุขสิ แต่ถ้าเป็นฝนพิษขึ้นมานะ เขาต้องตั้งงบประมาณมาชำระล้างมันอีกนะ ต้องตั้งงบประมาณเพื่อมาฟื้นฟูๆ สิ่งที่ฟื้นฟูขึ้นมาฟื้นฟูก็เพื่อมนุษย์อีกล่ะ มนุษย์ของโลกนี้นะ สิ่งนี้มันมีกับเรานะ เราเป็นนักรบ สิ่งต่างๆ เราต้องมีจุดยืน เราต้องมีกำลังของเรา เราต้องตั้งใจของเรานะ

เพราะอะไร เพราะดูสิ วันนี้วันสำคัญทางศาสนา แม้แต่ทางคฤหัสถ์เขายังใส่ใจ เขายังค้นคว้า เขายังต้องการของเขา เราเป็นนักรบนะ เราเป็นตัวแทน ตัวแทนเห็นไหม สังฆะ สมมุติสงฆ์ สมมุติสงฆ์ถ้าเราสร้างขึ้นมา มันก็เป็นอริยสงฆ์จากภายใน ถ้าอริยสงฆ์จากภายใน มันองอาจกล้าหาญนะ

คนเราทำงานได้ ทำงานเป็น สิ่งใดมันก็ทำได้นะ ทำงานไม่ได้ ทำงานไม่เป็น อาศัยเขานะ ทุกข์นะ ถ้าทำได้ทำเป็น เราจะไม่ทุกข์ เราจะองอาจกล้าหาญในสังคม แม้แต่ศีล ถ้าศีลเราบริสุทธิ์ จะสังคมไหนเราก็เข้าได้ ยิ่งธรรมะมาได้เลย

เวลาครูบาอาจารย์ของเราที่เป็นธรรมเห็นไหม ขอให้ถามมา ขอให้ถามมาเลย แต่ถ้าแสดงออกไป แสดงออกไปอย่างไร เพราะอะไร เพราะน้ำพริกถ้วยเดียวกับน้ำทะเล มันแข่งกันไม่ได้หรอก หัวใจดวงหนึ่ง จุดหนึ่งของวัฏฏะ แล้วสิ่งที่สกปรกเป็นล้านๆๆๆๆ นับไม่ได้เลย แล้วมันจะเทียบได้อย่างไร แล้วเวลาแสดงออกมา ถ้าให้แสดงออกมาจะแสดงออกมาได้อย่างไร

ถึงเวลาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก จากใจดวงนั้น ใจดวงนั้นเป็นเอง สิ่งต่างๆ เป็นเองอย่างนั้น แต่เวลาแสดงออกมา ถามมาก็เพื่อใจดวงนั้น การถามมาคือสิ่งต่างๆ ที่ลังเลสงสัยมันเป็นประโยชน์ไง เป็นประโยชน์กับบุคคลคนนั้น เป็นประโยชน์กับขณะปัจจุบันนั้น

สิ่งที่ปัจจุบันนั้นเพื่อประโยชน์ แล้วน่าสลดสังเวชมาก ถ้าครูบาอาจารย์ของเราล่วงไปๆ แล้วมันจะมีใครเป็นผู้บอกกล่าวล่ะ มันจะมีอะไรอีกที่จะเป็นประโยชน์กับเราล่ะ สังคมมันจะเรียวแหลม ศาสนาจะเสื่อม เสื่อมมาจากไหน

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไว้แล้ว ศาสนาจะเสื่อมก็เสื่อมจากภิกษุ จากนักรบ จากเจ้าของบริษัทเรา จะไม่เสื่อมมาจากนอกบริษัท ในศาสนาพุทธนี้ แล้วนี่สิ่งนี้เราจะขวนขวายไหม เราจะจำนนไหม เราจะเข้มแข็งไหม ถ้าเราเข้มแข็งนะ เรามองไปที่โลก ทำไมเขาขวนขวายกันขนาดนั้น ทำไมเขาแสวงหากันขนาดนั้น เราเป็นนักรบแท้ๆ ทำไมเราไม่แสวงหาของเรา ทำไมเราไม่ทำงานของเรา

กิจจากภายนอกเห็นไหม ธุรกิจภายนอก ธุรกิจจากภายใน กิจจญาณ สัจจญาณ ในธรรมจักรเห็นไหม ถ้าไม่มีกิจจญาณ สัจจญาณ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ปฏิญาณตนเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ปัญจวัคคีย์เธอได้ยินไหม “เราพูดคำนี้เธอได้ยินไหม เคยบอกไหมว่าเราเป็นพระอรหันต์ เคยบอกไหม” เพราะเป็นสุภาพบุรุษ สิ่งใดที่ไม่เป็นจริงไม่กล้าพูดหรอก เพราะสุภาพบุรุษ อกุศลสิ่งที่เป็นความหลอกลวงพูดไม่ได้ พูดไม่ได้หรอก มันพูดออกมาจากใจไม่ได้ เพราะถ้าใจไม่พูด มันจะพูดออกมาจากปากได้ไง มันเป็นไปไม่ได้

แต่นี่เราบอกเห็นไหม เพราะมันมีกิจจญาณ สัจจญาณ เราถึงปฏิญาณตนว่าเป็นพระอรหันต์ ให้เงี่ยหูลงฟัง ทเวเม ภิกฺขเว สิ่งที่ปัญจวัคคีย์ทิ้งมาก็เพราะเหตุนี้ไง เหตุนี้เริ่มต้นตั้งแต่อดอาหาร แล้วออกไปฉันอาหารของนางสุชาดา ทเวเม ภิกฺขเว ทางสองส่วนเลย

การอัตตกิลมถานุโยคก็ผิด กามสุขัลลิกานุโยคก็ผิด แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสิ่งที่เกิดขึ้นมา ที่ปัญจวัคคีย์นั้นเห็นนี่ผิดหมดเลย มัชฌิมาปฏิปทาอยู่ที่ไหน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าค้นคว้าขึ้นมาเอง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมาเอง เงี่ยหูลงฟังเทศน์ธรรมจักรเห็นไหม ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ, ความสว่างของปัญญามันจะเกิดอย่างนี้ เกิดอย่างนี้ เกิดอย่างนี้ พระอัญญาโกณฑัญญะใช้ปัญญาตาม ฟังนะ! ใช้ปัญญาตามนะ เพราะว่าปัญญามันเกิด เพราะใช้ปัญญาตาม

พอใช้ปัญญาตามไป เหมือนกับผู้ใหญ่จูงเด็กเห็นไหม เดินตามมา จูงมือเดินตามมาเลย พระอัญญาโกณฑัญญะ “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา” อาการของใจที่เกิดขึ้น เกิดดับเกิดดับมันเป็นเรื่องของมัน

จิตที่จิตอวิชชา ที่มันไปเกาะเกี่ยวกับสิ่งนั้นเห็นไหม มันเกิดมันตอบสนองกัน สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นต้องดับเป็นธรรมดา มันดับธรรมดาเป็นธรรมชาติของมัน แต่นี่มันดับธรรมดาโดยปัญญาของพระอัญญาโกณฑัญญะ โดยปัญญาญาณที่เห็นจากภายใน

สิ่งใดสิ่งหนึ่งมันเกิดขึ้นเป็นธรรมดา แล้วสิ่งที่เข้าไปดับ สิ่งที่เข้าไปทำลาย ถ้าไม่มีสิ่งที่เข้าไปทำลายมันจะมีกิจจญาณ สัจจญาณ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการอยู่ได้อย่างไร

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการอยู่เห็นไหม ถ้าไม่มีกิจจญาณ สัจจญาณ เราจะไม่ปฏิญาณตน แล้วนี่พระอัญญาโกณฑัญญะเดินตามมา กิจจญาณ สัจจญาณที่เห็นในปัญญาของพระอัญญาโกณฑัญญะเห็นตามเห็นไหม

แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “อัญญาโกณฑัญญะ รู้แล้วหนอๆ” เป็นสัจธรรมความจริงเหมือนกัน สิ่งนี้ก็เหมือนกันเห็นไหม นี่เป็นสงฆ์องค์แรกของโลก สงฆ์องค์แรกของโลก เห็นไหม สงฆ์องค์แรกของโลกตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป

แล้วนี่วันนี้วันสำคัญ ผลของวันมาฆบูชา สงฆ์ ๑,๒๕๐ องค์ ผลงานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เอหิภิกขุบวชให้เอง แล้วเป็นพระอรหันต์ทั้งหมด แล้วมรดกตกทอดมาถึงเรา แล้วเราก็เป็นนักรบ เราก็เป็นภิกษุ เราไม่ใช่เอหิภิกขุ เราจตุตถกรรม เราญัตติขึ้นมาในสงฆ์ สงฆ์ญัตติมาถูกต้อง เราเป็นนักรบโดยสมบูรณ์ เราต้องตั้งใจ เราต้องมีความอุตสาหะ แล้วเราจะต้องทำเอหิภิกขุในหัวใจของเรา

เราจะบวชใจเรา เราจะประพฤติปฏิบัติของเรา เราจะแก้ไขกิเลสของเรา สิ่งใดที่มันขัดแย้ง มันเป็นกิเลสเครื่องขวางใจ เราพยายามปัดออก ครูบาอาจารย์เทศน์ขนาดไหน นี่นะ มันก็เป็นธรรมของครูบาอาจารย์ของเรา แต่ถ้ามันเป็นการกระทำ กิจจญาณ เราปัดสิ่งที่มันเป็นความชั่วช้า สิ่งที่ขวางใจ เราต้องใช้สติ เราต้องใช้ปัญญาของเราปัดออก

ถ้าเราปัดออก เราแก้ไขออกเห็นไหม โอกาสเรามี โอกาสนะ โอกาสเฉยๆ โอกาสมันยังไม่เป็นความจริง ถ้าเป็นความจริงมันจะเป็นกิจจญาณ มันจะเป็นการกระทำที่มันเป็นมรรคญาณ แล้วมันทำลายอยู่ในหัวใจ แล้วจะซึ้งในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วจะไม่มีอกุศลในหัวใจ จะไม่ก้าวล่วงในธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

สิ่งนี้มันเป็นหนทาง มันเป็นสิ่งที่เราจะจรรโลงไว้ให้กับศากยบุตร ให้อนุชนรุ่นหลังได้ก้าวเดินตาม สิ่งที่ก้าวเดินตามเพื่อจรรโลงศาสนา จรรโลงศาสนาในหัวใจของภิกษุ ถ้าในใจของภิกษุมีธรรมในหัวใจ มันจะเป็นเครื่องดำเนิน มันจะเป็นแสงสว่างให้กับสังคม มันจะเป็นสิ่งต่างๆ จรรโลงสังคมให้ร่มเย็นเป็นสุข ไม่ให้มีความทุกข์เบียดเบียนกันจนเป็นความทุกข์อยู่เหมือนกันขนาดนี้ เอวัง