เทศน์พระ

เทศน์พระ ๒๒

๑๕ มิ.ย. ๒๕๕o

 

เทศน์พระ วันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๕๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้เราลงอุโบสถ ลงอุโบสถแล้ว การลงอุโบสถในหัวใจนะ เพราะอะไร เพราะว่าการลงอุโบสถองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้แสดงปาติโมกข์เอง แล้วถึงเวลาจุดหนึ่งเห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงบอกว่า ให้ภิกษุแสดงกันเอง

การแสดงปาติโมกข์เป็นหัวใจของศาสนา มันเป็นหัวใจนะ ธรรมและวินัยจะเป็นศาสดาของเรา ทีนี้การแสดงปาติโมกข์นั้นคือหัวใจ แต่ถ้าเราฟังกันจนชินชา มันทำกันจนเป็นพิธี ถ้าทำเป็นพิธีมันเข้าไม่ถึงใจเห็นไหม เราถึงต้องมีการอบรมบ้างเป็นครั้งคราว

อบรมเพื่อใครล่ะ? อบรมเพื่อเราเองนะ เรานะ พุทธะอยู่ที่เราเห็นไหม เวลาครูบาอาจารย์ปฏิบัติเห็นไหม พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อยู่ที่ใจ ทั้งๆ ที่ของยังอยู่กับเราเองนะ เวลาอบรมก็อบรมเพื่อเรา ผู้อบรมเห็นไหม ดูสิ ถวายความรู้ เวลาเขาประชุมสงฆ์กันเห็นไหม ถวายความรู้ภิกษุ แล้วเอาใครมาถวายล่ะ เอาคฤหัสถ์มาถวายความรู้กับภิกษุนะ เราเป็นภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เห็นไหม ภิกษุเป็นเป็นผู้นำ ถ้าเป็นผู้นำ ผู้นำนำมาจากไหนล่ะ ถ้าผู้นำเป็นปริยัติเขานำมาจากวิชาการทฤษฎี

แต่ครูบาอาจารย์เขานำออกมาจากหัวใจนะ หัวใจมันอยู่กับเรา ผู้รู้อยู่กับเรา เวลาเขาอบรม เขาเอาอะไรมาอบรมเรา เขาเอาเปลือกมาอบรมเรานะ เอาประเพณีวัฒนธรรมพิธีกรรม เอาต่างๆ มาอบรมเราเห็นไหม แต่นี่เราอบรมกันเอง ภิกษุให้ภิกษุอบรมกันเองเห็นไหม

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเลยนะ “ถ้าเราภิกษุอยากจะอุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้อุปัฏฐากภิกษุไข้เถิด” อุปัฏฐากภิกษุไข้นะ แต่ภิกษุไข้นั้นต้องเป็นผู้ที่ควรอุปัฏฐาก ถ้าภิกษุไข้นั้นเป็นผู้อ่อนแอ เป็นผู้ที่อุปัฏฐากแล้วจะเรียกคนใดคนนั้นอุปัฏฐาก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าไม่ต้องไปมองเลย เห็นไหม

การจะอุปัฏฐากนะ อุปัฏฐากผู้ที่ควรอุปัฏฐาก ในวัดของภิกษุไข้ ภิกษุไข้ต้องเป็นผู้อุปัฏฐากง่าย เวลามีอะไรไม่เรียกร้อง ไม่ต่างๆ เป็นผู้เข้มแข็ง ไม่ใช่ทอดทิ้งกัน แต่ถ้าเรียกร้องกันมันก็อุปัฏฐากไม่ได้ ธรรมวินัยมีไว้ แต่ธรรมวินัยมีไว้เป็นกลางไง แต่ถ้าเอาธรรมวินัยมาเหยียบย่ำกันนะ ดูสิ ศีลธรรมเอาไว้ทำไม เอาไว้จับผิดเรานะ เอาไว้ดูแลเห็นไหม เอาไว้ดูแล เอาไว้ปลูกฝัง ปลูกพุทธะเรา ปลูกความรู้สึกเราให้เติบโตขึ้นมา

ครูบาอาจารย์ท่านเคยสอนไว้ ถ้าความผิดพลาดของเรา เราหาของเราไม่เจอ คนอื่นก็หาไม่เจอหรอก แต่ถ้าความผิดพลาดของเรามีอยู่ในหัวใจนะ ไม่ต้องให้คนอื่นหาหรอก เราก็รู้ ถ้าเราคิดผิด เราทำผิดในหัวใจ เราจะเอาหมักหมมไว้ขนาดไหน สิ่งที่มันอยู่กับเราเห็นไหม แล้วถ้าเกิดเราเห็นของเรา คนอื่นทำไมจะมองไม่เห็น เป็นไปไม่ได้หรอกเห็นไหม

ทางโลกเขาว่ากันอย่างนั้น เราคบกัน คบกันได้แต่เป็นหมู่เป็นคณะกัน แต่ใจเราไม่รู้กันได้หรอก แต่ถ้าเป็นผู้รู้นะ.. มี ผู้รู้เรื่องหัวใจนี่มีเห็นไหม สิ่งนี้รู้กันได้ เพียงแต่ว่าครูบาอาจารย์บอกเลย มันมีคติไง เวลาพูดไปแล้ว ทำไปแล้ว มันเป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์ ถ้าไม่เป็นประโยชน์เขาก็ไม่ทำ ไม่พูด เก็บไว้ในหัวใจดีกว่า

แต่ถ้าเป็นประโยชน์เห็นไหม เพราะอะไร เวลาธรรมวินัยเห็นไหม ให้ย้อนมาที่ใจเรา ให้รักษาของเรา ดูใจเรา สิ่งความเป็นอยู่ของเรานะใช่ เป็นหน้าที่ของครูบาอาจารย์เห็นไหม เป็นเอกภาพ ความเป็นไปเหมือนร่างกายเห็นไหม ร่างกายถ้ามันเคลื่อนไหวไป ถ้ามันปกติเราจะเคลื่อนไหวไปได้อย่างปกติ ถ้ามีส่วนใดส่วนหนึ่งพิการไป ส่วนใดส่วนหนึ่งเจ็บไข้ มันทำให้ร่างกายเราเดินไปไม่สะดวกเลย

นี่ก็เหมือนกัน ในหมู่สงฆ์เราถ้ามีผู้เจ็บไข้ได้ป่วย มันก็ทำให้ร่างกายเรามันไปไม่สะดวก ก็ต้องดูแลกัน ต้องรักษากัน ต้องอุปัฏฐากกัน “ถ้าจะอุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้อุปัฏฐากภิกษุไข้เถิด”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวินัยไว้อย่างนี้ ถ้าคนมีน้ำใจ มันทำกันมันทำได้ สิ่งที่มีน้ำใจนะ แล้วผู้ที่เขาอุปัฏฐากเขาก็เห็นคุณค่าไง ถึงบอกว่าเราไม่ใช่เด็กกำพร้า ไม่ใช่ภิกษุที่เป็นลูกกำพร้าไง เรามีธรรมวินัยเป็นที่ยึดมั่น ยึดมั่นนะ ถ้าเราหมู่คณะมีสหธรรมมิก มีเพื่อนมีฝูง มีการอุปัฏฐาก มีการดูแลกัน ถ้าของเราเป็นอำนาจวาสนาเป็นบารมี

ถ้ามันไม่มีเห็นไหม เราอยู่ผู้เดียว เราออกวิเวก ออกไปอยู่ผู้เดียว เจ็บไข้ได้ป่วยเห็นไหม ธรรมไง ธรรมโอสถ ธรรมโอสถเห็นไหม เราอยู่กับธรรม อยู่กับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อยู่กับเราเห็นไหม เจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาเราก็ดูแลเราเลย เราพยายามทำความสงบของเรา ถ้าจิตสงบเข้ามานะ เวลาหนาวนักร้อนนัก มันเข้ามาอยู่ที่จิตของเรา มันปล่อยวางได้เห็นไหม

เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยนะ เจ็บไข้ได้ป่วยถ้ามียา มีการรักษา เราก็รักษา ถ้ามันไม่มียานะ เราก็ต้องพิจารณาเลย ถ้าการพิจารณานั้นเป็นการวิปัสสนาเป็นการแยกแยะ ถ้ามันแยกแยะได้เห็นไหม ธรรมอยู่ที่ใจ สันทิฏฐิโกมันเกิดกับเรานะ ไข้หนาวสั่นเลย แล้วเวลามันหาย มันหายไปไหน? ไข้ของเรามันหายไปไหน? เวลามันหายมันไปได้เพราะอะไร เพราะธรรมไง เราเข้าถึงธรรม ไปอยู่กับธรรม เพราะจิตมันเป็นธรรม มันปล่อยวางสภาวะนี้ได้

สิ่งนี้มันเกิดขึ้นมาจากการประพฤติปฏิบัติของเรา จากประสบการณ์ของเราเห็นไหม ถ้าสิ่งนี้เกิดขึ้นมาจากเรา สิ่งที่เกิดขึ้นมาจากเรา เราเองเราเป็นผู้ประสบสัมผัส มันอยู่ที่ใจไง ถ้ามันอยู่ที่ใจเห็นไหม เวลาวันอุโบสถเราจะสวดปาติโมกข์กัน สวดปาติโมกข์กันเพราะอะไร เพราะเราจะได้ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

ตั้งแต่ปาราชิก ๔ สังฆาทิเสส ๑๓ อนิยต ๒ นิสสัคคีย์ ๓๐ สิ่งนี้มันเป็นหลักชัยของเราไง มันเป็นเครื่องวัดกันไง หมู่คณะเราอยู่ได้เพราะอะไรเห็นไหม บรรทัดฐานวัดกันที่นี่ ถ้าเรามีทิฏฐิ มีความเห็นเสมอกัน ความเป็นอยู่จะผาสุกนะ แต่ถ้ามันมีความผิดพลาดขึ้นมา มันก็แก้ไข คนเรามันแก้ไขได้ เราเดินไปยังลื่นล้มได้เลย ความผิดพลาดเป็นเรื่องปกติธรรมดา

แต่! แต่เราเป็นบัณฑิต ผิดต้องยอมรับผิด ถูกก็ถือเป็นผู้ถูก ถ้าเป็นขณะที่ว่า “ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ” มีการสนทนาธรรมกัน ถ้ามันไม่มีการยอมรับกัน สิ่งใดเราก็ยืนไว้สิ เราหยุดไว้ หยุดไว้แค่นี้ก่อน เห็นไหม ให้เขารู้สึกตัวของเขาขึ้นมา เพราะกิเลสมันไม่ไว้หน้าใครเลย เวลากิเลสมันมีทิฏฐิขึ้นมานะ มันจะยึดมั่นของมันเห็นไหม เหมือนเด็กๆ เลย เด็กๆ เขาไปเจอของสิ่งใด สิ่งนั้นเป็นของแปลกๆ ทั้งนั้นเลย

แต่ผู้ใหญ่ผู้เฒ่าเขาเห็นมาตั้งแต่เด็กจนเขาเฒ่านะ มันเรื่องปกติของเขา แต่เด็กมันเข้าไปเห็นใหม่ มันจะตื่นเต้นของมันนะ มันจะว่าสิ่งนั้นเป็นของแปลกประหลาด สิ่งที่เห็นแปลกประหลาด ถ้าเห็นถูกมันก็เป็นว่าสิ่งที่ติดมันติดอยู่ตรงนั้น ถ้าไปเห็นผิด เห็นผิดมันก็เป็นทิฏฐิของเขา มันเรื่องของกิเลส

กิเลสไม่ไว้หน้าใคร ไม่ไว้หน้าใครเลย ในโลกนี้เกิดมามีกิเลสทุกคน แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมัยเป็นเจ้าชายสิทธัตถะเห็นไหม ถ้าไม่มีกิเลส อะไรมาเกิด แล้วเกิดขึ้นมาแล้วทำไมมีสามเณรราหุลขึ้นมา มันยังมีอยู่ในเมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ธรรมยังไม่มีในโลก เวลาสะเทือนใจไหม เวลาคนตายไป ยมบาลถามว่า “เคยเห็นธรรมไหม เคยเห็นธรรมไหม” บอกไม่เคยเห็น

พูดกับคฤหัสถ์นะ แล้วเวลาโยมมาถามกลับไง ไม่เห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตายหรือ? เห็น นั่นล่ะมันแสดงธรรมเห็นไหม เจ้าชายสิทธัตถะเข้าไปเที่ยวสวน เห็นเด็กเกิด เห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย เห็นสมณะ ออกแสวงหาสมณะอย่างนี้ แล้วออกเป็นสมณะเป็นนักบวช บวชแต่ร่างกายก่อนเห็นไหม เวลาวันเพ็ญเดือน ๖ บวชหัวใจ “เอหิภิกขุ” บวชหัวใจของตัวเอง

เราจตุตถกรรม เราญัตติขึ้นมา เราบวชเป็นภิกษุขึ้นมา ถ้าเราเอหิภิกขุ เราบวชเราขึ้นมา เราบวชมาจากไหนล่ะ? เราจะเริ่มฝึกฝนใจนี้ไง เห็นคุณค่าไง ถ้าเห็นคุณค่านะ มันจะกราบเท้าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เต็มหัวใจ

ถ้ากราบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จากภายนอก เราจะมีพาหะ มีเรือ มีเครื่องดำเนินนะ ให้ใจเราเข้าไปถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แต่ถ้าเราทำให้กิเลสเห็นไหม สิ่งที่เป็นพาหะของเรามันเป็นเรือรั่ว มันเป็นสิ่งที่ว่าชำรุดทรุดโทรม มันไปไม่ได้

หัวใจมันมีอยู่นะ ทวนกระแสเข้ามา ศีล สมาธิ ปัญญา ในใจของเรามันจะทวนกระแสเข้ามา ถ้ามันเป็นสัมมา มันเป็นความถูกต้องเห็นไหม สิ่งที่ปฏิบัติไปมันเป็นมรรคญาณ สิ่งที่มันเป็นความเห็นของกิเลส เวลาเอาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าเป็นพาหะ เป็นเครื่องดำเนินเห็นไหม เวลาเข้าไปมันเป็นอะไรล่ะ มันเป็นกิเลส มันเป็นมิจฉา

สิ่งที่เป็นมิจฉานะ ดูสิ ดูในปัจจุบันนี้ เวลาเรื่องการคมนาคมเห็นไหม มันมีการก่อการร้ายนะ มันระเบิดทั้งคันรถเลย ระเบิดตายหมดเลยนะ นี่ถ้ามันมีกิเลสนะ มันระเบิดอย่างนั้นนะ ถ้าเราไปมันไปถึงฝั่งไหม? มันไปถึงเป้าหมายปลายทางไหม? ถ้ามันไปถึงเป้าหมายปลายทาง เราถึงจะกราบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

เวลาศีล ศีลทำให้สะอาดบริสุทธิ์ ตรวจสอบ เวลาคนขึ้นรถเห็นไหม เขาต้องมีทหารตรวจอาวุธ ตรวจต่างๆ ถ้าศีลเราบริสุทธิ์ เราตรวจพฤติกรรมของเรา เราดูพฤติกรรมของเรา พฤติกรรมของเราถูกต้องไหม? ถ้าพฤติกรรมถูกต้อง การคมนาคมมันจะสะดวก ศีลของเราจะดีขึ้น

แล้วเวลาแสดงปาติโมกข์ เรามาแสดงปาติโมกข์กันตรงนี้ไง สมัยพุทธกาล ภาษาบาลีมันเหมือนภาษาไทยเรา พระรู้กันโดยพื้นฐาน ถ้ามีสิ่งใดผิดขึ้นมา เขาจะสะกิดกัน “เดี๋ยวจะปลงอาบัติ จะปลงอาบัติ”เห็นไหม เตือนกันไง เพราะอะไร เพราะเวลาถึงที่สุดเห็นไหม สรุปมา “ภิกษุทั้งหลาย เธอผิดหรือเปล่าๆ” เวลาผู้สวดๆ อย่างนั้นเห็นไหม

แล้วถ้าเรารับ เพราะอะไร เพราะถ้าจิตใจมันควรแก่การงาน จิตใจนิ่ม จิตใจเป็นผู้ดี มันยอมรับความจริงไง อะไรผิดอะไรถูกเรารู้กันอยู่นะ เรารู้ตลอดเวลา แล้วถ้าเราสาธุๆ เวลามันจบนะ สิ่งนี้ถ้ามันผิดในหัวใจมันก็เป็นมุสาสิ มันก็เป็นอาบัติซ้อนไปๆ เห็นไหม

แต่พระในปัจจุบันนี้ นักปราชญ์ของเรา ถ้าเราฟังภาษาบาลีไม่ออก ยังให้ปลงอาบัติก่อนเลย ปลงอาบัติถ้ามีอาบัติทุกสิ่งที่ปลงได้ ถ้ามีอาบัติหนักที่ปลงไม่ได้ก็ต้องอยู่กรรม นั่นอีกเรื่องหนึ่ง ถ้าคนยอมรับความจริงก็แก้ไขไป สิ่งนี้แก้ไขได้

ดูพระฉันนะสิ พระฉันนะเห็นไหม ถือตัวถือตนมาก ว่าตัวเองเป็นคนที่เอาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกบวช แล้วถึงเวลาแล้วมาบวชในศาสนา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมแล้ว วางธรรมแล้ว พระฉันนะมาบวช ดื้อมาก ถือว่าถ้าไม่มีพระฉันนะจะไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครพูดอะไรก็ไม่ฟังเห็นไหม จนถึงสุดท้ายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน พระอานนท์ถาม

“ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว พระฉันนะจะทำอย่างไร”

“ให้ลงพรหมทัณฑ์”

ให้ลงพรหมทัณฑ์คือยกออกจากหมู่ไม่พูดด้วยเลย มันก็เหมือนสังฆาทิเสส เสียใจมาก ช็อกเลยนะ เพราะเขาถือกันมากในสมัยโบราณ แบบว่าถ้ามันโดนอัปเปหิ มันเป็นการเสียหายมากเลย ช็อกเลย ออกไปจากหมู่ ไปพยายามประพฤติปฏิบัติจนถึงที่สุดบรรลุเป็นพระอรหันต์ กลับมาหาพระอานนท์นะ บอกยอมแล้ว ถ้าจิตมันเป็นกิเลสมันไม่ยอมนะ มันไม่ยอมเพราะว่ามันต่อต้าน แต่เพราะโดนเขาอัปเปหิออกจากหมู่ไป ด้วยความว่าไม่มีที่พึ่งแล้ว ถึงพยายามแสวงหาหนทาง พระฉันนะบรรลุเป็นพระอรหันต์นะ นี่เพราะอำนาจวาสนาของเขา เพราะกำลังใจของเขา

นี่ก็เหมือนกัน บอกว่าถ้าสังฆาทิเสสแล้วมันเป็นไปได้ ปฏิบัติก็ปฏิบัติได้ ถ้าประพฤติปฏิบัติได้มันก็มีอำนาจวาสนา เพราะดูสิเห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกจากราชวัง มีม้ากับนายฉันนะไปด้วยกัน แล้วให้นายฉันนะกลับมา ให้ม้ากลับมา

สิ่งที่ได้สร้างบุญกุศลไว้ ถ้ามีกำลังใจไว้อย่างนั้น แล้วถือตัวมาก ถือว่าตัวเองรู้มาก ตัวเองมีคุณประโยชน์กับศาสนา ศาสนาเกิดมาเพราะมีเรา ถ้าไม่มีเราองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้เกิดมาเห็นไหม ทิฏฐิมานะจรดฟ้าเลย แต่ถ้าจรดฟ้ามันก็ต้องมีความเข้มแข็งใช่ไหม เวลาอัปเปหิไปเขาพยายามประพฤติปฏิบัติของเขา

เวลาถือกันตรงนี้ไง ถ้าลงพรหมทัณฑ์หรือสังฆาทิเสส มันยังประพฤติปฏิบัติได้ ประพฤติปฏิบัติได้ ได้! ถ้าคนมีความเข้มแข็ง มีความเข้มแข็งคือว่าได้สร้างคุณงามความดีมากับใจดวงนั้นเห็นไหม

แต่ถ้าใจเรามันยังเป็นปุถุชนแล้วใจเรามันโลเล สิ่งนี้มันก็ฝังใจไป แล้วเวลาทำความสงบของใจนะ เวลาจิตมันสงบเข้ามา มันจะเริ่มเข้าสู่ความสงบ ถ้ามันมีสิ่งใดขวางกั้นมันจะเด้งออกมาเลย มี ในหมู่คณะเรามีมาก เวลาปฏิบัติไป ทำอุกฤษฏ์ขนาดไหน จิตมันลงไม่ได้ ลงไม่ได้หรอก ถึงที่สุดนะยังสงสัยเรื่องการบวชของตัวเอง บวชซ้ำ ทำทัฬหีกรรม บวชซ้ำอีกทีหนึ่งเห็นไหม แล้วมาภาวนา ดีขึ้นๆ

มันอยู่ที่เรา อยู่ที่ประสบการณ์ของเรา อยู่ที่เราคบบัณฑิต บัณฑิตจะพาเราไปทางที่ดีเห็นไหม เราคบหมู่คณะที่ดี มีอะไรที่มันเป็นอุปสรรคขัดขวาง แล้วช่วยกันค้น ช่วยกันแสวงหา ช่วยกันบุกบั่นออกไปเห็นไหม อุปสรรคนะมันจะขัดขวางเรา แล้วอุปสรรค อุปสรรคจากโลกๆ ความเป็นอยู่อุปสรรคความเป็นไป ดูสิ เราจะลงอุโบสถนะ ถ้ามีอุปสรรคนะ จะทำให้เราอึกทึกครึกโครมเห็นไหม การกระทำของเรามันไม่เป็นความพอดี แต่ถ้าอุปสรรคอย่างนี้เราจะแก้ไขไปเป็นครั้งเป็นคราว อุปสรรคจากภายนอก

อุปสรรคจากภายในล่ะ อุปสรรคจากการกีดขวางของหัวใจเรา จะเข้าไปถึงความสงบ แล้วถ้าเกิดอุปสรรคกีดขวางของใจเรา ถ้าเข้าไปวิปัสสนาจะปล่อยวางกิเลสเป็นชั้นเป็นตอนไป ถ้ามีครูบาอาจารย์คอยชี้นำอย่างนี้มันจะเป็นประโยชน์กับเราเห็นไหม คบบัณฑิต บัณฑิตอย่างนี้

ในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า การคบบัณฑิตที่ประเสริฐที่สุดคือคบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ปัจจุบันนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยร่างกาย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว แต่โดยสัจธรรมเห็นไหม ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในพระไตรปิฎก มันก็เป็นกิริยาอีก กิริยามันเป็นทฤษฎีไง พระไตรปิฎกไปเปิดอ่านเถิด เพราะพระไตรปิฎกเป็นของสาธารณะนะ มีทุกวัด เวลาเปิดอ่านไปแล้วมีความเข้าใจไหม มันมีแต่ความสงสัย ยิ่งอ่านยิ่งสงสัย ยิ่งอ่านยิ่งงงเห็นไหม เพราะอะไร? เพราะมันเป็นภาษาใจดวงนี้ที่พ้นจากกิเลสแล้ว แล้วแสดงวิธีการ

ในพระไตรปิฎกมันเป็นวิธีการ มันเป็นเหตุทั้งหมดเลย ผลในนั้นไม่บอกไว้ เหมือนกับหลวงปู่มั่นที่บอกว่า เวลาแสดงธรรมท่านไม่แสดงถึงผลเลย เพราะอะไร เพราะกลัวคนมันจะจำ จำเสร็จแล้วมันเป็นดาบสองคมไง สิ่งที่มันจะเป็นประโยชน์ถ้าบอกเรื่องเหตุนี่ เหตุเราทำได้ไง อย่างเช่น เราไปประกอบสัมมาอาชีวะอย่างไร เราเริ่มต้นอย่างไร เราเก็บอะไรเป็นทุน เราเก็บอะไรเป็นวิธีการ เป็นสิ่งที่ว่าเป็นความหมายของวิชาการนั้น เป็นวิชาชีพนั้นเห็นไหม มันเป็นวิธีการ แล้วผลล่ะ ผลที่เกิด เราไปประกอบสัมมาอาชีวะแล้วประสบความสำเร็จเห็นไหม แล้วเราได้สิ่งตอบแทนมา

นี่ก็เหมือนกัน ผลของการประพฤติปฏิบัติมันเป็นอกุปปธรรมๆ อกุปปธรรมมันเกิดอย่างไร แล้วใจมันเป็นอกุปปธรรมยังไง มันว่างๆๆๆ ความว่างพูดกันเป็นพื้นฐาน ความว่างนะ ลมอากาศมันก็ว่าง เด็กมันก็ว่าง ว่างทั้งนั้น คนนอนหลับมันก็ว่าง แล้วว่างอย่างนี้มันว่างฆ่ากิเลสไหม คนนอนหลับมันว่างไม่ว่าง เว้นไว้แต่มันฝัน คนเราถ้ามันฝันมันไม่ว่างหรอก แต่ถ้ามันมานอนหลับมันไม่ได้ฝัน มันว่างนะ แต่มันว่างแบบไม่มีสติไง มันว่างแบบมิจฉา ว่างแบบเคลมธรรมะไง

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราไปอ่านพระไตรปิฎก ปล่อยวางอย่างนั้น นิพพานอย่างนั้น นิพพานคำเดียวเถียงกันจะเป็นจะตายนะ นิพพานคำเดียวยังเอามาเป็นสิ่งที่เป็นประเด็นที่โต้เถียงกัน จนเป็นโทษกับการประพฤติปฏิบัติเห็นไหม จนทำให้ลังเลสงสัย จนเอาสิ่งนี้มาเป็นสิ่งที่ติดในหัวใจ

แต่เวลาปฏิบัติไปนะ สมาธิมันก็ว่าง ความว่างเป็นอจินไตยนะ อจินไตยเห็นไหม ดูสิ ฌาน อจินไตย พุทธวิสัย โลก กรรม ฌาน แล้วฌานมันเป็นความว่าง มันเป็นอจินไตยที่ไม่มีขอบเขตของใครเลย มันเป็นอจินไตยเลยล่ะ แล้วมันว่างอย่างไร?

แต่ถ้ามันเป็นอริยผลนะ มันว่างของมัน ว่างขั้นโสดาบันมันก็รู้กัน โสดาบันว่างตรงไหน? เริ่มจากว่าง ว่างอย่างไร มันปล่อยอย่างไรมันถึงว่าง แล้วว่างแล้วขอบเขตของมันว่างขนาดไหน ถ้าว่างแล้วลึกลงไปมันจะไปเกิดไปเจออุปาทานเห็นไหม พอไปเจอเข้าไป ถ้าเจอเข้าไปมันเป็นสกิทาคามีเห็นไหม สกิทาคามีผ่านเข้าไปแล้วมันว่าง ว่างเข้าไปมันยังมีอสุภะอยู่ข้างหน้า ว่างทำไมยังมีอสุภะอีกล่ะ แล้วอสุภะมันผ่านตรงนั้นไป ผ่านอนาคามีไป แล้วจิตเดิมแท้มันอยู่ที่ไหนล่ะ

มันจับฐีติจิต จับภวาสวะ จับตัวอวิชชาได้ แล้วมันจับอย่างไรล่ะ แล้วมันปล่อยเข้าไปอย่างไรเห็นไหม ความว่างมันพูดกันรู้เรื่อง ความว่างมันมีระดับของมัน ความว่างมันมีระดับของมันที่มันจะผ่านขั้นตอนของมันเข้าไป มันมีขณะของมัน มันเป็นไปของมัน ปิดกันไม่ได้หรอก รู้หมดล่ะ ใครก็รู้ได้ทั้งนั้น แล้วมันเป็นความหวังของมันเห็นไหม สิ่งนี้เป็นความว่าง แล้วก็ว่างๆๆๆๆ อ่านพระไตรปิฎกมาแล้วก็เถียงกัน เอาความว่างมาฆ่ากัน แล้วอะไรมันว่าง ว่างของใคร ว่างจริงว่างปลอม แล้วว่างอย่างไรถึงเป็นความว่าง

นี่ไงคบบัณฑิตเห็นไหม ถ้าเรามีครูบาอาจารย์ของเรา ครูบาอาจารย์ของเราจะคอยชี้นำเรา เห็นไหม ดูสิ เวลาครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า “ผู้จิตที่สูงกว่า ความรู้ที่สูงกว่า มันจะดึงเราขึ้นมา ดึงพวกเราขึ้นมา” เห็นไหมนี่อุปสรรคจากภายใน

ถ้ามันมีอุปสรรคจากภายใน แล้วเราคบบัณฑิตกัน เราเป็นหมู่คณะกันเห็นไหม นี่สังฆะ สังฆะมันเป็นอย่างนี้ อุโบสถ เราลงอุโบสถกันเพื่อความบริสุทธิ์ เราลงอุโบสถกันเพื่อระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ที่ทำอุโบสถทำแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะ! เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไว้เลยนะว่า “ต่อไปนี้เราจะไม่แสดงปาติโมกข์แล้ว เราจะให้ภิกษุแสดงกันเอง”

เวลาผู้แสดงปาติโมกข์ถึงทำแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราระลึกถึงเราเคารพ เพราะอะไร เพราะสิ่งนี้ถ้ายิ่งทำของเรา เรายิ่งอยู่ใกล้ อยู่ใกล้ธรรมและวินัย แล้วถ้าทำความผิดนะ ธรรมวินัยเป็นของคงที่ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะมาตรัสรู้องค์ต่อไป ก็ธรรมอันนี้ อริยสัจก็อันนี้ พระธรรมวินัยก็อันนี้

แล้วนี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่คงที่ไง แต่ทางโลกเขาบอกนะ เราท่องจำกัน เราพยายามเรียกร้องแต่สิ่งที่เป็นอดีตไว้ ไม่ยอมละจากสิ่งที่เป็นอดีตเห็นไหม ถวิลหาๆ มันไม่ใช่หรอก มันเป็นสัจจะความจริงอย่างนี้ ธรรมะที่มีอยู่แล้วเห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรม ก็กราบธรรมอันนี้

ความรู้สึกของมนุษย์เห็นไหม คนเกิดมาความรู้สึกของหัวใจ อันนี้แน่นอน โลกมันจะหมุนไปขนาดไหน ก็ความสุขความทุกข์อันนี้ แล้วถ้าเราประพฤติปฏิบัติขึ้นไปมันก็เข้าถึงธรรม ก็ธรรมวินัยอันนี้ แล้วธรรมวินัยอันนี้เราเคารพ แล้วเราลงอุโบสถกัน เรามีที่พึ่ง อย่าว่าลูกกำพร้าๆ นะ

พระบ่นมาก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว เกิดแล้วเราก็ไม่มีพ่อไม่มีแม่.. ไม่มีพ่อไม่มีแม่ได้อย่างไร ถ้าเราระลึกถึงอย่างนี้ หัวใจมันเร่าร้อนเห็นไหม ถ้าหัวใจมันมีหลักของมัน หลักยึดของมัน เราก็เหมือนกับมีผู้ดูแลเรา

ธรรมวินัยนี่แหละ ข้างนอกมันจะอดมันจะอยากนะ แล้วแต่วาสนาของคน เวลาออกไปวิเวก บางที่มันก็สมบูรณ์ บางที่มันก็ขาดแคลน ความขาดแคลนบางที่เห็นไหม ครูบาอาจารย์ท่านบอกเลย ธรรมเกิดในที่อัตคัดขาดแคลน ถ้ามันเป็นอัตคัดขาดแคลนอย่างนั้น อัตคัดขาดแคลนจากภายนอก

ถ้าอัตคัดขาดแคลนจากภายนอก ถ้าอยู่ที่ไหนก็มันรื่นเริงอาจหาญเห็นไหม จิตเข้าสมาธิได้ง่าย สิ่งที่ดีอากาศเบา สิ่งที่ดีนะ ความอัตคัดขาดแคลนของเราคืออัตคัดขาดแคลนธรรมวินัยไง อัตคัดขาดแคลนนะ ศีล สมาธิ ปัญญา ความดำริชอบ งานชอบ ความเพียรชอบ นี่มรรค มรรค ๘ เห็นไหม มันเป็นหน่วยต่างๆ เห็นไหม สติ สมาธิ ถ้าเราไปจับสิ่งใด กาย เวทนา จิต ธรรม แล้วมันมีการแยกแยะ มีการเปลี่ยนไป อย่างนี้ธรรมจักรมันเคลื่อน

ธรรมจักรนะ ธรรมจักรมันหมุน เวลาปัญญามันหมุนมันหมุนอย่างไร มันเข้าไปทำลายอย่างไร ปัญญานี้ สมาธิจับ ปัญญาเป็นฝ่ายตัด สมาธินี่ความเห็นของจิตมันเห็น เห็นอาการของจิตมันไปเกาะเกี่ยวกับกาย เกาะเกี่ยวกับจิต จิตเกาะเกี่ยวกับจิตอย่างไร จิตนะ ธาตุรู้ แล้วมันเห็นตัวจริงเห็นไหม คือตัวจิตมันเศร้าหมองมันผ่องใส สิ่งที่ธรรมเห็นเวทนานะ แล้วมันวิปัสสนาไปมันเป็นธรรมจักร แล้วธรรมจักรมันเคลื่อนอย่างไร มันเกิดกับเรานะ สิ่งที่มันเกิดกับเรา วิปัสสนามันเกิดอย่างนี้

แล้วเวลามันเป็นไปในหัวใจของเรา แล้วเรามาอ่านพระไตรปิฎกนะ โอ้โฮ นี่ก็เป็นแล้ว นี่ก็ทำมาแล้ว นี่สภาวะแบบนี้ มันเหมือนกับเราไปในสถานที่หนึ่ง แล้วเราไปอ่านหนังสือที่เขาเขียนถึงสถานที่นั้นเห็นไหม มันจะซึ้งใจมาก แต่นี่เราไม่เคยเห็นอะไรเลย เราไม่ได้ประพฤติปฏิบัติเลย เราอ่านพระไตรปิฎกนะ บอกถึงหัวใจเราเอง บอกถึงผลของการปฏิบัติของจิต ถ้ามันนิพพานมันเป็นสภาวะแบบนี้ สอุปาทิเสสนิพพานพระอรหันต์ที่มีชีวิตอยู่เป็นอย่างไร อนุปาทิเสสนิพพานพระอรหันต์ที่สิ้นชีวิตไปแล้วเป็นอย่างไร สิ้นชีวิตแล้วพระอรหันต์มีหรือไม่มี วุ่นวายไปหมดเลย

แต่ถ้าเราอ่านพระไตรปิฎก วิธีการของพระที่ประพฤติปฏิบัติเห็นไหม สิ่งนี้ที่ท่านทำมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนอย่างนั้น เอามาเป็นประเด็นหลักในเหตุผล แล้วเราพยายามประพฤติปฏิบัตินะ สิ่งที่เกิดขึ้นมามันเกิดขึ้นมาจากเรา

ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ..

ปริยัติ-ปฏิเวธ ไม่มี..

ปริยัติแล้วรู้แจ้งนี่ เรียนแล้วรู้แจ้งไม่มี.. ปริยัติเรียนแล้วถ้าไม่ปฏิบัติ รู้แจ้งไม่มี เป็นไปไม่ได้ เราเรียนกันมาแล้วเห็นไหม ครูบาอาจารย์ของเราบอกว่า ปริยัติเราเรียนกันมาแล้วกับอุปัชฌาย์ “เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ” ถ้าแทงทะลุเข้าไป นี่พระอรหันต์

เราเรียนมาแล้ว แต่เวลาออกมาแล้วการดำรงชีวิตของเรา เช่น ลงอุโบสถเราต้องปลงอาบัติกัน ในวัตรของอุโบสถ ในวินัยลงอุโบสถเห็นไหม เป็นเล่มๆ ในพระไตรปิฎก สิ่งที่ว่าเป็นอุโบสถ นิมิตหมายเห็นไหม วิสุงคามสีมา อุทกุกเขปสีมา สีมามีหลายชนิด แล้วขณะสวดอุโบสถสงฆ์เป็นวรรคทำกรรมไม่ได้ ถ้าภิกษุป่วยไข้ต้องให้ฉันทะมา สงฆ์เป็นวรรคทำกรรมไม่ได้นะ เป็นวรรคคือว่าแบ่งพรรคแบ่งพวก หรือว่ามาไม่ครบไม่ได้

เว้นไว้แต่เวลามีพิธีบวชเห็นไหม เขานิมนต์พระกี่องค์ นั่นก็เป็นสังฆกรรมเหมือนกัน แต่สังฆกรรมเป็นเรื่องของกิจนิมนต์ แต่สังฆกรรม อุโบสถ กฐิน ต้องทั้งหมด แล้วมีเสียงใดเสียงหนึ่งคัดค้านขึ้นมาจะทำไม่ได้ ไม่ใช่ประชาธิปไตย มันเป็นธรรมาธิปไตย

ธรรมาธิปไตยเป็นความเห็นทั้งหมด คัดค้านไม่ได้ สิ่งที่คัดค้านอันนั้นคือทำไปไม่ได้ สิ่งนี้ถ้ามันเป็นธรรมวินัยมันออกมาจากข้างนอกนี้ไง ออกมาจากพิธีกรรม ออกมาจากสังฆกรรม ออกมาจากวินัยกรรม มันเป็นวินัยกรรม การกระทำวินัยกรรม สิ่งที่ศึกษามาศึกษามาเพื่อเหตุนี้ แต่ถ้าทำไปแล้วเห็นไหม ในหมู่คณะ ในการกระทำไป ครูบาอาจารย์ที่ฉลาดจะพาทำสิ่งนี้ อะไรเป็นประโยชน์ อะไรที่ไม่เป็นประโยชน์ สิ่งที่เป็นประโยชน์ เป็นประโยชน์มากเป็นประโยชน์น้อยเห็นไหม

ดูสิ เวลาคฤหัสถ์ ประโยชน์ของเขาชักนำเขามา เขาเข้ามาวัด เขาได้ฟังธรรม ได้เห็นการดำรงชีวิตของสงฆ์ เราดำรงชีวิตของเรา เขานะ โน่นก็ขาดแคลน นี่ก็ขาดแคลน พยายามแสวงมาเพื่อปรนเปรอธาตุขันธ์

เราอยู่กันด้วยธรรมชาติของเรา ยิ่งครูบาอาจารย์ของเราเป็นเศรษฐีธรรม แต่ทางโลกแค่ปัจจัย ๔ เหมือนกัน เวลาสมบัติส่วนตนก็บริขาร ๘ แต่หาเงินหาทองหามาให้สงเคราะห์โลก ให้กับโลกเขา แต่เขาว่าเขาขาดแคลน เขาแสวงหามา แสวงหามาเป็นความทุกข์ยาก แล้วเก็บรักษายิ่งทุกข์ยากมากเลย

แต่ของเรานะ เราแสวงหาของเรา เห็นไหม ภิกษุเราเหมือนนก มีปีกมีหาง ธุดงค์ไป ฉันเสร็จแล้วล้างบาตรเก็บบริขารแล้วก็ไป เหมือนบินไป อิสรเสรีเห็นไหม แต่สมบัติของเราอยู่ในหัวใจ มันเป็นอริยทรัพย์ ทรัพย์จากภายใน เก็บไว้ในใจ

เวลาคนเกิดคนตาย ถ้ามีบุญกุศล ทำบุญกุศลมหาศาลเลย เงินบริจาคเป็นพันๆ ล้านนะ ถ้าเป็นเงินเห็นไหม โอนข้ามชาติไม่ได้ แต่ถ้าการสละออกไปจากใจ ใจเป็นผู้สละ ความรับรู้มันอยู่ที่ใจ เวลาใจตายไป สมบัติที่เราเพิ่งสละออกไป ไปเกิดเป็นเทวดา อินทร์ พรหม มันไปจากไหน ได้เกิดเป็นเทวดา อินทร์ พรหม มันก็ไปจากใจ ใจนี้ไปเกิด

ปัจจุบันนี้เป็นพระ ก. พอตายไปแล้วเห็นไหมเป็นเทวดา ก. แล้วจิตมันคนละดวงไหม จิตมันดวงเดียวกัน แต่สถานะต่างกัน เวลามันต่างกัน เวลาปัจจุบันนี้เป็นพระ เวลาตายไปแล้วก็เป็นสภาวะแบบนั้น มันเป็นสมบัติไปกับใจ นี่เป็นสมบัติไปกับใจนะ แล้วถ้าเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมาแล้ว สิ่งที่เป็นสมบัติไปกับใจมันเหมือนกับน้ำมัน รถเวลาวิ่งมา เราเติมน้ำมันหมดเลย เติมน้ำมันตลอด น้ำมันหมดก็หมดเห็นไหม น้ำมันหมดรถไปไม่ได้ ต้องเข้าปั้ม

ถ้าเป็นอามิสเห็นไหม มันเป็นเทวดา พอน้ำมันหมด มันก็หมดวาระ มันก็ต้องมาตาย พอสิ้นอายุขัยของเทวดา อินทร์ พรหม มันก็ต้องมาเกิดอีก แต่ถ้ามันเป็นอริยทรัพย์เห็นไหม มันเป็นอกุปปธรรม มันไม่มีวันหมด มันหมดไม่ได้ มันคงที่ แล้วคงที่ รถที่มันเติมน้ำมันถังเดียวแล้วไม่เคยหมดเลย หาที่ไหน หาในการประพฤติปฏิบัตินี่ไง หาในหัวใจนี่ไง

ถ้าเป็นโสดาบัน ก็โสดาบันตลอดไป สกิทาคามีๆ ตลอดไป อนาคามีๆ ตลอดไป สิ้นๆ ตลอดไป แล้วมันอยู่ไหน มันอยู่ในใจเรานี้ มันเป็นการยืนยันเลย พระไตรปิฎกคือพระไตรปิฎก แต่หัวใจเราคือหัวใจของเรา ความรู้ของเราก็คือความรู้ของเรา ใจของเราก็เป็นใจของเรา

สมบัติของเรามันอยู่ที่นี่ สมบัติของโลกเขา เขาทำเป็นสมบัติของเขา เขาทำเป็นอามิสกันหมดเลย แล้วเรามาปฏิบัติมันเป็นสมบัติของเรา แล้วสมบัติของเรา เราเห็นคุณประโยชน์อย่างนี้ ดูสิ เวลาเขาเติมน้ำมัน ต่อไปนี้น้ำมันจะหมดโลก เขาพยายามคิดวิธีการว่าจะเอาพลังงานอะไรมาใช้กันอยู่เห็นไหม

นี่ก็เหมือนกัน แต่ถ้ามันเป็นหัวใจของเรา มันเป็นสมบัติของเรา มันหมดไปไหน สิ่งที่มันใช้แล้วหมด เขายังต้องแสวงหา เขายังลงทุนขนาดนั้น แล้วสิ่งที่ใช้ไม่หมด ใช้แล้วไม่มีวันหมดมันอยู่กับเราตลอดไป เราจะทำเล่นๆ ได้อย่างไร สติก็มาเอาสติจริงๆ สิ ภาวนาๆ จริงสิ หัวใจก็หัวใจจริงๆ สิ เกิดมาจากเราสิ เรามีความมุมานะ เรามีความเข้มแข็งสิ แล้วความจริงเกิดขึ้นมามันจะเป็นสมบัติของเรา

อย่าอ่อนแอ อย่าท้อแท้นะ ถ้าอ่อนแอท้อแท้ สมบัติจะเอาเพชร แล้วการกระทำ กระทำขึ้นมายังกับเด็กเล่นขายของ เด็กเล่นขายของมันเล่นพลาสติกนะ มันได้ของเล่นขายของแล้ว สมาธิๆ เล่น สติๆ เล่น ทุกอย่างทำเล่นหมดเลย แล้วจะเอาความจริงมาจากไหน

ความจริงมันจะมีจริงกับเรา มันต้องทำจริงๆ เห็นไหม สมบัติเราจะเป็นสมบัติจริง อริยทรัพย์จากภายใน หัวใจมีทุกคน นั่งอยู่นี้หัวใจมีทุกคน บัณฑิตเราคบกันเราเป็นหมู่คณะกัน เราช่วยเหลือกัน เราจุนเจือกันเห็นไหม ต้องให้โอกาสกันนะ ถ้าใครจะทำความเพียร ใครจะอดอาหาร ใครจะอะไรนี่ อย่าไปกวน อย่าไปยุ่งกับเขา ให้ปล่อยเต็มที่เลย เราต่างคนต่างแสวงหากัน เห็นไหมดูสิเขาไปตลาดกัน เขาไปจ่ายของกัน เขายังช่วยเหลือเขายังเจือจานกัน เขายังแลกเปลี่ยนสินค้ากันมาได้

เราเป็นผู้ปฏิบัติด้วยกัน เราจะปฏิบัติด้วยกันนะ ใครจะปฏิบัติ ใครจะอดอาหาร ใครจะเร่งความเพียร เปิดโอกาสให้เลย แล้วพยายามทำอย่างนี้กันขึ้นมา แล้วสมบัติมันเกิดขึ้นมา ให้ทำจริงๆ พวกเราแสวงหากัน มันอยู่ในหัวใจไง ดูสิ ดูอย่างทางโลกเขาเห็นไหม ชมรมอะไร เขารักอะไร เขาจะเจือจานกัน อย่างชมรมรถเห็นไหม เขาจะหาอะไหล่มาเจือจานกัน รถโบราณเขาจะแวะที่ไหน เขาจะช่วยเหลือเจือจานกัน เขาเป็นชมรมเพื่อเล่นสนุก เขายังมีความอนุเคราะห์กันขนาดนั้น

เราเป็นนักบวช เราเป็นพระ แล้วเราจะประพฤติปฏิบัติด้วยกัน ทำไมเราไม่เจือจานกัน ทำไมไม่เผื่อแผ่กัน ทำไมเราไม่ให้โอกาสกัน ทำไมไม่ช่วยเหลือกันขึ้นมา เราเป็นพระนะ เราเป็นผู้นำของชาวโลกด้วย เราเป็นนักรบ รบกับกิเลสของเรา ถ้ากิเลสของเรา เรารบไม่ได้ เราชนะไม่ได้ แล้วเราจะเอาอะไรไปสอนเขา ถ้ามันรบกับกิเลสของเราได้ กิเลสในหัวใจของเรามันขาดไป สิ่งนี้มันขาดไปจากเรา แล้วทำไมเราสอนเขาไม่ได้ ก็มันอยู่กับหัวใจของเราเห็นไหม

ความรู้ของเรา พระไตรปิฎก พระไตรปิฎกนี่กราบไหว้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรม ครูบาอาจารย์เหมือนกัน กราบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ กราบทั้งนั้นล่ะ แต่พระไตรปิฎกในการศึกษาปริยัติมันเป็นอย่างนั้น ถ้าเป็นพระไตรปิฎกในหัวใจ พระไตรปิฎกภายในเห็นไหม ผ่าหัวใจออกมาเลย ผ่าร่างกายออกมาเลย แล้วเข้าใจหมดนะ

ในเรื่องของศีล สมาธิ ปัญญา ตรงไหนที่มันสงสัย มันจะสงสัยได้อย่างไร ในเมื่อมันใช้ประสบการณ์อย่างนี้ทำลายกิเลสออกมาจนถึงที่สุดจนหัวใจมันผ่องแผ้ว ผลของการเกิดมาจากใจ พระไตรปิฎกมันชัดเจนขนาดนี้ เพียงแต่ว่าคนถามมันยังตั้งปัญหาไม่ถูกเลย ปัญหาตัวเองเป็น มันยังไม่รู้จะถามอย่างไรเลย ครูบาอาจารย์บอก “ต้องถามอย่างนี้สิ ถึงจะออกมาเป็นอย่างนี้ๆๆ” เห็นไหม เพราะอะไร เพราะมันผ่านมาแล้วเห็นไหม สิ่งนี้ทำมา ถ้าทำขึ้นมามันจะเป็นประโยชน์กับเรา

เราจะมาลงอุโบสถกัน ลงอุโบสถเพื่อจะให้เราไม่โลเล ให้พวกเราไม่อ่อนแอไง ทางโลกเขาว่าไม่หน่อมแน้มนะ ถือศีลกันเล่นๆ ทำทุกอย่างเล่นๆ หมดเลย แต่ถ้าเราเอาจริงขึ้นมาเห็นไหม กิริยาภายนอกถึงเวลาก็ “ธมฺมสากจฺฉา”

เราคบกัน วิสาสะมันเป็นเรื่องธรรมดา แต่เวลาจริงจังต้องจริงจังนะ ถ้าเราไม่จริงจังกันนะ ธรรมะอยู่กับคนจริง ธรรมะอยู่กับหัวใจที่แท้จริง แล้วถ้าหัวใจเราอ่อนแอ หัวใจเราไม่เอาจริงเอาจังนะ มันก็ได้แต่สิ่งที่มันเป็นอาการของใจ ไม่ใช่ใจนะ อาการของใจ ธรรมชาติมันมีเห็นไหม ดูสิเด็กมันยังสื่อความหมายกับเราพูดกับเราได้เลย

นี่ก็เหมือนกัน อาการของใจคือสื่อภาษา คือความประพฤติของจิต นี่เหมือนกัน อารมณ์ความรู้สึกมันเป็นอาการของใจทั้งนั้น แล้วปฏิบัติไปก็ปฏิบัติด้วยอาการของใจ ผลก็เป็นอาการของใจ อาการคือเงา อาการของใจคือเงาของใจ ไม่ใช่ตัวใจ ผลก็ผลของเงาไม่ใช่ผลของจริง เห็นไหม ถ้าเราผ่านทะลุเข้าไป มันไปถึงตัวใจ แล้วชำระที่ใจ สุดสิ้นแล้วนะ ใจมันจะสำเร็จ ใจมันจะเป็นผลขึ้นมา แล้วผลมันจะรู้กับเรานะ โกหกกันไม่ได้หรอก ผู้รู้จริงกับผู้รู้จริงคุยกันนะ ถึงกัน โกหกกันไม่ได้หรอก ความจริงเป็นความจริง เอวัง