เทศน์พระ

เทศน์พระ ๒๔

๒๙ ก.ค. ๒๕๕o

 

เทศน์พระ วันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้วันอาสาฬหบูชา วันที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาธรรมจักรนะ เทศน์ครั้งแรก เป็นวันสำคัญในพุทธศาสนา เราก็เป็นศากยบุตรนะ เป็นบุคลากรในศาสนาพุทธ ถ้าเป็นบุคลากรในศาสนาพุทธนะ พุทธะ... พุทธะคือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน

หัวใจของเราต้องเป็นพุทธะ ถ้าหัวใจของเราเป็นพุทธนะ มันจะเห็นเรื่องของศาสนาไง เรื่องของธรรมวินัยเป็นเรื่องหลักชัย ถ้าหัวใจของเราไม่เป็นพุทธะ มันเห็นเรื่องอื่นเป็นเรื่องความสำคัญ ถ้าเห็นเรื่องอื่นมีความสำคัญนะ การดำรงชีวิตมันก็ดำรงชีวิตแบบโลกๆ เขา

ถ้าการดำรงชีวิตอยู่ในสมณะเพศเห็นไหม นี่ศากยบุตรพุทธชิโนรส เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมานะ ในหัวใจนั้นเป็นธรรม จะเมตตารื้อสัตว์ขนสัตว์ไง

เราเป็นสัตตะ สัตตะตัวหนึ่ง เป็นผู้ข้อง ผู้ข้องเห็นไหม ข้องอย่างไร ข้องในวัฏฏะไง ในธรรมชาติของจิต จิตมันจะต้องเกิดต้องตายไปในวัฏฏะ ผลของวัฏฏะทำให้มาเกิดเป็นคนอยู่นี้ เกิดเป็นคนมีความศรัทธาความเชื่อในศาสนา ได้ออกประพฤติปฏิบัติไง ได้ออกบวชเป็นภิกษุ ภิกษุผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร

ถ้าเห็นภัยในวัฏสงสารเห็นไหม คนที่เห็นภัยนะ คนที่เขาไม่เห็นภัยเขาใช้ชีวิตของเขาเพลิดเพลินไปในโลกเขา คนที่เห็นภัยเห็นไหม สิ่งใดเป็นภัยเป็นเวร เป็นสิ่งที่เกิดให้จิตมันเศร้าหมอง เราจะไม่ข้องแวะสิ่งนั้นเลย สิ่งนั้นข้องแวะให้เราเห็นไหม ถ้าข้องแวะใจ ใจในเมื่อไปหยิบสิ่งที่เป็นความเศร้าหมอง ใจมันก็เศร้าหมองไปด้วย

ใจเห็นไหม ใจที่มีอวิชชาปกครองอยู่นี้ มันไม่เข้าใจสิ่งต่างๆ ทั้งสิ้น ไม่เข้าใจสิ่งใดๆ เลย แต่เพราะเราเกิดมามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นแก้วสารพัดนึก เราเห็นหลักชัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ธรรมและวินัยถึงต้องการดำรงชีวิตของเราจะต้องให้อยู่ในหลักธรรมวินัย

ภิกษุผู้บวชใหม่นะ เช้าขึ้นมาเราล้างบาตร เราเอาน้ำใส่บาตรเพื่ออะไร เพื่อให้ไม่มีอามิสไง เวลาเช็ดบาตรรักษาบาตร แล้วเช้าขึ้นมามันมีผง มีสิ่งใดๆ อยู่เห็นไหม ให้ผ่านน้ำ ผ่านน้ำนี่มาจากไหน มาจากธรรมและวินัยไง

วินัยมาจากบาลี บาลีคือธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่มีสิ่งใดควรเคนเห็นไหม ควรเคนต้องเคน ต้องเลย ควรประเคน แต่ไม่มีใครประเคนให้เราถึงจะต้องใช้และผ่านน้ำเพื่อความสะอาด เพื่อความสะอาดนี้เพื่อใคร ก็เพื่อเราเห็นไหม เพื่อเรานะ เพราะการกระทำนั้นมันต้องตั้งสติ มันต้องมีความศรัทธานะ มันมีความเชื่อของเรา

เพราะสิ่งนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้เป็นธรรมและวินัย เราจะรักษาธรรมและวินัย เราจะต้องเริ่มต้นตั้งแต่สุขภาพ ตั้งแต่ความเป็นอยู่ของเรา ตั้งแต่สิ่งในสังคมสงฆ์ ทิฏฐิความเห็นเสมอกัน เราทำเหมือนกัน เราอยู่เหมือนกัน พวงมาลัยนะ เขาร้อยไว้เป็นพวงมาลัย เอาวางไว้ที่ไหนประดับที่นั่นจะสวยงามมาก

นี่ก็เหมือนกัน สังฆะ สงฆ์ เราเกิดในที่ต่างๆ กัน เรามีศรัทธาความเชื่อ เรามาบวชในศาสนา เรามาอยู่เป็นสังคมเดียวกัน เหมือนอวัยวะเดียวกัน ในร่างกายของมนุษย์ สิ่งใดถ้ามันวิกลวิการ มันจะทำให้การเดินเหินไปไม่สะดวกสบาย

นี่ก็เหมือนกัน เราเป็นภิกษุบวชใหม่ ดูผู้เก่าเขาทำเห็นไหม ผู้เก่าอยู่ในธรรมวินัยมา เขาอยู่ในธรรมวินัยมาก่อนเรา เป็นอาวุโส เราเป็นภันเตนะ เราก็ดูการกระทำนั้น สิ่งใดถ้าเป็นประโยชน์นะ เป็นคุณเห็นไหม สิ่งนั้นเพราะเราอยู่ด้วยกัน ทุกข์ใจมันมีอวิชชาอยู่ ผู้ที่ไม่มีอวิชชาจะทำสิ่งใดไปสิ่งนั้นมันไม่มีเจตนา เป็นกิริยาเฉยๆ แต่ถ้าผู้มีอวิชชา อวิชชาคือความไม่รู้ ความไม่รู้การกระทำสิ่งนั้นมันก็มีความผิดพลาด สิ่งใดที่ผิดพลาดเรามองไว้เป็นครู เป็นคติ สิ่งนี้ไม่ดี สิ่งนั้นไม่ควรทำ สิ่งนี้ไม่ควรทำ

ถ้าเป็นสังฆะ เป็นความอยู่ด้วยกัน สิ่งใดที่มันขาดตกบกพร่อง ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ สิ่งนี้เราสนทนากันได้ เราปรึกษากันได้ สิ่งใดดีและสิ่งใดไม่ดี การกีดการขวางเห็นไหม ทัพพีขวางหม้อ อยู่ในหม้อแกงทัพพีมันก็ไม่รู้จักรสของแกง

เราอยู่ในธรรมวินัย เราต้องรู้จักรสของธรรมและวินัย รสของธรรมชนะซึ่งรสทั้งปวง เสพสิ่งต่างๆ ในโลกนี้ที่เขาเสพกัน รสอย่างนี้เป็นรสของโลกเขา เป็นโลกของสมมุติ โลกของวิมุตติ โลกของบัญญัติ ธรรมและวินัยโลกของบัญญัติ แต่ถ้าถึงที่สุดธรรมและวินัยจะพ้นออกไป พ้นออกไปนี่โลกของวิมุตติ สุขอย่างนี้มันจะเกิดขึ้นมาเห็นไหม รสของธรรมถ้าเราจะปรารถนารสของธรรม

เราฟังมาตลอดเห็นไหม เราฟังองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กราบบูชาธรรมๆ แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเจ้าของนะ เป็นเจ้าของ เป็นผู้รื้อค้นขึ้นมา ยังกราบบูชานะ เพราะมันเป็นความมหัศจรรย์เห็นไหม

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา “จะสอนใครได้หนอ จะสอนใครได้หนอ” ทั้งๆ ที่ปรารถนา คนจะปรารถนาคนต้องเตรียมตัวมา ดูสิดูอย่างครูบาอาจารย์เห็นไหม เขาจะมีอาชีพเป็นครูสอนเป็นอาจารย์สอน เขาต้องเรียนมา เรียนอักษรศาสตร์ เรียนครุศาสน์ เรียนมาเพื่ออะไร เรียนเพื่อมาสั่งสอน ขนาดเขาจะสั่งสอนทางวิชาการเขายังเรียนมาเลย แต่นี่ปรารถนาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะรื้อสัตว์ขนสัตว์นะ เตรียมตัวมาขนาดนี้นะ ตั้งแต่พระพุทธเจ้าพยากรณ์มาแล้วนะ กลับไม่ได้ต้องไปข้างหน้าอย่างเดียว

๑๐ ชาติสุดท้าย เสียสละเห็นไหม เสียสละกัญหาชาลี เสียสละนางมัทรี เสียสละหมดเลย เสียสละเพื่ออะไร เสียสละเพื่อโพธิญาณ เสียสละสิ่งที่เป็นวัตถุ เสียสละขึ้นไปนะ เสียสละแบบผู้มีสติสัมปชัญญะ ขณะที่ให้กัญหาชาลีเขาไป นางมัทรีจะกลับมา รู้นะหัวอกของพ่อของแม่ รู้ว่ากลับมานี่ ความรักลูกมันจะมีความเจ็บปวดขนาดไหน คิดนะ คิดหาอุบายวิธีการ เพราะนางมัทรีกลับมา ถ้านางรู้ว่าให้กัญหาชาลีชูชกไป จะอกแตกตายเลยล่ะ

คิดดูสิ ความพลัดพรากของแม่กับลูก แม่นี่รักลูกมากเลย แล้วพ่อรักลูกแต่เอาไปให้คนอื่น ความทุกข์อย่างนี้มันจะเกิดขึ้นมาในหัวใจขนาดไหน ต้องวางแผนๆ เห็นไหม นางมัทรีกลับมาต้องเอ็ดก่อน เอ็ดก่อนไม่ให้นางมัทรีถามหาว่ากัญหาชาลีไปไหน กลับมาถึง “ทำไมไปช้านัก ไปหาของป่าทำไมกลับมาสายนัก” เห็นไหม เอ็ดก่อนเลย เพื่อจะให้หัวใจมันเบี่ยงเบน ไม่ให้มีความชอกช้ำ ไม่ให้หัวใจนี่มันเจ็บปวดแสบร้อนจนเกินไปเห็นไหม ให้ทั้งๆ ที่รู้นี่ รู้ว่าเจ็บปวดแสบร้อนขนาดไหน ให้ไปเพื่อใคร เพื่อไง เพื่อโพธิญาณเห็นไหม

พระโพธิสัตว์สละมาขนาดนั้น สละมาเพื่อเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สละมาเห็นไหม สละลูก สละเมีย สละทุกอย่างเลย แล้วมาเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ก็ต้องสละอีก สละออกไป สละออกจากราชวัง สละสามเณรราหุล สละพระนางพิมพา สละออกหมดเลย สละไปไหน สละเพื่อไปหาโมกขธรรมมา หาโมกขธรรมออกไป ๖ ปี ทรมานทุกข์ขนาดไหน

ทุกข์นะ เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ความเพียรของเราเป็นความทุกข์ สิ่งไหนเป็นความทุกข์ มันไม่ได้ขี้ผงขี้เล็บขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ มันไม่ได้มันไม่ได้ขี้เล็บขี้ผงของครูบาอาจารย์เราเลยนะ เพราะ! เพราะสังคมเขาไม่สนใจนะ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นกษัตริย์ ออกมาศาสนายังไม่มี ใครจะมาดูแล ก็อยู่ไปแบบวณิพก อยู่ไปแบบโลกเขานั่นแหละ อยู่ไปแบบทุกข์ๆ ยากๆ เพื่อจะหาโพธิญาณนะ ดูสิ ดูครูบาอาจารย์เราเห็นไหม หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น เขาไม่ปฏิบัติกันแล้ว ออกประพฤติปฏิบัติเขายังเสียดสีเลย เขาไม่สนใจหรอก เขาจับด้วย เขาหาว่าเป็นพระเสียสติด้วย มันไม่มีใครสนใจ ไม่มีใครดูแล ยังต่อต้าน ยังทำลาย ทำลายต่างๆ เห็นไหม

ครูบาอาจารย์เราผ่านวิกฤติมาอย่างนี้ ทุกข์ร้อนๆ มาอย่างนี้ พยายามหามานะ ไม่ใช่สังคมที่สงบสุขอย่างนี้หรอก ไม่ใช่สังคมที่ว่า นี่ทางจงกรมก็พร้อม ศรัทธาเขาก็พร้อม ทุกอย่างเขาพร้อมหมดเลยนะ เขาส่งเสริม เขาต้องการให้ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติเข้าไปถึงธรรมนะ ถึงธรรมเพื่ออะไร เพื่อมาเป็นเนื้อนาบุญของเขา มาเป็นที่พึ่งเคารพของเขาเห็นไหม

เขาศรัทธา เขาส่งเสริม มันมีอยู่พร้อมทั้งหมดเลย เราทำไม่เหมือนครูบาอาจารย์เลย ครูบาอาจารย์ทุกข์ยากมาตลอด คนส่งเสริมไม่มีส่งเสริมด้วย เสียดสีด้วย ด่าทอด้วย มีแต่การกีดกันด้วย แต่ยังทำมาได้

แล้วเรานี่นะ ดูสิ สังคมสงบสุขขนาดไหน เขากำลังตื่นเต้นกันเรื่องการประพฤติปฏิบัติ เขาส่งเสริมทั้งนั้นนะ เขาส่งเสริมมาถ้าคนมีหลักมีชัยนะ เรามีหลักมีเกณฑ์ของเรา นั่นเรื่องของเขา นี่เรื่องของเรานะ เรื่องของเขาคือเขาปรารถนาของเขา เจตนาของเขา เขาต้องการบุญกุศลของเขา เขาก็ทำของเขา บุญกุศลของเขานะ สมบัติของเขานะ

แล้วของเราล่ะ ของเราอยู่ไหน ของเราคือหัวใจของเรามันสงบสุขไหม? ทางจงกรมของเราได้ลงเดินในทางจงกรมไหม? เราได้นั่งสมาธิภาวนาบ้างไหม? แล้วสมาธิภาวนา เราจะเอาอะไรไปภาวนาเห็นไหม? สิ่งนี้หัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา มันละเอียดอ่อนลึกซึ้ง

คำว่า “ละเอียดลึกซึ้ง” มันเหนือตรรกะ เหนือปรัชญา เหนือความคิด เหนือความรู้สึกทั้งหมด ฉะนั้นความคิดความรู้สึกในหัวใจของเรา เราปรารถนากันว่าเราจะประพฤติปฏิบัติ เรามีความจงใจ มีความตั้งใจกัน สิ่งนี้มันเป็นโลกียปัญญา ปัญญาของโลกเห็นไหม เราต้องมีสติสัมปชัญญะ พยายามสงบตั้งสติไว้ตามมันไป ถ้ามันสงบเข้ามาได้ ความสงบเข้ามามันจะเห็นความแปลกประหลาดมหัศจรรย์ของใจนะ ใจที่สงบๆ นี้

เวลาครูบาอาจารย์ของเราออกประพฤติปฏิบัติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นไหม อาฬารดาบสเข้าสมาบัติ เจ้าชายสิทธัตถะยังปฏิเสธเลย “สิ่งนี้ไม่ใช่ธรรมๆ” เห็นไหม เพราะ! เพราะมันไม่ใช่การแก้ไขกิเลส แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างสมบุญญาธิการมา มีสติสัมปชัญญะ อะไรจริงอะไรปลอม อะไรความสุข อะไรความทุกข์ของเราเพราะอะไร ดูสิขนาดเป็นพระเวสสันดรสละขนาดนั้น ความที่สละขนาดนั้น บารมีมันต้องมีเชาว์ปัญญาที่เหนือมากๆ สิ่งใดที่เป็นเรื่องของโลก แบ่งแยกได้ว่าเป็นเรื่องของโลก

สิ่งใดเป็นเรื่องของธรรมยังเข้าไม่ถึงก็ยังไม่รู้จัก แต่ก็พยายามจะเข้าหาถึงธรรมให้ได้ สิ่งนั้นที่เขาส่งเสริม เขาเยินยอกันนั้นถึงไม่ใช่ความจริง ไม่ใช่ความจริงถึงพยายามจะค้นคว้ามา ความละเอียดอ่อนมันละเอียดอ่อนขนาดนั้น ฉะนั้นปรัชญา ตรรกะ ที่เราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่มันเป็นสมมุติบัญญัติ บัญญัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่พ้นสมมุติบัญญัติ สมมุติบัญญัตินะ

เวลาพระสมัยพุทธกาล เวลาบวชแล้วนี่ นั่นก็ผิด นี่ก็ผิด จนไปลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะสึก อะไรก็ผิดไปหมดเลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า

“ไม่ต้องถือศีลทั้งหมดได้ไหม ถือศีลข้อเดียว”

“ได้ ถ้าถือศีลข้อเดียวจะไม่สึก จะอยู่อย่างนั้น”

“อย่างนั้นให้ถือศีลข้อเดียว ดึงดวงใจไว้ ไม่ทำความผิดพลาด ดูใจไว้” เห็นไหม

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่เป็นไป สิ่งที่บัญญัติเป็นธรรมวินัยขึ้นมา แล้วหัวใจของเราล่ะ เราดูใจของเราไหม เรารักษาใจของเราไหม เราดูแลใจของเรา เราอุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทธะในใจของเรา เราดูแลของเราขนาดไหน ถ้าดูแลขนาดไหนนะ นี่อาสาฬหบูชาไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมจักรนะ ขณะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมจักร แล้วพระอัญญาโกณฑัญญะบรรลุธรรม “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายต้องดับเป็นธรรมดา” เทศนาว่าการไปจนปัญจวัคคีย์ได้โสดาบันทั้งหมด แล้วเทศน์อนัตตลักขณสูตรเป็นพระอรหันต์ทั้งหมด “เอหิภิกขุ เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด” เพื่อเห็นไหม ไม่ใช่ประพฤติพรหมจรรย์นะ เพราะเป็นพระอรหันต์ทั้งหมดแล้ว “เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด เพื่อเผยแผ่ศาสนา”

แต่ถ้ายังเป็นผู้ที่เอหิภิกขุ แต่ยังเป็นปุถุชนอยู่ “เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด เพื่ออยู่พรหมจรรย์ไง” เพื่อประพฤติปฏิบัติเห็นไหม เพื่อประพฤติปฏิบัตินะ แสดงธรรมจักรขึ้นมาเอหิภิกขุ แล้วเราบวชมา อุปัชฌาย์ออกบวชมาแล้วเป็นญัตติจตุตถกรรม เป็นสงฆ์โดยสมมุติ เป็นสงฆ์นะ เป็นสงฆ์โดยสมมุติ

คำว่าสมมุติ สงฆ์เรามีสิทธิเห็นไหม เพราะอะไร ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา บริษัท ๔ ถ้าเป็นบริษัท ๔ เป็นสงฆ์โดยสมมุติ สมมุติสงฆ์ เรามีโอกาส มีวาสนา เราต้องเอหิภิกขุ บวชใจของเราให้ได้ การประพฤติปฏิบัติถ้าจิตมันสงบเข้ามาเห็นไหม ดูสิ เขาจะบวชเข้ามาเราจะมีกิจกรรม กิจกรรมไง กิจกรรมของจิตนะ กิจกรรมของโลก เอามาให้บุญกุศลของเขา ปรารถนาของเขา อย่างเช่นวันนี้เป็นวันสำคัญทางศาสนา เขาหาบุญกุศลของเขา

แล้วเราล่ะ เราจะหาบุญกุศลของเราไหม เราจะหาสัจจะความจริงของเราไหม ถ้าเราหาสัจจะความจริงของเรานะ เราจะต้องมีเจตนาตั้งใจนะ สังเกต สังเกตความเป็นไปของจิต หัวใจของเรามันเรียกร้องอะไร มันสนใจสิ่งใดเห็นไหม

งานข้างนอกนะ ดูสิ กล้องจุลทรรศน์นะ เวลาเขาส่องเชื้อโรคเห็นไหม มองไม่เห็นด้วยตาเปล่านะ เขาใช้กล้องขยายเขาเห็นของเขานะ ว่าเชื้อโรคเขาเพาะเชื้อ เขาตรวจเชื้อขึ้นมาเห็นไหม เป็นเชื้อโรคเขายังตรวจสอบได้เลยว่าคนเจ็บคนป่วยเป็นโรคอะไร

แล้วโรคกิเลสในใจของเรานี้ ทำไมเราไม่สังเกตระวัง เราทำไมไม่ดูแลรักษา ใจนี้เราจะมีมรรคญาณเห็นไหม มัคคะย้อนเข้ามาดูใจของเรา มันสังเกต ถ้าสังเกตดูแลของเรานะ พุทโธๆ หมั่นสังเกต หมั่นดูแล ถ้าหมั่นสังเกตหมั่นดูแลขึ้นมานะ บวชใจนะ เอหิภิกขุบวชให้ได้ ถ้าบวชใจของเราขึ้นมานะ เราจะอยู่ในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยความรื่นเริงอาจหาญนะ เราจะรื่นเริงในธรรมเลย

นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวินัย สร้างบ้านสร้างเรือนให้เราอยู่นะ วางวัฒนธรรมประเพณีเอาไว้แล้ว ผู้ที่เป็นนักปราชญ์ ครูบาอาจารย์เราวางธรรมและวินัยเอาไว้แล้ว เบิกทางเอาไว้ให้เลย แล้วเราขณะเดินไปตามทางที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมและวินัยนี่วางไว้เห็นไหม ดูสิ วัตรปฏิบัตินี่เป็นธรรมและวินัย

สิ่งที่ทำอยู่นี้กิจของสงฆ์ ๑๐ อย่าง กวาดลานเจดีย์ ทำเช็ดถูต่างๆ สิ่งนี้เป็นกิจของสงฆ์นะ กิจของสงฆ์เพราะอะไร เพราะสมบัติของสงฆ์ สมบัติของสงฆ์เห็นไหม เวลาเราใช้สมบัติของสงฆ์ เราเอาไปใช้ เราไม่เก็บเป็นที่เป็นทางเป็นอาบัติปาจิตตีย์

แล้วนี่เรารักษาสมบัติของสงฆ์ รักษาของสงฆ์นี่กิจของสงฆ์ กิจของเรา กิจของสงฆ์ สงฆ์อยู่ที่ไหน สังฆะ สังฆะอยู่ที่ไหน สังฆะ สังฆะนี่สังฆะโดยสมมุติไง ๔ องค์ขึ้นไปเป็นสงฆ์โดยสมมุติ สังฆกรรม วินัยกรรม เราจะทำกรรมกันอยู่นี้ ลงอุโบสถสังฆกรรมนี่ก็เป็นกิจของสงฆ์ ถ้ากิจของสงฆ์ทำเพื่ออะไร เพื่อความสะอาดจากภายในนะ กิจของสงฆ์คือกิริยาภายนอก

ผลไม้ ผลไม้ที่ไปซื้อมาต้องมีเปลือกมาด้วยเห็นไหม ถ้าไม่มีเปลือกผลไม้ก็เน่าเสีย เราไปซื้อส้ม ซื้อต่างๆ มันมีมาทั้งเปลือกนะ สังฆกรรมนี่เป็นกิจของสงฆ์ กิจของสงฆ์มีวินัยกรรม ทำกรรมขึ้นมา แล้วตัวสงฆ์อยู่ที่ไหนล่ะ

สังฆะไง เกิดจากภายนอก สังฆะ สงฆ์โดยสมมุติ สังฆะเห็นไหม โสดาบัน นี่สงฆ์แท้ๆ สกิทาคามี อนาคามี นี่สงฆ์แท้ๆ เลย อริยสงฆ์จากภายใน ถ้าสงฆ์นี้เกิดมา เอหิภิกขุบวชใจ ใจจะขึ้นมาเป็นเอหิภิกขุ ใจจะเป็นสงฆ์ขึ้นมา ใจเป็นสงฆ์ขึ้นมาเกิดจากใครล่ะ ก็เกิดจากการสังเกต หมั่นสังเกตดูแลของเรา เราจะสังเกตดูแลของเรา จิตของเราเห็นไหม มันสกปรกโสมมขนาดไหน

ของสกปรกเห็นไหม ผลไม้เราซื้อมา เขาต้องมาทำความสะอาด ซื้อมาต้องล้างให้สะอาดนะ เพราะมันมีสารพิษ แกะเข้าไป แกะมาจากมือสกปรก แกะอะไรทุกอย่างมันจะเสียหายไปหมดเลย กินเข้าไปมันจะไปให้โทษกับร่างกาย

นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อหัวใจของเราสกปรกเห็นไหม มันต้องมีคำบริกรรมทำความสะอาดของมัน รักษาความสะอาดก่อน เอาผลไม้ออกมาล้างก่อน หัวใจก็เหมือนกัน โลกียปัญญาสิ่งนี้เป็นตรรกะ สิ่งนี้เป็นความคิด ล้างมันออกไป ล้างสิ่งนี้ออกไป ถ้ามันไม่ล้างออกไป มันอาศัยความคิด สิ่งนี้มันชี้นำ ชี้นำก็เป็นเรื่องกิเลสนำ กิเลสนำหัวใจเข้าไปก่อน แล้วมันจะเป็นธรรมของมันที่ไหน ก็เป็นธรรมของกิเลส ถ้ากิเลสมันไม่มีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันจะเอาอะไรมาเป็นธรรมล่ะ กิเลสมันเป็นธรรมไม่ได้หรอก ธรรมของกิเลส เพราะมันอ้างธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ถ้ามันเป็นกิเลส มันเป็นธรรมที่ไหน มันก็เป็นกิเลสล้วนๆ มันมีแต่ความเจ็บแสบปวดร้อนในตัวมันเอง มันฉลาดมากมันถึงขี่หัวเราไง ขี่หัวเราขี้รดในหัวเราเห็นไหม แล้วก็อ้างธรรมะ ว่าสิ่งนี้เป็นธรรมๆ มันเป็นกิเลสทั้งนั้น แต่มันอ้างขึ้นมาให้เราเสียเวลาไปวันๆ หนึ่งไง โน่นก็ทำแล้ว นี่ก็ทำแล้ว สิ่งนั้นก็ทำหมดแล้ว เหลืออย่างเดียวไม่ได้สึกเท่านั้น สึกก็จบเลย

“โน่นก็ทำแล้ว นี่ก็ทำแล้ว” ทำอะไร? ทำอะไร? ถ้าทำขึ้นมามันทำแล้วเหรอ สิ่งใดมันมีคุณประโยชน์หมด

หลวงปู่มั่นเห็นไหม เก็บหอมรอมริบนะ ธรรมและวินัยทุกอย่างเก็บหอมรอมริบเลย ทุกอย่างตั้งแต่อาบัติเล็กอาบัติน้อยไม่ให้ผิดพลาดเลย เก็บหอมรอมริบขึ้นมา แม้แต่พระอรหันต์นะ วิหารธรรมเครื่องอยู่ ชีวิตความเป็นอยู่ของท่านยังอุดมสมบูรณ์ดีกว่าเราเลย เราเป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เราเป็นคนทุกข์คนยาก กิเลสเต็มหัวใจ เวลาจะประพฤติปฏิบัติ “โน่นก็ทำแล้วๆ” อะไรทำแล้ว?

แต่เวลาหลวงปู่มั่นท่านเป็นพระอรหันต์ ทุกอย่างท่านเก็บหอมรอมริบ ดูสิ ท่านเป็นพระอรหันต์แท้ๆ นะ ท่านยังเก็บหอมรอมริบ ท่านยังเคารพบูชาธรรมวินัยขนาดนั้น แล้วเราเป็นปุถุชนกิเลสเต็มหัวใจ เต็มหัวใจแล้วเราจะไม่เอาสิ่งนั้น สิ่งที่กระทำอยู่นี้ ที่เป็นกิจของสงฆ์เอามาชำระล้างเราเหรอ ถ้ามันชำระล้างของจิต จิตมันได้ชำระล้างมันก็สะอาดขึ้นมาเห็นไหม มันก็สมควรแก่งาน สมควรแก่การ สมควรทุกๆ อย่าง

ถ้าสมควร คำว่าสมควรนะ ถ้าไม่สมควรเป็นมิจฉาสมาธิ! ถ้าสมควรเป็นสัมมา สัมมาสมาธิเป็นสิ่งสมควร สิ่งที่ควรยกขึ้น ควรเป็นการงาน การงานที่เหมาะสมมันถึงเป็นความสมควร ถ้าไม่เป็นสมควรมันเป็นมิจฉา มิจฉามันก็ทำลายทั้งนั้น เป็นสมาธิก็ทำลายสมาธิ ทำลายโอกาส เป็นสมาธิแล้ว เป็นสภาวะแล้ว เป็นธรรมแล้วๆ เห็นไหม

ถ้าเป็นธรรมแล้วทำไมมันยังเป็นทัพพีขวางหม้อ ทำไมมันยังขวางใจอยู่อย่างนี้ สิ่งที่ขวางใจกิเลสมันขวางอยู่อย่างนี้ มันขวางอยู่เต็มตัวอย่างนี้มันเป็นธรรมได้อย่างไร ถ้ามันเป็นธรรมมันเอาอะไรเข้าไปขวางเห็นไหม เพราะความสะอาดบริสุทธิ์มันเอาอะไรมาขวาง สิ่งที่ขวาง มันขวางของมันเอง ขวางในหัวใจ

สิ่งที่หัวใจนี้อะไรมันขวาง มันกิเลสทั้งนั้นนะ แต่อ้างธรรมเพราะอะไร เพราะมันมีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีธรรมของครูบาอาจารย์ไง มันถึงเอามาอ้างได้ ถ้าไม่มีของจริง ของปลอมเกิดไม่ได้หรอก ต้องมีของจริงก่อน

ของจริงเห็นไหม สัจธรรมปฏิรูปมันถึงจะเกิดตามมา ตามธรรมอันแท้จริงนั้นมา ถ้าตามธรรมอันแท้จริงนั้นมา “นั่นใครๆ” นี่ไงมันเป็นผลของกิเลสทั้งนั้น กิเลสผลิตขึ้นมา กิเลสผลิตผลงานอย่างนี้ขึ้นมา แต่เราไม่เท่าทันมันไง เราไม่เท่าทันมันนะ เราประพฤติปฏิบัติ เราคิดว่าเราชำระกิเลส ไม่รู้เลยนะว่ากิเลสมันจูงจมูกอยู่อย่างนี้ มันจูงจมูกเราไป แล้วเราเดินตามมันไปอย่างนี้

มันบอกสิ่งนี้เป็นธรรม สิ่งนี้เป็นธรรม มันน่าสังเวช มันสังเวชนะเห็นไหม เวลาเราเสียอกเสียใจมันเป็นความทุกข์ ความสลดเห็นไหม สลด ทุกข์ระทมตรอมใจ แต่ถ้าเป็นธรรมนะ ดูสิ ความเป็นสภาวธรรมที่มันเกิดขึ้นมา มันขนพองสยองเกล้านะ จิตถ้ามันสงบขึ้นมาได้ ความปีติสุขมันเกิดขึ้นมานะ ขนพองสยองเกล้า ร่างกายมันเติบใหญ่พองคับโลกเลยเห็นไหม ความสุขอย่างนี้มันเกิดขึ้นมาเห็นไหม สิ่งที่เกิดขึ้นมามันเป็นความสุขแท้ๆ นะ ความสุขของใจ ความสุขของใจมันด้วยอามิส ความสุขของร่างกายเป็นอามิส ดูสิ ลมพัดมาก็เย็น อย่างนี้อบอ้าวร้อนมากเหงื่อไหลไคลย้อยเลย แล้วหัวใจล่ะ? หัวใจมันร้อนด้วยไหม? แต่ถ้าร่มเย็นเป็นสุขหัวใจมันสุขด้วยไหม?

สิ่งที่มันเป็นอามิสมันเกิดจากภายนอก แล้วเราแสวงหาจากภายนอกเพราะอะไร เพราะเราลืมตัว เราทิ้งตัวเองนะ ทิ้งหัวใจ! หัวใจทิ้งมันไป หมกมันไว้ แล้วไปหาความสุขจากวัตถุไง จากห้องแอร์ไง จากความเป็นไปของโลกไง ไปหาความสุขจากนั้นน่ะ แล้วหัวใจทำไมไม่ดูแลมันล่ะ? หัวใจทิ้งมันไปทำไม?

ของที่เป็นคุณสมบัติ ของที่เป็นความจริงในหัวใจทิ้งมันไป แล้วไปหาสิ่งที่เป็นปัจจัยเครื่องอาศัย ไปหาแต่สิ่งที่เป็นภายนอก สิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์เลย แล้วอาศัยสิ่งนั้น แล้วเอามาดัดกิเลสกันว่ามีคุณ มีคุณค่า คุณค่าของใคร?

คุณค่าของกิเลสนะ ถ้าเป็นคุณค่าของกิเลส เราเป็นศากยบุตร งานของเรา ทางจงกรม นั่งสมาธิภาวนา ดัดแปลงมัน เราดัดแปลงมันนะ ดูต้นไม้สิเห็นไหม ไม้ดัด เขาดัดมันเอารูปอะไรก็ได้ รูปอะไรเขาดัดมันไปเห็นไหม แล้วตัดแต่งมันเป็นรูปได้หมด ต้นไม้นะ คนขยันเขายังดัดมันเลย

ธรรมและวินัยนั้นมีแล้ว ครูบาอาจารย์ก็มีอยู่ ดัดจิตดัดใจ ดัดแปลงของเรา ใจเราดัดแปลงใจเรามาให้ดีให้ได้ ทางจงกรมนี่แหละดัดมัน เราก้าวเท้าเดินของเราไป แต่เราดัดหัวใจนะ เดินไปด้วยใช้พลังงานจากภายนอก แต่ในหัวใจควบคุมมันด้วยสติสัมปชัญญะ ควบคุมมันไป ถ้ามันดีขึ้นมา มันเป็นไปขึ้นมาเห็นไหม มันเป็นพืชพันธุ์ที่ดี มันเจริญงอกงามขึ้นมาในหัวใจเห็นไหม ทวนกระแส ทวนกระแสความสุขจากภายใน

คนเขาดูนะ โอ้ย พระองค์นี้ไม่มีคนนับหน้าถือตาเลยนะ พระองค์นี้ โอ้โฮ ขี้ทุกข์ขี้ยากนะ แต่เราเดินจงกรมของเรานะ เรามีความสุขนะ เขาไม่รู้หรอก เขาไม่รู้สมบัติไง เหมือนลิงได้แก้ว เหมือนไก่ได้พลอย เขาไม่รู้ว่าอะไรเป็นสมบัติหรอก เขาเห็นแต่แก้วแหวนเงินทองเป็นสมบัติ แต่เราศากยบุตรเห็นธรรมวินัยเป็นสมบัติ เห็นธรรม อริยทรัพย์เป็นสมบัติ ถ้าเรามีสมบัติขึ้นมา เดินจงกรมขึ้นมาหัวใจเรามีความสุขของเรา เขาจะรู้อะไรกับเรา เขาไม่รู้หรอก เขาไม่รู้ก็เรื่องของเขา แล้วเขาไม่รู้เราต้องไปบอกให้เขารู้เหรอ เรามีความจำเป็นต้องไปบอกให้เด็กมันเข้าใจตามเราเหรอ มันเป็นไปไม่ได้หรอก วุฒิภาวะของใจมันไม่เหมือนกัน วุฒิภาวะของใจไม่เหมือนกันมันก็ไม่จำเป็นต้องบอกใคร มันเป็นสันทิฏฐิโก

ดูสิ ครูบาอาจารย์ท่านว่าเห็นไหม สิ่งที่เกิดมาจากหัวใจมันอิ่มเต็มหัวใจ มันไม่หิวกระหาย มันไม่ใช่คนบ้า คนบ้างต่างหากที่ต้องการให้เขายอมรับ คนบ้าต่างหาก แล้วเขาไม่ยอมรับก็เป็นโมฆบุรุษ เห็นไหม โมฆะติดในลาภ ลาภสักการะ เป็นเหยื่อ เพราะเราติดในลาภสักการะเราก็เป็นเหยื่อ พอติดเป็นเหยื่อมันก็ต้องประชาสัมพันธ์ ต้องเป็นการสร้างภาพ

แล้วการสร้างภาพมันอะไร มันเป็นความทุกข์ทั้งนั้นนะ เพราะมันเป็นการกระทำ มันเป็นการคาดหวัง ต้องการคาดหวัง แล้วพยายามต้องให้เขายอมรับ แต่ถ้ามันเป็นความจริงของเรานะ เอ็งจะอยู่ในรูก็ไม่เป็นไร จะอยู่ที่ไหนก็ได้ จะอยู่ในโอ่งในไหก็ได้ ไม่สำคัญ

หัวใจมันเป็นสุขขึ้นมาแล้วมันสำคัญตรงไหน สิ่งนี้ไม่สำคัญเลย ถ้าไม่สำคัญในหัวใจ แล้วตอนนี้ใจมันอยู่ในร่างกาย อยู่ในคูหาของจิต จิตอยู่ในคูหา อยู่ในร่างกาย แล้วมันต้องการใคร ถ้าไม่ต้องการใคร นี่มันดัดแปลงตนอย่างนี้ไง ถ้ามันดัดแปลงตนอย่างนี้ มันนั่งสมาธิภาวนา มันทำได้ทั้งนั้น ถ้ามันทำได้ขึ้นมาเห็นไหม ทรัพย์จากภายในเรารู้ของเรานะ สันทิฏฐิโก

เงินของเรา สมบัติของเรา อยู่กับมือของเรา ทำไมต้องไปถามใครเห็นไหม ถ้ามันเป็นความจริงในใจของเราต้องถามใคร ไม่ถามใคร เว้นไว้แต่เวลาเราก้าวอยู่นี่ เวลาก้าวเดินไปมันเดินไปถึงทางสองแพร่ง สามแพร่ง แล้วมันเดินผิดเดินถูก ตรงนี้ครูบาอาจารย์สำคัญมาก ครูบาอาจารย์จะสำคัญมากเลย ขณะที่เรากำลังเดินไปทางสองแพร่งสามแพร่ง

คิดดูสิ ทางสองแพร่งนี้ไปตลอดชีวิตเลย ยังกลับมาไม่ถูกเลย ผิด กลับมาถึงแพร่งที่สองก็ยังไปอีกครึ่งค่อนชีวิต ก็ยังผิดเห็นไหม ทางสามแพร่งคิดดูสิ ไปกว่าจะย้อนกลับมามันเสียเวลาขนาดไหน

แล้วถ้าเกิดว่าถ้ามีครูบาอาจารย์ ต้องไปทางนี้! ต้องไปทางนี้ทางเดียวเลย! ต้องไปทางนี้เลย ไม่มีทางต่อรอง! การต่อรองไม่ได้!

การต่อรองไม่ใช่อริยสัจ การประพฤติปฏิบัติต้องอันเดียวกัน อริยสัจเกิดขึ้นมาเหมือนกันทั้งหมดเห็นไหม จะปัญญาวิมุตติ เจโตวิมุตติ จะวิธีการขนาดไหน อริยสัจต้องเป็นอันเดียวกัน อันเดียวกัน ทุกข์อันเดียวกัน แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้มาองค์ที่ ๔ พระศรีอริยเมตไตรยจะมาตรัสรู้เป็นองค์ที่ ๕ ก็เหมือนกัน! อริยสัจเหมือนกันเลย จะไม่มีการแตกต่าง ไม่มีการแตกต่างกันแม้แต่น้อย เพียงแต่มีอำนาจวาสนาบารมี ดูสิ ๑๖ อสงไขย ๘ อสงไขย ๔ อสงไขย เท่านั้นนะ อายุ เวลา กับสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่อริยสัจเป็นอันเดียวกัน

ดูสิ แหล่งน้ำ น้ำๆๆ ที่ไหนก็เหมือนกัน รสของน้ำ รสจืดน้ำเหมือนกันทั้งหมดเลย แต่ต่างกันเวลาที่เขาไปใส่สี เขาไปทำเป็นอาหารนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ถ้าน้ำบริสุทธิ์เหมือนกันทั้งหมดเลย

นี่ก็เหมือนกัน อริยสัจเป็นอันเดียวกัน สิ่งที่เป็นอันเดียวกันมันถึงย้อนกลับมาที่นี่ ถ้าย้อนกลับมาที่เรา มันต้องเหมือนกันอย่างนี้ไง สิ่งที่เหมือนกันกับเรา ถึงไม่ต้องไปตื่นเต้นกับสิ่งใดๆ ถ้ามันเกิดขึ้นมาในหัวใจของเรา ถ้าเป็นความจริง ธรรมคือธรรม ธรรมเหนือโลก แล้ววันนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประกาศธรรมด้วย แล้วเราบวชมาเห็นไหม เราบวชมาในศาสนา จะเป็นบวชใหม่บวชเก่าก็แล้วแต่ บวชใหม่บวชเก่านี่นะมันอยู่ที่อำนาจวาสนา

วาสนาของเรานะ บวชเข้ามาแล้วเราพยายามประพฤติปฏิบัติ ประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเพื่อสะสมตกผลึก ให้ความเห็นบุญกุศลตกผลึกในหัวใจ ถ้าทำปฏิบัติไปแล้ว อำนาจวาสนามันก็ฝึกฝนใจ เป็นจริตเป็นนิสัย เป็นการตกผลึก เป็นตกผลึกในหัวใจ ให้หัวใจได้ชุ่มชื่นใจ สิ่งนี้ตกผลึกในหัวใจ

การตกผลึกเห็นไหม ภวาสวะ ภพ มันตกผลึกที่ไหน ถ้ามันตกผลึกที่ในหัวใจ มันเป็นภพ มันเป็นภวาสวะ มันเป็นสถานที่รับรู้ มันเป็นตัวเกิดตัวตาย จิตตัวเกิดตัวตาย ถ้าถึงที่สุดเห็นไหม ถึงที่สุดต้องทำลายภวาสวะ ทำลายภพ ภพชาติเกิดตรงนี้ ตัวผลึกนี้คือตัวจิตปฏิสนธิ จิตปฏิสนธิไม่ใช่จิต ไม่ใช่ดวงวิญญาณ ไม่ใช่จิต ไม่ใช่วิญญาณอายตนะ มันเป็นจิตปฏิสนธิ ตัวมันเองเป็นตัวจิต เป็นตัวผลึก เป็นตัวภวาสวะ เป็นตัวภพ แล้วตัวนี้เป็นตัวปฏิสนธิไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม

ขณะที่เข้าฌานสมาบัติจิตนี้เป็นหนึ่งเดียว ผลึกอันนี้มันจะไปเกิดเป็นพรหม ถ้าเกิดเป็นพรหมแล้วพรหมก็อยู่ในเวลาของพรหม พอออกจากพรหมแล้วก็มาเกิดอีก สิ่งการตกผลึกนี้สร้างอำนาจวาสนา นี้เป็นเรื่องของวัฏฏะ แต่ทีนี้วัฏฏะ ออกจากวัฏฏะ ทำลายผลึกตัวนี้ ทำลายสิ่งที่จะหมุนไปในวัฏฏะ วัฏฏะมันเป็นสมมุติ มันอยู่อย่างนี้เป็นสมมุตินะ มันไม่มีเวลาของมันนะ เวียนตายเวียนเกิดมันเป็นสมมุติอย่างนี้

แต่จิตตัวนี้มันเป็นความจริง แต่มันยังมีอวิชชาปกอยู่ มันก็เป็นอนิจจัง อนิจจังกับสมมุติมันเข้ากัน เข้ากันมันก็เวียนไปๆๆ ตัวผลึกนี้เป็นตัวเวียนเกิดๆ แต่เวลาทำลายมันแล้วเห็นไหม ทำลายตัวผลึกตัวนี้แล้ว ตัวผลึกหมดไป ไม่มีอะไรเลย มองในโลกนี้เป็นความว่าง แล้วกลับมาถอนอัตตานุทิฏฐิ กลับมาถอนไอ้ทิฏฐิ ไอ้ตัวผลึกนี้ ถอนให้หมด ถ้าถอนตัวผลึกนี้ให้หมดได้เห็นไหม นี่แหละสิ้นสุดกระบวนการ นี่แหละวิมุตติ สุขอย่างนี้ไม่มีที่ไป

แต่ขณะที่เราประพฤติปฏิบัติ ถ้ามันไม่มีอำนาจวาสนาถึงที่สุด มันก็สร้างสมให้ตกผลึกในหัวใจ ให้หัวใจมีบุญกุศล ให้มีผลึกไว้ในหัวใจของเรา เกิดดีดีกว่าเกิดทุกข์เกิดยาก เกิดมาแล้วมันก็มีสิ่งที่รองรับเรา ให้เราเห็นคุณประโยชน์ ให้เห็นคุณประโยชน์ของความสุข

ความสุขเกิดจากความสงบไม่มี ให้จิตสงบเห็นไหม ให้เราสงบกาย สงบกายเราก็อยู่ของเราในเพศสมณะ ศากยบุตรเห็นไหม รักษาสมบัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ภิกษุเป็นผู้ดูแลธรรมและวินัย เรารักษาชีวิต เราดำรงชีวิต สอนเขาให้เขาเห็นชีวิต ทำไมพระท่านอยู่ของท่านอย่างนั้นได้? ทำไมท่านฉันมื้อเดียวได้? ทำไมท่านอยู่ของท่านได้หมดเลย?

คฤหัสถ์เขาอยู่ เขามีความอุดมสมบูรณ์ทางโลกทั้งหมดเลย ทำไมเขาทุกข์เขาร้อน เขาหันมามองทางพระ เขาก็ได้เป็นข้อเปรียบเทียบ ชีวิตของเรา เราอยู่ของเราก็เป็นข้อเปรียบเทียบของเขาแล้ว เขาเห็นความเป็นอยู่ของเรา เขาเห็นการกระทำของเรา ทำไมเขาอยู่ของเขาได้? ทำไมเขาอยู่ได้?

มนุษย์เราเป็นคฤหัสถ์ กินวันหนึ่ง ๗ มื้อ ๘ มื้อ เขายังต้องการตลอดไป พระฉันมื้อเดียว แล้วยังจะผ่อนอาหารอีก ยังทรมานกิเลสอีก ความดำรงชีวิตก็สอนเขาแล้ว ถ้าจิตใจเรามั่นคง สิ่งที่เป็นการกระทำ ทำดีมีอยู่ทั่วไป ถ้าใจเป็นธรรมนะ มองเห็นทุกอย่างมันจะเป็นธรรม มันจะเตือนใจตลอด สรรพสิ่งในโลกนี้มันแปรสภาพตลอด ไม่มีสิ่งใดคงที่เลย

สร้างที่ใดขึ้นมาก็ต้องตั้งงบประมาณบำรุงรักษามันตลอดไป ร่างกายเราเกิดมาก็ชราคร่ำคร่าตลอดไป สิ่งต่างๆ เกิดมาชั่วคราว ให้เรามีโอกาสได้ขวนขวายหาทางออก แล้วชีวิตของเราทั้งชีวิตเราไม่ขวนขวาย เราไม่หาทาง มันเศร้าใจนะ เศร้าใจ ถ้าเราหาทางเราขวนขวายของเรา เรามีทางออกของเรา โลกเป็นอย่างนี้ ไม่ต้องห่วงเลยว่าคนจะบวชพระหมดแล้วโลกจะไม่มีคนอยู่ ดูสิ จาก ๑๖ ล้าน เดี๋ยวนี้ ๖๐ ล้านในเมืองไทย ประชากรโลกมันเพิ่มขึ้นมาตลอด ไม่ต้องห่วง ห่วงว่าผู้นำของโลกต่างหากล่ะ

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน พระอานนท์นี่ร้องไห้เลย “ดวงตาของโลกดับแล้ว” ฟังสิ! ดวงตาของโลกนะ ทุกอย่างเลย นักการทหารจะออกรบก็มาถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ที่จะมาสร้างบ้านสร้างเมืองก็มาถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คนเจ็บไข้ได้ป่วย คนทุกข์คนยาก จะมีสิ่งใดก็มาถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นไหม นี่ดวงตาของโลก

“ดวงตาของโลกดับแล้ว” แม้แต่พระอานนท์ก็เป็นพระโสดาบันก็ยังร้องไห้เลย แล้วเรา เราเกิดมาช่วงอย่างนี้ เรามีโอกาสขนาดนี้ เรามีโอกาสแล้ว เราพยายามของเรานะ อย่าทำลายโอกาสของเรา ตั้งสติไว้

วันนี้วันอาสาฬหบูชา พรุ่งนี้เป็นวันเข้าพรรษา ถ้าที่ใดถือธุดงค์ได้ก็ควรจะถือ ถ้าที่นี่ถ้ามันทำได้ เราจะถือธุดงค์ ถือธุดงค์เห็นไหม ธุดงควัตรเป็นการขัดเกลากิเลส กิเลสนี้มันมีเต็มในหัวใจของเรา ธุดงควัตรไปช่วยขัดเกลาให้มันเบาบางลง แต่มันจะชำระกิเลสได้ด้วยมรรคญาณ ด้วยปัญญาญาณของเรา พร้อมกับสัมมาสมาธิยกขึ้น แล้วปัญญาญาณเข้าไปชำระกิเลส

แต่การขัดเกลากิเลสนี้มันเป็นวิธีการ วิธีการต่างๆ นี้มันเป็นสมบัติ มันเป็นคุณสมบัติ มันเป็นสมบัติในศาสนา เราเป็นพระป่า เราเป็นนักรบ เราต้องสงวนเห็นไหม สิ่งใดที่เป็นอาวุธ สิ่งใดที่เป็นคุณสมบัติ สิ่งใดที่เป็นคุณงามความดีในศาสนา เราต้องรักษาไว้ เพื่อให้อนุชนรุ่นหลังเขาได้อาวุธสืบต่อๆ กันไปให้ไปชำระกิเลสไง

ถ้าอธิษฐานพรรษา ถือธุดงค์ได้ก็ถือ ถ้าที่ใดมันอัตคัด มันไม่ถือธุดงค์หรือไม่ธุดงค์มันพอกัน นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่ถ้าถือได้ถือธุดงค์ เวลาเราบวชใหม่ๆ ขึ้นมาเห็นไหม เราบอกทำไมไม่มีคนสอนเรา? ทำไมไม่มีคนบอกเรา? แล้วพอเราบวชขึ้นมา อายุพรรษาเรามากขึ้น ทำไมเราไม่สงวน ทำไมเราไม่รักษาสมบัติไว้ส่งต่อๆ ไปให้ลูกให้หลานล่ะ

ถ้าเรารักษาสมบัตินี้ส่งต่อๆ กันไปเห็นไหม นี่สังฆะ ผู้ที่เป็นภิกษุเข้ามาในศาสนารักษาสมบัติอันนี้ไว้ ถ้าใครมีอำนาจวาสนา เขาเข้ามาเขารื้อค้น เขาได้สมบัตินี้ไปเห็นไหม นี่วาสนาคนไม่เหมือนกันนะ แต่! แต่มีโอกาสเหมือนกัน เราเกิดมาเป็นนักรบเหมือนกัน เกิดมาเป็นภิกษุเหมือนกัน บวชมาจากอุปัชฌาย์เหมือนกัน สมมุติสงฆ์เป็นสงฆ์สมบูรณ์ทั้งหมดเลย นั่งอยู่ในสังฆกรรม เป็นสงฆ์สมบูรณ์

ถ้าไม่สมบูรณ์เห็นไหม สิ่งที่ไม่สมบูรณ์เราก็ต้องแก้ไข นี่เป็นสิ่งที่สมบูรณ์ สมบูรณ์ในสมมุติสงฆ์ แล้วเราต้องพยายามทำของเราให้สมบูรณ์จากภายใน ให้สมบัติมันเกิดนะ ทรัพย์มันเกิดจากภายในนะ ทรัพย์อันนี้ไม่มีใครเห็น แต่ทรัพย์อันนี้จะเป็นประโยชน์กับผู้นั้นก่อน

“อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” ถ้าตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ต้นไม้เห็นไหม ต้นไม้ต้นไหนมันมีร่ม มันมีดอกมีผล นกกาไปอาศัย จะเป็นที่พึ่งจะเป็นที่อาศัยของทั้งโลก ของทั้งธรรมไง

เวลาครูบาอาจารย์ของเราเห็นไหม เทวดา อินทร์ พรหม ไปฟังเทศตลอดนะ ไปฟังเทศน์ตลอด นี่งานไม่เคยว่างเลย เพราะอะไร เพราะในวัฏฏะ เราเห็นกันแต่โลกนี้ไง แต่ถ้าตาของธรรมนะ ตั้งแต่พรหมลงมา นรกอเวจี มันจะรู้ไปหมด มันจะเห็นไปหมด รู้ไปหมดเพราะอะไร เพราะพระอรหันต์จะมีความลังเลสงสัยไม่ได้ ในวัฏฏะถ้าคำว่าวัฏฏะ พระอรหันต์ไม่รู้วัฏฏะ พระอรหันต์ไม่รู้อะไร มันเป็นพระอรหันต์ไม่ได้หรอก พระอรหันต์ต้องเข้าใจหมด รู้หมด เห็นหมด ถ้าไม่รู้หมด ไม่รู้สงสัยไหม แล้วสงสัยเป็นพระอรหันต์ได้อย่างไรเห็นไหม ความเห็นมันถึงต่างๆ กันอย่างนี้ไง ถ้าเราไม่เห็นเราไม่รู้ เราก็มีครูมีอาจารย์คอยชี้นำ แล้วเราจะประพฤติปฏิบัติไป

วันนี้วันลงอุโบสถ แล้วพรุ่งนี้วันเข้าพรรษา ใครมีความเข้มแข็ง ใครมีสัจจะ ใครจะอธิษฐานอะไรนะ พระใหม่นะ ถ้าจะอธิษฐานอะไรให้ปรึกษาพระเก่าก่อนนะ เพราะบางอย่างเราไม่รู้ เราอธิษฐานไปมันมีปัญหานะ ถ้าบางอย่างมันอธิษฐานได้ หรืออธิษฐานแล้วมันเป็นประโยชน์ ถ้าเราอธิษฐาน

อย่างเช่น มีพระไม่เข้าใจ อธิษฐานพรรษา ในพรรษาจะไม่ซักผ้า ๓ เดือน เราเคยเจอมาแล้วนะไม่ซักผ้า ๓ เดือน กลิ่นเหม็นน่าดูเลย แล้วมันได้ประโยชน์อะไรกับการประพฤติปฏิบัติล่ะ ถ้าอธิษฐานอะไรให้ปรึกษาพระเก่าซักนิดหนึ่ง อะไรอธิษฐานได้ อะไรอธิษฐานไม่ได้

อธิษฐานตั้งสัจจะ แล้วเราก็อธิษฐานกัน ๓ เดือน ให้มันเห็นผลกัน ๓ เดือนเราจะพิสูจน์กันว่ากำลังใจเราดีขนาดไหน เราจะต่อสู้กับกิเลสได้ขนาดไหน แล้วเราจะได้สมบัติสิ่งใดติดตัวเราไปบ้าง เอวัง