เทศน์พระ

เทศน์พระ ๒๖

๒๘ ส.ค. ๒๕๕o

 

เทศน์พระ วันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจนะ อุตส่าห์มาเห็นไหม ทำภาชนะเราให้พร่องเพื่อจะได้บรรจุไง บรรจุความรู้ความเห็น ถ้าภาชนะเราไม่พร่องนี่ชาล้นถ้วย ชาล้นถ้วยเพราะว่าเรารู้แล้วไง เรารู้เห็นไหม อุโบสถครั้งที่แล้วก็มาอย่างนี้ ฟังอุโบสถเห็นไหม ฟังอุโบสถเสร็จแล้วก็กลับ แล้วก็มาอีกก็ซ้ำอีก ก็ต้องมาทำอย่างนี้ เวลากิเลสมันออกมันออกมาอย่างนี้นะ นี่อุโบสถสังฆกรรม

สังฆกรรมเห็นไหม เวลาหลวงปู่มั่นบอกครูบาอาจารย์ ให้ทำคนเดียวนะ ให้ทำอุโบสถนะ เพราะอะไร เพราะว่าถ้าทำอุโบสถเราระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราระลึกถึงศีลของเรา เราระลึกถึงความสะอาดบริสุทธิ์ของเรา ถ้าเราคิดถึงความสะอาดบริสุทธิ์ของเรา เราคิดถึงคุณงามความดีของเรา เราอยู่กับศีลธรรมไง แต่ถ้าเรามองข้ามนะ เราจะห่างออกไปเห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไว้ในธรรมะ

“ผู้ใดอยู่ทางภาคตะวันตกของทวีป อยู่ไกลแสนไกลเราขนาดไหน ถ้าปฏิบัติเหมือนเราเหมือนอยู่ใกล้เรา ผู้ใดจับชายจีวรเราไว้ แต่ไม่ปฏิบัติตามเรา เหมือนอยู่ห่างไกลแสนไกล”

แล้วธรรมวินัยเป็นองค์ศาสดา “อานนท์ ธรรมและวินัยจะเป็นศาสดาของเธอ” แล้วอุโบสถสังฆกรรมเห็นไหม อุโบสถด้วย สังฆกรรมด้วย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ไง ธรรมะเห็นไหม ธรรมและวินัย นี่สังฆะ

สังฆะคือความเป็นอยู่ของเรานะ ถ้าเราเข้มแข็งของเราขึ้นมา เราจะได้ของเราทุกวัน ดูสิ ดูอย่างสามเณรราหุล เช้าขึ้นมากอบทรายขึ้นมากำมือหนึ่ง “วันนี้เราต้องศึกษาธรรมะให้ได้ดั่งเม็ดทราย” เราจะศึกษา ศึกษาตลอดเห็นไหม คนที่หวังศึกษาตลอด คนที่หวังดีตลอดเห็นไหม คนนั้นมีโอกาสนะ

ถ้าภาชนะเราเต็มเห็นไหม มันตั้งแต่เริ่มจะออกจากวัดมาเลย แสนเบื่อแสนหน่าย แสนจะรำคาญ แสนจะลำบากลำบน อันนี้มันเป็นเรื่องชาล้นถ้วย แต่ถ้ามันเป็นเรื่องอย่างสามเณรราหุล สามเณรราหุลเป็นพระอรหันต์นะ เป็นพระอรหันต์แล้วทำไมต้องศึกษา ศึกษาเอาอะไรอีกเห็นไหม

มันต้องศึกษานะ มันต้องศึกษาในเรื่องคุณธรรม ในเรื่องความเป็นจริงของใจ แต่ศึกษาเพราะสร้างบุญญาธิการมาอย่างนั้น สร้างวาสนามาอย่างนั้น อยากรู้อยากเห็น อยากมีประสบการณ์ อยากสะสมของตัวเองไว้ นี่ประสบการณ์ชีวิตไง สิ่งที่เป็นประสบการณ์ชีวิตให้มันเป็นคุณงามความดีของเรา ให้มันเป็นความจริงของเรา ถ้าเรารู้สิ่งต่างๆ นี่วิชชา อวิชชาคือความไม่รู้ นี่งงนะ อะไรที่ไม่รู้ แหม.. นั่งดูนะ มันจะเป็นอะไร เรายังไม่เข้าใจเห็นไหม

ศึกษาเข้าใจแล้วไม่มีอะไรเลยที่เราจะลังเลสงสัย โลกนอก โลกใน โลกนอกมีความเปลี่ยนแปลงตลอด เห็นไหม อจินไตย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้วพระศรีอริยเมตไตรยจะมาตรัสรู้ต่อไปข้างหน้า เห็นไหมอจินไตย โลกนี้เป็นที่รองรับ รองรับนี้มันเป็นผลของวัฏฏะ ผู้ที่มีบุญญาธิการจะมาเกิด จะรื้อสัตว์ขนสัตว์ สัตว์จะต้องเกิดต้องตายไปอย่างนี้ นี่โลกนอก มีวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีมันเจริญขึ้นมานี่ไม่รู้หรอก โลกนอก ถ้าพูดถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าใจ ความเข้าใจโลกนอกโลกใน

แต่โลกในนี่โลกของเรา โลกของกิเลสเห็นไหม ถ้ามันทะลุอริยสัจเข้าไป โลกในนี่แจ่มแจ้งนะ เราจะไม่ลังเลสงสัยในความรู้สึกของเราเลย เราจะไม่ลังเลสงสัยการเกิดและการตาย การเกิดและการตายนี่ไม่ลังเลสงสัยเลยนะ

แต่ในปัจจุบันถ้าเป็นปุถุชนนี่สงสัย ตายแล้วไปไหน? องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการไว้จริงหรือไม่จริง? ทำไปแล้วจะได้หรือไม่ได้ เพราะอะไร เพราะอวิชชามันปกคลุมหัวใจไว้ แต่ถ้ามันเพิกออกหมดนะ อวิชชาออกจากใจหมด มันจะสงสัยไปไหน โลกทัศน์จากภายในไง สิ่งที่เป็นเรา สิ่งที่มันต้องไปตามกระแส ถ้าเราดับมันได้เห็นไหม มันรู้ทันมัน สิ่งนี้มันจะสงสัยมันได้อย่างไร มันเห็นหมดไง ถ้ามันไม่มีความรู้แจ้งในหัวใจ มันจะเปิดความลังเลสงสัยของใจออกไปได้อย่างไร แต่จะเปิดความลังเลสงสัยออกไปจากใจมันต้องมีวิธีการของมัน มันต้องมีวิธีการทวนกระแสเข้าไปหาใจ

อย่าให้อายคฤหัสถ์เขานะ คฤหัสถ์เขายังจริงจังกับเราเลย เขาจริงจังกับเรานะ เขาทำของเขา เขามีความจริงจังของเขา เพราะเขาอยู่กับทุกข์ เขาอยู่ใกล้ทุกข์ เขานอนกอดอยู่กับมัน

แต่เราออกมาเป็นนักรบ เราบวชออกไปเป็นภิกษุเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง อย่าไปชินชานะ เราชินชาคุ้นเคยกับมันนี่จะชินชาหน้าด้าน เพราะมันได้มาทุกวัน มันได้มาสภาวะแบบนี้ ออกไปมันต้องได้อยู่แล้ว เรื่องการดำรงชีวิตเลยเป็นเรื่องที่ไม่น่าทุกข์ร้อนใจ

แต่ถ้าเป็นโลกเขานะ เขาจะต้องอาบเหงื่อต่างน้ำ เขาต้องหาของเขามา เขาจะได้กินมื้อหนึ่งๆ ใช้จ่ายใช้ปัจจัยมื้อหนึ่ง เขาใช้ปัจจัยเครื่องอาศัยของเขาทั้งชีวิตหนึ่ง เขาต้องหาของเขา ถ้าเขาเป็นคนทุกข์คนจนก็มีคนเจือจานเขา แต่นี่เราเป็นภิกษุ เป็นที่เคารพนบนอบของเขา เขาจะให้นะ เขาไม่ได้ให้แบบเขาโยนทิ้งโยนขว้าง เขาให้ด้วยการบูชา เขายกใส่หัวนะ เขาจบนบหัวเลยแล้วเขาก็ใส่ให้เราเห็นไหม เพราะอะไร เพราะเป็นลูกศิษย์ของตถาคต เป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส ผู้จะสืบทอดศาสนา เพราะตัวศาสนาจะเป็นตัวที่จะทำให้เราก้าวเดินไป เพราะศาสนาเห็นไหม ธรรมและวินัยไง ธรรม สภาวธรรม สภาวะเป็นใจ ใจที่มันประสบกับธรรม ใจที่ประสบกับความรู้สึกอันนี้

สภาวะนี้มันเกิดมาจากไหน แล้วมันเกิดมาจากไหน ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันเป็นปริยัติ เราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เวลาเราจะบวชต้องถือรัตนตรัยก่อน ต้องถึงรัตนตรัยเห็นไหม เป็นสามเณรถึงไตรสรคมน์ ถ้าถึงไตรสรณคมน์เราถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราปฏิญาณตนว่าถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสามเณรแล้วบวชมาแล้วเป็นภิกษุ เป็นภิกษุขึ้นมาเราจะศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยความเคารพ ด้วยความเคารพนะ เราเคารพมาก เพราะเราไม่เคารพความคุ้นชิน มันจะทำให้เราลูบคลำ สิ่งที่ทำให้ลูบคลำนะมันเป็นสักแต่ว่า สิ่งสักแต่ว่า การประพฤติปฏิบัติก็เป็นการสักแต่ว่า ถ้าการทำสักแต่ว่า ผลของมันเป็นสักแต่ว่าไง เพราะผลไม่ใช่เรา สักแต่ว่าทำมันเป็นเงาไม่ใช่เรา

ถ้าเป็นเราเห็นไหม ดูสิ เวลาเขามาเหยียบย่ำเงาของเรา เรายืนอยู่กลางแดด คนเขามาเหยียบย่ำเงาของเรา เขาเอาน้ำรด เขาเอาไฟเผาเงาของเรา เราจะเดือดร้อนอะไรไหม ถ้าเป็นศักดิ์ศรีเราก็ไม่พอใจเห็นไหม เขามาเหยียบย่ำเงาของเรา แต่ถ้าเอาความรู้สึกจากไม่ใช่โลกธรรม มันจะไม่รู้สึกถึงตัวเราเลย

นี่ก็เหมือนกัน ในการปฏิบัติสักแต่ว่า สักแต่ว่าเป็นเรื่องของเงา เป็นเรื่องของอาการ มันไม่เข้าถึงใจ เราสักแต่ว่าอย่างไร อาบเหงื่อต่างน้ำลงทุนขนาดนี้นะ นั่งภาวนา นั่งสมาธิ เดินจงกรมทั้งวันๆ สักแต่ว่าอย่างไร สักแต่ว่าเพราะกิเลสมันทำให้สักแต่ว่าไง เดินไปเหมือนกับหุ่นยนต์นะ เดินไปเหมือนกับคนไม่มีสติไม่มีชีวิต การปฏิบัติมันต้องมีชีวิตสิ มันต้องพลิกแพลงสิ มันต้องพลิกแพลง เราทำมาอย่างนี้มันมีความกระทบอย่างไร จิตมันเป็นไปอย่างไร เราไม่ใช่หุ่นยนต์นะ เราเป็นคนที่มีชีวิต เรามีความรู้สึกเห็นไหม

ดูสิเวลาฝนตกแดดออก เรายังรู้จักหนาวจักร้อนเลย แล้วเราภาวนาทำซื่อบื่อๆ ไปอย่างนั้น แล้วมันจะเอาอะไรมาเป็นธรรม ซื่อบื่อได้อย่างไร คำว่า “สักแต่ว่า” มันเป็นสักแต่ว่าของพระอริยเจ้าเขา ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าการสักแต่ว่ากาย สักแต่ว่าเพราะเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาแล้วมันสักแต่ว่า สักแต่ว่าต่อเมื่อเขาเป็นเจ้าของสมบัติแล้ว

เห็นไหม ดูแก้ว แหวน เงิน ทอง คนมีเงินหลายๆ ล้าน คนมีเงินมากๆ เงินของเขาก็คือเงิน ก็ไม่ต้องตกใจตื่นเต้นไปกับเขา ไอ้เรามันสามล้อถูกหวย มีเงินบาทสองบาทเป็นเงินของเรา ตื่นเต้นไปหมด กอดอยู่นั่น ทุกข์ยากอยู่นั่น ไอ้เงินบาทสองบาทมันก็เป็นเรื่องธรรมดานะ

เราถึงว่าต้องมีความจริงจัง ต้องมีสติสัมปชัญญะ เราอย่าไปคุ้นชินกับสิ่งต่างๆ ทั้งสิ้น คุ้นชินไม่ได้นะ คุ้นชินกิเลสมันพาให้หน้าด้าน ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะเราทำของเรา เราตั้งใจของเรา ถ้ามีสติของเราเข้าทางจงกรม เข้านั่งสมาธิภาวนา เพราะอะไร เพราะทาน ศีล ภาวนา

จะทำดีมีบุญกุศลมาขนาดไหน ถ้าไม่ประพฤติปฏิบัติเห็นไหม ดูสิ เวลาเทวดา อินทร์ พรหม มาฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาเป็นเทวดานะ เขามีฤทธิ์นะ ฤทธิ์มันเกิดมาจากอะไร ฤทธิ์นี้มันเกิดจากสถานะที่เขาเป็นเทวดา เป็นเทวดาที่มีฤทธิ์เห็นไหม เป็นเทวดา อินทร์ พรหม เป็นสถานะของเขา ดูสิ เวลาเราไปไหนก็ต้องนั่งรถไปใช่ไหม เวลาเขาไปไหนเห็นไหม เขาเหาะเหินเดินฟ้าไป ตัวเขาเบาอย่างกับปุยนุ่น เขาเหาะไปชั่วรัดนิ้วมือ ไม่มีระยะทางนะ จากชาติไหนก็แล้วแต่ เหยียดคู้แขนถึงเลยๆ เห็นไหม นี่ก็เป็นสถานะของเขา นั่นมันบุญกุศลของเขา เขามีขนาดนั้น แล้วเขารู้เรื่องอริยสัจไหม ทำไมเขาต้องมาฟังธรรมล่ะ แล้วมาฟังธรรมถาม “อริยสัจคืออะไร” เพราะอะไร เพราะสถานะของเขาเหมือนเรา

สถานะของเรา เราเกิดมาเราได้สถานะอะไร เราเป็นพระเห็นไหม ดูสิ เขากราบ เขาไหว้ เขาบูชาเพราะอะไร เราเป็นพระ เป็นพระโดยสมมุติสงฆ์ พระนี่เกิดมาด้วยญัตติจตุตถกรรม เพราะอุปัชฌาย์ยกเข้าหมู่มาเป็นสงฆ์ พอเป็นสงฆ์เป็นสมมุติสงฆ์ก็ได้สถานะนี้มา ถ้าถึงกาลเวลาเราต้องกลับไปเป็นคฤหัสถ์ เพราะอะไร เพราะเรามีหน้าที่การงานของเรา เราก็ลาสิกขา ลาสิกขาออกไปก็สถานะหนึ่ง สถานะหนึ่งเป็นภิกษุเห็นไหม สถานะหนึ่งเป็นคฤหัสถ์ สถานะอันนี้มันเป็นไปโดยความเห็นความพอใจของเรา

แต่ถ้าเราจะยังไม่สึก เราจะไม่สึก เราจะไม่ออกไปเป็นคฤหัสถ์ เราจะเป็นภิกษุอย่างนี้ตลอดไป ถ้าเป็นภิกษุตลอดไป เราก็ต้องมีความเข้มแข็งของเรา เพราะอะไร เพราะกิเลสมันดึงลงต่ำไง เป็นภิกษุมันจะทุกข์มาก ดูสิ เวลาเรามีความจริงจังเห็นไหม ดูสิ ครูบาอาจารย์ท่านว่านะ “อย่าเห็นแก่เรื่องของร่างกายจนเกินไปนัก อย่าเห็นแก่ความสะดวกสบายจนเกินไปนัก ถ้าเห็นแก่ความสะดวกสบายจนเกินไป ธรรมะมันเกิดไม่ได้หรอก”

ธรรมะมันเกิดในที่อัตคัดขาดแคลน ขาดแคลนเพราะอะไร ขาดแคลนเพราะว่า เวลามันเกิดอัตคัดขาดแคลนขึ้นมากิเลสมันเร่าร้อน กิเลสบอกเราจะทุกข์เราจะยาก เราจะไม่มีนั่น ไม่มีปัจจัยเครื่องอาศัยแล้ว อาหารการกินก็จะไม่ดี ทุกอย่างไม่ดีเห็นไหม ถ้ามันขาดแคลนแล้วกิเลสมันเดือดร้อน พอกิเลสเดือดร้อนมันก็แสดงตัว มันก็ต่อต้าน แต่ถ้าเราไปปรนเปรอมัน กิเลสมันก็นอนซุกสบายเลยนะ “โน่นก็พอดี อาหารก็กินได้ ปัจจัยเครื่องอาศัยก็พอดี” พอดีเห็นไหม

นี่พระมันเกิดอะไร นี่กิเลสมันเกิดนะ ถ้าอุดมสมบูรณ์กิเลสมันก็ชอบมันก็พอใจ นี่เป็นภิกษุนะ สถานที่ดี อากาศดีมาก สะดวกสบาย สิ่งนี้ภิกษุต้องดำรงชีวิตอย่างนี้ไงเห็นไหม ถึงบอกครูบาอาจารย์ท่านเตือนประจำนะ ให้เราเข้มแข็ง อย่าไปเห็นแก่ความสะดวกสบายจนเกินไปนัก

แต่การบำรุงรักษาเห็นไหม การที่เอาของของสงฆ์มาใช้ไม่เก็บรักษาเป็นอาบัติปาจิตตีย์ ถ้ารักษาของของสงฆ์เป็นธรรมวินัย ธรรมวินัยเพราะอะไร เพราะว่าโลกนี้มันมีพรุ่งนี้นะ มันมีวันเวลาเป็นไปเรื่อยๆ เราจะต้องรักษาสิ่งนี้ไว้กับภิกษุผู้ที่จรมา ภิกษุที่เป็นไปเห็นไหม เรามาแล้วอะไรเป็นเครื่องอาศัย การดำรงชีวิติมันต้องมีสิ่งที่อาศัย เราอาศัยแล้ว เราใช้แล้ว เราก็ให้คนอื่นใช้ด้วย เราใช้ของเราแล้วเรารักษาของเรา ไม่ใช่เราใช้แล้ว เราไปแล้ว เราจะทิ้งไปเลยนะ อาบัติปาจิตตีย์! ไปเอาของของสงฆ์มาใช้ เวลาไปไม่บอกให้ผู้ใดรักษาก็ดี ไม่ได้บอกก็ดี เราทำเองไม่ได้เก็บไว้ก็ดี อาบัติปาจิตตีย์ทั้งนั้นเห็นไหม

ถ้าอย่างนั้นความเป็นอยู่ในเรื่องของร่างกายก็พออาศัย แต่สิ่งที่เป็นธรรมวินัยต้องรักษา เราก็รักษาของเราไป ไม่ต้องให้มันสะดวกสบายจนเกินไปนัก ไม่ต้องไปห่วงเรื่องปัจจัยจนเกินไป มันขาดแคลนให้มันขาดแคลนมา ให้กิเลสมันดิ้นออกมาให้ดูซิ จะได้รัดคอมัน จะได้จับมันวิปัสสนาไง เวลาจะวิปัสสนาจะชำระกิเลสเห็นไหม ไม่เห็นมันนะ ไม่เห็นตัวกิเลสนะ มันไปอยู่ที่เงา เราทำกันที่เงาเห็นไหม เขาเหยียบเงาเรา เขาทำร้ายเงาเรา เราก็ไปเดือดร้อนเจ็บปวดนะ ไอ้นี่มันศักดิ์ศรี นี่มันความรู้สึก แต่ถ้าจะให้มันสะอาดมันต้องมาที่ตัวเราสิ จะทำอะไรก็ทำที่เราสิ กิเลสทำที่เราซะ อย่าไปทำที่เงา อย่าไปเหยียบเงากูสิ ให้มันทำที่ตัวกูนี่เห็นไหม

นี่ก็เหมือนกัน เวลาสงบขึ้นมาก็ให้สงบขึ้นมาสิ อย่าไปจำใครมา การจำมาเป็นคตินะ เป็นคติเป็นแนวทางเท่านั้น ธรรมของครูบาอาจารย์เราฟังแล้วเห็นไหม หลวงปู่มั่นท่านพูดแต่เหตุทั้งนั้น ยังไม่ถึงผลนะ เพราะกลัวพวกเราจะไปเอาผลมาเป็นสัญญามั่นหมาย ถ้าสัญญามั่นหมายขึ้นมาแล้วเราจะสร้างธรรมกัน สร้างขึ้นมาเป็นเจดีย์ทรายไง ก่อเจดีย์ทรายกันมา เวลาคลื่นพัดมาน่ะหายเกลี้ยงเลย นี่ก็ความฝันเพ้อเจ้อ เพ้อฝันเห็นไหม ธรรมเป็นสภาวธรรมอย่างนั้น สภาวธรรม.. นี่เจดีย์ทรายนะ ธรรมะก่อสร้าง ไม่ใช่ธรรมะตามความเป็นจริง

ถ้าธรรมะตามความเป็นจริง เราเห็นกิเลสอย่างไร เราเห็นของเรานะ มันเป็นวิทยานิพนธ์เลย เราเป็นคนจับของเราขึ้นมา เหมือนข้าราชการเห็นไหม ตำรวจฝ่ายปราบปรามเขาจะจับผู้ร้ายเขาจะจับอย่างไร โอ้โฮ ผู้ร้ายคนนี้มันลึกลับนะ มันซ่อนนะมันอยู่ในที่ลึกลับ มันมีเล่ห์กลของมัน กว่าจะจับได้นะต้องใช้วิธีการ ต้องหลอกต้องล่อ ต้องขอหมายศาล กว่าจะจับได้เกือบเป็นเกือบตายนะ แล้วจับขึ้นมาก็เป็นเกียรติประวัติของเขา ผู้นี้ทำราชการอย่างนี้ ได้เคยจับโจรคนนั้นได้เป็นประวัติศาสตร์ ในประวัติศาสตร์เสือนั้นๆ พวกนี้เป็นคนจับ

แล้วไอ้เสือในหัวใจเรา ไอ้ที่มันข่มขี่เรานี่ ใครจับมัน ถ้าเราไม่จับมัน เราไม่เห็นตัวมัน แล้วไปทำงานอะไรกัน ไปทำงานก็ไปทำงานเงาๆ นั่นไง ไปเหยียบเงากันอยู่นั่น จับได้มาแล้ว เคยอ่านนิยายเขามา เขาทำงานกันอย่างนั้น เราก็ฝันเพ้อเจ้อไปเลย โอ้ย...จับมาแล้วร้อยคนพันคน ไม่มีสักคน ถ้าจับผู้ร้ายไม่ได้สักคนเราจะทำอะไรกัน

เราต้องทำความสงบของใจเราขึ้นมา พยายามทำความสงบของใจเรานะ เราเป็นนักรบนะ เราต้องรบกับใจของเราเห็นไหม สภาวธรรมเป็นอย่างนี้ สภาวธรรมเป็นจากภายใน สภาวธรรมจากข้างนอกเห็นไหม สภาวธรรม.. ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ

ปริยัติเห็นไหม ปริยัติเราก็ศึกษา ศึกษามาว่าเวลาเขาสื่อสารกันให้เข้าใจกันเท่านั้นเอง ศึกษามาเพื่อความเข้าใจ เราเป็นชาวพุทธด้วยกันเห็นไหม ดูพระเวลาท่านพูดธรรมะขึ้นมาเราเข้าใจ นี่พูดมาจากที่นั่น พูดมาจากหนังสือเล่มนั้น พูดมาจากตำราเล่มนั้น เวลาครูบาอาจารย์ท่านเทศน์นะเหมือนๆ กันเห็นไหม ดูสิ “โมฆราช เธอจงมองโลกนี้เป็นความว่าง..” นี่อยู่ในพระไตรปิฎก ทุกคนก็ได้ศึกษา ทุกคนก็ได้อ่าน แต่ทุกคนเขาพูดของเขาไปด้วยความเพ้อเจ้อ

แต่ถ้าครูบาอาจารย์ของเรานะ มันพูดด้วยความซึ้งใจไง เหมือนกับเรามีภาพประทับใจ สิ่งไหนที่ประทับใจ แล้วคนอื่นเขาทำเหมือนเรามันซึ้งใจมากนะ มันเหมือนประสบการณ์ไง ประสบการณ์ที่ตรงกัน สิ่งที่เอาประสบการณ์มาพูด พูดออกมาจากประสบการณ์มันสะเทือนหัวใจมาก แล้วสะเทือนหัวใจแล้วมันเป็นความจริงด้วย เป็นความจริงเพราะอะไร ประสบการณ์เหมือนกัน พูดเหมือนกัน พอพูดเหมือนกันแล้วมันละเหมือนกัน ละเหมือนกันมันก็สะเทือนเหมือนกัน มันก็ถึงหัวใจเหมือนกันเห็นไหม มันถึงเอาสิ่งนี้มาพูด

แต่คนที่มาโดยปริยัตินะ เขาก็พูดไปแบบเล่านิยาย เอ้ มันเป็นอย่างนั้นนะ เขาว่ามันเป็นอย่างนั้น แล้วมันควรเป็นไหม แล้วมันเป็นจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้? ก็ไม่รู้.. ไม่ได้ทำ.. ทำไม่ทำก็ไม่รู้เรื่อง

แต่ถ้ามันเป็นความจริงนะ มันเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนั้นเพราะอะไร เป็นเพราะเราจะจับอยู่อย่างนี้ เราได้ตัวมัน เราค้นคว้าตัวมันเองเห็นไหม เราเอามาชำระความกัน แล้วมันบอกไม่ได้ทำอะไรเลย ไม่ได้ทำอะไรเลย สิ่งใดไม่ได้ทำเลย แล้วทำจริงหรือเปล่า แล้วเอาตัวมันเข้ารับโทษได้หรือเปล่า ถ้ารับโทษ รับโทษหนักหนาสาหัสสากรรจ์ขนาดไหน ได้ทำความผิดมากน้อยขนาดไหน

ถ้าทำความผิดมากเห็นไหม โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี มันเป็นชั้นๆ ขึ้นไปเห็นไหม มันเป็นชั้นๆ ขึ้นไปนะ ทำความผิดเท่านี้ได้รับโทษเท่านี้ ถ้าทำความผิดมากกว่านี้จะได้รับโทษมากกว่านี้ แล้วถ้าทำความผิดที่รุนแรง มันก็ต้องรับโทษที่รุนแรง ถ้ามันทำผิดมากก็ต้องปหานมันเลย ถ้าปหานขึ้นมา สมุจเฉทปหานตายไปเลย ให้กิเลสมันตายไปต่อหน้าเห็นไหม กิเลสมันตาย

เวลาทำไปแล้วเห็นไหม ดูสิ ที่ว่าทำลายป่า ป่ายังอยู่ เวลาทำลายธาตุขันธ์ ทำลายหมดนะ ร่างกายวิปัสสนาทำลายมันทั้งหมดเลย ทำลายแล้วมันก็อยู่อย่างนี้ มันยังอยู่ปกตินี้เห็นไหม ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้ว ๔๕ ปีมันก็ขันธ์อันเก่า ขันธ์โดยที่ว่าถ้ามันเป็นปกติมันเป็นขันธ์โดยขันธมาร ขันธมารนะ ความคิดก็เป็นมาร สัญญาข้อมูลก็เป็นมาร เป็นมารทั้งหมดเลย สัญญานี้มันไม่ถูกใจ สัญญามันนี้ถูกใจ สังขารนี้ปรุงดี สังขารนี้ปรุงไม่ดี มารทั้งนั้นเลย

แต่ถ้าเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ มันเป็นขันธ์ ภารา หะเว ปัญจักขันธา ขันธ์ที่สะอาด ขันธ์ที่บริสุทธิ์ เพราะมันไม่มีกิเลสไง กิเลสมันตายไป แต่ขันธ์ยังอยู่ ธาตุขันธ์นี้ยังอยู่ธาตุขันธ์นี้โดยธรรมชาติของมัน เพราะมันจะเสื่อมสลายไปโดยธรรมดาของมัน ธาตุขันธ์มันประกอบกันขึ้นมาเป็นเรา จากไข่ของมารดา ไข่ใบเดียวนี่แหละ ออกมาเป็นมนุษย์ ศักยภาพของแต่ละบุคคล ชีวิตอายุขัยยาวเท่าไหร่เห็นไหม ถ้าเราไปสำเร็จพระอรหันต์ตั้งแต่ ๗ ขวบ ชีวิตเกือบทั้งชีวิตเลยเป็นสอุปาทิเสสนิพพาน พระอรหันต์ที่มีชีวิตอยู่ไง มันจะเป็นประโยชน์ที่สื่อสารจากธรรมความจริง สื่อสารจากว่า “โมฆราช เธอจงดูโลกนี้เป็นความว่าง”

สื่อสารจากความจริงที่จิตประสบการณ์มาอย่างนั้น มันจะสื่อสารได้ตลอด มันจะซึ้งใจไปตลอด แต่ถ้ามันไม่เป็นความจริง มันก็จะสื่อสารไปโดยกิเลส ถ้ามันเป็นขันธ์ที่สะอาดเห็นไหม ขันธ์ที่สะอาดทำลายไปแล้วขันธ์มันก็ยังเหลืออยู่อย่างนั้น

สัญญาเห็นไหม สัญญา สังขาร ยังอยู่โดยธรรมชาติอย่างนั้น เพราะยังมีเศษส่วนอยู่ แต่เวลาดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้วสิ อย่างนั้นมันบริสุทธิ์ผุดผ่อง เพราะอะไร เพราะมันพ้นออกไปสถานะของมนุษย์ไง

เราเกิดเป็นมนุษย์ ถ้าเราประสบความสำเร็จตั้งแต่สามเณร ๗ ขวบ ชีวิตที่เป็นพระอรหันต์ยาวไปตลอดชีวิต บางองค์เห็นไหม สำเร็จคาปากเสือ สำเร็จวันนั้นตายเดี๋ยวนั้นเลย สิ่งที่สำเร็จเดี๋ยวนั้น เพราะสิ่งที่มีชีวิตอยู่มา ชีวิตโดยปุถุชน ชีวิตโดยธรรมชาติของมนุษย์ ชีวิตโดยที่ว่ามันจะต้องเป็นไปตามแรงโน้มถ่วงธรรมชาติของมัน

แต่พระอรหันต์เวลาจิตมันพ้นไปแล้ว แรงโน้มถ่วงคือแรงโน้มถ่วง จิตที่บริสุทธิ์อยู่ในดวงใจดวงนั้น อยู่ในร่างกายนั้นจะไม่เกี่ยวกับแรงโน้มถ่วงใดๆ ทั้งสิ้น แรงโน้มถ่วงของโลก การดึงดูดต่างๆ แรงดึงดูดของโลกต่างๆ มันอยู่กับเรื่องของร่างกาย แต่มันดึงดูดความรู้สึกอันนี้ไม่ได้ เพราะความรู้สึกมันไม่มีสสาร ไม่มีแรงดึงดูดกับสสารกับแรงโน้มถ่วงของแกนของโลกแล้ว

จิตที่มันสะอาดบริสุทธิ์มันเป็นอย่างนั้น ที่มันเป็นไปมันเป็นไปอย่างนี้ มันอยู่ที่ไหน มันอยู่ในใจของเราทั้งหมดนะ เพราะการเกิดมา ดูสิ เราเป็นนักรบ ในหมู่สงฆ์จะมีพระอริยบุคคลกี่คน แล้วพระอริยบุคคลกับพระปุถุชนอยู่ด้วยกันอย่างไร เขาถามนะว่าจะทำกันอย่างไร มันเป็นโดยธรรมชาตินะ เพราะอะไร สังฆะเห็นไหม พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราเป็นสังฆะ เราจะลงอุโบสถสังฆกรรมกันอยู่เห็นไหม ทิฏฐิเสมอกัน ความเห็นเสมอกัน พระอริยบุคคลหรือว่าปุถุชน แต่เป็นสังฆะด้วยกัน มันเสมอกันโดยสงฆ์ เสมอกันโดยสมมุติสงฆ์ เสมอกันโดย ๒๒๗ ข้อนี้ แต่เคารพกันด้วยคุณธรรม แล้วคุณธรรมที่มีเคารพกันด้วยคุณธรรม ถ้าเคารพด้วยหัวใจที่มันเชื่อถือ หัวใจที่มันลง มันก็เคารพ

ถ้าหัวใจที่มันไม่เชื่อถือ หัวใจที่ไม่ลงก็อยู่อย่างนี้ สังฆะ ดูสิ ดูเวลาเราเจ็บไข้ได้ป่วยเห็นไหม ในร่างกายมันมีเชื้อโรคขึ้นมา มันเจ็บไข้ได้ป่วยสิ่งนี้มันแสดงออกมา เจ็บหัวปวดหัวตัวร้อน มันก็เรื่องธรรมดา

นี่ก็เหมือนกัน สังฆะก็เหมือนมนุษย์คนหนึ่ง เหมือนกับร่างกายร่างกายหนึ่ง ถ้ามันมีอะไรแปลกแยกมันก็เป็นธรรมชาติอย่างนั้น แต่ถ้ามันมีสิ่งที่ดีขึ้นมาเห็นไหม ดูสิ ดูอย่างสารอาหารเข้ามา เราดื่มน้ำเข้ามา มันมีความร่มเย็นในหัวใจ

นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามันมีสิ่งที่ดี เซลล์ในร่างกายของเราเห็นไหม นี่ก็เหมือนกัน สงฆ์องค์หนึ่งก็เป็นเซลล์หนึ่งในสังคมนั้น ถ้าสังคมนั้นเป็นสังคมที่ดี เซลล์ที่ดีร่างกายมันก็เข้มแข็ง ร่างกายมันก็เป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้ามันเป็นเซลล์มะเร็งต่างๆ ขึ้นมา มันก็เรื่องธรรมดา ธรรมดาเพราะอะไร เพราะร่างกายเรามันต้องเสื่อมสภาพไปเป็นธรรมดา เราจะไม่มีความสามารถที่จะไปบังคับสิ่งนั้นได้ตามใจเรา มันจะเป็นสภาวะแบบนั้นเห็นไหม ถ้าจิตมันไม่ลงกัน มันไม่ยอมรับกัน มันก็เป็นสภาวะแบบนั้น แต่เรื่องอย่างนี้มันก็เป็นเรื่องธรรมดา

ดูสิ พระเทวทัตเห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมตตาพระเทวทัตขนาดไหน ขนาดที่กลิ้งก้อนหินลงมา ถ้าไม่แหย่เท้าออกไปพระเทวทัตจะไม่สมความปรารถนา ยังเอาเท้าแหย่ออกไปให้ก้อนหินสะกิดเท้าเป็นห้อเลือดหน่อยหนึ่ง ให้พระเทวทัตจะได้สมใจมัน มันทำแล้วให้สมใจมันหน่อยหนึ่ง ยื่นเท้าไปให้ก้อนหินนั้นกะเทาะให้มันห้อเลือดเห็นไหม นั่นน่ะกรรมถ้าเขาทำแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมตตานะ เมตตาไปทั้งหมดเลย

สิ่งที่เมตตา เพราะใจที่เป็นธรรมมันจะเห็นนะ ว่าใจของเราเวลากิเลสมันท่วมหัว กิเลสที่มันบีบบี้สีไฟเรา เรามีความคิดอย่างไร เรามีความเห็นอย่างไร เรามีความรู้สึกอย่างไร แล้วกิเลสในหัวใจทุกคนมันก็เป็นแบบนี้ แล้วเวลาที่เขาโดนกิเลสที่บีบบี้สีไฟ แล้วเขาจะไม่รู้ตัวของเขาเลย มันน่าสงสารเขาไหม มันน่าสงสารนะ มันน่าสลดสังเวชมาก น่าสลดสภาวะแบบนั้น แต่ถ้ามันทำไปแล้วเพื่อประโยชน์ของเขา มันก็เป็นประโยชน์ของเขาขึ้นมา ถ้าไม่เป็นประโยชน์ของเขามันก็เป็นเรื่องธรรมดา

ฝนตกเห็นไหม ดูสิ ฝนตกแดดออกอยู่นี้ ใครจะมีอำนาจวาสนาได้เก็บพลังงานนั้นเอาไว้ใช้เห็นไหม ฝนตกแดดออกเก็บพลังงานไว้ใช้ นี่ก็เหมือนกัน เวลาแสดงธรรมเหมือนฝนตก หน้าที่ของฝนก็คือต้องตกไปสิ หน้าที่ของผู้ที่ใช้ประโยชน์ จะเอาประโยชน์ไม่เอาประโยชน์มันเรื่องของเขานะ มันเรื่องกรรมสัตว์แล้ว แล้วเราไม่มีอำนาจวาสนาที่จะไปบังคับอย่างนั้น ไม่มีอำนาจวาสนาบังคับ

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะออกโปรดสัตว์ เล็งญาณเห็นไหม เล็งญาณคือเล็งดูหัวใจไง ว่าเขาเป็นผู้พร้อม ฟังสิ ฟังว่าคนผู้พร้อมเขามีจิตใจที่มันพร้อมนะ แต่มันโดนกิเลส..

อย่างองคุลิมาลเห็นไหม จิตใจเขาพร้อมหมายถึงว่า เขาหวังดี เขาใฝ่ดี เขาอยากได้วิชานะ แต่เขาโดนอาจารย์เขาหลอก แล้วเขากำลังจะฆ่าแม่ของเขา เพราะแม่ของเขาจะไปบอกข่าวว่า เจ้าหน้าที่เขาจะมาจับลูก เพราะลูกเป็นโจรใหญ่ที่ว่าทำให้แผ่นดินสะเทือนเลย กองทัพจะมาจับ ด้วยความรัก ด้วยความเมตตา นี่ความคิดของแม่

แต่ด้วยความคิดของลูก ๙๙๙ นิ้วแล้ว นิ้วสุดท้ายอยากได้มาก อยากได้มากๆ เลย คนกำลังหน้ามืดเลย ถ้ามาต้องฆ่าแม่เด็ดขาด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเล็งญาณ เล็งญาณคือเล็งความรู้สึก เล็งความคิด ความคิดของคนที่มันใฝ่ดี ที่มันทำดีได้ แต่ถ้าเล็งญาณไปแล้วมันมืดบอด มันไม่ยอมหงายภาชนะ พระพุทธเจ้าไม่ไปนะ เพราะอะไร เพราะคนที่เขาพร้อมนี่มันเยอะมาก แล้วเวลาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีน้อยมาก

ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบิณฑบาตไป มี ๒ คนตายายเป็นทุคตะเข็ญใจ เป็นขอทานอยู่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายิ้ม พระอานนท์บิณฑบาตไปด้วย ถ้าเห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายิ้มต้องมีเหตุอะไรแน่นอน ตกเย็นขึ้นมาแล้วนะ เวลาถามไง

“ตอนเช้านั้นยิ้มอะไร”

“อานนท์เธอเห็นไหม ตอนเช้าเธอเห็นคนทุคตะเข็ญใจ ๒ คนตายายนั่นไหม ถ้าเมื่อก่อนนั้น..”ไม่ใช่เดี๋ยวนี้นะ เพราะอะไร เพราะตอนเช้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพึ่งเดินผ่านหน้าเขาไปหยกๆ “ถ้าเมื่อก่อนนี้ ๒ คนนี้ได้เจอเรา อย่างน้อยต้องได้เป็นพระอนาคามี แต่ในปัจจุบันนี้หัวใจของเขาเศร้าหมอง” ฟังสิ! มันน่าสังเวชมาก

ถ้าเมื่อก่อนเจอ เพราะเมื่อก่อนเขาเป็นเศรษฐี สองคนตายายที่เป็นขอทานนะแต่เดิมเขาเป็นเศรษฐีนะ แต่เขาเล่นการพนัน เขาโดนโกงจนหมดเนื้อหมดตัว จนเดี๋ยวนี้เขามาขอทานเพื่อดำรงชีวิตเห็นไหม จิตใจเขาเศร้าหมอง

ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเล็งญาณไปแล้ว ถ้ามันควรไปต้องรีบไปก่อน นี่เห็นไหมถ้ามีเวลาก็ต้องไปเอา ๒ คนตายายนี้ด้วย แต่เพราะงานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีมหาศาล งานมันเยอะไง งานมันเยอะ เล็งญาณก่อนเอาแต่สิ่งที่ว่าเขาจะได้มรรคผล แล้วจะมีเหตุเภทภัยที่ทำให้เขาไม่ได้ผลตรงนั้น ต้องไปเอาคนนั้นก่อนๆ เล็งญาณคือเล็งหัวใจนี่ ถ้าเล็งหัวใจนี่เล็งหัวใจที่มันพร้อมไง

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าครูบาอาจารย์ที่แสดงธรรมเห็นไหม แสดงธรรมไป ถ้าเอาคนไหนได้ก็เอาคนนั้น ถ้าเอาคนไหนไม่ได้มันก็กรรมของสัตว์เห็นไหม กรรมของสัตว์ แล้วสัตว์คือใคร สัตตะคือเป็นผู้ข้อง สัตตะตัวหนึ่ง สัตตะทั้งนั้นนะ เราก็เป็นผู้ข้อง แล้วเราเอาใจของเราได้ไหม ถ้าเอาใจของเราไม่ได้ เรามาฟังธรรมอย่างนี้เพื่อจะปลุกปลอบใจของตัวเราเองนะ เพื่อให้เรามั่นใจของเราขึ้นมา

ธรรมของครูบาอาจารย์ก็เป็นของครูบาอาจารย์นะ ครูบาอาจารย์ของเรารื้อค้นของท่านขึ้นมา ท่านต้องบุกบั่นของท่านแล้วเป็นสมบัติของท่านนะ แล้วประดับไว้ในศาสนา เป็นเกียรติของศาสนานะ

ในศาสนาของเรานะ ดูสิ เวลาสุภัททะไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “ศาสนาไหนก็ว่ายอด ศาสนาไหนก็เขาว่ายอด”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเลยนะ “ศาสนาไหนไม่มีมรรค ศาสนานั้นไม่มีผล สุภัททะอย่าถามมากไปเลย เราใกล้จะปรินิพพาน” ให้พระอานนท์บวชให้ คืนนั้นปฏิบัติสำเร็จเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาเลย

เวลาสงสัยๆ ไปหมดเลย แต่เวลาบอกอย่าสงสัยแล้วให้ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ประพฤติปฏิบัติมันเป็นผลงานของใจดวงนั้นขึ้นมา กิจจญาณมันเกิดจากใจ ใจมันมีการขยับเขยื้อนเข้าไป ใจมันมีการวิปัสสนาออกไป มันจะเป็นผลของมันเข้ามา

นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อเป็นเกียรติกับศาสนา ครูบาอาจารย์ของเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมาด้วยใจของท่าน ด้วยมรรคญาณของท่าน ด้วยความเข้มแข็ง ด้วยหัวใจที่บุกเบิก บุกเข้าไปในคูหา บุกเข้าไปในหัวใจในถ้ำนะ ในสิ่งที่อวิชชามันนอนอยู่นี้ ท่านบุกบั่นของท่าน ท่านทำของท่านเห็นไหม มันเป็นเกียรติกับศาสนา แล้วเราก็เป็นพระองค์หนึ่ง เราก็เป็นสงฆ์องค์หนึ่งอยู่ในสังฆะนี้ เราจะทำให้ศาสนามีเกียรติขึ้นมาไหม

ถ้าทำศาสนาให้มีเกียรติขึ้นมา เราต้องอยู่ในธรรมวินัย อย่างน้อยเราอยู่ในธรรมวินัย ถ้าเราประพฤติปฏิบัติอยู่ในธรรมวินัยที่ให้เขาเห็นแล้วมีความเจริญศรัทธา ถ้าเขาเห็นแล้วมีความเลื่อมใส มีความศรัทธาในศาสนา ศาสนานี้ได้บ่มเพาะศากยบุตรพุทธชิโนรส บ่มเพาะขึ้นมาให้เป็นศาสนทายาท ให้อยู่ในธรรมวินัย ถ้าประพฤติปฏิบัติเข้าไปแล้วใจมันขึ้นมา เกียรติของศาสนาอยู่ตรงนี้ไง

เราอยู่กับครูบาอาจารย์ที่มีหลักมีเกณฑ์ อยู่กับครูบาอาจารย์ที่เป็นเกียรติกับศาสนา เราจะทำตัวเราให้เป็นเกียรติกับศาสนาไหม? เราจะทำตัวเราให้มีคุณค่าขึ้นมาไหม? ถ้ามีคุณค่าขึ้นมามันอยู่ที่ไหน? คุณค่าของพระอยู่ที่ไหนล่ะ? คุณค่าของพระมันอยู่ที่ศีลธรรมใช่ไหม? คุณค่าของพระมันอยู่ที่เครื่องประดับที่ไหน

เครื่องประดับโลกเขามีมากกว่าเรานะ ดูโรงงานถ้าพูดถึงเราไปตื่นโลกนะ โรงงานแต่ละโรงงาน โรงงานผลิตแต่ละชนิด โรงงานมันผลิตออกมาขนาดไหน มันผลิตออกมาขายมันต้องการตลาดนะ มันต้องการคนเป็นเหยื่อ ต้องการเหยื่อเพื่อจะไปซื้อของของเขา แล้วเราจะเอาตรงนั้นมาเป็นเกียรติได้อย่างไร เพราะเขาเอาไว้หลอก โง่! เขาเอาไว้หาเหยื่อกัน

แล้วเราออกมาจากโลกเห็นไหม โลกกับธรรม เราทิ้งโลกมาเราจะเอาธรรมะ เราจะมีคุณธรรมในหัวใจ แล้วเกียรติของเราอยู่ที่ไหน สมบัติของพระอยู่ที่ไหน แล้วสมบัติของพระอย่างน้อยศีลก็ต้องบริสุทธิ์ก่อน ศีลต้องมั่นคงก่อน พอศีลมั่นคงก่อนเราจะมีสมาธิขึ้นมา จะมีปัญญาขึ้นมาเห็นไหม ถ้ามีคุณธรรมขึ้นมา นี่เกียรติของพระมันอยู่ที่นี่ เกียรติของพระมันอยู่ที่ข้อวัตรปฏิบัติ ในทางจงกรมของเรา นั่งสมาธิภาวนาของเรา เกียรติของเราอยู่ตรงนี้

ถ้าเรารักษาเกียรติของเราขึ้นมา เราทำเกียรติของเราขึ้นมาเห็นไหม เราก็เกียรติของเรา ครูบาอาจารย์ท่านก็มีเกียรติของท่าน ท่านทำขึ้นมาจนเป็นผลในศาสนานะ เป็นที่เชิดชู เป็นที่เวลาพูดถึงครูบาอาจารย์ของเราเขายอมรับกัน เขายอมรับยอมเห็นคุณงามความดีของครูบาอาจารย์ของเรา แล้วเราก็อยู่ในศาสนา เราอยู่ในวงการของกรรมฐาน เราอยู่ในวงของสายหลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์เรามีเกียรติมีศักดิ์ศรีในการบุกเบิกในการรื้อค้นนะ รื้อค้นให้มีสมบัติขึ้นมา เราจะต้องรื้อค้นของเราขึ้นมา

สมบัติของท่านเป็นสมบัติของท่านนะ ท่านวางไว้แล้ว ข้อวัตรปฏิบัติเห็นไหม ท่านฝากไว้เลยนะ ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพานเห็นไหม “มารเอย เมื่อใดภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ไม่สามารถกล่าวแก้คำจาบจ้วงของลัทธิต่างๆ ได้” คำกล่าวแก้ การจาบจ้อง การนินทา การทำลาย แล้วถ้ามันไม่มีหลักของใจ ไม่มีความจริงในหัวใจ จะเอาอะไรไปแก้เขา ถ้าจะเอาไปแก้เขา เราไปแก้ตรงนั้นเห็นไหม

“มารเอย เมื่อใดภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา มีหลักมั่นคง อีก ๓ เดือนข้างหน้าเราจะปรินิพพาน” อีก ๓ เดือนข้างหน้านะ ตั้งแต่วันมาฆบูชาปลงอายุสังขารเลย อีก ๓ เดือนข้างหน้าจะปรินิพพานเพราะอะไร เพราะลูกเรา ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ศากยบุตรมันมีความเข้มแข็ง! มันมีเกียรติในหัวใจของมัน! มันมีความองอาจกล้าหาญที่มันจะกล่าวแก้คำจาบจ้วงของเจ้าลัทธิต่างๆ ได้เห็นไหม อีก ๓ เดือนเราจะปรินิพพาน พอความมั่นคงของศากยบุตร พอความมั่นคงของศาสนาได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานเลย

แล้วครูบาอาจารย์เราสร้างสมขึ้นมา เวลาครูบาอาจารย์ท่านเวลาเล่าสืบต่อๆ กันมานะ ว่าหลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ ท่านห่วงมาก ครูบาอาจารย์ของเราแต่ละองค์ เวลาท่านเฒ่าชราขึ้นมานะ ท่านจะห่วงเลย “แล้วมันจะอยู่กันอย่างไร? มันจะทำกันอย่างไร? มันจะสู้กับกิเลสมันอย่างไร? มันจะยืนตัวของมันเองขึ้นมาได้ไหม?” เพื่อให้เป็นเกียรติกับศาสนา อย่างน้อยเป็นเกียรติกับตัวเราเองก่อนนะ

“ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต” เวลาเรามีความทุกข์ในหัวใจไม่ต้องถามนะ ในหัวใจทุกดวงใจมีความทุกข์หมดล่ะ แล้วเวลามันมีความสุขขึ้นมาล่ะ มีแต่ความสงบขึ้นมามันก็มีความสุขแล้ว แล้ววิปัสสนาขึ้นมาปล่อยวางเป็นชั้นเป็นตอนเข้ามา โอ้โฮ มันเวิ้งมันว้างนะ โอ้ย มันเดินไปนะ ตัวเบาตัวลอยไป เดินไปปกตินะมันก็เดินเหมือนคนนี่แหละ คนเราก็เดินไปด้วยความทุกข์ ความหนักหน่วงของใจมันก็กดให้ยกเท้าแทบไม่ขึ้น เวลาจิตมันเบาขึ้นมานะ วิปัสสนาขึ้นไปจิตมันเบา มันปลอดโปล่ง เดินขึ้นไปก็เดินเหมือนกัน แต่เหมือนกับลอยไปเลย มันเบา มันมีความสุขของมัน

ทำไมมีความสุขของมันอย่างนั้น สิ่งนี้มันมาจากไหน มันมาจากเราเป็นสันทิฏฐิโกไง มันเป็นการที่ว่าเวลาปัญญามันเกิดขึ้นมา ในเมื่อมีสมาธิขึ้นมา มีปัญญาขึ้นมา แล้วปัญญานี้มันมาจากไหน? สมาธิมาจากไหน? สมาธิไม่ใช่ฝึกฝนขึ้นมา สมาธิมันจะลอยมาจากฟ้าเหรอ? สมาธิจะไปซื้อเอาที่ตลาดใช่ไหม? สมาธิตลาดเขาไม่มีขายนะ ที่ไหนเขาก็ไม่มีขายหรอก สุขก็สุขในหัวใจ ทุกข์ก็ทุกข์ในหัวใจ มันจะขึ้นมามันก็ขึ้นมาจากใจที่มันทุกข์ๆ นี้นะ ใจที่มันเศร้าหมองนี้ ถ้ามันรักษาศีลให้ดี มันทำให้ดี สมาธิมันก็เกิดขึ้นมา

ปัญญา ปัญญาไปเอามาจากไหน? ปัญญาไปเอามาจากคอมพิวเตอร์เหรอ? จะไปปริ๊นออกมาจากคอมพิวเตอร์มั้ย? คอมพิวเตอร์มันให้ไม่ได้หรอก คอมพิวเตอร์มันให้กระดาษเรามาแผ่นหนึ่ง แล้วมันยังอ่านไม่ออกอีกต่างหากนะ ถ้ามันเป็นปัญญา ปัญญาก็ต้องฝึกฝนจากใจสิ ใจนี้มันฝึกฝนขึ้นมา ถ้าใจมันไม่ฝึกฝน ใจมันไม่ออกไปทางปัญญา ปัญญามันเกิดได้อย่างไร ถ้าปัญญามันไม่เกิดจากเราก้าวเดินออกไป เราก้าวเดินออกไปมันเป็นปัญญาของเรา แล้วปัญญาญาณเป็นอย่างไร มรรคหยาบมรรคละเอียดเป็นอย่างไร นี่สมบัติของพระ ถ้าพระเรามีสมบัติอย่างนี้ มีการประพฤติปฏิบัติอย่างนี้ มันก็สวยงาม มันก็เป็นเกียรติของศาสนาเห็นไหม เกียรติของศาสนาที่นี่นะ

เวลาเทวดา อินทร์ พรหม ที่มีฤทธิ์เดช เขามีฤทธิ์เดชมาก เขาจะดึงพระอาทิตย์ไว้ยังได้เลย เขาทำอะไรก็ได้ เขาจะแปลงกายทำอะไรต่างๆ เขาทำได้ทั้งนั้นนะ แต่ทำแล้วเขาทุกข์ไหม ทำแล้วเขาได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา เขาต้องเสียพลังงานของเขาโดยไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมาเลย เห็นไหม แล้วเวลาเขามีฤทธิ์มีเดชอย่างนั้น แต่เรื่องอริยสัจอย่างนี้ เรื่องการเกิดการตายอย่างนี้ เรื่องความเป็นไปของกิเลสอย่างนี้ เขาไม่รู้หรอก ยิ่งเขามีฤทธิ์เขาต้องคิดถึงฤทธิ์ของเขา ยิ่งเขามีความสะดวกสบายของเขา เขายิ่งติด ดูสิสมบัติของเราดีๆ ขึ้นมานี่ ทะนุถนอมมากนะ อะไรที่ไม่ดีก็ไม่เอาไว้ ทิ้งให้คนอื่นเลย

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าจิตมันดีขึ้นมาเห็นไหม เขาจะไม่รู้อะไรของเขาเลย เขาถึงมาฟังธรรมเห็นไหม ฟังธรรมของเรา เกิดเป็นมนุษย์แล้วได้บวชเป็นพระนี่กุศลมาก เพราะอะไร ดูโลกเขาสิ โลกเขาทุกข์เขายากนะ เวลาของเขาเห็นไหม แล้วเวลาเขาเดือดร้อนขึ้นมาจะไปพึ่งพาอาศัยใคร เรานี้มีพ่อแม่ครูบาอาจารย์ มีหมู่คณะนะ สุขยากก็ช่วยเหลือเจือจานกัน สิ่งที่ช่วยเหลือเจือจานจากปัจจัยเครื่องอาศัยนะ

แล้วถ้าทุกข์ยากจากใจล่ะ ถ้าใจมันทุกข์ยากขึ้นมา มันจะหาวิธีการอย่างไร มันจะหาทางออกนะ ถ้าเรามีทางออก เรามีจุดยืน เราจะไม่ทุกข์เกินไป มีที่หลบภัยถ้าจิตมันสงบบ้าง ถ้ามันไม่สงบนะ ทางจงกรมอย่าทิ้งนะ ทางจงกรมอย่าทิ้ง นั่งสมาธิภาวนาอย่าทิ้ง

ถ้าไม่มีกำลังใจให้ดูหนังสือ ให้ดูประวัติครูบาอาจารย์เราไง ดูประวัติหลวงปู่มั่นสิ ทุกวัดมีหนังสือประวัติหลวงปู่มั่น ปฏิปทาพระธุดงค์กรรมฐาน ดูทำไมครูบาอาจารย์ท่านทำอย่างนั้นได้ เวลาธุดงค์ไปนะธุดงค์กันไปได้ อยู่ในป่าอยู่ในเขาอาศัยชาวบ้านเขาหลังคาสองหลังคาเรือนเท่านั้น เพื่อเอาความสงบสงัด แล้วพยายามเอาใจของเราไว้ในอำนาจของเรา ใจที่มันฟุ้งซ่าน ใจที่มันเร่าร้อน ใจที่มันอยากจะให้สะดวกสบายนะเห็นไหม เราจะสะดวกสบายที่ร่างกาย สะดวกสบายที่เขาอุปัฏฐากอุปถัมภ์เรานะ แล้วหัวใจมันไม่ลง แต่ถ้ามันทุกข์มันยากอย่างนั้น ครูบาอาจารย์มีตัวอย่างอย่างนั้น มันทำให้เราได้อาย มันทำให้เราได้มีความเข้มแข็ง มันทำให้เรามีความจงใจ มันทำให้เราพยายามประพฤติปฏิบัติขึ้นมา

ในทางเขาแข่งขันนะ นักบินเวลาเขาบิน เขามีชั่วโมงบินนะ เขาบินกี่พันชั่วโมง กี่พันชั่วโมง เขาจดของเขาไว้นะ ไอ้นี่ก็เหมือนกัน เราเดินทางจงกรมนะ เราเดินกี่ชั่วโมง เดินมากี่ปี บวชมากี่พรรษา ชั่วโมงบินเรามีขนาดไหน ถ้าในทางจงกรมของเรา เรามีชั่วโมงบินของเราขึ้นมา จิตมันไม่สงบให้มันรู้ไป คนที่เขามีชั่วโมงบินของเขา เขาจะชำนาญของเขา ชั่วโมงบินยิ่งมาก ถ้าเกิดวิกฤติขึ้นมาเขาจะแก้ปัญหาของเขาได้ เพราะในการบินมันต้องมีเหตุการณ์ที่ขลุกขลักบ้าง ให้เขาได้แก้ไขเหตุการณ์ของเขา

ในทางจงกรมของเรามันมีอุปสรรคอย่างไร เวลามันเฉา มันหงอยเหงา มันขี้เกียจขี้คร้าน และเวลามันเดินจงกรมเห็นไหม เวลามันคึกคักขึ้นมานะ เวลาจิตมันปล่อย จิตมันว่าง จิตมันสะดวกสบาย เอามาเทียบกันเห็นไหม นี่ชั่วโมงบิน ชั่วโมงบินของเราเราพยายามหมั่นศึกษาของเรา เราพยายามหมั่นประกอบของเรา นี่ปฏิบัติไง

ปริยัติ ปฏิบัติๆ อย่างนี้ ปฏิบัติมันเกิดจากประสบการณ์ของเรา ปฏิบัติเกิดจากความจริงของเราเห็นไหม ถ้าความจริงอย่างนี้เกิดขึ้นมา นี่คือสมบัติของเรา สมบัติของเราเห็นไหม เราโตขึ้นมามีพรรษาแก่กล้าขึ้นมา มีลูกศิษย์ลูกหา ลูกศิษย์ลูกหาหลอกเราไม่ได้นะ ลูกศิษย์ลูกหาจะพูดถึงสมาธิ เราก็รู้ขั้นสมาธิ ขั้นของปัญญาขนาดไหน เราก็รู้ขั้นของปัญญา

ไอ้นี่ถ้าลูกศิษย์ลูกหาได้สมาธิมานี่ “อาจารย์ครับ ทำไมสมาธิเป็นอย่างนี้ครับ”

“เหรอๆ” มันตอบไม่ได้นะ

เราจะแก่ไปข้างหน้า เราจะมีอายุพรรษาไปข้างหน้า เราจะเป็นผู้นำเขาไปข้างหน้าเห็นไหม เกียรติศาสนาเป็นอย่างนี้นะ เราพยายามทำของเราขึ้นมาให้มีสมบัติ สมบัติของพระมันเป็นเรื่องของศีลธรรม สมบัติของพระมันเป็นความรู้จากภายใน สมบัติของพระนะ สมบัติของโลกอย่าไปแข่งกับเขา สมบัติของโลกนะ ไม่มีใครได้สมบัติจริงหรอก มันเป็นปัจจัยเครื่องอาศัย สมบัติผลัดกันชม ใครมีความฉลาด ใครมีความสามารถ เขาจะหาของเขาได้ เป็นการเลี้ยงชีวิต สมบัตินะข้าวของเงินทองเอาไว้ดำรงชีวิตเท่านั้น ประกันว่าชีวิตนี้เราจะมีเครื่องใช้สอยไปเท่านั้นเอง

แต่เราไปยึดว่าเป็นความจริง.. ไม่จริง เราไม่พลัดพรากจากเขา เขาก็ต้องพลัดพรากจากเรา แม้แต่ร่างกายกับจิตในมันต้องพลัดพรากจากกันเลย แล้วเราจะเอาอะไรเป็นความจริงจังกับเราล่ะ

แต่ถ้าเป็นสมบัติของเรานะ มันอยู่กับใจ เห็นไหม ดูสิ เวลากายกับใจมันพรากจากกัน สมบัติในใจมันอยู่กับใจ แล้วมันจะไปพลัดพรากได้อย่างไร มันก็ไปกับใจดวงนี้ไง ใจดวงนี้จะมีสมบัตินะ นี่สมบัติของพระ สมบัติของพระนี้ประเสริฐนะ เราต้องหาสมบัติของเรา เราเป็นสมมุติสงฆ์ บวชมาแล้วอุปัชฌาย์บวชขึ้นมาถูกต้องตามธรรมวินัย เราเป็นพระเสมอกัน ศีลเสมอกัน ทิฏฐิเสมอกัน แต่เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาคนได้สมาธิได้ลึกได้ตื้นเห็นไหม นี่มันต่างกันตรงนี้

ยิ่งขั้นของปัญญามันก้าวเดินออกไปเห็นไหม มันทำลายกิเลสเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป คุณธรรมของใคร อันนี้เป็นสมบัติของท่าน สมบัติของท่านนะ อำนาจวาสนาความเป็นไปอย่างนี้ เราอย่าเอามาเหยียบย่ำเอามาแข่งขันกัน เรื่องอำนาจวาสนาแข่งขันกันไม่ได้ เราศีลเท่ากัน เราเป็นพระเสมอกัน เราบิณฑบาตด้วยกัน เราอยู่เป็นหมู่เป็นคณะกัน เราต้องรักกัน เราต้องสามัคคีกัน

แล้วถ้าคนใดปฏิบัติได้ผลก็สาธุ แล้วเวลาพูดถึงธรรมเอามาเล่ากันเห็นไหม ให้เป็นความรื่นเริง ให้เป็นความพอใจ “น่ะทำได้จริงๆ มันมีจริงๆ นะ” เราก็อยากได้บ้างเห็นไหม เวลาเรากำมือมาเห็นไหม ใครแบออกมา ในมือของใครมีเหรียญบาท ในมือของใครมีแบงก์ห้าร้อย ในมือของใครมีแบงก์พัน ในมือของใครเห็นไหม นี่เราเห็นกัน ในดวงใจเหมือนกันแบออกมา ในดวงใจมีเท่าไหร่ มีคุณสมบัติเท่าไหร่เป็นการยืนยันว่ามันมีจริง

เวลาประพฤติปฏิบัตินะ กิเลสตัวนี้หลอกมาก มรรค ผล นิพพาน ไม่มีแล้ว อะไรก็ไม่มีแล้ว แล้วที่เขาแบออกมานั่นมันอะไร ก็เงินของเขา คุณธรรมของเขา ความเป็นไปของเขา มันมีจริงๆ ไง

แล้วคุยกันในหมู่คณะเราเห็นไหม ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ เป็นมงคลอย่างยิ่ง เป็นมงคลให้เรามั่นคง เป็นมงคลให้เรารู้สึก เป็นมงคลให้เรามีหลักมีเกณฑ์ เป็นมงคลให้เราจะสู้ไปเห็นไหม นี่มงคลของชีวิตแล้วก็มงคลของพระ คุณสมบัติของพระ สมบัติของพระ เอวัง