เทศน์พระ

เทศน์พระ ๒๗

๑๑ ก.ย. ๒๕๕o

 

เทศน์พระ วันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๕๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้วันอุโบสถ วันอุโบสถเห็นไหม อุโบสถสังฆกรรม “สังฆกรรม” กรรมของสังฆะ การกระทำของหมู่สงฆ์ไง เราเป็นหมู่สงฆ์นะ เราบวชมาเห็นไหม จากคฤหัสถ์ จากฆราวาส แล้วเราบวชมาเห็นไหม ตายจากฆราวาสเป็นภิกษุ ภิกษุผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร ภิกษุเป็นผู้ขอ ผู้ขอขออะไรล่ะ ขออ้อนวอนให้มีชีวิตไง ให้มีชีวิตได้ประพฤติปฏิบัติ ถ้าเราได้ประพฤติปฏิบัตินะ ประพฤติปฏิบัติเพื่อให้หัวใจมันเป็นสงฆ์แท้ๆ ขึ้นมา

สมมุติสงฆ์เห็นไหม บวชขึ้นมาเป็นสมมุติสงฆ์ วินัยกรรม ข้อวัตรปฏิบัติเพื่ออะไร เพื่อคนไง คนกาแฟเห็นไหม เขาต้องคนให้มันเข้ากัน ให้มันเป็นเนื้อเดียวกัน มันถึงจะดื่มจะฉันได้มีรสชาติ

ชีวิตก็เหมือนกันเห็นไหม คนไม่ทั่ว เราคนไม่ทั่ว สังฆกรรมเห็นไหม การกระทำของเราให้มันสะอาดให้มันบริสุทธิ์ ถ้ามันสะอาดบริสุทธิ์ เวลาประพฤติปฏิบัติไปมันไม่มีความลังเลสงสัยนะ ความลังเลสงสัยจากภายนอก ความลังเลสงสัยจากภายใน ภายนอกการกระทำเห็นไหม สังฆกรรม วินัยกรรม ยังทำให้ลังเลสงสัย

ความเห็นของเรา เราเข้าใจว่าเป็นอย่างนั้น แต่เวลาหมู่คณะทำไปเกิดความลังเลสงสัยของเรานะ เราเคยเจอนะ ที่ฉันในบ้านด้วยกัน ภิกษุบวชใหม่ไม่ฉัน วันนั้นไม่ฉันเลย

“ทำไมล่ะ”

“ก็หัวหน้าไม่อุปโลกน์ เขาถวายสังฆทานแล้วไม่อุปโลกน์ ผมไม่กล้าฉัน ผมฉันไปแล้วผมเป็นเปรต”

เวลาผ่านไปเห็นไหม สิ่งที่เข้าไปเราศึกษาแล้วนะ แล้วถ้าหัวหน้าไม่พาทำเห็นไหม หิ้วท้องไว้เลยนะ ไม่กล้าฉัน สิ่งที่เขาถวายสังฆทานเป็นถวายสังฆทาน แต่ถ้าถวายสังฆทานนะเป็นสังฆะ ถ้าหัวหน้าผู้ฉลาดก็อุปโลกน์ ถ้าเขาไม่ได้ถวายนะเป็นเรื่องของความรู้สึกของเขา มันไม่เข้าองค์ประกอบไง ถ้าเขาถวายของเขา เขาไม่ได้ถวายสังฆทานแล้วเราไม่สาธุ เขาพูดของเขา

นี่ก็เหมือนกัน เวลาเอาของมาถวายพระ เขาวางไว้เรายังไม่ได้รับ วางไว้ให้เป็นกองกลาง วางไว้ให้เข้าครัว มันยังไม่ได้นับอายุนะ ถ้าเรารับแล้วนับอายุ นี่ก็เหมือนกัน ไปสาธุไปรับ ถ้าไปสาธุไปรับมันก็ต้องอุปโลกน์สิ

เวลากฐินของที่เป็นผ้าป่าเห็นไหม เป็นของของสงฆ์เขาถวายสังฆะ สังฆะก็เป็นสงฆ์ เป็นสงฆ์ไง ถ้าเป็นสมมุติเห็นไหม สงฆ์สมมุติให้ภิกษุรูปหนึ่งเป็นผู้ทำการแทนสงฆ์ เป็นผู้แจกเห็นไหม มันก็พอทนเพราะมีสงฆ์เป็นสมมุติแล้ว สงฆ์แต่งตั้งให้เป็นผู้ทำการแทน

ถ้าสงฆ์ไม่ได้เป็นสมมุติเลย ถวายสังฆทานเป็นสังฆะๆ กลัวไม่ได้บุญนะ โยมมาก็กลัวไม่ได้บุญ ปีชาติทำบุญหนหนึ่ง พอจะทำขึ้นมาก็กลัวจะไม่ได้บุญ ก็ต้องทำพิธีกรรมร้อยแปดเลย มันทำพิธีกรรมให้เข้าองค์ประกอบของกฎหมายไง องค์ประกอบของวินัย นิยามของกฎหมายข้อไหนเป็นข้อไหน แล้วก็ทำให้เข้าองค์ประกอบ แล้วพอเวลาเขาทำองค์ประกอบก็ตบมือข้างหนึ่ง อีกข้างไม่ยอมตบรับเห็นไหม

ถ้าเขาถวายสังฆทานก็ต้องอุปโลกน์สิ อุปโลกน์ไปเห็นไหม ตั้งแต่เถระลงมา ตั้งแต่เถระ ตั้งแต่ภิกษุ ถึงสามเณร แล้วก็ถึงคฤหัสถ์ ให้แจกถึงคฤหัสถ์เลย แต่ถ้าพิธีกรรมไม่ต้อง เขาถวายขึ้นมามันก็เป็นทานอยู่แล้ว สิ่งที่เป็นทานด้วยความบริสุทธิ์ เพราะผู้ให้ให้ด้วยความบริสุทธิ์ ขณะให้เห็นไหม ด้วยความแช่มชื่นชื่นบาน ให้แล้วมีความแช่มชื่นชื่นบาน มันบริสุทธิ์ผุดผ่องอยู่แล้ว

แต่! แต่เป็นเพราะความลังเลสงสัย ต้องถวายสังฆทาน บุญอะไรไม่เท่ากับสังฆทาน สังฆทานถวายกับเปรตมันได้บุญไหมล่ะ ผู้รับรับด้วยความบริสุทธิ์ ผู้ให้ให้ด้วยความบริสุทธิ์ อันนี้ผู้รับต้องเป็นอย่างนั้นถึงจะได้บุญ ต้องเป็นอย่างนั้น.. แล้วเป็นอย่างนั้นเป็นจริงไหมล่ะ มันเป็นการเสแสร้ง ความเสแสร้งเป็นความจริงไหม? ถ้าความเสแสร้งไม่เป็นความจริงแล้วมันจะเกิดความจริงมาได้อย่างไร?

สิ่งที่เขาทำกันด้วยความศรัทธามันเกิดจากความจริงใจของเขา ถ้าเกิดจากความจริงใจของเขามันถึงเป็นบุญกุศลขึ้นมาจากความเป็นจริง เพราะอะไร เพราะความลังเลสงสัยจากภายนอก ความลังเลสงสัยจากภายใน ก็ข้างในมันสงสัยนะ ข้างในมันสงสัย “เอ๊ะ ทำบุญสังฆทานว่าจะได้บุญ ทำไปแล้วมันจะได้บุญไม่ได้บุญน้อ” นั่นนะมันตัดรอนหมดแล้ว ถ้ามันเป็นเจตนาที่บริสุทธิ์เห็นไหม นี่พิธีกรรม มันจะติดพิธีกันไปหมด พิธีกรรมๆ วินัยก็เป็นพิธีกรรมนะ แต่เป็นพิธีกรรมของอริยประเพณี ประเพณีของพระอริยเจ้า

พระอรหันต์สมัยพุทธกาลนะ “เราก็สิ้นกิเลสแล้ว เราจะต้องลงอุโบสถไหม” องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาด้วยฤทธิ์เลยนะ “ถ้าเธอไม่ลงอุโบสถ แล้วสังฆะ แล้วผู้ที่เป็นศาสนทายาทเขาจะเอาอะไรเป็นแบบอย่างล่ะ ต้องลงอุโบสถสิ” ในพระไตรปิฎกนะ ภิกษุเวลาสำเร็จเป็นพระอรหันต์ เอ๊ะนี่ มันเป็นสมมุตินะ วินัยมันเป็นสมมุติทั้งนั้น ที่ทำสมมุติทั้งนั้นนะ แต่สมมุติขึ้นมาเพื่อจะไปหาวิมุตตินะ ถ้าไม่อาศัยสมมุติเลยจะเอาอะไรไปก้าวเดิน สมมุติทั้งนั้น วินัยกรรมนี่สมมุติหมด

เดี๋ยวสวดปาฏิโมกข์ไปนี่ สมฺมุขาวินโย ทาตพฺโพ, สติวินโย ทาตพฺโพ, อมูฬฺหวินโย ทาตพฺโพ ไม่มีอาบัติ สติวินัยไม่มีอาบัติหรอก อาบัติเข้าไม่ถึงจิตดวงนั้น จิตดวงนั้นไม่มีอาบัติเลย ไม่มีเจตนา กิริยาไม่มี เอาอาบัติมาจากไหน อาบัติไม่มีหรอก อาบัตินี้เป็นสมมุติ สมมุติว่าตั้งขึ้นมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตั้งเป็นวินัยขึ้นมา ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเป็นวินัยขึ้นมา ใครฝ่าฝืนเป็นปาจิตตีย์ๆ ฝ่าฝืนไม่ทำตามเป็นอาบัติปาจิตตีย์ทันทีเลย ไม่ต้องมาอุทธรณ์ฎีกาใดๆ ทั้งสิ้น

คำพูดขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหมือนกษัตริย์ คำพูดของกษัตริย์เป็นกฎหมายหมดเลย คำพูดขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นวินัยหมดเลย แล้วเราไปฝืนวินัยอันนั้นมันจะเป็นอาบัติไหม เป็นอาบัติเลยเพราะอะไร เพราะเราไม่ลงไง ไม่ลงใจ ไม่ลงใจในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

ถ้าไม่ลงใจในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วเราเป็นพระสงฆ์จริงไหม เวลาบวชขึ้นมา วินัยกรรมสมมุติ ญัตติจตุตถกรรมเวลาบวชเป็นสงฆ์ขึ้นมาก็สมมุติ สงฆ์ทั้งหลาย ๕ องค์ ๑๐ องค์ขึ้นไป นั่งขัดสมาธิแล้วยกขึ้นเป็นหมู่สงฆ์ สมมุติไหม? สมมุติ แล้วเขาเป็นตามสงฆ์สมมุติ เราเป็นสงฆ์ตามสมมุติ เต็มตามสมมุติเลย เป็นสงฆ์แท้ๆ มีใบสุทธิ ยกขึ้นมาเป็นหมู่สงฆ์เรียบร้อยหมดแล้ว

แต่เอหิภิกขุให้ใจเป็นสงฆ์ขึ้นมาไหม ถ้าใจเป็นสงฆ์ขึ้นมามันต้องตั้งแต่ตรงนี้ ตั้งแต่ว่าถ้าวินัยกรรม สังฆกรรม มันสะอาดบริสุทธิ์ เราไม่มีความลังเลสงสัยใช่ไหม ถ้าเรามีปัญหาจากวินัยกรรมขึ้นมา เวลาเราประชุมสงฆ์ ประชุมสงฆ์เพื่ออะไรกัน ก็เพื่อนี่ไง เพื่อความสะอาดบริสุทธิ์นี่ไง ถ้ามีปัญหาขึ้นมาผมเห็นแย้ง เห็นแย้งขึ้นมาตรงนั้นเพราะอะไร เพราะในวินัยกรรมต้องเป็นฉันทามตินะ ไม่ใช่ประชาธิปไตย ไม่ใช่แบ่งฝักแบ่งฝ่าย ถ้าแบ่งฝ่าย ฝ่ายเสียงข้างมากชนะ ไม่ใช่

ถ้าเป็นวินัยกรรมเห็นไหม ดูสิต้องสาธุทั้งหมด ค้านแม้แต่เสียงเดียวใช้ไม่ได้ ถ้าค้านแม้แต่สียงเดียว ค้านเพราะอะไร มีความเห็นอย่างไรถึงได้ค้านขึ้นมา มันผิดตรงไหน? ถ้าความเห็นผิดอย่างนั้น เราต้องทำความทิฏฐิเห็นไหม ทิฏฐิเสมอกัน ศีลเสมอกัน ทิฏฐิเสมอกัน ความเป็นอยู่ของสังฆะเราจะมีความสุขมากเลย

ทิฏฐิต่างกัน ความเห็นต่างกัน วินัยก็ออกมาต่างกัน วินัยออกมาต่างกันก็เป็นนานาสังวาสสิ การถือวินัยต่างกัน ความเห็นต่างกัน ความเห็นต่างกันมันก็เป็นนานาสังวาส ถ้าเป็นนานาสังวาส “เธอจะอยู่ด้วยกันไม่ได้นะ เธอจะกินด้วยกันไม่ได้นะ เธอจะนอนด้วยกันไม่ได้นะ” เห็นไหม ของที่ร่วมอยู่ร่วมกินขึ้นมามันเป็นอาบัติปาจิตตีย์ แต่มันเป็นสังคม นี่เป็นวินัยนะ แต่พอเป็นธรรมเห็นไหม เป็นเราออกไปสังคม

นี่มันก็มีอย่างที่ครูบาอาจารย์ว่า ไก่มันยังมีชื่อเลย มันจะเป็นชื่อของนิกายมันก็เป็นชื่อเฉยๆ ถ้าเขาทำดีเขาของเขาก็คือดีของเขา ถ้าเขาทำดีของเขา เขาก็ต้องเคารพธรรมวินัยเหมือนกัน ถ้าเขาเคารพธรรมวินัยเขาก็เข้าใจว่า โดยสมมุติว่าเป็นนานาสังวาส ถ้าโดยวิมุตตินะ ในพระอรหันต์มันก็เหมือนกันหมด ดูสิ ดูสินางภิกษุณีกับภิกษุเห็นไหม เวลาเป็นสมาธิ สมาธิไม่มีหญิงไม่มีชาย เวลาจิตที่เป็นนิพพานแล้วก็นิพพานเหมือนกันหมด มันไม่มีสมมุติหรอก มันไม่มีเพศ ไม่มีสิ่งต่างๆ เลย มันเป็นสัจธรรมอันเดียวกัน

แต่ขณะที่เราก้าวเดินอยู่นี้ ข้อวัตรปฏิบัติเราก้าวเดิน สิ่งที่วิธีการเห็นไหม วิธีการที่เข้าไปหาสัจจะความจริง วิธีการอันนี้มันเป็นสมมุติก็ต้องเกาะอันนี้ไปก่อน ทิ้งไม่ได้ เราเดินทางเราจะปลีกจากถนนไม่ได้เลย ถ้าเราเดินทางเราปลีกจากถนน ดูสิ การคมนาคมสมัยโบราณเขาไปตามแหล่งน้ำ ตามแม่น้ำลำคลอง เขาเอาเรือชนฝั่งได้ไหม เขาหลีกออกจากแหล่งน้ำได้ไหม เขาหลีกออกไม่ได้เลย เขาต้องไปตามกระแสน้ำนั้น เขาจะถึงเป้าหมายของเขา

นี่ก็เหมือนกัน เราเดินทางมาโดยรถตามถนน นี่ก็เหมือนกัน เราเดินทางโดยจิต วิถีแห่งจิตจะเข้าไปเอหิภิกขุ ทำใจดวงนี้ให้เป็นสงฆ์ ถ้าดวงใจดวงนี้เป็นสงฆ์เห็นไหม ด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ของจิตดวงนี้ มันจะเข้าไปถึงสัจจะความจริงอันนั้น ถ้าเข้าไปถึงสัจจะความจริงอันนั้นก็เพื่อใคร ก็เพื่อใจอันนี้ไง เพราะใจนี้มันสกปรกเห็นไหม โดยสมมุติ

เกิดเป็นมนุษย์นะเกิดโดยกรรม กรรมดีพาให้เราเกิดมา แล้วเกิดมาเราไม่ลืมตน เราเกิดมาพบพุทธศาสนา เราอยากจะศึกษาธรรมวินัยนี้เพื่อจะชำระจิตใจของเรา ถ้าชำระจิตใจของเรา เริ่มต้นจากตรงนี้ ถ้าเริ่มจากตรงนี้ เริ่มต้นเห็นไหม ชิงสุกก่อนห่าม! จิตยังไม่มีอะไรเลย สมมุติๆ มองข้ามไปหมด เหยียบย่ำธรรมไปเลยนะ ถ้าเหยียบย่ำธรรมวินัยไปเลย มันจะไปอะไรล่ะ มันก็ตกนรกนั่นนะ

แต่ถ้ามันเดินตามธรรมวินัยเห็นไหม มันเป็นสมมุติก็ต้องสมมุติไปก่อน เริ่มต้นจากสมมุตินะ การเกิดนี้เป็นสมมุตินะเห็นไหม ดูสิ ร่างกายนะสมมุติชั่วคราว เพราะอะไร เพราะพอถึงที่สุดแล้วร่างกายก็ต้องไปไว้ที่เชิงตะกอน แล้วจิตมันไปไหน มันสมมุติอยู่แล้ว แต่สมมุติว่ามันเป็นชั่วคราว แล้วความจริงมันอยู่ไหนล่ะ

สัจธรรมนี่เป็นความจริง สัจจะมันเป็นความจริงแล้วเราเห็นความจริงไหม เราเห็นโดยเงาไง เราเห็นโดยธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเห็นด้วยการได้ยินได้ฟังมา ได้ยินได้ฟังมาโดยกิเลสเห็นไหม แล้วกิเลสมันก็ยึดมั่นว่าเรารู้ๆ รู้อะไร? รู้ทำไมลังเลสงสัย? ถ้ารู้ขึ้นมาสังโยชน์มันต้องขาดออกไปสิ ความลังเลสงสัย สีลัพพปรามาสมันต้องไม่ลูบคลำ

นี่ลูบคลำไหม? ลูบคลำไหม? ถามใจตัวเองลูบคลำไหม? มันสงสัยอยู่ไหม? มันสงสัยทั้งนั้นเลย ถ้ามันสงสัย เริ่มต้นเวลาทำอะไรไป เวลากิเลสมันสร้างภาพขึ้นมา ไม่สงสัยหรอก นี่เป็นสภาวะแบบนั้นเลย.. ไม่กี่วันหรอก เดี๋ยวไม่กี่วันหรอก เดี๋ยวมันคลายตัวออกมามันจะสงสัยไม่สงสัย มันสงสัยแน่นอน เพราะอะไร เพราะมันเป็นหินทับหญ้าไว้ มันไม่เป็นสัจจะความจริงหรอก

เพราะเป็นอย่างนี้กิเลสมันถึงเป็นเจ้าเหนือหัวไง กิเลสมันถึงมีอำนาจเหนือเรา มีอำนาจเหนือเราเพราะมันชนะเราแค่นี้ ถ้ามันชนะ เอ็งทำขนาดไหนก็แล้วแต่ ภาวนาไปขนาดไหนก็แล้วแต่ กิเลสมันอยู่เหนือนั้นตลอดไป น้ำขึ้นขนาดไหนสวะมันอยู่เหนือน้ำนั้นตลอดไป การภาวนาของเราขนาดไหน กิเลสมันอยู่เหนือการภาวนาตลอดไป เหนือการภาวนาตลอดไป ถ้ามันไม่มัชฌิมาปฏิปทา ไม่มรรคสามัคคี ไม่ทำลายกันนะ มันเป็นไปไม่ได้หรอก แล้วถ้าคนไม่เคยเห็นพูดไม่เป็นหรอก พูดไม่เป็น โม้โอ้อวดกันไปเฉยๆ อย่างนั้นนะ โม้ไปตามกิเลสเห็นไหม เป็นความว่าง อ้างว่าเป็นความว่างทุกคนก็งงแล้ว

ว่างอะไร? ว่างอะไร? ขอนไม้มันก็ว่าง อากาศมันก็ว่าง แร่ธาตุต่างๆ มันว่าง มันไม่รู้ตัวมันเองเลย ก้อนหินต่างๆ มันว่างทั้งนั้น มนุษย์ฉลาดขึ้นมาไปเอาแร่ธาตุมาทำเป็นถนนหนทางให้เราเดินมานี่ไง สิ่งที่มันเป็นถนนหนทางที่มันปูให้เราเดินมา มันว่างไหม มันว่าง มันไม่โอดโอย ไม่อาทรใดๆ ทั้งสิ้นเลย ทุบตีมันขนาดไหนมันก็ไม่ร้องโอดโอยเลย มันยอมจำนนทุกอย่างเลย มันเป็นพระอรหันต์ มันเป็นนิพพานด้วย

รถเหยียบมันมาเห็นไหม ดูสิ รถบรรทุกหมู รถบรรทุกมูตรคูถ มันล้นมารดถนนๆ มันก็ไม่เห็นเดือดร้อยเลยเห็นไหม รถบรรทุกของสิ่งที่ดีๆ มา เป็นข้าวตอกดอกไม้ หล่นกลางถนนมันก็ไม่เห็นเดือดร้อนอะไรเลย มันไม่เดือดร้อนเลยมันก็เป็นความว่าง มันไม่เดือดร้อนอะไรเลย กราบมันสิ! ทำไมไม่กราบมัน? มันเป็นแร่ธาตุมันรู้อะไร?

แต่ถ้าหัวใจล่ะ หัวใจเวลาประพฤติปฏิบัติไป ในหัวใจมันอยู่ในใจเรา มันมีอะไรขึ้นมา มันเป็นไปไม่ได้ สิ่งที่มีอยู่นะกิเลสในหัวใจมันมีอยู่ มันต้องอยู่ฝังใจตลอดไป ถ้าฝังใจตลอดไป การประพฤติปฏิบัติโดยกิเลสมันครอบหัวไว้ ถ้าโดยกิเลสมันครอบหัวไว้มันไม่เป็นความจริงสักอย่างเลย ถ้ามันไม่โดนกิเลสครอบหัวไว้นะ มันต้องเสียสละสิ

ความเสียสละ ทิฏฐิมานะนี่เสียสละมันออกไป ความเห็นผิดๆ อย่างนี้เสียสละมันออกไป เสียสละไม่ได้! ยึดติดมันหมดเลย ยึดติดความเห็นของตัวเอง ยึดติดทิฏฐิมานะอันนี้ แล้วมานะอันนี้มันให้ผลอะไรกับเรา มันให้ผลแต่ความทุกข์ทั้งนั้นเลย มันให้ผลกับความผิดพลาด

การประพฤติปฏิบัติขึ้นมาด้วยศรัทธานะ มีความศรัทธากันมาก บวชนี้มีศรัทธากันมาก มีครูบาอาจารย์เป็นผู้ชี้นำเห็นไหม ครูบาอาจารย์เป็นที่เคารพศรัทธา พอครูบาอาจารย์ชี้นำมา ครูบาอาจารย์เดินนำหน้าไป เคารพบูชามาก เราก็พยายามเดินตามไป แล้วมันเป็นไปตามนั้นไหม ขนาดมีความศรัทธามีความเชื่อถือ มีโอกาสปฏิบัติมาตลอดเลย แต่ทิฏฐิมานะอันนี้ ความเห็นนี้มันทิ้งไม่ได้ เพราะอะไร เพราะมันอยู่ในหัวใจของเรา มันเป็นอวิชชานะ อวิชชารู้โดยไม่เข้าใจ

รู้ธรรมวินัย รู้เห็นการกระทำ เป็นการกระทำมานี่รู้โดยความเห็นของเรา รู้โดยความไม่เข้าใจเลย แต่รู้มันเป็นความเข้าใจนะ น้ำหูน้ำตาไหลเลย “ทำไมมันโง่ขนาดนี้ ทำไมเราโง่ได้ขนาดนี้” ของอยู่ในมือนะ กำอยู่กับมือ แต่มันไม่รู้ว่ามือนี้มันคืออะไร ไม่รู้เลยในมือเรานี่คืออะไร อวิชชามันเป็นอย่างนั้น

ของอยู่กับจิต ความรู้อยู่กับจิต จิตพาเกิดพาตายอยู่กับจิตตัวนี้ แล้วมันเกิดตายในสภาวะแบบนี้ ไม่รู้อะไรเลย แล้วปฏิบัติธรรมขึ้นมาก็ปฏิบัติธรรมโดยกรอบ โดยประเพณีวัฒนธรรม

ประเพณีวัฒนธรรมมาจากภายนอกใช่ไหม ดูสิเราห่มจีวรกันอยู่นี้ บริขาร ๘ สิ่งนี้มันเป็นอะไร สิ่งนี้มันเป็นเครื่องอาศัยทั้งนั้นเลย อาการของจิต อาการของจิตก็เป็นเครื่องอาศัยของจิต จิตถ้าไม่มีสิ่งนี้เป็นการแสดงออก จิตมันแสดงออกได้อย่างไร เวลานอนหลับ เวลานั่งเหม่อ จิตมันอยู่ไหน? เวลานั่งเหม่อทำไมไม่บอกว่านั่นเป็นนิพพานล่ะ มันว่างหมดเลย ไม่มีสติสัมปชัญญะ นั่นล่ะคือมิจฉาทั้งนั้นเลย มิจฉาเพราะมันขาดสติ มันขาดสตินะ ดูคนนอนหลับสิ ถ้ามีสติมันหลับได้อย่างไร มันต้องหลับไปสิ พอหลับขึ้นไปมันทำอะไรของมันในความหลับนั้นน่ะ

จิตก็เหมือนกัน จิตถ้าเวลามันขาดสติ มันขาดอะไรต่างๆ ไป มันก็สภาวะของมันนี่ว่าง ว่าง ขณะที่ขั้นสุดท้าย ขณะที่มันเป็นไป ขณะที่มันจะทิ้งคายออกมา มันทำอย่างไร ถ้ามันมีการทิ้งคายออกไปนะ มันทิ้งออกมา ทิ้งสิ่งที่ว่ามันเป็นความลังเลสงสัย มันเป็นสังโยชน์ในใจมันทิ้งออกมาอย่างไร

การทิ้งมันไม่ทิ้งง่ายๆ หรอก เพราะอะไร เพราะมันแก่นของกิเลส สิ่งที่เป็นแก่นของกิเลสถ้ามันทิ้งได้ง่ายๆ มันจะเกิดมานั่งอยู่นี้เหรอ เกิดตายๆ ก็นั่งอยู่อย่างนี้ มันเกิดจากไหน? แล้วเกิดมากี่ชาติ นี่ปฏิเสธนะ เกิดมาชาตินี้ วิทยาศาสตร์นะ ใครเชื่อภพชาติ คนนั้นเป็นคนครึคนล้าสมัย คนนี้ไม่ทันวิทยาศาสตร์ ไอ้เรามันคนทันวิทยาศาสตร์ ทุกอย่างต้องเป็นวิทยาศาสตร์ ทุกอย่างมันต้องพิสูจน์ได้

โง่บัดซบเลย! โง่บัดซบ! เพราะอะไร เพราะมันเป็นเรื่องโลกๆ ธรรมะมันเหนือโลกโว้ย! มันเหนือสิ่งนั้นมหาศาลเลย พิสูจน์ได้ยิ่งกว่าสิ่งที่พิสูจน์ได้อีก เพราะสิ่งที่เหนือวิทยาศาสตร์มันพิสูจน์มาจากไหน? มันเป็นแร่ธาตุใช่ไหม? ทฤษฎีต่างๆ นี้มันเป็นความรู้ใช่ไหม? สิ่งที่เป็นความรู้พิสูจน์มามันเป็นสภาวะแบบนั้นไหม? แต่ถ้าเป็นสัจจะความจริงพิสูจน์ด้วยหัวใจ

มรรคญาณนะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมานะ ไม่อยากจะพูดว่านั่งคอตกนะ แล้วมันจะสอนกันได้อย่างไร? มันจะสอนกันได้อย่างไร? แล้ววิทยาศาสตร์ล่ะ วิทยาศาสตร์เป็นเรื่องไร้สาระ ไร้สาระจากธรรมะนะ เรื่องของธรรมนี่วิทยาศาสตร์ไร้สาระมาก เพราะอะไร เพราะมันเป็นสิ่งที่พิสูจน์ เด็กมันก็ทำได้ เด็กนะดูสิ แข่งขันเทคโนโลยีกันเห็นไหม เด็กประถมมันทำเครื่องยนต์กลไกไป มันไปได้เหรียญทองมาทั้งนั้น มันก็เอาเหรียญทองแขวนคอมา ใครๆ มันก็ทำได้ วิทยาศาสตร์นี้พอที่สุดมาแล้ว ใครมันก็ทำมาทั้งนั้น

แต่สิ่งที่ธรรมเหนือโลกมันเกิดมาจากไหน มันเกิดมาจากสัจจะความจริงยิ่งกว่าวิทยาศาสตร์อีก เพราะอะไร มันพิสูจน์ได้นะ พิสูจน์ได้เพราะอะไร ดูสิ ครูบาอาจารย์เราเห็นไหม หลวงปู่มั่นท่านปฏิบัติมา เวลาไปหาหลวงปู่เสาร์

“จิตเป็นอย่างนั้นๆ”

“โอ้ย.. เราไม่เคยเป็นอย่างนั้นเลย”

ครูบาอาจารย์เขาคุยกันนะ แล้วสิ่งนี้ระหว่างหลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ คุยกัน หลวงปู่เสาร์ปฏิบัติมา มันหลอกกันได้ไหม แล้วครูบาอาจารย์เห็นไหม ดูสิเวลาหลวงปู่มั่นท่านพูดว่า “หมู่คณะจำไว้ จำหลวงปู่ขาวไว้นะ หลวงปู่ขาวได้คุยกับเราแล้ว” เห็นไหม “จำหลวงปู่พรมไว้นะ จำไว้นะๆ” นี่บอกชื่อเพราะอะไร เพราะมันได้ตรวจสอบกันแล้ว มันเห็นทันกัน

นี่คือสิ่งที่พิสูจน์ได้ไง สิ่งที่พิสูจน์ได้พิสูจน์ได้ด้วยความจริง ธรรมถึงธรรม ใจถึงใจ ความเป็นไปถึงความเป็นไป แล้วสิ่งนี้ออกมาได้อย่างไร นิพพานมีไหม? มี แล้วทำไมไม่พิสูจน์ให้รู้ล่ะ พิสูจน์เอาออกมาได้อย่างไร เพราะเอาของดีๆ ให้คนตาบอดมันดู ไอ้คนตาบอดมันจะรู้ได้อย่างไร ไอ้คนตาบอดมันเอามือคลำๆ “ฮือ...นี่มันกลมๆ นะ ไอ้นี่มันแบนๆ นะ” กลมๆ แบนๆ มันคือสิ่งที่สัมผัส! แล้วกลมๆ แบนๆ มันคืออะไรล่ะ กลมๆ แบนๆ นี้นะ กลมๆ แบนๆ มันเป็นแก้วแหวนเงินทอง มันเป็นหินหรือมันเป็นทองคำล่ะ มันเป็นอะไร มันก็กลมๆ แบนๆ มันเป็นรูปเห็นไหม รูปลักษณะที่มันเป็น แต่เนื้อหาสาระแก่นแท้ของสิ่งนั้นล่ะ

นี่ก็เหมือนกัน แก่นแท้ของหัวใจล่ะ หัวใจที่มันเป็นไป มันเอาอะไรมาเป็นไป แล้วเอาอะไรมาพิสูจน์ล่ะ ก็คนเห็นด้วยกันพิสูจน์ทำไมเห็นไม่ได้ คนเห็นด้วยกันก็พิสูจน์ให้เห็นเหมือนกันเห็นไหม ดูสิครูบาอาจารย์ท่านว่า “จำองค์นี้ไว้ องค์นี้ไว้” เพราะอะไร? เพราะองค์นี้จะเป็นที่พึ่งของพวกหมู่คณะไง! องค์นี้ไงที่จะเป็นที่พึ่งของคนที่มันตาบอด ตาบอดให้ไปถามองค์นี้นะ องค์นี้ๆ นะ อย่าไปถามองค์อื่นนะ องค์อื่นจะพาลงตกนรก

แม้แต่หลวงปู่มั่นท่านมีคุณธรรมขนาดนั้น ท่านยังได้สั่งเสียไว้เลย สั่งเสียไว้เลยนะ เพราะอะไร เพราะไม่ต้องให้เสียเวลาไง ดูสิ เราเป็นชาวไร่ชาวนากัน เราจะทำไร่ทำนาเห็นไหม เราจะเอาเมล็ดพันธุ์ เราก็มาปลูก ปีนี้เราปลูกชนิดนี้ ปีนี้เราก็ปลูกชนิดนี้ ปีนี้ก็ปลูกต้นผักบุ้ง ปลูกต้นคะน้า แล้วมันจะปลูกแต่ละปีๆ จะทดสอบอยู่นั่นล่ะว่า ภูมิอากาศสถานที่อย่างนี้มันควรจะปลูกต้นอะไร

แต่ถ้าครูบาอาจารย์เขาบอก ไม่ต้อง! พื้นที่บริเวณนี้เมืองนนท์เขาปลูกแต่ต้นทุเรียน ทุเรียนเมืองนนท์มีชื่อเสียงมาก พื้นที่แถวนี้เขาปลูกเงาะ ภูมิอากาศแบบนี้มันปลูกได้

ครูบาอาจารย์ท่านสอนมาอย่างนี้ ไม่ให้เราต้องเสียเวลาไปพิสูจน์ทดสอบตรวจสอบ ทดสอบตรวจสอบ แล้วก็กว่าจะทำได้กว่าจะเชื่อ แล้วกิเลสมันท้อถอยอยู่แล้วนะ ทำอะไรได้ไม่ได้ “นี่หมดวาสนาแล้ว ครูบาอาจารย์ก็ว่ากันมา องค์ที่ว่าน่าเชื่อถือๆ ก็เชื่อถือได้จริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ โอ้ย กราบไหว้ขนาดนี้ ทำบุญขนาดนี้ แล้วประพฤติปฏิบัติตามท่านขนาดนี้ ก็ยังไม่ถึงสักที”

ก็ความคิดของเรานะ เดินจงกรม ๒ นาทีบอกว่าทำเหมือนท่าน เวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัตินะ อยู่ในป่าในเขานะทั้งวันทั้งคืน นี่ปฏิบัตินะ อดนอนผ่อนอาหารแล้วปฏิบัติต่อเนื่องเห็นไหม การต่อเนื่องสำคัญมากเลย สิ่งที่ต่อเนื่องนะ ดูสิเราหมักเราทำอาหารเห็นไหม ถ้าเราหมักไม่ได้ที่ มันทำอาหารขึ้นมามันด้านๆ กินไม่ได้หรอก ไม่อร่อย นี่ก็เป็นอาหารนะ นี่เราจะหมักหัวใจ เราจะทำใจของเราให้มันมัชฌิมา มันสมดุลต่อกัน เราจะทำอย่างไร เราก็ทำ ๕ นาที ๑๐ นาทีด้วยความเห็นของเราไง ด้วยชีวิตของเรา ด้วยความคุ้นเคยของเรา ด้วยความมักง่ายของเรา ก็ทำแค่นี้มันก็สุดกำลังเราแล้ว

แต่ไม่คิดเลยนะว่าครูบาอาจารย์เขาทำกันเป็นปีๆ ทำเป็นสิบๆ ปี เขาเดินจงกรมซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาทำของเขาเพราะอะไร เพราะมันต่อเนื่อง ความต่อเนื่องความสมดุลของจิตที่มันกำลังแข่งขันกันระหว่างกิเลสกับธรรม กิเลสกับธรรมในหัวใจมันแข่งขันกันนะ ขนาดที่ว่าจิตเราเจริญขึ้นมา จิตเราเป็นสมาธิขึ้นมา จิตมันมีฐานขึ้นมา เรากำลังแข่งขันกัน กำลังเอาชัยชนะต่อกัน เขาจะลงทุนขนาดไหน เขาจะถนอมรักษาของเขาขนาดไหน

ทำไมพระป่าเรา ครูบาอาจารย์ของเราถึงสงวนความสงบสงัดนัก ทำไมถึงต้องสงวนความสงบสงัด สงวนสิ่งต่างๆ ไว้นี้เพื่ออะไร ก็เพื่อขณะที่ว่ามันเป็นไปเห็นไหม เราสร้างสมขึ้นมา กว่าจะทำขึ้นมาเราต้องลงทุนลงแรงขนาดไหน แต่ขณะที่มันสมดุลนะ ที่มันเป็นไปเห็นไหม ดูสิเขาทำอาหารกัน เขาจะหาวัตถุดิบมานะ อาหารนี้มาจากต่างแดน โอ้โฮ เนื้อนี้มาจากที่นั่น ไอ้นี่มาจากรอบโลกเลยนะ เอามารวมกันในกระทะนี้ สิ่งนี้ที่ในกระทะกว่ามันจะสุกขึ้นมา มันสุกในกระทะนะ อาหารมันสุกในกระทะแล้วนะ ถ้าอาหารมันสุกในกระทะตักขึ้นมากินมันอร่อยทั้งนั้น

นี่ก็เหมือนกัน กว่าเราจะทำของเราขึ้นมา กว่าจะฝึกสตินะ กว่าจะทำสมาธินะ แล้วฝึกฝนปัญญา ถ้าสมาธิมันเป็นปัญญาขึ้นมาได้เอง สิ่งที่เราเป็นขึ้นมาได้เองมันเป็นโลกียปัญญา เพราะปัญญาเกิดจากกิเลส กิเลสเกิดจากเรา เราเกิดปัญญาขึ้นมาเพราะเป็นปัญญาอย่างนั้น ปัญญาอย่างนั้นกระบวนการของมันคือสมถะ คือปล่อยวาง

การปล่อยวางนี้ เราก็คิดว่าปล่อยวางเพราะเทียบไง เทียบเอาว่า โอ้โฮ ใช้ปัญญาแล้ว ปัญญาอย่างนี้มันจะเป็นธรรมแล้ว มันไม่เป็นหรอก เพราะอะไร เพราะสิ่งนี้ ดูสิ ดูอย่างเนื้ออย่างอาหารที่มาจากรอบโลกนะ สิ่งที่เป็นของเทียม สิ่งที่เขาทำเลียนแบบแถวบ้านเราก็มี นี่เหมือนกัน อะไรก็เหมือนกัน มันเป็นสภาวะเหมือนกัน ความคิดของเรามันเป็นอย่างนั้น แล้วผลคุณค่าออกมามันจะเหมือนกันได้อย่างไร

นี่ก็เหมือนกัน ขณะที่เราพยายามของเรานะ เราพยายามเก็บหอมรอมริบ เราพยายามฝึกฝนของเรานะ ถ้ามันเป็นความสงบเราให้มันสงบเข้าไปเห็นไหม ถ้าเกิดเราฝึกฝนปัญญา ถ้าไม่ได้การฝึกฝนของปัญญานะ ถ้าปัญญาไม่ออกวิปัสสนา ไม่ออกพิจารณานะ ปัญญาไม่เกิดหรอก

ปัญญาที่เกิดก็ปัญญาเกิดจากฐานข้อมูล เกิดจากการศึกษาธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เกิดจากการศึกษา เกิดจากฟังธรรมของครูบาอาจารย์ของเราเห็นไหม เดี๋ยวนี้นะพระพูดมากเลย ไปไหนมาถึงก็ร้องไห้โฮๆ

การว่าร้องไห้โฮๆ นี่นะ มันเป็นคุณธรรมของหลวงตา ท่านสร้างบุญญาธิการของท่านมา ขณะของท่านมหาศาล ท่านใหญ่โตมาก ไอ้อย่างพวกเรานี่นะ แค่ให้เห็นธรรมเถอะ ให้รู้ธรรมให้เห็นธรรม มันก็อำนาจวาสนาล้นหัวแล้ว ไม่ต้องไปร้องไห้โฮๆ

สิ่งนั้นนะเห็นไหม เราไปฟังมา เราไปฟังมา เราไปยึดมา ถ้ามันจะเป็นอย่างนั้นให้มันเป็นขึ้นมาตามข้อเท็จจริง ถ้ามันจะเป็นของเราให้มันเป็นโดยเนื้อหาสาระ ไม่ใช่สร้างภาพขึ้นมาให้เป็นสภาวะแบบนั้น นี่ไงเพราะเราได้ยินมาได้ฟังมา แล้วเราใช้ปัญญา ก็ปัญญาอย่างนี้ปัญญาโจรน่ะ ปัญญาขี้ขโมย ปัญญาไปเอาสมบัติของคนอื่นมาเป็นของตัว มันเป็นปัญญาได้อย่างไร มันเป็นของครูบาอาจารย์ทั้งนั้น ปัญญาของเรามันจะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร มันก็ต้องอย่างนี้ไง เวลาจิตมันสงบขึ้นมามันก็ต้องออกพิจารณาสิเห็นไหม

สิ่งใดที่มันเป็นทุกข์ ความเป็นอยู่นี้มันเบื่อหน่ายไหม บิณฑบาตแล้วบิณฑบาตอีก ฉันแล้วก็ฉันอีกเห็นไหม ขับถ่ายแล้วขับถ่ายอีก วัจกุฎีวัตรเห็นไหม วัตรในห้องส้วม ทำแล้วทำเล่าๆ ก็เป็นอย่างนี้ ในเมื่อเกิดมามีชีวิตอยู่ ดำรงชีวิตมันขับถ่ายอย่างนี้ มันก็กินอย่างนี้ แล้วเบื่อหน่ายไหมล่ะ ไม่เบื่อหน่ายถ้ามันมีอะไรเพลิดเพลิน

แต่มันเบื่อหน่ายต่อเมื่อถ้ามีอะไรอัดอั้นตันใจ อัดอั้นตันใจนี่เบื่อหน่ายมาก แต่ถ้าไปเพลิดเพลินนี่ แหม ชอบ มีความสุขเพลิดเพลินไปกับเขา เห็นไหมนี่คือกิเลสทั้งนั้น แต่ถ้าสัจจะความจริงเห็นไหม สิ่งนี้มันเป็นเรื่องความจริงของเราขึ้นมา แล้วถ้ามันเบื่อหน่าย สิ่งนี้มันน่าสลดสังเวชไหม แล้วสิ่งนี้มันเป็นหนเดียวเหรอ มันเกิดตายๆ มากี่ร้อยกี่พันชาติ เกิดตายๆ อย่างนี้กี่รอบแล้วล่ะ

ไม่รู้เรื่องเลย ไม่รู้สิ่งต่างๆ เลย พอเกิดในชาตินี้ทิฏฐิมานะ มันมีแต่ทิฏฐิมานะในหัวทั้งนั้นนะ ไม่มีอะไรเลย แล้วเวลามันเบื่อหน่ายก็ซุกไว้นะ จิตดวงใดไม่เบื่อหน่ายไม่มี ไม่มีหรอก ถ้ายังมีกิเลสอยู่นะ เว้นไว้แต่พระอรหันต์เท่านั้น เพราะอะไร เพราะในสโมสรสันนิบาตทุกดวงใจว้าเหว่ ลองมีกิเลสในหัวใจนี่อย่ามาแหกตานะว่าไม่เบื่อหน่าย เบื่อหน่ายทั้งนั้น! เพียงแต่ยอมรับความจริงหรือไม่ยอมรับความจริงเท่านั้น

สิ่งนี้แบกรับภาระมันหนักไหม ไอ้ร่างกายไอ้การขับการถ่ายมันหนักไหม มันหนักทั้งนั้น แล้วทำไมไม่หาทางออก ทำไมไม่เอาความจริง เพียงแต่ว่าเราเป็นอะไรเท่านั้นเอง ถ้าเราเป็นสุภาพบุรุษ เราเป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติเราต้องยอมรับความจริง ถ้ายอมรับความจริง ถ้ามันเบื่อหน่าย เบื่อหน่ายควรหาทางออกสิ เบื่อหน่ายควรหาความจริงเพราะ! เพราะนี่ก็บวชมาเป็นพระแล้วนะ นี่ก็เป็นนักรบแล้วนะ ถ้านักรบแล้ว นักรบทรงไม่ได้ นักรบทำไม่ได้ แล้วใครมันจะทำได้

นักรบเห็นไหม นักรบอยู่ในสงคราม มันมีการปะทะในระหว่างสู้รบเห็นไหม สถานการณ์สู้รบนะโว้ย! สถานการณ์สู้รบ ธรรมกับกิเลสมันสู้รบในหัวใจ มันต้องมีการเปลี่ยนแปลงสิ ในสถานการณ์สู้รบนะ มันต้องมีเหตุปัจจัยทุกๆ อย่างที่ให้มีการเป็นไปนะ ดูสิขนาดที่ว่าเราโดนไล่ล่านะ เราโดนไล่ล่าหรือเราไล่ล่าเขา

นี่ก็เหมือนกัน ขณะที่ทำปัญญามันเกิด ขณะที่ปัญญามันหมุน เราไล่ล่าหรือว่าเราโดนกิเลสมันไล่ล่า กิเลสไล่ล่ามันยอมจำนนหมดนะ มันไม่มีสิ่งต่างๆ เลย มันไม่ยอมรับอะไรเลย สิ่งนี้มันแข่งขันกันในอยู่หัวใจ ถ้ามันแข่งขันกันในหัวใจมันต้องฝึกฝน ฝึกฝนถ้าจิตสงบแล้ว จิตที่มีฐานะแล้วควรออกพิจารณา ควรออกหัดใช้ปัญญา

ปัญญาอย่างนี้ต่างหาก ปัญญาที่เราฝึกฝนขึ้นมา ปัญญามันต้องเกิดจากการฝึกฝน ปัญญาที่มันเกิดขึ้นมาเอง ที่เราตรัสรู้เอง ถ้าอย่างนี้นะฤๅษีชีไพรเป็นพระอรหันต์ไปหมดแล้ว คนที่เขาทำความสงบของใจเขาเป็นพระอรหันต์ไปหมดแล้ว มันเป็นไปไม่ได้หรอก มันเป็นไปไม่ได้เพราะอะไร เพราะไม่มีพลังงานอันใดเลยที่ทำลายตัวมันเอง มีแต่พลังงานเผาผลาญคนอื่น

กิเลสก็เหมือนกันมันเผาคนอื่น แล้วธรรมเกิดจากกิเลส ธรรมเกิดจากความคิดของเรา มันเผาผลาญใคร? เผาผลาญเวลาไง เผาผลาญชีวิตไง เผาผลาญโอกาสของเราไง เผาผลาญให้เวลาเราหมดไปวันๆ หนึ่งไง เผาผลาญให้เรายอมจำนนกับกิเลสนี้ไง มันเผาผลาญอย่างนี้ อวิชชามันเผาผลาญ ปัญญาอย่างนี้ปัญญาโดยกิเลสทั้งนั้น

แล้วปัญญาโดยธรรมล่ะ ปัญญาโดยธรรมมันย้อนกลับเข้ามาเห็นสัจจะความจริงสิ ถ้าจิตมันสงบเข้ามามันเห็นอะไร เห็นกาย เวทนา จิต ธรรม แล้วกาย เวทนา จิต ธรรม เกิดอย่างไร จิตเกิดอย่างไร ธรรมเกิดอย่างไร แล้วเกิดสภาวะอย่างนี้มันสะเทือนกิเลสอย่างไร ถ้ามันมีการเกิดขึ้นมามันต้องมีการสะเทือนกิเลส แล้วกิเลสมันอยู่ที่ไหน กิเลสมันอยู่ที่ใจ แล้วใจเป็นผู้เห็นเขา เห็นเขาคือเห็นสิ่งที่มันหลงเชื่อไง

สิ่งที่อวิชชามันครอบงำหัวใจ ไอ้โง่ๆ ตัวนี้แล้วมันไปหลงเชื่อว่าสิ่งนี้ไปยึดมั่นเป็นอุปาทาน ทั้งๆ ที่รู้นะ เหมือนคนไข้เลย คนไข้เข้าโรงพยาบาล เจ็บไข้ได้ป่วยอยากหายมาก แต่รักษาไม่ได้ต้องไปหาหมอ ให้หมอเขาผ่าตัด ให้หมอเขาแก้ไข เราทำเองไม่ได้ เป็นมะเร็งนะ ทำอย่างไร เข้าไปหาหมอไปนั่งโอดโอยให้หมอทำ

นี่ก็เหมือนกัน ยอมจำนนนะ กิเลสมันเหยียบหัวใจ มันเหยียบทุกข์มาก แล้วทำอย่างไร? ทำอย่างไร? ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีเครื่องผ่าตัดก็คงผ่าตัดให้แล้ว แต่นี่บอกมรรค ๘ ไว้เห็นไหม ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มรรคเห็นไหม มรรคญาณเข้าไปทำลายมัน

แล้วมรรคนี้มันเกิดมาจากไหน? มรรคนี้มันเกิดในพระไตรปิฎกเหรอ? มรรคมันสั่งซื้อมาจากเมืองนอกเหรอ? มรรคมันเกิดขึ้นมา สมาธิมันซื้อได้ที่ไหน? สติมันซื้อได้ที่ไหน? แล้วปัญญาที่ฝึกฝนมันฝึกฝนได้ที่ไหน?

มันต้องฝึกฝนด้วยมรรคญาณ มรรคญาณมันจะเกิดมาจากเราเห็นไหม ดูสิดูอย่างที่เขาทำลายกันบนอวกาศเห็นไหม เขาต้องยิงจรวดขึ้นไปทำลายบนอวกาศ นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อมันเป็นนามธรรม มันเป็นกิเลสในหัวใจ แล้วมันจะเอาอะไรไปทำลายมัน ถ้ามันไม่ใช้มรรคญาณในหัวใจนั้นทำลายหัวใจนั้น มันเป็นจักรวาลเดียวกันไง น่านฟ้าเดียวกันมันก็หากันเจอสิ มันมีกิเลสในหัวใจของเรา แล้วในน่านฟ้า ในคุณธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในคุณธรรมของครูบาอาจารย์ของเรา มันก็เป็นน่านฟ้าของท่าน มันเป็นอวกาศ มันเป็นสิ่งต่างๆ ที่ว่ามันเกิดมาจากใจดวงนั้น แล้วเราก็คาดหมายสิ่งนั้นมาเป็นของเรา มันเป็นไปไม่ได้หรอก มันเป็นไปไม่ได้

มันเกิดจากจักรวาลไหน เกิดจากทิฏฐิไหน เกิดจากความรู้สึกอันไหน มันต้องเกิดจากที่นั่นทำลายที่นั่น ทำลายที่นั่นก็คือทำลายจากหัวใจของเรา เพราะหัวใจของเรามันเกิดขึ้นมามันก็เอาสิ่งนี้เกิดขึ้นมา มันก็ต้องฝึกปัญญาขึ้นมาสิ ฝึกขึ้นมาให้มันครบเห็นไหม ดูสิเวลาเราฟังกับมหายานเห็นไหม สว่างโพลงๆๆ นะ มันโพลงมาจากไหน? มันโพลงมาจากฟ้า ไม่มีหรอก! ปัญญาซื้อไม่ได้ ทุกอย่างหาซื้อไม่ได้ สั่งมาจากไหนก็ไม่มี มันต้องเกิดมาจากใจทั้งนั้น

นี่ก็เหมือนกัน แล้วของเราเราวิปัสสนาไป เราสร้างสมขึ้นไป เห็นไหม เวลาวิปัสสนาไปเราฝึกฝนไป ถ้ามันสมดุลขึ้นมาเห็นไหม ช้างกระดิกหูงูแลบลิ้น ช้างมันกระดิกหูมันสว่างโพลง เร็วกว่าด้วย งูแลบลิ้นแผลบๆๆ กิเลสมันขาดๆๆๆ ถ้ามรรคญาณมันเกิดขึ้นมันขาดอย่างนั้น ขาดเลยๆ

ช้างกระดิกหูงูแลบลิ้นมันแป๊บเดียวเห็นไหม แต่ขณะที่สะสมล่ะ สะสมนะมันสะสมมาขนาดไหน สะสมมาจากใจมันสะสมขึ้นมาอย่างไร? สมาธิทำอย่างไร? ตั้งใจอย่างไร? เรามีความพร้อมอย่างไร?

นักรบนะ เราเป็นพระ เราเป็นนักรบ เราประกาศตนเป็นพระ เราศรัทธาในศาสนามาก เราเกิดมาเห็นไหม แล้วเราออกประพฤติปฏิบัตินะ ถ้ามีอำนาจวาสนานะ เหมือนกองทัพเลย ถ้ากองทัพเขามีกำลังพลขึ้นมา ประเทศชาตินั้นนะ เขาจะรักษาประเทศชาติของเขาได้

นี่ก็เหมือนกัน เรามีหมู่คณะ เรามีเพื่อนฝูงมีสหธรรมิก เราจะเป็นกองทัพๆ หนึ่งต่อสู้กับกิเลสนะ แล้วกองทัพของเราให้มันต่อสู้กับกิเลส ไม่ใช่กองทัพไม่มีวินัยมันเป็นโจร กองทัพไหนไม่มีวินัยนะ แล้วมนุษย์ถืออาวุธ มันปล้นสะดมเขานะ

นี่ก็เหมือนกัน เราเป็นพระ เราเป็นนักรบ เราจะรบกับกิเลสของเรา ให้มันมีธรรมวินัยไว้ในหัวใจนะ ถ้ามันมีธรรมวินัยในหัวใจเราจะชนะกิเลสของเราเห็นไหม ชำระกิเลสของเรา ให้กิเลสของเราอย่างน้อยให้มันถลอกปอกเปิกบ้างสิ ขอสักครั้งเถอะให้กิเลสมันถลอกปอกเปิกบ้าง ให้ได้เห็นตัวมัน ให้ได้ต่อสู้มัน

นี่ยอมจำนนกับมันตลอดนะ เรายอมจำนนกับกิเลสของเรา ทั้งๆ ที่มันน่าเศร้า มันน่าเศร้าเพราะของมันอยู่ในหัวใจของเรา ดูสิเวลาครูบาอาจารย์ไปหาหลวงปู่มั่นเห็นไหม ไปถึงคิดอย่างนั้น คิดอย่างนี้ ของในใจของเราทั้งนั้นนะ ท่านยังบอกเลยว่า “ในใจของเราไม่ดู ไปดูแต่ใจคนอื่น ไปรู้แต่เรื่องคนอื่น” เรื่องของคนอื่นจะเป็นอย่างนั้นๆ มันเรื่องบุญกรรมของเขานะ

ใครทำบุญทำกรรมของเขาเห็นไหม มันผลของวัฏฏะ เขาก็ทำบุญทำกรรมของเขามา เราก็ทำบุญทำกรรมของเรามา แล้วถ้าเราพิจารณา เราก็ต้องพิจารณาบุญกรรมของเรา เราต้องพิจารณาในหัวใจของเรา เราต้องย้อนกลับมาดูที่ใจเรานะ ย้อนกลับมาดูความประพฤติของเรา ย้อนกลับมาดูมโนวิญญาณ เห็นไหม มโนกรรม กรรมที่เกิดจากความคิด ทิฏฐิมานะอันนี้ทิฏฐิมานะในหัวใจนะ เกิดจากที่นี่นะ เราเข้ามารื้อค้น ถ้าเราเจอนะ ทุกคนไม่เห็นเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้ามันไม่มีนะ เรารื้อค้นขนาดไหนมันไม่มีนะ เราสบายใจได้

ถ้าเป็นโลกธรรม ๘ เขาติฉินนินทาขนาดไหน มันเรื่องของเขา เพราะอะไร เพราะคนเราเกิดมาจะให้คนรักไปหมดเป็นไปไม่ได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดไว้ในพระไตรปิฎกนะ “ถ้าเรื่องของโลกธรรมที่โดนแรงเสียดสีของโลกธรรมในโลกนี้นะ ไม่มีใครโดนแรงเท่ากับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า” องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดานะ เป็นเจ้าของศาสนา เป็นผู้ที่มีฤทธิ์มีเดชมาก เวลาตั้งเอตทัคคะเห็นไหม ผู้ที่มีฤทธิ์ พระโมคคัลลานะมีฤทธิ์หมดเลย แต่ถ้าคนที่ตั้งต้องมีฤทธิ์มากกว่านั้นนะ

เวลาเกิดกระแสของโลกธรรมเห็นไหม ติฉินนินทา จ้างคนมาด่า จ้างมาทั้งนั้นเลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เดือดร้อน แต่เป็นกรรมของเขานะ พ้นจากนั้นไปธรณีสูบ ธรณีสูบเห็นไหม

แต่ถ้าพูดถึงเป็นทางโลกนะ คนมีฤทธิ์ขนาดนั้นถ้าใช้ฤทธิ์ เขาจะเข้ามาใกล้ไม่ได้เลย แต่นี่มันเป็นเรื่องของเวรกรรม เป็นเรื่องของเวรกรรมเขาเห็นไหม ให้เขาได้ทำอย่างนั้นมันก็ยังได้โทษผลน้อยกว่านั้นนะ ถ้ายิ่งทำกันไม่ได้ ยิ่งอาฆาตมาดร้าย เขายิ่งมีโทษมากกว่านั้น นี่เมตตาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ถ้าเราฟังธรรมของเรา ฟังธรรมนะ ธรรมที่สะอาดบริสุทธิ์มันเป็นเมตตาธรรม มันมีความเมตตาสงสารนะ เมตตามาก เมตตากับจิตทุกๆ ดวง จิตทุกๆ ดวงควรจะปลดเปลื้องสิ่งที่เป็นความหมักหมมของใจ แล้วสิ่งที่ปลดเปลื้องจากความหมักหมมของใจนี้ มันไม่มีใครทำให้ได้ มันต้องใช้กำลังของใจเราเอง ทีนี้การใช้กำลังของใจเราเอง เราจะทำของเราขึ้นมามันก็สับปลับ มันก็ผัดวันประกันพรุ่ง มันก็มักง่าย มันเป็นไปอย่างนั้นหมดเลย

แต่ถ้ามีครูบาอาจารย์เห็นไหม ครูบาอาจารย์คอยเตือนสติ คอยชี้นำ คอยเคาะคอยบอก การเคาะการบอกนี่นะ ครูบาอาจารย์อย่างนี้น่าเคารพศรัทธามาก เพราะครูบาอาจารย์อย่างนี้ให้อริยทรัพย์กับเรา ถ้าครูบาอาจารย์ไม่ให้อริยทรัพย์กับเรานะ มันก็เป็นโอ้โลมปฏิโลมทั้งนั้น เห็นไหม กาในฝูงหงส์

กาในฝูงหงส์นะ ภิกษุบวชมาเหมือนหงส์ ถ้าครูบาอาจารย์ไม่มีความสามารถ เหมือนอีกา อาศัยฝูงหงส์นั้นอยู่ในฝูงหงส์นั้น ซ่อนตัวอยู่ในฝูงหงส์นั้นไง ไม่สามารถเป็นผู้นำของฝูงหงส์นั้นได้ แต่ถ้าเป็นครูบาอาจารย์ของเราที่มีคุณธรรมนะ ฝูงหงส์นั้นมันต้องบินได้ ฝูงหงส์มันต้องหากินเป็น ฝูงหงส์มันต้องมีคุณธรรมในหัวใจ ฝูงหงส์นั้นถึงจะเป็นประโยชน์กับศาสนาเห็นไหม

เราเป็นนักรบ เราเป็นศากยบุตร เราจะทำอุโบสถกันเพื่อความสะอาดบริสุทธิ์ เพื่อเป็นคุณธรรมของพวกเรา เอวัง