ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

หยุดได้

๑๕ ส.ค. ๒๕๖๓

หยุดได้

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๖๓

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

หลวงพ่อ : ไอ้ที่ว่านี่มันเป็นเรื่องครอบครัว เรื่องส่วนตัว เพราะว่าเรื่องนี้นะ ถ้าเป็นเรื่องเวลาคุยแบบว่าเวลามาทำบุญแล้วลูกศิษย์ลูกหากับอาจารย์คุยกัน ปรับทุกข์นี่ได้

เวลาปรับทุกข์ เพราะเราอยู่กับหลวงตาพระมหาบัวมา ท่านถามเราเลย ตอนนั้นบุญชู โรจนเสถียรไปทำบุญมั้ง ท่านก็ถาม หันมาหาเรานะ

“ท่านเคยเห็นไหมว่าใครมาหาเราแล้วบอกมีความสุขๆ”

ไม่มีหรอก มีแต่ใครๆ ก็มาปรับทุกข์ไง มาระบายทุกข์ให้ท่านฟัง ให้ท่านเทศนาว่าการ นี่เวลาครูบาอาจารย์ท่านพูดอย่างนั้น

ฉะนั้น เวลาเรื่องปรับทุกข์ เรื่องในครอบครัวมันก็เป็นเรื่องหนึ่งใช่ไหม แต่ถ้าเป็นเว็บไซต์เปิดไว้เพื่อตอบปัญหาในการปฏิบัติธรรม

ปัญหาในการปฏิบัติธรรม คนที่จะตอบปัญหาในการปฏิบัติธรรมเขาต้องผ่านมาแล้ว ถ้าเขาไม่ผ่านมาแล้วเขาไม่รู้หรอก แล้วไม่รู้นะ คนไม่รู้ คนตาบอดจูงคนตาบอดมันก็อยู่ในสังคมของคนตาบอด

แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หูตาสว่างไสวเป็นผู้เบิกบานไง รู้แจ้งโลกนอกโลกใน ถ้ารู้แจ้งโลกนอกโลกใน การเดินทางเส้นทางนั้นมันอาจจะผิดพลาดบ้าง คนที่ปฏิบัติอาจจะผิดพลาดบ้าง ผู้ที่รู้แจ้งโลกนอกโลกในก็ต้องจูงเขาไป เหมือนไม้เท้า ปัญหาธรรมะจะตอบอย่างนั้น

ฉะนั้นว่า ปัญหาครอบครัวมันเป็นปัญหาเวลาลูกศิษย์กับอาจารย์ท่านปรับทุกข์กัน แล้วอาจารย์ก็เป็นที่พึ่งที่อาศัย นั่นเห็นด้วย แต่จะมาตอบปัญหาออกเว็บไซต์ เราบอก ยังไม่ถึงเวลา จบ

ถาม : เรื่อง “ขอเข้าพักเพื่อหนีและดึงจิตสมาธิ”

เคยไปที่วัดหนึ่งครั้ง อยากถาม อยากไปอยู่สงบใจ ตรองตัวเองได้ไหม

ตอบ : นี่พูดถึงว่าคำถามเนาะ เพียงแต่ถามมาเฉยๆ “ขอเข้าพักเพื่อหนีและดึงจิตสมาธิ” คือฝึกหัดน่ะ “เคยไปที่วัดหนึ่งครั้ง อยากถาม อยากไปอยู่สงบใจ ตรองตัวเองได้ไหม”

วัด อารามิก ผู้ที่ไม่มีบ้านไม่มีเรือน ผู้นักบวช ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติวางทางโลกไว้ให้กับลูกหลานดูแล แล้วจะไปประพฤติปฏิบัติที่วัดนี่ได้ แต่เวลาวัดที่มีครูบาอาจารย์ วัดที่มีประชาชนไปฝึกหัดเยอะ ที่มันคับแคบ แล้วที่มันแบบว่าคนมันมาก เขาก็ให้ ๗ วัน ๑๐ วัน ๒๐ วัน แล้วแต่ว่าสำนักนั้นที่ตั้งกติกาอย่างใด แต่ของเรานะ ถ้าใครตั้งใจประพฤติปฏิบัติ เราให้โอกาสทั้งสิ้น

ทีนี้ให้โอกาสทั้งสิ้น เดี๋ยวจะมีอีกคำถามหนึ่ง ถามคล้ายๆ แบบนี้ แล้วจะไปสรุปเอาที่นั่น ฉะนั้น สรุปกันที่นั่น

ฉะนั้น เวลาจะไปวัดได้หรือไม่

ได้

จะไปฝึกหัดปฏิบัติได้ไหม

ได้ เพราะวัดเป็นสมบัติสาธารณะ วัดนี้ประชาชนช่วยกันทำบุญอุทิศเงิน อุทิศปัจจัยเพื่อซื้อที่ เพื่อปลูกสร้างสิ่งที่ให้อารามิกชน ผู้ที่ไม่มีบ้านเรือนเป็นที่อยู่อาศัย ภิกษุ ภิกษุไม่มีบ้านไม่มีเรือน อารามิก ก็อยู่วัดอยู่วา ไอ้คนที่จะไปวัดไปวา ถ้าไปวัดได้ไหม ได้ ทำไมจะไม่ได้

ทีนี้พอไปแล้วมันก็อยู่ที่กติกาใช่ไหม ถ้าวัดนั้นเป็นวัดแบบช่วยเหลือเจือจานโลก เขาช่วยเหลือเจือจานโลกก็ต้องไปทำงานช่วยกัน ถ้าวัดนั้นเขาเป็นวัดศึกษาก็ต้องไปศึกษาธรรมะ

แต่ถ้าวัดที่เขาจะประพฤติปฏิบัติ ถ้าเป็นความจริง เวลาประพฤติปฏิบัติเขาต้องการความสงบสงัด เขาไม่ต้องการคลุกคลี เราก็ต้องดูกติกาของวัดนั้น เหมือนเราเข้าบ้านใคร เราก็ต้องดูว่าบ้านนั้นเขามีจุดมุ่งหมายเพื่ออะไรใช่ไหม ฉะนั้น เวลามาได้ก็มาได้

มันเคยมีมาคนหนึ่ง มาถึง เขาจะมาถวายข้าวพระพุทธนะ อู๋ย! องอาจมาก ตั้งเลยนะ

เราบอกว่าไม่ได้

อู๋ย! ทำไมจะไม่ได้

เขาตั้งเลย

ไอ้เรื่องถวายข้าวพระพุทธมันเป็นเรื่องศาสนพิธี มันเป็นเรื่องพิธีการทำบุญกุศลใช่ไหม เวลาพระไปสวดมนต์บ้าน เขาจะมีพระพุทธรูปแล้วก็มีขันใหญ่ๆ ใบหนึ่ง นั่นน่ะถวายข้าวพระพุทธ

ในประเพณีวัฒนธรรมของเรามันจะมีการถวายข้าวพระพุทธ แล้วก็ลาข้าวพระพุทธ เวลาที่บ้าน ที่หิ้งพระเราถวายข้าวพระ แล้วเราลาข้าวพระ นี่เป็นประเพณีวัฒนธรรม

ฉะนั้น คำว่า ประเพณีวัฒนธรรม” ก็ไว้ทำเป็นประเพณี แต่ที่นี่วัดปฏิบัติ ถ้าวัดปฏิบัติแล้ว บูชาพระพุทธกับพุทโธสิ บูชาพระพุทธ เอ็งจะเห็นพุทธะเลยล่ะ เอานั่นเลยเวลาเอาจริงเอาจังขึ้นมา

ถ้ามันไปติดที่ประเพณีมันก็ติดอยู่ที่นั่น เห็นไหมที่บอกว่าสิ่งหยาบๆ มันบังละเอียดไง เวลาบอกว่ามรรคหยาบฆ่ามรรคละเอียด คนถามมาเยอะแยะเลย “อะไรหลวงพ่อ หลวงพ่อมรรคอะไรหยาบ มรรคอะไรละเอียด”

มรรคหยาบๆ ก็ความดีอย่างหยาบๆ มันทำลายความดีอย่างละเอียด คือมันละเอียดเข้าไปไม่ได้ เพราะมันติดอยู่ความหยาบๆ นี้ไง เราจะต้องถวายพระพุทธ ลาพระพุทธอยู่อย่างนั้นน่ะ

แต่ลูกศิษย์กรรมฐานเขากราบพระด้วยหัวใจ แล้วเขาก็นั่งพุทโธๆ ยกร่างกายนี้ บุญกิริยาวัตถุ ยกร่างกายที่จะนั่งก็ได้ จะนอนก็ได้ สละเพื่อนั่งบูชา นั่งสมาธิบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันเหมือนกับเรายกร่างกายนี้ใส่พานถวายพระพุทธเจ้า

เวลานั่งพุทโธๆ เขาบอกว่า “ภาวนาแล้วได้บุญอย่างไร ได้บุญอย่างไร”

บุญกิริยาวัตถุ กิริยาๆ กิริยาคืออาการ คือความสะดวกสบาย ความสะดวกสบาย จะอยู่สุขอยู่สบายอย่างไรก็ได้ เราเสียสละ เราเสียสละมานั่งสมาธิ การนั่งสมาธิเรานั่งบูชาพระพุทธเจ้า ก็เหมือนเรายกร่างกายถวายพระพุทธเจ้า ได้บุญไหม

นี่พูดถึงว่าเวลาจะปฏิบัติไง ฉะนั้น เวลาจะปฏิบัติ เคยมา “ทำไมจะไม่ได้ ทำไมจะไม่ได้” เขามั่นใจในการศึกษาของเขาไง นั่นน่ะคือการศึกษา ศึกษาประเพณีวัฒนธรรม ศึกษาพื้นบ้าน ก็ศึกษาก็ดีไง เพราะเราเข้าไปวัฒนธรรมไหน เราเห็นเขาทำจะได้ไม่สงสัยไง เราอย่าไปเหยียบอ่างกะปิไง ไม่รู้ก็ไปขวางเขาไง แต่ถ้าเขาทำอย่างนั้นมันเรื่องของเขา แต่ถ้าวัดปฏิบัติแล้ว สิ่งนั้นทำมันก็ทำเพื่อบุญกุศลน่ะ ถ้าเราจะปฏิบัติ เราก็ปฏิบัติไปเลย

นี่พูดถึงนะ ถ้าวัดที่ปฏิบัติ เราก็ดูกติกาเขาว่าจะไปวัดได้ไหม ได้ แต่ไปแล้วเราก็เข้าเมืองตาหลิ่ว เข้าเมืองตาหลิ่ว ไม่ให้เชื่อตามๆ กันมา กาลามสูตร ไม่ให้เชื่อ แล้วเข้าเมืองตาหลิ่ว ทำไมต้องไปเชื่อเขาๆ

อันนี้คือน้ำใจของคน น้ำใจของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เขาต้องการความสงบสงัด เขาต้องการความวิเวก เขาต้องการมาประพฤติปฏิบัติ เราก็ควรจะส่งเสริมเขา เพราะเราก็จะมาอย่างนั้นเหมือนกัน

ฉะนั้น เวลาบอกว่าเราต้องการความสงบสงัด แต่เวลาเราจะพูดเราจะจา เราจะทำสิ่งใดกระทบกระเทือนใคร “สิทธิเสรีภาพ มันจะล่วงสิทธิ์เราไม่ได้”

เออ! มึงกลับบ้านมึงไปซะ อย่างนั้นมึงกลับไปอยู่บ้านมึงนะ ถ้าเป็นที่นี่ เข้าเมืองตาหลิ่ว เขาทำอย่างไร มันเป็นประเพณีของการปฏิบัติ เขาไม่คลุกเขาไม่คลีต่างๆ เราต้องทำแบบนั้น

นี่พูดถึงว่าไปวัดได้ไหม ได้ แต่ไปแล้วก็ทำเหมือนเขา แล้วเราหัดภาวนา เพราะมาต้องการดึงสมาธิไง ต้องการดึงจิตไง ได้ ได้แน่นอนอยู่แล้ว

ทีนี้พอที่ว่าพอไปทำแล้วไปกีดขวางคนอื่น ที่ส่วนใหญ่เราให้ออกหรือเราไม่ให้เข้ามาเพราะไปกีดไปขวางคนอื่น ไปทำลายความสงบของคนอื่น ไปวุ่นวายกับคนอื่น เราให้ออก ให้ออก ให้ออก

ของหยาบๆ อย่างนี้เอ็งยังรู้ไม่ได้ มรรคหยาบๆ แล้วเอ็งจะไปหาความละเอียดในใจได้อย่างไร เป็นไปไม่ได้หรอก ฉะนั้นก็เชิญออก ฉะนั้น นี่พูดถึง ได้ จบ

ถาม : เรื่อง “ส่งการบ้านหลวงพ่อค่ะ”

กราบนมัสการหลวงพ่อที่เคารพ พรรษานี้ลูกมีโอกาสได้มาอยู่วัดภาวนา จิตถดถอย ไม่ยอมอยู่กับพุทโธ พอเข้าวันที่ ๕ ของการภาวนา เริ่มมีอาการหงุดหงิด ไม่อยากพูดคุยกับใคร ไม่อยากเจอหน้าใคร พอเห็นมีคนมากๆ ก็รู้สึกวุ่นวาย (กราบขอขมา) จนบางครั้งก็หนีไปอยู่ในห้องส้วม อยากอยู่คนเดียว ลมหายใจผ่านจมูกเสียงดัง ถอนหายใจบ่อยๆ ไม่รู้แบกอะไรไว้

คำถาม

๑. ลูกใช้การภาวนาพุทโธ ธัมโม สังโฆ แทนพุทโธให้สติตั้งมั่น ไม่เช่นนั้นคำภาวนาจะสลับที่กัน สู้อยู่ ๓๑ วัน ปัจจุบันลูกพุทโธได้แล้ว และลมหายใจที่ผ่านรูจมูกก็บางๆ เบาๆ แล้วค่ะ

๒. การนั่งภาวนา สักพักจะมีอาการตัวขยายและหด ลูกก็รับรู้ แต่ก็ยังอยู่กับพุทโธ ถูกไหมคะ

๓. การเดินจงกรมรับรู้ได้ถึงความแตกต่าง ในขณะที่ร่างกายหอบเหนื่อยจากการเดินนานๆ แต่ลมหายใจที่ผ่านรูจมูกก็ยังเบาๆ เหมือนไม่รับรู้ความเหนื่อยนั้น ถูกไหมคะ

ตอนนี้จิตของลูกที่เคยหงุดหงิด รู้สึกหนักๆ กลับเบาๆ เหมือนคนที่แบกของมาหนักมากๆ แล้วเอาวางลงได้นะคะ แต่ลูกก็ไม่รู้จะแบกอะไรไว้ กราบขอเมตตาหลวงพ่อค่ะ

ตอบ : นี่ส่งการบ้าน เห็นไหม เวลาประพฤติปฏิบัติไปที่วัดที่วา มันอยู่ที่จริตนิสัยของคน จริตนิสัยของคน คนที่ไปอยู่วัดแล้วแก่วัด แก่วัด บางทีไปแล้ว เห็นแล้วมันอยากจะพูด มันอยากจะพูด มันอยากจะคุย มันอยากจะแสดงความฉะฉาน

เวลาพูดไปคุยไป ถ้ามันถึงเวลา เราให้เวลาเฉพาะฉันน้ำร้อน เวลาฉันน้ำร้อนมันจะโอภาปราศรัย มันทักกันได้ คน คนรู้จักกันน่ะ แหม! จะคุยกันไม่ได้อะไรอย่างไร คุยกันได้ ทักทายกันได้ แต่มันก็เป็นครั้งเป็นคราว ทักทายแล้วก็จบสิ ทีนี้พอทักแล้วมันไม่จบไง ทักทายแล้วคุยกัน ๓ เดือน ม่ออยู่นั่นแหละ สนิทชิดเชื้อ เพื่อนตาย คุยกันทั้งวันเลย คนอื่นเขาได้ยินไง

ไอ้เรื่องทักทายโอภาปราศรัยมันเรื่องธรรมดา สิ่งมีชีวิตเราทักเราทายกันได้ ทักทายแล้วเราก็คุยกันเป็นกิจจะลักษณะแล้วก็พอ เพราะอะไร เพราะเวลาแยกออกมาแล้ว เราถึงตั้งกติกาไว้ในวัดของเราไง หนึ่ง ห้ามไปคุยกันที่ร้าน ที่กุฏิห้ามไปคุยกัน เวลาจะทักทายปราศรัยกันก็มาทักทายปราศรัยกันที่โรงน้ำร้อนนั่นน่ะ ที่ฉันปานะนั่นน่ะ เสร็จแล้วก็แยกย้ายกันไป เวลาปฏิบัติอย่าไปคุยกันนาน

แล้วถ้าคุยกันนาน เวลาเรามีลูกศิษย์ใหม่ไง ผู้ใหม่เข้ามาเขาเห็นแล้วก็จะเอาแบบอย่างนะ ถ้าผู้ใหม่เข้ามาเขาเห็น เอ๊อะ! เห็นนั่งคุยกันแต่เฉพาะที่เวลาทานกาแฟ พอออกมาแล้วก็ต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างเดินจงกรม เออ! เขาเห็นแล้วมันจะได้เป็นแบบอย่าง มันควรจะเป็นแบบอย่างกับผู้ที่ประพฤติปฏิบัติใหม่ เวลาเขามาแล้วเขาได้รับวางรากฐานที่ถูกต้องไปแล้วมันจะเป็นจริตนิสัยเขาไป

ถ้าผู้ที่มาใหม่ๆ มาเจอกัน เออ! วัดปฏิบัติเนาะ เขาเทศน์กันทั้งวันทั้งคืนเลย อู๋ย! เขาคุยธรรมะกันตลอดเลย พอไปที่อื่นมันก็จะไปทำแบบนี้ไง พอไปทำแบบนี้เขาบอกว่า “นี่มาจากไหนน่ะ” “มาจากวัดพระสงบ” “อ๋อ! วัดพระสงบเขาคุยกันอย่างนี้หรือ”

เวลาออกไปแล้วไปแสดงสิ่งใด เขาจะรู้เลยว่าเป็นอย่างใด เขาดูกันออกไง

ฉะนั้น เวลาเราอยู่ในกรอบแล้วเราทำของเราไปนะ แล้วผู้ที่อยู่ในกรอบแล้วมันชอบอยู่ความสงบไง ถ้าอยู่ความสงบ เวลาทำงานเราก็ทำงานของเรา ทำงานไง มันเป็นหน้าที่ เป็นบุญกุศลนะ

เช่น อย่างเรามาอยู่วัดใช่ไหม เวลามันมีเห็ด มีอะไรออกตามป่า ตามที่อาศัยเรา เราควรเก็บ เราควรเก็บเพราะอะไร เพราะเห็ดหรือสิ่งที่มันออกมันเป็นอันตรายไง อสรพิษๆ เวลาเงินนี่อสรพิษ คนแย่งชิงกัน

เห็ดก็เหมือนกัน เวลาออก เดี๋ยวชาวบ้านเขาผ่านมา เขาเห็นมา เขาจะเอา เขาถือว่ามันเป็นเรื่องธรรมเนียม มันเป็นเรื่องสิ่งที่ว่าพืชไร่หัวไร่ปลายนา ชาวบ้านเขาเก็บกันได้

ที่นี่ก็เหมือนกัน เวลาเห็ดมันออก เขาจะเข้ามาเก็บกันเต็มไปหมดเลย ฉะนั้น มันเลยเป็นอสรพิษ เป็นการทำลายความสงบไง

ถ้ารู้ถ้าเห็น เราก็ควรเก็บ เก็บไปไว้ที่ครัว เก็บไปให้ที่แม่ครัวเขาเพื่อเป็นประโยชน์ไง อะไรที่ควรเก็บๆ ควรเก็บเพื่ออะไร ไม่ใช่อยากได้ ไม่ใช่ตระหนี่ถี่เหนียว ไม่ใช่หรอก เก็บเพื่อตัดวงจรผู้ที่เข้ามาพลุกพล่าน ตัดวงจรของผู้ที่เข้ามาวุ่นวายในวัด เราตัดวงจรไง เราเก็บเสียเอง เราเก็บแล้วมันไม่มี เขาก็ไม่เข้ามา

นี่ให้เก็บๆ ไม่ใช่ว่า “โอ้! มาอยู่วัด ไม่ได้มาเก็บเห็ด”

ไม่ต้องเก็บหรอกถ้ามันไม่มี แต่ถ้ามันมีอยู่ เจอเห็นหน้าก็ควรทำ เก็บซะ ตัดวงจรไอ้ความวุ่นวาย แล้วไปให้เจ้าหน้าที่ ไปให้แม่ครัว แล้วเราก็ไปภาวนาของเราต่อ

นี่พูดถึงถ้าเราทำสิ่งที่ดี เราวางรากฐานที่ดี ผู้ที่มาฝึกหัดใหม่เขาเห็นรากฐานอย่างนี้จะเป็นนิสัยไปข้างหน้าไง อ๋อ! ไปวัดต้องทำแบบนี้ พอไปวัดต้องทำแบบนี้ปั๊บ เขาก็จะทำตัวเขา มันเป็นการฝึกหัด เป็นการวางรากฐานให้ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติใหม่ เราทำเป็นตัวอย่างที่ดีแล้วฝึกหัดของเรา

นี่พูดถึงว่า เขาบอกว่าเขามาวัด ถ้ามานักขัตฤกษ์ มาวันเข้าพรรษาคนมันเยอะ เขาบอกเลย อู้ฮู! เสียงมันดังมาก คำถามนะ ดูมันวุ่นวายไปหมดเลย นี่กราบขอขมานะคะ

มันวุ่นวาย ข้างนอกมันวุ่นวาย ข้างในเราอย่าวุ่นวาย ข้างนอกวุ่นวาย เราก็หาที่หลบหลีก

พระ พระปฏิบัติ เวลาอยู่บ้านตาดเมื่อก่อนนะ ๑๘ องค์ แล้วท่านไม่ให้ออกจากวัดเลย ๕ ปี วัดจะมีกุฏิหลังหนึ่งมาประจำนะ แล้วมีร้านคู่กัน เวลามันหงุดหงิด เวลามันเบื่อหน่าย เขาก็ไปอยู่ร้านส่วนตัวเขา

เมื่อก่อนบ้านตาดมันจะมีพิเศษ มีกุฏิหลังหนึ่ง จะมีร้านคู่กัน วัดร้านหนึ่งกับกุฏิหนึ่งคู่กัน คู่กันอย่างนี้เพื่อให้พระได้ผ่อนคลาย ได้ไปนั่งภาวนาที่นั่น เดินจงกรมที่นี่ เพื่อไม่ให้มันคุ้นชินไง นักปฏิบัติรู้ว่ากิเลสมันเป็นอย่างไร แล้วทำอย่างไรจะสู้กับมันน่ะ

ฉะนั้น เวลาสมัยก่อนท่านไม่ค่อยให้พระออกไปข้างนอกนะ เพราะท่านก็ได้ผ่านโลกมาเยอะ เวลาพระลาไปวิเวกกลับมานี่ถามเลย “ได้อะไรมาบ้าง” ท่านจะถามเลยว่า ไปภาวนาสงบไหม ได้ค้นคว้าอะไรได้บ้าง ไปนี่ไปได้ธรรมมาหรือได้ยาเสพติดมา เวลาไปธุดงค์ ไปธุดงค์ก็ไปดูชาวบ้านเขาทำมาหากิน ไปดูสภาวะแวดล้อม แล้วก็คุยกันว่าที่นู่นเป็นไอ้นี่ นี่ติรัจฉานวิชา

ติรัจฉานวิชาคือวิชาที่ว่าเรารู้ว่าถิ่นทำกินที่นั่นทำอย่างไร นั่งคุยกันแต่เรื่องเกษตรกรรม เรื่องการทำวิศวกรรม นั่นน่ะนั่นเป็นเรื่องของโลก ติรัจฉานวิชา

เวลาออกไปวิเวกได้อะไรมา ได้ธรรมมาหรือได้ยาเสพติดมา ได้ไปเห็นถิ่นทำกินมา ท่านไล่เลยนะ ท่านไล่ให้ตอบ แล้วถ้าไม่ได้ก็จัดการ

ฉะนั้น เวลามากเข้า ส่วนใหญ่แล้วถ้าใครไม่ไปวิเวกก็ไม่เป็นไร ถ้าใครวิเวก ท่านก็ให้ไป แต่ถ้าอยู่แล้ว ตอนเริ่มต้นมันจะมีกุฏิหลังหนึ่งคู่กับร้านร้านหนึ่ง เอาไว้สับหลีก เอาไว้ให้คนปฏิบัติ ฉะนั้น พอตอนหลังมันมากขึ้นๆ อย่าว่าแต่กุฏิกับร้านเลย ร้านนี่ยุบยับไปหมดเลย มันไม่มีที่อยู่เลย นั่นเวลาคนที่ไปแสวงหา

นี่ก็เหมือนกัน เขาบอกว่าเวลาไปวัดรู้สึกมันวุ่นวาย คนมันเยอะมาก ต้องหนีเข้าไปอยู่ในส้วมนะ

นี่ฉลาด ในส้วมก็ถือว่ามันเป็นกุฏิเลยล่ะ นอนตรงนั้นเลย ไม่มีใครเข้ามายุ่งด้วย เว้นไว้แต่เขามาเคาะประตู เขาจะเข้าส้วม แต่ส้วมมันเยอะ ไม่เป็นไรหรอก

หลบหลีกเอา ถ้าคนมากต้องรู้จักหลบจักหลีก การรู้จักหลบจักหลีก ก็เหมือนเรา เหมือนคนทั่วไป ที่ไหนอโคจร ที่ไหนไม่ดี เขาก็ไม่ไป แล้วเขาจะหาที่สงบสงัดของเขา แล้วเขาเข้าไปในส้วม เห็นไหม แล้วหายใจหนักๆ หายใจดีๆ มันเป็น

“ลูกใช้บริกรรมพุทโธ ธัมโม สังโฆ แทนพุทโธได้ไหมคะ”

เวลาพุทโธๆ เวลาคนพุทโธไป พุทๆๆ หรือโธๆๆ ขอให้มีคำบริกรรม คำว่า มีคำบริกรรม” เหมือนแป้ง เรานวดแป้งเพื่อจะปิ้งขนมปัง แป้งมันจะขึ้นไม่ขึ้น อยู่ที่นี่แหละ พุทโธๆๆ เหมือนนวดแป้ง นวกรรมต้องมีการกระทำ

เวลากำหนดพุทโธ ทำไมถึงต้องมีคำบริกรรม ทำไมถึงต้องมีปัญญาอบรมสมาธิ

เพราะการนวดแป้ง แป้งมันจะเข้าที่ มันอยู่ที่การนวดการเค้นของเรา ยิ่งนวดยิ่งเค้น แป้งมันจะเข้าที่ มันจะดีงามมากเลย จิตพุทโธๆ เหมือนนวดหัวใจ มันบริกรรมของมัน

แล้วจะนวดแป้ง ผสมเสร็จแล้วตั้งไว้เลย แล้วก็นั่งโม้กันนะ กลับไปมันจะเอาแป้งไปปิ้งไปย่าง มันจะเป็นไปได้อย่างไร เพราะมันไม่มีนวกรรม ไม่มีการกระทำ

นี่ไง เวลาในวงกรรมฐานเขาถึงบอกต้องบริกรรม บริกรรมคือนวด คือการกระทำ คือมันได้ขยับขยายหัวใจนั้นไง

อวิชชา กิเลสตัณหาความทะยานอยากกับใจมันซึมซับจนเป็นเนื้อเดียวกันไง นวดๆๆ มีการกระทำ การกระทำนั้นมันเหมือนเรากลั่นกรอง เวลากลั่นกรอง ถ้ามันปล่อยมันวาง นั่นน่ะมันรู้ นี่พูดถึงการกระทำ นวกรรม การปฏิบัติไง

“การปฏิบัติไม่มีอะไรเลย นั่งเฉย เฉย”

เราฟังแล้วรำคาญ มันยาก มันเฉยแล้วมันก็เหมือนกับน้ำขุ่นไง วางให้ตะกอนมันนอนก้นไง มันก็อยู่นั่นแหละ แต่มันจะกรองนะ มันจะทำให้น้ำสะอาด มันวิธีการของมันไง

นี่ก็เหมือนกัน เราก็หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ พุทโธๆๆ นี่นวกรรม ฉะนั้น พุทโธๆๆ เราบริกรรม เรานวดหัวใจ มีการกระทำ นวกรรม ไม่มีการกระทำมันจะเกิดอะไรขึ้น

ลมหายใจ เวลาลมหายใจมันเคลื่อน เรากำหนดจิตดูลม ทั้งนั้นน่ะ มันมีการกระทำ พอมันมีการกระทำมันหยาบ กลาง ละเอียด มันมีเข้ามา

เราอยู่เฉยๆ แล้วก็บอกว่ามันจะเป็น อยู่เฉยๆ ก็นึกว่าว่างไง

เวลาเราเครียด เราก็เครียดใช่ไหม เรานึกให้ว่างสิ นึกให้ว่างกับเครียดนะ ภาษาเรานะ ถ้าเราคิดอันเดียวกันเลย เพราะนึกว่าว่างก็ต้องนึก เครียดมันก็ต้องนึก นึกเหมือนกัน นึกด้วยกัน แต่นึกว่าว่าง แต่มันไม่ว่างไง ถ้าว่าง ต้องตัวมันว่างต่างหากล่ะ มันไม่ได้นึกว่าว่าง มันว่าง

ฉะนั้น เราก็พุทโธๆ ของเราไป แล้วพอพุทโธไปแล้ว เขาบอกว่าเขาใช้พุทโธ ธัมโม สังโฆ

ใช่ ใช้ได้ พุทโธ ธัมโม สังโฆ สัมมาอะระหัง เพราะถ้าเรานึกยาวขึ้นไป ถ้าสั้นๆ แล้วแบบว่ากิเลสมันเดือดร้อนมากกว่า กิเลสมันเข้มข้นมากกว่า คำบริกรรมนั้นน่ะมันนวกรรม คือมันขยายภาพไม่ได้

ฉะนั้น นึกพุทโธ ธัมโม สังโฆถูกไหม

ถูก ใช้ได้เลย นึกอะไรก็ได้ให้มันยาว นึกให้ยาว จิตมันจะได้เกาะได้ ถ้าพุทโธๆ มันสั้นเกินไปไง

เวลาหลวงปู่มั่นท่านสอนหลวงปู่อ่อน ประวัติหลวงปู่อ่อน ไปดูสิ เวลาองค์ไหนมาก็พุทโธ เพราะคำว่า พุทโธ” มันพอ พอที่ระยะที่มันจะทำให้สงบได้ แต่หลวงปู่อ่อนมาท่านให้ใช้คำบาลียาวๆ เลย หลวงปู่อ่อนน่ะ นี่เฉพาะ

นี่ไง เราถึงบอกว่า หลวงปู่มั่นท่านดูจริตนิสัย แล้วดูถึงกิเลสหยาบหนา ดูถึงความต้องการ ดูถึงเจตนา แล้วท่านก็ให้ทำๆ เหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้กรรมฐานพระแต่ที่จะเข้าป่า เหมือนกัน นี่เวลาทำนะ

ฉะนั้นบอกว่า เขาก็ใช้พุทโธ ธัมโม สังโฆ แทนพุทโธ ๓–๔ วัน มันรู้สึกว่าดีขึ้น หายใจเบาขึ้น ถ้ามีการกระทำ มันจะหนักหนาสาหัสสากรรจ์ขนาดไหนถ้ามีการกระทำแล้วมันต้องปล่อยวางได้

แล้วถ้ามันปล่อยวางแล้วนะ เวลาภาวนาไปแล้วเวลาจิตเราดี ถ้าเราพลั้งเผลอหรือเราปล่อยปละละเลย มันก็กลับมาเป็นอย่างนั้นน่ะ จิตของคนเรามันเจริญแล้วเสื่อม เสื่อมแล้วเจริญอยู่อย่างนี้ ถ้ามันเสื่อมแล้วเจริญ เจริญแล้วเสื่อม เราถึงฝึกหัดของเราไง เราถึงไม่คลุกคลีไง เราถึงพยายามรักษาหัวใจของเรานี่ไง ถ้ารักษาหัวใจของเราไว้ให้มันสงบสงัดระงับ

ตน ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน แล้วถ้าตนที่ฉลาด ฉลาดแล้วมีการกระทำได้นะ เวลาพระออกวิเวกไปอยู่องค์เดียว ไปอยู่ที่เงียบๆ เขาไปค้นคว้าหาใจของตนไง

เวลาอยู่วัดอยู่วามันก็มีพระมีอะไรเป็นเพื่อน เวลามีเพื่อนแล้วมันก็วางใจ เวลาเราไปของเราเองก็ไปค้นคว้าของเรา ทุกอย่างมันอยู่ที่เราคนเดียวแล้ว ถ้าอยู่ที่เราคนเดียวแล้วเราต้องระวัง ต้องรักษา แล้วมีการกระทำ แล้วพอใจนะ

เวลาไปวิเวก ไปธุดงค์ หรือไปหาที่พักที่ภาวนา ถ้ามันเป็นธรรมมันพอใจ แล้วมันอยากทำ แล้วมันรื่นเริง

แต่ถ้าจิตมันเสื่อมนะ เวลาจิตมันเสื่อมครูบาอาจารย์ก็ขับไสเหมือนกัน ขับไสให้ไปวิเวกเพื่อจะไปฟื้นฟูไง โอ้! มันไปแบบคอตก คอตกไปเลยนะ ไปเจออะไรมันก็เฉาก็เหงา มันไม่รื่นเริง แต่ก็ไป ไปเพื่อฟื้นฟูมัน

เวลาไปนะ มันคอตก มันเฉา มันเหงา มันหงอยขนาดไหนเราก็ไป พยายามบริกรรม ฟื้นฟูให้ได้ ฟื้นฟูให้ได้ เวลามันชัดเจนขึ้นมา พุทโธ เวลาพุทโธกับลมหายใจมันเข้ากันสนิท เวลาต่างๆ มันฟื้นฟูดีขึ้น

ถ้าฟื้นฟูดีขึ้น เขาบอกว่า พอหายใจเข้ารูจมูกมันก็เบาๆ บางๆ ดีขึ้น นี่ข้อที่ ๑. ๓๑ วันนะ แต่เริ่มต้น โอ้โฮ! คนมันพลุกพล่าน

คนพลุกพล่านมันมีมุมสงบนะ ที่ไหนก็ได้ ถ้าคนที่ฉลาด เสื่อผืนหนึ่งไปปูที่ไหนก็ได้ ถ้ายากันยุง เราก็หาอะไรไปกันเอาเอง มันต้องหาสิ พระก็เหมือนกัน เราก็เหมือนกัน เราก็หาที่มันสงบที่วิเวก

แล้วเจอมากับตัวนะ เวลาจิตมันจะสงบ จิตมันจะเป็นไป เสียงคุยกันหรือเสียงอะไรเข้ามานี่ แหม! มันโกรธมาก เราเคยโกรธขนาดที่ว่าผลุนผลันลุกไปเลยนะ แต่นักปฏิบัติไง

เวลาเรานั่งภาวนาอยู่ในกุฏิ พวกช่างเขาทำงาน เขาเคาะกระป๋อง โอ้โฮ! มันลุกจากที่ภาวนาพุ่งออกไปเลยนะ พอไปถึงประตู สติมันมาไง มึงจะบ้าหรือ จบเลย

ไอ้นั่นยังไม่รู้เรื่องนะ ไอ้คนทำงานอยู่มันไม่รู้เรื่องนะ ไอ้เราผลุนผลันออกจากกุฏิเลยนะ แต่ไปถึงปากประตู สติมันทัน มึงจะบ้าหรือ เขาไม่รู้เรื่องอะไรกับมึง นั่นอาชีพเขานะ เขาทำของเขา เขาเคาะกระป๋องของเขาเพื่อจะขนปูนไปเท นั่นวิชาชีพเขานะ นั่นงานของเขา แต่เขาทำงานของเขา นี่หยาบละเอียดมันอยู่ด้วยกัน

เราเคย เราเคยภาวนา เรานักภาวนา เราเจอเหตุการณ์อะไรมาเยอะมาก เหตุการณ์ที่คนเขาตั้งให้คนมาคอยกลั่นแกล้งเราเลยก็มี เหตุการณ์ร้อยแปด มันเป็นกรรมของสัตว์ สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม

ไปเจอในถิ่นที่ดีงาม โอ้โฮ! ไปเจอพวกโยมนะ เขาเข้ามาพะเน้าพะนอ จะซักผ้าให้ จะทำให้ทุกอย่างเลยนะ

เราบอก กลับไปเถอะ กลับไปเถอะ

เขาจะมาทำอะไรให้ แล้วคนล่ะ พระออเซาะหรือ พระฉอเลาะใช่ไหม

ไม่ให้ รู้อยู่ว่าเขาศรัทธา เขามีความคิดอยากจะได้บุญของเขา แต่คนรอบข้างเขาไม่ได้มองอย่างนี้ไง เขามองกันมันเป็นการออเซาะฉอเลาะกันไง เขามองเป็นการคลุกคลีไง เราก็ไม่ให้เข้ามาใกล้

เราเจอสิ่งที่ดีงามที่คนเขาจะมาอุปัฏฐากอุปถัมภ์ก็มี เจอคนที่เข้ามากลั่นแกล้งก็มี เจอคนที่ขุดพลุมพรางหลอกลวงเยอะแยะร้อยแปด ในสังคมทุกสังคมมีทั้งคนดีและคนเลว

ฉะนั้น หลวงตาท่านสอนไง เราตั้งสติ ฝึกหัดสติ ฝึกหัดปัญญาของเรา แล้วพยายามรักษาตัวให้รอด แล้วท่านก็สอนนะ เพราะอะไร เพราะเราไปบังคับความคิดหรือไปบังคับสังคมให้ทำตามความพอใจของเรา เป็นไปไม่ได้

ท่านถึงบอกว่า ใครจะดี ใครจะชั่ว มันก็เรื่องของเขา เราจะทำความดีว่ะ

เราสามารถควบคุมความคิด สามารถควบคุมหัวใจเราได้ เราสามารถ ถ้าเรามีสติปัญญา เราจะมีความสามารถดูแลรักษาใจเราได้ เราเท่านั้นที่จะแก้ปัญหาด้วยการรักษาใจของเราที่ไม่ไปกระทบกระเทือนกับเขา หรือเขาทำกระทบกระเทือนอะไรมากับเรา เราก็พยายามรักษาไว้ นี่มันกรรมของสัตว์ นี่คือมันกรรมวิบากกรรมของเราที่มาเจอสภาวะแบบใด เราจะรักษาอย่างนี้ แต่ก่อนก็ไม่ได้คิดอย่างนี้หรอก แต่ก่อนก็จะไปล่อเขาเหมือนกัน

แต่พอมันปฏิบัติมาๆ มรรคหยาบฆ่ามรรคละเอียด พอมันละเอียดขึ้น ดีงามขึ้น รู้ถึงเหตุปัจจัย รู้ถึงสิ่งที่เป็นธรรมและไม่เป็นธรรม

มันไม่เป็นธรรมที่เราจะอวดอ้างแล้วจะไปบังคับบัญชาคนอื่น ไปเหยียบย่ำเขา มันไม่เป็นธรรม ถ้ามันเป็นธรรมมันต้องเหยียบย่ำกิเลสของเรา ไอ้อยากที่ไปเหยียบย่ำเขานั่นน่ะกดมันให้ลง ไอ้ความฟูขึ้นมาในใจนี่กดมันให้ลง ถ้าอย่างนี้ใช่ ทำสิ่งที่ทำได้

สิ่งนั้นทำไม่ได้ เราจะไปเจรจา จะไปต่อรอง จะไปอ้อนวอนเขา ไม่ได้ เขาไม่ฟังหรอก เพราะตอนนั้นเขามืดบอด มันจะเอาชนะเอาแพ้กัน ถ้ามันจะเอาชนะเอาแพ้กันมันเรื่องของเขา ถ้ามันจะเอาชนะเอาแพ้กัน

เขาจะทำขนาดไหน เราไม่เดือดร้อน เราไม่เดือดร้อน มันปลิวไปตามลม เขาเดือดร้อนเอง

แต่เวลาเขาทำเสียงดัง โดดไปหาเขาเลยน่ะ เต้นตามจังหวะเพลงเขาไง เขาทำให้เราเต้นได้เลย เออ! เต้นตามจังหวะเพลงเขาเลย แต่เขาจะเล่นเพลงอะไรเราก็ไม่สนใจ พุทโธๆๆ หน้าที่ของเรา กดเราให้ลง ถ้าลงแล้วจบ เพราะอะไร

เพราะอย่างนี้เขาเรียกว่าสภาคกรรม เกิดร่วม เกิดพร้อม ถึงได้มาพบมาเห็นกัน ถ้าไม่ได้เกิดร่วม เกิดพร้อม เราจะมาเจอกันทำไม ที่เรามาเจอกันนี่เพราะมันเกิดร่วม เกิดพร้อมที่มาเจอกัน แล้วมาเจอกันแล้วก็กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน มันเป็นเวรเป็นกรรมของสัตว์ แต่ถ้าเป็นวัดที่ดีงาม เขาพยายามจะช่วยควบคุมดูแลให้มันสงบสงัด

ของเรานี่เราพยายามแล้วนะ แล้วข้างนอกเขาล่ำลือมากนะว่า แหม! ที่นี่มันเคร่งครัด

ทำไมเขาบอก อู้ฮู! คนมันวุ่นวายพลุกพล่านหมดเลย จนต้องหนีไปอยู่ในส้วมนู่นน่ะ

อันนั้นมันเป็นนักขัตฤกษ์ มันเป็นคราวเป็นเวลานะ มันเป็นอย่างนั้น แล้วพอข้อที่ ๑. พอเขาภาวนา พุทโธ ธัมโม สังโฆ แทนคำว่า พุทโธๆ” แล้วมันเบามันบางลงใช้ได้ไหม

ได้ ใช้ได้ พอเราใช้ได้นั่นน่ะหาที่ทำความสงบของใจแล้วทำของเรานะ

“๒. การนั่งภาวนา สักพักจะมีอาการตัวขยายและหด ลูกก็รับรู้ แต่ยังอยู่กับพุทโธ ถูกไหมคะ”

ต้องพยายามเลยล่ะ พยายามอยู่กับพุทโธๆๆ

ข้อที่ ๑. เวลาพุทโธ ธัมโม สังโฆ แล้วมันเบาบางลง พอเบาบางลงนั่นน่ะกิเลสมันเริ่มโดนหักขา

ทีแรกมันก็วุ่นวาย มันก็ส่งออก มันไม่บังคับหัวใจของเราให้มันสงบตัวลง เรามีแต่ว่าเราทำดี แต่คนอื่นมาเบียดมาเบียนเรา มันก็เลยกลายเป็นความวุ่นวาย ถ้าข้างในมันวุ่นวาย มันก็ไปรับรู้ความวุ่นวายภายนอก

ความวุ่นวายภายนอกมันมีอยู่แล้ว แต่พอเรามาพุทโธ ธัมโม สังโฆ พยายามของเราๆ เราพยายามจะทำความสงบความสงัดในใจของเรา ไม่ให้ไปรับรู้ความวุ่นวายภายนอก มันก็เบา มันก็บางไง นี่ข้อที่ ๑.

เวลาข้อที่ ๒. พุทโธๆ ไป ตัวมันขยายได้หดได้

คำว่า ขยายได้หดได้” เราตั้งสติของเราชัดๆ เราพุทโธของเราชัดๆ

ตัวเราขยายได้หดได้ เวลาไปพูดทางวิทยาศาสตร์ ไปพูดข้างนอกนะ เขาบอกว่าพวกนี้มันเล่านวนิยายกันไง ไอ้พวกนี้มันเขียนนิยายกัน

นั่นเป็นเรื่องของเขา คนไม่เคยได้ลิ้มรส คนไม่เคยภาวนามันก็ไม่รู้ของมันหรอก

แต่ถ้าคนที่เคยภาวนานะ เวลากายมันขยายขึ้น เวลามันหดตัวลง ไอ้นี่มันรับรู้ได้ มันรับรู้ได้เพราะเราคนเป็นไง เราเป็นสิ่งมีชีวิต เรารับรู้ได้ ลมพัดมาก็รับรู้ว่าเย็นได้ ถ้าไอร้อนมันพัดมา เราก็รับรู้ว่าร้อนได้ เวลาแมลงมันมาบินข้างๆ หู เสียงหวีดๆ เราก็รับรู้ได้ เรารับรู้ได้ทั้งนั้นน่ะ รับรู้ได้เพราะอะไร เพราะเรามีจิต เรามีความรู้สึก แล้วยิ่งเราภาวนา เขาเรียกว่า ชวนะมันไว

คนภาวนาใหม่ๆ จะตีโพยตีพายเรื่องนี้อันดับหนึ่งเลย หนวกหู เสียงดัง เพราะชวนะมันดี

ธรรมดานะ เรียกมัน มันก็ไม่ได้ยิน แต่เวลามันภาวนานะ แหม! หูใสปิ๊งเลย หูทิพย์ มันไปกว้านเอาเสียงมาหมดเลย เสียงใครพูดอะไรที่ไหนมันได้ยินทั้งนั้นน่ะ นี่เขาเรียกว่าชวนะมันดี

คนเริ่มปฏิบัตินะ อายตนะ ชวนะต่างๆ มันจะสืบต่อได้ชัดเจนมาก เพราะสติปัญญามันดี แต่ก่อนสติปัญญามันเบาบาง แล้วมันก็แบกรับแต่เรื่องภาระ เรื่องความทุกข์ความยาก มันแบกรับจนมันเอือมระอา

เวลาพุทโธๆๆ เวลามันจะเริ่มผ่องใส เหมือนกระแสไฟ กระแสไฟมันตก กระแสไฟมันแรงเกินไป เครื่องใช้ไฟฟ้าเสียหายหมดน่ะ แต่ถ้ามันสถิต ๒๒๐ ไม่ขึ้นไม่ลง มันเสถียรไง ทุกอย่างจะดีขึ้นหมดเลย พุทโธๆๆ ใจมันเริ่มเสถียรไง

พอเริ่มเสถียร เวลาอาการรับรู้มันมีอยู่แล้ว ถ้ามันขยายตัว ขยายตัวก็คือขยายตัว หดมันก็คือหด คนภาวนาเป็นทั้งนั้นน่ะ มันเป็น เขาเรียกว่าปีติ มันเป็นปีติ แล้วปีติมันเป็นได้ร้อยแปดเลย ปีตินี่รู้วาระจิตเลย การขยายตัว การหดตัว มันเป็นปีติ

วิตก วิจาร พุทโธๆ นี่วิตก วิจาร

ปีติ สุข เอกัคคตารมณ์

ฉะนั้น เวลามันจะขยายตัวหดตัวมันเป็นเรื่องปัจจัตตังนะ มันเป็นเรื่องเฉพาะตนนะ ไปพูดให้ใครฟังเขาไม่เชื่อนะ มันเฉพาะเรานั่นแหละ

ทีนี้มันจะขยาย มันจะหด มันเป็นการบอกอาการ เป็นการบอกว่า จิตของเรา เราทำแล้วมันขยับ มันพัฒนาการหรือไม่ เวลาพัฒนาการ มันเป็นเรื่องธรรมดา เวลามันจะหด มันจะขยายตัว มันเรื่องธรรมดา นี่ปีติ สุข เอกัคคตารมณ์

“แล้วหนูก็พุทโธต่อไปอย่างนี้ถูกไหมคะ”

ถูกค่ะ ถูก พุทโธไปเรื่อยๆ พุทโธของเราไปนะ ถ้าเราไปรับรู้ เราไปตาม นั่นน่ะเราเคลื่อนจากที่แล้ว

สิ่งใดๆ ที่จะเกิดขึ้นมันเกิดขึ้นจากพุทโธ มันเกิดขึ้นจากพุทโธ ธัมโม สังโฆ มันเกิดขึ้นจากจิต สิ่งใดที่เกิดขึ้น เกิดขึ้นจากจิต เพราะจิตมันรู้ สิ่งใดๆ ที่เกิดขึ้นเพราะจิตนี้ไปรู้ นี่อาการของมัน มันรับรู้ต่างๆ

การรับรู้ที่ฉลาด ผู้ใหญ่เขาเห็นอะไรเขาเรื่องธรรมดา เด็กมันเห็นอะไรมันวิ่งไปฟ้องแม่มันเลยนะ “แม่ๆๆ นั่นน่ะ” มันไม่เคยเห็น นานๆ เห็นทีหนึ่ง แต่ผู้ใหญ่เป็นเรื่องธรรมดา

นี่ก็เหมือนกัน เราภาวนาขึ้น จากที่เป็นเด็กๆ เห็นอะไรมันก็ตื่นเต้น แต่พอโตขึ้นๆ เรื่องธรรมดา เหมือนต้นไม้ มันต้องโตขึ้น ต้นไม้ถึงเวลามันต้องผลิใบ พอถึงฤดูกาลมันต้องผลัดใบ แล้วมันก็จะออกใบอ่อน แล้วมันก็จะผลิใบ มันก็ผลัดใบ ต้นไม้มันเจริญไง วงรอบชีวิตของต้นไม้ไง

จิตเหมือนกัน เวลามันเป็นไป ทีนี้มันหดตัว มันขยายตัว มันเรื่องธรรมดา มันเรื่องธรรมดา แต่ถ้าเป็นผู้ปฏิบัติใหม่ “โอ๋ย! มันเป็นปีติ” ได้ใบประกาศแล้วนะ ฉันได้ปีติ มันคุยเลยนะ

มันเป็นเดี๋ยวมันก็หาย นี่เราฝึกหัดของเราไปนะ

นี่พูดถึงว่า การขยายตัวหดตัว ถูกไหม

ถูก มันเป็นอาการ เป็นความรับรู้ เป็นพัฒนาการของจิต พอจิตมันดีแล้วมันก็ผ่านไป แล้วเราก็พุทโธต่อไป แล้วถ้ามันวิตก วิจาร ปีติ แล้วพอมันผ่านปีติไป ปีติมันจะเบาบางลงไง มันมี แต่ความรับรู้ของเรามันไม่ตื่นเต้น มันไม่ตื่นเต้นไปตามอันนั้น มันก็ผ่านปีติ

สุข แล้วถ้ามันสุขแล้ว มันสุข ความสุข ความสุขมันคลายออกมา ความต่างๆ เวลาสุขแล้วเราก็รู้ว่าสุข สุขก็คือสุข ทุกข์ก็คือทุกข์ อุเบกขาก็อุเบกขา เวลาวงรอบของมัน มันจะตั้งมั่น ตั้งมั่นคือมันมีสติสัมปชัญญะพร้อม จิตตั้งมั่นยกขึ้นสู่วิปัสสนา จิตยังไม่ตั้งมั่นก็ฝึกหัดใช้ปัญญาได้

บางคนบอก “อู้ฮู! ต้องตั้งมั่น แล้วเมื่อไหร่ตั้งมั่น ชาติหน้ายังไม่มั่นเลย”

มันก็ฝึกหัดของเราไป นี่พูดถึงวิวัฒนาการของมัน แล้วถ้ามันเป็นได้ก็เป็นของมันไป

“๓. การเดินจงกรมรับรู้ได้ถึงความแตกต่างในขณะที่ร่างกายหอบเหนื่อยจากการที่เดินนานๆ แต่ลมหายใจที่ผ่านรูจมูกก็เบาๆ อยู่ เหมือนไม่มีความรู้สึกนั้นเลย”

นี่ถ้าจิตมันสงบ จิตมันมีกำลังบ้าง เวลาภาวนา จะภาวนาก็ได้ ไม่ภาวนาก็ได้ ภาวนาทั้งวันทั้งคืนก็ได้

เขาบอกว่า เวลาเดินจงกรมรู้จักว่าหอบ แล้วเหนื่อย เดินนานๆ รูจมูกมันเบาไปหมดเลย เวลาเดินไป ความเหนื่อยมันไม่รู้อยู่ไหน มันไม่เห็นเหนื่อยเลย

ภาวนาของเราไป จะช้าหรือจะเร็ว บางคนกำหนดเวลาเลย ๓ ชั่วโมง ๔ ชั่วโมง แล้วเวลาภาวนาก็ภาวนาเอานาฬิกา ไม่ภาวนาเอาใจ บางคนจุดธูปไว้ หมดธูปดอกหนึ่ง จะเอาลมไปพัดธูปเลย มันช้าเหลือเกินน่ะ

ใจมันส่งออกไง ใจเราไปอยู่ที่นาฬิกา ใจเราไปอยู่ที่ธูป ใจเราไม่อยู่ที่ใจนี้ไง

เราจะภาวนาเท่าไรก็ได้ คือเราจะบอกว่าเวลาทั้งวันทั้งคืนหรือเล็กน้อย นั่นเป็นเรื่องหนึ่ง จิตสงบ หรือได้ผลไม่ได้ผล นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ถ้ามันเป็นอีกเรื่องหนึ่งนะ เราเอาผลที่การปฏิบัตินี้ แล้วเราภาวนาของเราไป เอาผลที่ปฏิบัติ แล้วถ้าปฏิบัติแล้วมันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก เป็นการกระทำของเรา ถูกต้อง ทำไปเรื่อยๆ เนาะ

“ตอนนี้หายหงุดหงิดแล้ว รู้สึกหนักๆ เบาๆ เหมือนคนที่แบกของหนักอยู่มันมาเบาหมดแล้ว แต่ไม่รู้มันแบกอะไร”

ก็แบกกิเลสไง

คนเราภาวนาไปแล้ว เวลาเป็นสมาธิแล้ว มันสงบแล้วก็คือสงบ ออกมาแล้วคลายออกมา แล้วภาวนาไปแล้วมันไม่มีงานทำ คือมันคุ้ยเขี่ยหากิเลสไม่ได้ไง มันก็ไม่รู้

“ก็ไม่ได้ทำอะไรเลย มันก็เบาๆ อยู่นี่ แต่ไม่รู้มันแบกอะไรไว้”

ก็แบกที่ไม่รู้นั่นไง ก็แบกที่เอ็งไม่รู้นั่นแหละ

ก็ฝึกหัดของเราไป เราพิจารณาของเราไป ค้นคว้าของเราไป มันจะพัฒนาของเราไปนะ

ตอนนี้ทำความสงบได้ก็ทำความสงบของเราขึ้นมา ทำความสงบแล้วก็ฝึกหัดใช้ปัญญา ฝึกหัดใช้ความคิด เกิดมาทำไม จิตเป็นอย่างไร นิพพานเป็นอย่างไร คิดค้นคว้า แล้วถ้ามันมีจังหวะโอกาส บางทีมันผุดมานะ เวลามันโผล่มานี่ กิเลสมันลืม มันเผลอ มันโผล่มานะ โอ้โฮ! พอเห็นแล้วนะ ผลงาน การขุดคุ้ยหากิเลส ผลงาน แล้วถ้าได้แล้วนะ พิจารณาไปมันจะปลื้มใจมาก

นี่พูดถึงว่า ในการค้นคว้า ในการปฏิบัติ เพราะอะไร

“มันปล่อยหมดแล้ว แต่ไม่รู้มันแบกอะไร”

ก็แบกกิเลส

สมาธิเป็นสมาธิ แก้กิเลสไม่ได้ ไม่มีสมาธิ หากิเลสไม่เจอ แล้วไม่รู้จักกิเลสด้วย

สมาธิ หลวงตาสอนสมาธิจับกิเลส ปัญญาตัด เหมือนเกี่ยวข้าว สมาธิกำข้าวไว้ ปัญญาคือเคียวเกี่ยวข้าว

ศีล สมาธิ ปัญญา ฝึกหัดปฏิบัติไป แล้วพอพูดแล้วมันจะเข้าใจตามนั้นนะ นี่พูดถึงว่าในการปฏิบัติ ถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง จบ

ถาม : เรื่อง “โลกสูญ”

ตอบ : โลกสูญ โลกแตกอะไรมันเป็นเรื่องของพระไตรปิฎก แล้วเป็นเรื่องของความถกเถียง ความอวดภูมิ แล้วบางอย่างมันก็มีความลึกลับซับซ้อนซ่อนเงื่อนอยู่ภายใน เวลากิเลสมันซับซ้อนต่างๆ ฉะนั้นว่าโลกสูญ ก็ลองปฏิบัติดู มันจะรู้ว่าสูญหรือไม่สูญ เอวัง