เทศน์พระ

เทศน์พระ ๓๓

๙ ธ.ค. ๒๕๕o

 

เทศน์พระ วันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๕๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟัง วันนี้วันอุโบสถ วันอุโบสถนะ อุโบสถคือการสังฆกรรม สังฆกรรมเพื่อความสะอาดของเรา เพื่อความสะอาดของใจ ถ้าเพื่อความสะอาดของใจ ร่างกายต้องทำความสะอาดมันตลอดเวลา เราจะต้องอาบน้ำ เราจะต้องทำความสะอาดร่างกาย แล้วร่างกายมันก็สกปรก เพราะอะไร เพราะมันขับเหงื่อขับไคลออกมา อันนี้มันเป็นเรื่องของวัตถุที่มันสะอาดไม่ได้ แม้แต่ของสะอาดขนาดไหนนะ ดูสิ ทางสิ่งที่เป็นวัตถุ ถ้วยโถโอชาม จะขนาดไหนก็แล้วแต่ มันมีฝุ่นมีผงของมัน ตัวมันเองก็ต้องย่อยสลายของมัน ถึงเวลาแล้วมันก็ชำรุดทรุดโทรมไป เห็นไหม มันไม่มีแก่นสารไง ร่างกายนี้ก็ไม่มีแก่นสาร ไม่มีแก่นสารเลย

แต่เพราะเราได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เรามีร่างกายและจิตใจ แล้วเราได้มาบวชเป็นพระเป็นสงฆ์ การบวชเป็นพระเป็นสงฆ์โดยสมมุติสงฆ์ เพราะด้วยศรัทธาความเชื่อ เพราะเรามีศรัทธาความเชื่อ เราถึงได้ไปบวช ได้เป็นเพศของนักบวช

เพศหญิง เพศชาย เพศของสมณะ เพศหญิง-เพศชายเขาก็ต้องเกิดตายไปตามวัฏฏะของเขา แต่เพศสมณะ ความสงบของใจต้องมี ต้องมีความสงบของใจ มันถึงจะสมกับเป็นเพศของสมณะ ถ้าสมณะไม่เป็นผู้ทรงธรรมทรงวินัย ใครจะเป็นคนทรง ถ้านักรบไม่เป็นผู้รบแล้วชนะข้าศึก เราจะต้องแพ้ข้าศึกตลอดไป เราเป็นนักรบก็เหมือนกัน เราบวชมาแล้วเราตั้งใจ ตั้งใจเพื่อจะเอาชนะตนเอง

การรบกับข้าศึก เขาต้องวางแผน เขาต้องฝึกฝนทหารของเขา เขาถึงจะออกรบได้ การรบกับข้าศึกของเรา เรามีความพร้อมไหม เรามีสติ เรามีสมาธิไหม เรามีปัญญาไหม ปัญญาอย่างนี้เกิดมาจากไหนล่ะ

ต้นไม้ เขาปลูกต้นไม้ เขาต้องดูแล เขาต้องถนอมรักษา มันจะโตขึ้นมา ในการบวชของเรา ต้นไม้มันโตมาตั้งแต่วันบวช วันบวชมีศรัทธาความเชื่อมาก แล้วมันก็จะหงอยไป แล้วมันก็จะตายไป ความเชื่อความศรัทธาของเรามันหงอยเหงาเศร้าสร้อยไปตลอดนะ มันไม่เจริญเติบโตขึ้นมา แต่เวลาบวชขึ้นมา บวชวันแรก บวชออกจากโบสถ์มามีความชุ่มชื่นมาก มีความองอาจกล้าหาญมาก มรรคผลนิพพานอยู่มือเราเลยน่ะ แต่อยู่ไปๆ ทำไมมันเศร้าสร้อยหงอยเหงาอย่างนี้ล่ะ ต้นไม้เขาถนอมรักษาแล้วมันจะโตต่อไป ไอ้นี่มันโตแล้วมันเฉาตาย ถ้ามันเฉาตาย เพราะเราไม่มีความจงใจ เราไม่ตื่นตัว ถ้าเราไม่ตื่นตัวมันจะเศร้าสร้อยหงอยเหงาไปอย่างนี้ตลอดไป

จิตเสื่อมนะ เวลาทำสมาธิขึ้นมาแล้วจิตมันเสื่อมจะทุกข์มาก ทุกข์เพราะอะไร เพราะเราเคยได้ความสงบ เราเคยได้สมบัติ แล้วสมบัติพลัดพรากจากเราไป อันนี้มันเป็นอนิจจัง เพราะอะไร เพราะมันเป็นขั้นของสมถะ แต่ถ้าขั้นของปัญญามันเกิด ถ้ามันเกิดขึ้นมามันชำระความสะอาดของมันบ่อยครั้งเข้าๆ มันจะเข้าไปทำความสะอาดของใจ

การทำความสะอาดของใจมันต้องใช้ใจทำความสะอาด สิ่งที่เครื่องอยู่อาศัยมันเป็นเครื่องอยู่อาศัย อย่าไปบ้ากับมัน สิ่งที่เครื่องอยู่อาศัย ข้อวัตรปฏิบัติ เราดูแลรักษาเท่านั้น บ้ากับมันคือไปแบกรับภาระเป็นทุกข์เป็นยาก แต่อาศัยมัน ไม่ได้ไปบ้ากับมัน อยู่กับมัน เราต้องอาศัยมัน ฝนตกแดดออก เราต้องมีที่พึ่งที่อาศัย ถ้าเรามีที่พึ่งที่อาศัย เราทำข้อวัตรปฏิบัติก็เพื่อสิ่งอาศัยนี้ ถ้าเรามีข้อวัตรปฏิบัติ ของสิ่งนั้นจะไม่ชำรุดทรุดโทรมหรอก สิ่งที่มันจะชำรุดทรุดโทรมเพราะไม่มีใครดูแลรักษามัน กุฏิ วิหาร ถ้าเขาสร้างดีขนาดไหน แล้วไม่มีใครดูแล ปีสองปีมันก็เสื่อมสภาพแล้ว กระต๊อบ ห้องหอ มันมุงด้วยใบจาก มุงด้วยหญ้าคา อยู่แล้วมันไม่เคยพัง เพราะเราซ่อมรักษามันตลอดไป เห็นไหม

ไม่ต้องไปตื่นกับมัน ของที่เราจะดูแลรักษาก็ดูแลรักษาจากข้างนอก เราแค่อาศัย ของอาศัย เราอย่าไปจริงจังกับมันจนเกินไปนัก ถ้ามันจริงจังจนเกินไปนัก มันดึงเวลาการประพฤติปฏิบัติของเราไป แต่ถ้าเป็นข้อวัตรปฏิบัติ มันเป็นการฝึกใจ ข้อวัตรปฏิบัติ การบำรุงรักษาวัตถุนี่แหละ แต่มันเป็นการออกไปจากหัวใจ

หัวใจเราบำรุงรักษามัน หัวใจออกไปเคลื่อนไหว เพื่อให้หัวใจมันเห็นความหยาบความละเอียดของมัน สิ่งใดชำรุดทรุดโทรม สิ่งใดควรจะแก้ไข สิ่งใดควรจะถนอมรักษา การรักษาจากภายนอกมันก็คือการรักษาใจ เพราะการรักษาใจ ใจมันเป็นคนแสวงหา เป็นคนมองว่าสิ่งนี้ชำรุดทรุดโทรม มันรั่วมันซึมที่ไหน ของมันต้องแก้ไขที่ไหน นี่มันเป็นการแก้ไขไปจากใจ ข้อวัตรปฏิบัติเพื่อรักษาใจ เพื่อกลับมาที่ใจ ถ้ากลับมาที่ใจ ต้นไม้มันจะเจริญขึ้นมาตรงนี้

แต่ถ้าเราไปบำรุงรักษา เราไปดูแลมัน มันเป็นการหงอยเหงาเศร้าสร้อย จิตมันเสื่อม แต่ถ้าเราไปบ้ากับมัน เราไปจริงจังกับมันจนเกินไป มันเป็นใหญ่กับเรา เราเป็นขี้ข้ามันไง

ดูทางโลกเขาสิ เขาสร้างบ้านสร้างเรือนขึ้นมามหาศาลขนาดไหน เวลาเขาใช้นอน ที่นอนเขาแค่ห้องนอนเขาห้องเดียวเท่านั้นน่ะ นี่ก็เหมือนกัน การใช้อาศัยของเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเลย ภิกษุเราไม่ใช่กินเพื่อเกียรติ ไม่ใช่กินเพื่อกาม กินเพื่อดำรงชีวิต โลกเขากินเพื่อเกียรติ กินเพื่อกาม กินเพื่อดำรงชีวิต กินเพื่อศักดิ์ศรี กินเพื่ออะไร โลกเขาก็เลยกินกัน ก็เลยกลายเป็นทิฏฐิมานะ เป็นการแข่งขันกัน

ไอ้เราฉันเข้าไป ยัดใส่ปากไป ลงไปในกระเพาะก็แค่พอดำรงชีวิตเท่านั้นแหละ ถ้ามันเป็นการดำรงชีวิต มันรู้จัก นี่มีคุณค่า มีคุณค่าเพราะอะไร เพราะมันเห็นคุณค่าของชีวิต แค่ข้าวเปล่าๆ แค่น้ำก็ดำรงชีวิตได้แล้ว การดำรงชีวิตอย่างนี้ ดำรงชีวิตเพื่ออะไร? ก็เพื่อเห็นภัย แต่ถ้าไปเห็นสิ่งอื่นมีคุณค่ากับมันนะ นี่กิเลสมันขี่หัวแล้ว กิเลสมันจะขี่หัวเรา ถ้าเราไปยอมจำนนกับมัน ถ้าเราไม่เข้าใจมัน กิเลสมันขี่หัวไปทั้งนั้นน่ะ

ในมือเรามันมีทั้งฝ่ามือและมีมือ มีหน้ามือและหลังมือ มือของเรา เราจะไม่เห็นเลย เราจะมองสิ่งใดล่ะ ยกขึ้นมาเห็นมือ หน้ามือ หลังมือ ยกขึ้นมา ตรงไหนล่ะ ถ้าเราไปยึดมั่นถือมั่นมัน สิ่งนี้มันจะขี่คอเรานะ นี่กิเลสขี่คอตัว ตัวยังไม่รู้ตัวเลย แล้วจะมาชำระกิเลส

การอยู่ของเรา การอยู่ในธรรมวินัย มันต้องมีสติสัมปชัญญะ การมีสติสัมปชัญญะมันจะย้อนกลับมาที่ตัวเรา นี่หน้าที่ของเรา หน้าที่ของเรา ดูที่หัวใจของเรา ทุกคนมาแก้ไขหัวใจ หน้าที่ของเราคือหัวใจของเรามันทุกข์มันยากไหม แล้วเวลามันเกิดขึ้นมา ไม่เข้าใจอะไรเลย เจ็บไข้ได้ป่วยไปหาหมอ หน้าที่รักษาก็ไปอยู่ที่หมอ หมอจะรักษาให้เราหาย แต่เวลาเจ็บทุกข์หัวใจ หมอก็รักษาแต่เรื่องของความเจ็บไข้ได้ป่วย แต่เรื่องหัวใจรักษาไม่ได้

เจ็บไข้ได้ป่วยไปหาหมอ ขาดเหลืออะไรก็ไปหาทางโลกเขา สั่งเข้ามา ของมีอะไร สั่งเข้ามา แต่หัวใจมันพร่องอยู่ตลอดเวลา สั่งไม่มีวันเต็มหรอก คนสั่งสั่งขนาดไหนก็ไม่พอใจ ถ้ามันไม่พอใจ หัวใจมันบกพร่องไง มันต้องรักษาที่ใจ ถ้าใจมันเต็มขึ้นมาแล้ว สิ่งนั้นแค่อาศัย มันไม่ต้องไปแสวงหามันมาก แค่ปัจจัยเครื่องอาศัย ไม่ต้องแสวงหามันมาให้มันเป็นภาระหรอก ไม่ต้องเป็นภาระหรอก สิ่งที่เป็นภาระเพราะอะไร เพราะเราไปจริงจังกับมันจนเกินไป แต่เราทิ้งเรื่องของข้อวัตรปฏิบัติ ทิ้งเรื่องของหัวใจ ถ้าเราไปทิ้งตรงนี้แล้ว เราไม่เห็นคุณค่าของธรรมเลย

ธรรมมันอยู่ที่ใจ ธรรมมันสัมผัสที่ใจ ตู้พระไตรปิฎกทั้งหมด วิชาการทั้งหมดชี้เข้ามาที่ใจ ชี้เข้ามาที่ความรู้สึกนี้ แต่เราเอาความรู้สึกนี้ออกไปหาวิธีการ ดูสิ มันสั่งได้หมดเลย ทุกอย่างสั่งได้หมด ฉันนี้ใหญ่โตมาก ฉันนี้มีอำนาจวาสนามาก ในประเทศไทยไม่มีก็สั่งจากเมืองนอกเข้ามาก็ได้ สั่งที่ไหนมาก็ได้ทั้งนั้นน่ะ นี่่มันบกพร่อง

ถ้ามันอิ่มเต็ม ไม่ต้องสั่งเลย หาเอาจากความเป็นอยู่ของเรานี่แหละ หาเอาจากในที่อยู่อาศัยเรานี่ ปัจจัยเครื่องอาศัย ปัจจัย ๔ ข้าวน้ำต่างๆ หาได้ทั้งนั้นน่ะ หาเอาที่นี่ มันจะมีคุณค่าไม่มีคุณค่า มันหามาจากมือเรา นี่ของบริสุทธิ์ผุดผ่อง มันจะมีอะไรบริสุทธิ์เท่ากับสัมมาอาชีวะ การบิณฑบาตเลี้ยงชีพ เพราะเขาได้มาด้วยความบริสุทธิ์ของเขา เขาเทิดทูนใส่หัว เขาอธิษฐานของเขา เขาอธิษฐานว่าขอให้เขามีความสุขของเขา อาหาร ปัจจัยเครื่องอาศัย ใส่บาตรไป มันบริสุทธิ์ผุดผ่องนะ

ทางโลกเขา เขาไปโรงแรม เขาจองห้องโรงแรมเลย เวลาเข้าไปกินยังต้องจ่ายเงิน มันเป็นธุรกิจ มันสะอาดบริสุทธิ์ขนาดไหน นั่นเขาหลอกกัน เขาแต่งกัน ของเรามันสะอาดจากความรู้สึก สะอาดจากเจตนา เจตนาของคนใส่ เขาเจตนาบริสุทธิ์ของเขา เขาทูนใส่กระหม่อม แล้วเขาใส่บาตรเรามา มันจะมีคุณค่าหรือไม่มีคุณค่า มันสะอาดบริสุทธิ์ผุดผ่องมากเลย สัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีพชอบ ถ้าเลี้ยงชีพชอบขึ้นมา ความสะอาดบริสุทธิ์ของเราเกิดจากที่นี่ ปัจจัยเครื่องอาศัยเกิดจากเรา อยู่กับเรา สิ่งที่เราอาศัยกับเรา เราอยู่กับเรา เราสะอาดกับเรา ถ้าสิ่งนี้มันสะอาดขึ้นมา มันจะมีความสุข มันเป็นอิสรเสรีภาพ เป็นอิสระมาก ไม่เป็นขี้ข้าใครเลย ไม่ต้องเป็นขี้ข้าของใคร ไม่ต้องให้ใครมาบังคับบัญชา ธุดงควัตรมีความสุขมาก เราจะไม่เข้าไปในบ้านของใครเลย

ดูสิ พระในสมัยพุทธกาลไปฉันในบ้านของโยม เขาเป็นนายช่างเจียระไน เขาเอาเพชรมาให้เจียระไน มือขณะทำอาหารอยู่มันเลอะเลือด ไปจับแก้วจับเพชรแล้ววางไว้ นกกระเรียนมันเห็นเข้า มันมากินไป นี่เป็นแก้วของกษัตริย์

นายช่างเจียระไนมาถึง มาถามสมณะ “ไปไหน แก้วนั้นไปไหน”

“ไม่เห็น ไม่เห็น”

มีอยู่ ๒ คน ไม่เห็น ก็ต้องเค้นเอามาให้ได้ เอาเชือกรัดคอเลย รัดคอจนขนาดที่ว่าอาเจียนออกมาเป็นโลหิตเลย นกกระเรียนนั้นมันมากินเลือดนั้น ภิกษุเห็นนกมันกินเลือดนั้น นายช่างนั้นโมโหมาก เตะจนนกนั้นตาย พอนกตาย ภิกษุก็บอกว่า “หยุดก่อน หยุดก่อน ดูซิ นกนั้นตายหรือยัง”

“ตายแล้ว ตายแล้ว”

“นกกระเรียนมันกินไป”

ผ่าท้องออกมา แก้วอยู่ในนั้น พระองค์นั้นสลดสังเวชมาก การเข้าไปในเรือนของเขามีโทษเป็นอย่างนี้ มันมีภัยทั้งนั้น เห็นไหม การธุดงควัตรของเรา เราบิณฑบาตไป เราไม่เข้าไปในบ้านของเขา ไม่เข้าไปในบ้านของใคร ไม่เป็นขี้ข้าของใคร ไม่ต้องให้ใครมาบังคับบัญชา ถ้าเราจะบริหารจัดการจนเป็นขี้ข้าของมัน เราจะต้องยอมจำนนกับทุกๆ คนไป ยอมจำนนกับกิเลสของตัวเองก่อน กิเลสของตัวเองมันอยากออกไปข้างนอก มันอยากออกไปรับรู้ อยากออกไปบริหารจัดการ แต่มันไม่คิดเลยว่ามันจะบริหารจัดการกิเลสในหัวใจของตัว

กิเลสในหัวใจของตัวนี้บริหารจัดการมันไม่เป็น แต่เรื่องบริหารจัดการจากภายนอก เขาศึกษากัน เขาเรียนกัน เขาจ้างกันได้ ดูสิ เดี๋ยวนี้มีผู้บริหารจัดการ บริษัทต่างๆ เขารับผิดชอบทั้งนั้น เขารับเหมาให้หมดเลย ทำให้หมดเลย ขอให้มีสตางค์จ่ายอย่างเดียว แล้วมันมีคุณค่าอะไรขึ้นมา มันเป็นโลกธุรกิจ แต่โลกของน้ำใจ โลกของสัมมาอาชีวะ โลกของความดำริชอบความเห็นชอบ มันออกมาจากความรู้สึก ออกมาจากเจตนา มันไม่ได้ออกมาจากธุรกิจ ออกมาจากการจ้างวาน มันออกมาจากความพอใจ ภาชนะที่จะใส่ธรรมคือหัวใจที่มันพอใจ ถ้ามันพอใจ มันไปสัมผัสกับความรู้สึกอันนั้น นี่สัมมาอาชีวะ ปัจจัยเครื่องอาศัยของเราเกิดจากที่นี่ หาเอาที่นี่

ความเป็นอยู่ ดูสิ สมัยพุทธกาล นิสสัย ๔ อกรณียกิจ ๔ บิณฑบาตเลี้ยงชีพ อยู่ในเรือนว่าง ฉันน้ำมูตรเน่า เวลาปัจจัยเครื่องอาศัย กิจที่ควรทำและไม่ควรทำ กิจที่ไม่ควรทำก็แค่นี้เอง ถ้าแค่นี้เองแล้วมันอยู่ได้ไหมล่ะ มันอยู่ไม่ได้เพราะมันดีดดิ้น มันคิดออกไปรอบโลก ดูสิ จะไปเผยแผ่ธรรมะ จะไปเที่ยวต่างประเทศกัน จะไปเผยแผ่ธรรม กิเลสเต็มหัวใจ เอากิเลสไปเผยแผ่สิ กิเลสทั้งนั้นน่ะ กิเลสในหัวใจ ตัณหาความทะยานอยากออกไปเผยแผ่ จะเป็นใหญ่เป็นโตให้เขายอมรับไง ทำไมต้องยอมรับล่ะ แล้วตัวเองยอมรับตัวเองได้ไหม

ถ้าตัวเองยอมรับตัวเองได้ ตัวเองก็เห็นกิเลสของตัว ถ้าเห็นกิเลสของตัว ทำไมตะกี้นี้ทำไมไม่รักษา ทำไมไม่แก้ไข ถ้ามันแก้ไขที่นี่ ถ้ามันย้อนกลับมาแก้ไขที่เรา สิ่งที่มันแก้ไขที่เรา ต้องการให้ใครยอมรับ? ไม่ต้องการให้ยอมรับหรอก เรารับตัวเราเองได้ไหม เรายังรับตัวเองไม่ได้เลย ถ้าเราเห็นความผิดพลาดในหัวใจ ใครก็เห็นทั้งนั้นน่ะ ถ้าเราเห็นความผิดพลาดในหัวใจ มันเกิดจากอะไรล่ะ? เกิดจากธรรมนี่ไง

เวลาเกิดจากธรรม เวลาลงอุโบสถกัน สังฆกรรม ความสะอาดของใคร สังฆะคือสมมุติสงฆ์รวมกัน ๔ องค์ขึ้นไปเป็นสงฆ์ ต้องทำอุโบสถ บุคคลอุโบสถ คณอุโบสถ สังฆอุโบสถ ถ้าสังฆอุโบสถ ในสังฆะนั้นมีความสะอาดบริสุทธิ์ขนาดไหนนั่นอีกเรื่องหนึ่งนะ แต่ความสะอาดบริสุทธิ์มันเกิดจากเรานะ

พระสงฆ์เกิดจากใคร? สงฆ์เกิดจากสมมุติสงฆ์ที่เรานั่งกันอยู่นี่ ถ้านั่งอยู่นี่มันมีความสะอาดบริสุทธิ์ในตัวมากน้อยขนาดไหน เวลาสวดปาฏิโมกข์มา สะกิดกันว่า ผิดข้อนั้นๆๆ เดี๋ยวต้องปลงอาบัติๆ อาบัติเบาที่ปลงได้ อาบัติหนัก ครุอาบัติที่ปลงไม่ได้ ตั้งแต่สังฆาทิเสสขึ้นไป เป็นสังฆะ สังฆะคืออำนาจของสงฆ์ อำนาจของสังฆะ สังฆะเป็นผู้มอบอำนาจ จะสะอาดบริสุทธิ์จากสังฆะ แต่ถ้าเป็นอาบัติเบา เราปลงกันระหว่างบุคคล ยอมรับ ประกาศความผิดของตัว ประกาศไป

สีลัพพตปรามาส ความลูบคลำในศีล ถ้าความลูบคลำในศีล มันมีความผิดพลาด พระโสดาบันขึ้นไปไม่ลูบคลำในศีล ไม่ลูบคลำในศีลตรงไหนล่ะ เพราะมันรู้แจ้ง รู้แจ้งจากหัวใจ ไม่สีลัพพตปรามาส เพราะอะไร เพราะสิ่งนั้นมันเป็นเครื่องดำเนินพาเรามา จิตนี้มันจะพัฒนาขึ้นมาจากปุถุชน กัลยาณปุถุชน โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล

ปุถุชน คนหนาด้วยกิเลส ไม่รู้จักตัวเองเลย ควบคุมตัวเองไม่ได้ อารมณ์ก็ควบคุมไม่ได้ ความรู้สึกก็ควบคุมไม่ได้ ให้กิเลสมันชักนำตลอดไป

กัลยาณปุถุชน เห็นโทษของรูป รส กลิ่น เสียง

สิ่งที่เป็นปัจจัยเครื่องอาศัยเป็นรูปทั้งนั้น เสียงนี้เสียงนินทาสรรเสริญ เสียง ยอมรับหรือไม่ยอมรับ ลาภสักการะ ลาภคือสิ่งที่เป็นวัตถุที่เขาเอามาถวาย ถ้าเขาไม่มีสักการะ เขาไม่ยอมจำนนกับเรา เขาไม่ฟังเรา ก็ไม่อยากได้เขาอีกนะ

สักการะมันเป็นนามธรรม แต่มันยิ่งอยากได้มากกว่าลาภอีก เพราะลาภเป็นวัตถุใช่ไหม ลาภเราแสวงหาก็ได้ ดูสิ ดูพระที่เขาไปแสวงหากันเรื่องของวัตถุสิ วัตถุต่างๆ มาเพื่อเขา ถ้าเพื่อสักการะ สักการะเป็นการยอมรับ ต้องสั่งให้ยอมรับ อยากมีลูกศิษย์ลูกหามากๆ นี่การยอมรับสักการะ

ลาภสักการะฆ่าโมฆบุรุษ คนมันโง่ ของมันอยู่ข้างนอก เอามาขี่หัวตัวเองได้อย่างไร ของมันอยู่ข้างนอก เอามาขี่หัวตัวเองให้ตัวเองยอมจำนนกับมัน แล้วตัวเองก็เป็นขี้ข้ากับตัวเอง เพราะต้องการให้เขายอมรับนับถือ ก็ต้องไปแสวงหาสิ่งนั้นให้เขายอมรับนับถือ แล้วทำไมต้องให้เขายอมรับนับถือล่ะ นี่โมฆบุรุษ มันฆ่าทั้งนอกฆ่าทั้งใน ออกไปข้างนอกก็ไปหาข้างนอก หาจากข้างในก็อยู่ข้างใน แล้วข้างในนี้ทำไมไม่จัดการมัน

จัดการมันลงไป ถ้าจัดการมันลงไป นี่ความบริสุทธิ์ของสังฆะที่นั่งกันอยู่นี่ มันสะอาดเข้ามาจากภายใน ถ้าสะอาดเข้ามาจากภายใน ดูสิ น้ำที่มันไม่พร่อง มันก็ไม่มีเสียงดัง น้ำถ้ามันพร่อง เสียงมันดังมาก แล้วเขาไม่ยอมรับว่าเสียงมันดังมาจากน้ำขวดนั้น จากน้ำขวดนั้นก็คือใจดวงนั้นไง ถ้าใจดวงนั้นมันพร่องอยู่ มันก็มีเสียงดังของมัน แต่เราไม่ได้ยินนะ แต่กิริยาการแสดงออกเป็นการแสดงออกของใจทั้งนั้นน่ะ ใจแสดงออกมาขนาดไหน กิเลสแสดงออกมาจากใจ สิ่งใดเคลื่อนไหวไป ใจมันแสดงออก การแสดงออกอย่างนั้น ใครเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์ล่ะ

แม้แต่ทางศาลอาญาเขายังบอกเลย การกระทำนี้ส่อเจตนา เจตนามาจากไหน ถ้าเจตนามันพร่อง เจตนามันเสีย เจตนามันต้องการสักการะ มันก็ต้องทำสภาวะแบบนั้น แล้วทำมาเพื่อใคร? ก็ทำมาเพื่อกิเลส ถ้าเพื่อกิเลส กิเลสมันอยู่ที่ไหน? ก็กิเลสมันอยู่ที่ความเร้าของใจ มันต้องการ มันบกพร่องอยู่นี่ มันต้องการหาสิ่งนั้นมา หาสิ่งนั้นมาเพื่อให้เขายอมรับ

แต่ถ้ามันเป็นธรรมล่ะ เป็นธรรม มันเต็มอยู่ มันก็ธรรมเหมือนกัน ธรรมเหมือนกันนะ แต่ธรรมอันหนึ่งมันพร่อง ธรรมอันหนึ่งมันต้องการการยอมรับ ธรรมอันหนึ่งทำเป็นหน้าที่ไง หน้าที่รับผิดชอบ สอุปาทิเสสนิพพาน เศษส่วนของจิต ความรู้สึก ความคิด

ที่เขาบอกว่า “ความคิดหยุดไม่ได้ ความคิดหยุดไม่ได้”

ความคิดมันสะอาดได้นะ ความคิด พระอรหันต์ก็มีความคิด ความคิดไม่มีอวิชชา แต่ความคิดของเรามันมีอวิชชาทั้งนั้น ความคิดของเรา ความคิดอย่างนี้มันเป็นความคิดของมาร ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา ขันธ์ ๕ ที่สะอาดกับขันธ์ ๕ ที่เป็นขันธ์ของมาร ขันธมาร กิเลสมาร สิ่งที่เป็นมารขึ้นมา มันคิดออกมา ความคิดอันนี้มันออกมา มันพร่องมา มันก็ออกไปทำลายเขา มันทำลายเขานะ แต่มันไม่คิดเป็นมรรคเลย

ถ้าเป็นมรรค มันเข้ามาทำลายเรา มันต้องทำลายเรา มรรคจะเข้ามาทำลายเรา

หน้าที่การงานเป็นหน้าที่การงาน ดูสิ ความคิดของพระอรหันต์ก็มี ความคิดเขาก็มี จิตพระอรหันต์เป็นสิ่งที่เป็นธรรมธาตุ สิ่งที่เป็นธรรมธาตุ ความรู้สึกเฉยๆ นิพพานทรงอยู่ที่ไหน? ทรงอยู่ในใจของครูบาอาจารย์ เวลามันเสวยอารมณ์ออกมา ความเสวยเพราะจิตมันเป็นธรรมธาตุ ธรรมธาตุนี้มันไม่ใช่มาร ไม่ใช่ธรรมขโมย ธรรมไปขโมยมา ธรรมไปตู่มามันเป็นธรรมของใคร? ธรรมของกิเลสทั้งนั้นน่ะ แสดงออกมามันแสดงออกโดยกิเลส

แต่ถ้าเป็นธรรมธาตุ ธาตุเป็นธรรม มันเป็นธรรมะ ธรรมะมันออกมา มันมีอัตโนมัติ มีสติออกมา มันมีสติ มันเสวยอารมณ์ มันเข้าใจหมด

ความคิดก็มี การกระทำก็มี การกระทำมีทั้งนั้นแหละ แต่การกระทำโดยกิเลส การกระทำโดยการเหยียบย่ำ การกระทำโดยลาภสักการะ มันกระทำเพื่อบูชากิเลส

แต่การกระทำโดยธรรม การกระทำของครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรม ท่านทำออกไปท่านทำเพื่อประโยชน์ไง มันไม่เป็นประโยชน์กับตัวท่านนะ มันเป็นประโยชน์กับศาสนา มันเป็นประโยชน์กับสังฆะ สังฆะเพื่อความสะอาดบริสุทธิ์ นี่ผู้บริหารจัดการ จัดการเพื่อความอยู่สะดวกสบาย สร้างวัดสร้างวาขึ้นมา สงฆ์จาก ๔ ทิศ ที่ยังไม่ได้มา ขอให้มาเถิด ที่มาแล้วก็ขอให้อยู่ในความสุขสบาย

ความสุขสบายมันเกิดจากอะไร? เกิดจากทิฏฐิเสมอกัน ความเห็นเสมอกัน การประพฤติปฏิบัติเสมอกัน ถ้าทิฏฐิมันต่างกัน ทิฏฐิมันขัดแย้งกัน มันจะมีความสุขได้อย่างไรล่ะ ศีลจะรู้ได้ต่อเมื่ออยู่ด้วยกันนานๆ ธรรมะจะรู้ได้ต่อเมื่อแสดงธรรม ธรรมะจะรู้ได้ต่อเมื่อการอ้าปากออกมา มันเปิดอกนะ อกนั่นน่ะความจริง ความจริงในหัวใจมันไม่เคยกลัวสิ่งใดเลย

แต่ความจำ ความจำมันกลัวมาก “อย่าถามฉันนะ ฉันรู้ได้แค่นี้” พูดได้ด้วยขอบเขตของความจำ อย่าถามออกนอกลู่นอกทางนะ เพราะถ้าออกนอกทางมันพูดไม่ได้ แต่ถ้าเป็นความจริง ขอให้พูดมา ขอให้ถามมาเถิด นี่ความจริง ความจริงมันเกิดมาจากใจ ถ้าความจริงมันเกิดมาจากใจ อะไรเป็นความจริง

โลกวัตถุไม่มีสิ่งใดเป็นความจริงเลย จะเจริญขนาดไหน โลกนี้เป็นอจินไตย มันจะอยู่ในสภาพของโลก ธาตุ ๔ แต่สิ่งที่สมมุติขึ้นมาเป็นรูป เวลาเขาสร้างสิ่งใดๆ ขึ้นมา เขาต้องสร้างขึ้นมาเป็นรูปลักษณะ จะเป็นรูปสิ่งนั้นๆ สิ่งนั้นคงที่อยู่ไม่ได้ มันต้องแปรสภาพตลอดไป สิ่งที่แปรสภาพตลอดไป กลับไปสู่สภาวะเดิมของเขา เป็นธาตุ ๔ เท่านั้น ธาตุ ๔ ต้องแปรสภาพไป พระศรีอริยเมตไตรยจะมาตรัสรู้ไปข้างหน้า ครูบาอาจารย์ อนาคตวงศ์จะมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ตลอดไป สิ่งนี้ตรัสรู้ที่ไหน

เวลาตรัสรู้ขึ้นมา สมมุติ ธาตุมันเป็นธาตุเฉยๆ มันก็ต้องแปรสภาพของมันไป แต่เวลาร่างกายของมนุษย์ พระศรีอริยเมตไตรยคือใครล่ะ ก็จิตมันหยั่งไปเกิดในครรภ์ เกิดในครรภ์ก็เป็นมนุษย์อย่างเรานี่

จิตนี้มันสร้างโลกตลอดเวลา มนุษย์คนหนึ่งชาติหนึ่ง มันก็สร้างโลกโลกหนึ่ง เกิดภพใดก็สร้างโลกโลกหนึ่ง โลกมันหมุนไปตลอดเวลา สิ่งมหัศจรรย์คือหัวใจ มันจะเกิดตายๆ เกิดตายไปสภาวะแบบนั้น แต่โลกที่มันหมุนเวียนเปลี่ยนไป เราอาศัยมันเท่านั้น โลกเจริญๆ เจริญโดยคนตาบอดนะ เขาเจริญทางวัตถุ เขาว่าเจริญขนาดไหน อะไรสร้างมา? เทคโนโลยีสร้างมา การเจริญต่อยอดกันไป สิ่งที่ต่อยอดกันไป ถึงที่สุดแล้วมันสิ้นสุด มันจบนะ ดูสิ ดูกระบวนการของเศรษฐศาสตร์ ในเมื่อมีการเจริญก็ต้องมีเสื่อมไป การเสื่อมค่าและการเจริญค่าของมัน แล้วเจริญค่าเสื่อมค่ามันไปถึงขนาดไหนล่ะ

พลังงานที่สร้างมา ดูสิ โฟมสร้างมา สร้างมาเพื่อความสะดวกสบาย เดี๋ยวนี้ห้ามใช้นะ เพราะมันทำลายสิ่งแวดล้อม เครื่องยนต์กลไกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้พลังงาน กำลังจะคิดว่าสิ่งที่ใช้พลังงานนี้ถึงที่สุดก็สร้างขึ้นมาฆ่าตัวเอง สร้างขึ้นมาเพื่อทำลายสิ่งแวดล้อม สร้างขึ้นมาเพื่อผลาญโลกไง นี่ความคิดของโลกเป็นอย่างนั้นนะ

แต่ความคิดของธรรม ดูสิ ความคิดของเราสร้างขึ้นมาเพื่อใคร? สร้างขึ้นมาเพื่อฆ่ากิเลส ฆ่าตัณหาความทะยานอยาก มันไปทำลายใครล่ะ มันไปทำลายกิเลสในหัวใจเราใช่ไหม ถ้ามันทำลายกิเลสในหัวใจเรา ทำไมเราไม่คิดทำ ถ้าทำอย่างนี้ขึ้นมา โลกมันจะมีความสงบร่มเย็นไหม ถ้ามันทำลาย ถ้าโลกนี้เป็นพระอรหันต์ทั้งหมดเลย โอ้โฮ! โลกจะร่มเย็นเป็นสุขมาก ต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างมีความสุข ต่างคนต่างไม่เบียดเบียนกันเลย มันจะมีความสุขขนาดไหน นี่การสร้างโดยธรรม

ถ้าการสร้างโดยธรรม ย้อนกลับมาที่เรานะ ต้องตั้งสติแล้วสร้างธรรมขึ้นมาในหัวใจ ธรรมของเราในหัวใจนี้สร้างมันขึ้นมา สมาธิธรรม-ปัญญาธรรม สมาธิธรรม-ปัญญาธรรมนี้ยังเป็นอนิจจังอยู่ เป็นไตรลักษณ์ สิ่งนี้เป็นไตรลักษณ์ ไตรลักษณ์ฆ่าไตรลักษณ์ เพราะความคิดความเกิดมันก็เป็นไตรลักษณ์อยู่แล้ว ดูชีวิตเราก็เป็นไตรลักษณ์ ชั่วคราวทั้งนั้นน่ะ การเกิดขึ้นมาเป็นไตรลักษณ์ โดยตัวมันเองเป็นนะ แต่โดยธรรมไม่เคยเห็น สิ่งที่มันเป็นอยู่กับเรา แต่เราไม่เคยเห็นมันเลย แล้วไม่รู้จักมันเลย แล้วทำมันไม่ได้เลย ทั้งๆ ที่อยู่กับเรา ของอยู่กับเรา เหมือนกับเล่นของเลย เที่ยวไปแห่ให้เขาดู “ไอ้นั่นคืออะไร ไอ้นี่คืออะไร” ก็ของตัวเราเอง ทำไมเราไม่รู้ ไม่รู้เพราะมันเป็นอวิชชา ไม่รู้เพราะมันไม่มีความจริงใจ ถ้ามีความจริงใจ มีการกระทำขึ้นมา ครูบาอาจารย์เราไม่มีหรือ ทำไมเราไม่มีเหตุผล ป่วยไข้ก็ไปโรงพยาบาลสิ หมอเขาจะรอตรวจเราว่าเราเป็นโรคอะไร แล้วเราป่วย ทำไมเราไม่ไปหาหมอ

นี่ก็เหมือนกัน เราอยู่กับครูบาอาจารย์ ทำไมจะไม่รู้ว่านี่คืออะไร ถ้านี่คืออะไร ทำไมเราไม่แก้ไข ทำไมไม่แก้ไข ทำไมไม่รักษา ไปนอนจมอยู่กับมันทำไม เวลาเป็นฝีเป็นหนอง ทำไมไม่ปล่อยให้มันเน่าให้มันเฟะไปล่ะ ทำไมต้องรักษามัน เป็นฝีเป็นหนองยังรีบเอายาใส่เลย กลัวมันจะลาม แต่เวลากิเลสมันสุมหัวอยู่นี่ มันทุกข์อยู่นี่ นอนจมขี้อยู่นี่ นอนจมคลุกอยู่กับมัน หัวใจนอนจมอยู่กับกิเลส มันนอนจมขี้อยู่ ทำไมไม่รักษา ทำไมไม่ขวนขวาย ทำไมไม่มีการกระทำ ไปนอนจมอยู่กับมันทำไม เวลาสิ่งข้างนอกเป็นของสกปรกยังรังเกียจมัน ต้องทำความสะอาดมัน ต้องล้างมัน แต่ใจทำไมไม่ล้าง ทำไมไม่ทำ

ถ้ามันทำขึ้นมา ธรรมะ จะเห็นคุณค่าของมันนะ เราเป็นศากยบุตร เราเป็นนักรบ เราจะรบกับกิเลส แล้วกิเลสมันอยู่กับใคร กิเลสของโยมหรือ ต้องไปแก้ไขโยมเขาหรือ โยมเขาเป็นคฤหัสถ์ เขาก็อยู่ทำอาชีพของเขา เขาก็ทำมาหากินของเขาไป ถ้าเขามีปัญญา เขามีศรัทธาของเขา เขาก็จะบวช เขาก็จะชำระกิเลสเหมือนกัน มันหน้าที่ของเขา ไม่ต้องไปยุ่งกับเขา หน้าที่ของเรา ใจของเราทำไมไม่ดู มันทำเสร็จแล้วใช่ไหม ใจของเราไม่มีกิเลสเลยหรือ ถึงต้องไปยุ่งกับคนอื่น หน้าที่ของตัวทำไมไม่ทำ กิเลสในหัวใจทำไมไม่รักษา หน้าที่ของเขาเป็นหน้าที่ของเขา

ในเมื่อเรามีชีวิตอยู่ วัดก็คือวัด เราเป็นพระ มีข้อวัตรปฏิบัติ ถ้ามีข้อวัตรปฏิบัติ เราทำตามหน้าที่ของเรา สอนโดยไม่ต้องสอน ไม่ต้องสอนเขาหรอก ไม่ต้องไปยุ่งกับเขาหรอก ดำรงชีวิตให้อยู่ในศีลในธรรม ชีวิตนี้ดำรงชีวิตของเราให้อยู่ในศีลในธรรม หน้าที่ของเราทำตามหน้าที่ เขาเห็น ทุกคนมีตา แต่เขาจะพูดออกมาหรือไม่พูดออกมานั่นคือการยอมรับ การยอมรับคืออำนาจวาสนา อำนาจวาสนาของเขา ถ้าเขายอมรับเรา เขาจะเชิดชูเราเอง ถ้าเขาไม่ยอมรับเรา เขาเก็บไว้ในหัวใจ ต่อหน้าเคารพนบนอบทั้งนั้นล่ะ แต่ลับหลังเขาอยากให้ไปไกลๆ เลย เขาไม่ต้องการรับรู้ด้วย แล้วมันไม่มีประโยชน์อะไรเลย ถ้าเราไม่รักษาตัวเรา ถ้าเราไม่รักษาใจของเรา

เราต้องกลับมารักษาใจของเรานะ ธรรมะมันอยู่ที่นี่ สอนโดยไม่ต้องสอน ไม่ต้องสอนเขาหรอก เราอยู่กับเรา ถ้ายิ่งไปสอนเขา เขาจะวิ่งหนีนะ ยิ่งจะไปสอนใคร ยิ่งจะต้องการให้เขายอมรับ จะไปเผยแผ่ธรรมกัน กิเลสเต็มหัว แบกแต่สิ่งเน่าเฟะไปสอนกันน่ะ เขาไม่รับหรอก

แต่ถ้ามันเป็นธรรมนะ ดูสิ ครูบาอาจารย์ของเรา หลวงปู่มั่นอยู่หนองผือ ชาวบ้านเขาจะไปทำบุญ เขาต้องซื้อแปลงนาเข้าไป เอาเกวียนผ่านแปลงนาเข้าไป แม้แต่ไม่มีถนน เขายังพยายามเข้าไปหาเลย

นี่ก็เหมือนกัน เราไม่ต้องไปสอนเขาหรอก เราดูใจเรา เราทำตามหน้าที่ของเรา ข้อวัตรปฏิบัติมันต้องรักษานะ เพราะถ้ามันขี้เกียจขี้คร้านนี้โดยกิเลสนะ ครูบาอาจารย์บอกว่าให้ภาวนา แล้วเรื่องข้างนอกอย่าไปยุ่งกับมัน

เราเอาของสงฆ์มาใช้ เตียงตั่งที่เราใช้ เวลาเราไปธุดงค์ ไปที่ไหนก็แล้วแต่ เราเอาของสงฆ์มาใช้ เวลาเราจากที่นั่นไปแล้วเราไม่เก็บ เป็นอาบัติปาจิตตีย์ เพราะของสงฆ์มันไม่มีชีวิต เตียง ตั่ง มุ้ง หมอน มันไม่มีชีวิต มันมาเองไม่ได้ มันกลับเองไม่ได้ คนจะใช้มันไปเอามันมา ใช้มันเสร็จแล้วไม่เอาไปเก็บ เพราะอะไร เพราะข้อวัตรปฏิบัติมันอยู่ที่หัวใจใช่ไหม ถ้าเราไม่เก็บเองก็ดี ไม่ฝากให้พระองค์อื่นเก็บก็ดี จากที่นั่นไป เป็นอาบัติปาจิตตีย์ เห็นไหม ข้อวัตรปฏิบัติ ถ้าไม่ทำ มันก็เป็นอาบัติ ถ้าทำ แบกรับจนเป็นสิ่งที่เป็นโลกๆ ไป มันจะเอาสิ่งนี้เชิดชูเพื่อเราจะเอายศถาบรรดาศักดิ์ มันก็ผิดนะ

แล้วสมดุลมันอยู่ที่ไหน การสอนโดยไม่ต้องสอนจะสอนอย่างไร? ก็สอนเรานี่ไง มันมีประสบการณ์ มีครูมีอาจารย์ ครูบาอาจารย์ท่านทำมา ครูบาอาจารย์ท่านทำมานะ

คารวะ ๖ ถ้าสำนักไหน คารวะ ๖ ยังปฏิบัติกันอยู่ สำนักนั้นจะเจริญรุ่งเรือง หมั่นประชุมกันเนืองนิตย์ พร้อมกันประชุม เลิกประชุมพร้อมกัน ของเสียของหายต่างๆ อาจริยวัตร อาคันตุกวัตร การต้อนรับแขก เขาก็ต้องมีหน้าที่ของเขา ดูสิ การดูแลภิกษุไข้ ถ้าภิกษุไข้ วัตรของผู้ดูแล ก็ต้องรู้จักยา รู้จักดูแลรักษา วัตรของผู้ถูกดูแลจะต้องเป็นคนเข้มแข็ง จะต้องเป็นคนที่กินยาตามที่หมอเขาว่า จะต้องดูแลตัวเอง ไม่ใช่ว่าเราเป็นผู้ป่วย เขาก็ต้องดูแลเรา แล้วก็นอนเป็นเด็กอ่อนไปเลย จะต้องออดอ้อนกัน นี่อาบัติทั้งนั้น ทิ้งมันไป! ไม่ต้องไปดูแลมัน! มันผิดทั้งนั้นล่ะ

มันต้องเข้มแข็งทั้ง ๒ ฝ่าย เข้มแข็งไปหมดเลย นี่วัตรปฏิบัติ แล้วตรงไหนมันสมดุล? สมดุลตรงนี้ไง สมดุลตรงที่ว่าเขาต้องเข้มแข็งขึ้นมา ไม่ใช่จะเอาแต่ใจของตัว แล้วใจของตัวมันคืออะไร ใจของตัวมันคือกิเลสทั้งหมด แล้วไปเอาใจกิเลสได้อย่างไร ไปกล่อมเลี้ยงกิเลสไว้ให้อยู่บนหัวหรือ กิเลส กำลังจะฆ่ามันอยู่ แล้วต่างคนต่างมาอ่อนแอกันอยู่ แล้วมันจะฆ่ากิเลสได้อย่างไร

มันต้องเข้มแข็ง เข้มแข็งในธรรมวินัย ไม่ใช่เข้มแข็งจนออกนอกลู่นอกทาง นั่นไม่ใช่ การเข้มแข็งหรืออ่อนแอมันต้องอยู่ในธรรมวินัย อ่อนแอกับอ่อนโยนต่างกัน คนอ่อนโยน คนเข้มแข็ง คนอ่อนแอ คนแข็งกร้าว มันต่างกันทั้งนั้นน่ะ สิ่งนี้มันต้องฝึกฝนนะ

ต้นไม้มันจะเจริญเติบโตขึ้นมา มันผ่านฤดูกาลนะ ฝนแล้ง ฝนมากเกินไป แช่น้ำมากไป รากเน่า มันต้องแก้ไข ระบายน้ำ ต้องเอาน้ำมาเพื่อให้ต้นไม้มันโตขึ้นมา ประสบการณ์ของชีวิต ประสบการณ์ของครูบาอาจารย์ท่านผ่านโลกมา รัตตัญญู เป็นผู้มีราตรียาว ผู้ที่ผ่านกาลผ่านเวลามา สิ่งนี้มันฝึกฝนกันมา

เรามีครูมีอาจารย์นะ ในเมื่อมีครูบาอาจารย์ สิ่งใดที่ดี เก็บเป็นประโยชน์กับเรา สิ่งใดที่ไม่ดี ไม่มีใครดี ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ไปหมด สิ่งที่ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นที่ละนิสัยได้ ครูบาอาจารย์ของเราละนิสัยไม่ได้ แต่ละกิเลสได้ กิเลสคือการเห็นแก่ตัว กิเลสคือการเอาเปรียบเขา กิเลสคือการอยากขี่บนหัวคน ครูบาอาจารย์กิเลสละได้ แต่กิริยาละไม่ได้

กิเลสละได้ เพราะอะไร เห็นไหม ท่านไม่เอาเปรียบเขา ไม่เอาเปรียบใครทั้งสิ้น ธรรมไม่เอาเปรียบใครหรอก ธรรมมีแต่เมตตา ธรรมมีแต่เผื่อแผ่ มีแต่เจือจานกัน สิ่งนี้เป็นธรรมนะ สิ่งที่เป็นธรรม แล้วเราอยู่นี่ สิ่งนี้มันออกมาจากเจตนาที่บริสุทธิ์ มันซึ้งใจ ไม่ได้ออกมาด้วยเล่ห์

ให้ด้วยเล่ห์ ทุกอย่างด้วยเล่ห์ ความเป็นเล่ห์ไม่มีคุณค่าเลย เพราะให้มาแล้วมันสะกิดใจ แต่ถ้าโดยธรรม ผู้รับมันจะฝังใจ เราเป็นคนทุกข์คนยาก มันมีเหตุการณ์ที่วิกฤติ แล้วมีคนมาช่วยเหลือเรา สิ่งนี้จะฝังใจไปตลอดชีวิตเลย นี่เขามีคุณมาก เวลาทำทาน ทำบุญกุศลกัน นี่สิ่งที่ควร สิ่งที่เสียสละ ถ้าออกมาโดยธรรม

ถ้าออกมาโดยเล่ห์ จะช่วยเหลือมากขนาดไหนเราก็ไม่ค่อยสบายใจ สิ่งที่ไม่สบายใจ มันเกิดมาจากไหนล่ะ ของเหมือนกัน แก้วแหวนเงินทองเหมือนกัน ช่วยเหลือเจือจานเหมือนกัน ทำไมให้แล้วมันไม่สบายใจล่ะ ถ้าให้แล้วมันสบายใจ มันสบายใจที่ไหนล่ะ สบายใจเพราะมันออกมาจากเจตนาที่บริสุทธิ์ เห็นไหม สิ่งที่เป็นธรรม

ย้อนกลับมาที่เรา ย้อนกลับมา ต่างคนต่างรักษาใจ ให้สังฆะนี้บริสุทธิ์ สิ่งที่บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ด้วยเจตนาที่บริสุทธิ์ ถ้าเจตนาที่มันดี ทำแต่สิ่งที่มันดี ไม่ต้องไปหวังให้ใครเขาติฉินนินทาหรอก เขาเห็น แต่ถ้ามันเป็นเล่ห์ ทำดีขนาดไหน ยิ่งทำดีเขายิ่งวิ่งหนี ยิ่งทำดีเขายิ่งไม่เข้ามาใกล้เราเลย ทำไมมันเป็นอย่างนั้นน่ะ เพราะอะไร เพราะมันเห็นโดยเล่ห์ไง

แต่ถ้าเป็นความจริง สิ่งที่ดีทุกคนปรารถนา คนมีหูมีตา ปิดกันไม่ได้หรอก โลกนี้ไม่มีความลับหรอก เราเป็นคนทำ เราเป็นคนรู้ เราเป็นคนรู้ปั๊บ กิริยาที่แสดงออกมันฟ้องหมด มันฟ้องโดยวัตถุ โดยกิริยาท่าทาง แต่ถ้าเป็นเทวดา อินทร์ พรหม เห็นหมดนะ ฤๅษีในสมัยพุทธกาลทำว่าเป็นผู้มีศีล จะกินเหี้ย เหี้ยมันก็มากราบ รอให้เข้ามาใกล้ๆ ถึงสุดท้ายเข้ามาใกล้ๆ ก็เอาวัตถุปา จะฆ่าเหี้ย เหี้ยมันไปแต่ไกลเลย “โอ้โฮ! เห็นกิริยาสงบเสงี่ยม ก็นึกว่าเป็นสิ่งที่ไว้ใจได้ จะไปให้ไกลเลย สมณะชีพราหมณ์ไว้ใจไม่ได้เลย” แม้แต่สัตว์มันยังติได้ ถ้าพูดภาษาตรงๆ สัตว์มันยังด่าเลย สัตว์มันยังด่าได้ มันด่าว่าเอาว่ามันมีแต่กิริยาภายนอก หลอกลวงกัน สิ่งนี้เราไม่ทำ เราจะทำสิ่งที่ดีๆ

เพราะความลับไม่มีในโลก เราทำในหัวใจของเรา เราต้องรู้ในหัวใจของเรา ทำสิ่งที่ดีๆ สิ่งที่ดีๆ นี้ทำเพื่อใคร? ทำเพื่อบูชาธรรม ใครจะเห็นหรือไม่เห็นช่างหัวมัน กาลเวลานะ กลิ่นของศีลหอมทวนลม นี่กลิ่นของศีล แล้วถ้ากลิ่นของธรรม กลิ่นของธรรมมันกังวาน เวลาแสดงธรรมขึ้นมาไม่ใช่ว่ามีแต่มนุษย์ฟัง สิ่งที่เราไม่เห็นมันก็ฟังได้ เพราะเสียงมันฟังกันไป สิ่งนี้มันเข้าถึงหัวใจ มันสะเทือนกิเลส ถ้ามันสะเทือนกิเลสมันก็สะเทือนขั้วหัวใจ เพราะกิเลสมันอยู่ที่ใจ

แล้วถ้าเวลาเราชำระกิเลส กิเลสที่หลุดออกมาจากขั้วหัวใจ มันสะเทือนโลกธาตุ โลกธาตุมีดิน น้ำ ลม ไฟ แล้วหัวใจเราหวั่นไหว ร่างกายเรามันขนพองสยองเกล้า มันกระเทือนโลกธาตุไหม ถ้ากระเทือนโลกธาตุ มันกระเทือนกิเลส เวลากิเลสมันหลุดออกไปจากใจทีละเปลาะๆ มันสะเทือนโลกธาตุเลย สิ่งนี้อยู่ที่เรานะ ถ้าความบริสุทธิ์อย่างนี้ เราถนอมรักษาอย่างนี้

คุณธรรม หน่อของธรรมจะเกิดจากใจของเรา หน่อของกิเลส ป่ารกชัฏ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกให้ตัดป่าให้หมด แต่ต้นไม้ไม่ได้ตัดแม้แต่ต้นเดียว หน่อของธรรมมันโผล่ขึ้นมา มันผุดขึ้นมาในหัวใจเราด้วย ตัดป่ารกชัฏ กิเลสในใจของเรา ตัดมันให้หมด ทำลายมัน ทำลายยาก แต่ก็ต้องทำลาย ทำลายเพราะเราเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส เราเป็นลูกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นลูกของกษัตริย์ แต่ลูกของกษัตริย์ต้องมีศักดิ์ศรี การดำรงชีวิตของเราให้มันซื่อสัตย์กับศีลกับธรรม อย่าออกนอกลู่นอกทาง ทำอะไรให้อยู่ในศีลในธรรม แล้วประพฤติปฏิบัติ ศีล สมาธิ ปัญญา ปัญญาจะเกิดกับเรา ถ้าปัญญาเกิดกับเรา ชำระกิเลสของเรา มันจะเป็นประโยชน์ของเรา

ศากยบุตรพุทธชิโนรส ศากยบุตรบวชมาเป็นสมมุติสงฆ์ บวชมาในศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเป็นศากยบุตรในหัวใจ ใจเป็นพุทธะ ใจเป็นพุทธะในหัวใจของเรา แล้วเราจะซึ้งธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาก เอวัง