รู้จากภาวนา
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๓
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ถาม : เรื่อง “ขอคำแนะนำแนวทางปฏิบัติ”
กราบนมัสการหลวงพ่อ ลูกได้นั่งภาวนาโดยการดูลมหายใจเข้าออก ปกติพอจิตมันเริ่มเข้าสู่ความสงบจะมีความรู้สึกแผ่ซ่านออกจากแถบลิ้นปี่ไปทั่วร่างกาย มีความสุข ลมหายใจละเอียดเบาสบาย
เมื่อคืนนั่งภาวนามีความแปลกออกไปจากทุกครั้ง คือรู้สึกเหมือนว่ามีลมเย็นสบายเข้าออกจากรูขุมขนทั่วร่างกาย ลมเย็นทั่วร่างกายนี้ปรากฏชัดเมื่อเวลาหายใจออกมากกว่าหายใจเข้า
ลูกได้ใช้วิธีดูอาการทางกายนี้เช่นเดียวกับที่ดูลมหายใจ คือแค่รับรู้อาการต่างๆ ที่เกิดขึ้นเฉยๆ ตามความเป็นจริง ไม่ได้เอาจิตไปยินดียินร้าย เมื่อรู้สึกแล้วก็ไม่สนใจลมเย็นนี้ แล้วกลับไปดูลมหายใจต่อตามเดิม
ลูกจึงอยากขอคำแนะนำจากหลวงพ่อว่า ลูกได้ปฏิบัติถูกทางแล้วหรือไม่เจ้าคะ ขอขอบพระคุณค่ะ
ตอบ : ไอ้นี่พูดถึงกำหนดลมหายใจๆ นะ ถ้ากำหนดลมหายใจ เริ่มต้นในการปฏิบัติก่อน เวลาปูพื้นฐาน ปูพื้นฐานมา ทาน ศีล ภาวนา
ในการทำบุญกุศล การทำบุญกุศลมันเพิ่มอำนาจวาสนาบารมีของตน ในการทำทานๆ คนที่จิตใจเผื่อแผ่ คนที่จิตใจเป็นธรรมๆ เขาจะมีเพื่อนฝูงของเขา เขาจะมีคนรอบข้างของเขา นี่คือผลของทาน
ทาน ศีล ภาวนา
การทำบุญๆ ทำบุญเพื่อตัวเรานี่แหละ สิ่งที่เราเสียสละ เสียสละมันอยู่ที่มากน้อย ความมากน้อย มากน้อยในวัตถุเรื่องหนึ่ง มากน้อยในหัวใจไง
คนที่เป็นธรรมๆ นะ เวลาเขาทำเขาปิดทองหลังพระ เวลาเขาทำทานเขาจะไม่ให้ใครรู้ว่าเขาทำอะไรเลย มีหลายๆ คนมากที่เวลาทำบุญๆ ทำบุญผ่านคนอื่น ไม่ให้รู้ว่าตัวเราทำๆ ไง
ไอ้คนที่ไปทำๆ ที่เราเห็นที่วัดป่าบ้านตาด พวกนายหน้าทั้งนั้นน่ะ พวกทำบุญๆ ข้างหน้าเป็นนายหน้า นายหน้าคืออะไร นายหน้าคือมีนายทุน นายทุนคนที่เขามีทรัพย์เขาไม่อยากแสดงตัว เขาให้ทุนไง ให้ทุนพวกนี้ว่า ทำไอ้นั่นค่ะ ทำไอ้นี่ค่ะ ทำไอ้นี่ พวกนายหน้า พวกนายหน้าพวกทำบุญ นี่พูดถึงระดับของทาน ถ้าอย่างนี้เจตนา
ที่เป็นบุญๆ ที่เป็นทานๆ คนที่เขาปิดทองหลังพระนะ ปิดทองหลังพระเขาทำเขาไม่ให้รู้ตัวว่าเขาทำ เพราะถ้ารู้ว่าเขาทำมันเป็นเรื่องของทางโลกไง ทางโลกถ้ารู้ว่าใครทำแล้วทุกคนจะมุ่งไปหาเขา แล้วไปขอความช่วยเหลือจากเขา เขาจะปิดตัวตนของเขา นี่คนที่เขาสมบูรณ์ในทานของเขา เขาไม่แสดงตัว เขาทำของเขา แล้วอย่างนั้น นั่นน่ะที่ว่าทำบุญทิ้งเหวๆ ทำบุญทิ้งเหวเขาทำกันอย่างนั้น ทำบุญทิ้งเหว ทำแล้วไม่ให้ใครรู้ นั่นทำบุญทิ้งเหว
แต่เวลาทำแล้ว ถ้ากล้องยังไม่ได้ตั้งกล้อง มันทำไม่ได้ ต้องกล้องตั้งก่อนนะ ไอ้อย่างนั้นกรณีทำมันก็บุญของเขา แต่บุญอย่างนั้นมันเป็นอย่างว่านะ ๕๐–๕๐ แต่ถ้ามันยิ่งประกาศชื่อเสียงกิตติศัพท์กิตติคุณ เรื่องของเขา ไอ้นี่มันเป็นการประชาสัมพันธ์ วัดวาอารามต่างๆ เขาต้องบอกใครให้เท่าไรจะเขียนตัวใหญ่กว่า จะเขียนไว้หน้าวัดเลย
แต่พระปฏิบัติไม่เป็นอย่างนั้น พระปฏิบัตินะ เขาต้องการความสงบระงับ เขาไม่ต้องการที่พลุกพล่าน เขาต้องการความสงบไง ทาน ศีล ภาวนา
ถ้าเรื่องของทานเป็นเรื่องของทาน เรื่องหนึ่ง เรื่องของศีลคือความปกติของใจ ใจที่เป็นปกติมันทุกข์มันยาก ถ้ามีศีลมันก็ละเอียดขึ้น แล้วถ้าภาวนาๆ คนที่จะภาวนามันต้องตั้งใจไง
การภาวนาคือการเอาชนะตนเอง
ถ้ากำหนดพุทโธหรืออานาปานสติ ถ้ามันสมบูรณ์แบบของมัน มันชนะกิเลสแล้ว คือมันสงบตัวลง
อย่างเช่นคำถามนี้ เวลาเขาภาวนาๆ เขารู้สึกว่าแผ่ซ่าน รู้สึกแผ่ซ่านต่างๆ มันมีความสุขของมัน มีความร่มเย็นของมัน มีความสุขมากๆ แล้วมีความสุขมาก คนที่มีพื้นฐาน เวลาเกิดความสุขขึ้นมาแล้วไม่เอาจิตไปผูกพันกับมันไง ไม่ยินดียินร้าย เขาบอกเขาไม่ยินดียินร้ายกับลมหายใจนั้น แล้วลมหายใจนั้น สังเกตได้ว่า ถ้าหายใจเข้ามันจะแผ่ซ่านมากกว่า หายใจออกมันจะแผ่ซ่านน้อยกว่า
ไอ้นี่ตั้งสติไว้ ไม่ต้องไปรู้สึกนึกคิดอย่างนั้น ตั้งสติไว้แล้วกำหนดพุทโธไปเรื่อยๆ กำหนดพุทโธไปเรื่อยๆ ถ้ากำหนดลมหายใจก็กำหนดลมหายใจไปเรื่อยๆ
เวลากำหนดลมหายใจ วิตก วิจาร เวลาหายใจเข้า หายใจออกคือวิตกขึ้น คือมีสติกำหนดรู้ลมนั้น วิตก วิจาร วิจารคือลมเข้าลมออก เวลาพุทโธๆ นึกพุทนึกโธนี่วิตก วิตกขึ้น เวลาวิจาร พุทโธๆ วิตก วิจารต่อเนื่องไปๆ ถ้ามันสมดุลของมัน มันจะเกิดปีติ
นี่ไง ลมแผ่ซ่านอย่างนั้นน่ะมันก็เป็นปีติ
แล้วถ้าพอมันแผ่ซ่านใหม่ๆ คนปฏิบัติใหม่ๆ พอมันแผ่ซ่าน เวลาเนื้อตัวมันขยายมันมหัศจรรย์นะ มันมีความสุขของมัน เพราะมันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก เป็นการกระทำของตน เป็นจิตที่ได้ประสบเอง ไม่มีใครมาบอก ไม่มีใครมาชักจูงเรา เรารู้เราเห็นอย่างนี้มันเป็นของจริง มันยิ่งฝังใจใหญ่เลยล่ะ
แล้วฝังใจ เวลามันได้ครั้งแรกมันจะ อู้ฮู! มหัศจรรย์ แล้วมันสุขมาก แล้วต่อไปมันก็เกิดบ้างไม่เกิดบ้าง พอเกิดบ้าง มันจะเกิดความลังเลแล้ว ทำไมไม่เป็นอย่างนั้น ทำไมไม่เป็นอย่างนั้น
ไม่เป็นหรอก เวลาเป็นอย่างนั้นมันขี้ใหม่มาหอมไง เวลาขี้ใหม่ๆ หมามันได้กลิ่น มันมาเลยล่ะ ขี้เหม็นๆ ขี้เก่าๆ หมามันไม่มาหรอก
นี่ก็เหมือนกัน ทำซ้ำทำซาก ทำซ้ำทำซาก มันชิน มันชินมันคุ้นเคย อารมณ์อย่างนั้นมันจะเบาลงๆ เห็นไหม วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตารมณ์ เวลามันต่อเนื่องๆ นี่พูดไว้เลย
เขาบอกว่า เวลาทำอย่างนี้ถูกต้องไหม แล้วขอคำแนะนำหลวงพ่อต่อไปว่าทำอย่างไรต่อ
กำหนดพุทโธต่อเนื่องๆ กำหนดพุทโธหรือกำหนดลมหายใจ แล้วอยู่กับลมหายใจ สิ่งที่เกิดขึ้น เกิดขึ้นเพราะว่ามีวิตก วิจาร เกิดขึ้นเพราะเรากำหนดลมนั้น ลมนั้นกับจิตนั้นมันกำหนดแล้วมันสมดุลต่อกัน
การภาวนาคือการเอาชนะตนเอง การภาวนาคือการเอาชนะตนเอง ถ้าการเอาชนะตนเองคือชนะกิเลสในใจของตนไง กิเลสในใจของตนมันสงบนิ่งลง ใจมันก็ปลอดโปร่ง ใจมันแผ่ซ่าน นี่มันเกิดจากอะไร
เกิดจากลมหายใจเข้าและลมหายใจออก เกิดจากกำหนดพุทโธๆๆ นี่แหละ แล้วการกำหนดอันนี้มันถึงเกิดอาการแผ่ซ่านอย่างนี้ แล้วเกิดอาการแผ่ซ่านอย่างนี้มันคืออะไร
ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ เหตุมีเท่านี้มันก็ได้เท่านี้ แล้วถ้ากำหนดพุทโธต่อเนื่องไปๆ หรือกำหนดลมต่อเนื่องไป อย่าให้มันส่งออก
การเอาชนะตนเอง มันมีการเอาชนะตนเองได้มาก การชนะตนเองได้ปานกลาง การชนะตนเองด้วยความลึกซึ้ง ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิไง การชนะตนเองเป็นครั้งเป็นคราว
แล้วการชนะตนเองเป็นครั้งเป็นคราว ฝึกหัดๆ แล้วอย่าไปตื่นเต้น อย่าไปฟุ้งซ่านไปกับความรู้สึกอันนั้น อย่าไปตื่นเต้นกับมัน อย่าไปผูกพันกับมัน เพราะอะไร เพราะมันเป็นอดีตไปแล้ว สิ่งที่เราเคยทำมาเมื่อวานผ่านไปแล้ว วันนี้ ปัจจุบันนี้ พรุ่งนี้จะตามมา
วันนี้ทำแล้วมันเจ็บช้ำ วันนี้ทำแล้วมันมีแต่ความกระเทือนนะ พรุ่งนี้กระเทือนมากกว่านี้ วันนี้ถ้าทำแล้วมันราบรื่น พรุ่งนี้จะดีกว่านี้ เมื่อวานที่ทำมาแล้วมันผ่านไปแล้ว
นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่ผ่านมาแล้ว มันผ่านไปแล้ว การกระทำไง พระพุทธเจ้าภาวนามา ๖ ปี ครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติทั้งชีวิต ไอ้เรากระทำ เรากระทำไว้เพื่อเป็นธรรมโอสถไง การประพฤติปฏิบัติ เราได้ทำๆ ขึ้นมา
เรามีการศึกษานะ ศึกษาเรื่องโลก ศึกษาเรื่องชีวิต ศึกษาเรื่องวิชาชีพ ศึกษาจนตาย พอมึงตายไปแล้วนะ ที่มึงศึกษามาใช้ไม่ได้แล้ว เพราะเดี๋ยวนี้มันออนไลน์หมดแล้ว ต่อไปมันจะเร็วกว่านี้
การศึกษาๆ ไง ศึกษาทุกอย่าง ศึกษาเป็นวิชาเป็นความรู้ของเราทั้งสิ้น มันหมดสมัย มันล้าสมัย เดี๋ยวนี้โลกวิวัฒนาการมันเปลี่ยนไปหมดแล้ว นี่ก็เหมือนกัน เวลาปฏิบัติมันได้แค่ไหน มันผ่านไปแล้ว มันผ่านไปแล้ว ถ้ามันผ่านไปแล้ว
นี่พูดถึงนี้พูดถึงคนที่ประพฤติปฏิบัตินะ พูดถึงหลักการของมันไง แล้วเราปฏิบัติไปแล้วมันก็จะเผชิญกับหลักการนี้แหละ แล้วพอเผชิญกับหลักการนี้แล้ว เราไปน้อยอกน้อยใจ เราไปตีค่าความเห็นของเรา คุณค่าของเรา มันก็เป็นเรื่องทัศนคติ เรื่องมุมมองของเราไง
แต่โดยหลักการก็ศีล สมาธิ ปัญญา โดยหลักการของเรา มรรค ๘ โดยหลักการ โดยหลักการ แล้วเราประพฤติปฏิบัติเราก็พยายามปฏิบัติให้สมบูรณ์กับหลักการอย่างนี้ ถ้าหลักการอย่างนี้ นี่ไง การเอาชนะตนเองไง
ถ้ามันสงบอย่างนี้ มันแผ่ซ่าน มันต่างๆ อันนี้มันเป็นผล วิบาก ผลจากการกระทำ มันดีงามแล้วแหละ
แล้วที่เราบอกว่าให้กำหนดลมหายใจไปเรื่อยๆ แล้วก็พุทโธไปเรื่อยๆ อย่าทิ้ง
หลวงปู่มั่นท่านสั่งหลวงตาพระมหาบัวไว้ว่า อย่าทิ้งผู้รู้ อย่าทิ้งพุทโธ
อย่าทิ้งผู้รู้คืออย่าทิ้งหัวใจของเราไป
อย่าทิ้งพุทโธ อย่าทิ้งพุทโธคือหัวใจเราต้องมีคำบริกรรม หัวใจของเราต้องขยับ หัวใจของเราต้องเคลื่อนไหว การเคลื่อนไหว เคลื่อนไหวให้มันสงบไง
ถ้าไม่เคลื่อนไหวมันก็แช่อยู่กับอารมณ์เดิมอยู่อย่างนั้นไง การเคลื่อนไหวของเราคือพุทโธๆๆ เคลื่อนไหวเพื่อสงบ คือนวกรรม คือการกระทำ คือคำบริกรรม
ถ้าไม่มีคำบริกรรม ไม่มีนวกรรม ไม่มีการกระทำ มันก็แช่อยู่อย่างนั้นน่ะ แล้วแช่อยู่อย่างนั้นบางทีมันก็ดีนะ มันสบายๆ แล้วก็แช่อยู่อย่างนั้นน่ะ ไม่มีทางเป็นอะไรดีขึ้นไปกว่านั้นหรอก
แต่ถ้ามันพุทโธๆๆ มันเคลื่อนไหว พอการเคลื่อนไหวมันมีการกระทำ สิ่งที่สกปรกมันก็จะซักฟอกให้สะอาด สิ่งที่เป็นของเหม็น ของไม่ดีนะ ก็ขยับเขย่าให้มันหลุดออกไป พุทโธๆๆ กำหนดลมหายใจ เราทำของงเราต่อเนื่องไปๆ มันก็จะดีขึ้นไปเรื่อยๆ
ถ้าดีขึ้นไปเรื่อยๆ แล้วถ้าเรื่อยๆ แล้ว เวลาเราจะฝึกหัดใช้ปัญญา เวลาเราทำความสงบของใจแล้ว ถ้าใจมันสงบ เราทำได้แค่นี้ เวลาถ้ามันพุทโธแล้วมันไม่ไปไหนต่อเนื่อง เราก็ใช้ปัญญาวิเคราะห์ วิเคราะห์การกระทำของเรา วิเคราะห์ชีวิตของเรา วิเคราะห์ได้ ถ้าวิเคราะห์ไปแล้วถ้ามันเหนื่อยหน่ายก็กลับมาพุทโธต่อเนื่องๆ ปัญญาอย่างนี้เป็นปัญญาฝึกหัด มันเป็นการฝึกหัดให้หัวใจ ให้ใจเรามันมีการกระทำ ฝึกหัดๆ
แล้วถ้าคนฝึกหัดๆ ถ้ามันสมดุล มันสมเหตุสมผล มันก็จะเกิดอาการที่ว่าเราแผ่ซ่าน เวลาใช้ปัญญาไปแล้วมันจะโล่งไปมากกว่านี้ไง มันจะโล่ง มันจะโถง มันจะยอดเยี่ยม โอ้โฮ! ไม่มีอะไรยอดเยี่ยมกว่าหัวใจที่มันเข้าใจชีวิตเลย นึกว่านิพพานนะ ไม่ใช่หรอก
มันไม่ใช่ หมายความว่า เวลาต้นไม้มันได้น้ำ ได้ปุ๋ย ได้อากาศที่ดี ดอกไม้มันจะแช่มชื่น หัวใจ หัวใจที่มันได้อบรมบ่มเพาะที่ดีงามมันจะมีความสุขของมัน ที่ว่ามันจะนิพพาน ยัง ไม่ใช่
ต้นไม้มันได้น้ำ ได้ปุ๋ยดี หัวใจได้รับการดูแลที่ดี มันได้มีการกระทำที่ดี เราฝึกหัดของเราไปเรื่อยๆ มันจะพัฒนาของมันไปเรื่อยๆ แล้วการที่มันจะพัฒนา เคลื่อนไหวเพื่อสงบ พุทโธ กำหนดลมหายใจเพื่อสงบ เพื่อความสงบระงับ แล้วความสงบระงับมันจะดีขึ้นเรื่อยๆ
คำว่า “ดีขึ้นเรื่อยๆ” คือมันจะลึกกว่านี้ มันจะอบอุ่น มันจะชื่นบานกว่านี้ แล้วมันอบอุ่นชื่นบาน สุข หาได้ในหัวใจของเราเอง ความสุขหาได้ในชีวิตเรานี้เอง ไม่ต้องไปแสวงหาจากภายนอก ไม่ต้องไปแสวงหาจากที่ไหน แล้วพยายามกระทำของตนขึ้นไป นี่คือการฝึกหัดไง
คำถามว่า เขาทำอย่างนี้ถูกต้องหรือไม่
ถ้ามันแผ่มันซ่านต่างๆ มันเปิดปีติ เกิดความสุขขึ้นมา เกิดจากการกระทำ ไอ้นี่เป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก เป็นการยืนยันกับผู้ที่ปฏิบัตินั้น
แต่เวลาผู้ที่เขาเรียนอภิธรรม เขาเรียนทางวิชาการเขาบอกว่า หลวงพ่อสอนให้คนสะกดจิต ทำให้มันแผ่ซ่าน ไปฉีดยาก็ได้ ฉีดเซรุ่มเลย มันแผ่ซ่าน”
ไอ้นั่นมันฉีดยา ไม่เกี่ยว
นี่เหมือนกัน อย่างที่ว่าหลวงพ่อสอนให้สะกดจิต
ไม่ใช่ นี้เป็นเบสิก นี้เป็นพื้นฐาน นี้เป็นพื้นฐานของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติจิตตภาวนา การประพฤติปฏิบัติเขาเอาหัวใจ เขาค้นคว้าใจของตนเพื่อมาประพฤติปฏิบัติจิตตภาวนา ไม่ใช่ตำราภาวนา ไม่ใช่ท่องจำภาวนา ไม่ใช่เอาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาวิเคราะห์วิจัยภาวนา ไม่ใช่
จิตตภาวนา มันจะได้มากได้น้อย พันธุกรรมของจิตๆ บุคคลแต่ละบุคคลที่ประพฤติปฏิบัติแล้วจะเหมือนกันทั้งหมดไม่มี ไม่มี มันจะเป็นของใครของมัน เพราะเวรกรรมของคนไม่เหมือนกัน ความรู้สึกนึกคิด เวรกรรมของคนไม่เหมือนกัน แต่เรากำหนดในกรรมฐาน ๔๐ ห้อง กำหนดลมหายใจ พุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ วิธีการทำความสงบ ๔๐ วิธีการ วิธีการเหมือนกันได้
เราทำเหมือนกัน แต่ผลที่ตอบสนองถ้าจะเหมือนกัน เป็นไปไม่ได้ เว้นไว้แต่ไปก๊อบปี้มา สร้างภาพมา อันนั้นก็เป็นธรรมะก๊อบปี้ เป็นการสร้างภาพมา เดี๋ยวเขาทวงค่าลิขสิทธิ์นะ
นี่พูดถึงว่าพื้นฐานๆ
ไม่ต้องไปตกใจที่เขาบอกว่า “หลวงพ่อสอนโง่ๆ แหม! แผ่ซ่านมาอย่างนี้ คนนั่งธรรมดามันก็ชา มันก็เหมือนกัน”
ไอ้นั่นมันชา มันชาที่ร่างกาย ไม่เกี่ยวกัน เพราะว่าทัศนคติและมุมมองแตกต่างกันไปมาก แต่เราทำของเราเพื่อเหตุนี้ เพื่อปฏิบัติของเรานะ นี่พูดถึงข้อที่ ๑. คำถามที่ ๑.
ถาม : เรื่อง “นั่งสมาธิเกิดความมหัศจรรย์ในจิต”
กราบเรียนหลวงพ่อ กระผมขอกราบขอขมาหลวงพ่อ ครูบาอาจารย์ ผิดหรือถูก ครูบาอาจารย์ช่วยชี้แนะกระผมด้วยครับ
กระผมทำวัตรสวดมนต์ นั่งสมาธิที่บ้าน มีอยู่วันหนึ่งนั่งสมาธิแล้วจิตใจโล่งมีความสุข และวันต่อมาก็เป็นแบบเดียวกันอีก
พอมาวันที่ ๓ ขณะที่นั่งสมาธิแล้วจิตในสงบ มีความรู้สึกสบายจิต และคิดในใจว่า จิตใจเราทำไมถึงสงบ รู้สึกเบากายเบาใจ มีศรัทธาในการประพฤติปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ามั่นคงเช่นนี้ หรือว่าเราเป็นพระโสดาบัน
พอกระผมคิดแบบนี้ในใจ มีความคิดผุดขึ้นมาจากใจว่า สำคัญตัวเป็นทิฏฐิมานะ พอความคิดนี้เกิดขึ้น ความสงสัยในขณะนั้นเปื่อยออกในใจ เหมือนโยนอะไรลงไปในกระทะร้อน และเปื่อยละลายไปทันที ร่างกายขนลุกไปทั้งตัว จิตใจเกิดความสงบ เกิดความสุข และความเข้าใจเกิดขึ้นพร้อมกัน ความสุขเกิดขึ้นพร้อมกับความเข้าใจ ใจนี้โล่งหมด เหมือนกับว่าเข้าใจไปหมดทั้งโลก เป็นความเข้าใจและความสุขที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กันที่อัศจรรย์ใจมากครับ และมีความเข้าใจว่า หากเราจะละจะวางกิเลสออกจากใจต้องเป็นแบบนี้
กระผมขอกราบนอบน้อมพ่อแม่ครูจารย์ การประพฤติปฏิบัติของผมมีความเข้าใจถูกต้องหรือผิดทางดำเนินหรือไม่ น้อมกราบขอบพระคุณ ช่วยชี้แนะด้วยนะครับ
ตอบ : อันนี้เมื่อปัญหาที่แล้ว เรื่องการภาวนาว่าจิตใจที่มันแผ่ซ่าน เวลามันกำหนดพุทโธๆ มันต้องมีเหตุมีปัจจัย ธรรมทั้งหลายต้องมาแต่เหตุ มันต้องมีเหตุมันถึงจะมีผล
แต่ส่วนใหญ่ ส่วนใหญ่ในการประพฤติปฏิบัติไปมีแต่จินตนาการ เหตุมันไม่มี เวลาจินตนาการ เหตุไม่มี มันก็เป็นการจินตนาการต่อเนื่องไป การจินตนาการต่อเนื่องไปก็จินตนาการจากตำรับตำรา จากทางวิชาการ จากคำสั่งคำสอนของครูบาอาจารย์ แต่เวลาการประพฤติปฏิบัติมันให้เป็นความจริงของเราๆ ถ้าเป็นความจริงของเรา เห็นไหม
นี่คำถาม คำถามว่า เวลานั่งสมาธิไป นั่งสมาธิไปแล้วมีความสุขมาก มีความสุขมาก มีความสุขมาก
เราจะบอกว่า เพราะเรานั่งอยู่นี่ มีนักปฏิบัติมากมายมหาศาลที่เคยภาวนาได้ แล้วทิ้งไป ๑๐ ปี ๒๐ ปีมาหาเรานี่ “หลวงพ่อ หลวงพ่อช่วยพูดให้ผมกลับมาปฏิบัติใหม่สิ” บางคนก็ “หลวงพ่อๆ หนูทิ้งไป ๑๐ ปีแล้วทำอย่างไรดี จะกลับมาปฏิบัติได้ไหม”
ที่บอกว่าเวลาปฏิบัติไปแล้ว โอ้โฮ! มันมีความสุขมาก มันโล่งหมดเลย
มีคนเป็นอย่างนี้มาเยอะแยะไปหมดแล้วล่ะ เวลาตอนมันเป็นมันดีมากๆ แล้วพอดีมากๆ ไป วันเวลา ที่เราบอกว่าสรรพสิ่งในโลกนี้มันต้องเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา ตอนที่เวลามันทำได้มันก็มีความสุข มันก็มีความมั่นใจ
เวลาพระบวชมา บวชแล้วชาตินี้ต้องเป็นพระอรหันต์แน่นอน บวชแล้วหาบริขารเลย เข้าป่า ปฏิบัติจะให้เป็นพระอรหันต์ให้ได้เลย เดี๋ยวออกมาแล้วคางเหลืองออกมาเต็มไปหมดเลย
มันอยู่ที่วาสนาของคนไง
นี่ก็เหมือนกัน เวลาประพฤติปฏิบัติที่จิตใจมันดีงาม จิตใจที่มันสงบระงับด้วยบุญกุศลของเรานะ เราอย่าประมาท ห้ามประมาทเด็ดขาด แล้วดูแลรักษาต่อเนื่องไปๆ ถ้ารักษาต่อเนื่องไป พุทโธไปเรื่อยๆ แล้วโดยที่ว่าไม่ปล่อยปละละเลย
เพราะเจริญแล้วเสื่อม เสื่อมแล้วเจริญ
โดยธรรมชาติฤดูกาลมันเปลี่ยนแปลงไปปีหนึ่ง ๓ รอบ ฤดูร้อน ฤดูฝน ฤดูหนาว มันเปลี่ยนแปลงของมันไปตลอด แล้วเปลี่ยนแปลงไปบางปีร้อนมาก ร้อนอย่างน้อย ร้อนปานกลาง ร้อนที่สุด มันไม่มีฤดูอะไรเลย มันเปลี่ยนแปลงไปทั้งสิ้น เวลาหน้าฝน หน้าหนาวฝนก็ตก หน้าร้อนฝนก็ตก หน้าฝนฝนก็ตก มันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ความเปลี่ยนแปลงไป เพราะสภาพแวดล้อมมันเปลี่ยนแปลง ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปหมดน่ะ
นี่ก็หมือนกัน เวลาภาวนาๆ เดี๋ยวมันก็ดี เดี๋ยวมันก็ร้าย แล้วถ้าครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติ ถ้าครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมนะ ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปี ถ้าปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม
ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมคือปฏิบัติแล้วถูกต้องดีงาม ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมไม่ใช่ปฏิบัติธรรมสมควรแก่กิเลส ปฏิบัติธรรมสมควรแก่การจินตนาการของตน ปฏิบัติธรรมแล้วแต่ว่าให้ใครรับรอง ปฏิบัติเพื่อคนอื่น ใครจะเป็นประโยชน์กับใคร
ฉะนั้น สิ่งที่มันดีงามๆ เพราะว่ามันมีความสงบ มีความระงับ แล้วเวลามันเกิด พอจิตมันสงบมันมีความสุขมากเลยล่ะ โอ้โฮ! มันมีความรู้สึกขึ้นมาเลยว่า เอ๊ะ! หรือเราเป็นพระโสดาบัน
สติยังดีมากนะ ไม่ได้เป็นไง
“หรือเป็นพระโสดาบัน เป็นต่างๆ”
เวลาจิตมันสงบแล้วมันจะมีธรรมะผุดขึ้น คำว่า “ธรรมะผุดขึ้น” มันอยู่แต่ละบุคคลนะ คนที่มีอำนาจวาสนาขึ้นมามันก็จะผุดขึ้นมาเป็นคติเป็นคำที่ว่าให้หัวใจมันมีช่องทางก้าวเดินต่อไป
นี่ไง เวลาธรรม เวลาหลวงตาท่านพูดไง เวลาท่านมหัศจรรย์ในใจของท่าน ที่อู๋ย! มันโล่งโถงไปหมด มันมองทะลุภูเขาเลากาไปหมดเลย ท่านพูดเลย ธรรมะผุด ฟังธรรม ธรรมมาเตือนไง
ท่านใช้คำว่า “ธรรมมาเตือนเลย” สัจธรรม อริยสัจมาเตือนเลยล่ะ สิ่งที่เกิดขึ้นที่สว่างไสว ที่มันมหัศจรรย์ มันเกิดขึ้นจากหัวใจ มันเกิดขึ้นจากจุดและต่อม มันเกิดขึ้นจากเหตุ มันต้องมีเหตุที่เกิด ไม่มีเหตุที่เกิด มันจะเกิดอะไรขึ้นมาไม่ได้หรอก สิ่งที่เกิดขึ้นมันมีที่มาที่ไปทั้งสิ้น
ท่านบอกธรรมะมาเตือนนะ แต่วาสนาของท่านไง ท่านบอกว่าถ้าหลวงปู่มั่นอยู่ ท่านไปถามหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นก็จะชี้เข้ามาจุดและต่อมในใจ แต่เพราะหลวงปู่มั่นท่านนิพพานไปแล้ว จุดและต่อม มันต่อมอะไร มันจุดอะไร
อ๋อ! มันจุดบนดวงดาวมั้ง มีพระมาถามเยอะแยะ เขาบอกว่าเขาเห็นจุดและต่อมเป็นดวงดาว ดวงจันทร์ นู่น จุดและต่อมอยู่อวกาศนู่นน่ะ
จุดและต่อมมันอยู่กลางหัวอกนี้ต่างหากล่ะ
นี่พูดถึงว่าเวลาธรรมมันผุด ธรรมะมาเตือน
นี่ก็เหมือนกัน พอบอกว่า “อย่างนี้เราไม่ใช่พระโสดาบันหรือ” มันเกิดธรรมะ ธรรมอีกอันหนึ่งขึ้นมาเตือนไง “ถ้าเป็นการสำคัญตนอย่างนี้มันเป็นทิฏฐิเป็นมานะ” เห็นไหม โสดาบันหายเลย โสดาบันไม่หลงตัวเองเลย
สิ่งที่เราไปเกิดความสุข ไปเกิดความมหัศจรรย์ มันพยายามจะตีค่าว่าเป็นโสดาบัน เป็นสกิทาคามี เป็นอนาคามี
เวลาธรรมของคนที่มันผุดนะ บางคนผุดแล้ว โอ้โฮ! อาการมันยิ่งใหญ่นักนะ อำนาจวาสนาบารมีของคนมันไม่เหมือนกันไง ถ้าอำนาจวาสนาบารมีของคนมันเบาบาง มันผุดขึ้นมาก็เป็นคำพูด คำสั่งคำสอน เวลาอำนาจวาสนาของคนที่ปานกลางนะ เวลาผุดขึ้นมาแล้วมันยังมีความรู้ความเห็นมหัศจรรย์เพิ่มขึ้น แล้วที่ยิ่งถ้าเป็นคนที่มีอำนาจวาสนา เวลามันผุดขึ้นมันสร้างภาพให้เห็นเป็นอาณาจักร ให้เห็นตัวเองยิ่งใหญ่ นี่มันแตกต่างกันไง
นี่เวลาธรรมเกิด ธรรมเกิดมันก็ยังมีวาสนาของคนที่สูงต่ำแตกต่างกัน แล้วถ้ามันเกิดอย่างนี้ “อย่างนี้ไม่ใช่พระโสดาบันหรือ” ไอ้นี่ความคิดเกิด ความปรุงเกิด นี่ธรรมเกิด แต่มันก็มีสติปัญญา “ถ้าเกิดอย่างนี้มันเป็นทิฏฐิ ถ้าเราหลง คือเรายึดมั่นจะเป็นทิฏฐิเป็นมานะ มันไม่ใช่”
พอไม่ใช่ขึ้นมา ปัญญาจริงๆ ไง ปัญญาเกิด ปัญญาของเราที่เราฝึกเอง เราทดสอบเอง พอมันทดสอบเองมันเกิดปมในใจใช่ไหม เวลาปัญญามันเกิดมันคลี่คลายปมในใจนะ
เขาบอกว่า โอ้โฮ! มันยิ่งมหัศจรรย์เข้าไปใหญ่เลย เหมือนกับความรู้สึกของเรานะ เหมือนกระทะร้อนๆ เอาเนยลงไปมันก็ละลายหมดไง ความรู้สึกที่เราจะยึดมั่นถือมั่นมันเปื่อยหมดเลย มันละลายหมดเลย
ถ้ามันละลายด้วยศีล สมาธิ ปัญญา มันละลายด้วยสติปัญญาของเราเอง มันเกิดความสุขมากกว่าที่ว่าเราเป็นพระโสดาบัน เป็นพระโสดาบันมันก็เป็นพระโสดาบันไง ไอ้นี่มันทิ้งพระโสดาบันไง มันยิ่งมหัศจรรย์ในความรู้สึกของตัวเองขึ้นไปใหญ่เลยนะ โล่งไปหมดเลย เห็นไหม อันนี้คืออะไร
ที่ว่าเวลาทำความสงบของใจ เวลาบอกว่า “นี่เป็นพระโสดาบันหรือ” เกิดความสุข ความรู้สึกอันนี้เกิดจากสมาธิ ความสุขในสมาธิไง
หลวงตาท่านสอน สติธรรม สมาธิธรรม ปัญญาธรรม ธรรมแต่ละตัว ธรรมแต่ละขั้นตอนหยาบละเอียดมันแตกต่างกัน สติธรรม มันก็ทำให้ระลึกได้ เท่าทันตัวเราเองได้ สมาธิธรรม ทำให้เราจิตสงบระงับได้ ทำให้ธรรมผุดขึ้นมาได้ เวลาปัญญาธรรมไง ปัญญา ถ้ามีทิฏฐิมานะอย่างนี้มันเป็นทิฏฐิมานะ มันไม่ใช่ธรรม เวลาปัญญามันคลี่คลาย เห็นไหม
จากสมาธิแล้วมันเกิดปัญญา พอปัญญามันเท่าทันโสดาบันของตนไง เอาโสดาบันของตนเปื่อยไปหมดเลย ละลายหมดเลย เห็นไหม นี่คือเกิดปัญญา ปัญญาธรรม ปัญญาธรรมมันก็ละเอียดลึกซึ้งกว่า กว้างขวางกว่า มีความสุขมากกว่า ความสุขมากกว่า
สรรพสิ่งทุกสิ่งนี้เป็นอนิจจัง แปรสภาพหมด สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา สภาวธรรมที่เกิดขึ้นมันเป็นอนัตตา มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไปแล้ว มันเป็นอนัตตา สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา
เว้นไว้แต่ถ้าเป็นโสดาบัน เป็นสกิทาคามี เป็นอนาคามี อกุปปธรรม ไม่ใช่อนัตตา ถ้าเป็นวิหารธรรม เป็นธรรมแท้ๆ ไม่ใช่อนัตตา แต่เกิดจากอนัตตา
ไม่มีอนัตตา ไม่เห็นธรรม เพราะสภาวะมันเป็นอนัตตา ไตรลักษณะ มันถึงเป็นธรรม เพราะเป็นธรรมแล้วเป็นข้อเท็จจริงไง
นี่พูดถึงว่า สิ่งที่ว่าพอมันเป็นไปแล้วมันเป็นสิ่งใด พอมันเปื่อยไปหมด มันมีความสุขมาก เหมือนว่าเข้าใจโลกนี้ทั้งโลกเลย
คนถูกรางวัลที่หนึ่งนะ มันบอกว่าเงินของมันหมดน่ะ เวลามันแจกเพื่อนหมดแล้วนะ มันไม่มีเหลืออะไรเลย
นี่ก็เหมือนกัน เข้าใจทั้งหมดทั้งโลกเลย พอจิตมันเสื่อมหมดนะ โลกใหญ่กว่าเราอีก
ตอนที่จิตมันดี ตอนที่เราทำดีมันดีทั้งนั้นน่ะ แต่เราก็อยู่กับสิ่งนี้นะ เราไม่ได้ปฏิเสธว่าสิ่งนี้มี เราเห็นด้วยกับสิ่งที่เราได้ประสบ ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก แต่สิ่งที่ว่าเป็นนามธรรมๆ มันเจริญแล้วเสื่อม เจริญแล้วเสื่อม สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา
สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรมทั้งหลาย ธรรมทั้งหลายที่ประสบพบเห็น ธรรมทั้งหลายที่เราเห็นเป็นอนัตตา มันไม่อยู่กับเราหรอก มันเป็นอนัตตาไปแล้ว แต่ถ้ามันเป็นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี พระอรหันต์ อกุปปธรรม เหนืออนัตตา เหนือโลก เหนือวัฏฏะ ถ้ามันเป็นจริงนะ
แต่ถ้ามันปฏิบัติอย่างนี้ มันเป็นอย่างนี้ เราก็รับรู้ได้แค่นี้ ถ้ารับรู้แค่นี้ เราก็ทำต่อเนื่องไป สิ่งที่ทำมาๆ มันเป็นผลของการประพฤติปฏิบัติ
นี่พูดถึงว่าการนั่งสมาธิแล้วเกิดอัศจรรย์ในจิต อัศจรรย์มาก แล้วเข้าใจว่า ถ้าจะเป็นการวางกิเลสๆ ต่อไปมันต้องรู้แบบนี้
รู้ลึกซึ้งกว่านี้ เพราะว่าอย่างนี้ๆ คือมันของชั่วคราว อย่างนี้ๆ คือว่ามันปฏิบัติแล้วมันรู้มันเห็นในอำนาจวาสนาของตน เป็นภาวนามยปัญญา ปัญญาฝึกหัดการใช้ภาวนา แล้วปัญญาภาวนาอย่างนี้มันเกิดขึ้นในสมาธิไง เกิดขึ้นจากการนั่งสมาธิ เห็นไหม
เวลาเขานั่งสมาธิไปแล้วจิตมันสงบ สงบขึ้นมันระลึกว่าจะเป็นโสดาบันหรือ แล้วเวลาปัญญามันเกิดขึ้นในสมาธิ ถ้าเป็นโสดาบันมันก็เป็นทิฏฐิเป็นมานะที่จิตมันอหังการ มันไปยึดว่าเป็นโสดาบัน เท่านั้นน่ะมันก็ละลายลงด้วยปัญญา
ปัญญาที่เกิดขึ้น ภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากสัมมาสมาธิ ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าไม่มีสมาธิ คิดร้อยแปด คิด เวลามันปัจจัตตังในการนั่งภาวนา แล้วมาคิดตอนนี้สิ รสชาติเป็นอย่างนั้นไหม ไม่
นี่ไง ศีล สมาธิ ปัญญา ปัญญาเกิดจากการภาวนา นี่มันจะเกิดของมัน
แล้วบอกว่า ถ้ามันจะละกิเลส มันต้องละกิเลสแบบนั้น แบบที่ใจรู้
มันจะลึกซึ้งกว่านั้น ดีกว่านั้น หรือจะเบาบางกว่านั้น ให้มันเป็นปัจจุบัน ฝึกหัดของเราไปๆ ทำมาถูกต้องดีแล้ว ทำมาถูกต้องดีแล้ว แล้วปฏิบัติไป นี่ผลของการปฏิบัติ เห็นไหม ถ้าปฏิบัติแล้วมันจะมีประสบการณ์
การที่ครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติซ้ำแล้วซ้ำเล่า คือทำซ้ำ เป็นประสบการณ์ซ้ำของเราไปเพื่อประโยชน์กับการภาวนา ทำแล้วทำเล่า ทำแล้วทำเล่า หมั่นฝึกหมั่นหัด
หลวงปู่มั่นท่านสอน ไถนา ไถนามันก็ไถที่เดิมนั่นแหละ ไถคราด ไถดะอยู่อย่างนั้นน่ะ จนกว่ามันจะสมควรแก่การหว่านพืช การดำนา ทำแล้วทำเล่า นี่ก็ทำซ้ำทำซาก
ถ้าไม่ทำซ้ำทำซาก เวลามันเสื่อมนะ โอ๋ย! ทุกข์มาก แล้วจะฟื้นมาอย่างนี้ยาก แต่ถ้าฟื้นมาอย่างนี้แล้วรักษาให้ดี รักษาคือมีสติสัมปชัญญะอยู่กับงานของตน อยู่กับชีวิตประจำวันของตน แล้วพอเสร็จจากงานจากหน้าที่แล้วก็มาฝึกหัดภาวนา รักษาไว้
แล้วกำหนดอย่างไร เข้าออกอย่างไร ชำนาญในวสีในการเข้าและการออก เข้าสมาธิ แล้วการยกขึ้นสู่ปัญญา ฝึกหัดของเราไปจนมันชำนิชำนาญ ทำซ้ำทำซาก ทำซ้ำทำซาก ต้องทำอย่างนั้นมันถึงจะละเอียดขึ้น ดีขึ้น
แล้วเวลาถึงตทังปคหานบ่อยครั้งๆๆ เวลาถ้ามันสมุจเฉทปหานนั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่งเลย นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่งเลย นั่นอกุปปธรรมจะไปอยู่ตรงนั้นน่ะ นั่นอกุปปธรรมที่ไม่เสื่อมสภาพ ที่ไม่แปรปรวน แต่อยู่ที่การกระทำของเรานี้ ฝึกหัดภาวนาของตนไปนะ
ถ้าจะให้แนะนำ ก็แนะนำว่า ตั้งสติไว้ สิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา เรามาทบทวนได้ คนที่ปฏิบัติไปแล้วมันจะทบทวนได้เนาะ เราทำอย่างนี้ๆ มันจะเป็นอย่างนี้ เราทำอย่างนี้ๆ มันจะทุกข์อย่างนี้ ทำอย่างนี้ ทบทวนๆ แล้วเก็บแต่สิ่งที่ดีงามไว้ แล้วเวลาปฏิบัติให้ฝึกหัดอย่างนี้
เว้นไว้แต่เวลากิเลสมันฟูขึ้นมา ทำอย่างนี้มันยิ่งทุกข์ขึ้นไปอีกเพราะมันอยากได้ ถ้าเวลามันเสื่อม มันอยากได้นะ มันจะทุกข์จะยากมาก เราพยายามทำคุณงามความดีของเราเพื่อประโยชน์กับเรานะ จบ
ถาม : เรื่อง “อยากถามว่าหลวงตาท่านบรรลุธรรม พร้อมทั้งได้ปฏิสัมภิทานุศาสน์ และมีอำนาจจิตเป็นเลิศใช่ไหมครับ”
ในประวัติหลวงปู่มั่น นิมิตท่านพบตู้พระไตรปิฎกอันวิจิตรสวยงาม แต่มิได้เปิดตู้พระไตรปิฎกออกชมอย่างสมใจเต็มภูมิแห่งจตุปฏิสัมภิทาญาณทั้ง ๔ อันเป็นคุณธรรมยังผู้เข้าถึง ให้เป็นผู้ฉลาดปราดเปรื่องเลื่องลือระบือทั่วไตรโลกธาตุ มีความฉลาดกว้างขวางในอุบายวิธีประหนึ่งท้องฟ้ามหาสมุทร ไม่มีความคับแค้นจนมุมในการอบรมสั่งสอนหมู่ชนทั้งเทวดาและมนุษย์ทั้งสิ้น
แต่เพราะกรรมอันดีเยี่ยมไม่เพียงพอ บารมีไม่ให้ โอกาสวาสนาไม่อำนวย จึงเป็นเพียงได้ชมตู้พระไตรปิฎก และตกออกมาเป็นผลให้ได้รับเพียงชั้นปฏิสัมภิทานุศาสน์ มีเชิงฉลาดในเทศนาวิธีอันเป็นบาทวิถีแก่หมู่ชนพอเป็นปากเป็นทางเท่านั้น ไม่ลึกซึ้งกว้างขวางเท่าที่ควร
อยากทราบองค์หลวงตา หมายความว่า พ่อตายพ่อยัง ที่โยมกั้งบอกหลานชาย พ่อตายพ่อยังนะ มึงรู้ไหม ญาท่านหลวงปู่มั่นท่านมรณภาพไปแล้ว ท่านมหาบัวมาแทนคุณธรรมทุกอย่างเหมือนกันหมดเลย ให้มึงปฏิบัติรักษาท่านให้ดีเช่นเดียวกับหลวงปู่มั่นนะ แกว่างั้น มึงรู้ไหม บุญวาสนาของบ้านหนองผือเรายังพอมี นี่พ่อตายแล้วพ่อยังนะ กูกระซิบให้มึง มึงอย่าบอกอย่าเล่าให้ใครฟังนะ นี่พ่อตายพ่อยังมานี้อบอุ่นตามเดิม คุณธรรมเหมือนกันหมดว่างั้น
ขอกราบเรียนถามว่า ที่คุณยายกั้งบอกกับหลานชาย หมายถึงหลวงตาท่านมีคุณธรรมเสมอเหมือนกับองค์หลวงปู่มั่น ได้บรรลุธรรมพร้อมปฏิสัมภิทานุศาสน์ มีเชิงฉลาดในเชิงเทศนาใช่ไหมครับ และได้ยินว่าหลวงปู่สุวัจน์บอกองค์หลวงตามีพลังจิตเป็นเลิศ แต่ท่านถ่อมองค์ท่าน ชมหลวงปู่ฝั้น ชมท่านพ่อลีแทน
กราบเรียนหลวงพ่อเมตตาอธิบายด้วยครับ จากลูกศิษย์ครับ
ตอบ : อันนี้คำถามและคำตอบสมบูรณ์แบบในตัวมันเอง
เวลาหลวงตาท่านพูด เวลาหลวงตาท่านพูดท่านก็เล่า เล่าถึงว่าพวกเราเกิดไม่ทัน หลวงปู่มั่นท่านเสีย ๒๔๙๒ หลวงตาท่านกลับไปอยู่หนองผือ ๒๔๙๓ พวกเรายังไม่เกิด เราจะคุยสิ่งที่เรายังไม่ได้เกิดและเราไม่เห็น มันไม่สมควร แต่เวลาหลวงตาท่านเล่าๆ เราก็จับประเด็นที่หลวงตาท่านเล่านั่นแหละ เพราะเราก็เกิดไม่ทัน เราก็เกิดไม่ทันเหตุการณ์นี้
แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นๆ โดยที่หลวงตาท่านมาเล่า ท่านมาเล่าท่านก็เป็นการยืนยัน เป็นการยืนยันว่า เวลายายกั้งท่านพูด พ่อตายพ่อยัง
พ่อที่ตายไปก็หลวงปู่มั่นเป็นพระอรหันต์ พ่อยังอยู่ เพราะพ่อได้ถ่ายทอดให้ลูกศิษย์ลูกหาเพชรน้ำหนึ่งๆ ได้เป็นพระอรหันต์ มันเป็นการยืนยัน ยืนยันตรงนี้ ยืนยันพระอรหันต์ประเภทไหนๆ นั่นอีกเรื่องหนึ่ง เวลาประเภทไหนๆ มันอยู่ที่เวลาพระอรหันต์ท่านคุยกัน ท่านสนทนากันท่านจะรู้ของท่านกันเอง ไอ้ที่ว่าเป็นพระอรหันต์แล้วจบนี่สิ้น เวลาเป็นพระอรหันต์แล้วจบ
พอจบแล้ว เพราะความเป็นพระอรหันต์มันสมบูรณ์แบบอยู่แล้ว แต่ด้วยอำนาจวาสนาของคนมันเป็นประเภทใดๆ นั้นอยู่ที่วาสนาของตน วาสนาของตนได้สร้างมาอย่างไร อันนี้มันเป็นกรรม เป็นการกระทำ ไม่มีใครแข่งดีกับใคร ใครแย่งใคร ใครชิงดีชิงเด่นกับใครไม่ได้ ไม่ได้หรอก มันเป็นสมบัติประจำตัว
มันเหมือนกับคนชอบ ใครชอบ ภูมิภาค คนใต้ก็ชอบกินอาหารใต้ คนอีสานชอบกินอาหารอีสาน คนภาคเหนือชอบกินอาหารภาคเหนือ คนภาคกลางกินทุกภาคเลย กินทั้งนั้น นี่ก็เหมือนกัน คนที่อยู่ภาคใดเขาก็คุ้นเคยกับอาหารพื้นที่นั้น ถ้าได้อาหารพื้นที่มันก็ตรงกับจริตนิสัย
นี่ก็เหมือนกัน พระอรหันต์แต่ละองค์ๆ ที่ท่านสร้างของท่านมา ท่านทำสิ่งใดมา ท่านสร้างอำนาจวาสนามา ก็เป็นเรื่องของท่าน เพียงแต่เป็นการยืนยัน ยืนยันว่า พ่อตายพ่อยัง
คำว่า “พ่อตายพ่อยัง” นะ เพราะยายกั้ง หลวงตาท่านเล่า เวลาอยู่บ้าน คนแก่ให้ผูกเชือกไว้ ผูกเชือกแล้วเดินลู่ตามเชือกนั้น เพราะคนแก่มันเดินเหินลำบาก แต่หัวใจมันผ่องใสนะ เกาะเชือกเดินไปเดินมามันมีความสุขไง วิหารธรรมไง
ไอ้พวกเราสุขตอนนอน นอนพักตากอากาศ ไปเที่ยวชายทะเล นั่นว่าเป็นความสุข แต่เขาเดินจงกรมเขามีความสุขของเขา นี่คนที่มีคุณธรรมไง
พ่อตายพ่อยัง คือหมายความว่า หลวงปู่มั่นท่านก็ได้ถ่ายทอด แล้วหลวงตาท่านพูดเอง เวลาพระไปนวดเส้นหลวงปู่มั่น “ถ้าเราตายแล้วจะพึ่งใคร ให้พึ่งมหานะ มหาดีทั้งนอกและดีทั้งใน”
ข้างนอกก็ข้อวัตรปฏิบัติ ข้างในคือในหัวใจไง มันสมบูรณ์แบบแล้ว
ในการประพฤติปฏิบัติ เวลาเราปฏิบัติเรามีความรู้เห็นในใจขึ้นมา มันเกิดทิฏฐิมานะว่าของเราถูกนะ แล้วเวลาไปถามครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ท่านตอบมา ท่านไม่ยอมรับ ไปเพ่งโทษว่าท่านผิดนะ เราจะไปบอกพระอรหันต์ผิดนะ แต่กูนี่ถูก กูนี่ยอดเยี่ยม
ฉะนั้น พ่อตายพ่อยังคือว่าท่านเป็นพระอรหันต์ด้วยกัน ไอ้พวกเราไอ้ขี้ทูดกุฏฐัง ให้ฟังเสียงท่านบ้าง ไอ้คนที่ประพฤติปฏิบัติพยายามหาช่องทางอยู่น่ะ ให้ฟังเสียงท่านบ้าง เสียงธรรมของหลวงตาพระมหาบัวท่านพูดไว้ ให้ฟังเสียงท่านบ้าง เอวัง