เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๘ ส.ค. ๒๕๕๑

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

จะพูดเรื่องศาสนา เรื่องศาสนานี้มันเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มาก ยิ่งใหญ่จนใครคาดการณ์ไม่ถึงหรอก ศาสนานี้เป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มากเลย เพราะอะไร เพราะเข้าได้กับชนทุกชั้น เข้าได้กับในวัฏฏะ ตั้งแต่เทวดา อินทร์ พรหมทั้งหมด เวลาพระพุทธเจ้าเทศนาว่าการ เทศน์ให้พรหม ให้เทวดา สำเร็จทีหนึ่งเป็นแสน ๆ ล้าน ๆ ศาสนานี้ยิ่งใหญ่ ยิ่งใหญ่จนบอกได้ว่าในวัฏฏะ ทุกภพ ทุกชาติ ทุกชนชั้น ได้ประโยชน์จากศาสนาหมดเลย

ทีนี้พอได้ศาสนาปั๊บ เราเอาศาสนาเข้ามาเผยแผ่ในเมืองไทย เราเป็นชาวพุทธ เกิดมาพบพระพุทธศาสนานี่อำนาจวาสนาเยอะมาก แต่เวลาเราเข้ามาในศาสนา เราเข้ามากันแบบโลก ๆ ไง พอเข้ามาในศาสนา เราก็คิดเอาแต่มุมมองของตัวเข้ามาคิดในเรื่องศาสนา

ทีนี้เรื่องของศาสนา หัวหน้า ! หัวหน้าที่เข้าถึงธรรมเพื่อจะเผยแผ่ธรรม มันเป็นการรับภาระที่หนักมากเพราะเหตุใด หนักมากเพราะอะไร เพราะกติกามันมีตั้งแต่หยาบไปจนถึงละเอียด - ละเอียดสุดนะ

อย่างเช่นพระ อันโตวุฏฐะ อันโตปักกะ สามปักกะ มันเป็นบาลีมาใน ๒๑,๐๐๐ ข้อ ในธรรมวินัย อันโตวุฏฐะ หมายถึง พระสะสมอาหารเก็บเอาเข้าไปไว้ในกุฏิไม่ได้ อาหารจะสะสมไว้ไม่ได้เลย

เพราะพระจะไม่ให้มีอะไรพะรุงพะรังในหัวใจ พระต้องโล่งกว้างหมด เพื่ออะไร เพื่อจะแสวงหาสิ่งที่เป็นสัจธรรม ฉะนั้นถึงต้องสร้างเป็นโรงครัว เป็นเรือน เป็นที่เก็บสะสม อย่างเช่น คลัง ทุกอย่างจะไปเข้าที่คลัง พระจะเอาเรื่องของอาหารเข้าไปในกุฏิไม่ได้เลย ถ้าเข้าไปในกุฏินะ

๑. มันเป็นอาบัติ

๒. มันจะเป็นเรื่องมด เรื่องปลวกมันจะเข้าไป เรื่องหนูู เรื่องอะไรมันจะตามไปหมดเลย

นี่มันเป็นเรื่องของธรรมวินัย ทีนี้พอเรื่องของโยมเข้ามามันก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง โยมนี้หัวใจยิ่งใหญ่ขึ้นมหาศาลเลย

เพราะอะไรรู้ไหม เพราะเราอยู่ที่อีสาน พวกที่มาจากสิงคโปร์ จะเป็นโอวัลติน จะเป็นอะไร เขาจะเทใส่กะละมังเขาหมดเลย เขากินภาชนะเดียว คนที่กินภาชนะเดียวเขาเห็นว่าเราจัดอะไรให้มันฟุ่มเฟือย เขาเห็นแล้วเขา... หัวใจมันอ่อนแอกว่ากันเยอะไง ของเขาทุกอย่างเขาจะลงในกะละมังหมดเลย จะเป็นน้ำ เป็นอะไร เขาเทลงกะละมังหมดเลย นั้นคือจิตใจของเขา

จะบอกว่า ไม่ใช่โยมจะถือศีล ๘ ได้เฉพาะอย่างเดียวนะ โยมจะถือศีล ๒๒๗ ก็ได้ ศีลมันเป็นข้อบังคับ ใครจะทำมากทำน้อยขนาดไหนก็ได้ แต่มันอยู่ตรงที่ตรงนี้ อยู่ที่หัวใจที่มันสูงมันต่ำ ถ้าหัวใจที่มันสูงนะ กินธรรมะเป็นอาหาร “ธรรมารมณ์” สิ่งที่รับอาหารมันจะไม่ได้เป็นธรรมเลย

ถ้าสิ่งที่เป็นธรรมเห็นไหม แจกจากปลายแถวขึ้นมาก็ได้ แต่พระเขาไม่ยอม ถ้าแจกตั้งแต่สามเณรขึ้นไปหาพระ “อ้าว ! มันไม่ใช่ อาวุโส ภนฺเตต้องผู้ใหญ่เอาก่อน เด็กเอาก่อนได้อย่างไร” แต่เราอยู่บ้านตาดนะ บางทีนะของก็แจกจากหัวแถวไปท้ายแถว บางทีก็แจกท้ายแถวขึ้นมาหัวแถว เพราะทุกคนมีปากมีท้องเหมือนกัน ทุกคนมีศักดิ์ศรีเหมือนกัน ทุกคนมีค่าเท่ากัน มนุษย์ คือ มนุษย์ พระบวชมาแล้วศีล ๒๒๗ ข้อเท่ากัน เพียงแต่เราเคารพกันที่คุณธรรม เคารพที่ธรรมวินัย ถ้าคุณธรรมท่านมีในหัวใจของท่าน ท่านมีความเมตตาธรรมของท่าน อันนั้นจะเป็นประโยชน์กับเรา

อันโตวุฏฐะ อันโตปักกะ สามปักกะ เก็บหรือสะสมไว้ไม่ได้แต่ทำไมเราทำ เราทำเพราะอะไร เราทำเพราะว่าเป็นเรื่องภาระ อย่างเช่นถ้าใครมาหาเรานะ เขาดูถูกเหยียดหยามนะ เขาบอกว่า เอาเป๊ปซี่ไปถวายหรือยัง ถวายเป๊ปซี่ก็พอ พระเด็ก ๆ อย่างนี้กินเป๊ปซี่ก็พอ ไม่ต้องไปกินพวกน้ำปานะ กินอะไรที่มีคุณค่าหรอก

เราไปเห็นไอ้ของที่เป็นอย่างนั้นมันเป็นเรื่องภาระ ต้องเอาน้ำ ต้องไปหาผลไม้ หาส้ม หาอะไรมาคั้น ไอ้การคั้น การอยู่ การกิน เราเห็นว่ามันเป็นภาระ มันเป็นเรื่องวุ่นวาย !

แต่ถ้าอะไรสำเร็จรูปมาที่มันไม่ผิดธรรมวินัย สิ่งนั้นเราใช้ประโยชน์ เอาเรียบง่ายที่พอเป็นข้อวัตรปฏิบัติ เพราะข้อวัตรปฏิบัติ “การปกครอง” ถ้าพระเราอยู่ด้วยกันแล้วกระทบกระทั่งกัน ลิ้นกับฟันมันต้องมีกันเป็นธรรมดา พอธรรมดามันจะมีการหมักหมมในหัวใจ การปกครองไง พอถึงเวลาบ่ายโมงต้องมาฉันน้ำร้อนด้วยกัน ต้องมาเคลียร์ปัญหากัน

มันอยู่ที่การปกครอง เราไม่ใช่ไปกินให้มันอิ่มหนำสำราญอะไรหรอก แต่เราไปศึกษาธรรม เราไปอยู่ในข้อวัตรปฏิบัติ เพื่อจะให้มีการหมุนเวียน ดูสิ เวลาเรานั่งสมาธิภาวนามามันอุดอู้ทั้งวัน แล้วพอถึงเวลาฉันน้ำปานะ เสร็จแล้วเราก็ลงตีตาด เราลงไปกวาดวัด เราลงไปทำข้อวัตร มันจะผ่อนคลาย มันจะเปิดโล่ง มันจะเปิดออกหมดเลยสิ่งที่หมักหมมไว้

พระพุทธเจ้าวางธรรมนี้มันเป็นการปกครอง มันเป็นเรื่องของธรรมวินัย มันไม่ใช่เรื่องของโลกที่ว่าต้องมีศักดิ์ศรี ต้องมีแก้วดริงค์ ต้องตั้งเป็นถาด ๆ หัวหน้านี่ต้องมีอาหารล้อมรอบ ไปถึงตักไม่ได้เลย ไอ้ท้ายแถวไม่มีจะกินเลยเห็นไหม อย่างนั้นมันไม่เป็นธรรม

ถ้ามันเป็นธรรมมันต้องอยู่ตรงนี้ มันอยู่ที่ว่าเราสมควรไหม สิ่งที่จะได้มาเพราะอะไร เรามาประพฤติปฏิบัติกัน ถ้าเราไม่ประพฤติปฏิบัติกัน สัจจะความจริง “สัจจะ-อริยสัจจะ” สัจจะความจริงนี้สำคัญมาก ถ้ามีสัจจะความจริงขึ้นมา เราไม่มีสิ่งใดด่างพร้อยในหัวใจ เราจะทำสิ่งใดมันก็เต็มไม้เต็มมือ แต่ถ้าเราด่างพร้อย อย่างพระถ้าผิดศีลขึ้นมา เวลานั่งพุทโธ ๆ นี่เอ็งหลอกตัวเองนะ

นิวรณธรรม นิวรณ์ คือ ความกังวล ความลังเลสงสัย มันกั้นสมาธิเอ็งแน่นอน ถึงเวลาจะนั่งสมาธินะ “โน้นก็ยังไม่เก็บ.. นี่ก็ยังไม่รักษา.. นู่นก็ยังไม่ได้ทำ..” มันวิตกกังวลไปหมด แต่ถ้าสลัดมันทิ้งแล้ว เห็นไหม

ดูครูบาอาจารย์สิ ในสมัยพุทธกาล พระจะออกบิณฑบาต พอคล้องจีวร “เอ๊ะ ! วันนี้เขาจะเอาอะไรใส่บาตรเรา” เท่านั้นนะ เปลื้องจีวรออก ไม่กิน ! เรายังไม่ทันบิณฑบาตเลยกิเลสมันกินก่อนแล้ว กิเลสมันอยากกินไง ออกไปเขาจะใส่บาตรอะไรเรา มันคิดไปก่อน ถ้าอย่างนั้นไม่บิณฑบาต ไม่ให้กิน ! ไม่ให้กินเลย !

แล้วครูบาอาจารย์ของเรา หลวงปู่หล้าอยู่ที่บ้านผือ ถ้าไปบิณฑบาตมา บ้านนอกนะ เราไปอยู่มา เวลาเราไปอยู่อีสาน เราไม่อยู่ในเมืองหรอก เราไปอยู่บ้านนอก บ้านนอกนะอย่างมากก็มีผักต้มห่อใบตองใส่กับข้าวเหนียวเท่านั้น บ้านนอกเป็นอย่างนั้น เพราะความเป็นอยู่เขาเป็นแบบนั้น เรียบง่าย

ชีวิตทางอีสานนะของเขาเรียบง่าย เขาจะมีผักต้ม ผักเก็บจากหัวไร่ปลายนา ต้มแล้วก็ห่อด้วยใบตอง แล้วก็มีข้าวเหนียวเท่านั้น แล้วถ้าวันไหนเขาใส่อาหารมาที่เป็นคุณค่า หลวงปู่หล้าท่านจับเขวี้ยงเข้าป่า

ถ้าเป็นเรานะ โยมนี่ยังไม่ได้อดไม่ได้อยาก อยู่ที่ไหนถ้าตลาดมี อะไรที่เราจะแสวงหาได้มันไม่วิตกกังวลหรอก แต่ถ้าไม่มีจะกินนะ ดูสิ เวลาเกิดสงครามทำไมเขาตุนอาหารกัน ทำไมเขาต้องตุนเสบียงกัน เขาตุนเพราะอะไร เพราะเขาต้องการดำรงชีวิตของเขา นี่ก็เหมือนกัน ชีวิตของเรามันไม่มีอะไรเลย มันยิ่งน่ากังวลมาก แล้วเวลาได้สิ่งใดมามันควรจะได้ลิ้มรสบ้าง ทำไมเราจับมันปาทิ้งล่ะ จับมันปาทิ้งเพราะอะไร เพราะกิเลสมันจะกินก่อน

เรื่องของศาสนาเห็นไหม มันเป็นสิ่งตั้งแต่หยาบ ตั้งแต่ละเอียดลงมา ถ้าเราทำของเรา เราทำเพื่อจะให้การดำรงชีวิตเป็นปัจจัยเครื่องอาศัย แล้วชีวิตเราจะอยู่กับปัจจัยเครื่องอาศัยเพื่อจะเข้าแสวงหา

ที่ว่า “ศาสนายิ่งใหญ่มาก” ยิ่งใหญ่จริง ๆ ! ยิ่งใหญ่มหาศาลเลย เพราะอะไร เพราะถ้าเป็นคนที่มีบารมีสูงขนาดไหน กิเลสอวิชชามันก็ครอบงำใจทั้งนั้น แม้แต่กษัตริย์ จักรพรรดิ เห็นไหม ทำไมไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จิตใจของเขา เขาปกครองอาณาจักร แต่เขามีความทุกข์ร้อน เขาจะทำอะไร เขาต้องไปหาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นคนเคลียร์ปัญหาให้เขานะ

แล้วดูพระอินทร์ที่ปกครองอาณาจักรของเขา มาใส่บาตรพระกัสสปะเพราะอะไร เพราะว่าพวกเราวัดอำนาจวาสนากันด้วยสมบัติพัสถาน แต่พวกเทวดา อินทร์ พรหม เขาวัดอำนาจของเขากันด้วยแสงสว่างที่ออกไปจากตัวของเขา แล้วมีลูกน้องของเขาที่เคยทำบุญกับพระพุทธเจ้าองค์ก่อนมา แล้วมาเกิด แสงเขามากกว่า พระอินทร์ถึงต้องมาใส่บาตรพระกัสสปะเพื่อจะสะสมบารมี นี่แค่ทำบุญเพื่อเอาบุญนะ ยังไม่ได้ประพฤติปฏิบัติเพื่อชำระกิเลสเลย สิ่งที่ชำระกิเลสมันอยู่ในหัวใจอีกมหาศาล

ศาสนามันยิ่งใหญ่ ! เราอย่าให้เศษอาหารมันมาเหยียบย่ำพวกเรา เศษอาหาร ! เก็บไว้ก็เน่าบูด ! ใส่ให้หมากินมันก็เป็นอาหารหมา ทำไมพวกเรามันต้องไปยุ่งวุ่นวายกันขนาดนั้น แต่นี้มันก็เป็นค่าของใจใช่ไหม ค่าของน้ำใจของคน ถ้าจิตใจของคนประณีตละเอียดมา เขาก็อยากให้สิ่งที่ทำบุญของเขาต้องประเสริฐกับเขา

มันมีคนมาจากอเมริกามาหานะ เขาไปได้สามีฝรั่ง เขาบอกว่า “ศาสนาสอนให้มักน้อยสันโดษ ทำไมทำบุญต้องไปประณีตขนาดนั้น ทำไมทำบุญต้องไปแสวงหามาใส่บาตรพระอะไรขนาดนั้น”

มันขัดแย้งกันโดยวุฒิภาวะของใจ พระไม่ต้องการอะไรหรอก พระที่บิณฑบาตฉันอาหารทุกวัน อาหารขนาดไหนได้มาฉันทั้งนั้นล่ะ พระนี่อะไรก็แล้วแต่ ขอให้ได้ดำรงชีวิตเท่านั้นล่ะ ถ้าพระที่แสวงหาธรรม พระที่เป็นพระนะ ถ้าพระที่เป็นแพะมันก็วิ่งไปหานั่นล่ะ

แต่ทีนี้มันก็อยู่ที่ ปฏิคาหก ผู้ที่จะให้ อย่างเราเป็นศรัทธาใหม่ เราใส่บาตรแค่น้ำพริกถุงเดียว เราก็ว่าสุดยอดของเราแล้ว เพราะเราไม่เคยทำเลย แต่คนที่เขาประณีตของเขา คือเขาทำของเขา เขามีวาสนาของเขา เขาก็อยากทำบุญของเขา มันคือค่าน้ำใจของเขา คือค่าน้ำใจของคนที่จะใส่ ว่าใจของเขาสูงส่งขนาดไหน ใจเขาหยาบขนาดไหน ใจเขากระด้างขนาดไหน

ถ้าใจของเขาสูงส่งขึ้นมานะ โอ้โฮ.. เขาจะทำอย่างประณีตแล้วเขาจะเทิดไว้บนศีรษะ อธิษฐานแล้วใส่บาตรไป เพราะเขาไม่ได้ใส่บาตรภิกษุที่มาบิณฑบาต เขาใส่บาตร พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อริยสัจของเขา เขาใส่บาตรพระรัตนตรัยของเขา เขาชื่นชมของเขา มันอยู่ตรงนั้นปั๊บเขาก็แสวงหาของเขา แต่ไอ้คนมองนะ

“ก็ไหนว่าพระไม่เอา แล้วทำไมต้องเอาของดีขนาดนี้ ทำไมต้องวิ่งกันทั่วโลกเพื่อจะมาใส่บาตรพระล่ะ”

วุฒิภาวะของหัวใจมันต่างกันตรงนี้ไง แล้วคนมองไม่ออก อธิบายเขาไม่ได้ เขามาหาเราเอง เขาบอกว่าสามีเอ็ดเขาบ่อยเลย “ก็ไหนพระบอกว่าพระมักน้อยสันโดษ แล้วทำไมภรรยาเราจะต้องทุกข์ขนาดนี้ล่ะ ทำไมต้องไปวิ่งหาแต่ของดี ๆ มาใส่บาตรพระล่ะ” เขาก็พูด แต่ภรรยาก็ตอบเขาไม่ได้ เห็นไหม

จะบอกว่าหัวใจของคนมันมีหยาบ มีละเอียดต่าง ๆ กันมา เราจะเอาไม้บรรทัดไปวัดกันเองมันไม่ได้ เพราะวุฒิภาวะของใจ วัดค่าของใจ ใครจะวัดกันได้ ใจของคนมันจะมีคุณค่าขนาดไหน ใครวัดใจของใครได้ นี้ถ้าหัวใจของใครมันดีขนาดไหน มันมีคุณค่าขนาดไหน อันนั้นก็เป็นอันหนึ่ง

แต่ถ้าเราทำของเราด้วยความบริสุทธิ์ใจนะ แต่นี้เราก็ต้องเข้าใจเรื่องกาลิก มันก็มีกติกาเรื่องกาลิก เรื่องของศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ ศีลของพระ ถือธุดงควัตร ศีลในศีล

ศีลในศีล หมายถึงว่า ถือธุดงควัตร ไม่ทำก็ไม่ปรับอาบัติ อดอาหารไม่ทำก็ไม่ปรับอาบัติ ถือฉันภาชนะเดียว อาสนะเดียวเห็นไหม ศีลในศีลมันก็มีอีก ทีนี้ถ้าหัวหน้าเคยผ่านวิกฤตอย่างนี้มา แล้วพระที่ทำหรือผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เราก็ส่งเสริมกัน

แต่ไอ้คนที่หยาบอยู่ พอเห็นคนที่ทำละเอียดกว่ามันก็รับไม่ได้แล้ว “อันนี้ผิด ! อันนี้ผิด !” กฎหมายมีข้อบังคับทั้งนั้น กฎหมายก็มีข้อยกเว้นทั้งนั้น ข้อยกเว้นเมื่อใด กฎหมายทุกกฎหมายถึงคราวแล้วยกเว้นได้

นี่ก็เหมือนกัน อาบัติของพระเป็นอาบัติ แต่ถ้าสิ่งที่ทำนี้สูงกว่าวินัย มันจะเป็นอาบัติตรงไหน ไม่มีเจตนา ไม่มีสิ่งใดเลย

การทำดีอย่างที่หลวงตาครูบาอาจารย์ของเราทำความดี เขาบอกว่า “ผิดกฎหมาย ๆ ” กฎหมายก็มนุษย์มันเขียน ! คุณงามความดีที่เราทำดีเหนือกฎหมาย เหนือสิ่งใดที่กฎหมายเอื้อมไม่ถึง แล้วบอกว่า “ผิดกฎหมายแล้วห้ามทำ” แล้วมันจะเจริญขึ้นมาได้อย่างไร

เวลาภาวนาไปนะ ถ้าจิตมันเป็นสมาธิขึ้นมา แล้วเกิดปัญญาขึ้นมา ขั้นของปัญญามันเวิ้งว้าง มันจะกว้างขวางขนาดไหน ถ้ามันจะมีมุมอับ หรือมีสิ่งใดที่เป็นข้อกฎหมายนะ กิเลสมันแอบตรงนั้นล่ะ ฉะนั้นข้ามออกมาต้องรื้อทิ้งหมดเลย ล้างให้หมด ล้างให้เกลี้ยง หัวใจต้องล้างให้หมด ล้างให้ถึงที่สุดแล้วถอนมันให้หมด พอถอนให้หมดแล้วมันจะหมดเลย ถ้าหมดแล้วอันนั้นถึงว่าหมด กิเลสมันหมดหมดอย่างนั้น

ขั้นของปัญญาไม่มีขอบเขตเลย ขั้นของปัญญาคืออะไร ขั้นของปัญญา คือ ความคิด ความคิดมีความผิดไหม ความคิดมีอาบัติอะไรบ้าง ความคิดสิ่งต่างๆ อาบัติอะไรไปจำกัดความคิดของคน กฎหมายข้อไหนไปจำกัดความคิดของคน ความคิดคนไม่มีอะไรไปจำกัดมันได้หรอก

แต่ถ้ามันเป็นมิจฉา มันก็จะเป็นความคิดที่เลว ทำให้ตัวเองเสียหายมาก แต่ถ้าเป็นความคิดที่ดี ความคิดที่เป็นสัมมาทิฏฐิ เป็นความคิดที่ถูกต้อง มันจะส่งเสริมขึ้นไปมากมายเลย

จะบอกว่า “วุฒิภาวะมันมีหยาบ - ละเอียด” แต่ถ้าเรามีประสบ- การณ์ เราผ่านสำนักมา อะไรควรหรือไม่ควร แล้วคนมันจะมีใหม่เข้ามาตลอด เราบอกเขา เราฝึกเขาขึ้นมา พอเขาใจสูงขึ้นมา คนที่สูงกว่ามันจะมองคนที่ต่ำกว่าออกเลย

พระนี่นะ เห็นพระเดินเข้ามาจะรู้เลยว่าพระดีหรือไม่ดี ความเป็นอยู่ของเขามันฟ้องหมด การนุ่งการห่มมันบอกหมดนะ การนุ่งการห่ม อัฐบริขารเขาดูแลหรือไม่ดูแล ถ้าเขาดูแล เขารักษาของเขานะ เพราะอะไร มันเป็นบริขาร ๘

อาหาร ! บาตรนี้ คือ อาหาร ถ้ามีบาตรปั๊บบิณฑบาตได้ทุกวัน ธมกรก คือ กระบอกกรองน้ำ ปัจจัย ๔ ขาดไม่ได้ บริขาร ๘ ของพระ ถ้าพระไปที่ไหนต้องมีธมกรก มีบาตร มีเข็ม มีด้ายไว้ปะชุน ไม่ต้องพึ่งพาอาศัยใคร ต้องเอาตัวรอดให้ได้ “บริขาร ๘”

แล้วบริขารที่ใช้นี่ถูกหรือผิด เพราะอะไร เพราะธรรมวินัยบังคับไว้แล้ว รองเท้าจะใส่อย่างไร แล้วถ้าเขาใส่ของเขามา เขาใส่โดยโลกเป็นใหญ่ไง ใครถวายก็ใส่ ใครถวายก็ใช้กันไป นั้นคือโลกเป็นใหญ่เหยียบย่ำธรรมวินัยไป แต่ถ้าเขารักษาของเขา ดูออก.. ดูออกเลย.. กิริยามารยาทของพระ การเดินเข้ามาเขาดูกันออกแล้ว

นี่ก็เหมือนกัน เวลาโยมเข้ามาใหม่ “โอ๊ย ! ไม่ได้ไปหมดเลยสักอย่างหนึ่ง” อันนี้เราก็เห็นใจเขา ก็ให้เขาพัฒนาของเขา ให้เวลาเขา แต่ขอบเขตว่าเราจะพัฒนาได้ขนาดไหน เพราะอะไรรู้ไหม เพราะว่าเครื่องมือสิ่งที่ดี อริยสัจจะจับเข้าไปหาคุณงามความดี อย่างเช่น สิ่งที่เป็นวัตถุ เห็นถูกหรือเห็นผิด แล้วความคิดเห็นถูกเห็นผิดไหม

แล้วเอาอะไรไปขีดคั่นความคิดล่ะ ก็ศีลไง ศีลไปขีดคั่นความคิด ก็ข้อวัตรที่ปฏิบัติกันนี่ไง ใครจะรุกใครจะล้ำมันเข้าไปบ้าง ใครจะรุกล้ำสิ่งที่เป็นกฎเป็นกติกา ถ้ารุกล้ำกติกาแสดงว่าใจเอ็งหยาบแล้ว ถ้าใจเอ็งไม่รุกล้ำกติกานี่คือไม่ก้าวล่วงไง ไม่ก้าวล่วงข้อห้าม ไม่ก้าวล่วงข้อบัญญัติ

ถ้าไม่ก้าวล่วงข้อบัญญัติ เราอยู่ในกรอบแล้วเห็นไหม ไม่ก้าวล่วงข้อบัญญัติไง ก้าวล่วงเพราะอะไร เพราะมันเป็นกายกรรม ถ้าคิดอยู่มันไม่ผิด แต่การกระทำมันออกแล้ว แล้วความคิดมันหักห้ามกันไม่ได้ หักห้ามไม่ได้เราก็ต้องยับยั้งด้วยสติ ด้วยปัญญาของเรา

แต่ถ้ากระทำเมื่อไร ผิด ! อาบัติเลย ผิดเลย เพราะเหยียบย่ำข้อปฏิบัติแล้ว เหยียบย่ำกติกาแล้ว ถ้าเหยียบย่ำไปอย่างนั้นล่ะผิด ถ้าคนเขายังไม่เป็นมา เขาไม่รู้มา เขาจะก้าวล่วงบ้าง อ้าว ! ครั้งสองครั้งก็ว่ากันไป แต่อย่าให้มันซ้ำซาก อย่าให้มันจำเจ เพราะวุฒิภาวะของใจต้องพัฒนาทุกคน เราจะก้าวกันนะ เราจะไม่ซอยเท้าอยู่กับที่หรอก แล้ววุฒิภาวะของใจมันอยู่ที่ไหน มันแสดงออกได้

ฉะนั้นเรามาแล้วเราต้องพัฒนา ที่ว่า “ศาสนานี้ยิ่งใหญ่มาก” ถ้าใจมันพัฒนาขึ้นไปนะ เราจะย้อนกลับมาติเราว่า “แหม... ทำไมแค่นี้เมื่อก่อนก็ทำไม่ได้ เดี๋ยวนี้ทำไมมันเป็นของเล็กน้อย เดี๋ยวนี้จะเอาสิ่งที่ดีงามขึ้นไปอีก ดีงามขึ้นไปอีก ดีงามขึ้นไปอีก” เห็นไหม ใจมันก็ดีขึ้นไปเรื่อย ๆ แต่อย่าไปซอยเท้า อย่าให้กิเลสมันขี่หัว

พูดถึงหัวหน้า มันมีความคิดอย่างนี้ มันถึงบอกว่า พระที่เขาอดอาหารกัน ฉันอาหารไม่ครบหรอก บางทีอดอาหารเกือบ ๓ - ๔ เดือน ไอ้คนที่อดอาหารก็อดอาหารตายเลย ไอ้คนที่วุ่นวายก็วุ่นวายตายเลย แล้วไอ้คนกลางนี่คิดอย่างไร ถ้าคนกลางจะขีดกติกาตายตัว คนที่อดอาหารอยู่ คนที่เร่งความเพียรก็ทำไม่ได้แล้ว เพราะมันทำอุกฤษฏ์เกินไป ไอ้คนที่จะทับถมจนเป็นเรือเกลือเลย ไอ้นี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ที่ว่าศาสนามันกว้างขวาง มันยิ่งใหญ่มาก แล้วมันอยู่ที่ประสบ- การณ์ อยู่ที่หัวหน้าที่เคยปฏิบัติมา อะไรที่มันออกจะช่องไหน ๆ ที่เป็นประโยชน์เอาเลย แล้วผิดหรือถูกเราจัดการเอง เพราะว่าเราก็เคยผ่านวิกฤตอย่างนี้ เราเคยลุยอย่างนี้มาเหมือนกัน เราทำของเรามาหมดแล้ว ทีนี้เพียงแต่แบบว่าเราเข้ามาใหม่ใช่ไหม สิ่งที่ผิดไปแล้วมันก็ผิดไป มันจะเป็นอะไรไป

“อริยประเพณี” เห็นไหม ผู้ใดทำความผิดแล้วยอมรับสารภาพผิด พระพุทธเจ้าบอกว่าผู้นั้นประเสริฐที่สุด คนทำผิดรู้ว่าผิดแล้วแก้ไข สุดยอดที่สุด พระพุทธเจ้าสอนคนมีกิเลส สอนพวกเรา สอนไอ้พวกที่โง่ ๆ ที่มันอวดฉลาดว่าตัวแน่ ๆ นี่โง่ทั้งนั้น อวิชชามันครอบงำ

“ความคิดในกรงขัง” กรงขัง คือ สัญญา คือ ข้อมูลสถิติ ขันธ์ ๕ มันครอบคลุมความคิดเรา แล้วถ้าเมื่อไรที่เราระเบิดมันทิ้งนะ ระเบิดสถิติข้อมูลของเรา แล้วให้ความคิดเป็นธรรม มันจะกว้างขวาง มันจะกลับมาทำลายกิเลส มันจะอีกมหาศาลเลย

ไอ้ที่ว่าฉลาด ๆ นะ โง่ทั้งนั้นเลย ไอ้ที่ว่าโง่ ๆ นะ หลับหูหลับตานั่งอยู่โคนไม้ นั่นล่ะโคตรฉลาดเลย ! ฉลาดเพราะรู้จักกิเลสของตัว ฉลาดเพราะทำลายกิเลสของตัว ฉลาดเพราะเอาตัวรอดได้ เอวัง