เทศน์บนศาลา

พุทธปัญญา

๑ มี.ค. ๒๕๔๒

 

พุทธปัญญา
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์บนศาลา วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๔๒
ณ วัดป่าสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เจ้าชายสิทธัตถะประสูติมาอยู่ในท่ามกลางสิ่งอำนวยความสะดวกความสุขทั้งหมดเลย ปราสาท ๓ ฤดูพร้อมหมดเลย ยังออกแสวงหาโมกขธรรม เพราะว่าต้องการความพ้นทุกข์ไง ถ้าพูดถึงในเรื่องของความสุขทางโลก ใครจะเทียบเท่ากษัตริย์ จะเกณฑ์เอามาจากที่ไหนก็ได้ แต่ทำไมจิตใจยังออกคิดว่า “อันนี้มันของแค่ชั่วคราว” ล่ะ เพราะเห็นยมทูตเกิด แก่ เจ็บ ตาย แล้วก็นักบวช “เราก็ต้องเป็นแบบนั้น” ทั้งๆ ที่อยู่ในสุข ยังไม่ติดในสุข ยังจะหาความสุขที่แน่นอน

แต่นี่กึ่งพุทธกาลนะ วันนี้เป็นวันมาฆบูชา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม แล้วได้สั่งสอนภิกษุที่เป็นพระอรหันต์ทั้งหมด ๑,๒๕๐ องค์ มาจาตุรงคสันนิบาต ไม่ได้นัดหมายเพียงแต่คิดถึงองค์ศาสดา คิดถึงคุณพระพุทธเจ้า มาเยี่ยมเยียน ถือว่าเป็นเกียรติคุณของพระพุทธเจ้าแต่ละองค์ ที่จะมีหนหนึ่ง

เป็นการประกาศเกียรติคุณว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นพระอรหันต์จริง แล้วก็ได้สั่งสอนให้ลูกศิษย์เป็นพระอรหันต์ได้จริง พอมาประชุมในสโมสรสันนิบาต ท่ามกลางคืนเดือนเพ็ญ พระพุทธเจ้าแสดงโอวาทปาติโมกข์ “ไม่ทำความชั่วใดๆ ทั้งหมด ทำแต่ความดี ทำให้จิตนี้ผ่องแผ้วหลุดพ้นไป” เป็นคำพูดของผู้ที่ประสบความสำเร็จแล้วทั้งนั้น พระอรหันต์ ๑,๒๕๐ องค์ ทั้งพระพุทธเจ้าด้วยอีกหนึ่ง เป็นพระอรหันต์ทั้งหมด

คำพูดแค่นี้ มันสะเทือนหัวใจทั้งหมดเลย สะเทือนหัวใจมีความสุข เพราะเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จ คือว่าเป็นพระอรหันต์ทั้งนั้น พวกเรามีการศึกษา แล้วเราประกอบอาชีพประสบความสำเร็จทั้งหมด แล้วเรากลับไปชุมนุมศิษย์เก่า เราพูดคำไหนมันพูดง่ายไปหมด เพราะประสบการณ์ชีวิตมันผ่านมา มันฝึกฝนมา มันรู้ว่ากว่าจะประสบความสำเร็จ มันจะต้องระหกระเหินขนาดไหน

พระอรหันต์ ๑,๒๕๐ องค์ ก็เหมือนกัน กว่าจะประสบความสำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้นะ เพราะว่ากิเลสเหมือนกิเลส ความทุกข์เหมือนความทุกข์ แล้วหลงผิดหลงใหลไปมหาศาล จนกว่าจะมาพบองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ชี้ทาง พอพูดแค่นี้มันก็สะเทือนใจ แต่เพราะปัจจุบันมีการศึกษา เป็นจินตมยปัญญา การคาดการหมาย ไปจับธรรมะพระพุทธเจ้ามาแล้วก็จินตนาการไป

จินตนาการได้แล้วคิดหมายไป เหมือนจิตเรา เห็นเขาประกอบอาชีพอะไรก็แล้วแต่ที่ประสบความสำเร็จ เราก็อยากทำแบบเขา แล้วเราก็คิดว่าเราทำสำเร็จด้วย เพราะเรามองว่าเขาประสบความสำเร็จ เหมือนการให้ปริญญา คนจะจบปริญญา ต้องมีการศึกษากว่าจะจบปริญญามา

แต่กิตติมศักดิ์มันให้ได้เลย จะมีความสามารถนิดหน่อย แล้วก็ให้กิตติมศักดิ์ไป อันนี้ก็เหมือนกัน พระพุทธเจ้าเทศน์ธรรมะมา เราก็จินตนาการไป แล้วเข้าใจว่า ตัวเองได้กิตติมศักดิ์ เพราะมันไม่มีการศึกษา มันไม่มีการค้นคว้า เป็นธรรมะกิตติมศักดิ์! มันไม่ใช่ธรรมะประสิทธิประสาทให้เป็นธรรม เป็นปัจจัตตัง รู้จำเพาะตน ต้องอาศัยพระพุทธเจ้าเป็นผู้ชี้นำก็จริงอยู่ แต่มันต้องเป็นปัจจัตตังของคนๆ นั้น

ชฎิล ๑,๐๐๐ องค์ที่บูชาไฟนั้น พระพุทธเจ้าตรัสรู้ก่อนแล้วก็สอนปัญจวัคคีย์ แล้วมา เทศน์ยสะ แล้วก็มาชฎิลทั้งหมด ชฎิลนี้บูชาไฟอยู่นะ เขาถือว่าเขาบูชาไฟ แล้วเขามีฤทธิ์ด้วย พระพุทธเจ้าจะไปทรมาน ไปขอเขาอาศัยอยู่ เขาไม่ให้อยู่ พระพุทธเจ้าถามว่า “ไม่ให้อยู่เพราะเหตุใด? เรานักบวชเหมือนกัน” ก็เลยชี้ให้ไปอยู่ที่โรงไฟ โรงไฟนั้นมีพญานาคอยู่

พระพุทธเจ้าไปอยู่นั่น ก็เข้าใจว่า พระพุทธเจ้าจะต้องโดนพญานาคนั้นพ่นพิษใส่ หรือทำร้าย ตกเช้าขึ้นมาเห็นพระพุทธเจ้าไม่เป็นอะไร แถมเข้าไปหา พระพุทธเจ้ายังเปิดบาตร พญานาคนี้ยังอยู่ในบาตรด้วย พอเห็นขนาดนั้นว่า พระพุทธเจ้านี้มีฤทธิ์มีเดชเหมือนกัน เพราะชฎิลนี้เป็นผู้มีฤทธิ์มาก สมัยนั้นมีฤทธิ์มาก เพราะเขาได้สมาบัติ เขาบูชาไฟอยู่ เขาจะมีฤทธิ์ด้วย แล้วพอเห็นว่าพระพุทธเจ้ามีฤทธิ์ ก็ว่ายอมรับพระพุทธเจ้ามีฤทธิ์อยู่

แต่! ฟังนะ.. กิเลสในหัวใจของตัวเองบอกว่า “พระพุทธเจ้าก็เป็นพระธรรมดา เป็นนักบวชธรรมดา แต่ชฎิลนี้เป็นพระอรหันต์” เข้าใจว่าตัวเองเป็นพระอรหันต์ สมัยนั้นใครๆ ก็เข้าใจว่าเป็นพระอรหันต์ เพราะคำว่าพระอรหันต์ มันมีมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ชฎิลทั้ง ๑,๐๐๐ นั้นก็เข้าใจว่า ตัวเองสำเร็จพระอรหันต์ พระพุทธเจ้านี้ยังต่ำต้อยกว่า

พระพุทธเจ้าก็พยายามทรมานต่อไป น้ำท่วมทำให้จุดไฟไม่ติด พอพระพุทธเจ้าอนุญาตจุด ถึงจุดติด พอเห็นฤทธิ์อย่างนั้นก็ยอมรับฤทธิ์เดชอันนั้นอยู่ แต่กิเลสก็บอกว่า พระพุทธเจ้าไม่ใช่พระอรหันต์ ตัวเองเป็นพระอรหันต์ จนพระพุทธเจ้าทรมานอย่างนั้นเป็นพันๆ อย่างนะ ด้วยฤทธิ์เดช จนสลดสังเวช พูดตรงๆ เลยว่า “อย่าหลงใหลว่าท่านเป็นพระอรหันต์ ไม่ใช่หรอก!”

จนสุดท้ายยอมลอยเครื่องบูชา ลอยเครื่องใช้ไม้สอยออกไป เพื่อจะขอบวชกับพระพุทธเจ้า ขอยอมตน ความถือตัวถือตนในหัวใจ กิเลสอันนี้กว่าจะยอมตนได้ พระพุทธเจ้าทรมานขนาดไหน ทั้งๆ ที่ว่าเขาเป็นพระอรหันต์ ตรงนี้คือการศึกษา คือการทรมานตน มันต้องมีเหตุก่อน มันถึงจะเป็นไปได้ แล้วพอยอมบวช บวชเป็นเอหิภิกขุ พระพุทธเจ้าบวชให้

แล้วพระพุทธเจ้าจะสอนพวกนี้อย่างไรดี เพราะว่าพวกนี้บูชาไฟ ต้องเอาความคิด ความชอบในหัวใจ เข้าไปลบล้างในหัวใจนั้น พระพุทธเจ้าตรัสว่า

“ตานี้เป็นของร้อน หูนี้เป็นของร้อน ลิ้นนี้เป็นของร้อน กายนี้เป็นของร้อน ใจนี้เป็นของร้อน”

อายตนะนี้เป็นของร้อน ร้อนเหมือนอะไร? ร้อนเหมือนไฟ เพราะเขาบูชาไฟอยู่ ตานี้ร้อนแบบไฟ กระทบรูปร้อนแบบไฟ ตากระทบรูป วิญญาณรับรู้ร้อนแบบไฟ ร้อนหมด เป็นไฟหมด ไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ โทสัคคินา โมหัคคินา เผาตลอดเวลา

อธิบายเทศน์สอนจนชฎิล ๑,๐๐๐ องค์นี้เป็นพระอรหันต์ทั้งหมด เกิดขึ้นมาจากการคิดพิจารณาใคร่ครวญเข้าไปใน มโน วิญฺญาเญปิ นิพฺพินฺทติ กายนี้เป็นของร้อน ใจสัมผัสอารมณ์ความรู้สึกเป็นของร้อน อารมณ์ที่เกิดขึ้นจากใจเป็นความรู้สึกเป็นของร้อน

“ของร้อนเป็นคุณหรือเป็นโทษ?”

“เป็นโทษ”

“เป็นโทษต้องละหรือรักษาไว้?”

“ต้องละ”

ต้องมีเหตุ มีการต่อสู้ การประหัตประหารกัน เป็นพระอรหันต์ขึ้นมา เป็นพระอรหันต์ขึ้นมาเพราะ เทศน์อาทิตตปริยายสูตร เทศน์เรื่องไฟ พระยสะเหมือนกัน พระพุทธเจ้าทรมานปัญจวัคคีย์แล้ว แล้วกำลังเดินจงกรมอยู่ในป่า พระยสะตอนนั้นออกจากบ้านมา

“ที่นี่ขัดข้องหนอ ที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่เดือดร้อนหนอ”

พระยสะนี้เป็นผู้มีฐานะมาก ขนาดว่าใส่รองเท้าทองคำนะ ออกจากบ้านมา เพราะว่ามีบารมีคล้ายๆ พระพุทธเจ้าเลย เพราะว่าตื่นขึ้นมา เห็นบรรดาพวกที่ขับกล่อมตนเองหลับอยู่ โอ้โฮ! มันดูไม่ได้เลยนะ นอนหลับน้ำลายไหลกัน “ที่นี่ขัดข้องหนอ ที่นี่เดือดร้อนหนอ” เดินออกมาบ่นมาตลอด “ที่นี่ขัดข้องหนอ.. ที่นี่เดือดร้อนหนอ..” พระพุทธเจ้าเดินจงกรมอยู่

“ยสะมานี่ ที่นี่ไม่เดือดร้อน ที่นี่ไม่ขัดข้อง ที่นี่เงียบสงัด”

ที่เงียบสงัดคือที่ควรแก่การงานไง ยสะเข้าไปฟังธรรม ที่นี่ขัดข้องหนอ เพราะใจไปเกาะเกี่ยวมันถึงขัดข้องใช่ไหม? ที่นี่ขัดข้องหนอ ที่นี่วุ่นวายหนอ ให้ยกกลับมา ให้ใจดึงกลับมา สิ่งที่ขัดข้อง มันเป็นไปอยู่ เพราะใจเราไปเจ็บปวด ความรู้สึก ไปรับรู้ ไปเกาะเกี่ยวกับสิ่งนั้น มันก็เดือดร้อน พอปล่อยนะเป็นพระโสดาบัน พ่อออกมาตามหา เดินตามหาลูกอยู่ไหน? ลูกอยู่ไหน? ตามหามา พระพุทธเจ้าบังไว้ก่อน เทศน์สอนพ่อจนพระยสะเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาเหมือนกัน

มันต้องมีเหตุการณ์เกิด มันต้องมีเหตุการณ์สัมผัส เป็นปัจจัตตังรู้จำเพาะตน แต่ต้องมีครูบาอาจารย์ชี้แนะ ธรรมะจะเกิดขึ้น ต้องเกิดขึ้นจากการปฏิบัติ การต่อสู้ มัคคอริยสัจจัง ต้องมีการหมุนเวียน ต้องมีการวนไปก่อน ภาวนามยปัญญาเกิดขึ้น สมุจเฉทปหานกิเลสขาดออกไปจากใจ มันเป็นเครื่องดองสันดานในหัวใจ เป็นของจริงที่เกิดขึ้น เป็นการต่อสู้ไม่ใช่กิตติมศักดิ์ ไม่ใช่ว่านึกเอา สวมเอาขึ้นไปเลย

มันจินตนาการได้ ปัญญาที่ว่าฉลาดๆ มันเป็นปัญญาฆ่าตนเอง ปัญญาฆ่าเรา เพราะว่าเราว่าเรามีปัญญา เราอยากสะดวก อยากสบาย อยากจะได้ก่อน การได้ก่อน มันจินตนาการไปก่อน ทำไมถึงต้องมีสุตมยปัญญา? สุตมยปัญญาคือ การจำ การฟัง การบอกแนวการปฏิบัติมาจากครูบาอาจารย์ การเรียนภาคปริยัติสุตมยปัญญา เพราะว่าจะมีปัญญาขนาดไหน มันเป็นโลกียะ มันเป็นความรู้ทางโลก เป็นความรู้ทางวิชาชีพ

มันเทียบเคียงกับธรรมะได้ แล้วอธิบายออกมาเป็นปัจจุบัน เทียบเคียงออกมาให้เราเห็นภาพ การเห็นภาพ การนึกภาพ มันเป็นกิตติมศักดิ์ แต่การเข้าไปทำลาย.. อย่างเช่นการเห็นนิมิต การเห็นนิมิตอย่างหนึ่ง กับนิมิตของเราก็เป็นนิมิตด้วยอย่างหนึ่ง เราเข้าไปอยู่ในนั้นเลย อันนี้มันก็เป็นแค่นิมิต เป็นแค่การบอกว่า ภูมิปัญญา วุฒิภาวะของใจ ขยับเคลื่อนออกไป

กิเลสมันอยู่ในหัวใจ ต้องเอาภาวนามยปัญญาเข้าไปชำระมัน การชำระคือใจแก้ใจ ต้องเอาธาตุสิ่งนั้นชำระสิ่งนั้นถึงจะเป็นความจริง แต่ในการจำมา คือว่าเหมือนกับเราอยู่ในบ้าน แต่เราจะให้คนข้างนอกเข้ามาทำความสะอาดในบ้านให้เราเป็นไปได้ไหม? เพราะเขาอยู่นอกบ้านเรา อยู่นอกรั้ว อยู่ไกลขนาดนั้น อารมณ์ก็เหมือนกัน ความคิดดึงให้เข้ามาเป็นจินตมยปัญญาทั้งหมด มันไม่เกิดปัจจัตตัง ไม่เกิดในปัจจุบันธรรม

มันต้องเกิดในปัจจุบันธรรม การจับต้องในความรู้สึก สมาธิสงบตัวลง อันนั้นแค่ปล่อย ปล่อยในความคิดของโลก ปล่อยในช่องทางร่องน้ำเดิมของที่ใจมันออกมา ปล่อยในอวิชชา ปัจจยา สังขารา ในเครื่องดำเนินที่ใจมันเคยเดินมา พระพุทธเจ้าถึงสอนให้เราทำสมาธิก่อน ต้องให้ใจเป็นอิสระจากโลก อิสระจากความคิดเดิมที่มีเราอยู่ด้วย

เรานี้มีการเข้าข้างตัวเอง ตนนี้ไม่กล้าทำลายตน ฉะนั้นต้องให้ตนนี้สงบตัวลง สงบตัวลงให้เป็นกลาง ให้เป็นตนก็ไม่ได้ เป็นกลางหมายถึงว่าเป็นสมาธิ เป็นสมาธิจิตตั้งมั่น จิตนี้เป็นหนึ่ง จิตนี้เป็นอิสระชั่วคราวจากตน อิสระชั่วคราวจากใครเป็นเจ้าของ สมาธิถึงมีความสุข ความสุขที่เป็นสากล เป็นสากลเพราะจิตนี้ไม่เป็นของใคร

จิตนี้เป็นธรรมโดยธรรมชาติ ธรรมแบบพื้นๆ ที่เคยมีประจำโลกอยู่แล้ว เพราะเป็นคู่กับจิต จิตนี้เป็นความคิดที่ฟุ้งซ่าน จิตนี้สงบ เพราะความฟุ้งซ่านสงบลง จิตนี้ถึงมีความสงบลงเป็นสากล เป็นของดั้งเดิมที่มีอยู่ เพราะมันมีหัวใจ มีจิตอยู่แล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เคยศึกษามาก่อนแล้ว เพราะว่าตอนที่เป็นเจ้าชายสิทธัตถะ แล้วออกแสวงหาโมกขธรรม ก็ไปหาอาฬารดาบส อุทกดาบสอยู่แล้ว ก็ได้สมาบัติ ๖ สมาบัติ ๘ ก็ทำจิตให้สงบโดยธรรมชาติอยู่แล้ว

ก็รู้ๆ อยู่จนอาฬารดาบสประกันด้วยว่า “มีความรู้เท่าเรา อยู่ช่วยเราสอนลูกศิษย์เถิด” แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างบุญบารมีไว้มหาศาล รู้อยู่ เป็นคนซื่อสัตย์ เป็นสุภาพบุรุษ ไม่ลำเอียงกับข้างใด เพราะรู้ว่าใจของเรานี้ ถึงจะสงบอย่างไร คลายจากความสงบมา มันก็ยังมีอะไรอยู่ในหัวใจ มันไม่ได้ชำระล้าง ยังไม่ได้ชำระโรคประจำใจออกเลย เพียงแต่ว่าใจนี้มีสุขภาพแข็งแรงเท่านั้นเอง

ถึงไม่ยอมรับว่า สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ชำระแล้ว ถึงต้องออกแสวงหาเอง เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างบุญบารมีมา เพื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ไม่มีใครจะสอน เป็นสยมภู รู้จำเพาะตน ถึงย้อนกลับมาที่โคนต้นหว้าไง ทำจิตสงบที่โคนต้นหว้า อานาปานสติตอนเป็นเด็ก

เพราะไปหาใครแล้วใครก็สอนไม่ได้ ไปหาใคร ใครบอกตัวเองก็รู้อยู่ ครูบาอาจารย์องค์นั้นจะรับประกันขนาดไหน แต่เจ้าของคือตัวตน ตัวของเราเองรู้ว่าหัวใจเรายังมีความทุกข์อยู่ ยังมีอะไรที่มันเศร้าหมอง มันเฉาอยู่ในหัวใจ มันไม่เป็นอิสระโดยธรรมชาติ ในเมื่อพึ่งใครก็ไม่ได้ ต้องกลับมาพึ่งตนเอง กลับมาคิดถึงเมื่อตอนเริ่มต้นที่โคนต้นหว้านั้น กลับมาอานาปานสติใหม่ สิ่งที่ศึกษาไปนั้นมันเป็นสมาธิแขนงหนึ่งเท่านั้น

แต่สมาธินี้เขาเอาเป็นผล สมาธินี้เป็นผล มันก็เป็นสากลอย่างที่ว่านั่น แต่ไม่สามารถชำระ เพราะเอาสมาธิเป็นผล แต่พอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเริ่มพิจารณา พอจิตสงบเข้าด้วยอำนาจวาสนาที่ได้สะสมมา วิชชา ๓ ถึงได้บุพเพนิวาสานุสติญาณ ย้อนกลับอดีตชาติ ย้อนได้หมด จะย้อนได้ขนาดไหน ถ้าเป็นคนอื่นก็ต้องตื่นเต้น ต้องภูมิอกภูมิใจว่า เรานี้เป็นผู้วิเศษ ย้อนกลับมาแล้วพอสงบลง มันก็เป็นกิเลสอันเก่า ...ไม่ใช่ เห็นไหม

ถึงกำหนดใหม่เป็นจุตูปปาตญาณ รู้ว่าสัตว์ตายแล้วไปเกิดที่ไหน ก็ไปอีกไม่มีวันจบ จนย้อนกลับมาที่อวิชชา ปัจจยา สังขารา อาสวักขยญาณ ด้วยญาณของปัญญา ด้วยความดำริ ดำริไปบุพเพนิวาสานุสติญาณ ดำริไปจุตูปปาตญาณ ดำริไปไหนมันก็ไม่ใช่ มันต้องดำริมาที่อวิชชา ปัจจยา สังขารา ความไม่รู้จริงกลางหัวใจ กลางจุดเริ่มต้นของความรู้สึกนั้น

อวิชชาเป็นผู้ไส ผู้ควบคุมใจให้นึกคิดออกมา ย้อนกลับเข้าไปท่ามกลางหัวใจของตน ตรงนั้นเป็นที่อยู่ของเจ้าวัฏจักร ด้วยปัญญาญาณ ปัญญาญาณที่เกิดจากภาวนามยปัญญา ไม่ใช่ปัญญาญาณแบบกิตติมศักดิ์! ไม่ใช่ปัญญาญาณแบบจัดตั้ง! ไม่ใช่ปัญญาญาณสำเร็จรูป! มันไม่เป็นปัญญาสำเร็จรูปไปไหน มันต้องเป็นปัจจุบันขณะนั้นๆ

ชฎิล ๑,๐๐๐ องค์ ก็ชำระกิเลส ๑,๐๐๐ องค์นั้น พระยสะก็ชำระกิเลสของพระยสะนั้น เพื่อนของพระยสะก็ชำระของเพื่อนพระยสะนั้นอีก ๖๐ องค์ เป็นปัจจุบันของตนที่ว่า อวิชชา ปัจจยา สังขารา ตรงกลางหัวใจ ตรงพุทธปัญญานั้น ปัญญานั้นเป็นพุทธปัญญา พุทธิปัญญา เพราะมันเป็นพุทโธอยู่ท่ามกลางหัวใจ อวิชชาอยู่ที่นั่น ไปพลิกตรงอวิชชานั่นก็เป็นวิชชา เป็นวิชชาเห็นไหม เป็นอรหัตตผล พ้นจากวิชชาไปเป็นวิมุตติ เป็นวิมุตติไปเป็นที่สิ้นสุด

สิ่งที่เป็นวิมุตตินั้น เป็นที่หมดสิ้นกิเลส เป็นวิมุตติไม่ใช่ทุกๆ อย่าง เพราะถ้าเป็นทุกอย่างแล้วเริ่มต้นจากนับหนึ่งทันที ออกมานี้เป็นสมมุติเป็นบัญญัติทั้งหมด เป็นวิมุตติจนพระพุทธเจ้าท้อใจ.. ตั้งตนสร้างสมบารมีมาเพื่อจะเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ แต่พอเข้าไปถึงจุดตรงนั้นแล้ว “แล้วใครจะรู้ได้หนอ..” จนท้อใจ จนปล่อยวางหมด จนต้องให้พรหมมาอาราธนาให้ออกมาสอน เพราะมันเป็นวิมุตติที่พ้นออไป ที่สื่อกันไม่ได้เลย

ถ้าสื่อออกมาแล้วผิดทั้งหมด สื่อออกมาต้องเป็นบัญญัติ เพราะพระพุทธเจ้าถึงได้บัญญัติออกมา บัญญัติว่า “นิพพาน” พอนิพพานมันสิ้นไป ย้อนกลับมาถึงว่า เป็นพุทธปัญญา เป็นปัญญาที่แท้จริง พุทธปัญญาเกิดขึ้นจากภาวนามยปัญญา เป็นธรรมจักรที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของ เป็นธรรมจักรที่กลับมาชำระกิเลสของแต่ละบุคคลๆ ที่ได้สะสมบุญญาธิการมา ที่ได้ภาวนาขึ้นมาจนเป็นตามความเป็นจริงของใจดวงนั้น ถึงเป็นปัจจัตตังรู้จำเพาะตน

ความบริสุทธิ์ของใจดวงหนึ่งๆ ใครจะประกันให้ใครไม่ได้ เพราะว่าใครจะทำให้ใครอีกดวงหนึ่งก็ไม่ได้ เพราะมันเป็นคนละบ้านกัน เป็นคนละสายวัฏฏะ เป็นคนที่เวียนว่าย เวียนเกิดมาคนละสายกัน แต่เกี่ยวกันมาด้วยกรรม คนละสายแต่เกี่ยวพันกันมา เพราะสัตว์เกิดตายมาตลอด พอออกมาตรงนี้ ออกมาด้วยการใช้จินตมยปัญญาเข้าไปสัมผัสธรรม

มันถึงเป็นปัญญาที่ฆ่าตัวเอง เป็นปัญญาที่ทำลายโอกาสของตน ทำลายโอกาสของตนหนึ่ง ยังทำลายโอกาสของคนอื่น แล้วยังทำให้เกิดกรรมอีก เราเกิดโอกาสคือว่า เราขึ้นมาถึงห้องสอบ เรามีโอกาสได้โควตาเราได้เข้าสอบ แต่เราไปทำทุจริต ทำให้เราไม่มีสิทธิสอบแล้วยังโดนห้ามไปอีกกี่ปีล่ะ ก็เหมือนกันทำกรรมสร้างกรรมไปแล้ว ผลของกรรมอันนั้น ทั้งๆ ที่เราจวนเจียนจะได้สอบ จะได้พ้นจากห้องสอบแล้ว จะได้พ้นจากวัฏวนเสียที

นี่ก็เหมือนกัน เราเกิดมาพบพระพุทธศาสนา กึ่งกลางพุทธศาสนา เจอครูบาอาจารย์ที่แท้จริง เจอครูบาอาจารย์ที่ชี้นำได้ การชี้นำแล้วเราต้องก้าวเดิน การก้าวเดิน การกระเสือกกระสนของเรา มันเป็นความทุกข์ ความทุกข์ที่จะพ้นทุกข์ มันทำให้เกิดความแหยง เกิดความไม่กล้าต่อสู้ เราถึงจะเอาทางลัด เอาทางที่เดินสะดวก

กิเลสที่ไหนมันจะปล่อยให้เราสะดวก กิเลสดวงไหน กิเลสตัวไหน ที่จะปล่อยให้พ้นจากมือไปสะดวกๆ ดูคนที่ขี่ม้าสิ ดึงบังเหียนม้า บังคับให้ม้าไปข้างหน้า ความตุกติกของเราก็เป็นแบบนั้น กิเลสอยู่หลังความคิดเรา แล้วกิเลสสร้างบ้าน สร้างเรือนอยู่ที่หัวใจของคน คิดสิว่าบ้านของเรา ถ้าเราทำลายบ้านเรา แล้วเราจะไปอยู่ที่ไหน? นี่อวิชชาไง เจ้าวัฏจักรไง

เจ้าวัฏฏะที่นั่งอยู่บนหัวใจ แล้วจะปล่อยให้บ้านให้เรือนของตัวล่มสลายไปง่ายๆ จะเป็นไปได้อย่างไร? แต่เพราะความเข้าใจไงว่าเราต้องการทางลัด ต้องการหลักประกันว่าจะไม่หลง ต้องการการประพฤติปฏิบัติที่เป็นสเต็ป ต้องก้าวเดินไปเป็นขั้นตอนๆ เป็นสิ่งที่เป็นรูปเป็นร่าง เพราะกิเลสมันกลัว กิเลสมันแขยง ในหัวใจมันกลัวพลาด ต้องให้มีหลักประกันว่า เราจะเดินหน้าไม่พลาด มันก็เลยพลาดไง

ถ้าเดินไปตามความเป็นจริง เป็นธรรม มันจะพลาดตรงไหน? ถึงมันจะพลาด มันก็เป็นเรื่องธรรมดา ทำไมถึงว่าธรรมดา? เพราะว่าสิ่งที่ประพฤติปฏิบัติ มันพ้นจากโลก เราจะเรียนวิชาการใดๆ มาก็แล้วแต่นะ มันก็เป็นการจำเข้ามา เป็นสิ่งที่ผู้ทำประสบความสำเร็จ หรือผู้ที่วิเคราะห์วิจารณ์ขึ้นมาเขียนไว้เป็นตำรา เป็นวิชาชีพ

ในโลกนี้ไม่มี ไม่มี.. แม้แต่ไอน์สไตน์มาวิเคราะห์ศาสนา ยังบอกอยากจะนับถือศาสนาพุทธเลย มันไม่มี สิ่งที่โลกนี้ไม่มี แต่มีอยู่ในศาสนาพุทธ มีอยู่ในตัวแทนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในพระไตรปิฎก ในเมื่อพระไตรปิฎกนี้เป็นสิ่งที่สะอาด เป็นสิ่งที่บริสุทธิ์ในความหมายเรื่องวิมุตติ แล้วเรามันมีความหมายเรื่องโลก เราไปอ่านแล้วจินตนาการแล้วเราตีความอย่างไร?

การตีความอันนี้ มันให้เราตีความผิด มันให้เราคาดไม่ถึง มันเส้นผมบังภูเขา พอมันตีความผิด เราถึงต้องการคนชี้นำที่ว่าถ้าผิด ถ้าผิด.. เห็นไหม แต่ส่วนใหญ่ผิด จะว่าส่วนใหญ่.. ร้อยทั้งร้อยด้วย ผิด ถึงต้องหาครูบาอาจารย์คอยชี้แนะ ว่าพอถึงจุดนี้ควรทำอย่างไร? ถ้าคนไม่เคยมีฐานะไปเจอทองคำ ไปเจอเพชร ใครไม่ตื่นเต้น ใครไม่อยากได้

พอจิตสงบ จิตเสวยอารมณ์ ทำไมมันจะไม่ตื่นเต้น พอตื่นเต้นก็คาดหมายว่า พระไตรปิฎกว่าไว้อย่างนั้น อารมณ์อย่างนี้ต้องเป็นอย่างนั้น ส่วนใหญ่เราจะให้ค่าใจของเราเกินความเป็นจริงตลอด ถึงเรียกว่าหลง ทุกคนจะให้ค่าหัวใจของตัว เวลาเข้าไปสัมผัสธรรมส่วนหนึ่ง จะให้ค่ามากกว่าความเป็นจริง อ๋อ! พระพุทธเจ้าว่าไว้ขั้นนั้นๆ ใจต้องเป็นอย่างนั้น.. ส่วนใหญ่ผู้ปฏิบัติจะเป็นอย่างนั้นทั้งหมดเลย

เพราะอยากจะได้ก่อน อยากได้ไว มันก็เลยกลายเป็นผิด เหตุที่ผิดตรงนี้ เป็นส่วนใหญ่ ๙๙ % เพราะว่าสิ่งที่โลกนี้ไม่มี วัฏวนเราเกิดตาย เกิดตาย เกิดตายจะกี่ชาติ กี่ชาติก็ไม่มี แต่ถ้าเราทำสมาธิได้เกิดเป็นพรหมมา มี เกิดเป็นพรหมลงมา พอมาสัมผัสสิ่งนั้น อ๋อ! นี่พรหม พวกที่เข้านิโรธสมาบัติ เวลาตายไปจะเกิดเป็นพรหม มันก็เป็นวัฏฏะ เพราะพรหมโลก มันอยู่ก็วัฏฏะ

กามภพ รูปภพ อรูปภพ วัฏวนอยู่อย่างนั้น เพราะจิตมันเคยสัมผัส มันก็สื่อถึงกันได้ แต่อันนี้มันไม่มี ไม่มีตรงไหน? ไม่มีที่ว่าเช่น พิจารณากายเห็นกายตามความเป็นจริง เห็นตามความเป็นจริงขณะที่พิจารณา ไม่ได้เห็นตามความเป็นจริงตามสัญญาความจำได้หมายรู้ ถ้าเห็นตามความเป็นจริงตามจำได้หมายรู้ ทุกคนรู้ว่าเกิดมาแล้วต้องตาย แต่ทำไมตายพร้อมกับกิเลสล่ะ?

เพราะเรารู้ตามสัญญาคือ ความจำได้หมายรู้เดิม ความจำได้หมายรู้ มันไม่เป็นปัจจุบัน มันเป็นอดีต อนาคต แล้วกิเลสมันก็หลอกกินอยู่ตรงปัจจุบันนี้ เราเห็นว่าอย่างนั้น มันจะเป็นอย่างนี้ เราเห็นว่าเป็นอย่างนั้นอย่างหนึ่ง แล้วมันจะเป็นอย่างนี้อย่างหนึ่ง มันเป็นปัจจุบันไหม? มันไม่เป็นปัจจุบัน เพราะกิเลสมันเกิดขึ้นปัจจุบัน มันเอาอดีต อนาคตมาบังไว้ แล้วก็หลอกปัจจุบันกินไปตลอด

พรุ่งนี้ค่อยไปภาวนานะ โอย! พรุ่งนี้ภาวนาไม่ได้ โอ้! มันผ่านมาแล้วน่าเสียดายนะ เมื่อวานก็ภาวนาน้อยไปหน่อย แล้ววันนี้ทำอะไรอยู่? แล้วปัจจุบันนี้ทำอะไรอยู่? กิเลสมันหลอกอย่างนี้ หลอกไปตลอด ถึงต้องเห็นกายในปัจจุบันธรรมเท่านั้น ไม่ได้เห็นกายด้วยสัญญา การเห็นกายด้วยสัญญามันก็ไม่เป็นไปตามความเป็นจริง มันเห็นตามกิเลสหลอก นี่คืออวิชชา แม้อยู่ท่ามกลางการวิปัสสนานั้น ก็หลอกไปตลอด หลอกไปตลอด

เราถึงบอกว่าต้องเป็นภาวนามยปัญญา เป็นธรรมจักร ไม่มีใครไปควบคุมปัญญาอันนี้ ถ้ามีคนควบคุมปัญญาอันนี้มันเป็นเรา ถ้าไม่มีคนควบคุม ทำไมมันจะกลับเป็นของดีขึ้นมาล่ะ เพราะมันเป็นธรรมชาติ มันเป็นธรรมจักร จักรนี้เคลื่อนไปโดยตัวมันเอง เกิดขึ้นจากหัวใจของเรา ลองทำสิ! วิปัสสนาไปเรื่อยๆ สิ ธรรมจักรจะเกิดขึ้นจากหัวใจเรา เพราะภาวนามยปัญญาหมุนไป จนมันเป็นธรรมขึ้นไปโดยตัวมันเอง

สมุจเฉทปหาน เห็นกายตามความเป็นจริง ปล่อยวางกายตามความเป็นจริง เพราะมันเห็นโทษ เห็นโทษการยึด เห็นโทษการไม่เข้าใจ เพราะมันมีโทษ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส เพราะไม่รู้จริงถึงเกิดสักกายทิฏฐิ เห็นตามความเป็นจริง สักกายทิฏฐิหลุดไป สีลัพพตปรามาสหลุดไปตาม เพราะสีลัพพตปรามาส คือการจับที่ไม่มั่น คือการที่ไม่มั่นใจในสิ่งนั้น

พอสักกายทิฏฐิเห็นตามความเป็นจริง อาจารย์บอกว่าจับงูอยู่ นึกว่าปลาไหล พอรู้ว่าเป็นงู ใครกล้าจับอยู่ สลัดทันทีเลย เห็นตามความเป็นจริงจะปล่อยทันทีเลย อันนั้นเกิดขึ้นจากภาวนามยปัญญา ตามความเป็นจริงแล้วปล่อยตามความเป็นจริง นั่นโลกนี้ไม่มี ใน ๓ โลกธาตุไม่มีเพราะโลกมันวนอยู่ อันนี้มันเป็นการออกจากโลก ออกจากวัฏฏะไป

วิปัสสนาไปเรื่อย ยกขึ้นไปเรื่อย ยกขึ้นไปเรื่อย พอคนถึงจุดมันก็จะให้ค่าตัวเอง สูงขึ้นไป แต่ช่วงนี้ยังไม่ให้ค่าสูงมาก เพราะขั้นตอน บุคคล ๘ จำพวก เราสวดมนต์อยู่ บุคคล ๘ จำพวก โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล เราผ่าน ๒ ขั้นตอน ตามความเป็นจริงที่เราปฏิบัติ ตามความเป็นจริง ถึงบอกว่าครูบาอาจารย์จะชี้แนะหนึ่ง เราจะเข้าไปตรวจสอบหนึ่ง

ความหลง ห่วงว่าจะหลง มันหลงโดยธรรมชาติอยู่แล้ว เพราะกิเลสมันบังอยู่ ความหลงเป็นธรรมชาติของมัน เพราะว่าเราไม่เคย คือว่ามันเป็นเรื่องความทุกข์ เรากลัวไปก่อน เราแหยงไปก่อน เราถึงต้องการ สิ่งที่ไม่หลง สิ่งที่เป็นสเต็ปที่จะพาเราไป สิ่งที่เป็นกิตติมศักดิ์ที่ยื่นให้ การยื่นให้ การครอบให้ ความเป็นระบบ

ระบบมันเป็นได้ในการปกครองของทางโลกเขา มันเป็นเรื่องของโลกทั้งหมดเลย มันไม่ใช่เป็นเรื่องของธรรม เป็นเรื่องของธรรมต้องให้ตามความเป็นจริง เป็นเจตนาที่อยากทำ อยากตั้งใจทำ นี่ธรรมเริ่มเกิด อิสรเสรีภาพเกิดขึ้นจากเจตนาแต่ทีแรก นี่แหละเป็นธรรม ธรรมต้องเกิดขึ้นจากเราเข้าใจ เราพอใจ เป็นธรรมแล้ว แล้วเราทำเข้าไป

ทีนี้คำว่าเป็นธรรม มันก็แว็บๆๆ แต่อวิชชามันคลุมอยู่ พอจะทำก็เป็นอดีตอนาคตที่ว่านี่แหละ แล้วปัจจุบันก็หลอกไปตลอด ผลักไสไปมาตลอด พระพุทธเจ้าถึงบอกการแก้กิเลสมันอยู่ที่ปัจจุบันเท่านั้น อดีตอนาคตแก้กิเลสไม่ได้ อดีตและอนาคตไม่สามารถมาแก้กิเลสได้ แต่อดีตอนาคตเราชอบนึก เราห่วงมากเลยเรื่องอนาคต ความห่วงอนาคตไง

แต่พระพุทธเจ้าสอนลงที่ปัจจุบันนี้ แก้ที่ปัจจุบันนี้ ปัจจุบันทำให้ดี พรุ่งนี้ดีแน่นอน กลับมาตรงนี้เลย ชำระกันที่นี่ แล้วถ้าปัจจุบันนี้ดีแล้ว มันดีไปเอง ดีจนหมดสิ้น ดีจนไม่เกาะเกี่ยวกับสิ่งใดๆ ในโลกนี้เลย ฟังให้เข้าใจตามหลักความเป็นจริงว่า เครื่องอยู่อาศัย เราโดนโลกหลอกมาตลอด เราโดนสื่อสารมวลชนทุกอย่างหลอกมาตลอด เราถูกหลอกแล้วเราก็เป็นเหยื่อของเขามาตลอด เราพ้นจากเหยื่อ (เทปสิ้นสุดเพียงเท่านี้)