เทศน์บนศาลา

แสงสว่างของธรรม

๒๖ ส.ค. ๒๕๔๒

 

แสงสว่างของธรรม
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์บนศาลา วันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๔๒
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ฟังธรรม วันนี้วันเข้าพรรษาไง เกือบกลางพรรษาแล้ว ในพรรษานี้พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ให้พระอยู่จำที่ไง เป็นหน้าฝน ญาติโยมต้องมีการกสิกรรม การทำไร่ทำนา การจะจรไป ไปเหยียบพืชไร่เขา พระพุทธเจ้าให้พระอยู่จำพรรษา ๓ เดือน อยู่จำพรรษา ๓ เดือนแล้วตั้งใจประพฤติปฏิบัติ เพราะเวลาเที่ยวไปก็เที่ยวไปอยู่แล้ว ในเวลาธุดงค์ไง เวลาจำพรรษาภายในพรรษา ๓ เดือนนี้ให้กายกับใจประพฤติปฏิบัติ ตั้งใจเพื่อจะทำให้ตัวเองมีที่เกาะที่ยึดไง เพราะว่าในพรรษานี้มันต้องเป็นการเข้มข้น ในการประพฤติปฏิบัติต้องเข้มข้นขึ้น ไม่ใช่ทำสักแต่ว่าทำ เหมือนเราทำอยู่ปกติ

ชีวิตหนึ่งเกิดมานี้พบพระพุทธศาสนานี้ประเสริฐมาก ประเสริฐที่สุด ประเสริฐจริงๆ ว่าแสงของธรรม แสงธรรมผ่องอำไพนะ ธรรมนี้เจริญในไตรภพ แสงของธรรมผ่องอำไพ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม ผ่องอำไพในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วธรรมนี้เจริญในไตรภพ ใน ๓โลกธาตุไง ในไตรภพ ในกามภพ ในรูปภพ ในอรูปภพ นี่ธรรม แสงของธรรมผ่องอำไพ ผ่องอำไพมา ๒,๕๔๒ ปี ปัจจุบันนี้เป็นเที่ยงวัน พระอาทิตย์ส่องอยู่เที่ยงวันเลย ในเรื่องของศาสนา

แต่ชีวิตเรา ชีวิตเราเกิดมาพบพระพุทธศาสนา นี่แสงของธรรมผ่องอำไพ ธรรมจะเจริญในไตรภพ แต่มันในหัวใจของเราเจริญไหม เราสามารถเปิดแสงของใจเรา ใจของเราเป็นความทุกข์ความร้อน เปิดรับแสงของธรรมได้ไหม แสงของธรรมจะเข้าถึงใจเราไหม แสงของธรรมเปรียบเหมือนพระจันทร์ส่องไปในทั่วโลก พระจันทร์ พระอาทิตย์ส่องมา แสงของธรรมเป็นธรรมชาติ ธรรมนี้เป็นกลาง เป็นของกลางอยู่

แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสรู้ธรรม ๒,๕๔๒ ปีนะ กึ่งกลางของศาสนาไง เที่ยงวันพระอาทิตย์ส่องแรงมาก แสงของธรรมร้อนแรงมาก แล้วหัวใจเราได้รับผลประโยชน์ไหม ในไตรภพ ใน ๓โลกธาตุ เราเวียนว่ายตายเกิดในนั้น ในพรรษา ใน ๓ เดือน ในพรรษานี้เราทำอะไรของเราขึ้นมาได้ประโยชน์ขนาดไหน เราเกิดเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา ที่ว่าประเสริฐ ประเสริฐตรงนี้ไง

แสงของธรรมผ่องอำไพ พระพุทธเจ้าเป็นผู้รื้อค้นมาแล้วประกาศไว้ ประกาศธรรมไว้ รื้อค้นมาไม่ใช่รื้อมาเพื่อประกาศให้เรารู้ รื้อค้นมาเพื่อให้ใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสิ้นจากกิเลส เสวยวิมุตติสุขก่อน มันสำคัญที่ใจที่เสวยวิมุตติสุข สุขที่เป็นสุขเยี่ยงแท้ สุขที่ว่าไม่คลอนแคลน สุขอันนั้นเป็นแก่นของศาสนาพุทธไง เป็นแก่นของศาสนา

แล้วเราชาวพุทธ เราเปล่งวาจาว่าเราเป็นชาวพุทธ เราเป็นนักปฏิบัติด้วย เราก็ต้องจับแก่นของศาสนา เข้าถึงแก่นของศาสนาให้ได้ แก่นของศาสนา เห็นไหม แสงของธรรมอันนี้เป็นแสงของธรรม ผ่องอำไพในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผ่องอำไพในหัวใจของอริยสาวกต่างๆ แต่มันไม่ผ่องอำไพในหัวใจเรา หัวใจเรามืดบอด หัวใจที่มืดบอดไม่เคยรับแสง ไม่เคยเห็นแสง มันจะมีความสุขมาจากไหน

มันก้องกังวานอยู่ในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก้องกังวานอยู่ในหัวใจของอริยสาวกต่างๆ ที่เดินตามธรรมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเราพยายามอยู่ ความพยายามของเรา ความพยายามของผู้ที่จะพ้นจากกิเลส มันต้องมีความเข้มแข็ง ความพยายามของผู้พ้นจากกิเลส เพราะความบีบบี้สีไฟของทุกข์ในหัวใจนี้มันเผาลนเรา

เวลาทุกข์ขึ้นมาทุกคนร่ำร้องว่าทุกข์ “ทุกข์มาก ทุกข์มาก” จะเครื่องอำนวยความสะดวกของโลกเขา น้ำแข็งห้องเย็นไหนว่าจะเย็น จะให้หัวใจมีความทุกข์เข้าไปอยู่ในนั้น มันก็ทุกข์ มันก็ร้อน ความทุกข์นี้มันอยู่ในหัวใจ ไม่มีสิ่งใดจะชนะความทุกข์ได้นอกจากธรรมของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น

ธรรมตามความเป็นจริง ความมืดบอดอันนั้นเป็นความทุกข์ไง ความลังเลสงสัย ความไม่รู้จริง ความไม่รู้เรื่องใดๆ มันเป็นทุกข์ ความเป็นทุกข์อันนั้นมันเป็นของจริงอยู่ในหัวใจของทุกๆ ดวง อยู่ในหัวใจของผู้ที่เกิดมา ผู้ที่เกิดมา เกิดมาพร้อมกับกิเลส กิเลสพาเกิดมา ไอ้ลูกศรที่ในหัวใจนั้นมันเป็นสัจจะ เป็นสัจจะความจริงอันหนึ่ง สัจจะที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับเรา แต่อริยสัจจะ เห็นไหม อริยสัจ กับ สัจจะความจริง ความจริงมันเกิดอยู่ เราเข้าถึงกันสัจจะความจริงเฉยๆ เกิดมาแล้วต้องตาย เกิดมาแล้วต้องตายก็ยอมรับกัน เกิดมาแล้วต้องทุกข์ก็ยอมรับกัน เกิดมาแล้วโลกเขาตื่นกันในทรัพย์สมบัติ ในสิ่งที่เป็นเครื่องอยู่ของโลกก็ตื่นกัน

มันเป็นเครื่องอยู่อาศัย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ปฏิเสธเรื่องสิ่งนั้น ไม่เคยปฏิเสธนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่เป็นผู้ที่ฉลาดมาก รู้แจ้งโลกทั้งโลกนอกโลกใน จะไม่รู้ได้อย่างไรว่าอะไรเป็นเครื่องอยู่อาศัย อะไรเป็นของจริง

ทีนี้เราเกิดมาแล้ว เราเกิดมาท่ามกลางเครื่องอาศัย แล้วเราก็ติดในเครื่องอาศัย เราไม่ทะลุเข้าไปถึงความจริง เราเกิดมาถึงเป็นสัจจะ แล้วก็ยอมรับกันว่าอันนี้เป็นสัจจะ เป็นสัจจะเกิดมาแล้วก็ต้องตาย มันยอมรับแบบคนยอมจำนน แล้วถ้าไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสรู้ธรรม ใครจะเอาธรรมอันนี้มาเป็นให้เราเดินได้ ให้เราก้าวเดินตามได้

เราจะก้าวเดินตามธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ว่าเป็นธรรมแท้ๆ เป็นธรรมแท้ๆ นะ เป็นธรรมที่มีอยู่ดั้งเดิม ถ้าเป็นธรรมที่ว่าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ตรัสรู้ขึ้นมาแล้วมาสร้างธรรมขึ้นมา มาสร้างสิ่งความเป็นจริงขึ้นมา นรกสวรรค์มันต้องไม่เป็นไตรภพสิ ไม่เป็นไตรจักรวาลที่ว่าเราต้องเวียนว่ายตายเกิด มันเป็นของที่มีอยู่ดั้งเดิม แต่เราปฎิเสธความเป็นมีอยู่ดั้งเดิม ปฏิเสธไง นี่หัวใจมันเห็นผิด ความเห็นผิดมันมืดบอด ความมืดบอดมันเอาความลังเลสงสัยมา ความลังเลสงสัยมาคือความที่ทำให้ใจขุ่นมัว ใจไม่ก้าวเดินออกไป เห็นไหม มันถึงไม่เข้าถึงธรรม สัจจะที่รู้ก็ว่ารู้ รู้สัจจะ สัจจะแต่ยังไม่รู้ถึงอริยสัจ

อริยสัจเกิด...ทุกข์ทุกคนบ่นว่าทุกข์ แต่ไม่เคยมีใครเคยเห็นรู้จักทุกข์ แล้วจับทุกข์นี้ตั้งขึ้นมาให้เป็นสิ่งที่ว่า เป็นเป้าหมายในการกระทำไง ทุกข์บ่นกันที่ใจ บ่นกันที่ปาก บ่นกันๆ ความบ่นว่าทุกข์ มันบ่นออกมา แต่คนที่บอกอาศัยอยู่เป็นพลังงานสร้างทุกข์อันนั้นอยู่ไหน เราไม่เคยเห็นทุกข์ เราบ่นกันไปว่าทุกข์ๆ เราบ่นกัน เพราะมันเป็นคำบ่น มันเป็นคำอาศัย เป็นนามธรรมอยู่ในหัวใจนี้ บ่นออกมาก็เครื่องอยู่อาศัยไง บ่นกับเครื่องอยู่อาศัย บ่นกับวัตถุข้างนอก แต่อาการที่เกิดทุกข์ อาการที่ทำให้เกิดทุกข์ ถึงว่าอันนั้นเป็นอริยสัจ

สัจจะความจริงอยู่เราเป็นสัจจะ แล้วคนที่มีความรู้มาก คนที่รู้มากก็ว่าคนนั้นเก่ง คนนี้ฉลาด...ฉลาดในทางโลกนะ ความฉลาดของกิเลส กิเลสมันพาให้ความคิดของมันฉลาด ความคิดของเขานะ เราว่าเราฉลาด เราคิดว่าเราฉลาด แต่พอเราฉลาดขึ้นมา ความคิดอยู่ที่ฉลาดๆ นี้มันมีกิเลสพาคิดด้วยพอกิเลสพาคิดขึ้นมา คิดออกไปขนาดไหน มันก็กว้านแต่กองทุกข์มาโดยที่เราไม่รู้สึกตัว เราไม่รู้สึกตัว ฟังสิ ทั้งๆ ที่เราคิดเอง เราว่าคิด เราเคยคิด เราเคยทำการงานของเรา เราเคยหาวัตถุ หาสิ่งของมา เราว่าเราหามาสะสมไว้ เราเป็นคนฉลาด เราว่าเราฉลาดไง กิเลสมันทำให้คิด มันพาให้คิดไป กิเลสมันฉลาดกว่าเรา มันทำให้เราโง่ไง

เราโง่กว่ากิเลส คำว่ากิเลสมันคือการกว้านเอาความทุกข์เข้ามาหาเรา คำว่าฉลาดๆ นั้นเป็นฉลาดในการที่ว่าเราฉลาดในการดำรงนี้ชีวิตอันหนึ่ง แต่ความนี้มันไม่ใช่กิเลส แต่การสิ่งที่เกินเลยกว่านั้น หามาแล้วมันไม่รู้จักพอไง ความที่ไม่รู้จักพอ ความที่คิดสิ่งเกินจากหลักความเป็นจริงไป ความคาดความหมาย ตัณหาความทะยานอยาก ความทะยานอยาก ตัณหาอันนั้นเป็นกิเลส กิเลสมันหลอกให้เราโง่ มันฉลาด นี่เราไม่รู้ แต่เวลาเราคิดว่าเราฉลาด อันนี้มันเกิดจากกิเลส คำว่า “กิเลส” คือมันฟุ้งซ่าน มันหยุดยั้งไม่ได้ไง

เราเกิดมาพร้อม เกิดมาเป็นคน ตั้งแต่วันปฏิสนธิในครรภ์ของมารดา เราก็ดิ้นขลุกๆ ขลักๆ อยู่ในครรภ์ของมารดา แสบร้อนเวลาเขากินของเผ็ดของร้อนเข้าไป เวลากินอาหารเข้าไปเป็นประโยชน์ต่อร่างกายมันก็มีความสุขอยู่ได้ ก็ขลุกขลักๆ อยู่ ความคิดมันตั้งแต่ปฏิสนธิขึ้นมา มันก็นอนอยู่ในครรภ์ของมารดา จนเกิดออกมาจากช่องคลอดของมารดา แล้วก็โตมา ความคิดไม่เคยหยุด ฟังสิ

นี่โรงงานของใจเปิดแล้วดับไม่ได้ เครื่องยนต์เครื่องไหนบ้างที่มันติดเครื่องแล้วดับไม่ได้ เครื่องยนต์นั้นมันพังนะ แต่หัวใจของเราคิดพร้อมกิเลสคิดแบบนั้นน่ะ ความคิดนี้ไม่เคยหยุด แม้แต่นอนมันก็ฝัน ฝันสุก ฝันดิบ ฝันอยู่อย่างนั้น มันฝันของมันออกไปตลอด นี่เขาว่านอนเป็นการพักจิต มันพักตรงไหน? มันไม่ได้พัก ก็เครื่องยนต์มันพักไม่ได้

ความคิดออกมามันก็คิดกันแบบเหนื่อยหล้า คิดกันออกไปเรื่อย เห็นไหม ความเครียด ความเมื่อยล้า ความคิดออกไป มันถึงว่าปัญญาอันนี้ที่เราว่าฉลาดๆ นั้น มันเป็นโลกียะ มันเป็นปัญญาของโลกเขา มันเป็นปัญญาที่ว่าใช้เป็นวิชาชีพ เป็นปัญญาที่ว่าบีบบี้สีไฟกัน มันเบียดเบียนตนก่อน เบียดเบียนตนให้เร่าร้อน แล้วก็จะไปเบียดเบียนผู้อื่นต่อ นี่ถึงว่าเป็นปัญญาของโลกียะ

มันมืด มืดขนาดนั้นนะ มืดจนไม่รู้ว่าใครคิด ใครเป็นคนปรุงนั่นน่ะ ปัญญาว่าเป็นปัญญาเราๆ แต่กิเลสพาคิดยังไม่รู้เลย นั่นน่ะ มันถึงต้องทำความสงบไง ทำความสงบก่อน ทำความสงบให้จิตมันสงบจากความคิดเดิม ความคิดเดิมคือความคิดที่มันกว้านโลกเข้ามา ความคิดเดิมมันกว้านของที่เป็นพิษเข้ามา คนเราเป็นโรคเป็นภัย อาหารการกิน ของแสลงเขายังไม่กิน

ไอ้นี่มันกว้านความคิดให้มันท้องใหญ่ หัวใจคิดนี่ท้องมันใหญ่ มันกว้างมากนะ มันกว้านมาได้ทั้งหมด ๓ โลกธาตุ คิดถึงสวรรค์ คิดถึงในโลกนี้ คิดถึงโลกพระจันทร์ มันคิดไปหมด นั่นน่ะมันกว้าน ความคิดมันเวิ้งว้างมันกว้างใหญ่ มันสะสมเข้ามาเป็นความทุกข์ทั้งหมด ถึงพยายามทำใจให้สงบ ต้องทำใจให้สงบก่อน พระพุทธเจ้าสอนตรงนี้ไง สอนตรงให้พักเครื่อง เครื่องยนต์มันร้อนเครื่องยนต์มันรุนแรง เครื่องยนต์มันจะพังอยู่แล้ว ทำไมไม่พักเครื่อง แต่ไม่คิดตรงนั้น บ่นแต่ทุกข์ ทุกข์ บ่นกันว่าทุกข์ แต่ไม่รู้วิธีดับเครื่อง

พระพุทธเจ้าถึงสอนว่ากรรมฐาน ๔๐ ห้อง นี่เป็นอาหารของใจ นึกถึงพุทโธ นึกถึงพุทโธ นึกถึงชื่อขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นกรรมฐานอันหนึ่ง เป็นกรรมฐาน ฐานที่ตั้งที่ควรแก่การงาน ฐานนะ เราไปทำงานกันที่โรงงาน เราไปทำงานกันที่บ้าน เราประกอบอาหาร เราทำงานในโรงครัว เห็นไหม นี่เราประกอบอาหาร

แต่งานของใจมันมีฐานที่ตั้งไง ถึงว่า “กรรมฐาน ฐานที่ตั้งของใจ” ความสงบของใจมันเป็นพื้นฐานไง ถ้าจิตสงบถึงฐีติจิต ทำความสงบจิตนี้จะลงไปถึงฐีติจิต คือจิตนี้สงบไปถึงฐานของจิต นั่นน่ะฐานที่ตั้งคือภวาสวะ ตั้งจิตนี้มันขับเคลื่อนออกมาจากตรงนี้ไง ตรงที่กลางหัวใจ ตรงที่พื้นฐานของใจ จากความคิด ความคิดมันล่องลอย เราจับต้องความคิดเราไม่ได้ จับต้องความคิดคนอื่นก็ไม่ได้ คนโง่ก็เป็นเหยื่อของคนฉลาดให้เขาหลอกไปเรื่อย ไว้วางใจเขาไปเรื่อย แต่ตัวเองยังวางใจตัวเองไม่ได้ ตัวเองยังไม่เห็นพื้นที่ของตัวเอง ตัวเองยังไม่รู้จักตัวเอง ตัวเองยังไม่รู้จักว่าฐานนี้ขับเคลื่อนความคิดออกมาจากไหน

นั่นน่ะ พระพุทธเจ้าถึงว่าให้พุทโธ ธัมโม สังโฆ นึกถึงพุทโธ มันกังวาน มันสะเทือนถึงฐานของใจไง เพราะใจเป็นคนคิด เมื่อก่อนคิดแต่กว้านแต่เรื่องของโลกเข้ามา คิดออกไปปัญญาเราว่าฉลาด ก็เอาแต่ความเร่าร้อนเข้ามาใส่ใจ เวลาคิดถึงพุทโธๆ มันสะเทือนใจก็ยังไม่รู้ มันคิดยาก พุทโธกว่าจะนึกแต่ละคำ แต่ถ้าคิดเรื่องโลกไปเป็นช่องๆ นะ คิดถึงพุทโธ มันฝืนความคิด

มันฝืนแน่นอนเพราะมันเป็นอาหารของใจ ใจนี้กินอารมณ์เป็นอาหารอยู่แล้ว กินความคิดนี้เป็นอาหาร ความคิดนี้เป็นแขกจรมา คิดได้ร้อยแปด ใครมาพูดอะไรให้ฟังว่าที่นั่นมีทองเหมืองทองนะ เขาให้ฟรีๆ เป็นเหมืองๆ มันคิดทันที มันจะไปให้ได้ เขาพูดจริงพูดเท็จยังไม่รู้เลย เวลาข่าวลือนั่นน่ะมันชอบคิดชอบจำ มันเป็นนิสัยของมัน ของจิตนี้ มันเป็นผู้หิว ผู้โหยไง อารมณ์เข้ามามันคว้ามับ คว้ามับไง แต่พอพุทโธนี่มันไม่เอา ถึงบอกว่ามันไม่อยากคิด มันคิดไม่ได้

มันสะเทือนถึงใจเพราะตรงนี้ ตรงที่ว่ามันไปแก้กิเลสที่ว่าคิดแล้วมันว่ามันไม่ได้ผลประโยชน์...มันโง่ กิเลสมันพาโง่ เห็นไหม เวลาคิดเรื่องของปัจจัย ๔ เครื่องอยู่อาศัย วัตถุ มันว่ามันฉลาดมันกว้านเข้ามาหมดเลยนะ แต่พอเอาอาหารที่เป็นประโยชน์กับใจ อาหารที่บริสุทธิ์ อาหารที่ไม่เป็นพิษเข้าไปมันบอกว่า “ไม่เอา คิดไม่ได้” ฟังให้ว่าเห็นว่ากิเลส ความมืดบอดไง

แสงของธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผ่องอำไพในหัวใจของพระอริยเจ้าต่างๆ มันมืดบอดในหัวใจเรา มันมืด มันบอด มันไม่เห็น มันไม่ยอมรับ แม้แต่คำว่าให้เห็นรู้จักตัวเองก่อน ต้องรู้จักตัวเองก่อนไง ว่าเรานี้เป็นใคร เรานี่ เรานี่จะทำควรแก่การงาน งานของอะไร ที่ทำงานยังไม่มี คนทำอาหารเขายังทำที่โรงครัว โรงครัวก็มีเตาไฟ

แต่ใจของตัวนี้ไม่รู้จัก สมาธิไม่เคยมีในหัวใจ ความสงบของใจไม่เคยพบ ไม่เคยพบเคยเห็นไง พอให้พุทโธ พุทโธขึ้นมานี่มันแย่งพื้นที่ พุทโธ พุทโธ ให้เรามีฐานที่ทำงาน กรรมฐาน เห็นไหม สมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน ฐานที่ควรแก่การงานที่จะรื้อภพรื้อชาติ คนที่เป็นอาชาไนยจะข้ามพ้นจากกิเลส คนที่จะข้ามพ้นจากกิเลส เห้นไหม ควรมีพื้นที่ทำงานก่อน พื้นที่ที่จะหาที่ทำงานให้ใจมันสงบก่อน

จากโลกียะที่เครื่องดับไม่ได้ ให้มันดับเครื่องแล้วจัดพื้นที่ตั้งฐานเครื่องให้ได้ไง ดับเครื่องอันนี้แล้วตั้งฐานแล้วติดเครื่องใหม่ให้เป็นพลังงานของธรรม เป็นพลังงานของธรรมที่มันจะกว้านดึงแสงนั้นเข้ามา ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากังวานในใจของอริยสาวกต่างๆ แล้วกำลังแผ่แสงสว่างจ้า แผ่ความร้อนออกมาเพื่อจะเข้าถึงหัวใจของสาวก สาวะกะ ผู้ฟัง ผู้ปฏิบัติ ในพรรษา ในท่ามกลางพรรษาที่มีความอุตสาหพยายามอยู่นี่

มันก็ต้องให้ทำความสงบขึ้นมาก่อน ทำความสงบกำหนดพุทโธ พุทโธ ให้มันสะเทือนเลือนลั่นถึงหัวใจ สะเทือนเลือนลั่นจนกว่าใจมันจะสะเทือนเลือนลั่นแล้วมันสลัดความคิดเดิมๆ ออกหมด ความคิดเดิมมันยึดพื้นที่ไว้หมด มันไม่สะเทือน มันไม่เข้าถึงใจ พุทโธนี่สะเทือนถึงฐานของจิต แล้วสะบัด มันสะเทือนเลือนลั่นจนสิ่งอื่นนั้นจะหลุดออกไป จนจิตนี้สงบเข้ามา สงบเข้ามา

จากไม่เคยเห็น จากไม่เคยทำ กินพุทโธ พุทโธ พุทโธอยู่ พุทโธตลอดเวลา พุทโธจนกว่าจิตมันจะอิ่มจากคำว่าพุทโธ จากที่มันไม่ยอมกิน เพราะอาหารนี้ไม่ถูกปาก เพราะกิเลสมันอยู่ในหัวใจด้วย กิเลสมันจะกินแต่อารมณ์ความเห็นของตัวดั้งเดิม ความที่มาขุดคุ้ยใจให้ฟุ้งซ่านออกไป ฟุ้งซ่านแต่เราหาว่าเป็นคุณประโยชน์ไง

แต่สิ่งที่ว่าไม่ฟุ้งซ่านเพราะคิดแล้วมันไม่ได้อะไร คิดแล้วมันอิ่มในตัวมันเองไง พุทโธนี้เป็นตัดๆ ตัดความสืบต่อของความคิดที่จะออกไป กระแสมันจะออกไป กระแสของใจเคยพุ่งออกไป แต่พุทโธอยู่ สะท้อนกลับ สะท้อนกลับ สะท้อนกลับ จนอิ่มเต็มในตัวมันเอง เห็นไหม จนจิตนี้อิ่มในตัวของจิตเอง จนพุทโธที่ว่าจะนึกเอาก็ไม่ต้องนึก เพราะนึกนี้เป็นอาการของนึก เห็นไหม อาการของใจไม่ใช่ใจ เงาของใจไง

แต่เราต้องล้อมใจเข้ามาก่อน ล้อมใจเข้ามาถึงใจของตัวเอง พอถึงใจของตัวเองนั่นน่ะ จิตถึงจะเป็นความสงบ ความสงบอันนี้ กรรมฐาน สมถกรรมฐานเกิดขึ้นที่ใจนั่นน่ะ...อ๋อ! เราเป็นอย่างนี้เองเนาะ ความสุขของเราเกิดขึ้น ตั้งแต่เกิดมาก็เพิ่งจะรู้จักตัวเองวันนี้เอง รู้จักตรงไหน? รู้จักตรงที่ว่าใจเป็นอิสระ ไม่อยู่ใต้อำนาจของกิเลสที่มันเกี่ยวจมูกแล้วลากไสไปตั้งแต่เกิดมาจนเดี๋ยวนี้ที่เครื่องมันไม่เคยดับไง เครื่องมันไม่เคยดับเลย ให้กิเลสนี้เกาะจมูกแล้วลากไปๆ

จนถึงบัดที่ว่าจิตนี้สงบเข้ามา มันดึงกลับมาได้ไง มันต่อจมูกเต็ม จมูกมันเป็นอิสระ “โอ้! จิตนี้สงบความสงบนี้ให้ความสุขอย่างนี้เอง” ให้ความสุขคือเครื่องมันดับได้ มันเย็น เย็นในตัวของมันเอง นี่ตรงนี้เป็นระหว่างกลางของที่ว่าเป็นฐานของที่ทำงาน ฐานที่จะหงายภาชนะออกรับแสงไง รับแสงของธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รับแสงของธรรม เห็นไหม แสงของธรรมผ่องอำไพ แต่เรามันมืดบอดเอง เรามันมืดบอดเอง หาทางออกไม่ได้เอง เราก็ว่าเราเป็นชาวพุทธ เราศึกษามา เราปฏิบัติมา เราปฏิบัติมา เราว่าเราปฏิบัติ “เราว่า” แต่ไม่เคยเปิดเลย ว่าเราอยู่ในแสงสว่างก็มีพลาสติกคลุมตัวเองไว้ เราเอาแสงเข้ามา มันถึงไม่เจริญงอกงามไง

ดอกบัวยามเช้า ได้รับแสงของแดดมันจะบานออก หัวใจของเราไม่เคยรับแสงเลย มันอับเฉา มันไม่เคยได้รับแสงแดดให้มันบานออกไป พืชพรรณธัญญาหารมันต้องได้รับแสงแดด มันจะปรุง มันจะเป็นเครื่องสงเคราะห์อาหารให้พืชผลเจริญเติบโต นั่นน่ะแสงของแดด นี่แสงของธรรม แสงของธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันเกิดขึ้นในหัวใจของเรา หัวใจมันจะเริ่มบานออกไง จากที่มันอับเฉามันปกคลุมใจไว้ด้วยความมืดบอด ให้มันบานออกมายอมรับแสงอันนั้น

จิตนี้สงบเข้าไป ฐานที่มันจะบานออกมา ฐานของจิตอันนี้ แต่เดิมแสงมันส่องไปที่ไหน หัวใจก็มืดบอดอยู่ ภาชนะคว่ำอยู่ ฝนตกจนฟ้าถล่มทะลายมันก็ไม่ได้แม่แต่หยดเดียว ความชื้นเข้ามามันก็เกาะให้เกิดสนิมอีกต่างหาก ไม่ได้อะไรขึ้นมาเลย จนทำจิตให้สงบ ถ้าจิตนี้ไม่สงบ ความคิดต่างๆ ที่คิดอยู่อันนั้นมันเป็นความคิดสัจจะ เป็นความจริง เป็นสมมุติสัจจะไง ไม่ใช่อริยสัจจะ

สมมุติสัจจะก็ทำให้เราเวียนว่ายตายเกิดอยู่ใน ๓ โลกธาตุมานี้ ทุกข์มาขนาดไหน ความทุกข์นี้มันฝังใจอยู่ แล้วยาขนานเอก แสงของธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะชำระกิเลส จะชำระกิเลสด้วยวิธีการของการประพฤติปฏิบัติ ไม่ใช่ชำระกิเลสแบบให้ใครเขาฉีดเข้ามาในหัวใจหรอก ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม

อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน หัวใจที่เกิดมาท่ามกลางพระพุทธศาสนานี้ แล้วยังเกิดมาท่ามกลางพระพุทธศาสนา แล้วยังกึ่งกลางของพระพุทธศาสนาที่กำลังเจริญรุ่งเรืองในแสงของพระอาทิตย์ที่ส่องอย่างเต็มที่ แสงของธรรมแบบแก่กล้า ส่องเป็นพลังงานมาให้เราได้รับเต็มที่ ถ้าเราไม่ยอมเปิดใจของเราขึ้นมารับแสงของธรรม เราก็เป็นคนที่ว่าไม่มีคุณค่าเอง เราเป็นคนไม่มีคุณค่า ไม่ใช่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มีคุณค่า เราไม่มีคุณค่า

เราเห็นคุณค่าของเรา เราถึงได้พยายามฝืนตนของเรา เห็นไหม ธรรมที่จะเข้าถึงใจได้มันต้องคนที่ฝืนตนเป็นหนทางเดียวในการประพฤติปฏิบัติเท่านั้นที่จะเข้าถึงธรรมได้ไง

ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีอยู่แล้ว เราเกิดมาก็เป็นลูกของพ่อแม่ พ่อแม่ให้เงิน ให้ทอง ให้วิชาการ ให้ทุกอย่าง พ่อแม่ให้หมด เราก็ว่าเราเป็นลูกศิษย์ของตถาคต องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้มีเมตตามหาคุณกับ ๓ โลกธาตุ แล้วจะให้ท่านยื่นให้เราเหมือนพ่อแม่ให้เราเหรอ ไอ้นี่มันเป็นสุตมยปัญญา มันเป็นระหว่างบุญกรรม การเกิดมาพบกันไง ระหว่างพ่อแม่ลูกนี้มีบุญเกิดมาในภพหนึ่ง ชาติหนึ่ง มีกรรมสัมพันธ์กันมาถึงได้มาเกิดร่วมกัน มีกรรมดีก็เกิดมามีความสุขในครอบครัว มีกรรมที่เคยบาดหมางกันมาในชาติต่างๆ ก็ต้องมามีเหตุทำให้เจ็บปวดรวดร้าวในครอบครัวของเรา

แล้วจะคิดว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐขนาดนั้น ก็ต้องให้เหมือนพ่อแม่เราสิ ยื่นมาให้เราเลย กิเลสมันจะเอาง่ายๆ ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นอย่างนั้นนะ เปิดทางเอาไว้แล้ว แต่มันเป็นไปไม่ได้ เพราะกิเลสมันอยู่ในเนื้อของใจ มันไม่อยู่ที่เนื้อของกาย เนื้อของกายนี่เราเป็นโรคภัยไข้เจ็บ เราไปที่หมอ หมอฉีดรักษาก็หายได้ด้วยสารเคมีเข้าไปทำปฏิกิริยาในร่างกายของเรา

แต่ความคิดความเห็นของเรามันปิด ขนาดเราเชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว เราประพฤติปฏิบัติอยู่นี้ เรายังก้าวเดินไปไม่ได้ แม้แต่ว่ามีแผนที่ดำเนินนะ แผนที่ดำเนินเราก็อ่านแผนที่ผิด เราอ่านแผนที่ผิด เราคำนวณการผิด ในเมื่อแผนที่ชี้ตรงอยู่ แล้วเราเดินผิดจากแผนที่นั้นเราโทษใคร

นี้เหมือนกัน การประพฤติปฏิบัตินี้ พระพุทธเจ้าวางไว้อย่างนี้ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสวยธรรมก่อน รู้ถึงว่ารสของธรรมเป็นวิมุตติสุข สุขขนาดไหน แต่วิธีการเข้าจะเข้าได้ทางเดียวคือการเอาจิตแก้จิตไง เอามรรคอริยสัจจังเข้าไปลบล้างหัวใจไง

มรรคคือสิ่งที่มันส่งออกมาเป็นเจตนา เจตสิก เจตนาการทำความผิด เจตนาที่มันอยากจะอิสระเสรี ทำความคิดของมันเอง นั่นน่ะต้องหัดพลิกแพลงเจตนาตัวนี้ไง พลิกแพลงเจตนาตัวนี้ให้เห็นคุณเห็นโทษ ให้เห็นคุณของธรรม ให้เห็นโทษของกิเลส ให้เห็นโทษในความทุกข์แล้วจับโทษนั้นให้ได้ไง แต่เรายังจับโทษของตัวเองไม่ได้ คือเราจับทุกข์ของตัวเองไม่ได้ไง เราบ่นแต่ทุกข์ บ่นแต่ตัณหา บ่นแต่เหตุ แต่เราไม่เคยเข้าถึงผลของทุกข์ เราไม่เคยเห็นทุกข์จริง เราถึงจับทุกข์ไม่ได้

จิตนี้สงบ จิตนี้สงบควรแก่การงานเราถึงต้องหาว่าทุกข์มันอยู่ที่ไหน เหตุที่ว่าเป็นทุกข์ เป็นทุกข์ ต้องเจอจังๆ หน้าไง ต้องเจอทุกข์ปัจจุบัน จับทุกข์ได้ไง จับทุกข์ จับกาย เวทนา จิต ธรรม ที่อยู่ของอวิชชาที่ความลุ่มหลงของใจที่มันหากินออกมาในขันธ์ ๕ ในธาตุ ๔ ที่ว่าไม่อยากให้เป็นไป เห็นไหม ไม่อยากให้เป็นไปในเสื่อม ความแปรสภาพไป อยากให้คงอยู่ในความพอใจของเรา อยากจะมีชีวิตร้อยล้านปีจะอยู่ค้ำฟ้านั่นน่ะ จะอยู่เจอพระศรีอริยเมตไตรยโดยที่ไม่ต้องตายไปนู่น นี่ความคิดมันคิดไปได้ขนาดนั้นนะ

นั่นน่ะเวลาความคิดมันคิดออกไป แล้วมันเป็นจริงไหมล่ะ? มันเป็นไม่จริง มันเป็นไม่จริงเพราะเราจับเหตุของสิ่งที่ว่าอาศัยไง ความคิดนี้อาศัยอะไร? อาศัยขันธ์ กิเลสอาศัยขันธ์หากิน กิเลสอาศัยร่างกายหากิน แล้วไม่ยอมรับความเป็นจริง อยู่แต่ที่ตัณหา อยู่แต่ตัณหา อยู่แต่ความคิด ตัณหาคือความทะยานอยาก ความปฏิเสธสิ่งที่เป็นความเป็นจริง หรือว่าไม่ได้ทำอะไรเลย ตัณหานี้ก็อยู่ในหัวใจที่พร้อมจะออกมาคิดออกไปร้อยแปด

ตัณหาถึงเป็นตัณหา ๓ ไง เห็นไหม เป็นสมุทัย สมุทัยคือความที่ว่าสามารถชำระได้ ทุกข์นี้เป็นเหตุ ทุกข์นี้เป็นผล ตัณหาเป็นเหตุ ทุกข์นี้เป็นผล เหตุนี้อาศัยผลออกมาด้วย ผลต่อเนื่องเราไม่เห็นผลไง ผลต่อเนื่องกำหนดให้เห็นทุกข์ เห็นทุกข์ เราบ่นทุกข์นะ แต่เราไม่เคยเห็นทุกข์ เราบ่นกันว่าทุกข์ทั้งนั้นเลย แต่เราไม่เคยเห็น เราจับตัวมันไม่ได้ ตัวไหนคือตัวทุกข์ ตัวไหนเป็นตัวทุกข์ ทุกข์เพราะอะไร

ทำไมพระสารีบุตร “เย ธมฺมา...” ฟังเทศน์แค่นั้นเอง พระพุทธเจ้าสอน สอนสาวจากผลสาวไปหาเหตุ พระพุทธเจ้าสอนให้ดับเหตุนั้น ทำไมพระสารีบุตรเป็นพระโสดาบันขึ้นมาเลยล่ะ จากผลสาวไปหาเหตุให้ดับเหตุนั้น นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อมันมีฐาน เห็นไหม จิตนี้ถึงฐีติจิต จิตที่สงบแล้ว ตัวนี้เราจับต้องใจเราได้แล้ว จับต้องใจเราได้ใจนั้นมีฐาน ตรงนี้ไง ตรงนี้ควรแก่การงานคือตัวนี้เป็นตัวเริ่มคิดไง ตัวนี้เป็นสัมมาสมาธิ

สัมมาสมาธิคือจิตที่เราจับต้องได้ ที่เราบังคับบัญชาได้ ยกขึ้น ยกขึ้นให้ควรแก่การงานในการวิปัสสนา เห็นไหม สมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน

วิปัสสนากรรมฐาน หมายถึงการชำระล้างไง

สมถกรรมฐาน หมายถึงการทำความสงบเข้ามาจากความคิดเดิม จากโลกียะ ความคิดที่เป็นสุตมยปัญญาเป็นโลกียะทั้งหมดเลย ความคิดนี่ จินตมยปัญญาก็เจริญขึ้นมาจากการเราใคร่ครวญ เราใคร่ครวญขึ้นมาด้วย มันจะปล่อยวางเข้าไปด้วย เป็นสมาธิเป็นครั้งคราวๆ มา เป็นจินตมยปัญญา

จินตมยปัญญามันหมุนออกไป มันหมุนออกไปจนทำให้กิเลสมันจะก้าวเดินด้วยความไม่สะดวก เพราะว่าจินตมยปัญญาเกิดขึ้นพร้อมกับเราทำความสงบอยู่ด้วย เห็นไหม เราทำความสงบอยู่ด้วยแล้วยกขึ้นไง ถ้ายกขึ้นได้ ยกขึ้นจากว่ามันสงบอยู่แล้ว มันมีความสุขอยู่แล้ว มันเป็นเครื่องยนต์ที่ว่าเป็นพลังงานกลับแล้ว เป็นพลังงานย้อนกลับ ย้อนกลับเข้าไปชำระฐานตัวนี้ ฐานที่ตั้งควรแก่การงาน งานที่กลางฐานของใจไง

ฐานนี้เห็นอะไร ฐานนี้เป็นฐานใช่ไหม ครัวนี้ต้องการอะไร ครัวต้องการวัตถุดิบมาทำโรงครัวใช่ไหม ครัวต้องการผัก ต้องการหญ้า ต้องการเนื้อสัตว์ต่างๆ มาผสมเป็นอาหารขึ้นมา ฐานที่ควรแก่การงานมันควรจะหาทำงานกับอะไร? ทำงานกับกาย เวทนา จิต ธรรมไง กายของเรานี่แหละที่อยากจะอยู่ค้ำฟ้านั่นน่ะ อยากให้เจอพระศรีอริยเมตไตรย ถ้าเอาจากนั้น บัดเดี๋ยวนั้น ทำไมต้องไปหาพระอริยศรีเมตไตรย องค์สมณโคดมเราอยู่ที่นี่ไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประกาศธรรม ธรรมนี้ส่องมาตลอด แสงของธรรมแผ่จ้าอยู่อย่างนี้ แล้วจะให้ไปหาอนาคตที่ไหน

ถ้าเป็นปัจจุบันนี้มันปฏิเสธ มันเป็นงานที่ว่ากิเลสมันจะหลอกให้ไปก่อน หลอกว่าเมื่อนั้นไปเมื่อนั้น ผลักไสไปอนาคต แล้วเมื่อนั้นจะได้ทำไง เพื่อให้ปัจจุบันนี้หมดโอกาสไป เพื่อให้ปัจจุบันนี้เคลื่อนไป ให้ไปอยู่กับอนาคต คิดถึงแต่อดีต แต่ความเศร้า ความเจ็บปวดรวดร้าวมา คิดแต่ชาตินี้นะ มันยังอยากจะคิดไปอดีตชาติโน่นน่ะ เพราะมันยังคิดไม่ได้มันถึงต้องคิดแต่ชาตินี้ คิดถึงแต่ความเจ็บปวดรวดร้าว แล้วก็มาสุมขอน เอามาสุมไฟอยู่ที่หัวใจ แล้วพอจะคิดปฏิบัติมันก็ว่า “เมื่อนั้นๆ”

ให้กลับมาเป็นปัจจุบัน ปัจจุบันนี้แสงของธรรมนี้ผ่องอำไพ ผ่องอำไพจริงๆ กลางอยู่นะ เจริญรุ่งเรืองมากในรุ่งเรืองในหัวใจของพระอริยเจ้า แต่มันไม่รุ่งเรืองในหัวใจของเรา เห็นไหม มันไม่รุ่งเรืองเราก็ต้องพยายามฝืนขึ้นมาไง เปิดขึ้นมาให้ได้ กาย เวทนา จิต ธรรม สิ่งที่มันจะขับเคลื่อนไปข้างหน้าให้เป็นปัจจุบันนี้ จับต้องได้ เห็นกายก็เห็นโดยปัจจุบัน เห็นกายเป็นกายนอกนั้นเป็นเห็นกายด้วยการทำความสงบเข้ามาให้ถึงฐานนี้ เดิมทีเดียวมันส่งออกทั้งหมด เห็นกายนอกด้วยใจที่มันคิดเอง

ใจเคยคิดในเรื่องหน้าที่ของการงาน กับใจคิดออกไปโดยปกติ มันกระทบกับกาย นั้นคือโลกียะทั้งหมดเลย เห็นขนาดไหนก็เห็นแบบโลกไง เห็นแบบโลก เห็นแบบกิเลส ความที่มันควรจะเห็นเป็นโทษ มันเห็นเป็นการสืบต่อหมด มันเห็นเป็นการยึด เป็นการว่าเป็นเจ้าของไง ทั้งๆ ที่ไม่ได้เป็นของของเรา เรามันก็ยึดว่าเป็นของเรา แม้แต่กายเรายังไม่ใช่ของเราเลย แล้วกายนอกของคนต่อๆ ไปมันจะเป็นของเราได้อย่างไร แต่มันก็ยึดเข้ามา

นั่นน่ะ พิจารณากายนอกมันถึงจะปล่อยจากความฟุ้งซ่านออกไป จิตส่งออกเข้าไปไง จิตออกไปรับรู้ ๓ แดนโลกธาตุให้มาเป็นเอกัคคตารมณ์ เป็นหนึ่งเดียวเข้ามาในหัวใจของตัวเอง นั่นเห็นกายนอกหมายถึงว่าเห็นเพื่อปล่อยเข้ามาถึงตรงฐานนี้ เห็นไหม เห็นกายนอกแล้วไม่นอนใจ ต้องเห็นกายในไง เห็นกายด้วยตาของธรรม ตาของธรรม ตาของธรรมคือตาของความเห็นภายใน ความเห็นตาของธรรมยกขึ้นขณะที่ว่าจิตถึงฐาน ยกขึ้นนั้นคืองาน นั้นคือเหตุแห่งการทำงานไง เหตุแห่งการดูใจ ดูกาย ดูใจ จากฐานของใจ เห็นไหม ใจแก้ใจ

แต่ใจนี้ก็อาศัยกายและใจ อาศัยกายและใจออกไป จิตส่งคิดออกไปนี้เป็นสมุทัยทั้งหมด จิตย้อนกลับเข้ามานี้คือมรรค จิตย้อนเข้ามา จิตดูจิตนี้เป็นมรรค จิตดูจิตนี้เป็นมรรคต้องยกขึ้นวิปัสสนาด้วย ไม่ใช่ดูเพ่งไง ดูเพ่งนี้เป็นการดูทำความสงบเข้ามาถึงฐานของมัน ถึงฐานของมัน แล้วการจิตดูจิต การวิปัสสนาถ้าไม่เห็น ไม่มีงาน เรามีแต่ฐาน เรามีแต่โรงงานว่างๆ แม้เราไม่มีเหตุจะประกอบเป็นอาชีพขึ้นมาได้ เรามีแต่โรงครัว แต่เราไม่มีอาหารเลย เราเข้าไปในโรงครัวแล้วไม่มีอาหาร แล้วเราจะกินอะไร ถ้าเป็นทางโลกมันไม่มีกิน มันก็ตายใช่ไหม แต่หัวใจมันไม่เคยตายไง ไม่มีอาหารมันก็นึกว่านี้เป็นอาหาร เพราะมันลุ่มหลง ความลุ่มหลงอันนี้มันก็มืดบอด

ในการประพฤติปฏิบัติอยู่ ทุกกิริยาก้าวเดินออกไป กิเลสมันคอยจังหวะที่จะขัดขาให้ล้มตลอดเลย กิเลสมันจะขัดขาให้ล้มไป กิเลสมันคือความเคยใจ มันเป็นเจ้าของความคิด เจ้าของดวงใจทั้งหมด มันจะไม่ปล่อยให้...

...พ้นออกไปจากกาย...เห็นกาย ความคาดเดามันเป็นสิ่งมหัศจรรย์มากนะ

การประพฤติปฏิบัตินี้เป็นของที่เลิศโลก เลิศเหนือโลก เหนือทุกอย่าง แล้วเราไม่เคยทำ พอเราไม่เคยทำแล้วเราไปเจอสิ่งอะไรที่เกิดขึ้น เราว่าจะเป็นอย่างนั้นไง นี่มันด้นเดาธรรม การประพฤติปฏิบัตินี้ต้องประพฤติปฏิบัติซื่อสัตย์กับตนเองไง ซื่อสัตย์แล้วทำตามความจริง พิจารณาให้เห็นคุณค่า ขณะที่เห็นนั้นอาการเกิดขึ้นต่างๆ อาการที่การวิปัสสนาเกิดขึ้นระหว่างเห็นกายนี่ มันจะปล่อยวางได้ ปล่อยวางได้ถ้าจิตมันมีพลังงานพอมันจะปล่อยวาง มันมีพลังงานนะ พลังงานของสมาธิถ้ามีอยู่ มันได้มีพลังงานนี้ มันจะทะลุผ่าน ทะลุผ่านๆ การเพ่งทะลุผ่านไป ปล่อยวางไป ปล่อยวางไป เห็นไหม การปล่อยวางไปนั้นมันปล่อยชั่วคราว เพราะมันเห็นด้วยพลังงานของสมาธิ

พลังงานของสมาธิมีแรงมาก ฐานนี้มั่นคง งานการทุกๆ อย่าง เครื่องมือนี้กำลังใหม่เอี่ยมถอดด้ามเลย มันควรแก่การงาน พอเจอกายมันเพ่งมันก็ขาด ขาด ความขาดอันนี้ มันไม่ได้ขาดแบบปฏิภาคะ มันไม่ได้ขาดด้วยวิปัสสนาที่การใคร่ครวญไง วิภาคะให้เห็นว่ากายนี้มันเป็นไตรลักษณ์อย่างไรไง มันแปรสภาพนี้มันแปรสภาพขนาดไหน มันแปรสภาพอย่างที่ว่าข้างนอกมันแปรสภาพอยู่แล้ว แต่ความเห็นอันนี้เป็นความเห็นของสมมุติสัจจะ

ความเห็นอริยสัจจะ “อริยสัจจะ” ความเห็นในอริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ดับทุกข์ เครื่องมือทำให้การดับทุกข์ วิธีการทำให้ดับทุกข์ นี่มรรค มรรคมันจะเดินไป ฉะนั้น กายเห็นแล้วต้องเห็นกลั่นออกมาจากอริยสัจไง ออกมาจากอริยสัจ ตัวอริยสัจที่ทำงานเคลื่อนไป

ขณะที่พิจารณาอยู่ต้องตั้งให้ได้ งานอันนี้มันยากยิ่งกว่าการประกอบการงานในทางโลก เพราะการประกอบการงานในทางโลกความชำนาญมันเป็นไปได้ แต่สิ่งนี้คนไม่เคยเจอ สิ่งนี้คนไม่เคยเห็น พอมันผ่านทะลุด้วยแรงของสมาธิ มันจะปล่อยวางไปเอง เข้าใจว่าอันนี้เป็นผลไง พอเข้าใจว่าอันนี้เป็นผล เห็นไหม แล้วนอนใจ นอนใจไม่ได้

ความนอนใจไป จิตเจริญขึ้น สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา รรมทั้งหลายต้องแปรสภาพทั้งหมด ความเห็นที่ยังไม่เป็น ยังเกาะไม่ได้ ความเห็นที่ยังไม่คงที่แท้ กุปปธรรม อกุปปธรรม ถ้ายังไม่เป็นอกุปปธรรมมันยังแปรสภาพอยู่ ความแปรสภาพอันนี้ เราเห็นก็จริงอยู่ เราเข้าใจก็จริงอยู่ แต่แปรสภาพ แปรสภาพในทางเสื่อมลง ในความแปรสภาพไป

แล้วถ้าเรามารู้ทีหลัง มันจะเสียดายมากนะ เสียดายพลังงานที่ทุ่มไปทั้งชีวิต เสียดายพลังงานที่ว่าบวชเรียนมากี่พรรษา เสียดายพลังงานที่ว่าเราทำงานมาขนาดไหนแล้วทำไมมันไม่ได้ผล แล้วมันก็ท้อใจ นั่นกิเลสมันหลอก ๒ ชั้น ๓ ชั้น หลอกในการประพฤติปฏิบัติ ขัดขวางการปฏิบัติมาตลอดเลย วิปัสสนาอยู่มันก็หลอกให้เห็นว่าอันนี้เป็นของจริงแล้ว แล้วพอเสื่อมไป ความทดท้อทดถอย ความเสื่อม ความใจความคิด นี่มันหลอกมาตั้งแต่เริ่มต้นทำ ขณะทำก็หลอก แล้วพอหมดกำลังใจมันยิ่งกระทืบซ้ำไปเลย นั่นน่ะ มันถึงต้องเห็นโทษของกิเลส

เห็นโทษของกิเลส เห็นคุณของธรรม เห็นความเมตตา เห็นคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันต้องวิปัสสนาจนเห็นตามความเป็นจริงนะ เห็นความเป็นจริง จกฺขุ อุทปาทิ ญาณํ อุทปาทิ ปญฺญา อุทปาทิ วิชฺชา อุทปาทิ อาโลโก อุทปาทิ เห็นไหม อาโลโก แสงของธรรมมันเข้ามาในหัวใจของเรา มันส่องเข้ามาจนกิเลสสะเทือนเลือนลั่น มันส่องเข้ามาจนเผาผลาญกิเลสได้

ดวงตาของธรรมเกิดแล้ว จกฺขุ อุทปาทิ

ญาณํ ญาณนั้นเกิดแล้ว ญาณํ อุทปาทิ ปัญญาเกิด

วิชฺชา เห็นไหม วิชฺชา อุทปาทิ วิชชา เห็นไหม อวิชชาเกาะวิชชา

อาโลโก อุทปาทิ นั่นธรรมจักร

นี่ความเห็นจริงต้องเห็นอย่างนั้น เราคิดว่าเรามีปัญญาแล้วมันถึงจะเป็นไปได้ จกฺขุ อุทปาทิ ความเห็นของจักขุง จักษ์คือดวงตาของธรรม เห็นจากดวงตาของโลก กับความเห็นของเรา กับเห็นดวงตาของธรรม ถ้าธรรมมันเคลื่อนไป ธรรมจักรมันเคลื่อนไป จักรนี้ได้เคลื่อนออกไปแล้ว การวิปัสสนานี้เคลื่อนออกไป เห็นไหม ความเคลื่อนออกไปจะไม่ลังเลสงสัย

ความลังเลสงสัย เห็นไหม ว่าเราเห็นแล้วมันปล่อยวาง นี่วิปัสสนาอยู่แต่ความเห็นมันปล่อย มันปล่อยมันก็ว่างมันก็มีความสุข...มันว่างสิ แต่ไม่มีเหตุผลรองรับ มันต้องว่างแบบมีเหตุมีผลรองรับทุกๆ อย่าง มันถึงว่าก้าวเดินออกมาจากอริยสัจ ก้าวเดินออกมาจากสนามรบแบบสุภาพบุรุษ ก้าวเดินออกมาจากสงครามแบบผู้ชนะ ก้าวเดินออกสงครามมาโดยนับศพว่ากี่ศพไง

แต่นี้มันเป็นการซ้อมรบ มันเป็นการยิงด้วยลูกปลอมๆ มันไม่มีศพให้นับแม้แต่ศพเดียว มันเป็นเข้าสัมปยุตด้วยการซ้อมรบไง ทำกันหลอกๆ แต่วิธีการซ้อมรบก็เพื่อจะออกสงครามจริง เห็นไหม นักรบ! ไม่เคยซ้อมรบจะเอาอะไรมารบ นักรบก็ต้องซ้อมรบก่อน วิปัสสนามันก็ต้องวิปัสสนาจากผิดพลาดขึ้นมาก่อน ความผิดพลาดมันก็เป็นครูสอนเรา เป็นครูสอนเราให้เราเป็นความจริง

ถ้าเรารบกับกิเลส รบกับความเห็นผิด รบกับความเป็นจริง นั่นล่ะแสงของธรรม มันจะสมานเข้ามาในหัวใจของเรา แสงของธรรมที่ว่าอยู่ในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอริยสาวกต่างๆ มันจะสะเทือนเข้ามาในหัวใจของเรา แสงของธรรมกับใจของเรานี้เป็นเนื้อเดียวกัน

แสงของธรรมผ่องอำไผ ธรรมะนี้เจริญในไตรภพ เราจะไม่เกิดไม่ตายใน ๓ โลกธาตุ เราไม่ต้องไปเกิดไปตาย มันเจริญไม่เจริญ? ความเจริญของโลก ความเจริญของจักรวาลมันสับเปลี่ยนไปตลอด ดวงดาวก็หมุนเคลื่อนไป เคลื่อนไปทั้งนั้นเลย

แต่ถ้าหัวใจนี้ ธรรมครองใจนะ ธรรมครองใจ ฟังสิ มันบอกว่าธรรมครองใจ ครองถึง ๓ไตรภพ ครองถึงนั่นมันเจริญรุ่งเรืองในหัวใจที่ไม่เคลื่อนไป มันเหนือทุกอย่าง นั่นน่ะธรรมอันนี้ จกฺขุ อุทปาทิไง ดวงตาของธรรม ดวงตาเห็น ญาณํ ญาณเกิด ญาณต้องรู้ มีญาณเกิดมีความเห็น มีญาณ ญาณเกิด ความรู้อีกอันหนึ่ง เขาเรียกว่าปัญญาเกิด ปัญญาเกิดนะ ปัญญาตามหลักความเป็นจริง ไม่ใช่ปัญญาเรา ปัญญาในหลักความเป็นจริง หลักความเป็นจริงที่เกิดขึ้นจากขณะว่าไม่มีกาลเวลาใดๆ ทั้งสิ้นเข้ามาหมุนยุ่งกับมัน มันเป็นปัญญาที่เกิดขึ้น เห็นไหม ญาณเกิดขึ้น ปัญญาเกิดขึ้น ญาณมันจะไปละเอียดกว่าปัญญาที่ตรงไหน ปัญญานี่ละเอียดกว่าญาณ

วิชชาเกิดขึ้น มีปัญญาถึงมีวิชชาเกิดขึ้น วิชชารู้ รู้ตามความเป็นจริง

อาโลโก อุทปาทิ ความว่างเกิดขึ้น ฟังสิ มันว่างอะไร ไอ้ที่ว่าว่างๆ อยู่เมื่อกี้เรียกว่างอะไร ว่างทีแรก ว่างอะไร ทำสมาธิขึ้นมาว่าว่างๆ วิปัสสนาเข้าไปว่าปล่อยวาง มันมีอะไรเป็นเหตุเป็นผล มันมีอะไรไปรับรู้มัน มันว่างตรงไหน อะไรว่าง? กิเลสมันพาว่างต่างหากล่ะ นี่กิเลสมันหลอก แสงของธรรมถึงเข้าไม่เป็นเนื้อเดียวกับเราไง

เราพูดกันได้ เราคุยกันได้ ธรรมะเป็นอย่างนั้น แสงเป็นอย่างนั้น แสงของธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่แสงของธรรมในใจเรา แสงของธรรมในใจเรานี่ พอเข้าสมานกับใจแล้วอ้าปากไม่ขึ้นนะ มันมหัศจรรย์เกินบอก ไม่รู้จะพูดกับใคร มันจะพูดกับใครได้อย่างไร คนนั้นบ้าแน่นอน สิ่งที่โลกที่เขาไม่มี แล้วไปพูดกับเขาได้อย่างไร...นั่นน่ะ มันถึงว่าอ้าปากไม่ขึ้น อ้าปากไม่ออกเลยล่ะ นี่รู้จริงกลับเป็นอย่างนั้น

เรารู้ รู้แบบศึกษามา รู้แบบสุตมยปัญญา เราก็เป็นประโยชน์ ความเป็นประโยชน์มันก็ต้องหนุนขึ้นไป เป็นการก้าวเดิน เป็นการซ้อมรบไง การซ้อมรบก็เป็นให้เรารู้วิธีการสัมปยุตกับกิเลส วิธีการสัมปยุตกับกิเลส เห็นไหม ต้องสัมปยุตด้วยความจริง ความจริงอันนี้ถึงบอกเป็นเอกบุรุษ เป็นเอกบุรุษเป็นผู้ที่ว่าผู้ประพฤติปฏิบัติ มันถึงได้เป็นทางออกของเราไง เป็นทางออกของผู้ที่ปฏิบัติ เป็นทางออก

ทางอื่นไม่มี ทางอื่นไม่มี อย่าน้อยเนื้อต่ำใจว่าเราเกิดมาอาภัพวาสนา...ประเสริฐ ท่ามกลางพระพุทธศาสนานี้อาภัพไปตรงไหน กำลังพระอาทิตย์ขึ้นส่องแสงเต็มๆ เลยนะ พลังงานนี้กำลังเที่ยงเลย กำลังเที่ยงเลยเพราะว่ามันเป็น ๒,๕๐๐ ปี เห็นไหม ธรรมออกมาแบบสุดๆ แล้วเราเองต่างหากจะรับเข้ามาได้อย่างไร ฉะนั้นเราก็มีกิเลส กิเลสในใจของเรามันรับเข้ามาแล้ว ขนาดรับแสงเข้ามาถูกต้องมันยังมาทำให้ผิดได้

นี่ก็เหมือนกัน ธรรมะประกาศอยู่โต้งๆ ใหม่เอี่ยมถอดด้าม แล้วแต่ว่าเราจะพลิกขึ้นมาเป็นพลังงานที่เราจะใช้ขึ้นมา นี่มันไม่อย่างนั้นน่ะสิ มันไปมองงานอื่น งานสมควรแก่เรา เห็นไหม ประพฤติปฏิบัติอยู่ก็ลังเลสงสัย ลังเลสงสัยไปตลอด มันต้องยอมผิด ทุ่มเข้าไปเลย ผิดเป็นอันว่าผิด ไม่มีใครหรอกที่เดินถูกทาง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๖ ปี สลบถึง ๓ หน สลบถึง ๓ ครั้งนะ นั่งจนสลบไป สลบไปเลยถึง ๓ หน สลบแล้วฟื้นขึ้นมา เอาชีวิตเข้าแลก อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา ภพชาตินี้แสนทุกข์มาก ภพชาตินี่มันแสนเร่าร้อนมาก ทำให้หัวใจนี้เร่าร้อน แล้วเกิดตาย เกิดตาย ไม่ใช่ความสุขแน่นอน มันเป็นเรื่องใหญ่โตมาก เรื่องการเกิดการตายเป็นเรื่องที่ใหญ่โตถ้าเราเชื่อธรรม

ถ้าเราไม่เชื่อธรรมก็ว่า ตายแล้วก็แล้วกัน ฉะนั้นมันเป็นเรื่องที่ใหญ่โต เป็นเรื่องที่ว่ายาในโลกนี้นะ มันก็เป็นยารักษากันเฉยๆ วิชาการในโลกนี้ก็เป็นวิชาชีพเฉยๆ แต่วิชาชำระกิเลส วิชาชำระกิเลส ยาธรรมอันนี้ไง ภาวนามยปัญญาตัวนี้เท่านั้น มีแต่ภาวนามยปัญญาเท่านั้นที่ชำระกิเลส

ธรรมะสืบทอดกันมาตั้งแต่เริ่มต้น ศีล สมาธิ ปัญญา อันนั้นเป็นวิธีการ เป็นการสะสมขึ้นมา หนึ่ง สอง สาม เป็นสเต็ปขึ้นมา ต้องมีเหมือนกัน ต้องมีหมดต้องมีทาน ศีล ภาวนา ต้องมีทำสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน วิปัสสนานะ แต่สุดท้ายแล้วมันต้องลงที่ภาวนามยปัญญา ปัญญาที่เกิดขึ้นจากธรรมจักร เป็นจักร เป็นเอก เป็นทางอันเอก ทางอันนี้พระพุทธเจ้าขุดค้นมาเพื่อมาชำระปราบไอ้การเกิดและการตาย ปราบชำระล้างได้หมดไง ยาตัวนี้เป็นยาเอก เป็นธรรมโอสถ

ธรรมโอสถชำระกิเลสเท่านั้น ยาของกิเลสมีแต่ธรรมโอสถนี้อย่างเดียว แล้วการจะดื่มกินธรรมโอสถ ธรรมโอสถมันกินที่ปากของใจ ปากของใจอยู่ที่ไหน ยานี่ถ้าเราไม่กินเรายังฉีดได้ ถ้าปากของใจ เห็นปากของใจ ปากของใจก็ที่ว่าภพของใจที่จิตมันสงบนั่นไง นั่นน่ะเข้าถึงฐาน ฐานตรงนั้นเป็นฐานที่ปาก นั่นคือปากของใจที่เริ่มจะกินยาเข้าไป

เราต้องผลิตยาขึ้นมาเอง แล้วเราก็ต้องกรอกปากตัวเอง เราต้องทำเองทั้งหมด นั่นถึงว่าเป็น อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ แสงธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐ แสงธรรมประเสริฐในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อน แล้วก็ประเสริฐมา ประทานไว้จนปัญจวัคคีย์รู้ตามไปก่อน พระยสะตามไป พระสุภัททะเป็นองค์สุดท้ายขององค์สมเด็จพระสัมพุทธเจ้า แล้วยังเคลื่อนมาอีก พระโมคคัลลานะ พระสารีบุตร ตั้ง ๒๐๐-๓๐๐ ปีมา พระอรหันต์เกิดขึ้นตลอดเวลา จากธรรมอันนี้ไง จากธรรมที่พระพุทธเจ้าวางไว้นี้ไง

ถึงว่าแล้วทำไมที่วางไว้ ทำไมเรายังเอาไม่ได้ล่ะ? เราเอาได้แต่วิธีการประพฤติปฏิบัติ วิธีการเข้าหาธรรม มันเป็นวิธีการเหนือโลก มันเป็นวิธีการที่ว่าเอาชีวิตเข้าแลกไง ธรรมที่ได้มานี้เอาชีวิตเข้าทุ่มกันทั้งนั้น มันจะทุกข์จะยากแสนเข็ญขนาดไหน ทุกข์เพื่อจะพ้นจากการเกิดและการตาย ไม่ใช่ทุกข์ ทุกข์เพื่อจะปวดแสบปวดร้อนกันต่อไปในการเกิดและการตาย

การเกิดและการตายต่อไปมันก็สะสมไป บุญกุศลทำดีก็เกิดดี ทำชั่วก็เกิดชั่ว แต่ขณะเกิดขณะตายนั้นแสนทุกข์แสนยาก นกเวลามันลงเกาะ ลงนิ่มนวล แต่ก่อนจะบินออกไปมันกระพือจนต้นไม้สั่นไหว คนเราเวลาเกิดขึ้นมาดีอกดีใจ ตอนจะตายนี่สั่นไหวไปหมด ขั้วหัวใจนี่สั่นไหว ความทุกข์ เศร้า ดิ้นรน เดือดร้อน นั่นน่ะมันทุกข์ มันจะให้ผลขนาดนั้น เพราะมันทุกข์มันถึงให้ผลขนาดนั้น นี่คือตัวของทุกข์ แต่เรามันว่ามันยังไม่ให้ผลไง เหมือนกับการผลัดวันประกันพรุ่งไปก่อน มันยังไม่ให้ผล ยังไม่เห็นถึงเรา ก็รันไว้กันก่อน รันกันไว้ก่อน มันยังไม่มาถึงเรา ถึงเข้าวันไหนก็คอตก คอตกก็คนจนตรอกจนมุม

นี่คือบัณฑิต บัณฑิตที่ว่าเห็นการว่ามันจะเป็นไป เราถึงหาช่องทางออกก่อน ช่องทางที่เราจะออก นั่นน่ะมันต้องให้กำลังใจตัวเองขนาดนั้น นักปฏิบัติ นักรบทั้งนั้นเลย เราจะนับศพของกิเลส เราต้องต่อสู้ด้วยความจริงจัง การเปิดสนามรบในหัวใจไง เปิดสนามรบ เปิดภวาสวะ ภพของใจ การเกิดและการตายในโลก ในวัฏวน ๓ โลกธาตุ นั่นภพ ภวาสวะ กามภพ รูปภพ อรูปภพ นั่นเป็นภพข้างนอก ภพข้างนอกนี่จิตมันไปเกิดต่างหากมันถึงได้ภพ

เราเกิดเป็นมนุษย์นี่ก็เหมือนกัน เราเกิดเป็นมนุษย์แล้วเราถึงได้ว่าอยู่ในกามภพเหมือนกัน นี่มนุษย์ ทีนี้ภพซ้อนภพไง ภพในหัวใจนี้มันสำคัญกว่าภพข้างนอกไง ในเกิดเป็นมนุษย์นี่เป็นภพหนึ่ง อยู่ในกามภพ แต่เราไม่ทำลายได้เลย

เราทำลายกามราคะออกสิ ทำลายกามราคะ พิจารณากายเห็นกาย ตามความเป็นจริงปล่อยเข้ามา ปล่อยสังโยชน์เข้ามา เห็นไหม นี่เกาะธรรมติด พอเกาะธรรมติด จกฺขุ อุทปาทิ ญาณํ อุทปาทิ ปญฺญา อุทปาทิ วิชฺชา อุทปาทิ อาโลโก อุทปาทิ เข้ามา ปล่อยหมด พิจารณากาย กายอันแรก พิจารณากายในกาย จนพิจารณากายเป็นกายอสุภะไง กายที่เป็นอสุภะ เห็นไหม กายในกาย กายซ้อนเข้าไปเป็นใน กายของใจนั่นน่ะ พิจารณากามอยู่ตรงนั้น

พิจารณากามตรงนี้ เห็นไหม กามภพ ตั้งแต่เทวดาลงมา ตั้งแต่เทวดาลงมาจนถึงนรก สวรรค์ นี่เป็นทั้งหมดเลย เป็นกามภพไง แล้วเราทำลายกามภพ โดยพิจารณากายเป็นอสุภะ ความเห็น ความเห็นว่าทุกอย่าง กายทิพย์หรือกายเนื้อ มันแปรสภาพทั้งหมด มันไม่มีกายคงที่ทั้งหมด กิเลสอาศัยอยู่ทั้งหมด ทำลายทั้งหมด นี่พ้นจากภพของกาม

ภพของพรหม จิตเป็นหนึ่ง รูปพรหม อรูปพรหม ทำลายภพอีก นั่นน่ะ ภพข้างนอก ทำลายรูปภพ อรูปภพ ภพ ๑๖ ชั้น นั่นน่ะ จิตมันเกิดใน ๓ โลกธาตุ ใน ๓ ภพนั้น เห็นไหม แล้วแสงของธรรมมันครอบทั้งหมดนะ แสงของธรรมผ่องอำไพ ธรรมเจริญในไตรภพ เจริญในไตรภพตรงไหน? เจริญที่ไม่ไปเกิดกับมัน ภพมันเก้อๆ เขินๆ อยู่ แต่หัวใจนี้ ภพของใจ ภพซ้อนภพ ภพที่ไปเกิดในกามภพ รูปภพ อรูปภพ แล้วเราทำลายภพที่ใจทั้งหมด ภพกับภพมันเข้าไปเจอกันไม่ได้

ในเมื่อสิ่งที่ว่าเป็นขั้วบวกขั้วลบ ภพของใจไม่มี ภวาสวะ กิเลสสวะ อวิชชาสวะ ภวาสวะ ภวาสวะฐานของใจนี้ทำลายจนหมด หมดเลย เห็นไหม แสงของธรรมครอบกลางหัวใจ ครอบทั้งหมดทำลายภพของเราแล้ว ภพที่เกิดที่ตาย ภพชาติจากกลางหัวใจ แล้วมันจะไปเกิดในภพไหน ในเมื่อไม่มีตัวขับเคลื่อนไป

ภพที่หมดออกไปจากใจแล้วนี่ หัวใจไม่มี ภพไม่มี ทุกอย่างไม่มี มีแต่อาการเก้อๆ เขินๆ นี่ถ้าแสงของธรรมมันผ่องอำไพในหัวใจของผู้ปฏิบัติ ธรรมอันนี้เป็นของผู้ปฏิบัตินั้น ไม่ใช่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอาของท่านไป ท่านนิพพานไปแล้ว พระอริยสาวกนิพพานไปหมดแล้ว พอนิพพานไปนั่นคือสิ้นสุดของภพทั้งหมด เพราะทำลายภพในใจแล้ว มันเจริญครอบ ๓ ไตรภพไง แสงของธรรมครอบทั้ง ๓ ไตรภพ ไม่สามารถจะเข้ากับภพใดได้อีกเลย ดับไปทั้งหมด

นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อเราทำลายกามภพก่อน รูปภพ อรูปภพ นี่ทำลายเข้าไป ทำลายกามภพแล้ว มันก็เป็นรูปราคะ อรูปราคะ เห็นไหม รูปฌาน อรูปฌาน นี่ภพ ๑๖ รูปภพ อรูปภพ...อยู่ มันยังไม่...ถ้าผู้ที่ทำลายกามภพแล้ว อีก ๒ ภพนี้เรายังไม่ได้ทำลาย ทำลายด้วยอะไร? ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ทุกข์ ความละเอียดอ่อนของใจ ความละเอียดอ่อนของใจที่มันเศร้าหมองอยู่ มันเศร้าหมองอยู่ รูปราคะ อรูปราคะ ความเป็นราคะอันนั้น มันยังอยู่ที่ภพนั้น ภพที่ละเอียดอ่อนมาก อยู่ในหัวใจนั่นน่ะ ฐานของใจที่ควรแก่การงานไง

พิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม พิจารณาตรงนั้น พิจารณาตรงนั้น ในกาย เวทนา จิต ธรรม ในอริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค หมุนอยู่ที่ตรงนั้น หมุนอยู่ที่ตรงนั้น หมุนเข้าไป อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขาราปจฺจยา วิญฺญาณํ วิญฺญาณปจฺจยา นามรูปํ มันเป็นปฏิจจสมุปบาทเคลื่อนออกไป พอมันเคลื่อนไป ใจมันออกมา มันเป็นสิ่งที่สัมผัสกันในตัวมันเอง สัมผัสกับตัวเอง มันเป็นแสงส่งออกมา

ความที่เป็นแสงส่งออกมาก ความรู้สึกนั้นออกมา มันทำให้วิปัสสนาเข้าไปได้ ความละเอียดอ่อนจากภพภายในมันละเอียดอ่อนจากข้างนอกมาก การละเอียดอ่อนจากกามภพ กามภพนี้มันเป็นรูป เป็นสิ่งที่มองเห็นได้ จับต้องได้ มันเป็นสิ่งที่ว่าเราเกิดตาย เกิดตายมามากกว่า มันซึ้งใจไง แต่ความละเอียดอ่อนของพรหม เราเกิดได้น้อย สิ่งที่สูงเจริญเราเกิดได้น้อย ความเกิดได้น้อยมันละเอียดอ่อนอยู่ภายใน ความละเอียดอ่อนอยู่ภายใน นี่มันได้เคลิบเคลิ้มกันไง ความเคลิบเคลิ้มนี้มันยังต้องไปตกค้างอยู่บนภพนั้นต่างๆ

นี่ถ้าแสงของธรรมไม่ผ่องอำไพครอบ ๓ โลก เห็นไหม มันครอบภพไหนล่ะ ถึงว่าถ้าแสงของธรรมผ่องอำไพ ธรรมเจริญในไตรภพ นั่นครอบได้หมด อันนั้นเป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นธรรมของพระอริยสาวกที่ผ่านพ้นไปแล้ว แต่เราจะครอบได้กี่ภพล่ะ เราจะครอบได้กี่ภพ ธรรมเจริญในกี่ภพอยู่ที่เราทำ อยู่ที่เราทำ

ในการกระทำนี้ มันก็ต้องไม่นอนใจ ต้องขุดคุ้ย ขนาดข้างนอกเรายังล้มลุกคลุกคลาน แล้วไปข้างในมันละเอียดอ่อนจนต้องเข้าไปคารวะกิเลสทุกคน การประพฤติปฏิบัติ ผู้ที่จะประพฤติปฏิบัติต้องไปคารวะ ไปจมยอม ไปสมยอมให้กิเลสมันหลอกอยู่ตรงนั้น ไปหมุนเวียนให้กิเลสหลอกจนหัวปักหัวปำ จนกว่าจะรู้ว่าโดนหลอก จนจับต้องกิเลสขึ้นมาวิปัสสนาได้ไง

ต้องเข้าไปสยบยอมแน่นอน เพราะมันเป็นตัวฐานอยู่ตัวใน แล้วพอเราเข้าไปถึงตรงนั้นแล้ว มันก็ไปวิปัสสนา ก็เหมือนกับเด็กกับผู้ใหญ่สู้กัน เราเข้าไปแล้วเราสู้ไม่ได้หรอก กองทัพที่เล็กกว่า จะนับศพมันไง เราเกือบจะเป็นศพให้มันนับก่อน เกือบจะเข้าไปตายให้มันนับนะ แต่มันก็ไม่ตายเพราะมันเป็นนามธรรม

การต่อสู้ไง เราเจริญมรรคขึ้นมามันก็เป็นการที่เราเจริญขึ้นไป เป็นภาวนามยปัญญา จากสุตตะ จินตะ จากสุตมยปัญญาขึ้นมา ความศึกษาเล่าเรียน ครูบาอาจารย์สอนขึ้นมาฟังมา อาจารย์ว่าอย่างไร เวลาติดพันขึ้นมาไปหาอาจารย์ ถามอาจารย์ว่าเรียนวิปัสสนาตัวนี้ทำอย่างไร อาจารย์จึงแนะนำ สุตตะ จินตะ เราก็ไปวิปัสสนาใคร่ครวญ จริงไหมเอ่ย จริงไหมเอ่ย จริงไหมเอ่ย เห็นไหม แล้วพอทำขึ้นไปเรื่อย ส่งเสริมขึ้นไปเรื่อย ความจริงไหมเอ่ย วิปัสสนาด้วยไม่ยอมแพ้นี่ ไอ้ตัวที่ขึ้นมานั่นคือภาวนามยปัญญา มันจะเกิดขึ้นจากการต่อสู้ เราขับไสอยู่ทุกวัน สิ่งที่เราขับไส เราผลักดันอยู่ มันต้องเป็นจริงตามของมัน จนได้สักวันหนึ่ง

จากความสยบยอม เพราะคำว่า “สยบยอม” หมายถึงว่า นึกว่าเข้าใจ นึกว่ารู้แล้วตามความเป็นจริง ความสยบยอมน่ะกิเลสมันหลอก ถึงต้องยอมสยบยอมมัน แต่ในเมื่อครูบาอาจารย์สอนแล้วไง มีครูมีอาจารย์ เพราะเราเกิดกึ่งกลางพุทธศาสนา มีครูมีอาจารย์ที่ว่ามีแสงของธรรมผ่องอำไพในใจอยู่แล้ว ถ้าแสงของธรรมผ่องอำไพในหัวใจของครูบาอาจารย์ที่เป็นผู้ที่รู้จริงนั่นน่ะ ผู้รู้จริงเท่านั้นถึงจะชี้นำถึงฐานที่ว่ามันเป็นฐานเรืองแสงในหัวใจได้ เป็นฐานเป็นภพที่เรืองแสงอยู่ในหัวใจ เพราะมันเป็นรูปราคะ อรูปราคะ อยู่ในหัวใจแล้ว...รูปฌาน อรูปฌานนี้เป็นราคะ ความเป็นราคะนี้มันเป็นความละเอียดอ่อนอยู่ในใจ ต้องครูบาอาจารย์ที่เข้าใจ เห็นไหม ชี้นำ แล้วพอชี้นำแล้วเราก็เจริญตาม

จากการที่เข้าไปสมยอม เข้าไปคารวะกิเลส เข้าใจว่ากิเลสนี้เป็นที่สูงสุดไง เข้าใจว่านี่คือแสงของธรรม เข้าใจว่าผ่าน ได้รับแสงของธรรมเข้ามาเป็นชุด เป็นชั้นเป็นตอนเข้ามา ก็เข้าใจว่าอันนี้เป็นแสงของธรรม เพราะมันเป็นสิ่งที่ไม่เคยพบไม่เคยเห็น...มันไม่ใช่ มันเป็นการสยบยอมให้กิเลสมันหลอก

กิเลสที่มันอ่อนไหวกว่า กิเลสมันก็มีปู่กิเลส ลูกพ่อกิเลส หลานกิเลส ลูกกิเลส มีลูกหลานมีพ่อ มีปู่ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา โลภ โกรธ หลงนี่นะ นางตัณหา นางราคะ นางอรดี มันยังเป็นลูกของอวิชชา เป็นเจ้าวัฏจักร ความละเอียดอ่อนภายในมันต้องสาวขึ้นไปไง สาวขึ้นไป ทำลายตรงจุดเรือนยอดของอวิชชาทั้งหมด

อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา มันออกมาเป็นวัฏจักรออกมา มันเป็นปัจจยาการออกมา มันหมุนอยู่ภายใน มันหมุนอยู่ภายใน การเข้า การสยบยอมแล้วมันต้องรู้สิ การสยบยอม ความเสียเปรียบ ความปฏิบัติแล้วไม่ได้ผล มันได้ผลกึ่งหนึ่ง กึ่งหนึ่งคือความปล่อยวางไง แต่มันไม่ได้ผลด้วยการสลัดทิ้งทั้งหมดไง มันไม่สามารถ แสงนั้นไม่สามารถชำระ มันสามารถทำความสงบได้ครึ่งหนึ่ง แต่ไม่สามารถชำระไอ้พวกสิ่งที่เป็นพิษได้ไง

สิ่งที่เป็นพิษคาอยู่ที่ใจนั้น ทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้นได้ มันจับต้องได้เพราะมันเป็นพิษ มันให้ผลเป็นลบ มันไม่ให้ผลเป็นบวก นี่ความจงใจ ความไม่สยบยอมอันนั้นต่างหากทำลายได้หมดเลย พลิกหมด พลิกฟ้าคว่ำดิน หมดสิ้นกันจากความที่ว่าต้องไปเกิด ไปค้างอยู่ ความที่ไปค้างอยู่เพราะสิ่งที่เป็นพิษนี้พาไปค้าง ในเมื่อเราทำลายพิษนั้นออกทั้งหมด ทำลายอวิชชาออกทั้งหมด เป็นปัจจยาการที่ละเอียดอ่อนขนาดไหน เราก็ทำลายได้ ทำลายได้ด้วยภาวนามยปัญญา ทำลายได้ด้วยธรรมจักรขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

จากผู้ที่ปฏิบัติ เพราะมีฐานของใจ มีฐานที่การงาน มีฐานที่ว่ามีการต่อสู้ มีการก้าวเดินออกไปไง ก้าวเดินออกไป ก้าวเดินออกไปเพื่อเปิดให้แสงนั้นเข้าได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยไง เปิดออกจนไม่มีที่ปิดบัง โล่งแจ้งออกหมด เห็นไหม ถ้าโล่งแจ้งแสงนี่คลุมไปได้หมด แสงของอาทิตย์ แสงของแสงสว่าง ถ้ามีสิ่งที่ปิดบังอยู่ สิ่งนั้นจะมืดทันที ขนาดดวงอาทิตย์สุริยคราสมันยังบังได้

แต่แสงของปัญญา จกฺขุ อุทปาทิ ญาณํ อุทปาทิ ปญฺญา อุทปาทิ วิชฺชา อุทปาทิ อาโลโก อุทปาทิ นี่หมด หมดจริงๆ โล่งแจ้งทั้งหมดเลย โล่งแจ้งในหัวใจของผู้ที่ปฏิบัติ โล่งแจ้งของผู้ที่ขับไสขึ้นไป จากเตาะแตะ เตาะแตะนี่แหละ โล่งแจ้งออกทั้งหมด มันโล่งแจ้งออกไปด้วยญาณไง ปัญญาญาณ ทั้งปัญญาทั้งญาณ เพราะความรู้ ความว่าง ว่างทั้งหมด

แล้วมันแม้แต่ ในห้องที่เราเก็บของอยู่ เราเก็บเอง เรายังรู้เอง แล้วนี่ในหัวใจที่มืดบอด เราทะลุเข้าไปทั้งหมด ในหัวใจเรา เราชำระทั้งหมด ในหัวใจของเราแสงเลเซอร์ยิงเข้าไป มันยังยิงเข้าไปมันยังผิดๆ ถูกๆ แต่นี่แสงของปัญญาไง แสงของปัญญา แสงของธรรม มันได้ชำระล้างในหัวใจเราทั้งหมด ในหัวใจของเราเป็นธรรมพร้อมกับแสงอันนั้นไปด้วย

แสงนั้นกับหัวใจเราเป็นเนื้อเดียวกัน เป็นที่สว่างไสวทั้งหมด ไม่มีความมืดบอด ไม่มีความลังเลสงสัย ความมืดบอดได้ชำระล้างแล้ว ใจดวงนั้นเรืองแสง สว่างไสวอยู่ตลอดเวลา ไม่มีความอะไรจะทำให้มันเศร้าหมองได้อีกเลย ความเศร้าหมองไม่มีในหัวใจดวงนั้น

นี่แสงของธรรมผ่องอำไพในหัวใจผู้ที่ปฏิบัติ เห็นไหม ธรรมเจริญในไตรภพ เจริญในไตรภพ ใจดวงนั้นไม่เกิดอีกใน ๓ โลกธาตุ เจริญไปที่สุด นี่เกิดขึ้นมาจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ที่ขุดค้นขึ้นมาก่อน เจริญในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อน แล้วก็เจริญขึ้นมาในหัวใจของพระอริยสาวกต่างๆ

แล้วเราเกิดกึ่งกลางพุทธศาสนา ในกึ่งกลางพุทธศาสนา แสงของธรรมนี้สว่างไสวเป็นกลางวันอยู่ แสงของอาทิตย์เป็นกลางวันร้อนแผดเผาอยู่ กิเลสเรามันเป็นสิ่งที่มันน่าเกลียด มันเป็นสิ่งที่ทำให้เราเป็นทุกข์เป็นยากอยู่ แล้วเราทำไมไม่มุมานะล่ะ ถ้าเรามุมานะ แสงของธรรมนี้มันต้องเจริญในใจเราแน่นอน มันต้องเจริญในหัวใจผู้ที่ปฏิบัติแน่นอนเลย

แล้วพอเจริญขึ้นมาแล้ว เจริญขึ้นมาพร้อมกับความสุข “วิมุตติสุข” ฟังสิ ความสุขใน ๓ โลกธาตุนี้ไม่มี แม้แต่เทวดา อินทร์ พรหม ไม่เคยได้เสวยวิมุตติสุขนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสวยวิมุตติสุขอันนี้ก่อน “วิมุตติสุข” ฟังสิ สุขที่มันไม่มีไง สุขที่มันวิมุตติไปเลย ไม่ใช่สุขที่ว่าเราต้องมาเวียนว่ายตายเกิด ดีใจ เสียใจอยู่...ไม่มีๆ สุขของนี้ไม่มีใน ๓ โลกธาตุ

นี่มันเจริญในหัวใจของผู้ที่แสงของธรรมผ่องอำไพในใจดวงนั้น จากที่มืดบอด มันสว่างไสวมันมีแต่ความสุขใจ แล้วเราล่ะ เราเป็นผู้ปฏิบัติ เราก็มุมานะ เห็นไหม ถึงว่านี่กึ่งกลางพรรษา ในพรรษานี้เป็นที่ว่าจะให้เราตั้งอกตั้งใจไง ในพรรษานี้เป็นการเร่งความเพียร การเร่งความเพียรมันก็ต้องมีความทุกข์ มีความทรมาน เพราะความทุกข์อันนี้มันเป็นความทุกข์ของกิเลส มันสะสมให้ ไม่ใช่ความทุกข์ของเราหรอก ไม่ใช่ความทุกข์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะให้สาวกของท่านลำบากลำบนนะ แต่มันเป็นทาง เป็นอุบาย ที่จะเอาตัวพ้นออกไปจากกิเลส

พ้นออกไปจากกิเลสมันก็ต้องต่อสู้ ความต่อสู้อันนั้นมันก็เป็นความทุกข์ ความต่อสู้ ถึงว่าความต่อสู้ ต่อสู้กับกิเลส กิเลสมันปัดมันขวาง ความทุกข์อันนี้ถึงว่ามันเป็นสิ่งที่ว่าเราสมควรจะยอมรับทุกข์อันนี้ ถ้าเห็นว่าอันนี้เป็นความทุกข์แล้วเราต่อสู้ เราพยายามจะหาทางออก เราต้องพ้นไปจากไอ้สิ่งที่ว่ามันเศร้าหมองอยู่ในใจเรานี้ได้ ได้แน่นอน

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เคยหลอกใคร พระพุทธเจ้าไม่เคยหลอกใคร พระพุทธเจ้าพูดสัจจะทุกคำพูดเลย ปฏิบัติได้ ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปี ผู้ที่ปฏิบัติจริงต้องเห็นจริงตามธรรมนั้นแน่นอนเลย เพราะฉะนั้นถ้าเราเชื่อตรงนั้นแล้ว เราก็มุมานะ เราทำของเราได้ เราทำของเราได้ เราทำของเราได้ ธรรมของเรา ไม่ใช่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราอาศัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อาศัยครูบาอาจารย์ อาศัยผู้รู้ทางชี้นำเราไป

แต่ถึงที่สุดแล้วธรรมอันนั้นเป็นของผู้ที่ปฏิบัติ เป็นของเราล้วนๆ เลย ทั้งๆ ที่ว่ามันเป็นทุกข์อยู่นี่แหละ แล้วมันจะถึงที่สุดได้ ทั้งๆ ที่มันจะทำให้เราลำบากลำบน เราก็กัดฟัน กัดฟันพยายามฝืนฝ่าไป เห็นคุณค่าของหัวใจเรา หัวใจมันทุกข์อยู่ มันเร่าร้อนอยู่ มันต้องการให้เราช่วยเหลือมันนะ เราช่วยเหลือมัน เราคือกิริยาไง เราคือการประพฤติปฏิบัติ มันคือหัวใจที่มันเศร้าหมองอยู่ในใจนี้ มันกับเรา มันกับเรา

อยู่ที่หัวอกเรา ทำไมเรียกมันกับเรา? เพราะกิเลสกับความคิดมันคนละอัน เราถึงว่าเราต้องพยายามขวนขวายเพื่อจะช่วยหัวใจเรา กิริยาอันนี้เป็นธรรมของพระพุทธเจ้าจากภายนอก ธรรมอันนี้เป็นกิริยาภายนอก แล้วเราสะสมเข้าไปให้มันเข้าถึงใจเราให้ได้ เห็นไหม ทำขึ้นมา นั่งสมาธิอยู่ กำหนดอยู่ก็เพื่อสะเทือนถึงหัวใจ สะเทือนถึงแก่นของใจ สะเทือนถึงรากเหง้าของใจ มันสะเทือนถึงหัวใจอันนั้น เหมือนกับเราช่วยใจเราไง

หัวใจมันเรียก มันเร่าร้อน มันเรียกให้เราช่วยอยู่ ทุกข์อยู่นี่ ทุกข์อยู่ เรียกให้คนอื่นมาช่วย เรียกคนโน้น เรียกคนนี้ อยากจะให้คนโน้นมาช่วย แต่ธรรมที่เป็นกิริยาอยู่นี่จะเข้าไปช่วย จะเข้าไปช่วยด้วยอะไร? ด้วยทุกข์ที่เราพยายามโถมเข้าใส่นี่ไง ด้วยทุกข์ที่เราโถมเข้าใส่ เราพยายามอยู่นี่ไง นี่กิริยาของธรรมข้างนอก แล้วมันจะสะเทือนถึงใจข้างใน สะเทือนถึงใจ

ทุกข์ก็ต้องฝืนต้องทน จะทุกข์ขนาดไหนก็ฝืนก็ทน ทุกข์อันนี้ไม่ทำให้ถึงกับตายได้หรอก แต่ทุกข์เพราะเกิดเพราะตาย มันทำให้ทุกข์ให้เกิดให้ตายมากี่ภพกี่ชาติ ทั้งทุกข์ ทั้งเกิด ทั้งตาย เจ็บแสบปวดร้อน แต่จำไม่ได้ แต่ประพฤติปฏิบัติอยู่นี้มันก็ทุกข์ มันทุกข์ มันปวด มันร้อน มันจะไม่ยอม มันจะยอมไง...มันจะไม่ยอม จะทำต่อไป มันจะพาเลิกไง นั่นกิเลสนะ นั่นน่ะกิเลสมันถึงขัดกับแสงของธรรม

แสงของธรรมผ่องอำไพนั้นมันผ่องอำไพในหัวใจของพระอรหันต์ต่างๆ ต่างหากล่ะ มันถึงผ่องอำไพได้ ในเมื่อหัวใจเรามีกิเลสอยู่นี่ มันมืดทั้งนั้นล่ะ ทีนี้พอมันมืดมันจะทำให้เราล้มไป เราก็ต้องมีปัญญาพลิกแพลงสิ (เทปสิ้นสุดเพียงเท่านี้)