เทศน์บนศาลา

นิมิตแก้กิเลสไม่ได้

๙ ก.ย. ๒๕๔๒

 

นิมิตแก้กิเลสไม่ได้
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์บนศาลา วันที่ ๙ กันยายน ๒๕๔๒
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันพระหมายถึงวันพระเป็นวันพร้อมกันทำบุญกุศล ทำบุญทำกุศล วันพระคิดถึงพระ พยายามทำใจให้เป็นพระให้ได้ พระเป็นผู้ประเสริฐ ใจเราประเสริฐไหม ใจเราถ้าประเสริฐ ประเสริฐมันต้องพึ่งตัวเองได้ ใจเรา เรารู้ว่าพึ่งตัวเองไม่ได้นะ ถ้าพึ่งตัวเองได้มันไม่บอกว่าทุกข์ๆ หรอก เวลามันอยู่คนเดียวมันทุกข์ เวลาเข้าหมู่เข้าคณะมันไปกันได้ ช่วยกันเกาะกันไป ไปกับหมู่คณะนะ หวังจะพึ่งคนอื่นไง เกิดมาหวังพึ่งกัน มนุษย์เป็นสัตว์สังคมต้องหวังพึ่งกัน ยิ่งพึ่งมากเท่าไรมันยิ่งมีปัญหาเท่านั้น มันมีปัญหาไปเรื่อย เพราะเราเองเรายังเอาใจเราหยุดไว้ไม่ได้เลย เพราะใจเรามันพิการ ใจเรามันไม่ประเสริฐ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างกุศลบารมีมาปรารถนาเป็นพุทธภูมิ แล้วยังเกิดมาพร้อมกับว่าจะตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังมีนะ ก่อนจะตรัสรู้ยังมีความทุกข์อยู่ ใจยังไม่ประเสริฐ ยังมีความทุกข์อยู่ ก่อนออกแสวงหาโมกขธรรมน่ะ ต้องออกแสวงหา การว่าแสวงหา เอามาจากไหน ธรรมไม่ลอยมาหรอก ขนาดนั้นเห็นเป็นคนที่ว่ามีอะไร หัวใจนี้อะไรกระทบมันจะเทียบเคียงไง ให้เห็นถึงของโทษของคุณ ให้เห็นโทษกับเห็นคุณ เราไม่เห็นโทษ เราอยากจะมีความสุขๆ เราไม่เคยเห็นโทษ

ต้องเห็นโทษ โทษของวัฏฏะไง โทษของการอยู่ไป โทษของการว่าเราจะหวังพึ่งคนอื่น หวังพึ่งหาความสุขใส่ตน แต่มันพึ่งไม่ได้ เวลาว่าฟังธรรมๆ นี่ นัดหมายกันให้เป็นผู้ประเสริฐ ใจเป็นผู้ประเสริฐ ให้ใจเราไม่พิการไง คนพิการพึ่งใจตัวเองไม่ได้ พึ่งไม่ได้แล้วมันก็หงุดหงิดๆ แต่ใจถ้ามันไม่พิการน่ะ ใจไม่พิการถึงจะก้าวเดินไปด้วยตามความเป็นจริง

ขนาดองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขนาดนั้นแล้วยังเทียบเคียง ยังเป็นผู้ที่แสวงหา เป็นผู้ที่ไม่ประมาทไง อย่างพวกเรามันประมาทกัน มันประมาท มันถึงว่าใจเราพิการอยู่แล้วนะ แถมยังไม่ใส่ใจ ไม่ดูตัวใจของตัว ใจพิการอยู่แล้วก็ยังไม่คิดจะสะสมของตัวเองขึ้นมา ทำให้ขึ้นมาไม่พิการ คนป่วยคนไข้แล้วมันหากินแต่ของแสลง มันไม่หากินของที่ว่าเวลาหาอาหารเข้ามาใส่ตัว หาอาหารที่เป็นคุณประโยชน์ใส่ตัวเรามา หาแต่ของแสลงเข้ามา ถ้ายิ่งมีของแสลงเข้ามามันก็ยิ่งไปใหญ่สิ

นี่พิการอยู่แล้ว แล้วยังไม่รักตัวเอง ไม่รักตัวเอง คิดแต่ว่าจะพึ่งคนอื่นไง นี่ถึงว่าฟังธรรมเข้ามาตรงนี้ให้มันสะเทือนใจของเรา สะเทือนใจของเรา เห็นไหม เราศึกษาธรรม เริ่มต้นจากการศึกษาธรรม จากว่าสุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา

สุตมยปัญญา คือการศึกษาเล่าเรียน การฟังธรรมนี่ฟังเพื่อมาเป็นพื้นฐานของตัวเองก่อน เป็นพื้นฐาน

จินตมยปัญญา เราคิดเองเป็น เราเดินลงไปในน้ำเราลึกลงไปเรื่อยๆ ลึกลงไปเรื่อยๆ

ภาวนามยปัญญา ในทะเลลึก ในทะเลหลวง สัตว์ใหญ่อยู่ในกลางทะเลใหญ่ สัตว์ใหญ่นะ สัตว์ใหญ่ๆ อยู่ในนั้นมากกว่าสัตว์บก แต่เราเห็นแต่สัตว์บกนี่ไง เราเห็นแต่สัตว์บกนี้ เราเห็นด้วยตาเนื้อ เรื่องที่เป็นวัตถุเป็นโลก สิ่งที่เป็นมหัศจรรย์ของโลก สิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่โลกนี้มีอยู่ใครเป็นคนสร้าง? มนุษย์เป็นคนสร้าง สมองของมนุษย์ การตรึก การคิดใคร่ครวญ สร้างวิทยาศาสตร์ออกมาให้เราได้ใช้ได้สอยอยู่นั่นเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกเขา โลกพิสูจน์ได้ สัตว์น้ำถ้าเขาไม่จับขึ้นมาเราไม่ได้เห็นหรอก มันอยู่ในน้ำ มันเห็นแต่น้ำ แต่สัตว์น้ำอยู่ในน้ำลึกๆ

ไอ้นี่ก็เหมือนกัน นามธรรมมันอยู่ในใจของเรา อยู่ในใจของผู้ที่ใจประสบธรรม ใจสัมผัสธรรม เห็นไหม มันมองไม่เห็น สิ่งที่มองไม่เห็นนี่เป็นนามธรรม สิ่งที่เป็นนามธรรมนี้ต่างหากล่ะที่เป็นที่พึ่งของใจได้จริง ใจที่พิการๆ อยู่เพราะอะไร เพราะมันพิการใช่ไหม มันไม่มีที่พึ่ง นี้คำว่าพิการถ้าเป็นคนมันเห็น มันพิการ พิการแล้วยังปากดีนะ ยังอวดเก่ง คนพิการชอบสอดรู้ไง

ไอ้นี่ก็เหมือนกัน จิตมันพิการน่ะมันไม่รู้ จิตมันพิการ แต่มันก็ว่ามันรู้นะ มันรู้ มันรู้มันว่าของมันไปเรื่อย นี่มันรู้ รู้ออกมาเพราะคิดออกมาเป็นปัญญาก็เป็นโลกเป็นโลกียะ เป็นความคิด เป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่เขาคิดกันออกมา นี่ความคิดแบบพิการมันคิดไม่รอบไง

คนที่จะคิดรอบ เห็นไหม เราต้องเชื่อธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เชื่อธรรม พระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้ว สวรรค์มีจริง พรหมโลกมีจริง นิพพานมีจริง เราลังเลสงสัย นี่ความพิการมันก็ตรงนี้ ตั้งแต่ว่าเราไม่กล้าก้าวเดินไปตามความเป็นจริงไง เราลังเลสงสัยว่าเราทำไปแล้วจะได้หรือเปล่า

ถ้าเราประกอบอาชีพทางโลก เราทำวัตถุขึ้นมามันได้สิ่งตอบสนองออกมาเป็นวัตถุ เห็นผลเลยทันที ยื่นไปเท่าไรกลับมาเท่านั้น ยื่นไปเท่าไร เป็นกำไรขาดทุนตลอด แต่นี้ใจมันหวังพึ่งอะไรล่ะ กำไรคือกำไรที่ไหน? กำไรคือทำใจให้ปกติก่อน ให้จิตนี้เป็นสมาธิ จิตนี้ตั้งมั่นได้ จิตนี้เป็นสมาธิ มันไม่เป็นพิการออกไป คนไม่พิการมันถึงก้าวเดินไปได้เต็ม ๒ ฝ่าเท้านะ เต็ม ๒ ฝ่าเท้า ก้าวเดินออกไป จากปกติที่ว่ามันทุกข์อยู่นี่ไง ปกติที่มันทุกข์อยู่นี้แล้วมันแก้ตัวเองไม่ได้ แล้วยังบ่นอยู่ว่าทุกข์ๆ อยู่ แล้วว่าเราเป็นชาวพุทธ เรานับถือศาสนา เราประพฤติปฏิบัติทำไมเราไม่ได้ผลๆ ไม่เห็นผลสักที เพราะมันยังไม่สมบูรณ์ในตัวมันเอง

นี่เป็นพระประเสริฐสมบูรณ์ขนาดนี้นะ สมบูรณ์แล้วยังต้องมาแก้ไขสิ่งที่เป็นเชื้อเป็นโรค เห็นไหม ภวาสวะ อวิชชาสวะ กิเลสสวะในหัวใจ สมบูรณ์แล้วถึงก้าวถึงต่อสู้กับกิเลสได้ไง การต่อสู่ การฟันฝ่ากับกิเลสอนุสัยนอนอยู่ในใจเรา เอาชนะตนเราให้ได้ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เห็นไหม ตนยังพึ่งตนเองไม่ได้ ดูอย่างเด็กนักเรียนสิ เริ่มการศึกษา ให้หัดเขียน ก.ไก่ ก.กาน่ะ พอเขียนได้ พี่เลี้ยงหรือพ่อแม่ดีใจตบมือให้ เด็กมันก็ดีใจ อารมณ์มันยิ่งดีใจ ก.ไก่ ก.กา มันเขียนได้แต่มันประสมขึ้นมาเป็นคำหรือยัง เห็นไหม

เด็กเขาทำงานเขาโตขึ้นมาเขาไม่มีหน้าที่การงาน พ่อแม่ก็ให้การศึกษา ศึกษาในวิชาการนั้น ให้หัดเขียนหัดอ่าน ใจของเรามันอยู่แต่เรื่องของโลกทั้งหมดเลย แล้วบอกมันจะสละทิ้งความทุกข์นั่นน่ะ มันมีงานหน้าที่เดียวหรือ มันหน้าที่ของเรา เราเป็นนักปฏิบัติ เราต้องดูแลใจของเราให้ได้ หน้าที่ของเราเหมือนเด็กที่มันหัดเขียน ก.ไก่ ก.กา นั่นล่ะ เราบริกรรมพุทโธๆๆ อย่างไรเวลาภาวนาของเราใจมันสงบไหม ใจมันเป็นไปได้ไหม ใจมันเป็นไปได้ไหม ถ้ามันเป็นไปได้มันก็ได้ ก.ไก่ ก.กา มา

ก.ไก่ ก.กา มาเริ่มต้นจะประสมขึ้นมาเป็นคำไง หัดเขียน ความเขียนจะชำนาญหรือไม่ชำนาญ ใหม่ๆ ต้องฝึกฝน ต้องพยายามฝึกฝนขึ้นมา เราจะเขียนได้เป็นคำ แต่ถ้าชำนาญแล้ว การเขียนความชำนาญแล้วไปมันจะเริ่มเดินออกไป ใจของเราจะเริ่มก้าวเดินออกไปถ้ามันสมบูรณ์ขึ้นมา จากไม่เป็นพิการ จากคนพิการมันเป็นไปไม่ได้ มันทำไม่ได้ คนพิการมันก็กระเสือกกระไสไป พิการไป มันทำไม่ได้ ทำงานไม่ได้เต็มที่ของมันไง

นี่ก็เหมือนกัน ใจเราพิการอยู่ ใจยังไม่สมประกอบ ถึงต้องทำให้จิตนี้ตั้งมั่น จิตนี้เป็นเอกกัคคตารมณ์ จิตนี้ตั้งมั่น จิตนี้เป็นหนึ่ง จิตนี้ไม่พิการ ขนาดที่ว่าไม่สมบูรณ์ มันจะไม่พิการได้ สมบูรณ์ได้ ต้องมีสติมีสัมปชัญญะรู้ความเคลื่อนไหวของใจออกไปตลอดเวลา ความมีสติสัมปชัญญะ สติสัมปชัญญะถึงว่าการประกอบความเพียร ถ้ามีสติมีสัมปชัญญะอยู่ตลอดเวลา งานนั้นถึงจะเป็นงานความเพียร ถึงจะเป็นงานหน้าที่เดียว หน้าที่เดียวของหัวใจดวงนั้นที่ขณะประพฤติปฏิบัติอยู่ เด็กมีหน้าที่เดียวเพราะว่าเขาไม่มีหน้าที่อะไร หน้าที่ศึกษาของเขา เขาศึกษา เขายังดีใจขึ้นมา เวลาเขาทำได้ของเขา ประสบความสำเร็จของเขาขึ้นมา หน้าที่ของเขาเพื่อหาความรู้ใส่ตัวเขาเพื่อจะประกอบอาชีพทางโลกเป็นวิชาชีพ

แต่อันนี้มันเป็นวิชาทางธรรม “ธรรมค้ำจุนโลก ธรรมค้ำจุนโลก” ธรรมนี้สามารถชำระกิเลสได้ กิเลสนี้มันอยู่ในใจของเรา กิเลสนี้ใหญ่มาก บุคคลคนไหนก็แล้วแต่ยิ่งมีหน้าที่การงานใหญ่ขนาดไหน อำนาจของมันจะใหญ่ขนาดไหน อำนาจของหัวใจดวงนั้น แล้วถ้าหัวใจดวงนั้นมันไม่สะอาด หัวใจดวงนั้นไม่สะอาด มีอำนาจบาตรใหญ่ขนาดไหนมันก็กว้านแต่สิ่งที่เป็นทุกข์เข้ามาใส่ตนแล้วใส่คนอื่น ทำได้ทั้งหมด ทำได้ทั้งนั้นถ้าใจไม่สะอาด

แต่ถ้าหัวใจเป็นดวงที่สะอาดนะ มีตำแหน่งหน้าที่การงานสูงขนาดไหน ประโยชน์จะเกิดจากประโยชน์จากดวงที่สะอาดนั้นเลย เพราะดวงที่สะอาดนั้นมองเห็นตามความเป็นจริงไงว่าโลกนี้หวังพึ่งกัน คนเราเกิดมาหวังพึ่งพาอาศัยกันเพื่อจะมีความสุข เพื่อดำรงความสุขอยู่ แต่มันไม่เป็นตามความเป็นจริง เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทานไว้ตามหลักอริยสัจไว้ว่า ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค อริยสัจไง ทุกข์เป็นความจริง ทุกข์นี้เป็นความจริงอยู่แล้ว คนเกิดมาจะร่ำรวยล้นฟ้าขนาดไหน ยาจกเข็ญใจขนาดไหน มีทุกข์เหมือนกัน ถึงว่าเป็นธรรมทายาทไง ธรรมทายาท ทายาทหมายถึงมีปากและมีท้อง

การเกิดและการตายมีปากและมีท้องต้องหาอยู่หากินเหมือนกันทั้งหมด เสมอกันด้วยธาตุขันธ์ ด้วยความเป็นมนุษย์ มนุษย์สมบัติ มนุษย์สมบัติที่เกิดมานี่เสมอกันต้องหากินหาอยู่ ต้องใช้สอยปัจจัย ๔ เหมือนกัน นี่เสมอกันด้วยธรรม เป็นญาติธรรมด้วยกัน เสมอกัน จะร่ำรวยจะทุกข์ยากขนาดไหนต้องมีปัจจัย ๔ เหมือนกัน ดำรงชีพนี่ขาดไม่ได้เลย เพราะอะไร เพราะเป็นมนุษย์ เป็นมนุษย์ต้องพึ่งพาอาศัยสิ่งนี้อยู่ต่อไป นี่เป็นมนุษย์

แล้วว่าพึ่งพาอาศัยกันว่าจะให้มีความสุข มันพึ่งพาอาศัยกันได้เฉพาะปัจจุบันนี้น่ะสิ แต่ศาสนาสอนว่าคนนี่เกิดมาจากไหน คนเกิดมาเพราะบุญกุศล มีศีล ๕ สมบูรณ์ขึ้นมา มีมนุษย์สมบัติถึงเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาแล้วถึงได้ว่าเราหวังพึ่งกันแล้วว่าจะมีความสุขไป มันไม่สุขจริง เพราะว่ามันเป็นอริยสัจ ทุกข์นี้เป็นความจริง ถ้าเราทุกข์นี้เป็นความจริง เราต้องดูทุกข์สิ ทุกข์นี้เป็นความจริง แต่นี่เราปฏิเสธทุกข์ เราจะหนีทุกข์กันไง

เราหวังพึ่งกันว่าให้คนช่วยเหลือกัน เราร้อนนะ เราอาบน้ำก็หายร้อน เราขาดแคลนมีคนช่วยเหลือเราก็หายไป แต่เวลาเราเจ็บปวดยอกใจ ให้คนพยายามจะช่วยเหลือเรา ใครจะช่วยเหลือเราได้ เราเจ็บปวดยอกใจแสบปวดแสบร้อนอยู่ในใจ โทสัคคินา โมหัคคินา โลภ โกรธ หลงในหัวใจใครชำระล้างได้ ตัวโลภ ตัวโกรธ ตัวหลง ตัวนี้ชำระดึงใจของเราให้กว้านออกไปเกี่ยวกับความโลภภายนอก เห็นไหม มันทุกข์ตรงนี้ต่างหากล่ะ

สิ่งที่เป็นความเป็นอยู่ของโลก เราเกิดเป็นมนุษย์นี้แสนประเสริฐอยู่แล้ว เกิดเป็นมนุษย์นี้กลับประเสริฐเพราะว่ามนุษย์มีกายกับใจ มนุษย์มีอิสรภาพพอสมควร เรื่องประกอบอาชีพการงาน แล้วยังมีโอกาสได้มาศึกษา ได้เป็นลูกศิษย์ ได้เป็นบริษัท ๔ ในบริษัท ๔ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บริษัท ๔ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เป็นบริษัท ๔ นะ เป็นบริษัท ๔ ที่ว่ามีส่วนในธรรมะไง

ธรรมะเป็นของกลาง แสงแดด อากาศ นี่เป็นของกลาง ใครหายใจได้อันนี้มีชีวิตอยู่หายใจได้ คนตายไปแล้ว แสงแดด อากาศก็อยู่อย่างนี้ เขาได้ประโยชน์อะไร ถ้าคนจะเข้ามาหา เข้ามาใช้ประโยชน์ตรงนั้น สิ่งที่เป็นความละเอียดอ่อนที่ใจแทบมองไม่เห็น ธรรมมันยิ่งกว่านั้นอีก ธรรมกับโลกอยู่ด้วยกันแต่ไม่เหมือนกัน ฟังสิ! ธรรมกับโลกนี่อยู่ด้วยกัน ถ้าหัวใจเป็นธรรมมองสิ่งที่เป็นโลกนี้เป็นธรรม ความทุกข์จะไม่เกิดขึ้น มันเห็นเป็นโลกเป็นธรรมไปหมด

สิ่งที่เป็นธรรม มันเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป มันเป็นสัจจะอันหนึ่ง แปรปรวนไปเป็นธรรมดา วันคืน ๒๔ ชั่วโมง มืดสว่าง มืดสว่าง วันหนึ่งๆ มีค่าเท่ากัน แต่ถ้าเป็นโลก วันนี้วันอาทิตย์เราได้พักผ่อน วันนี้เป็นวันจันทร์ต้องทำงาน แต่นี่สมมุติเข้าไปซ้อนเข้าไป พอสมมุติเข้าไปซ้อนนั่นแหละ มันเป็นไปแล้ว นี่พอสมมุติเข้าไปซ้อน มันไม่เป็นตามความเป็นจริง

ถ้าธรรมมันถึงตามความเป็นจริง มันถึงแก้ไขความติดข้องของใจกับสิ่งที่เกิดเป็นภาระหน้าที่ได้ ภาระหน้าที่นี้เป็นภาระหน้าที่ของมนุษย์เรา มนุษย์เราต้องมีภาระหน้าที่ ภาระหน้าที่เป็นภาระหน้าที่ แต่ความที่ทะยานอยากออกจากภาระหน้าที่ออกไป ดึงอยากให้มันสูงขึ้นไป หรือเหนี่ยวรั้งไว้ในสิ่งที่มันไม่อยากปรารถนา เป็นหนี้เขา ไม่ต้องการให้ถึงวันกำหนดครบกำหนดที่จะต้องชำระหนี้ เห็นไหม พยายามเหนี่ยวรั้งไว้ไง

ตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ทุกข์นี้เป็นอริยสัจ ผู้ที่มีธรรมเห็นตามความเป็นจริงตามสมุทัย ละที่สมุทัย เห็นไหม สมุทัยนี้มันละได้ มันเป็นนามธรรมเหมือนกัน พอละที่สมุทัยปุ๊บมันมาจากไหนล่ะ ในเมื่อความเหนี่ยวรั้ง ความดึงไว้จากสิ่งที่ว่าไม่ต้องการให้เป็นตามความเป็นจริงของวาระ ๒๔ ชั่วโมงนี้มันก็หมดไป นี่ธรรมมันเหนือโลกตรงนั้นไง ตรงที่ธรรมนี้ไม่ติดในโลก ธรรมเหนือโลก ธรรมถึงแก้ไขกิเลสได้ แต่ธรรมๆ อยู่นี่เอามาใส่ใจเราได้อย่างไร ธรรมอันนี้ถึงแก้ทุกข์ตามความเป็นจริงในใจของเราได้ เรามาประพฤติปฏิบัติพยายามจะทำให้เห็นธรรมอันนั้น ให้ชำระความทุกข์ในหัวใจของเราที่เป็นทุกข์อยู่นี่ให้ได้

ทุกข์ที่เป็นในหัวใจนี้ ทุกข์อันนี้เพราะเรายึดเรามั่นว่าอันนี้เป็นทุกข์ มันก็เลยทุกข์ขึ้นมา ถ้าเราปล่อย มันปล่อยไม่ได้ เพราะอะไร เพราะเชื้อมันอยู่ที่ใจ เชื้อมันอยู่ที่ธาตุรู้ ธาตุรู้นี้เป็นต้นกำเนิดของจิตวิญญาณของเรา จิตวิญญาณนี้เป็นแค่อารมณ์ครอบธาตุรู้นี้ไว้ ธาตุ ๖ เห็นไหม ธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ ธาตุ ๖ อากาศธาตุ ธาตุรู้ที่อยู่ในธาตุ ๔ นั้นอีก ตัวนั้นมันเป็นตัวเชื้อตัวไขออกมา ตัวเชื้อตัวไขตัวขับเคลื่อนออกมาให้เราไม่รู้ไง อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา อวิชชาคือความรู้แบบรู้เป็นธาตุเป็นแบบไฟที่ออกมา ไฟเวลาไฟไหม้บ้านไหม้เรือนมันมีแต่หน้าที่เผา ถ้ายังมีเชื้ออยู่เผาออกไป ความร้อนเผาออกไปบ้านใครเรือนใครที่ยังเป็นไม้ที่มันเผาได้มันจะเผาไปตลอด

อวิชชามันเป็นอย่างนั้นน่ะ มันเป็นอยู่ในใจ มันเป็นผู้รู้ รู้โดยที่ว่ารู้เฉยๆ แต่ไม่ใช่วิชชาไง มันรู้ รู้แล้วออกไป รู้แบบไม่รู้ไง เห็นไหม มันเหมือนไฟ มันเผาทุกอย่าง เผาออกไปถ้ามีเชื้ออยู่มันเผาหมด อวิชชารู้แบบรู้เฉยๆ ไม่รู้ด้วยสติปัญญา มันก็รู้ออกมา เชื้อมันอยู่ตรงนั้น วิชชามันรู้รอบตัวเอง ไฟนั้นไฟเย็น ไฟไม่เผา ไฟในเรือน ไฟในเตาไง ไฟสำหรับทำประโยชน์ ไฟสำหรับทำให้แสงสว่าง เห็นไหม วิชชากับอวิชชา นี่เพราะเชื้อมันอยู่ตรงนั้น ธาตุรู้ตรงนั้นมันมีอยู่ พอธาตุรู้มันมีอยู่ เราถึงว่าเราถึงหักห้ามไม่ได้

ถึงว่า ศึกษามา สุตมยปัญญา เราเชื่ออยู่ เราเชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วเราถึงพยายามจะประพฤติปฏิบัติให้เข้าถึงธรรมให้ได้ไง เพราะเราเชื่ออยู่ ความเชื่อนี้เป็นความศรัทธา เห็นไหม จากข้างนอก ความเชื่อนี้มันจากข้างนอก ก็เหมือนกับเรายืมของมา เรากู้ยืมของใครมาเป็นของข้างนอก เราต้องเอามาเป็นสมบัติของตนก่อน ยืมมาแล้วสร้างขึ้นมาให้ได้ อันที่ยืมมาเป็นต้นทุนแบบครูบาอาจารย์ เห็นไหม

อาจารย์สอนว่ายื่นออกจากมือหนึ่งให้มือหนึ่ง เรารับจากมือมาเรายังทำให้ตกจากมือเราไปไง เราเอามือรับธรรมนั้นมาแล้วก็ตกจากมือเราไป เราไม่สามารถรับธรรมอันนั้นได้ หัวใจก็เหมือนกัน จากใจดวงหนึ่งให้กับใจดวงหนึ่ง จากใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายื่นให้กับปัญจวัคคีย์ก่อน ยื่นให้ยสะ เห็นไหม จากใจดวงหนึ่งของใจผู้ที่รู้แล้วมันถึงจะยื่นให้กันได้ ถ้าใจยังไม่รู้นี่เอาอะไรมายื่น ฝนตก ฟ้าร้องแล้วฝนตกออกมา โอ้โฮ! ฟ้าร้องครืนๆ เลยนะ ฝนตกออกมานี่ชุ่มฉ่ำเย็นไปหมดเลย

ฟ้ามีแต่ร้อง ฝนไม่เคยตก มีแต่ความแห้งแล้ง ดวงใจที่ยังไม่รู้ไง เหมือนกับฟ้าร้องครืนๆ อยู่แต่ไม่เคยมีฝนตกมาซักเม็ดหนึ่ง เราก็ตื่นกันนะ ฟ้าร้องทีก็เตรียมภาชนะกันจะรอฝน จะรอฝน ฝนไม่เคยตก นี่ใจที่แห้งผาก ใจที่ไม่มีธรรมในหัวใจไง ร้องก็ร้องไปเถอะ มันยื่นมาไม่ได้เพราะมันไม่มีเม็ดฝน ไม่มีความชุ่มชื้นไง

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมเย็นในหัวใจ เวลาบันลือสีหนาท ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร บันลือเทวดาส่งขึ้นไปเป็นชั้นๆ ขึ้นไป นี่ฟ้าได้คำรามแล้ว ฟ้าร้องฝนได้ตก ธรรมจักรได้แผ่ออกไปแล้วไง จากใจดวงหนึ่งชุ่มชื่นไปถึงอีก ๕ ดวงใจ ตั้งแต่อัญญาโกณฑัญญะไป ปัญจวัคคีย์ อัสสชิ เป็นพระอรหันต์ขึ้นมาเป็น ๖ องค์แรกที่ออกมาเผยแผ่ นี่จากใจดวงหนึ่งยื่นให้อีกใจดวงหนึ่ง

นี่เราพยายาม สุตมยปัญญา เราเชื่อ เรากู้ยืมมา เราต้องสร้างใจของเราขึ้นมาให้ได้เหมือนกัน สร้างใจขึ้นมาให้ได้ แต่มันขึ้นมาไม่ได้เพราะอะไร นี่เราต้องย้อนกลับมาดู ต้องว่าเรานะ

การประพฤติปฏิบัติธรรม ศีลธรรมนี้เป็นของที่ประเสริฐมาก เป็นของที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝากไว้กับบริษัท ๔ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ให้ได้รับความร่มเย็นจากศีลธรรมนี้ ฟังสิ! นี่มันเป็นขนาดนั้นน่ะ แต่เราว่าเราก็เป็นไง เราเป็นภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ในศาสนานี้ แล้วเราได้ตักดื่มกันไหม เราไปดู เดี๋ยวนี้มีการโฆษณาออกมาเป็นกระดาษ เป็นสิ่งเป็นรูปภาพออกมาก่อน เป็นโบรชัวร์ออกมา เราเห็นแต่ภาพแบบนั้นไง แล้วมันไม่สมความเป็นจริงขึ้นมา เราเห็นแต่เป็นกระดาษ แต่เราไม่สามารถแลกเปลี่ยนเป็นสินค้า เป็นอาหารให้ใจนี้ดื่มกินได้น่ะ สุตมยปัญญาเป็นอย่างนั้น

เราจำมาเป็นคำๆ ไง เราจำมาหมดนะ เหมือนยา ฉลากยา อ่านฉลากยาแต่ไม่ได้ดื่มยาเข้าไปในร่างกายเลย ถ้าได้ดื่มกินยาเข้าไป สุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ใคร่ครวญ เห็นไหม ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา

เชื่อแล้วไง เชื่อว่ามีศีล ศีลนี่ก็ทำให้เราไม่เดือดร้อน บังคับใจให้มีอยู่กับตัวเรา เรามีสมาธิ มีศีลแล้วก็สร้างสมาธิขึ้นมา สร้างสมาธิหมายถึงพยายามทำใจให้สมประกอบไม่ให้มันพิการ พิการคือมันบกพร่อง ความบกพร่อง ความหิวกระหาย อารมณ์ต่างๆ ผ่านใจมานี่คนหิวกระหายดื่มกินหมด คนใกล้ตายนะ คนจะเอาชีวิตรอด อะไรผ่านหน้ามากินทุกอย่างที่ขวางหน้า จะเป็นเนื้อเป็นสิ่งที่มีพิษก็ขอกินก่อน ขอประทังชีวิตไว้ก่อน คนพิการคือจิตพร่อง จิตนี้ไม่เต็ม พอจิตนี้ไม่เต็มมันกินทุกอย่างที่ขวางหน้า ความคิดไง แวบขึ้นมาในหัวใจ สัญญาเกิดก่อน

คนเราเกิดมาไม่เกิดมาเฉพาะชาตินี้ เกิดมาวัฏวน เราว่าเราไม่เคยออกไปข้างนอกนะ ไม่เคยไปสัมผัสในโลกนี้ เราจะไม่มีรู้ว่าโลกนี้เขาเป็นอย่างไร คือว่าอารมณ์โลกเราจะไม่มี เราว่าเราเก็บตัวอยู่ในป่า เก็บตัวอยู่ในป่าไม่เคยเห็นอะไรเลย เวลาทำภาวนาเข้าไปสิ สัญชาตญาณมันเกิด สัญญาเก่ามันเกิด มันเห็นไปหมดล่ะ เวลาจิตรวมลง เวลาจิตมันรวมลงนิมิตมันจะเกิด ความนิมิตเกิด เกิดจากภายในนี่สัญญาเก่า สัญชาตญาณเก่ามันเกิดออกมา มันทำให้จิตใจขุ่นมัวได้ จิตใจขุ่นมัว เราอยู่คนเดียว ยิ่งอยู่คนเดียว ยิ่งภาวนา ยิ่งโหมเข้าไปนะ มันจะเกิดขึ้นมาให้มีงานทำมากมายมหาศาลเลย

เราคิดว่าแปลกใจนะ ว่าทำไมพระต้องเข้าป่ากัน ต้องธุดงค์ไป ธุดงค์ไปทำไม ทำไมไม่ปฏิบัติอยู่ที่วัด คนแน่ต้องปฏิบัติอยู่ในวัด มันถึงปฏิบัติได้ไง...อยู่ในวัดนี่สัญชาตญาณของมนุษย์หวังพึ่งกันไง พอหวังพึ่งกัน ใจดวงนี้มันก็เกาะเกี่ยวไปหมดไง มันไม่กลัว มันไม่ยอกใจ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธถึงสอนพระไว้ไง บวชแล้วให้เข้าป่านะ ให้เข้าไปตามภูเขานะ อยู่ตามถ้ำตามเงื้อมผาน่ะ มันเสียวสันหลัง มันยอก มันเสียวสันหลังเพราะอะไร เพราะมันออกไปอยู่คนเดียวไง กลัวทั้งสัตว์ร้าย กลัวทั้งผี กลัวทั้งเปรต กลัวทุกๆ อย่าง แต่ถ้าอยู่ด้วยกันนี่ไอ้ตรงนี้มันไม่เกิด สิ่งที่ไม่เกิดนี้ไม่ใช่ชัยภูมิไง

สัปปายะ ๔ เห็นไหม สถานที่เป็นสัปปายะ ความเป็นสัปปายะของจิตที่มันมีกิเลส จิตที่มันคอยจะเกาะเกี่ยว มันหวังพึ่งคนอื่น อยู่ในวัดมี ๒ องค์มันก็หวังพึ่งอีกองค์หนึ่งแล้ว ไม่กลัว เออ! มีเพื่อน อุ่นใจ เห็นไหม ความหวังพึ่งนั้นกลายเป็นให้จิตนั้นพร่องไปอีก มันไม่ตื่นตัวขึ้นมาไง ถึงต้องเข้าไปปฏิบัติในที่วิเวก ในที่วังเวง พอเข้าไปในที่วิเวก ยิ่งวิเวกเท่าไรนึกมันว่ามันจะสงบ มันกลับฟุ้งซ่าน มันฟูไปหมดนะใจนี่ ทั้งๆ ที่เราไม่เห็นภาพ

เราพยายามจะตัดออกจากรูป รส กลิ่น เสียง ภายนอก เห็นไหม บ่วงของมาร พวงดอกไม้แห่งมาร รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมณ์นี้เป็นบ่วงของมาร ทำให้ใจนี้ฟุ้งซ่าน เราพยายามหลบหลีกเข้าป่าเพื่อจะให้จิตนี้มันจะสงบตัวลงเพื่อพ้นออกจากบ่วงของมาร

ทำไมมันอยู่ในป่าแล้วกลับฟุ้งซ่านเข้าไปใหญ่ล่ะ

เพราะจิตในหัวใจของเรามันสะสมไว้แล้ว สัญญามันสะสมไว้เต็มไปหมดเลย อุปาทานในหัวใจ อยู่คนเดียวในป่ามันก็ฟุ้งขึ้นมา มันฟุ้งไปหมด ยิ่งฟุ้งมากไปกว่าปกติ อยู่ข้างนอกหวังพึ่งกันจากรูปข้างนอก แต่พอไปอยู่คนเดียวนี่มันคิดถึง มันรักเขาไปหมดนะ เพราะอะไร เพราะมันกลัว คนมันกลัวไม่มีที่พึ่งมันก็รักคนโน้นรักคนนี้ คิดถึงเขาไปทั่วเลย แต่ความจริงคือมันห่วงตัวมันเอง นี่รักเขาเพื่อให้เขารักเรา คิดถึงคนอื่นเพื่อให้คิดถึงเราไง ขณะนี้เราอยู่ป่า อยู่ที่วิเวกใครจะคิดถึงเราไหมหนอ เห็นไหม แต่มันไม่พูดอย่างนั้นนะ กิเลสมันจะหลอกว่า โอ๋ย! คนนั้นก็ดีกับเรา คนนี้ก็มีบุญคุณ นี่กิเลสมันจะออก นี่ไง มันถึงว่ามันพร่องไง

จิตมันพร่องในตัวมันเอง ที่ว่างไง น้ำครึ่งขวดเขย่าเสียงดังมาก น้ำครึ่งขวด น้ำไม่เต็มขวด น้ำเต็มขวดนี้เขย่าไม่ดังไง นี่น้ำครึ่งขวด จิตมันพร่อง จิตไม่เป็นปกติ ถึงต้องพยายามทำใจให้สงบ กู้ยืมมาก็ต้องกู้ยืมมา เราเชื่อแล้วเราถึงเชื่อ เราเชื่อเราศรัทธา พระพุทธเจ้าบอกแล้วว่านรกมี สวรรค์มี นิพพานมี เป้าหมายมี

นิพพานคือความดับเย็นทั้งหมดจากกิเลสทั้งสิ้น ดับทั้งหมด แล้วนี่มันทุกข์ทั้งหมดไม่ใช่ดับทั้งหมด ทุกข์ทั้งหมดเลย แต่วิธีการดับ วิธีการดับ ต้องใช้ปัญญาไง ปัญญาในการปฏิบัตินะ ปัญญา กว่าจิตสงบขึ้นไปมันจะเห็นภาพ ความเห็นต่างๆ อันนั้นเป็นนิมิต ความที่เป็นนิมิตนี้ชำระกิเลสไม่ได้ อภิญญา ๖ หูทิพย์ตาทิพย์นะ รู้ปรมัตถวิชา รู้หัวใจ รู้กำหนดหมาย อันนี้ไม่ใช่วิชชาแก้กิเลส ไม่ใช่ วิชาดักหน้า วิชารู้ นี่ขนาดหูทิพย์ ตาทิพย์ยังไม่ใช่วิชชาแก้กิเลส

แล้วเวลาจิตมันสงบลงไปเห็นนิมิตขึ้นมา ความเห็นนี้ เห็นเด็กไหม เด็กเขียน ก.ไก่ ได้ ผู้ใหญ่ตบมือให้มันจะดีใจกระโดดโลดเต้น มันจะดีใจมากว่าเป็นผู้เก่งมาก เพราะทำงานได้เขียน ก.ไก่ได้ จิตพอสงบลงไปเห็นเป็นนิมิตขึ้นมานะ เห็นเป็นดอกบัว เห็นเป็นความสว่างไสว เห็นทุกๆ อย่าง เห็นไหม มันก็ดีใจ นี่จิตเด็กๆ จิตมันเพิ่งหัดภาวนาไง พอมันเห็นสิ่งต่างๆ มันจะภูมิใจ มันจะดีใจ มันจะฟูขึ้นมา อันนั้นแล้วมันฟู นี่ความดีใจ ความสุขใจอันนั้นน่ะเราเข้าใจว่าอันนี้เป็นธรรมไง เห็นไหม เด็กๆ แค่เขียน ก.ไก่ได้ ผู้ใหญ่ตบมือให้มันดีใจขนาดนั้น มันไชโยโห่ร้องว่ามันเก่ง มันมีความสามารถมาก

เวลาเราเห็นนิมิต จิตเราเห็นนิมิตก็เหมือนกัน ความรู้สึกของเรามันให้คุณค่ากับใจของเราเอง ความเห็นภายในมันจะให้คุณค่าของมันเอง มันจะดีอกดีใจนะ มันจะมีความสุข แล้วมันจะคำนวณว่าอันนี้เป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนั้นไง มันจะคำนวณสวมเข้าไปทันทีที่ว่าสุตมยปัญญาที่ฟังขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา กู้ยืมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามานี่เป็นการกู้ยืม ไม่เคยเห็นของจริง พอไปเห็นแค่นิมิตมันจะพยายามเทียบเคียงให้เป็นอย่างนั้นเลย แล้วว่าอันนี้เป็นผลไง มันถึงว่าอันนี้ปฏิบัติแล้วมันไม่เป็นผลตามความเป็นจริง เห็นไหม มันเป็นผลอะไร มันแก้กิเลสได้หรือ เวลามันเป็น มันเป็นอยู่ ลองสะสมไว้สิ พอมันเสื่อมไป

สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตาทั้งหมด นี่ก็เป็นธรรมแขนงหนึ่ง แต่ธรรมเด็กๆ ธรรมพึ่งเริ่มต้นไง จิตสงบไปจะเห็นภาพเห็นนิมิตทั้งหมด แล้วจะลึกเข้าไปเห็นมากเข้าไป เห็นตลอดไปนะ เห็นจนขึ้นมา นี่ว่าธรรมมันเกิด เวลาเห็นเป็นบาลีขึ้นมา เห็นเป็นความรู้สึกขึ้นมา มันอธิบายตอบออกมาเป็นชั้นๆ นะ ความรู้สึก ความเห็นเข้าไป เราสงสัยอะไรไว้จะมีธรรมะตอบออกมาๆๆ ให้เราหายสงสัยจากความสงสัยของเราเลย เราเข้าใจว่าอันนี้เป็นการแก้ความสงสัยนะ แก้ความสงสัยก็ต้องเป็นธรรมสิ...มันก็เป็นธรรมแต่ธรรม ก.ไก่ มันต้องเริ่มต้นให้จิตสงบจนไม่พร่องไง จิตนี้สงบไปเรื่อย สงบไปเรื่อย ความจะสงบนี้มันจะมีสิ่งต่อต้านมา เพราะกิเลสอยู่ในหัวใจเรา

จากธาตุรู้ จากอนุสัยภายในมันจะต่อต้านออกมาตลอด ถึงการประพฤติปฏิบัตินี้ต้องต่อสู้กับกิเลสหนึ่ง แล้วค่อยไปชำระกิเลสอีกหนึ่ง เห็นไหม งานมันมีอยู่ ๒ งาน งานหนึ่งต้องให้กิเลสมันยอมให้เราทำงานก่อนไง ไม่ใช่ให้กิเลสมันทำงานตามแต่ความพอใจของมัน ตั้งแต่เกิดมาไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ กิเลสมันไสหัวเรามาตลอดนะ กิเลสมันใช้เรามาเป็นขี้ข้ามันไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ ในไตรภพ ในจักรวาลนี้ ในวัฏวนนี้ไง จิตนี้เคยเกิดมาตลอด แล้วเราพยายามเชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว แล้วเราพยายามมาปฏิบัติให้จิตสงบเข้ามา ให้จิตนี้สงบเข้ามา ให้ธรรมนี้ก้าวเดินออกไป

จิตนี้เต็ม จิตนี้มีสัมปชัญญะที่จะก้าวเดินออกจากที่เก่า ที่เก่าคือว่าที่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ ถึงเกิดเป็นมนุษย์อยู่นี้เวลาดับไปก็ต้องตายไป ที่เก่าหมายถึงฐีติจิต จิตนี้ต้องเกิดต้องดับไง จิตนี้มันยังมีอวิชชาอยู่ ยังมีอนุสัยอยู่ มันต้องเวียนว่ายตายเกิดไป อันนี้คือที่เก่า เกิดตายๆ มาทุกภพทุกชาติ มันน่าจะยอกใจ มันน่าจะสลดสังเวชนะ จะต้องสลดสังเวชเพราะเราไม่ใช่ทุกข์เฉพาะชาตินี้นะ มันทุกข์มาแต่กี่ชาติแล้ว แต่เพราะเราสร้างกุศลบารมีมาเราถึงได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนาที่มีโอกาสให้เราได้ชำระไง โอกาสการประพฤติปฏิบัตินี่โอกาสมหาศาลนะ โอกาสที่เราจะได้มาประพฤติปฏิบัติ แล้วเรามีความเชื่อนี่ ขณะที่ใจเชื่อธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องรีบขวนขวาย นั่นคือกิเลสมันยุบยอบตัวลงแล้ว

เพราะกิเลสมันจะฝืนทั้งหมด นรกไม่มี สวรรค์ไม่มี ชีวิตนี้ใช้ให้สมค่าที่เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดเป็นมนุษย์แล้วใช้ชีวิตนี้ให้เต็มที่ไปเลย...เต็มที่ เต็มที่ของใคร เต็มที่ของกิเลสหรือเต็มที่ของเรา หรือเต็มที่ของธรรม

ถ้าสงสารตัวเอง เห็นไหม เราฝืนไว้ เราไม่ยอมไปตามกิเลส คือว่าไม่ยอมไปตามความชอบใจเดิมของตัว ฝืนตนนั่นคือฝืนกิเลส กิเลสมันอยู่ในใจเรานั่นแหละ กิเลสคือความเคยใจ คือสันดานที่อยู่ในหัวใจเรานั่นน่ะ สันดานตัวนี้เวลาแก้แล้วมันยังอยู่นะ แต่ว่าเหนือสันดานคือว่าอวิชชาที่อยู่ในสันดานตัวนั้น สันดานมันสะสมมาคือวาสนาบารมีของแต่ละบุคคลที่ตายแล้วเกิดอยู่นี่ไง คนที่เกิดที่ตายมันสะสมมาถึงไม่เหมือนกัน

พระอรหันต์เวลาสำเร็จไปแล้วยังไม่เหมือนกันเลย ความรู้ความเห็นของพระอรหันต์ไม่เหมือนกัน แต่ใจสะอาดเหมือนกันด้วยธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตั้งแต่ปัญจวัคคีย์นั้นล่วงไป เห็นไหม ตั้งแต่ปัญจวัคคีย์ทั้งหมดลงมาเลย นี่ผู้ที่ตามถึงธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่สันดานก็ยังมีอยู่ในหัวใจนั้น แต่ชำระกิเลสได้หมดไง

ความสะสมมาถึงว่าสะสมมาต่างกันแม้แต่เป็นมนุษย์ปุถุชนนี้ ต่างกันแม้แต่พระอริยเจ้าแต่ละชั้นขึ้นไป ต่างกันแม้แต่พระอรหันต์ เอตทัคคะ ๘๐ องค์ ทำไมพระอานนท์ได้มากที่สุดได้ ๓-๔ แขนง พระอานนท์น่ะ เพราะสร้างกุศลมามาก ทำได้ แล้วอุปัฏฐากพระพุทธเจ้าด้วย นี่พระอรหันต์แล้วก็ยังไม่เหมือนกัน ถึงว่าการสะสมมาในวัฏฏะ

ฉะนั้น การชำระกิเลสก็ไม่เหมือนกัน เราต้องทำเป็นปัจจุบันธรรมของเรา เราพยายามรักตน คนรักตน รักจะอาชีวิตออก รักจะเอาชีวิตนี้พ้นออกจากการเวียนว่ายตายเกิด ความรักอันนี้ รักอยู่ในวัฏฏะ ความรัก ว่ารักนี้เป็นทุกข์...เป็นทุกข์ รักนี้เป็นทุกข์ แต่ในเมื่อรักเพื่อจะออก กับรักเพื่อจะอยู่ต่อไป รักตนสงวนตน ต้องรักษาตน เห็นไหม ในเมื่อตัวเองยังมีโอกาส ยังมีลมหายใจเข้าลมหายใจออกอยู่ โอกาสของเรายังมี นี่โอกาสคือว่าเราได้มาประพฤติปฏิบัติ ประพฤติปฏิบัติแล้วถึงเป็นปฏิบัติบูชาไง ปฏิบัติบูชา บูชาใคร? บูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ผู้ที่ได้คือเรา

“ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต” เห็นตถาคตที่หัวใจไง

ผู้รู้อยู่ที่ใจ ใจนี้คือผู้รู้ไง นี่ตถาคตจะเกิดที่นั่น ผู้เห็นธรรมถึงเสมอกันตรงนี้ไง

เราปฏิบัติบูชาพระพุทธเจ้าแล้วได้บุญกุศล ถ้าเราปฏิบัติไม่ได้เราก็ได้บุญกุศล เพราะเรายกร่างกายนี้ เรานั่งปฏิบัติอยู่นี่ ถ้าเราไม่ปฏิบัติเราจะทำสิทธิเสรีภาพ เรามีหมดเราจะทำอย่างไรก็ได้ เราจะทำอย่างไรตามแต่โอกาสของเรา เราพอใจ แต่นี้เราต้องบังคับตนแล้ว เพราะเราเชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรายกกายนี้ถวายไง กายทั้งกายยกถวายปัจจุบันนี้ กิริยาทุกอย่างที่เรา ขยับไปเราไม่ทำ เรายกถวายพระพุทธเจ้าทั้งหมดเลย นี่บูชาพระพุทธเจ้า บุญได้เกิด เกิดแน่นอน

เราบูชาด้วยดอกไม้ธูปเทียนเราก็บูชา นี่บูชาด้วยดอกไม้ธูปเทียนแล้วยังบูชาด้วยตัวของเราทั้งหมดเลย แล้วถ้าปฏิบัติขึ้นมา ผลเกิดขึ้นมา พระพุทธเจ้าได้รับที่ไหน พระพุทธเจ้าไม่เอา พระพุทธเจ้าอิ่มพออยู่แล้ว เราต่างหากได้ ผู้ที่ปฏิบัตินั้นได้ แต่เวลาเราปฏิบัติเราปฏิบัติเพื่อถวายพระพุทธเจ้า บุญกุศลมันส่งต่อไปไง (เทปสิ้นสุดเพียงเท่านี้)