ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

เทศน์ที่ธรรมศาสตร์รังสิตครั้งที่๑ไฟล์๓

๓ ธ.ค. ๒๕๕o

 

เทศน์ที่ธรรมศาสตร์รังสิต ครั้งที่ ๑ ไฟล์ที่ ๓
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๕๐
ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ต.คลองหนึ่ง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี

 

อันนี้มันเป็นปัญหามานาน แล้วเป็นปัญหายืดเยื้อมาก มันยืดเยื้อเพราะคนไม่เข้าใจไง มันยืดเยื้อเพราะว่าโลกนี่เขาเข้าใจไปว่าปัญญาคือปัญญา แต่ถ้าใครไม่เคยปฏิบัตินะจะไม่เข้าใจเรื่องนี้เลย ทุกคนรู้ว่าปัญญากับไม่มีปัญญาคิดเป็นแค่นี้นะ ว่าคนที่ใช้ความคิดคือปัญญาทั้งหมด แล้วก็เข้าใจว่านั่นคือปัญญา แล้วก็เถียงกันหน้าดำหน้าแดงนะ

แต่ถ้าใครปฏิบัติแล้ว พระพุทธเจ้าบอกว่าสุตมยปัญญาคือการศึกษา เราศึกษานี่คือสุตมยปัญญา จินตมยปัญญา เห็นไหม แล้วไม่อยากพูดคำนี้นะ เพราะไอน์สไตน์บอกว่าจินตนาการสำคัญกว่าความรู้ นี่เป็นโศลกของไอน์สไตน์ จินตนาการสำคัญกว่าความรู้เพราะไอน์สไตน์เขาคิดขึ้นมา เพราะเขาใช้ตั้งจินตนาการก่อนไง แล้วเขาคิดกันมาเป็นทฤษฎีสัมพันธ์อะไรของเขา เห็นไหม สุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ไอน์สไตน์เขาพูดเองว่าจินตนาการสำคัญกว่าความรู้ด้วย แล้วบอกว่า ถ้าเขาเลือกได้ เขาจะนับถือศาสนาพุทธเพราะศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งเหตุผล แต่เขาเป็นชาวคริสต์นะ เราจะบอกว่าไอน์สไตน์มีความรู้ขนาดไหนก็แล้วแต่นะ

ไอน์สไตน์ตายไปพร้อมกับความเศร้าหมอง ตายไปพร้อมกับความติดข้อง เพราะเขาก็ยังต้องลังเลสงสัยในเรื่องจิต เพราะเขาเข้าใจเรื่องจิตไม่ได้ นี่จินตมยปัญญาไง แล้วก็ภาวนามยปัญญา เพราะว่าหลวงตาเคยพูดให้ฟัง บอกตอนที่ทำสังคายนาทางฝ่ายวิชาการเขาสังคายนาพระไตรปิฎก แล้วบอกว่าภาวนามยปัญญานี่น่าจะตัดทิ้งเพราะว่าอธิบายไม่ได้ เพราะว่าเขาทำสังคายนากันใช่ไหม แล้วทางวิชาการเขาต้องเข้าใจหมดใช่ไหม เขาถึงเอามาลงไว้ในพระไตรปิฎก แล้วสิ่งนี้เป็นสิ่งที่เขาเข้าใจด้วยไม่ได้ แล้วอธิบายไม่ได้ นี่ภาวนามยปัญญา ปัญญาที่เกิดจากการภาวนา ทีนี้ปัญญาที่เกิดจากการภาวนามันไม่มีตัวตน ไม่มีตัวตนนะ จะพูดอย่างนี้เลย ถ้ามีตัวตนมรรคมันสามัคคีไม่ได้ เพราะอะไรรู้ไหม เพราะไอ้ตัวตนนี่มันไปขวางไว้ คนภาวนาไม่เป็นบอกว่ามรรค ๘ รวมแล้วเป็นหนึ่ง ไม่ได้ รวมเป็นหนึ่ง หนึ่งนั้นแหละคือตัวตน

มรรคสามัคคีมันเป็นนามธรรม แล้วมันเป็นสมบัติที่มันเป็นนามธรรมเหมือนพายุที่พัดมา เฮอร์ริเคนมันเข้ามา มันกวาดทวีปไปทั้งทวีปเลย แล้วมันอยู่ไหน มันหายไปไหน แล้วเวลามันพัดเข้ามาบ้านเรือนพังราบไปหมดเลย แล้วมันไปไหน ขนาดนี้มันเป็นพายุที่เห็นๆ กันอยู่นะ มันยังเกิดแล้วมันยังดับไปเลย แล้วถ้าเราถ่ายหนังไว้ ถ่ายวีดีโอไว้เราจะเห็นภาพของมัน แต่อันนี้เราก็รู้ใช่ไหม พายุเกิดเพราะอะไร เห็นไหม ความร้อน ความร้อน ลมมันหมุน ปัญญามันต่างกันอย่างนี้ มันถึงเป็นปัญหาไง เป็นปัญหาว่าคนเรานี่จริตนิสัย แล้วก็อ่านพระไตรปิฎกไง อ่านพระไตรปิฎกถึงไม่เข้าใจ แล้วเราก็ไม่เข้าใจเรื่องนี้มาก่อน แต่พอเราปฏิบัติแล้วเราไปเปิดพระไตรปิฎกอ่าน เราก็เจอปัญหานี้ เราถึงบอกว่าปัญหานี้ปัญหาหญ้าปากคอกเลย ปัญหางี่เง่า ปัญหาง่ายๆ แต่ชาวพุทธเอามาเถียงกันจะเป็นจะตาย

ถาม : ถ้าจิตเดิมเป็นจิตที่ผ่องใสอยู่แล้ว หมายความว่าจิตนั้นไม่มีกิเลสใช่ไหมครับ เมื่อจิตเดิมไม่มีกิเลสแล้ว เป็นนิพพานแล้ว จิตปัจจุบันนี้ จิตปัจจุบันมีกิเลสได้อย่างไร

ตอบ : ปัญหานี้มันมาก จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้หมองไปด้วยอุปกิเลส จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้เป็นผู้ข้ามพ้นกิเลส ไปเปิดพระไตรปิฎกดูได้เลย เราจำเล่มจำหน้าไม่ได้เท่านั้น แต่พระไตรปิฎกเราอ่านมาหมดแล้ว จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้เป็นผู้ข้ามพ้นกิเลส คำว่าข้ามพ้นกิเลส มันเป็นกิเลสอยู่หรือเปล่ามันถึงข้ามพ้นกิเลส จิตเดิมแท้นี่คือตัวกิเลส จิตเดิมแท้นี้คืออวิชชา แล้วไม่มีใครเคยเห็นมันด้วย จิตเดิมแท้นี้ตัวกิเลสชัดๆ เลย แล้วอย่างที่พูดเมื่อกี้นี้ว่ามันยังมีลึกลับอีก คือว่าเกิดตาย เกิดตายที่ไม่รู้ว่าเกิดตาย เกิดตายที่ไม่รู้จักอดีตชาติได้ จำอดีตชาติไม่ได้ก็ตรงนี้ไง ตรงที่เราศึกษากันนี้ ตอนนี้นะเราศึกษาเป็นด็อกเตอร์เลย เราตายไปแล้วไปเกิดใหม่ ด็อกเตอร์ไปกับเราไหม ไปเกิดใหม่ไม่ต้องเรียนด็อกเตอร์มันออกมาจากท้องแม่มาด็อกเตอร์มันมีมาด้วยเลย ไม่มี ด็อกเตอร์ตายไปเกิดเป็นทารก นี่ก็เหมือนกันการศึกษาในชาติปัจจุบันนี้มันศึกษามามันอยู่กับเรานี่ เดี๋ยวนี้เป็นด็อกเตอร์ ถ้าตายไปแล้วนะ

การศึกษานี่ศึกษาโดยสมอง ใช่ไหม สถิติเราศึกษาโดยสมอง สมองจำมา ทางวิชาการทั้งหมดต้องเกิดโดยสมองใช่ไหม แล้วสมองคิดมา สมองจำมา มันก็ในปัจจุบันนี่ไง เราคิดถึง.. โทษนะ เราคิดถึงผู้ปกครองเราได้ไหม คิดถึงลูกเราได้ไหม คิดถึงสมบัติเราได้ไหม คิดได้หมดใช่ไหม เพราะอะไร เพราะเราคิดได้ในปัจจุบันนี้ไง เราคิดถึงชาติที่แล้วได้ไหม ไม่ได้ คิดถึงชาติอนาคตได้ไหม ไม่ได้เพราะมันคนละมิติ มันคนละมิติ มันคิดถึงกันไม่ได้

แล้วถ้าจิตนี่ข้ามมิติได้อย่างไร จิตมันข้ามมิตินี่ อันนี้ ในปัจจุบันนี้ เราบอกกางร่ม ในปัจจุบันนี้กางร่มหมดเลยเพราะ คันร่ม พอกางร่มไป ร่มมันกางออกไปใช่ไหม ในร่มนี่มันก็มีรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ขันธ์ ๕ ไง ขันธ์ ๕ คือกางร่มออกไป พอกางร่มออกไป ร่มมันเป็นสัญชาตญาณของมนุษย์ไง มนุษย์มีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ มันเป็นธรรมชาติของมัน แล้วขันธ์ ๕ นี่เห็นไหม มันเกิดดับจากจิต ไม่ใช่จิตเห็นไหม เกิดจากจิต ถ้าขันธ์ ๕ นี่มันตายตัวนะเรียนมานี่จะจำได้หมดเลย จะไม่ลืมอะไรเลย แต่นี่เดี๋ยวก็ต้องเปิดห้องสมุดประจำเลย ลืมประจำ ใจมันลืม อ้าว ก็มันเกิดดับ ไม่ใช่ใจ ขณะที่เราศึกษามาเราจำมาแล้วมันยังลืมเลย แต่ลืมนี่มันยังฟื้นได้เพราะอะไร เพราะมันเป็นปัจจุบันนี้ใช่ไหม แล้วเวลามันตายไป เวลาตายนะ จิตเดิมแท้ไง อนุสัย อนุสัย ๓ เห็นไหม ภวาสวะ พอมันตายไป มันตายไปปั๊บ ถ้าขันธ์ ๕ นี่นะ ถ้าขันธ์ ๕ ร่มเรากางตลอดเวลา เวลาเราเกิดเป็นมนุษย์ ตายจากมนุษย์ ก็เกิดเป็นมนุษย์ เกิดตายเป็นมนุษย์ตลอดไป ใช่ไหม

เวลาเกิดเป็นเทวดามันไม่มีร่างกายมนุษย์แล้ว ไปเกิดเป็นพรหมนี่ ร่มไม่มีแล้วมีแต่คันร่ม ก็มันขันธ์เดียว อาหารของพรหมคือผัสสะ ผัสสะนี่คืออาหารของเขา ความกระทบ แล้วเทวดานี่มันเป็นวิญญาณาหาร วิญญาณาหารคือเป็นทิพย์ เรานึกสิ เรานึกนี่เพราะว่าเรารู้ข้อมูลเราถึงนึกได้ใช่ไหม แต่เทวดามันไม่มีข้อมูล แล้วดูสิ พันเอก……เขาบอกเลยเห็นไหม ตายไปแล้วไปเจอยมบาล คนที่ไม่ใส่น้ำจะไม่ได้กินน้ำ เทวดาเขาไม่กินน้ำอย่างนี้หรอก น้ำนี่เขาเอาไว้ลิ้นกระทบ น้ำทิพย์ของเทวดาเขาไม่กินอย่างนี้ คนมันไปเห็นแค่จุดใดจุดหนึ่งแล้วเอามาโม้กัน เพราะมันไม่เห็นรอบของวัฏฏะไง

ถ้าเป็นเทวดาเขาไม่มีร่างกาย เขาไม่ต้องกินตรงนี้ไง แล้วพอจิตเวลามันตาย เวลาจะตายเห็นไหม เพราะออกมาร่มมันกางแล้วเป็นเราล่ะ แล้วถ้าเป็นเทวดาเขาก็เป็นขันธ์๔เพราะเขาไม่มีร่างกาย แต่เขาเป็นทิพย์ ขันธ์ ๕ เหมือนกัน แต่ขันธ์ ๕ รูปเป็นทิพย์ รูปที่เป็นทิพย์ รูปที่เป็นโลก รูปที่เป็นทิพย์ แล้วขันธ์ ๑ เห็นไหม โดยธรรมชาติจิตมันเป็นอย่างนี้ จิตมีกิเลสทั้งหมด จิตเดิมแท้นั่นล่ะตัวกิเลส นั่นโคตรกิเลสเลย เพราะอะไร เพราะนั่นคือปู่กิเลสนะ อ้าว ไม่เคยปฏิบัติไม่รู้นะ หลานกิเลสก็คือพิจารณาสักกายทิฏฐิ เห็นตามความเป็นจริง ขันธ์เป็นขันธ์ จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์ นี่ มันแยกออกไปนี่ โสดาบัน หลานกิเลสเท่านั้นเอง แค่ได้ฆ่าหลานมันนะ ยังไม่เจอพ่อมัน ยังไม่เจอปู่มันนะ เพราะอะไร เพราะไปเจอปู่มันนะ มันไปเจอสกิทาล่ะ มันเข้าไป เวลาเราพิจารณาไปกายเป็นโพธิ จิตเป็นกระจกใส มันแยกออกระหว่างจิตกับกาย จิตมันแยกออกไปเลย คำว่าแยกออกนี่นะ ไม่ใช่แยก…

พูดอย่างนี้มันเป็นทฤษฎีนะ มันเป็นเหมือนกับ ใช่ พูดอย่างนี้ปั๊บนะ ให้ท่านมุ้ยสร้างหนังได้เลย แล้วพอไปแยกนะมันก็เป็นหนังขึ้นมา มันไม่ใช่เป็นการแก้กิเลสใช่ไหม แต่ถ้าแก้กิเลสมันเป็นภายใน เป็นภายใน แต่นี่เอามาเปรียบเทียบให้เห็นไงว่าพอมันแยกขึ้นมากายกัยจิตแยกออกจากกันนั่นล่ะสกิทา โลกนี้ราบเป็นหน้ากลองเลย แล้วย้อนกลับไป

พอย้อนกลับไปปั๊บมันก็ไปเจอความพอใจ กามฉันทะ กามฉันทะเป็นต้นเหตุให้เกิดกามราคะ เพราะไม่มีความพอใจนะ ถ้าข้อมูลนี้เป็นของตายตัวนะ ผู้หญิงกับผู้ชายถ้ามีคู่กันแล้วนะจะรักกันตลอดชีวิตเลย ทำไมมันมีคนที่ ๒ มีคนที่สามมีคนที่ ๑๐ ทำไมข้อมูลมันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ล่ะ พอตรงนี้แยกปั๊บ ถ้าตรงนี้มันแยกโดยธรรมชาตินะ ว่างๆ ว่างๆ เห็นไหม พระอนาคา ว่าง ไปอยู่ในเรือนว่างไง เราอยู่ในเรือนว่าง เรายังมีอยู่ ว่างนี้ว่างหมดเลย แต่เราไปอยู่ขวางไว้นะ นี่ตัวอวิชชา แล้วการแก้นี่มันแก้มา..ภพชาติมันแก้มาซับซ้อนมากนะ

โดยข้อเท็จจริงนี่ คนที่จะเห็นจิตเดิมแท้ได้ต้องเป็นอรหัตตมรรค นี่ไง ผู้ที่ปฏิบัติแล้วจะไปติดกันตรงนี้ ที่หลวงตาท่านไปแก้อยู่บ่อยๆ ก็ไปแก้ตรงนี้ไง เอาว่ามา พอว่ามาถึงตรงนี้ปั๊บหมดแล้ว หมดแล้วเพราะอะไร เพราะขันธ์ ๕ กับจิตนี่มันล้างได้ มันตบมือ ๒ ข้าง แต่พอมันล้างหมดแล้ว มือเดียวกูจะล้างอย่างไร กูทำอย่างไร จะฆ่ามันจะทำอย่างไร ตัวจิตเดิมแท้นี่จะฆ่ามันอย่างไร อรหัตตมรรคนี่ไง สติร้อยเปอร์เซ็นต์

จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส แต่การผ่องใสนี่นะมันผ่องใสได้เยอะแยะเลย โยมทำความสงบกัน กำหนดพุทโธ พุทโธ เวลาสงบจิตนี้ใสหมดเลย ใสแบบนี้นะ มันใสแบบนิมิต แล้วถ้าใสแบบนี้นะ ถ้าจิตเรามันสงบได้ขนาดนี้นะจะใสมากเลย ถ้าคราวหน้าสงบกว่านี้ใสกว่านี้อีก ใสแหนวเลย ความใสนี่ใสมันก็มีหลายระดับ ใสอย่างนี้ ใสอนิจจัง ใสนิมิต เพราะอะไร เพราะจิตไปเห็น ไม่ใช่ตัวจิตใส ไอ้ที่ว่าจิตผ่องใสน่ะ ลิเกทั้งนั้นละ มันไม่เคยเห็นใส เห็นใส มาสิ ใครเห็น เห็นอย่างไร

จิตเดิมแท้ที่ผ่องใสนี่มันอยู่ในพระไตรปิฎก แล้วเรามาทำกันนี่มัน.. แว่นใสไหม แก้วใสไหม มันเห็นภาพไง พอเห็นภาพกูก็ใสบ้าง ไม่ใส อย่าไปเชื่อ เป็นคารม เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ เพราะโยมนะ โยมอยู่ที่สถานศึกษานี่ โยมจะจบด็อกเตอร์กันนี่โยมเรียนกันรากเลือดเลยเห็นไหม เรียนจบด็อกเตอร์ เรียนรากเลือดเลยเห็นไหม คือมันทุกข์มันยากกว่าจะจบใช่ไหม แล้วมันมาจากไหน มันเดินผ่านมามันบอกจบด็อกเตอร์ โยมเชื่อไหม

นี่ก็เหมือนกัน ผ่องใส ผ่องใส มึงทำอะไรมาผ่องใส เห็นเดินเฉียดมาเมื่อกี้บอกผ่องใส พระอาทิตย์กูก็ผ่องใส มันเป็นโวหาร ชาวพุทธนี่มันไม่มีตรงนี้จับ ไม่มีเครื่องทดสอบไง ไอ้พระหน้าด้านมันถึงหากินกันไง ไอ้คนที่หากินนั่นล่ะไอ้พระหน้าด้าน มันผ่องใส มันผ่องใสอย่างไร มันไม่ใช่ของง่ายๆ นะ ไอ้ที่เราใสๆ กันอยู่นี่มันใสโดยสมาธิ บางทีพวกโยมก็ทำได้ แล้วทำได้น่ะอะไรรู้ไหม ส้มหล่น พอพุทโธ พุทโธ มันสงบ โอ๋ย ใสหมดเลย ดีใจมากเลย ครั้งหนึ่งในชีวิตได้หนเดียว อย่างนี้ก็มี เปล่า มีก็คือมีสิ เพราะจิตนี่มันมหัศจรรย์มาก จิตของเรานี่มันมหัศจรรย์จริงๆ นะ แล้วเราปฏิบัติมามันฟันฝ่าอุปสรรคมานี่

ครูบาอาจารย์ท่านพูดทุกองค์นะ ธรรมะนี่ฟากตาย เอาชีวิตนี้แลกมันมา แล้วกูไม่เห็นมันทำอะไรกันเลย ใสๆๆ พระอาทิตย์ก็ใส นี่ก็ใส ดูสิเปิดสิใสหมดเลย คำว่าผ่องใสๆ นี่ภาษาเรานะ ภาษาธรรมะ ภาษานักปฏิบัติมันสูงส่งมากนะ ตอนนี้มันเป็นภาษา ภาษาเรานี่ถ้าเราไม่เชื่อสิ่งใด เราก็จะดูถูกดูแคลน พอเราดูถูกดูแคลนเราก็พูดหยามหมิ่น พอพูดหยามหมิ่น มันพูดด้วยกิเลสไง แต่ไม่ได้คิดถึงคนที่เขาทะนุถนอม เขารักษาของเขา คนที่ทะนุถนอมรักษานะ เขารักษามาทั้งชีวิตนะ เขาเอาชีวิตของเขาแลกมา

ดูสิ อย่างประเทศชาติเรานี่ พวกบรรพบุรุษเอาเลือดเนื้อแลกชีวิตประเทศชาตินี้มา ไอ้คนเกิดมาในประเทศชาตินี้นะมันบอกว่าง่ายๆ แล้วมันจะล้างผลาญกัน แต่คนที่เขาทะนุถนอมประเทศชาตินี้มา เขาฟันฝ่ามา เขาสละทั้งชีวิตกันมา ในการประพฤติปฏิบัตินะ ถ้าครูบาอาจารย์ของเรานะ ไม่ทำกันจริงจังนะ ไอ้เรื่องอย่างนี้ ใช่ อย่างเราปูพื้นมาตั้งทีแรกใช่ไหมว่า สุตมยปัญญาใช่ไหม ปัญญาของคน ปัญญาของคนมันมีหลายระดับ มีหลายชั้น แม้แต่จบด็อกเตอร์เหมือนกันนะ บางคน โทษนะ จบด็อกเตอร์ทำงานไม่เป็น ด็อกเตอร์ติ๊งต๊องก็มี อ้าว เรียนภาษาสันสกฤตก็ยังไม่ดีเลย แล้วก็เอามาวิเคราะห์ศาสนากัน เราจะบอกว่า ที่มันเป็นปัญหานี่เป็นปัญหาจากฝ่ายปริยัติ เขาโต้แย้งตรงนี้ไงว่าจิตเดิมแท้นี้ผ่องใส ถ้าจิตผ่องใสคือนิพพาน ก็มันไม่ใช่นิพพาน

ถ้านิพพานนะ หลอดไฟในเมืองไทยนี่นิพพานหมดเลย อ้าว มันไม่นิพพาน แต่เพราะความไม่เข้าใจในภาษาแล้วไปอ่านไง ไปอ่านพระไตรปิฎกมาแล้วไง จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส ผ่องใสก็คือนิพพาน แล้วใครบอกมึงล่ะ แล้วมึงเรียนมาทำไม เรียนธรรมะก็สงสัยธรรมะนะ เรียนธรรมะแท้ๆ ๙ ประโยค ร้อยประโยคเขาก็สงสัยธรรมะ มันไม่ใช่นิพพาน จิตเดิมแท้นี่ผ่องใส ผ่องใสเพราะมันเป็นจิตเดิมแท้ จิตเดิมแท้นี่ผ่องใส จิตเดิมแท้นี่เป็นผู้หมองไปด้วยกิเลส จิตเดิมแท้นี่ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้เป็นผู้ข้ามพ้นกิเลสด้วยสัมมาทิฏฐิ ด้วยความเห็นชอบ ถ้าไม่มีสัมมาทิฏฐิ จิตเดิมแท้พอมันสงบเข้าไปแล้ว มันก็มีฤทธิ์มีเดชมันก็ทำลายเขา เทวทัตเหาะเหินเดินฟ้ายังคิดทำลายพระพุทธเจ้าเลย ผ่องใสไหม ผ่องใสทำไมคิดฆ่าพระพุทธเจ้า จ้างคนไปยิงไง

จิตผ่องใสมีประโยชน์อะไร จิตผ่องใสมันมีพลังงาน แต่ต้องเป็นสัมมา เราปูพื้นมาตั้งแต่ทีแรกเลย สัมมาหรือมิจฉาไม่ได้ยินหรือเมื่อกี้นี้ ถ้าเป็นมิจฉา เงิน ถ้าเป็นสัมมาเงินพวกเราจะเป็นประโยชน์กับชีวิตของเรา จะเป็นประโยชน์กับประเทศชาติ จะเป็นประโยชน์กับครอบครัว ถ้าเงินนี้ไปอยู่ในมือมิจฉานะ เงินนี้มันได้มานะ ปปง. มันยึดหมดเลยเพราะเงินนี้ ยึดนี่ธรรมดานะ ถ้ามันไปทำลายเขา มันไปจ้างเขาฆ่าคน คนมีเงินมีทองนะให้เงินลูก ลูกไปซื้อยาเสพติดมาเสพ เสียคนเพราะเงินไหม มีเงินมีทองเข้าบ่อนเล่นจนเสียคนไปเลย เงินทำให้คนเสียคนไหม

จิตผ่องใสก็เหมือนกัน ตัวผ่องใสคือตัวพลังงาน แต่คนใช้ไปทางบวกหรือลบเพราะเข้าถึงผ่องใสนี้ได้ เพราะทุกคนมีจิต คนที่นั่งอยู่นี่มีต้นทุนเสมอกันหมดเลย ด้วยตัวพลังงาน แล้วตัวพลังงานนี่ ถ้าคนทำเป็น ตัวพลังงานนี้จะทำให้สะอาด ผ่องใสไม่สะอาดนะ ผ่องใสยังไม่สะอาด ผ่องใสคือตัวอวิชชา หลวงตาเทศน์ไว้ในธรรมชุดเตรียมพร้อม ว่าจิตผ่องใสคืออวิชชา ไปเปิดดูได้เลย ครูบาอาจารย์ที่จะรู้จริงจะผ่านนี้มาแล้วไง นี่คือขั้นตอนของการผ่าน คนจะมาที่นี่ มาถึงกรุงเทพหรือมาถึงสระบุรี เขาบอกถึงที่นี่แล้ว เอ็งเชื่อไหม เป็นไปไม่ได้ใช่ไหม แล้วนี่ผ่องใสมันก็อยู่กรุงเทพนู่น แล้วจะมานั่งนี่ได้ไง เพราะตัวผ่องใสคือตัวพลังงาน แล้วตัวพลังงานนี้มันจะสะอาด มันจะไม่เกิดหรือ

ว่ามาสิ นี่เพราะมันคิดโดยประสาเด็กๆ เลยนะ คิดว่าผ่องใสคือสะอาด เพราะคิดด้วยสามัญสำนึกไง เสื้อผ้ามันสกปรก ซักมันก็สะอาดใช่ไหม แล้วสะอาดก็คือสะอาดไง สะอาดมันก็มีตัวมันนะ นี่ไงตัวภพ เราถึงพูดไงว่าภพนี่เขาต้องไปแก้กันที่ทะเบียนบ้านไง ตัวชาติ ตัวชาติมันอยู่ตัวพลังงานนี้นะ ตัวภพนี่สำคัญมาก เพราะมีตัวภพ จรวดยิงออกไปจากไหน ยิงออกไปจากฐาน ความคิดออกจากไหนถ้าไม่ออกจากภพ ถ้าไม่ออกจากภพนะความคิดไม่มีเลย อะไรก็ไม่มี เพราะมีตัวภพนี่ คิดถึงบ้านก็มาจากภพ คิดถึงลูก คิดถึงเมีย คิดถึงเงิน คิดถึงทองมาจากฐานอันนี้ทั้งนั้นนะ

แต่ทุกคนไม่เคยเห็นมัน ทั้งๆ ที่มันอยู่กับเรานะ ทุกคนไม่เคยเห็น อรหัตตมรรคถึงจะเห็นมัน นี่ไงถึงบอกว่าก๋งของอวิชชานี่น่ากลัว แต่ไม่มีใครเคยเห็นนะ ลูกมันยังสู้ไม่ไหวเลย อวิชชาเราไปคิดกันว่าอวิชชาคือความไม่รู้ อวิชชาโอ๋ย นกแก้วนกขุนทอง จริงๆ นะ นกแก้วนกขุนทองมันเรียกพ่อเรียกแม่นะแล้วมันได้กล้วย มันนึกว่ากล้วยคือพ่อแม่นะ พูดพ่อแม่เสร็จได้กล้วยทุกทีเลย ไอ้เราก็ว่าพ่อแม่คือพ่อแม่ใช่ไหม มันบอกพ่อแม่ เขาจะให้อาหารมันไง มันจะตีความว่าพ่อแม่คือกล้วยนะ นกแก้วนกขุนทองก็มันไม่รู้หรอกว่าพ่อแม่คืออะไร แต่ถ้าพูดคำนี้ทีไรได้รางวัลทุกที

ปริยัติเป็นอย่างนั้นนะ ไม่ใช่ดูถูกนะ เพราะอะไร เวลาพูดถึงผู้ประพฤติปฏิบัติจะกราบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ด้วยหัวใจ เพราะว่าพระพุทธ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม สาวก อริยะสาวก ครูบาอาจารย์เราก็ปฏิบัติจนรู้ธรรม นี่ธรรมะคือธรรมะที่พระพุทธเจ้าแสดงออกมาในพระไตรปิฎก พระไตรปิฎกมันเหมือนกับ โยมจะบอกว่าแสงของพระอาทิตย์มันจะมีแร่ธาตุอะไรบ้าง เห็นไหม แล้วโยมก็ทำเป็นวิชาการ แล้วเขาก็ไปเรียนวิชาการนะ แต่เขาไม่รู้จักแสงอาทิตย์

นี่ก็เหมือนกัน ในพระไตรปิฎกนี่นะ มันเป็นวิธีการไง เพราะว่าใจขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เราเห็นความมหัศจรรย์ของมันทั้งหมด แล้วนี่เทศนาว่าการ พระพุทธเจ้ากับพระปัจเจกพุทธเจ้าต่างกันตรงนี้ พระปัจเจกพุทธเจ้าตรัสรู้เองโดยชอบ แต่ไม่สามารถบัญญัติคือทำวิชาการนี้ออกมา แต่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมโดยชอบแล้วสามารถบัญญัติเป็นพระไตรปิฎกเป็นบาลี เห็นไหม บัญญัติเป็นวิชาการออกมา บัญญัติศัพท์ได้ บัญญัติศัพท์ได้ว่า ในความคิดเรามันมีรูปคือ ความรู้สึกเรามันเป็นความคิด มีเวทนา ความรับรู้ดีหรือชั่ว มีสัญญาคือข้อมูลจะคิดต่อไป มีสังขารที่มันปรุงแต่งต่อ มีวิญญาณ วิญญาณคือสิ่งที่เชื่อม เชื่อมให้ความคิดหมุนไปได้

ท่านบัญญัติมา พอบัญญัติขึ้นมาก็วางแบบมาแล้วเราก็ไปเรียนบัญญัตินั้นแล้วก็เอาตัวบัญญัตินั้นว่าเป็นธรรม มันเป็นไปได้อย่างไร เพราะมันเป็นวิธีการเข้าไปหาความรู้สึกเรา ในพระไตรปิฎกเป็นวิธีการทั้งหมด ไม่มีเป้าหมายเพราะนิพพานเขียนมาเป็นนิพพานไม่ได้ ก็นิพพานเขียนไม่ได้ มันก็สมมุติอันหนึ่ง ถ้าเขียนนิพพานว่าเป็นอย่างนี้ๆ นะ ขนาดไม่ได้เขียนยังเขียนว่านิพพานเป็นธรรมกาย เป็น... บ้า.. ขนาดไม่ได้เขียนมันยังตู่เลย แล้วถ้าเขียนเหมือนกฎหมายเขียนแล้วตีความนะ สงสัยต้องเกิดสงครามเพื่อเขาว่าใครถูก ตีความเสร็จแล้วลงก็ไม่ได้ สงครามต้อง แต่วางไว้เป็นวิธีการแล้วถ้าใครถึงเป้าหมายแล้วเหมือนกันหมด

จิตเดิมแท้นี้ไม่ใช่นิพพาน จิตเดิมแท้นี้เป็นแรงงานปฐม ต้นของแรงงานเลย ต้นของกิเลส ที่มาเกิดมาตายกันก็ตัวนี้แหละ เขาเรียกว่าวิญญาณปฏิสนธิ วิญญาณปฏิสนธิกับวิญญาณรับรู้ ขณะที่โยมฟังอยู่นี่เขาเรียกว่าโสตวิญญาณ โสตประสาทไง โสตคือหู แล้วกระทบกับเสียง แล้วมีใจรับรู้ เกิดความรู้สึกขึ้น วิญญาณนี้เกิดจากโสตวิญญาณ ตาเห็นรูป มันจักษุวิญญาณนะ สัมผัสโดยจมูก ฆานะวิญญาณ วิญญาณในขันธ์ ๕ นี่ไง วิญญาณอายตนะไง แล้วถามว่าพระอรหันต์อยู่ที่ไหน พระอรหันต์อยู่ในอายตนะ อายตนะนี่มันเป็นเปลือก แต่ใจขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้ามันมีเปลือก แล้วจะบอกว่าเห็นไหม ที่บอกว่าพระอรหันต์กับปุถุชนมันก็มีร่าง กินถ่ายเหมือนกันเห็นไหม กินถ่ายอันหนึ่งเป็นกินถ่ายโดยธรรมชาติ กินถ่ายอันหนึ่งกินถ่ายโดยความสะอาดบริสุทธิ์

ฉะนั้นไอ้ตัวพลังงานตัวนี้ ตัวที่ว่าจิตปฏิสนธิ เวลาตายมันจะหดเข้ามาที่นี่ จิตของเราออกมาแล้วเราปฏิสนธิปั๊บมันก็ได้ภพ มนุษย์สมบัติ พอได้ภพปั๊บมันก็ธรรมชาติของมัน พอโอปปาติกะเห็นไหม ไปเกิดเป็นเทวดาปั๊บ ขณะเกิดปั๊บมันเปลี่ยนภพ พอเปลี่ยนภพก็เปลี่ยนสถานะ เพราะอะไร เพราะมันไปจากไอ้ตัวนี้ จากไอ้จิตเดิมแท้ จิตเดิมแท้ผ่องใสพอมันเปลี่ยนสถานะปั๊บ เหมือนกับเรา วันนี้โยมออกมาชุดไง พอโยมชุดนี้โยมก็เป็นนี่ พอโยมออกมาเป็นชุดนักกีฬาโยมก็นักกีฬา เห็นไหม พอจิตออกไง จิตเสวยภพอะไร นี่ก็เหมือนกัน เวลาเราออกจากบ้านแต่งชุดอะไร แต่งชุดทำงาน เราก็ไปทำงาน แต่งชุดเล่นกีฬา เราก็เป็นนักกีฬา แต่งชุดอะไร

แต่เวลาจิตมันออก เวลาออก มันเกิด เวลาปฏิสนธิจิต ถ้าพูดอย่างนี้ไป เดี๋ยวไปถึงโต้กลับมาเลย โอ้โฮ อย่างนั้นก็เป็นของง่ายๆ อย่างนี้หรือ ไอ้นี่พูดเปรียบเทียบ พูดให้เห็นภาพหรอก แต่ถ้าจะเอารายละเอียดลึกกว่านี้ก็ให้ถามปัญหามา

จิตเดิมแท้นี้ไม่ใช่ ปัญหานี่นะเป็นปัญหาเกิดมาจากฝ่ายปริยัติ เมื่อประมาณ ๑๐ปีที่แล้ว โอ้โฮ ออกวิทยุ ๒ ฝ่ายโต้กันเลยว่า จิตเดิมแท้นี่ผ่องใสคือจิตเดิมแท้ต้องไม่มาเกิด ฝ่ายหนึ่งจิตเดิมแท้นี่ต้องนิพพานไง แล้วอีกฝ่ายหนึ่งบอกจิตเดิมแท้ไม่ใช่นิพพานแล้วมันมาเกิดได้อย่างไร แล้วอะไรมาเกิด เขาว่านิพพานแล้วจะมานั่งเกิดกันอยู่นี่อีกหรือ นิพพานนั่งกันนี่เต็มเลย มันเป็นตัวเกิด ทีนี้การเกิดตัวจิต ตัววิญญาณมันถึง โอ้โฮ เวลาไปเกิดในครรภ์แล้วไปนั่งทุกข์อยู่ ๙ เดือน แล้วคิดดูนะอยู่ในครรภ์แม่กินเผ็ดนะ โอ้โฮ มันร้อน ส่ายอยู่ในนั้น ไปไหนก็ไม่ได้ก็อยู่ในครรภ์ ๙ เดือนนะ ถึงบอกว่าจะไปเกิดอีกไหม ถ้าไม่เกิดก็ต้องรักษา ไม่เกิดต้องตั้งใจ เกิด! เกิดแน่นอน เพราะอะไรรู้ไหม เพราะมันไม่อยู่ในการควบคุมของเราไง มันไม่อยู่ในการควบคุมนะ

มือเรานี่นะ ประสาทเราดีเราสั่งมือเราได้เลย แต่ตัวจิตมันไม่มีอวัยวะไง ไม่มีอะไรที่ควบคุมมันได้เลยนะ มันไปตามกระแสกรรม เราถึงเทศน์ที่วัดบ่อยมาก ว่าเวลาคนจะเป็นจะตายนะ ขนาดเราทำบุญมาขนาดไหนถ้าเวลาจะตาย เราไปคิดถึงสิ่งที่ไม่ดีแล้วจิตมันออกตรงสิ่งที่ไม่ดีเห็นไหม หลวงตาบอกว่าอย่างนี้ บอกว่าวัวอยู่ในคอก วัวปากคอก ถ้าใครเปิดประตูก่อนมันออกก่อน เราอยู่ที่ไหน เราคิดถึงความรู้สึกตอนไหนออกคอกเกิดตรงนั้น ถึงให้หัดภาวนากัน คนตายโบราณสอนว่าให้คิดถึงพระ เราจะทำความไม่ดีมาบ้างก็แล้วแต่ ให้คิดถึงความดีก่อน ถ้าคิดถึงความดีก่อนเราได้สถานะนั้นก่อนคือเกิดในสิ่งที่ดีก่อน มันมีโอกาสได้ทำความดีก่อน เราทำความดีไว้ ความดีก็คือนิสัย

ดูสิ คนดีหรือคนชั่วแล้วแต่ บางคนในชั่วมันก็มีชั่วกับชั่ว ในชั่วเป็นคนดีก็มี เห็นไหม นี่ก็เหมือนกัน ในการเกิดจิตนี่มันมหัศจรรย์มาก แล้วแค่นี้นะ แค่ควบคุมจิตเฉยๆ ให้ตัวเองเกิดไปตายนะ แล้วยังจะเข้าไปชำระล้างมันให้สะอาดมันล่ะ โอ เรียนหนังสือนี่นะ งานเด็กๆ ปฏิบัตินี่ทุ่มกันทั้งชีวิต ต้องชนะมัน ชนะตัวเอง แล้วบอกว่าพระ โอ้โฮ บวชแล้วสบาย บวชแล้วไม่ทำงาน ก็ไอ้พระไม่ทำงานนี่ งานของพระมีเขาไม่ทำกันเอง

งานของพระ เกศา โลมา นขา ทันตา ตโจ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง นี่งานของพระ แล้วเป็นงานในทางเดินจงกรมนะ ไม่ใช่งานในโรงพยาบาล โรงพยาบาลนั่นวิชาชีพ ลูกศิษย์ โทษนะ ลูกศิษย์หมอเยอะ ไปวัดบอกหมอนี่กูดูถูกฉิบหายเลย ไม่รู้อะไรเลย พวกหมอรู้ได้แต่เรื่องสรีระ เรื่องจิตนี่ไม่รู้ ไม่รู้ บอกว่ายอมรับ หัวเราะใหญ่ เพราะอะไร เพราะหมอก็งง หมอก็ไม่เข้าใจชีวิต

ถ้าเราเข้าใจชีวิตนะ ชีวิตจะเดินไปราบเรียบตรงดิ่วเลย ทำไมชีวิตลุ่มๆ ดอนๆ ล่ะแล้วเราดูพระเราสบายมากนะมีบาตรใบเดียว เช้าขึ้นมาก็มีข้าวกินทุกวัน ไม่สนกับใครทั้งสิ้น รอวันตาย ถ้ามีข้าวตกบาตร กินข้าว กูกินข้าวเสร็จ กูรอตาย มันมีอะไร โลกนี้มีอะไร โลกนี้คือละคร เกิดมาเพื่อมีสถานะมาทำความดีกัน เกิดมาเพื่อจะมีอะไรติดไม้ติดมือไป เกิดมานะแล้วตายไปนะมือเปล่านะ เกิดมาตายไป มือไม่มีอีกต่างหาก ติดลบไปอีกต่างหาก เกิดมาเพื่อจะแก้ไข ตั้งแต่เกิดมาจนวันตายยังมีโอกาสอยู่ ไหนบอกว่าสามีภรรยารักกันมาก รักกันมาก ถ้ายังไม่ถึงวันตายอย่าเพิ่งไว้ใจนะ เพราะกิเลสมันเชื่อไม่ได้ ถ้าวันไหนตายแล้ว เอ้อ นั่นล่ะของเราแท้

ปัญหานี้มันมีมามาก เราเอง เราได้ยินมาตอนที่ได้ยินเขาเถียงกันกำลังปฏิบัติอยู่ แล้วพอดีปฏิบัติจนเข้าใจว่า ตอนนั้นก็ยังไม่เต็มที่หรอก แต่ก็เริ่มรื้อพระไตรปิฎกแล้วเพราะหลวงตาท่านบอกว่าหลวงปู่มั่นรื้อตั้งหลายรอบ แล้วท่านก็รื้อใช่ไหม ท่านเป็นมหาด้วย เราเองว่า เรามัน โทษนะ ไม่ได้ว่านะ มันคิดว่าเราต้องทำงาน แล้วคนจะทำงานมันต้องมีอาวุธบ้าง เราก็เลยไปรื้อพระไตรปิฎก เราดูมา ๒ รอบนะ พอไปเปิดเห็นตรงนี้ มันเป็น ๒ บรรทัดในบาลี จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองด้วยอุปกิเลส แล้วก็จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้เป็นผู้ข้ามพ้นกิเลส

พอเราไปอ่านก็เราเข้าใจ เพราะอะไรรู้ไหม เพราะเขามี ๒ บรรทัด แต่เขาเถียงบรรทัดบนบรรทัดเดียว แล้วบรรทัดล่างทำไมไม่เถียงล่ะ คือว่ามันตอบเสร็จอยู่ในนั้น แต่คนมันเอาแค่ว่าถ้าพระไตรปิฎกถูกใจ ก็ว่าพระพุทธเจ้าเขียน ถ้าพระไตรปิฎกไม่ถูกใจก็บอกว่ามันแต่งเติมมา เขาออกกันอย่างนี้นะ ในพระไตรปิฎกนะ เดี๋ยวรอบเย็นจะเทศน์เรื่องนรกสวรรค์ ในพระไตรปิฎกนะ มันมี มันมีอะไรนะ ไอ้นรกสวรรค์นี่นะมีเทวดามาฟังเทศน์ทั้งตู้พระไตรปิฎกเลย แล้วเขาบอกได้ไงว่านรกสวรรค์ไม่มี ถ้าบอกนะบอกว่า….. มันเขียนมา มันเขียนมาส่วนมันเขียนมาสิ แต่ความรู้สึกมึงเป็นหรือเปล่า ไอ้ตำรามันเกี่ยวอะไรกับความรู้สึก กับที่มึงต้องเกิดต้องตาย ที่มึงต้องไปอยู่

ถ้าถูกใจล่ะก็ว่าพระพุทธเจ้าบอก ว่านี่ถูกต้อง ถ้าผิดแล้วไม่ใช่ ผิดคือมันไปแทงกิเลสไง มันไปแทงความไม่พอใจไง อันนี้ไม่ใช่ อันนี้แต่งเติมมา อันนี้ส่วนเกิน ถ้าอะไรถูกใจ ใช่ๆๆๆๆๆ ไม่เป็นธรรม ไม่เป็นธรรมเลย เราจะปฏิบัติเราต้องเป็นธรรมก่อน เราต้องเป็นธรรมก่อน แล้วเราถึงปฏิบัติ อันนี้ถึงว่า.. เพราะมันเห็นสังคมเขาคิดกันอย่างนี้เยอะไง ถ้าปัญหาอย่างนี้มา โอ้โฮ ได้ตอบ ฉะนั้นไอ้ที่เหลือนี่ติดไว้ก่อนเนาะ ๑๑ โมง เดี๋ยวเราพัก พักก่อนนะ เดี๋ยวกลับมารอบบ่าย