ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

เทศน์ที่ธรรมศาสตร์รังสิตครั้งที่๑ไฟล์๖

๓ ธ.ค. ๒๕๕o

 

เทศน์ที่ธรรมศาสตร์รังสิตครั้งที่ ๑ ไฟล์ ๖
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๕๐
ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิต ต.คลองหนึ่ง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี

 

... อธิบาย เพราะตอนที่อ่านก็ไม่รู้เรื่อง เพราะอยากหาทางลัดเหมือนกัน อยากหาทางลัดนะ อยากหาทางออก อยากหาทุกอย่าง แล้วไปอ่านเซนนะ ข้อไหนมันฝังใจไว้มันก็จับไว้ แล้ว เซนก็บอกว่าอย่าให้ติดกาลเวลา ดูนิสัยนะ เหมือนหลวงตาท่านว่า ถ้าคนมีนิสัย คนมีนิสัย มันจะตรงต่อเวลา

การตรงต่อเวลานี่นะเป็นบารมีอันหนึ่งนะ การตรงต่อเวลาการทำงานตามเวลา แล้วนิสัยเราก็เป็นแบบนั้น จะทำอะไร เวลานี่เป๊ะเลย ข้อวัตรปฏิบัติต้องเต็มที่ร้อยเปอร์เซ็นต์เลย แล้วไปอ่านในเซน บอกอย่าให้ติดกาลเวลา งงแล้ว จะทิ้งหรือไม่ทิ้ง คือถ้าไปติดกาลเวลาคือเราเป็นขี้ข้ากิเลสไง เราก็จะต้องทิ้งเวลา ทิ้งสัจจะเราเลย

แต่มันดีอยู่อันหนึ่ง เขาบอกว่า เขาพูดเราตีความผิดไง อย่าให้ทิ้งกาลเวลา พอผ่านแล้วจะเข้าใจ พออย่างนั้นปั๊บ เอ แล้วเราจะทำอย่างไร? ท่านสอนอย่างนั้นแต่เราก็ฝืนไปก่อน คือยังซื่อสัตย์ยังซื่อตรงกับเวลาไปก่อน พอปฏิบัติไป ปฏิบัติไปมันถึงมาเข้าใจเรื่องมิติไง

กาลเวลา ๒๔ ชั่วโมง กาลเวลาของ ๑๐๐ ปีเท่ากับเทวดา ๑ วัน กาลเวลาเห็นไหม เรา ติดกาลเวลา อยู่ในมิติ มิติของมนุษย์ ๒๔ ชั่วโมงเป็น ๑ วัน ๑๐๐ ปีของเราเท่ากับ ๑ วันของเทวดา แล้วเทวดา หนึ่งอายุขัยของเขาเท่ากับล้านปีของเรา ๙ ล้านปีนะ เราอ่านมาหมดแล้ว

แล้วพออ่านไปเห็นไหม ดูสิ เวลาสังฆราชองค์ที่ ๕ จะส่งมอบเห็นไหม ให้องค์ที่ ๖ ก็บอกให้เขียนโฉลกใช่ไหม ชิงเชาว์มันก็เขียนเลย “กายเป็นโพธิจิตเป็นกระจกใส” ทุกคนกราบไหว้บูชา เว่ยหล่าง เป็นคนไม่รู้หนังสือ เป็นคนหุงข้าว ก็เลยออกมาเห็นเขายืนดูกัน เขาดูอะไรกันน่ะ เพราะอ่านหนังสือไม่ออก

เขาเขียนโฉลกว่า “กายเป็นโพธิจิตเป็นกระจกใส”

“เขียนให้ผมบ้างได้ไหม เขียนให้ผมด้วย ของผมกายก็ไม่มีจิตก็ไม่มี แล้วฝุ่นมันจะเกาะอะไร”

กายเป็นโพธิจิตเป็นกระจกใส แล้วเราหมั่นเช็ดกระจกทุกวันๆ ก็ลดซึ่งกิเลสไง หมั่นเช็ดกระจกทุกวันๆ แล้วฝุ่นจะไม่เกาะ เพราะว่า กายเป็นโพธิจิตเป็นกระจกใส สกิทาคามี กายกับจิตแยกออกจากกันโดยสัจจะ แต่ตอนนั้นก็ไม่รู้ แต่ผ่านแล้วพอย้อนกลับมารู้หมด

แล้วเว่ยหล่างมาบอกว่ากายก็ไม่มี จิตก็ไม่มี แล้วฝุ่นจะเกาะอะไร อู๊ย! เขายิ่งซูฮกกันใหญ่นะ สังฆราชมาบอกว่าเอารองเท้าลบทิ้ง เพราะมันเป็นสิ่งที่ บอกว่าให้ดูหน้าสิ ให้เอารองเท้าลบทิ้ง ว่า กายก็ไม่มีจิตก็ไม่มี เพราะ เพราะถ้าส่งให้นี้ไปมันจะเป็นภัยต่อกัน

เพราะชิงเชาว์ เขามีองค์กรของเขา คือเขาเป็นสิ่งที่เป็นนักปราชญ์อยู่ในราชสำนัก สำนักของเขา เขาจะเป็นผู้สืบต่อ แล้วมันมีองค์การ ถ้าไปให้กับเว่ยหล่าง เว่ยหล่างจะเป็นภัย ก็เลยบอกว่า ไปเคาะที่กำลังตำข้าวอยู่ เคาะ ๓ ที ก็ในหนังสือบอกนัดตีสาม ๓ ทีคือโสดาบัน สกิทา อนาคา กายไม่มี จิตไม่มี เรือนว่าง แต่ก็ยังไม่สุด กายก็ไม่มี จิตก็ไม่มี ว่าง ว่างหมดเลย

(โทษนะ) ถ้าว่างๆ บอกอนาคาไม่ใช่นะ ว่างๆ ต้องมีเหตุมีผลถึงเป็นอนาคา ไอ้ว่างๆ แบบว่างๆ สักว่าว่างนั้น ไอ้ว่างมิจฉานั่นอย่าไปพูดถึงมัน แล้วว่างมิจฉา ตอนนี้ร้อยทั้งร้อยเลย ว่างมันต้องมีเหตุมีผล บอกว่าว่างของโสดาบัน ว่างของสกิทา ว่างของอนาคา ว่างๆ อย่างนี้ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนโมฆราชไง

โมฆราชเธอจงดูโลกนี้เป็นความว่าง ดูว่าว่างทั้งหมดเลย แล้ว พอเราดูว่าว่าง ก็เอ้อ ก็ดูโลกว่าว่างทุกอย่างว่างก็น่าจะเป็นพระอรหันต์ ไม่ใช่ ไม่ใช่ ถ้าว่างอย่างนี้นะ มันก็รับรู้ว่าว่าง อวกาศก็ว่าง “เธอจงดูโลกนี้เป็นความว่าง แล้วให้กลับมาถอนอัตตานุทิฏฐิ” ให้กลับมาถอนไอ้คนที่รู้ว่าว่าง

อวกาศมันไม่รู้ว่ามันว่างนะ ไอ้จิต มันตัวมัน ไปรับรู้ความว่าง แล้วให้กลับมาถอนไอ้พวกไม่รู้ แล้วมันมีว่างไหม? ในเมื่อผู้รู้ก็โดนถอนทิ้งแล้ว อะไรมันว่าง? เนี่ยมันจบที่นี่ แต่ไปเคาะนะ เคาะเสร็จแล้ว เว่ยหล่างก็ขึ้นไปหาวันนั้น ตี ๓ นัดเข้าไป แล้วสอน สอนตรงนี้ จนเว่ยหล่าง เป็นพระอรหันต์ แล้วก็ให้บริขารไป พวกนี้จะตามฆ่า หนีไปๆ จนเห็นโทษนั้นก็เลยยุติแค่นี้ สังฆราชองค์ที่ ๖ เท่านั้น ไม่มีองค์ที่ ๗ ท่านเห็นภัย

แต่เวลาต่อสู้นะ เพราะเราก็อ่าน เราก็ศึกษา ไม่ใช่ว่าสว่างโพลงๆ ถ้าสว่างโพลง นีออน เป็นพระอรหันต์หมดเลย มันสว่างทั้งนั้นน่ะ สว่างโพลง มันเป็นโวหาร แล้วเราก็เอาโวหารเอาปรัชญามาโม้กันมาอวดกัน ถ้าเมื่อก่อนนะการปฏิบัติไม่เจริญอย่างนี้นะเราก็ไม่พูดเรื่องนี้นะ ถ้าพูดเรื่องนี้กลายเป็นคนครึอีก

ถ้าใครเชื่อมรรคผล ใครเชื่อนรกสวรรค์คนนั้นเป็นคนตกสมัย แล้วพอครูบาอาจารย์ เอาชีวิต ตั้งแต่หลวงปู่มั่น ตั้งแต่ครูบาอาจารย์ พวกเรา รุ่นที่ ๓ คือ ๓ ชั่วชีวิตคน ทำให้สังคม หมุนกลับมา ให้เชื่อว่ามรรคผลมี ให้เชื่อว่าทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว สิ่งที่พอคนสังคมเชื่อขึ้นมา มันก็เป็นตลาด พอเป็นตลาดขึ้นมา ไอ้พวกที่ทำการตลาดก็เข้ามาหาเหยื่อ

สังคมไทยนี่เป็นเหยื่อหมดเลย เป็นเหยื่อกับไอ้ว่างๆ นี่

จะว่างจะไม่ว่างมันก็มีเหตุผลนะ มันต้องมีเหตุผลของมัน ถ้าจะว่าง ว่างเพราะอะไร? มันต้องดูกัน มันมีเหตุมีผล สิ่งที่จะว่างมันต้องเป็นไปไง นี่ไงกิจญาณ ว่างๆ อย่างนี้ให้เขาอธิบายธรรมมาสิ โยมไปฟังสิ มึงขึ้นต้นตรงไหนก็ไม่รู้ จบตรงไหนก็ไม่จบ หมุนอยู่นั่นนะ

แต่ถ้าเป็นมรรคเป็นผลนะ จุดเริ่มต้น จุดสรุป สักกายทิฏฐิ โสดาบัน มรรคสามัคคีรวมตัว แยกออกกายกับจิตแยกออกจากกันโดยธรรมชาติ โลกนี้เป็นราบหมดเลย สกิทา

แล้วจะกลับเข้าไปหากามราคะอย่างไร? เข้าไปถึงกามราคะ จะต่อสู้กับกามราคะอย่างไร? แล้วฆ่าโอฆะอย่างไร? มีเหตุมีผลทั้งนั้นน่ะ แล้ววิทยานิพนธ์ซ้อนกันไม่ได้ด้วย

ของครูบาอาจารย์ ของหลวงตา จุดและต่อม มีพระเอามาโม้กันมาก ของผม เป็นจุดเป็นต่อม เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้เลย เพราะอำนาจวาสนาของคนไม่มีเสมอกัน ท่านสร้างบารมีของท่านมาขนาดนั้น เวลาหลวงตาท่านพูดถึงลูกศิษย์ของท่าน อาจารย์สิงห์ทองเห็นไหม ขณะจิตไม่เหมือนกัน ขณะจิตของสิงห์ทองก็เป็นของอาจารย์สิงห์ทอง ขณะจิตของท่านมหาศาล พลิกโลกธาตุเลย พอพลิกโลกธาตุเพราะอะไร?

เพราะท่านได้สร้างของท่านมา แล้วดูผลงานของท่านสิ ถ้าท่านไม่ได้สร้างบุญญาธิการมาอย่างนี้ท่านจะทำงานอย่างนี้ได้ไหม แล้วไอ้ขี้ครอก จุดและต่อม จุดและต่อม มันร้องไห้โฮๆ นะมาหาเรานะ ร้องไห้โฮๆ เลย เด็กอนุบาลมันร้องทั้งโรงเรียนนะ เด็กอนุบาลน่ะไปกราบมันซะ พระอรหันต์ทั้งนั้นเลย การร้องไห้โดยทุกข์ก็มี

แต่ของหลวงตาสาธุนะ ของท่านเป็นอย่างนั้น มันสะเทือน มันเป็นธรรมสังเวช เรา นะเวลาสิ่งที่มากระเทือนหัวใจ มันสะเทือนถึงน้ำตาไหลพรากนะ เวลาเรา พลัดพรากจากกัน แล้วเรามาเจอกัน เราจะกอดคอกันร้องไห้โฮๆ เลย ทุกข์ไหม ทุกข์ที่ไหน ในเมื่อเราพลัดพรากจากกันมาน่ะ

คนที่พลัดพรากจากกันมาเป็นสิบๆ ปี เจอหน้ากันจะกอดกันนะร้องไห้อยู่นั่นน่ะ

แล้วก็บอกว่าร้องไห้ไม่ได้ ร้องไห้สุขก็มีนะ ธรรมสังเวช เวลาธรรมมันกระเทือนหัวใจ มันสะเทือนขั้วหัวใจ แล้วมันพลิกฟ้าคว่ำดินนะ มันแตกพรากๆ ออกไปธรรมชาติของท่าน แล้วของพวกเราเป็นอย่างนั้นนะ เราไม่เชื่อ เราไม่เชื่อหรอก

นี่ไง ถ้ามันเป็นสภาวะแบบนั้น ของครูบาอาจารย์ วิทยานิพนธ์ของใครของมัน แล้วของหลวงปู่ดูลย์ เราเชื่อหลวงปู่ดูลย์ เพราะหลวงปู่ดูลย์พูดน่ะมันฟังหมด เพราะหลวงปู่ดูลย์ เราฟังจากลูกศิษย์ใกล้ชิด หลวงปู่ดูลย์พูดกับหลวงปู่กิมไง

“กิมเห็นอวิชชาไหม” “เห็นครับ”

“กิมเห็นจิตไหม” “เห็นครับ”

“กิมพิจารณามัน กิมพิจารณามัน”

หลวงปู่กิม เราว่าสุดด้วย เวลาสอนกันตัวต่อตัวนี่นะ หลวงปู่กิม ลูกศิษย์มือขวาหลวงปู่ดูลย์ “กิมเห็นจิตไหม” “เห็นครับ” “กิมเห็นอวิชชาไหม” เพราะจิตกับอวิชชาอยู่ที่ไหน แล้วพิจารณามัน พิจารณามัน ท่านบอกว่าพิจารณานะ ท่านไม่ได้บอกให้ดูนะ ท่านไม่ได้บอก

แต่ขณะที่ดูจิต จิตที่ส่งออกทั้งหมดเป็นทุกข์ ผลที่เกิดจากสิ่งที่ส่งออกน่ะ จิตที่ส่งออกทั้งหมดเป็นทุกข์ ผลที่จิตส่งออกเป็นสมุทัยใช่ไหม แต่จิตย้อนกลับมาเห็นตัวเองเป็นมรรค สิ่งที่กลับมา แล้วอีกอันหนึ่ง จิต คนเรา ทุกข์เพราะคิด ต้องหยุดความคิด แต่การหยุดความคิดก็ต้องใช้ความคิด

หลวงปู่ดูลย์บอกอย่างนี้ ความคิด ทุกข์ เราทุกข์เพราะความคิด ต้องหยุดความคิด แต่หยุดความคิดก็ต้องใช้ความคิด เพราะความคิดมันเป็นปัญญา หลวงปู่ดูลย์ สอนถูก แต่คนฟังมามันเป็นอย่างไรเราก็ไม่รู้นะ แต่ในเมื่อบอกดูจิต เราพูด นะประสาเราเลยเราพูดด้วยความสงสารมาก เพราะ เพราะมันไม่มีใครมีวุฒิภาวะจะรู้เรื่องอย่างนี้ได้ ถ้าใครไม่มีวุฒิภาวะมารู้เรื่องนี้ได้ ไอ้คนที่มันเอามาพูดมันก็พูดได้ทั้งวัน

แต่ถ้ามันเป็นความจริงนะ มันเป็นความจริงมันมีเหตุมีผล เวลาหลวงตาท่านบอกนะ เวลาท่านนั่งตลอดรุ่ง ตลอดรุ่ง ท่านบอกเลยเจริญแล้วเสื่อม เจริญแล้วเสื่อม แล้วเกาะติด เกาะติดหมายถึงว่านั่งตลอดรุ่ง ท่านผ่านเวทนามาเหมือนกัน

ท่านบอกเลย ๒,๐๐๐ ชั่วโมง ลูกเวทนามันมา พอมันมา พอมันมาปุ๊บ มันมาต่อสู้กันใช้ปัญญาใคร่ครวญแล้วมันก็ปล่อย พอปล่อยนะ เวทนา เวทนาสักแต่ว่าเวทนา แล้วอีก ๓-๔ ชั่วโมง พ่อเวทนามันก็มา ท่านก็ต่อสู้มันจนมันปล่อย พอปล่อย ๖-๗ ชั่วโมง ปู่เวทนามันก็มา มันหนักกว่าเก่าเห็นไหม ท่านสู้อย่างนี้ทั้งคืนนะ

คืนหนึ่ง เวทนามันจะเกิดหลายรอบ เกิดหลายรอบปัญญามันก็ใคร่ครวญหลายรอบ จนถึงที่สุดเวทนาสักแต่ว่าเวทนา จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์ แยกออกจากกัน ท่านบอกเลยนะ มันเกาะติด ท่านพูดว่าเกาะติด โสดาบัน แล้วท่านขึ้นไปหาหลวงปู่มั่น ท่านบอกว่าธรรมดาเคารพหลวงปู่มั่นมาก แล้วพูดเสียง ไม่กล้ารุนแรง

แต่วันนั้นด้วยความองอาจกล้าหาญ ขึ้นไปหาหลวงปู่มั่น เหมือนหมาจะเห่าจะจิกจะกัด ท่านก็ เออ “จิตมันไม่เกิด ๕ อัตภาพโว้ย ได้หลักแล้ว จิตมันไม่เกิดตาย ๕ อัตภาพได้หลักแล้ว ต่อไป สู้ต่อไป” เห็นไหมเวลามันเป็นขึ้นมา มันองอาจกล้าหาญ

มันจะต้องให้ครูบาอาจารย์ ตรวจสอบ ตรวจสอบนะ ถ้าให้มันเป็นจริงนะ แต่ตรวจสอบเพราะเป็นผลงานของท่านไง มันถึงที่สุด มันองอาจกล้าหาญ มันจะกล้าสู้สังคมไง อย่างของเรา โทษนะ เราพยายามจะหลบ เราพยายามจะอยู่ใต้ดินมาตลอด เพราะ เรื่องจริง เราไม่เคยออกไปไหนเลย

วันนี้ ที่มา เพราะโยมสมดี ไปพูดที่วัด พูดถึงเรื่องศาสนา วันนี้มาเพราะสถาบันพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เพราะเรื่องของศาสนา เรื่องศาสนา อยากให้ได้มีหลักมีเกณฑ์ ที่มา เพราะว่าเรามานั่งอยู่นี่นะ บอกตรงๆ ว่าไม่เคยกลัวใครเลย ไม่เคยกลัวใครเลยถ้าพูดธรรมะกัน

แล้วที่มา จะบอกว่าเราไม่อยากออกไปยุ่งข้างนอกหรอก แต่ในเมื่อมันมาอย่างนี้เราก็ต้องพูดอย่างนี้ เพราะอะไรนะ ถ้าให้พูดนะมันจะลึกไปกว่านี้นะ มันจะสาวไปกว่านี้ มันไม่สมควรเนาะ ผ่านประเด็นนี้ไป

ถาม : จิตดูจิต จิตดูจิต มันเป็นปัญญาวิมุตติ

หลวงพ่อ : ดอกบัวที่ใจหมดหรือยังไม่รู้? “ปลูกดอกบัวที่ใจ” กัณฑ์สุดท้าย นั่นน่ะคือ “การพิจารณาจิต” การพิจารณาจิต นั่นน่ะการผ่านมาทางจิต ปลูกดอกบัวที่ใจ กัณฑ์สุดท้าย กัณฑ์แรกปลูกดอกบัวที่ใจ กัณฑ์สุดท้าย การพิจารณาจิต การพิจารณาจิต มันจะออกมาเป็นอย่างนั้น มันไม่ใช่ดูเฉยๆ มันดูไม่ได้ มันต้องบริหารจัดการ ต้องมีการกระทำอันนั้น มีจิตในการกระทำมาแล้วมันจะออกมาเป็นปัญญาวิมุตติ

ถาม :ทำอย่างไรถึงเป็นผู้รักษาศีล ๕ บริสุทธิ์?

หลวงพ่อ :ศีล ๕ นี่บริสุทธิ์โดยธรรมชาติอยู่แล้ว แต่ที่เราไปขอศีลนี้คือกติกาของศีล ๕ เป็นกฎหมาย เราไม่ทำผิดกฎหมายเราเป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่ใช่กฎหมายจะบังคับเรานะ เราทำผิดกฎหมายกฎหมายถึงบังคับเรา เราทำผิดศีลเราทำผิดข้อปฏิบัติมันถึงเป็นการผิดศีล แล้ว จะทำให้ศีล

ถ้าศีลมันจะบริสุทธิ์นี่ เราไม่ทำอะไรผิดมันบริสุทธิ์อยู่แล้ว ดูพระเราสิ พระเรา ยังมีอาบัติเลย พระเรามีอาบัติพระยังปลงอาบัติเห็นไหม ทุกคนมันจะมีความผิดพลาด ศีล ๕ เราถ้ามันผิด มันผิดมันผิดพลาดไป เราก็ไม่ต้องไปต่อกับใครนะ ขอศีล วิรัติเอา สมุทเฉจกับวิรัติ ขอศีลนี่ขอจากตัวเลย ศีล มีโดยปกติเลย

ศีลคือจิตมันเป็นปกติ จิตมันเป็นปกติ มันไม่ผิดศีล แต่พอความคิดออกไป มันทำให้เราผิดออกไป อันนั้นมันคิดออกไปแล้วเกิดการทำผิดศีล เพราะถ้าเราจะใช้ปัญญาอย่างไงให้ศีลมันเป็นปกติ ให้ศีลมันอยู่กับเราตลอดไป มันไปตะครุบเงา

ในเมื่อตัวเรา เราสะอาดที่ตัวเรา ทำไมเราต้องไปวิตกวิจารกับเงาของเรา เราอยู่ปกติของเรา มันเป็นสุขอยู่แล้ว อยู่กุฏิของเราเห็นไหม บริสุทธิ์อยู่แล้วใช่ไหม แต่ไม่ทำผิดข้อบังคับนะ ข้อบังคับนี่ ศีล ๕ นี่ข้อบังคับ ไปหาพระ ขอศีล ขอศีล แล้วถ้าไม่มีพระ ขอที่ไหน?

มันมีชาวประมงไปหาปลา อยู่ในพระไตรปิฎก ลากปลามาเต็มลำเรือเลย นั่นผิดศีล ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์เลย ลากปลามาเต็มลำเรือเลย แล้วเรือนี้จะเข้าฝั่ง เกิดพายุลมแรง พอเกิดพายุ เรือก็ล่มจะต้องตาย ข้าพเจ้าขอวิรัติศีล ๕ เดี๋ยวนี้ ชาวประมงคนนั้นไปเกิดเป็นเทวดา

ขณะที่เขาหาปลาอยู่นั้นเขาทำผิดศีล แต่ขณะที่เขาเกิดวิกฤตในชีวิต เห็นว่าชีวิตนี้จะดับ คนเรานี่จะรักตัวมาก วิรัติเอาว่าข้าพเจ้าขอถือศีล ๕ แล้วมันตายตอนที่มันว่ามันขอถือศีล ๕ มันอยู่กับศีล ๕ ไปเกิดเป็นเทวดา เราอย่าไปเกร็งสิ ตอนนี้ชาวพุทธไปเกร็ง ถือศีลก็ไปเกร็งกับศีล ไม่ถือศีลก็สำมะเลเทเมา อยู่โดยปกติเนี่ยศีลบริสุทธิ์

ถ้าผิด ผิดพลาดบ้าง ขาดสติ อ้าว วิรัติใหม่ เริ่มต้นใหม่ เริ่มต้นใหม่ เริ่มต้นใหม่ เราจะเติมตะเกียงน้ำมันไปตลอด แล้วตะเกียงของเราจะไม่ดับ นี่ถือศีล ๕

(อันนี้ขอโทษนะ มันเป็นเรื่องส่วนตัว พูดอาจจะผิดนิดหน่อยนะ) ว่าเมื่อก่อนเคยเรียนดี แล้วพอจิตมันตกวูบแล้วเรียนไม่ดี เพราะการเรียนดี เราเคยเรียนดีมา เรียนดีมาเราก็ตั้งสติของเรามา เราทำของเรามา แต่ขณะที่ปัจจุบันนี้มันเรียนไม่ดีเราก็ฝึกใหม่

เราพูดบ่อยนะ เด็กเวลามีการศึกษามีการเรียน แล้วก็อยากจะให้เรียนดี อยากจะให้จำได้ พยายามท่องตำรา ท่องตำราเห็นไหม เราพยายามยิ่งท่องตำราขนาดไหน ถ้าสมองมันเบลอ ยิ่งท่องกลับไม่ได้ผล เราวางเลย แล้วกำหนดพุทโธ พุทโธ พุทโธ แล้วเรากลับไปท่องใหม่ อ่านแต่น้อยแต่อ่านเข้าใจ สิ่งนี้จะดี

แต่ถ้าเรามันเป็นแล้ว เราพยายามจะเอาชนะเห็นไหม เราพยายามจะชนะโดยที่ไม่มีเหตุผล ถ้าเราจะเอาชนะตัวเองโดยไม่มีเหตุผล มันจะชนะไม่ได้ เราจะต้องมีเหตุผล เช่น ในปัจจุบันนี้ เราคิดอารมณ์อะไรอยู่ แล้วเราบอกว่าอารมณ์นี้มีความทุกข์มาก มีความทุกข์มาก แล้วเราจะคิดหาเหตุหาผล เราแพ้ตลอดไป

แต่ถ้าเรามีอารมณ์อะไรในใจของเรานี่ มันมีความทุกข์มากนะ เราจะสลัดอารมณ์นี้ทิ้งเลย เปลี่ยนอารมณ์ใหม่ คิดเป็นอารมณ์อื่นไป เห็นไหมอย่าไปตามมัน ถ้าสิ่งใดที่เราเคยดีแล้วมันวูบ มันวูบอะไรก็แล้วแต่นี่นะ ถ้ามันไม่โดนสิ่งต่างๆ คุณไสย ไม่โดนอะไร ไม่มีปัญหา แต่ถ้ามันโดนคุณไสย โดนอะไรนี่

คำว่าโดนคุณไสยอย่าคิดว่าโดนนะ เราเปรียบเทียบเฉยๆ เราเปรียบเทียบนะ มีคุณไสย มี ไสยศาสตร์ มี แต่เราไม่เชื่อ ไม่เชื่อถึงความจริงของเขา เราเชื่อพุทธศาสตร์ แต่ไสยศาสตร์มี ไม่งั้นเราจะพูดมิจฉาสมาธิ สัมมาสมาธิทำไม มิจฉาสมาธิคือการทำคุณไสย แล้วถ้าทำคุณไสย ถ้าจิตเขามี วูบ มันไปโดนกระทำ อันนี้เราก็ให้กลับมาอยู่กับพุทโธ

เราเที่ยวป่ามาเยอะนะ เราธุดงค์มาทั่วประเทศไทย เรื่องจิตวิญญาณ เจอมาทั้งนั้นน่ะ ป่าช้าไหนก็ไปนอนมาแล้ว เขาเผาศพกันใหม่ๆ เรานอนอยู่กับซากศพเลย ใหม่ๆ น่ะกลัวจนขาสั่น แต่ต้องบังคับตัวเองให้ไป แต่พอไปๆ แล้วนะไม่เคยกลัวอะไรเลย เพราะอะไรนะ? เพราะถ้าเราเป็นพระ เราเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส เรายังไม่มีหลักใจเลย ศาสนามันจะอยู่ได้อย่างไร?

ศาสนามันจะอยู่ได้เราต้องมีหลักใจเห็นไหม ฉะนั้นว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเราไม่เชื่อสิ่งใดเลย ฉะนั้นถ้ามันมีอะไรขึ้นมา ให้คิดถึงพุทโธ เวลาคิดถึงพุทโธนะ เวลาพระกลัวผีกลัวสางนะให้คิดถึงพุทโธ ถ้าไม่หายคิดถึงสังโฆ ธัมโม เวลาเราอยู่ป่าอยู่เขา เราอยู่ป่าอยู่เขาเราเที่ยวมาตลอดนะ เราเจออะไรมา

แล้วโทษนะ มีลูกศิษย์ไปหาเยอะ ลูกศิษย์นะมันไปประสบการณ์ต่างๆ จะไปหาว่าจะแก้ไขอย่างไร? แก้ไขอย่างไร? เราจะบอกว่าให้ตั้งสติ ตั้งสตินะ แล้วกลับมาที่พุทโธ แล้วสิ่งใดที่เกิดขึ้นมา มันเป็นกรรม กรรมเก่ากรรมใหม่ บุญเก่าบุญใหม่ก็แล้วแต่ ให้อโหสิกรรมต่อกัน

เวลาเราทำพุทโธ พุทโธ แล้วจิตสงบเข้ามา สิ่งใดที่เป็นบุญเป็นกรรมให้อโหสิต่อกัน เพราะธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า

“เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร”

เราเคยทำอะไรกับใคร เราเคยมีความบาดหมางกับใครเราไม่รู้ ถ้าไม่รู้ เขามีสิ่งความฝังใจของเขา เขาทำอะไรกลับมา เรากำหนดพุทโธแล้วให้อภัย แล้วให้อภัย แล้วเราจะเอาตัวรอดไป แล้วการเรียนจะกลับมา

การเรียนอย่าไปกลัว การเรียนสิ่งที่ไม่ดี ไม่ดี มันตกนี่ เราพลิกใจเราใหม่ อย่าไปหมกมุ่น ทุกคนผิดพลาดได้นะ ดูองคุลิมาลสิฆ่าคนมา ๙๙๙ ศพ พระพุทธเจ้ายังเอามาเป็นพระอรหันต์ได้เลย แล้วไอ้นี่แค่การเรียนเฉยๆ เด็กๆ มากเลย อย่าให้ตรงนี้เป็นประเด็นขึ้นมาให้บีบคั้นหัวใจเรานะ

โลกยังกว้างขวางมาก ชีวิตเรายังต้องเติบโตไปอีกเยอะ ชีวิตเรายังต้องก้าวหน้าไปอีกเลย สิ่งที่เป็นประเด็นอย่างนี้ เด็กๆ นะการการศึกษา เวลามีการศึกษานี่นะ ทุกคนจะไปวิตกกังวล ดูสิเห็นไหม วัยรุ่น ถ้ามีความชอบพอกัน ถ้าขัดใจกัน ทำร้ายตัวเองกันเลย

แต่ถ้าเราไม่ไปดึงเขาไว้นะ แล้วปล่อยเขาโตขึ้นมานะ ถามว่าคิดอย่างนั้นสิ โอ้โฮ คิดได้อย่างไงก็ไม่รู้ คิดอีกก็ไม่รู้ แต่ขณะนี้เป็นอย่างนี้ไง นี่ก็เหมือนกัน ชีวิตเรายังอีกยาวไกลนะ การศึกษา ถ้ามันเรียนแล้ว เราพยายามตั้งตัวใหม่ เราตั้งสติของเรา แล้วเราดูหนังสือของเรา

ถ้าดูไม่เข้าใจ วาง กลับมาทำความสงบก่อน ให้ใจสบาย ใจปลอดโปร่ง อ่านน้อยก็ไม่เป็นไร อ่านน้อยเข้าใจดีกว่าอ่านมากแล้วไม่รู้เรื่อง อ่านแต่น้อยแล้วค่อยๆ ทำไปใหม่นะ ทำไมมันเป็นอย่างนั้น? เพราะมันเป็นเรื่องของความรู้สึกไง แล้วถ้าความรู้สึกของเรา เด็กๆ แล้วไปเจอแบกรับอย่างนี้ มันเป็นปัญหาใหญ่นะ

เราเคยมีลูกศิษย์ตัวเล็กๆ มายกมือไหว้ แล้วมันก็มาหานะ หลวงพ่อยกมือไหว้ เหนื่อยน่าดูเลย เหนื่อยมาก มันแค่ยกมือไหว้ มันบอกเหนื่อย เหนื่อยมากๆ ตัวนิดหนึ่ง อ้าว ถ้าเหนื่อยง่ายจะให้ยาคูลท์ขวดหนึ่ง มันเกิดมาจากความรู้สึกของเขา นี่มันเด็กมันพูด พูดมาจากเด็กเล็กๆ โอ้ ยกมือไหว้นี่ เหนื่อยน่าดูเลย

เห็นไหม นี่ก็เหมือนกัน เราอยู่ในวัยศึกษา มันรู้จากความรู้สึกไง ความรู้สึกเราถ้ามันบีบคั้น มันทำอะไรแล้วมันทุกข์นะ ทุกข์เพราะเรา ทุกข์เพราะความไม่เข้าใจ แต่ถ้ามันหงายซะ อากาศมันถ่ายเทนะหมดเลย ไม่มีอีกล่ะ ทุกข์เพราะน้ำมันกักตุนแล้วมันกักขัง น้ำมันจะเสีย เราถ่ายเทน้ำใหม่เข้ามา ปล่อยน้ำเก่าออกไป เดี๋ยวทุกข์จะหายนะ

ถาม :ในปัจจุบันนี้ ถ้าพระในกรุงเทพนะ นี่เขาถามว่า พระ ขึ้นรถไปบิณฑบาตผิดไหม?

หลวงพ่อ :ถ้าขึ้นรถเมล์ไปบิณฑบาตไม่ผิด เพราะการเดินทางนะ ถ้าการเดินทางโดยถูกต้อง แต่ถ้าพระขับรถไปบิณฑบาต ผิด แต่พระขึ้นรถเมล์ รถที่เขารับส่งไปบิณฑบาตไม่ผิด บางอย่างนะ พระนี่นะมันก็แบบว่าอะไรนะ เข้มแข็งอ่อนแอต่างๆ กันนะ ถ้าเข้มแข็ง เวลาความผิดเล็กผิดน้อยเขาจะไม่ทำ

เพราะว่าตอนหลวงปู่มั่น ท่านจะเก็บเล็กผสมน้อยไง เขื่อน มันพังเพราะตามดนะ สิ่งใดที่มันแตกมันร้าวไง หลวงตาท่านพูดบ่อย บอกว่าเวลาผ้ามันขาดต้องปะต้องชุน ศีลขาดก็ต้องปะต้องชุนไง ผิดเล็กผิดน้อยไม่ควรทำ เพราะคนทำแล้วมันจะเป็นจริตเป็นนิสัย เพราะคนเคยทำ ทำบ่อยครั้งเข้า บ่อยครั้งเข้า มันจะทำความผิดมากๆ ขึ้นไปเรื่อยๆ

ถ้าความผิดอย่างนี้ไม่ควรทำ ศีลเล็กศีลน้อยก็ต้องระวัง ยิ่งกรรมฐานยิ่งต้องระวังเลย เพราะอะไรรู้ไหม? เพราะเราทำความผิดแล้วเป็นอาบัติ แล้วเรามานั่งพุทโธๆ มึงอย่าหลอกตัวเองสิ มันรู้ เพราะถ้าเรามีความผิดพระกรรมฐานจะรีบปลงอาบัติเลย เพราะไม่หลอกตัวเอง เราจะเอาชนะตัวเอง

แล้วกิเลสไปทำความผิดมันก็ขุดหลุมพรางล่อไว้ข้างหน้าแล้ว มันจะลงสมาธิได้ยังไง เราบอกเลยนะ พระที่ทำอาบัติๆ กัน เขาไม่เคยเที่ยวป่านะ หลวงปู่มั่นไปอยู่ที่ถ้ำสาริกา เวลาจะขึ้นไปถ้ำสาริกา ชาวบ้าน อย่าขึ้นไปเลยพระตายไปแล้ว ๓ องค์

หลวงปู่มั่น ขอขึ้นไปดูหน่อย ขอขึ้นไปดูหน่อย แล้วหลวงปู่มั่นก็ขึ้นไปนอน ไปที่นั่นเห็นไหม แล้วพอท่าน จิตท่านสงบนะ ท่านดูอดีตได้ไงว่าพระที่ตาย เป็นอาบัติ เป็นอาบัติเพราะว่าเวลาบิณฑบาตได้มา ภิกษุเรานี่นะ ภิกษุนี่นะห้ามสะสม ห้ามทุกอย่างนะ บิณฑบาตมาต้องฉันภายในวันนั้น ที่เหลือเศษแล้วต้องให้เป็นทานไป

แล้วพระนี่บิณฑบาตไกล พอบิณฑบาตมาฉันวันนั้น สิ่งใดที่เก็บเป็นของแห้งก็เก็บไว้ฉันในวันรุ่งขึ้น เป็นนิสสัคคีย์ปาจิตตีย์ อาหารนั้นเป็นนิสสัคคีย์เพราะมันแรมคืน ภิกษุฉันเป็นอาบัติปาจิตตีย์ แค่นี้ นี่ไง เราบอกว่าพระนาคิตะเห็นไหม เทวดา มาส่งเสริม

แต่นี่นะ รุกขเทพ เทวดาหักคอตายเลย ตาย ๓ องค์ ผิดศีลแค่นี้ตายนะ อยู่ในป่าในเขา แล้วเขาทำผิดกันในสังคมเมือง เขาไม่ออกธุดงค์ เขาไม่กล้าเข้าป่าเข้าเขา เพราะอะไร เพราะหัวใจเขารู้กับตัวอยู่กับใจ แล้วถ้าจะไปธุดงค์นะเขาจะมีกองทัพพระล้อมหน้าล้อมหลังเป็นกองทัพเลย เพื่อพิสูจน์ว่าฉันก็ธุดงค์ได้ไง แต่ธุดงค์ของเรานะ ไปกันโดยความจริง

ถาม : พระที่ยืนรับบาตรอยู่กับที่ในตลาด ผิดพระธรรมวินัยหรือไม่?

หลวงพ่อ :ผิด ผิดมากๆ พระที่เวียนเทียน ผิด เพราะ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า เวลาบวชนะ ปัตตัง บาตรนี้เป็นของเธอเหรอ เวลาโยมนะ ต้องมีปัจจัย ๔ เป็นเครื่องอาศัย พระนี่นะมีบริขาร ๘ บาตรคืออาหาร ธมกรกคือน้ำ จีวรก็เป็นเครื่องนุ่มห่มใช่ไหม แล้วฉันด้วยน้ำดองมูตรเน่า เวลามันมีปัจจัย ๔ ไง

การบิณฑบาตมาเพื่อดำรงชีวิต แล้วไปยืนอยู่กับที่ร้านโดยอยู่กับที่ มันไปทำธุรกิจร่วมกับร้านค้า พระทำธุรกิจไม่ได้ ภิกษุ โย ปน ภิกฺขุ ชาตรูปรชตํ อุคฺคณฺเหยฺย วา อุคฺคณฺหาเปยฺย วา อุปนิกฺขิตฺตํ วา สาทิเยยฺย, นิสฺสคฺคิยํ ปาจิตฺติยํ. ภิกษุห้ามหยิบเงินและทอง ภิกษุห้ามเป็นเจ้าของเงินและทอง แล้วเขาไปทำธุรกิจร่วมกับร้านค้า เขาหยิบหรือไม่หยิบ ไม่ใช่หยิบนะ ทำธุรกิจเลย ผิดไหม? ผิดมาก

ถ้าผิดมากนะ ภิกษุทำให้ศรัทธาไทยตกร่วงเป็นอาบัติปาจิตตีย์ คนที่เขาเห็น คนที่เขารู้ เขาเห็นเรื่องศาสนา เขาก็ทุกข์ใจ เขาก็เสียใจ ทำศรัทธาไทยให้ตกร่วงเป็นอาบัติปาจิตตีย์ ทีนี้ฝ่ายปกครองเขาก็พยายามจะแก้ไข เขาก็พยายามจะรักษา แต่เขาทำไม่ได้เพราะคนมันเยอะหรือไง มันก็ต้องถามฝ่ายปกครองเนาะ แต่ผิดไหม? ผิด

ถาม : การทำบุญกับพระที่รับสังฆทานแล้วยังจะเกิดบุญให้ผู้ตาย ถึงหรือไม่?

หลวงพ่อ :การรับสังฆทานนี่นะ เห็นไหม กลางวันวันนี้พูดเรื่องปฏิคาหก เห็นไหม บอกเลยว่าผู้รับ ผู้ให้ให้ด้วยบริสุทธิ์ สิ่งของให้ด้วยบริสุทธิ์ ผู้รับต้องบริสุทธิ์ ผู้รับรับมา เขาถวายสังฆทานเพื่ออะไร? สังฆทานเพื่อสงฆ์ สงฆ์นี่ต้องใช้สอยใช่ไหม? แต่นี่สงฆ์เอาออกไปทำธุรกิจอีก

พระกรรมฐาน (โทษนะ) ถ้าพระกรรมฐานครูบาอาจารย์เราท่านทำไม่ได้หรอก แต่พระกรรมฐานที่อื่นทำหรือเปล่าเราก็ไม่รู้นะ เพราะกรรมฐานเดี๋ยวนี้ไม่เชื่อใจเลย ไม่เชื่อใจ มันไม่น่าทำ ถ้าพูดถึงพระเวียนเทียนพระบิณฑบาตอยู่กับที่แล้วเวียนเทียน สังฆทานเวียนเทียนมันก็เหมือนกัน ไม่ต่างกันหรอก เพราะอะไรนะ?

เพราะบวชมาแล้ว พระพุทธเจ้าบอกเลย เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เวลาพระกรรมฐาน เขาบอกว่าไม่มีการศึกษา ไม่ศึกษาได้อย่างไร? อุปัชฌาย์บอกแล้ว กรรมฐาน ๕ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ให้อนุโลมปฏิโลม ให้ย้อนกลับๆ งานแค่นี้เขาก็ทำกันไม่ได้แล้ว ถ้าทำงานนี้ได้นะ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ถ้ามองทะลุหมดนะสุดยอดพระเลย สุดยอดพระ งานของตัวมีไม่ทำ ไปทำอะไรก็ไม่รู้ แล้วมาเวียนเทียน

อย่างนั้นแล้วนะ หลวงตาท่านเพิ่งเทศน์เมื่อ ๒ วันนี้ ฟังเทศน์หลวงตาทุกวัน ท่านบอกว่า ถ้าพระยังเห็นแก่ปากแก่ท้อง มรรคผลไม่ต้องพูดถึง พระปฏิบัติจะไม่เห็นแก่ปากแก่ท้อง ถ้าเห็นแก่ปากแก่ท้องเรียกว่าติดสุข ถ้าออกธุดงค์จะไม่ได้อาหารอย่างที่เราปรารถนาเราต้องการ กิเลสมันผูกโซ่ไว้ตั้งแต่ยังไม่ออกจากวัดเลย แล้วมันจะออกธุดงค์ ออกฆ่ากิเลสได้อย่างไร?

ถ้าพระไม่เห็นแก่ปากแก่ท้อง จะมีสิทธิ์ได้มรรคผลนิพพาน นี่ไง ถ้าไม่เห็นแก่ปากแก่ท้อง แล้วของที่เขาถวายมา มันจะไปยึดไว้ทำไม แล้วได้มา แล้วพระที่เขาในวัดมันไม่มีใช้พระทั่วไป แล้วพระที่เขาขาดแคลนทั่วประเทศไทย ถ้าไม่มีพระจะให้ คุกก็ให้ได้ กรมทหารก็ให้ได้ ถ้าคนจะคิดให้เป็นบริสุทธิ์เป็นทานนะ แหม ปัญญา มันใช้ได้ร้อยแปดเลย ถ้าคุณงามความดี แต่นี่มันไม่ใช้กัน ไม่อยากพูดเดี๋ยวแรง

เรื่องพลังจิตนะ เรื่องมโนมยิทธิ มันมีในพระไตรปิฎก นี่พูดถึงว่าการฝึกมโนมยิทธิ การฝึกมโนมยิทธิ มันมีจริง แต่การฝึกมโนมยิทธินะในหนังสือของ อย่าเอ่ยชื่อเขาเลยเนาะ เขาเอ่ยชื่อว่าการฝึกมโนมยิทธิ ไปสวรรค์นิพพานอะไรนี่ เราไม่เชื่อว่าไปได้ ถ้าไปสวรรค์ไปนิพพานได้ เราไปแล้วเราไม่กลับ เราจะอยู่นั่นเลย

ถ้าใครพาไปเที่ยวนิพพาน เราไปนิพพานเราจะไม่กลับแล้ว ขออยู่ กลับมาทำไม? มันไปไม่ได้ ไปไม่ได้ แต่มโนมยิทธิมีจริง แล้วถ้าการฝึกแบบนั้นนะ เพราะคำสอน เราศึกษามาทั้งหมด มโนมยิทธิเข้าสมาบัติ แม้แต่การเคลื่อนไหว ได้ตลอด

แล้วถ้าน้อมจิตออกไปวิปัสสนา แค่เคี้ยวหมาก เป็นพระอรหันต์ได้ไหม ได้ แต่ทำได้ไหม ไม่ได้ ไม่ได้ ถ้าคนหนึ่งทำอย่างนี้ได้นะ มันมีแต่ว่าผู้ที่ทำได้ผู้ที่สร้างบุญญาธิการมา ไม่ได้เพราะอะไร? ไม่ได้นะพอเข้าสมาบัตินะ พอเข้าสมาบัติ ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ เวลาขึ้นไป เวลาขึ้นไปแล้วถอยกลับ ขึ้นไปแล้วถอยกลับ เวลาผ่านแต่ละขั้นตอนขึ้นไป มันจะเป็นอย่างไร?

พอขึ้นไป แต่ละขั้นตอนมันก็ติดแล้ว มันจะบอกว่าตรงนี้นิพพาน ตรงนี้นิพพาน ตรงนี้นิพพานไปตลอดไป เราถึงบอกนะ เวลาเทศน์ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ไปเรียนกับอาฬารดาบสเห็นไหม อาฬารดาบสบอกว่า เจ้าชายสิทธัตถะ มีความรู้เสมอเรา

แม้แต่นะ อาฬารดาบสอาจารย์การันตีลูกศิษย์เลยว่ามีความรู้เสมอเรา เจ้าชายสิทธัตถะยังปฏิเสธเลย เพราะออกมาแล้วมันเป็นปุถุชนน่ะ เวลา เทวทัต เข้าฌานสมาบัติได้ เหาะเหินเดินฟ้าได้ แปลงกายได้ ทำไมมีจิตใจคิดจะล้มล้างพระพุทธเจ้าล่ะ? สมาบัติมันแก้กิเลสได้ไหม? สมาธิมันแก้กิเลสได้ไหม? มันไม่ได้สักอย่าง

แล้วไม่ได้สักอย่าง แล้วตัวเองมีกิเลส ตัวเองมียางเหนียวน่ะ เรามีกาวยางเหนียวปะน่ะมันจะติดไหม? ร้อยเปอร์เซ็นต์ มีกาวปะอยู่ที่ไหนมันก็ติด กิเลสเป็นยางเหนียว กิเลสเป็นกาว แล้วมันก็ไปแปะติด เอาสมาบัติอยู่นั่นน่ะ แล้วสมาบัติมันจะไปไหน? ทำได้ไหมโดยทฤษฎี? ได้ แต่ทำโดยปฏิบัติได้ไหม? ไม่ได้ ติดหมด ติดหมด เพราะอะไร? เพราะว่านิพพานๆ กัน แล้ว ไปเที่ยวสวรรค์ ไปเที่ยว

สวรรค์เรายืนยันอยู่แล้วเห็นไหม สวรรค์ในอกนรกในใจมีจริง สวรรค์-นรกน่ะมีจริง แล้วขนาดที่พวกเรา เห็นไหม เวลาพระกรรมฐานเราอยู่ในป่าเห็นไหม เวลาเสือมา เวลาสิ่งต่างๆ มา เสือเทพก็มี เสือจริงก็มี แล้วเทพคืออะไร? เทพ เทพคืออะไร?

เทวดา อินทร์ พรหม พวกโยมมองกันว่าเป็นสิ่งที่ว่ามหัศจรรย์นะ เรามองว่าพวกนี้ติดบ่วงนะ บ่วงแห่งวัฏฏะอยู่ตลอดเวลา ไปเสียเวลาอยู่ที่นั่น เพราะอะไร? เดี๋ยวเทวดา อินทร์ พรหมจะตายหมดเลย แล้วลงมาเกิดใหม่ ถ้ามีบุญกุศลเทวดาเขาอวยพรกันนะ เวลาเขาแสง เทวดาเขากินวิญญาณาหาร คือกินความรู้สึกความนึกคิด

พอความนึกคิด เวลาอาหารเขาเริ่มจางลง แสงก็เริ่มบางลง อาหารก็เริ่มพร่องลงเขาจะหมดอายุ เขาต้องตาย เวลาเขาจะตายเขากันรู้หมดเลย ตาย เขาจะมาอวยพรกัน เขาจะมาปลอบใจกัน เทวดาเขาปลอบใจกันนะ

“เวลาตายจากเทวดาแล้วขอให้ไปเกิดเป็นมนุษย์เถิด เกิดเป็นมนุษย์แล้วขอให้พบพระพุทธศาสนา เพื่อได้ทำบุญกุศลขึ้นมาเกิดเป็นเทวดาอีก”

วุฒิของเทวดามีเท่านี้ นี่ไง เขาถึงไม่รู้อะไรเลยไง เทวดา อินทร์ พรหม นี่ไม่รู้อะไรเลยนะ ไม่รู้ ไม่รู้เรื่องอริยสัจ แต่รู้เรื่องความคิด รู้เรื่องความรู้สึกของโยม เพราะอะไร? เพราะยึดความคิดเป็นวัตถุ ความคิดเป็นสสาร มันเป็นสถานะของเขาไง แต่เขาไม่รู้เรื่องอริยสัจ ไม่รู้เรื่องของ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ไม่รู้

ถึงต้องมาฟังธรรมหลวงปู่มั่น ต้องมาฟังธรรมครูบาอาจารย์ นี่ไง เวลาเทวดาเขาจะตาย แล้วนี่ไปเที่ยวสวรรค์ไปเที่ยวอะไร ไม่อยากพูด ไม่อยากพูดเลย วัฏฏะๆ นรก-สวรรค์นะ ฮึ เอาเท่านี้พอเนาะ เปล่า มันเกี่ยวกับไอ้นี่ด้วย มันเกี่ยวกับว่าศาสนา ความสัมพันธ์ของศาสนา เรามาเพื่อศาสนา องค์กรของศาสนาให้มั่นคง

ที่เราพูด เราพูดเรื่องธรรมะนะ ธรรมะคือถูกกับผิด เหตุและผลก็คือธรรม เราพูดธรรมะ เราไม่ได้พูดตัวบุคคล ถ้าพูดถึงตัวบุคคล มันไปเกี่ยวพันกัน แล้วเกี่ยวพันกัน มันจะออกไปนอกลู่นอกทาง แต่ถ้าเราไม่พูด เรื่องทฤษฎี เรื่องข้อเท็จจริง เรื่องข้อเท็จจริงในการปฏิบัติ แล้วเราจะทำอย่างไรกัน

ที่เราพูด เราพูดธรรมะนะ เวลาเราพูดถึงข้อเท็จจริง เราเอาหัวชนฝาเลย แล้วนั่งอยู่ที่นี่นะ แล้วเดี๋ยวคืนนี้กลับ แล้วถ้าใครมีข้อเท็จจริงข้อดีข้อเสีย เราอยู่ที่วัด ไปได้ทุกเวลา ถ้ากลัวไม่เจอขอให้นัด ขอให้นัด อะไรก็ได้ ข้อเท็จจริง นรก สวรรค์ สวรรค์ในอกนรกในใจ สำคัญมาก

เพราะว่าสิ่งที่เหตุที่ไปไง เหตุสกปรกสะอาด แล้วเวลาวิปัสสนาไปภาวนาไป มันจะตัด มันจะตัดเลยนะ ทำไมรู้ว่าไม่เกิดเป็นกามภพ พระอนาคา ไม่เกิดเป็นกามภพแล้ว เกิดบนพรหม มันรู้ได้อย่างไร? มันตัดอะไรทิ้ง? เราทำอะไรมันถึงจะไม่เกิดอีก? แล้วมันทำมันเหลืออะไรที่เกิดบนพรหม?

ภวาสวะภพนี่ แล้วทำอย่างไร? จะทำลายสิ่งที่เกิดบนพรหม แล้วให้หมดไปอย่างนี้ทำอย่างไร? สิ่งนี้เป็นเหตุนะ สิ่งนี้เป็นเหตุ แล้วมันไปเกิดผลคือเทวดา อินทร์ พรหมนะ แล้วเราทำลายตรงนี้ ทำลายเหตุด้วย แล้วเหตุนี้ผลมันคือวิบากที่รอรับอยู่ เราทำลายเหตุแล้ว เราใช้หนี้หมดแล้ว เจ้าทุกข์ที่ไหนจะมาทวงหนี้อีก

ถ้าเราเป็นหนี้นะ เดี๋ยวเขาจะเอาหมายศาลมาติดหน้าบ้าน เหตุจากใจนะ แล้วเหตุจากใจแล้ว พอใจมันพ้นจากเหตุแล้ว แล้วทำไมมัน มันจะไปรู้ไปดูไม่ได้ ไปได้ทั้งนั้นน่ะ แต่ไปทำไม? ไปเที่ยวนรก-สวรรค์ มันเที่ยวนะวิปัสสนึกก็มี อุปาทานหมู่ก็มี อุปาทานหมู่นะ ชักนำกันนะ

ถาม :กราบนมัสการ เรื่องเห็นทุกข์ก็จะเห็นธรรม

หลวงพ่อ :เรื่องเห็นทุกข์จะเห็นธรรมนี่นะ ถ้าเห็นทุกข์จะเห็นธรรม เห็นทุกข์ มันเห็นไหม เห็นทุกข์ เห็นที่ตั้ง เห็นจุดสตารท์ การเห็นทุกข์มันจะเห็นธรรม พวกเรา เราพูดว่าพวกเรา ไม่เคยเห็นทุกข์ พวกเรา เห็นแต่ผลที่เกิดจากทุกข์ เกิดจากทุกข์เพราะเราไม่พอใจ เราขัดใจ เราเคืองใจแล้วถึงเป็นทุกข์

ทุกข์อันนี้มันเป็นทุกข์ ทุกข์โดยอาการ แต่มันต้องมีเหตุ เหตุเห็นไหม ตัวทุกข์ ตัวทุกข์อยู่ที่ไหน ตัวทุกข์ ชาติปิ ทุกขา ตัวภพตัวชาติคือตัวทุกข์ ไม่ใช่เหตุที่เราขาดแคลนเรามีสิ่งใดเป็นทุกข์นะ เหตุที่ทุกข์ มันอยู่ที่นั่น ผู้ใดเห็นทุกข์จะเห็นธรรม เราจะบอกว่าผู้ที่ไม่ทุกข์ไม่ยากไม่อดไม่อยาก

เราเคยธุดงค์อยู่ในป่า แล้วไม่มีข้าวกิน วันหนึ่งมีพวกพรานป่า เขาไปเที่ยวป่า แล้วเขาไปเจอเรา เขาใส่บาตรเราข้าวเหนียวก้อนหนึ่ง อยู่ภาคอีสาน ตั้งแต่เกิดมานะไม่เคยกินข้าวอร่อยเท่าข้าวเหนียวก้อนนั้นเลย หวานมาก ติดใจมาจนป่านนี้นะ เพราะมันไม่มีจะกิน มันไม่มีอะไรกิน แล้วเขาให้ข้าวเหนียวก้อนหนึ่ง

เขาเป็นนายพรานป่า เขามีแต่ข้าวเหนียวติดตัวไป แล้วเขาไปหาเสบียงเอาข้างหน้า เขาไปเจอเราในป่า เขาใส่บาตรข้าวเหนียวคนละก้อน คนละก้อน อร่อยมาก หวานสุดๆ เลย มันถึงซึ้งมาก ไม่ทุกข์ไม่ยากไม่อดไม่อยาก

เราเคยทุกข์เคยยากมา (โทษนะ) ไม่ใช่อวดนะ นี่มาพูด จะพูดว่ามันเคยสัมผัสมา มันเคยสัมผัสมา มันเคยได้สัมผัสสิ่งนี้มา มันจะไม่รู้ได้อย่างไร? สัมผัสโลกก็สัมผัส สัมผัสภายในก็สัมผัส ไม่ทุกข์ไม่ยากไม่อดไม่อยาก

ทีนี้เห็นทุกข์มันจะเห็นธรรมได้อย่างไร? เห็นทุกข์นะพอเห็นทุกข์ เห็นทุกข์มันเป็นเหตุ ถ้าเหตุ ถ้ามีความเข้าใจเอาเหตุตั้งนะ ทุกข์ ทุกข์ควรกำหนด ไปรบกับทุกข์ ทุกข์มันเป็นผลใช่ไหม? ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์เหตุมันคืออะไร เหตุมาจากสมุทัย ตัณหาความทะยานอยาก ความพอใจ ความไม่พอใจ ความผลักไส ความต้องการ ความต่างๆ มันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์กำหนด

ทุกข์นี่มันมาจากไหน? มันก็สาวไปหาเหตุ หาเหตุด้วยวิธีการอะไร? วิธีการอะไร? ด้วยวิธีการของมรรค ถ้าไม่มีมรรคมันจับตรงนี้ไม่ได้หรอก ทุกคนนะบอกว่าวิปัสสนา วิปัสสนานะ ในทางกฎหมายนะ เรารู้ว่าคนนี้เป็นคนโกง คนนี้เป็นคนทำลายเขา เรารู้ด้วยการสืบสวนแต่เราไม่สามารถจับจำเลยได้ เราเอาขึ้นศาลได้ไหม? ถ้าใครเห็นทุกข์ เห็นจำเลย เห็นจำเลยนะตัดสินกันด้วยมรรคญาณ เนี่ยขึ้นศาล

วิปัสสนาคือการไต่สวน ไต่สวนตรวจสอบผิดถูกอย่างไร? แล้วถึงที่สุดแล้ว เรา ผิดร้อยเปอร์เซ็นต์เพราะมันคิดโดยกิเลส แต่ขณะขึ้นไต่สวนตรวจสอบ คือวิปัสสนา แล้วถ้าจับทุกข์ไม่ได้ จับกาย เวทนา จิต ธรรม ไม่ได้โดยจิต จิตเห็นจิต มันคือว่าจิตคือจิตที่เขาดูกัน มันไม่เห็นจิตคือมันไม่เห็นจำเลย ไม่มีจำเลย ไม่มีการไต่สวน ไม่มีสิ่งใดๆ เลย มันจะเป็นธรรมไปไม่ได้

เห็นทุกข์มันจะเห็นธรรมอย่างไร? เห็นทุกข์ พอเห็นทุกข์ขึ้นมา เราจับทุกข์เห็นไหม ทุกข์ควรกำหนด สมุทัยควรละ ควรละด้วยวิธีการของมรรค เห็นไหมมรรค ทุกข์ เหตุที่เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ เห็นทุกข์แล้วจะเห็นธรรม เห็นทุกข์แล้วไม่คิดไปดับมันก็ไม่เห็นธรรม เห็นทุกข์ก็โอดโอยร้องไห้อยู่นี่ มันก็ทุกข์ต่อไป เห็นธรรมไม่ได้หรอก เห็นทุกข์แล้วต้องมีการกระทำ มีวิปัสสนาแล้วจะเห็นธรรม เพราะทุกข์มันจะเตือน

อย่างพวกเรา เราจะบอกมนุษย์ แหม สุดยอดเลย ลองไม่กิน พรุ่งนี้หิวน่าดูเลย ทุกข์มันเตือน ทุกข์มันบีบคั้นอยู่ตลอด แต่พวกโยมนอนใจกันเอง มนุษย์นี่ทุกข์มันบีบคั้นอยู่ พญามัจจุราช มันเยื้องกรายเข้ามาตลอด แต่นอนจมกันเองไม่มีสติสัมปชัญญะ

ครูบาอาจารย์ท่านพูดนะ ถ้าพระเรา การกระทำโดยที่ไม่มีสติสัมปชัญญะ ท่านบอกว่า “ศพเดินได้” คือมันไม่มีจิตวิญญาณไง มันก้าวเดินไปแบบซากศพไง ครูบาอาจารย์ ท่านต้องเอาปฏักทิ่ม เพื่อจะให้พวกเรา ได้ตื่นตัว พอตื่นตัว “ทุกข์ควรกำหนด สมุทัยควรละ” ด้วยมรรคญาณจากภายในหัวใจ

งานอย่างนี้เป็นงานอันประเสริฐ ไอ้หน้าที่การงานหาอยู่หากินทุกข์ๆ ยากๆ มันหาปัจจัยเพื่อมาเลี้ยงปาก เลี้ยงปากใคร? เลี้ยงไม่เลี้ยงก็ต้องตาย ต้องตายแล้วก็ต้องเกิด แต่ถ้ามันเห็นธรรม มันจะวิปัสสนาเข้ามา อย่างที่ว่าเมื่อกี้ จะไปเกิดที่ไหนจะไปตายที่ไหนรู้หมด ถ้าไม่รู้เป็นพระอรหันต์ไม่ได้

พระอรหันต์ รู้หมดเลย เพราะพระอรหันต์ไม่มีความลังเลสงสัยในวัฏฏะ ในชีวิต ศาสนา การตอบมันจะตอบเรื่องชีวิตเรานี่ไง ชีวิตนี้มาจากไหน? ที่นั่งกันอยู่นี่มาจากไหน? ชีวิตนี้มาจากไหน? ชีวิตนี้คืออะไร? ตายแล้วไปไหน? ศาสนานี่ตอบหมดในหัวใจ ถ้าไม่ตอบสิ้นกิเลสไม่ได้

ศาสนา ตอบเรื่องชีวิตได้หมดเลย ตอบตั้งแต่ที่มาเกิดนั่งอยู่นี่เลย ชาติที่แล้วเป็นอะไร? ทำไมมาเกิดเป็นคนนี้ แล้วคนนี้ทำไมมีฝักใฝ่ในการปฏิบัติ แล้วถ้ามีอำนาจวาสนาเจอครูบาอาจารย์ที่ดีปฏิบัติในทางถูกต้อง ถ้ามีอำนาจวาสนามาเกิดมาเป็นผู้ใฝ่ปฏิบัติ แต่ไปเจอเปรต เปรตมันพาตกนรก

ถาม: อยากให้ท่านอาจารย์อธิบายเรื่องจิตเห็นจิต

หลวงพ่อ :อันนี้ผ่านแล้ว หมดซีกนี้ใช่ไหม ผ่านไปแล้ว อันนั้นหมดไปแล้ว เดี๋ยวมันจะหมดปัญหาแล้วสินะ

ถาม: อยู่เฉยๆ การเห็นจิตสงบเย็นจิตหนึ่งถึงเฉพาะหน้า แล้วรู้เห็นอารมณ์ต่างๆ เกิดขึ้น ตั้งอยู่แล้วดับไปอยู่อย่างนี้เป็นประจำ แต่กิเลสก็ยังไม่หมดไป นี่ควรทำอย่างไรเพิ่มเติม?

หลวงพ่อ :ใช่ การจิตเห็นจิตนี่นะ เวลาจิต ขณะที่จิตสงบเย็นอยู่กับหนึ่งโดยเฉพาะหน้า แล้วรู้ตลอดเวลาโดยอารมณ์ต่างๆ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ก็ดับไป เหมือนเมื่อกี้ เหมือนเมื่อกี้คือว่าถ้าเรามีจุดยืน ขณะที่เราตั้งอยู่นี่นะ มันเหมือนกับเราปฏิเสธทุกๆ อย่างนะ

บางทีนะครูบาอาจารย์ท่านเทศน์ ท่านก็บอกว่า ทุกอย่าง เราจะพูดบ่อยว่าสมถะ เหมือนกันหมดเลย เพียงแต่ทำแล้วจะเป็นมิจฉาหรือสัมมาเท่านั้น แต่ถ้าวิปัสสนา มันมีขั้นตอนหนึ่ง ทีนี้จะบอกว่า ถ้าจิตมันสงบเย็น เห็นไหม พอสงบเย็น แล้วมันอารมณ์เข้ามา มันอยู่เฉย แต่กิเลสก็ไม่หมดไปเลย มันไม่หมดหรอก มันหมดไปไม่ได้

ถ้าจิตมันสงบนี่นะ ทำไมมันถึงสงบล่ะ แล้วสงบ ทำไมมันไม่มีจุดยืนล่ะ เราถึงว่าเราพูดบ่อยมากเลย เวลาเพราะพูดบ่อยเลย อยู่ที่วัดนะ แล้วทุกคน เราทุกคนจะมีญาติพี่น้อง พอญาติพี่น้อง บางคนเขาไปหาเรา แล้วญาติพี่น้องเขาปฏิบัติอะไร? เขาก็จะไปบอกญาติพี่น้องเขาไปหาเรา

ไปทีไรนะบางคนปฏิบัติมา ๒๐ ปี ๔๐ ปี ว่างๆ ว่างๆ ให้ทำอย่างไรต่อไป? เราด้วยความสำคัญ ด้วยเรื่องของศาสนา ถ้ามันว่างๆ อย่างนี้นะ ถ้ามันเป็นการปฏิบัติธรรม ถูกไหม? ถูก อ้าว ถูกแล้วล่ะ อ้าว แล้วถ้าจะหวังมรรคหวังผล มันก็จะเข้าอันนี้ไง แล้วมัน แต่กิเลสก็ไม่หมดไปสักที ควรจะทำอย่างไรต่อไปเห็นไหม

เขาก็บอกว่า ก็มันว่างๆ อย่างนี้ แล้วก็ทำอย่างนี้มันก็ตันอยู่อย่างนี้ เราบอกนะ มันว่างเพราะเราไปสร้างอารมณ์ว่าว่าง พอสร้างอารมณ์ว่าว่าง เราไปสร้างอารมณ์ว่าว่าง เราไม่เป็นอิสระ เรานี่ทำงานไม่ได้ จริงนะ เราจะกำหนดอะไรก็แล้วแต่

ถ้าดูจิต มันจะว่าง มันจะว่างเพราะอะไร? เพราะโดยธรรมชาติของมันก็ว่างอยู่แล้ว เพราะจิตนี้เป็นนามธรรมแต่มีอยู่ พอจิตนี้เป็นนามธรรม เราคิดตามอารมณ์ไป ตามธรรมะไป ตรึกธรรมะไปมันจะว่าง วิตก วิจาร พุทโธๆ คือวิตก วิจาร แล้วตรึกในธรรมะ ตรึกในอะไร? มันก็จะว่าง เพราะอะไร?

เพราะเราเอาอารมณ์ความรู้สึกที่เราคิด มาคิดเรื่องธรรมะ ตรึกในธรรมไง พอตรึกในธรรม มันก็ว่าง มันก็ว่าง ถ้าตรึกในธรรมนะ ถ้าตรึกในธรรมโดยมีสติ มันมีสติเห็นไหม มันก็เป็นสัมมาใช่ไหม? แต่ถ้าเรากำหนด เราไม่เข้าใจว่าตรึก เราก็กำหนดของเราไปว่าเป็นวิปัสสนา วิปัสสนา วิปัสสนามันก็ว่าง ว่าง มันว่าง แต่ว่างไม่มีสติ

เราถึงบอกเขาว่าเป็นมิจฉาสมาธิ ถ้าเป็นสัมมาสมาธิ มันจะมีสติควบคุมตลอด พอมีสติไป เห็นไหม สติจับ ความคิดจะมาขนาดไหนถ้าสติดีๆ มันปิดกั้นได้หมดเลย ถ้ามันพอปิดกั้นขึ้นมา ความคิดมันเกิด สติจับ ปัญญาตัดเห็นไหม ถ้ากิเลสมันจะหมด มันก็ต้อง ต้องทำ ต้องตั้งสติ

ถ้ากำหนด สงบเย็น ทำมาแล้วมันสงบ มันสงบ อารมณ์ มันสงบต่างๆ มันเกิดขึ้นดับหมดๆ มันเกิดดับ ทุกอย่างก็เกิดดับ แต่เกิดดับแล้วได้อะไร? ไฟฟ้าก็เกิดดับ เดี๋ยวปิดไฟดับหมด แล้วเราเปิดขึ้นมามันก็ติดอีกแล้ว พอดับมันก็ดับอีกแล้ว ความรู้สึกเราก็เกิดดับ

เราพูดเหมือนวันนี้เห็นไหม เราบอกเลยเห็นไหม ชีวิตนี้มันเหมือนพลังงาน ทางวิทยาศาสตร์เขาบอกว่าชีวิตนี้เหมือนพลังงาน ก็ไปเอาแบตเตอรี่มาเอาถ่านไฟฉายมาชีวิตคือพลังงาน พลังงานอย่างนี้มันพลังงานไม่มีชีวิต แต่ธาตุรู้ มันเป็นพลังงาน แต่มันมีชีวิต มันสืบต่อ แล้วพอมัน เวลาเราตายจากชาตินี้ แต่จิตมันไม่ตาย พลังงานนี้ตายไม่เป็น

พอพลังนี้ตายไม่เป็นพลังนี้ก็ไปเกิดใหม่ ถ้ามันไปเกิดใหม่เห็นไหม พลังนี้ไปเกิดใหม่ ถ้าเรามีสติล่ะ ถ้ามีสติ มันก็เข้าไปถึงพลังตัวนี้ แต่เราไม่มีสติไง ว่างๆ ไหม? ว่าง ว่าง ๔๐ ปี ๕๐ ปีนะ

มันมีนะ มีข้าราชการผู้ใหญ่คนหนึ่งไปหา เพราะว่าเพื่อนเขาพาไปหา เขาก็บอกว่า เขากำหนดผ่านแล้ว ผ่านกาย ผ่านทุกอย่างหมดแล้ว แล้วเขาพูดไปอย่างนี้ แล้วบอกจะให้ทำอย่างไร? เราบอกให้พิจารณากาย ก็พิจารณามาแล้ว ผ่านหมดแล้ว แต่พอเขาสรุปนะต้องรีบกลับแล้ว ไปทำไม? ไปทบทวน

มันท่องจำ ต้องไปทบทวน เขาจะทบทวนกันอยู่ตลอดเวลา แต่ถ้ามันเป็นความจริงนะ เราต้องทบทวนไหมความรู้สึกเราต้องทบทวนไหม? ไม่ต้องทบทวน ทุกอย่างมันเป็นของ เรารู้ของเราตลอด มันจะย้อนกลับมา เพราะถามว่าให้ทำอย่างไรไง

พอให้ถามว่าให้ทำอย่างไร เพราะโดยความรู้สึกของเรา เราว่ามันเป็นความว่าง มันเป็นสภาวะแบบนั้น เราก็เข้าใจว่ามันเป็นความว่าง เราเข้าใจ แล้วควรทำอย่างไร? ควรทำอย่างไรนะ สัมมาอรหังก็ได้ พุทโธ ก็ได้ อานาปานสติก็ได้ ปัญญาอบรมสมาธิก็ได้

ปัญญาอบรมสมาธิคือใช้ความคิด ปัญญาชน พุทธจริต ศรัทธาจริต เราดูที่จริตนี่ไง ถ้าดูที่จริต ใช้ปัญญา ใช้ปัญญาสติตามไป ตามไป แล้วคอยดูสิเวลามันหยุด กับความว่างๆ ที่เราว่าว่างๆ มันจะต่างกันไหม? ถ้ามันต่างกัน นี่สันทิฏฐิโก มันเป็นสิ่งที่เราตรวจสอบเอง เราเปรียบเทียบเอง

สิ่งที่มันเคยว่างเห็นไหม เราคิดว่าว่างๆ กันอยู่นี่ เพราะมันไม่มีสติ เราไม่เคยทำให้มันเป็นรูปธรรมขึ้นมา แต่เวลาทำขึ้นมาให้มันถูกต้อง โดยกรรมฐานโดยความเป็นจริงที่ถูกต้อง แล้วถ้ามันว่างมาพิสูจน์กัน เรานี่พิสูจน์ มันหลอกกันไม่ได้หรอก การศึกษา ถ้าเราศึกษาไม่หยุด ทันกันหมดนะ

การปฏิบัติก็เหมือนกัน ถ้ามีวาสนา ลูกศิษย์เห็นไหมหลวงปู่มั่นท่านยังไปสอนหลวงปู่เสาร์เลย ทั้งๆ ที่หลวงปู่เสาร์เป็นอาจารย์นะ แล้วเวลาครูบาอาจารย์ของเรา ประพฤติปฏิบัติขึ้นไปแล้ว มันทันกัน เราถึงบอกเวลาพูดเห็นไหม ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอรหันต์ต้องเป็นอย่างนั้นๆ

เป็นอย่างนั้นเพราะว่าเวลาพระไตรปิฎกเขียนถึงกิริยาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ โอ้โฮ เป็นศาสดา เป็นแบบอย่าง นอนสีหไสยาสน์ โอ๋ย จะเรียบร้อยมาก เคลื่อนไหวไป สวยงามมาก ก็เป็นพระอรหันต์เหมือนกัน พระสารีบุตร พระอรหันต์ที่ว่าไอ้ถ่อยๆ ก็พระอรหันต์เหมือนกัน แล้วไอ้ถ่อย ไอ้ถ่อย มันเป็นพระอรหันต์หรือเปล่าล่ะ?

นี่ไง เวลาเขียน ในตำราเขียนถึงกิริยาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่พระอรหันต์ มันก็มีหลายหลากมา กิริยาต่างๆ มันมีหลายหลากมา ถ้าหลายหลากอย่างนี้ มันปล่อยให้มันเป็นความจริงอย่างนี้ มันก็เป็นความจริงอย่างนี้ มันเป็นเกิดมาจากภายใน จะอย่างไรก็แล้วแต่นะ มันคุยกันได้ มันทันกันได้ มันตรวจสอบกันได้ ทันกัน การศึกษาทางโลกเขาทันกัน การปฏิบัติก็ทันกัน

ถ้าโยมปฏิบัติเดี๋ยวนี้ ถ้าโยมบรรลุธรรมเดี๋ยวนี้ โยมจะจับผิดเราได้ตลอดเลย ไอ้ที่พูดๆ อยู่นั่นโกหกทั้งหมดเลยน่ะ แต่ตอนนี้จับไม่ทัน ถ้าทันนะ มันทันกันเพราะใจของเรา หัวใจของเรา เราทำของเราได้ แล้วถึงจุดนั้นนะทันกันหมดเลย โกหกกันไม่ได้หรอก

ในสังคมไทยนี่แคบๆ ในพระกรรมฐานเรา รู้จักชื่อรู้จักหน้าตากันหมด ใครเป็นอย่างไรนี่รู้กัน ฉะนั้นการพูด ถ้าพูดแล้วมันมีหลักฐานทั้งหมด มันเป็นสิ่งที่มันจะกลับมาถึงเราได้นะ แต่เวลาพูด มันก็พูดด้วยความสงสาร หลวงตาท่านพูดอย่างนี้เลยว่าท่านเป็นนักล่าอาจารย์

เวลาเรามา เรานักล่าโยม เรามาหาโยมเอง เพราะมาพูดให้โยมได้ฟังเรื่องอย่างนี้บ้างไง เพราะสิ่งที่ว่าเป็นหลักเป็นแก่นของศาสนานะ หลักแก่นของศาสนา หลวงตาท่านพูดอย่างนี้ ท่านพูดบอกว่าเหมือนกับเรา ถือมีดไว้เลย มีสิ่งใดเหตุการณ์ขึ้นมา ใช้ได้ตลอดเวลา

แต่ถ้าเราศึกษานะ เราเอามีดไว้ในครัว แล้วตอนนี้นั่งอยู่ เขาบอกจะใช้มีด โยมเอาที่ไหน มันต่างกันไง มันไม่เป็นปัจจุบันธรรม ถ้าเป็นความจริง มันเกิดได้เดี๋ยวนี้ เหตุการณ์ทุกอย่างคลี่คลายได้หมด มันทันหมด แล้วพูดถึงว่าการประพฤติปฏิบัติ มันทันกัน

ถ้าเวลาทันกัน เวลาตรวจสอบกันนี่ อาจารย์ไม่อายลูกศิษย์เหรอ? สมาธิเป็นอย่างนี้ๆ ไปถามอาจารย์ อาจารย์บอกไม่ใช่ ทั้งๆ ที่เราเป็น อาจารย์อายลูกศิษย์ไหม?

ครูบาอาจารย์ท่านพูดบ่อยนะ ถ้าครูบาอาจารย์องค์ไหนภูมิธรรมในใจหัวใจขั้นสมาธิก็สอนได้ขั้นสมาธิ ภูมิธรรมขั้นไหนก็สอนได้ขั้นนั้น

แต่ถ้าภูมิธรรมของลูกศิษย์ที่ไปเจริญก้าวไกลกว่า จะไปตรวจเช็คอาจารย์ได้หมดเลย สิ่งนี้มันอยู่ในใจเรานะ ธรรมะนี่ประเสริฐ แล้วเรื่องนรก-สวรรค์อะไรนี่ มันเป็นวัฏฏะมันเป็นผล มันเป็นผล แต่เราอยากให้โยมเชื่อ เราอยากให้โยมเชื่อว่าวัฏฏะมันมี กรรมมันมี ผลมันมี แล้วเราจะไม่ทำสิ่งที่ผิดๆ ไง สิ่งที่เราเชื่อ เชื่อถือธรรมะนี่นะ มันจะทำให้พวกเรา ไม่ทำสิ่งที่ผิดพลาดมากจนเกินไป

แต่พระที่บอกไม่มีๆ เราไม่อยากพูดเลยว่าเขาไม่อยากพูดเพราะมันสะเทือนใจเขา เพราะดูอย่างที่ว่า พระเวียนเทียน พระบิณฑบาต มันก็ทั้งนั้นน่ะเห็นไหม มันเหมือนกับเจ้าหน้าที่น่ะ พวกเรา ไปทำความผิดพลาด เราก็มีโทษส่วนหนึ่ง ตำรวจทหารเขาไปทำผิดโทษเขาหลายชั้นนะ เพราะอะไร? เพราะเขาเป็นเจ้าหน้าที่ เขาทำความผิดเสียเอง

นี่ก็เหมือนกัน เวลาโยมทำผิดนะก็กรรมของโยมนะ เวลาพระทำผิดนะเจ้าหน้าที่ทำผิดเสียเองน่ะกรรมมันหนักกว่าโยมนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไว้ในธรรมนะว่า ถ้าเราทุศีล เราบิณฑบาตเขามากิน เหมือนกลืนถ่านแดงๆ ลงคอ ถ่านก้อนแดงๆ นี่กลืนลงคอ เพราะทุกวันๆ มันให้ผลถึงขนาดนั้นนะ

ถ้าเราทำผิดน่ะ บวชมาแล้วไม่มีอาชีพ มีคนมาสนับสนุน คิดว่ามันเป็น กินอิ่มนอนอุ่น กิเลสมันตัวอ้วนๆ นะ ถ้ากินอิ่มนอนอุ่น มันคิดแต่เรื่องโลก ทุกข์มาก พระนะถ้ามันชำระกิเลสไม่ได้ ทำหัวใจไว้ไม่ได้นะทุกข์มากเลย เพราะมันเอาความคิดไว้ไม่อยู่

ความคิด มันดิ้นรนนะ มันเหมือนช้างตกมันในใจ แล้วมัน โอ้โฮ ทุกข์มากนะ แต่ถ้าทำได้นะสุขใดเท่าอย่างนี้ไม่มี “สุขใดเท่ากับความสงบของจิตไม่มี” เวลาพวกโยม อยากมีความสุขกัน ไปเที่ยวกันไปอะไรนะ เสียทรัพย์ เสียพลังงาน เสียทั้งหมดเลย อยากจะพักผ่อนนะนอนอยู่กับบ้านน่ะ นั่นล่ะพักผ่อนดีที่สุด

แล้วพระ จิตสงบ จิตที่มันไม่เคลื่อนไหว สุขมาก สุขมาก แล้วก็ว่าสุขยังไงล่ะ? มันสุขเวทนาเห็นไหม โลกนี้ว่าสุข-ทุกข์น่ะเป็นเวทนา แล้วพระอรหันต์ไม่มีเวทนาสุขอย่างไรล่ะ? นี่ไง วิมุตติสุขมันถึงไม่ใช่สุขโลกๆ ไง สุขโลกๆ นี่สุขด้วยอามิสไง สุขเวทนา ทุกขเวทนาไง

แต่สมมุติสุข วิมุตติสุข มันสุขโดยเอกเทศ สุขโดยตัวของมันเอง สุขโดยหนึ่งเดียว หนึ่งไม่มีสอง โลกนี้เป็นของคู่ สุขคู่กับทุกข์ ทุกอย่างตรงข้าม มืดคู่กับสว่าง ทุกอย่างคู่หมดเลย วิมุตติสุขนี้ไม่ใช่คู่ หลวงตาบอกว่า “ธรรมธาตุ” มันเป็นธรรม มันเป็นธรรมเหนือโลก มันเหยียบย่ำกิเลสไปทั้งหมด เอวัง