ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

เทศน์ที่ธรรมศาสตร์รังสิตครั้งที่๒ไฟล์๒

๑๑ เม.ย. ๒๕๕๑

 

เทศน์ที่ธรรมศาสตร์รังสิต ครั้งที่ ๒ ไฟล์ ๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๕๑
ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิต ต.คลองหนึ่ง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี

 

คนถามปัญหามันไม่อยู่ แล้วมันจะตอบให้ใครฟัง เจ้าของปัญหามันไปไหน (หัวเราะ) คนถามปัญหาไม่อยู่เว้ย ไม่มีอะไรเนาะ มา ใครมีเอามาก่อนเลย ปัญหาดีๆ ปัญหาเดียวนะ พูดถึงเย็นเลย เวลาคนมีสติสะตังนี่นะชีวิตมันควบคุมได้ เวลาคนเผลอ ถ้าคนเผลอเรอ การเผลอของเขาเห็นไหม การเผลอของเรา การเผลอของชีวิตเรา เราหลงไปในชีวิต

ถ้าเราหลงไปในชีวิตนะ เราจะเพลินไปกับโลก ทำไมบอกว่าเวลาเราอยู่กับโลก ไม่ใช่โลกเหรอ เราอยู่กับโลกมันก็เป็นโลกนะ อยู่กับโลกเป็นโลก แต่ถ้ามีสติเราเป็นธรรมนะ อยู่กับโลกโดยเราไม่ติดโลก อยู่กับโลกโดยไม่ติดโลกมันทำให้เราได้สร้างประโยชน์จากภายใน ถ้าสร้างประโยชน์จากภายในมันจะเป็นประโยชน์กับตนเอง

ถ้าเราไม่ได้สร้างประโยชน์จากภายในนะ แล้วไปทำงานกับโลก มันเป็นประโยชน์ภายนอกประโยชน์ภายในอย่างไร? ประโยชน์ภายนอกเห็นไหม ประโยชน์ภายนอกคือทำของเรา ทำธุรกิจการค้า ทำเรื่องโลกๆ เป็นของเรา

ถ้าประโยชน์ภายในของเราล่ะ ประโยชน์ภายในเราแค่ตั้งสติ เรานึกถึงชีวิตของเรา ถ้าเรานึกถึงชีวิตของเรา ชีวิตเราจะมีคุณค่า มีคุณค่านะ เวลาเรากำหนดมรณานุสติเห็นไหม เราจะเห็นคุณค่าของชีวิตเลย เห็นคุณค่าของชีวิตว่าชีวิตนี้เป็นอย่างไร แต่เวลาเราไม่ได้กำหนดมรณานุสติ แต่เราทุกข์ในโลก

เวลาเราทุกข์ในโลกนะ เราทำหน้าที่การงานต่างๆ เราแสวงหา เรามีอาชีพต่างๆ ของเราเห็นไหม เราทำลงไปมันเศร้าสร้อยหงอยเหงาของโลกนะ มันเศร้าสร้อยหงอยเหงาเห็นไหม มันไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ มันมืดแปดด้าน มันมืดไปหมดนะ ที่มาก็ไม่รู้จัก ที่อยู่ในปัจจุบันก็ไม่รู้จัก แล้วที่จะไปข้างหน้าก็ไม่รู้จัก ไม่รู้จักไง เห็นไหม คนหลง หลงในชีวิตของตัวเองไง แล้วก็ว่าเกิดมาในปัจจุบันนี้ไม่รู้จักที่ไปที่มาแล้วชีวิตนี้คืออะไรก็ไม่รู้ แล้วจะตายไปกันที่ไหนก็ไม่รู้ แล้วอยู่ในปัจจุบันก็ไม่รู้ นี่คนไม่มีที่พึ่ง ถ้าคนมีที่พึ่งเห็นไหม เราเกิดเป็นชาวพุทธ เรามีศาสนาเห็นไหม

ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา ถ้าศาสนาแห่งปัญญา ปัญญาอะไร? ปัญญาของเขา ปัญญาโลกๆ ถ้าปัญญาโลกๆ เห็นไหม ดูสิ ดูคนที่มีเชาว์ปัญญานะ เขามีเชาวน์ปัญญา เขาคิดได้หลายซับหลายซ้อน แต่เขาคิดเพื่อประโยชน์ของเขา ถ้าเขาเอาประโยชน์ความคิดอย่างนั้นประโยชน์เพื่อโลกนะ เขาจะได้บุญกุศลมหาศาลเลย เห็นไหม แค่ความคิดว่าเพื่อเขาหรือเพื่อเราเท่านั้นเอง ถ้าเพื่อเขา เพื่อเรานี่เราทำได้ ถ้าเพื่อเขานี่ทำไม่ได้ ความคิดดีๆ นี่เก็บไว้

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา สิ่งที่เป็นศาสนาเห็นไหม พระโพธิสัตว์แสวงหามาขนาดไหน แล้วเวลาอยากจะเผยแผ่รื้อสัตว์ขนสัตว์ ไม่ใช่เก็บไว้นะ พยายามจะเผยแผ่จะวางธรรมวินัยไว้เหมือนพยายามวางทางก้าวเดินให้เราไว้ เพื่อจะให้เราพ้นจากทุกข์ พ้นจากทุกข์นะ

คนมั่งมีศรีสุขคนไหน คนที่มีสมบัติมากขนาดไหน แต่เวลาเขาทุกข์ในใจของเขาไม่มีใครช่วยอะไรเขาได้เลย ไม่มีอะไรช่วยเขาได้เลย เขาแบกรับภาระหนักหน่วงไว้ในหัวใจมหาศาลเลย แต่ถ้าเรามีความสุขนะ เรามีความสุข เราเข้าใจในชีวิตเห็นไหม

ชีวิตนี้ไม่อด ไม่ทุกข์ ไม่ยาก ไม่อดอยากจนไม่มีจะกิน ไม่มีจะใช้หรอก มันก็ใช้ มันอยู่ไปประสาเรา ช่วยเหลือเจือจานกันได้ ชีวิตนี้พอประทังกันไปได้ แต่เวลาความทุกข์ในหัวใจมันหาทางออกกันไม่ได้เห็นไหม

แต่ถ้าเราตั้งสติ เรามาย้อนกลับมาเห็นไหม ธรรมะเป็นเครื่องจูงใจ ธรรมะเป็นที่ เป็นอาหารของใจ ถ้าเรามีธรรมในหัวใจขึ้นมา เรามีหลักมีเกณฑ์นะ ชีวิตเป็นอย่างนี้นะ มีเริ่มต้น มีท่ามกลางและมีที่สุด เราต้องถึงที่สุดทุกๆ คนนะ ทุกๆ คนต้องถึงที่สุดนะ ชีวิตนี้ถึงที่สุด เราต้องไปถึงที่สุด เราไปถึงที่สุด มันก็ต้องไปตามกระแส ไปตามกรรม แรงดันพัดผ่านไป แต่จะมีสติเห็นไหม

ดูสิเวลาสวะมันไปตามน้ำ มันไม่มีใครขั้น มันไหลไปตามแรงของน้ำ มันไหล มันไปเกาะเกี่ยวสิ่งใด มันจะไปรอดไม่รอดเห็นไหม มันต้องติดอยู่ที่นั่น น้ำแห้งแล้วมันจะโดนแดดเผา มันจะผุพังไปอย่างนั้น เราปล่อยชีวิตเราไปอย่างนั้นหรือ ถ้าชีวิตของเรานะ เรามีการควบคุม เรามีสติสัมปชัญญะ เราใช้ชีวิตของเราด้วยประโยชน์ของเราเห็นไหม ประโยชน์ของเรานะ ประโยชน์ของเราคือบุญกุศลในใจของเรา

ถ้าเราภาวนาของเรานะ มีสติสัมปชัญญะของเรา มันเห็นนะ มันสลดจริงๆ มันสลดสังเวชกับชีวิตเหมือนกับเราเลยแหละ คุณค่าชีวิตนี่ใช้เวลาไปเปล่า ใช้เวลาไปเปล่า ใช้เวลานะ เราว่าเป็นประโยชน์กับเรา เราเกิดมาแล้วมันต้องเกิด เพราะอะไร? เพราะจิตเป็นอวิชชา จิตเรานี่มันต้องเกิดโดยธรรมชาติของมัน แต่เกิดมาแล้วคนที่มีโอกาสได้พบพุทธศาสนา ได้พบพุทธศาสนาแล้วสนใจในศาสนาไหม?

เกิดมาพบพุทธศาสนา แต่ไปถือศาสนาผี ไปอ้อนวอนกัน ต้องการอ้อนวอน ต้องการเอาของให้ ต้องการเอาสิ่งที่เป็นทิพย์เห็นไหม สิ่งที่ว่าได้มาโดยบุญกุศล บุญกุศลมันเป็นจังหวะและโอกาสนะ อำนาจวาสนาของคน จังหวะและโอกาสคืออำนาจวาสนาของคน ถ้ามีอำนาจวาสนาขึ้นมาโอกาสนั้นจะมาถึงเรา เราทำสิ่งใดมันจะประสบความสำเร็จ

ถ้าโอกาสวาสนาไม่มาถึงเรา เราคิดได้ก่อนเขา เราคิดได้ล่วง คิดได้ก่อนตลาดส่วนต่างๆ เห็นไหม เราคิดจนเราหมดกำลังแล้วตลาดเขาถึงเห็นผลประโยชน์จากความคิดของเรา เห็นไหม ถ้ามันไม่มีวาสนามันจะขาดตกบกพร่อง มันจะไม่สมดุลของมัน มันจะขาดๆ เกินๆ แต่ถ้าเป็นประโยชน์ของเรานะ ประโยชน์มันตรงตัวกับเรา มันเป็นไปได้ตามความปรารถนา ตามความปรารถนานะ ความปรารถนาของโลก

แต่ถ้าความปรารถนาของธรรมล่ะ สิ่งที่เป็นความปรารถนาของธรรม เราสร้างบุญกุศลของเรามา มันให้เราฉุกคิด ความปรารถนาของธรรมมันมีสติ มันถามตนเอง เราจะไปไหน? ชีวิตนี้เกิดมาจากไหน? ท่ามกลางนี้ เกิดมาแล้วเราทำอะไร? แล้วต่อไปถึงที่สุดมันจะไปถึงที่ไหน แล้วถึงที่สุดแล้วมันหมดโอกาสนะ

ดูสิเวลาคนทำร้ายตัวเอง เวลาตายไปเห็นไหม ต้องทำอย่างนั้นอีก ๕๐๐ ชาติ ด้วยการขาดสติ ทำลายตัวเองไปมันต้องไปทำซ้ำทำซากอยู่อย่างนั้นเห็นไหม ทำซ้ำทำซาก มันเกิดจากอะไร? มันเกิดจากกรรม กรรมนิมิต

เวลาคนใกล้จะตายจะเห็นกรรมนิมิต สิ่งที่ทำมามันบังคับ กรรมนิมิตมันเหมือนเราต้อน ต้อนสัตว์เข้าไปตามความปรารถนาของมัน เราเห็นไง เราเห็นสิ่งนั้นเราหนี เราหนีไปตามทางอย่างนั้น เราไปจนตรอกเห็นไหม กรรมนิมิต เราตั้งสติขนาดไหน ถ้ามันทำสิ่งที่ดี เห็นไหม กรรมนิมิตก็เป็นกรรมนิมิต ตั้งสติไว้ พอตั้งสติไว้นะสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นมา มันรู้ส่งออก รู้นอกไม่ใช่รู้ใน

ถ้ารู้นอกเห็นไหม รู้นอกจิตสงบแล้ว จิตที่มันเป็นไปเหมือนเราฝัน เราฝันเห็นต่างๆ ถ้าจิตมันสงบเข้าไปมัน อุคหนิมิต มันเห็นออกไปข้างนอก อุคหนิมิต สิ่งที่ต่างๆ มันเป็นอุปจารสมาธิ ออกรู้ ออกรู้ ออกรู้ สิ่งที่ออกรู้มันไม่เข้าข้างใน ถ้ามันเข้าข้างในเห็นไหม สัมมาสมาธิ ถ้าเข้าข้างในนะมันจะมีความสุข มันจะมีความชื่นบานของใจ

ถ้ามีความสุขความชื่นบานของใจเห็นไหม ความสุขหาได้ที่นี่ ชีวิตมันเป็นอย่างนี้ ชีวิตเป็นอย่างนี้เพราะอะไร? เพราะเรามีศาสนา เรามีครูบาอาจารย์สอนเราเห็นไหม ถ้ามีครูบาอาจารย์สอนมามันจะฝังใจ ดูสิบางคนละล้าละลังนะ ประกอบชีวิตทางโลก แล้วก็มีครอบครัวก็ต้องดูแลครอบครัว แต่ใจก็อยากออกประพฤติปฏิบัติ ละล้าละลัง หน้าก็ไม่ได้ หลังก็ไม่ได้ไง

สิ่งที่เราทำในปัจจุบันนี้เราต้องทำของเราไป แล้วมีโอกาส เราทำของเราด้วยโอกาส เราแบ่งสันเวลาของเราเองเพราะเราเป็นหนี้กรรม กรรมให้เราเกิดมาสภาวะแบบนั้น สิ่งที่เป็นไปเห็นไหม ดูสิเวลาเราเกิดมาแล้วเนี่ยสูงต่ำดำขาวเห็นไหม มันเป็นเรื่องของกรรมทั้งนั้น เราได้สร้างรักษาศีลมาดี รักษาศีลมาดี รักษาสมบัติมาดีต่างๆ มันจะเป็นดีของเรา

ถ้าเราทำผิดศีล ทุศีลมาตั้งแต่ก่อนนี้ สิ่งใดเกิดมาก็หกๆ ตกๆ หล่นไป มันถึงเวลามันเป็นไปอย่างนั้น เวลากรรมมันให้ผล ถ้ากรรมให้ผล สิ่งที่ให้ผลเพราะมันเป็นการกระทำของเรา สิ่งนี้มันเป็นสัจจะ เป็นนิรสัจจะ มันเป็นความจริง มันเป็นความจริงอยู่แล้ว แต่เรามีสิ่งเร้า สิ่งเร้าเราต้องการให้เป็นความปรารถนาของเรา

เราต้องการให้เป็นความพอใจของเรา เราคิดของเราเอง เราทำของเราเอง เราปรารถนาของเราเอง แล้วมันเป็นไปตามนั้นไหม? แล้วเวลามาประพฤติปฏิบัติธรรมก็ยังมาคิดปรารถนาในการประพฤติปฏิบัติธรรมอีก ในการประพฤติปฏิบัติเป็นการพอใจของเรา เราจะทำให้เป็นพอใจอย่างนั้น มันจะเป็นความพอใจของเราไหม? มันไม่เป็นไปตามความพอใจของเราหรอก มันเป็นไปตามความจริง

ถ้าตั้งสติจริงๆ สมาธิจริงๆ มันก็เป็นตามความจริงที่เป็นสมาธิจริงๆ เป็นสติจริงๆ สติจริงๆ ไม่ใช่สติตัวอักษรนะ ไม่ใช่สัญญาจำมานะ เราสร้างสติจริงๆ เราก็ตั้ง มันเป็นขอนไม้นะ ดูขอนไม้มันตั้งไว้สิ มันไม่หวั่นไหวเลย มันเป็นสติไหม มันเป็นขอนไม้ มันไม่ใช่สติ นี่ก็เหมือนกัน นั่งเป็นขอนไม้ สิ่งต่างๆ ไม่มีสติสัมปชัญญะเลยว่าเป็นสติ ความคิดว่าเป็นสติ เราคิดว่าสติ ไม่ใช่เป็นสติจริงๆ

ถ้าสติจริงๆ มันระลึกรู้ ระลึกรู้อยู่ตลอดเวลา สติเกิดจากจิตไม่ใช่จิต ถ้าสติเป็นจิตนะจิตเรามีตลอดเวลา สติเราต้องมีตลอดเวลา เราจะไม่พลั้งเผลอเลย นี่อยู่ๆ เราก็เผลอ ตกๆ หล่นๆ ของเราไปตลอดเวลา เพราะอะไร? เพราะเราขาดสติ ถ้าขาดสติ เราฝึกของเราเห็นไหม เราฝึกฝนของเรา เราพยายามฝึกของเรา คนสติสั้นสติยาว

สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นมามันเกิดขึ้นมาจากการกระทำของเรานะ จากการกระทำคือจากกรรมของเรา ถ้าเรากรรมดีมันมีสติสัมปชัญญะ มันปรารถนาสิ่งที่ดีๆ ความปรารถนาความจงใจของเรานี่เห็นไหม สิ่งนี้มันเป็นความรู้สึกเป็นความคิดนะ เด็กบางคนมันคิดดีๆ เห็นไหม มันคิดพูดอะไรออกมา เราคิดว่าเด็กมันคิดได้ขนาดนี้เชียวเหรอ ทำไมมันคิดได้ล่ะ?

บางอย่างเด็กมันคิดได้ บางอย่างมันพอใจได้ มันคิดของเขามันออกมาจากหัวใจนะ นี่ความคิดของเราก็เหมือนกัน ถ้าความคิดมันออกมาจากใจของเรา ถ้ามันคิดแต่สิ่งที่ดีๆ ในการกระทำที่ดีเห็นไหม ในการที่ดีผลการตอบสนองก็ดี ดีคืออะไร? ดีคือกุศล บุญกุศล บุญกุศล ถ้าสิ่งที่มันไม่พอใจล่ะ มันขัดแย้งล่ะ มันขัดแย้งกับใจของเราก่อน ในใจของเรามันขัดแย้ง มันขัดแย้งมันมีปมในใจ

แล้วเวลาคิดออกมาทำออกมามันก็ขัดแย้ง ขัดแย้งจากข้างใน ขัดแย้งจากข้างนอก ข้างนอกขัดแย้งจากข้างนอกออกไป เห็นไหม ข้างนอกมันก็เป็นเรื่องสังคมมันก็เป็นเรื่องของโลกไป เรื่องของโลกเห็นไหม มันเป็นความเห็นจากโลกๆ ถ้ามันเป็นความเห็นของเรา

มันถึงว่าเราเกิดมาในพุทธศาสนา เรามีสติสัมปชัญญะ เราหาประโยชน์กับเรา เราทำประโยชน์เพื่อเรา ถ้าเราทำประโยชน์เพื่อเรามันเป็นประโยชน์กับเรานะ ประโยชน์จริงๆ สมบัติใช่ไหม สมบัติที่เป็นนามธรรม สมบัติที่เป็นอริยทรัพย์ ไม่ใช่สมบัติจากภายนอก สมบัติจากภายนอกมันเจือจานกันได้ ช่วยเหลือเจือจานกันได้

แต่อริยผล องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ชี้ทางนะ เป็นผู้ที่ชี้ทางให้เราก้าวเดิน ถ้าเราเห็นประโยชน์แล้วเราก้าวเดินตามนั้น เราจะได้ประโยชน์กับเรา ถ้าเราไม่ก้าวเดินตามนั้นเห็นไหม มันขัดแย้งในใจ แล้วมันเหนี่ยวรั้งด้วย เหนี่ยวรั้งเห็นไหม กิเลสมันจะเหนี่ยวรั้ง มันจะมีจริงหรือ? มันจะเป็นไปได้หรือ? อันนี้เป็นธรรมชาตินะ

ครูบาอาจารย์มากเลย เวลาประพฤติปฏิบัติไปมันลังเลสงสัย อ่านธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เชื่อ มันเชื่อ แต่มันมีส่วนที่ไม่เชื่อ มันมีส่วนที่ไม่เชื่อคืออวิชชา ความลังเลสงสัย ความลังเลสงสัยอันนี้มันทำให้เราโลเล ถ้าความลังเลสงสัยมันเกิดมาจากเรา แต่ถ้าเราประพฤติปฏิบัติเข้าไป ถ้ามันไปเห็นความจริง มันจะไปลังเลสงสัยที่ไหนเพราะคนมันรู้จริงเห็นจริง

ถ้าคนรู้จริงเห็นจริงเห็นไหม มันไม่มีความลังเลสงสัย นี่ถ้าเกิดเรายังปฏิบัติไม่ถึงรู้จริง ความลังเลสงสัยมีเป็นธรรมดา พอมีเป็นธรรมดาการต่อสู้ การต่อสู้ตัวนี้ เห็นไหม ๙๙.๙๙ มันเกือบจะได้ เกือบจะได้ตลอดเวลานะ กิเลสมันร้ายนัก ดูสิ เห็นไหม เราติดดี

ติดดีต้องทำดีก่อน ถ้าไม่ทำดีเราเป็นคนไม่ดี ถ้าทำดี ทำดีเป็นความดี ความดีก็ไปติดดี ถ้าไม่ได้ทำทุกข์อีก ไม่ได้ทำมันเป็นความเดือดร้อน ถ้าเป็นความเดือดร้อนเห็นไหม เราทำของเรา ทำของเราเป็นความเคยชิน ถ้าความเคยชินนะ สิ่งที่มันสุดวิสัยก็คือสุดวิสัย

คนเรามันถึงกาลเวลามันสุดวิสัยนะ ถ้าสุดวิสัยก็ปล่อยวางมันซะ สิ่งนั้นมันเป็นการสุดวิสัย เราทำสิ่งที่ทำได้ เราทำสิ่งที่มันเป็นไป ทำสิ่งที่มันพอเป็นไปเห็นไหมเพราะเรามีอำนาจวาสนาเท่านี้ บารมีใหญ่ บารมีไม่ต่างกันนะ แต่ความรู้ ความสะอาดบริสุทธิ์เท่ากัน

ถ้าความสะอาดบริสุทธิ์เท่ากัน เราทำเพื่อความสะอาดบริสุทธิ์ของเรา สิ่งที่มันเป็นประโยชน์กับเราอยู่ที่นี่ สิ่งที่เป็นประโยชน์กับเรานะ เราเห็นประโยชน์ความจริงของเรา ประโยชน์ความจริงของเรา เราทำของเรา ใครจะว่าติฉินนินทา เรื่องของเขานะ โลกนี้คนรักเท่าผืนหนังคนชังเท่าผืนเสื่อ ไม่มีหลอกที่โลกนี้เขาจะเห็นดีเห็นงามไปกับเรา

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดไว้ในธรรมพระไตรปิฎกนะ คนที่โดนโลกธรรมในโลกนี้ ที่โดนแรงเสียดสี ไม่มีใครแรงเท่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นแม่ทัพ เป็นแม่ทัพนะ เป็นผู้บุกเบิก เป็นผู้วางธรรมและวินัยอันนี้ไว้

ในเจ้าลัทธิต่างๆ เห็นไหม ๒,๕๐๐ ปี โลกนี้มันเป็นล้านๆ ปี สะสมมาทั้งนั้น สิ่งที่เขายึดถือยึดถือกันมา สังคมเก่าเขามีอยู่แล้ว แล้วสิ่งที่เราแทรกขึ้นมาเห็นไหม แล้วปฏิเสธเขาหมดเลย ปฏิเสธพระเจ้า ปฏิเสธทุกอย่าง ปฏิเสธเทวดา ปฏิเสธอินทร์พรหมทั้งหมด ปฏิเสธทั้งหมดเลย

ขณะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม บุพเพนิวาสานุสติญาณ เวลาเทศน์ธัมมจักฯ เทวดาส่งขึ้นไปเป็นชั้นๆ เห็นไหม ใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นนะ ทั้งรู้ทั้งเห็น แต่ในโลกสังคมของมนุษย์ ในเจ้าลัทธิต่างๆ เขารู้เขาเห็นก็มี เขาเชื่อก็มี บางศาสนาก็เชื่อว่ามีนรกสวรรค์ บางศาสนาก็ปฏิเสธ เจ้าลัทธิต่างๆ เขาเห็นตามแต่ เห็นแต่จิตนอก จิตนอกคือจิตที่เขารู้เขาเห็นของเขาตามที่ว่ารู้ลึกรู้ตื้นได้ต่างกัน

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้รอบ รู้รอบ สิ่งนี้มีอยู่เห็นไหม รู้รอบว่าสิ่งนี้มีอยู่ แล้วเวลาเทศนาว่าการถึงเทวดา อินทร์ พรหม สำเร็จเป็นแสนๆ อย่างนี้ แต่เวลามาพูดกับมนุษย์ มนุษย์ไม่เชื่อ มนุษย์ไม่เชื่อเห็นไหม สิ่งต่างๆ โลกธรรม ๘ ทั้งจ้างคนมาเอ็ดมาว่าขัดขวางไปทุกๆ อย่าง

สิ่งที่เขาจะล้มศาสนา เขาต้องล้มหัวหน้าก่อน ล้มแม่ทัพก่อน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงบอกว่าโลกธรรม ๘ ในโลกนี้ไม่มีใครโดนเสียดสีแรงเท่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาพระเราท้อถอยเห็นไหม คติธรรมอย่างนี้มันเอามาเป็นประโยชน์กับเราได้ เอามาเป็นประโยชน์กับเราเพื่อประโยชน์กับเรานะ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเจ้าของศาสนา มีฤทธิ์ มีเดชนะ เวลามีฤทธิ์ทำอย่างไรก็ได้ ทำไมถึงไม่ทำ เพราะเมตตาธรรม เมตตาธรรมนะ ถ้ารื้อสัตว์ขนสัตว์ แล้วรื้อสัตว์ขนสัตว์ได้ เราก็จะรื้อสัตว์ขนสัตว์ ถ้ารื้อสัตว์ขนสัตว์ไม่ได้ สิ่งนี้มันเป็นกรรมของสัตว์ มันเป็นความเห็น เป็นมุมมองในหัวใจ ถ้ามุมมองในหัวใจเขาเป็นอย่างนั้น เราจะไปฝืนทำไม เราไปฝืนมันไม่เป็น มันเป็นโทษกับเขานะ

ดูสิความนิ่งอยู่ของพระอริยเจ้า พระอริยเจ้านี่นิ่งอยู่ รู้ถึงความรู้สึกของเรา ความคิดของเรา เมตตาเขา แล้วถ้าเป็นพระอริยะเจ้าเห็นไหม แล้วเราทำสิ่งใดที่ให้เขาติเตียน ถ้าเขาติเตียน เขาทำกรรมของเขา เราควรไหม เราไม่ควร ความเมตตาความสงสาร ไม่อยากให้เขาได้บาปได้กรรมหรอก

แต่ถ้ามันเป็นกิเลสตัณหาของเขา เขาอยากทำของเขา พูดขนาดไหนเขาก็ไม่ฟัง ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเขาจ้างคนมาว่าจ้างคนมาด่าเห็นไหม พระโมคคัลลานะเป็นขุนพล ในลัทธิต่างๆ เขาปรึกษากัน ศาสนาพุทธยั่งยืนขึ้นมาได้เพราะใคร?เพราะอัครสาวกเบื้องซ้ายและเบื้องขวา

เพราะพระโมคคัลลานะไปสวรรค์มาไปอะไรมาแล้วมายืนยันเห็นไหมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าการันตีว่าจริงๆๆๆ แล้วต้องทำลายพระโมคคัลลานะก่อนเห็นไหม กรรมเก่ากรรมใหม่มันมาสมดุลกันตลอดเวลา

กรรมเก่ากรรมใหม่ พระโมคคัลลานะมีฤทธิ์มีเดช รู้ไปหมด ใครจะมาทำอะไรเหาะหนีๆ ตั้งหลายหน แล้วมาพิจารณาดูว่ามันเป็นเพราะเหตุใด? กรรมเก่าไง กรรมเก่าที่ได้เคยทำมารดาไว้ เคยทำแม่ไว้เห็นไหม พ่อแม่นี่มีพระคุณที่สุด แล้วนี่ไปทำพ่อแม่ ไปทำพ่อแม่ไว้เห็นไหม กรรมมันย้อนมา แล้วในปัจจุบันเป็นพระโมคคัลลานะ สร้งบุญกุศลมา กรรมเก่ากรรมใหม่มันซ้อนกันมา

สร้างบุญกุศลมาได้เป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย มีฤทธิ์มีเดชมาก เหาะหนียังได้ ทำอะไรก็ได้ แต่ถึงที่สุด กรรมของเรา เพราะเราสร้างของเรามาเอง เหาะหนี ทำหนี ทำฤทธิ์ใส่เขาก็ได้ อะไรก็ได้ แต่ทำไปเห็นไหม ไม่ทำเพราะมันถึงเวลา ถึงวาระ ให้เขาทุบจนตาย ทุบจนตายนะ

แล้วคนทุบตายรวมด้วยฤทธิ์เห็นไหม ด้วยฤทธิ์ คนเราเจ็บปวดมีอาการ หัวใจมันจะทำสมาธิได้ไหม? เวลาเราวิตกกังวลเราจะทำจิตสงบของเราได้ไหม ขนาดเขาทุบจนแหลก ใจเป็นปกติ ไม่หวั่นไหวเลย รวมขึ้นมาให้เป็นพระโมคคัลลานะเหาะไปลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วกลับมาที่เดิม คลายฤทธิ์ออก

เวลากษัตริย์เขาให้สืบสวนเห็นไหมว่าใครเป็นคนทำ มันเป็นนักเลงพื้นบ้าน เวลาไปทุบพระโมคคัลลานะเสียแล้ว ได้ค่าจ้างมา ไปกินเหล้ากัน พอเมาเหล้าเมายาขึ้นมา พูดโอ้อวดกัน เขาก็เลยรุมตีตายเหมือนกัน มันก็คนพื้นๆ สิ่งที่ทำได้ สิ่งที่มีฤทธิ์เดชนี่ทำได้ แต่ไม่ทำ ทำฤทธิ์เดชเห็นไหม

ฤทธิ์เดช เวลาพระโมคคัลลานะแสดงออกมา แสดงฤทธิ์ แสดงเดชเพื่อโน้มน้าว เพื่อทิฐิ เศรษฐี มหาเศรษฐี เวลาเขาติด เขามีวาสนาอยู่ แต่เขาไปติดในสมบัติภายนอก พระโมคคัลลานะเหาะไปเห็นไหม เหาะไปทรมานเขา ไปทรมานเขา เวลาเขาให้จริงๆ ไม่เอา

ถ้าจะเอาขนมเบื้องนี่ไปถวายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นไหม ฤทธิ์เดชกลับไปทรมานทิฐิมานะของคนให้ทิฐิมานะของคนได้เปลี่ยนแปลง เปลี่ยนแปลงมาในมุมมองที่ดี ไม่ได้ไปทำลายคน ทำลายกิเลส ทำลายทิฐิมานะของคนเห็นไหม ทำให้ทิฐิมานะของคนเปลี่ยนความรู้สึกมาได้ ความรู้สึกมาเป็นสิ่งที่ดี

มาเป็นสิ่งที่ดีคือมาแก้ไขตัวเองเห็นไหม พอแก้ไขตัวเองได้สัมผัสกับธรรม จิตนี้ได้สัมผัสกับธรรม เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ธรรมะ ธรรมะคือธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ไปรื้อค้นมา ทำไมต้องรื้อค้น รื้อค้นมาจากไหน รื้อค้นมาจากใจ ใจเวลาเกิดอาสวักขยญาณ เกิดความเห็นจากภายในแล้วเข้ามาย้อนทำลายกิเลสเห็นไหม

สิ่งนี้นี่เป็นกิจในหัวใจ นี่เป็นสัจจะเกิดขึ้นจากหัวใจ แล้วหัวใจ การกระทำของใจอย่างนี้ เอาการกระทำของใจอย่างนี้วางไว้เป็นวิธีการ แล้วเราประพฤติปฏิบัติเข้าไปเห็นไหม สิ่งที่สัมผัสเข้าไป จิตที่มันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันชำระล้างของมัน ถึงที่สุดเห็นไหม ธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อค้นขึ้นมา เราปฏิบัติขึ้นมา เรารื้อค้นขึ้นมาจนเป็นสัจธรรมของเรา

สิ่งที่สัจธรรม จากใจที่เป็นกิเลส จนใจเป็นธรรม ธรรมกับใจเป็นอันเดียวกัน ถ้าธรรมกับใจอันเดียวกันนะ ใจที่มันสกปรกโสโครกมันสะอาดขึ้นมาได้ พอสะอาดขึ้นมามันเป็นสมบัติของใจดวงนั้น ถ้าเป็นสมบัติของใจดวงนั้น สิ่งที่เป็นธรรมมันมีความสุข วิมุตติสุข สุขเกิดจากหัวใจ สุขเกิดจากภายใน

สมบัติภายนอกเป็นสมบัติภายนอกนะ สมบัติภายนอก เวลาพระเทศนาว่าการ เห็นไหม ให้เสียสละ ให้เสียสละ สิ่งที่เสียสละ ถ้ามันเสียสละทางโลกๆ เขาก็เสียสละแล้ว เขาไปหวังสิ่งอื่น มันไม่ชอบเห็นไหม ตรัสรู้เองโดยชอบ โดยชอบคือไม่เปลี่ยนแปลง ความเข้าใจความสัมผัสของเรามันไม่ชอบ

มันไม่ชอบคือมันจำธรรมมา มันด้นเดาธรรมมา พอด้นเดาธรรมมาเห็นไหม มันก็เห็นสภาวะอันหนึ่ง เห็นสภาวะมาจากความเห็นจากภายนอก เห็นไหม จิตมันไปสัมผัส จิตมันไปสัมผัส มันไม่เป็นธรรมกับจิตเป็นอันเดียวกัน มันเป็นจิตรู้เขา รู้ข้างนอก รู้ความเป็นไป รู้ความเป็นไปเห็นไหม เห็นไหมมันไม่ชอบ

พอมันไม่ชอบขึ้นมามันก็เป็นอนิจจัง พอมันอนิจจังมันก็เปลี่ยนแปลง มันไม่เป็นความจริง แต่ถ้าเป็นความชอบ ความชอบ สัจธรรมมันเป็นความจริง ความจริงขึ้นมามันจะเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร? มันเป็นความจริงของใจอันนั้น ใจอันนั้นมันเป็นอริยทรัพย์ขึ้นมาจากข้างใน

ถ้าจากข้างในเห็นไหม สิ่งนี้มันคงที่คงวานะ มันเป็นสมบัติของใจ ชีวิตมันจะมีประโยชน์ ประโยชน์อย่างนี้ ถ้ามีประโยชน์นะ แล้วเวลาธรรมขึ้นมามันไม่ต้องลงทุนสิ่งใดๆ เลย ลมหายใจเข้าลมหายใจออก ความรู้สึกกายกับใจ สิ่งที่ติดกันอยู่ติดที่กายและใจ คนเราติดที่กายและใจนะ

เจ็บไข้ได้ป่วย ต้องหาอยู่หากินก็เพราะเรื่องของร่างกาย เวลามันสุขมันทุกข์ในหัวใจ มันก็เรื่องของใจ ถ้ามันแก้ที่นี่หมด มันแก้ที่อื่นไม่จบ แก้ที่อื่นนะมันเป็นปัจจัยเครื่องอาศัยเท่านั้น ถ้ามาแก้ที่นี่เห็นไหม กลับมาแก้ที่ใจ ถ้าแก้ที่ใจเอาอะไรไปแก้มัน เอาอะไรไปแก้มัน เอาสัญญาเอาอารมณ์เอาความรู้สึกไปแก้ใจ เอาสัญญาอารมณ์ไปแก้ใจมันจะแก้ใจได้อย่างไร?

มันต้องละเอียด มันต้องเข้ามาที่ใจ ถ้าเข้ามาที่ใจเห็นไหม มันจะเห็นคุณค่า ถ้าเข้ามาที่ใจอะไรเข้าไปล่ะ สติมันเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ สิ่งต่างๆ มันเป็นชื่อหมด มันเป็นตำรับตำราหมด เป็นทฤษฎีหมด มันเวลาสร้างขึ้นมามันก็สร้างเงาขึ้นมา ไม่ได้สร้างความจริง

ถ้าเราประพฤติปฏิบัติเข้าไปมันจะเป็นความจริง ตั้งสติจริงๆ ถ้าสติจริงๆ นะ มันยังยั้งได้หมด มันยับยั้งความคิด มันยับยั้งความทุกข์ มันยับยั้งสิ่งที่เราเตลิดเปิดเปิงได้ ถ้ามันยับยั้งสิ่งนี้ได้เห็นไหม ยับยั้งมาให้อยู่ในอำนาจของเรา เป็นเอกัคคตารมณ์ จิตตั้งมั่น ถ้าจิตตั้งมั่นนะ ถ้าจิตไม่ตั้งมั่นจิตมันคลอนแคลน

ดูสิ เรานี่ช่วยตัวเองไม่ได้ เราจะไปช่วยเหลือใคร ถ้าเราช่วยตัวเองได้เห็นไหม เราจะช่วยเหลือทุกๆ คนได้เลย จิตมันจะตั้งมั่นได้มันต้องช่วยตัวมันได้ก่อน ถ้ามันช่วยตัวมันเองได้เห็นไหม แล้วสิ่งที่อาศัยจิต กิเลสอาศัยจิตอยู่ อวิชชามันอาศัยจิตอยู่ สิ่งที่เป็นอนุสัย มันนอนเนื่องมากับจิตว่าเป็นนอนเนื่องมากับจิต

เราบอกว่ามันเป็นเนื้อเดียวกับจิต ใช่ เหมือนกับเนื้อเดียวกับจิต มันละเอียดอ่อนมาก แต่มันเป็นอวิชชา มันแยกได้ ถ้ามันแยกไม่ได้พระอรหันต์เกิดไม่ได้ ถ้ามันแยกไม่ได้ครูบาอาจารย์ไม่สอน มันแยกได้ แต่มันแยกได้ด้วยใช่ไหม

ดูสิทางโลก เขาสงเคราะห์กันต่างๆ ให้มันแยกสสารออกจากกันเห็นไหม นั่นเป็นทางวิทยาศาสตร์ เขาต้องใช้วิชาการของเขา แต่นี่มันเป็นธรรม มันเป็นธรรม มันเป็นโลกุตตระธรรม มันเป็นสิ่งที่ออกมาเป็นตัวตน สิ่งที่เอาไปพิสูจน์กัน พิสูจน์ได้ด้วยการวิปัสสนา พิสูจน์ได้ด้วยการจิต พิสูจน์ได้ด้วยการกระทำ

ถ้าไม่รู้จริง ไม่เห็นจริง การกระทำอย่างนั้น ดูสิดูทางวิชาการเห็นไหม เขาสอนลูกศิษย์ของเขา เขาต้องทดสอบให้ลูกศิษย์ของเขาเห็นว่าสิ่งนี้เป็นไปได้จริง ลูกศิษย์ถึงจะเชื่อถืออาจารย์ของเขา นี่ก็เหมือนกัน ในใครประพฤติปฏิบัติขึ้นไปแล้ว ถ้าใครประพฤติปฏิบัติตามสัจจะความจริง ตามธรรมนะ ถ้าประพฤติปฏิบัติไม่ตามธรรม ประพฤติปฏิบัติโดยกิเลส ประพฤติปฏิบัติโดยความเห็นของตน ประพฤติปฏิบัติด้วยความคาดหมาย มันจะเข้าไม่ถึงธรรมเด็ดขาด เข้าไม่ถึงหรอกเพราะมันประพฤติโดยกิเลส

สิ่งที่เราเอามาใช้เพื่อการวิเคราะห์ต่างๆ สสารต่างๆ ถ้ามันไม่สะอาด มันไม่บริสุทธิ์ มันผสม มันทดสอบไปแล้วมันให้ค่าเบี่ยงเบนไป นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อหัวใจเราเป็นกิเลส หัวใจเรามีความเห็นแก่ตัว หัวใจเรามีความมักง่าย แล้วทำแต่ความพอใจของความเห็นของเราเอง มันจะเป็นความสะอาดบริสุทธิ์เป็นไปได้อย่างไร?

แต่ถ้าเราตามธรรม หัวใจมันสกปรกใช่ไหม? ใช่ หัวใจมันสกปรกเพราะมันมีกิเลสอยู่ แล้วมีกิเลสอยู่ แล้วมันจะสะอาดบริสุทธิ์ได้อย่างไร? มันมีกิเลสอยู่ แต่มันสะอาดบริสุทธิ์ได้ เพราะเราเชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราประพฤติปฏิบัติตามธรรม

ตามธรรมมันก็ต้องก้าวเดินไปตามสิ่งที่เป็นกิเลสนี่แหละเพราะการเกิด กิเลสพาเกิด ใจมันอวิชชาทั้งนั้น สิ่งที่มาเกิด ทุกคนมาเกิด เจ้าชายสิทธัตถะมาเกิดก็กิเลสพามาเกิด กิเลสไง บุญกุศลไง สิ่งที่ทำดีๆ พระโพธิสัตว์มาเกิด พระโพธิสัตว์

การเกิดไม่ใช่อวิชชาเหรอ นี่เกิดโดยอวิชชาทั้งนั้น คนที่เกิดทั้งหมดเป็นอวิชชาทั้งหมด ถ้าอวิชชาทั้งหมดมันผิดมาหรือเปล่า สิ่งนี้มันสกปรกหรือเปล่า? สกปรก แล้วทำอย่างไรมันถึงจะเป็นธรรมล่ะ เป็นธรรมสิเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปทดสอบ ตรวจสอบมาจากเจ้าลัทธิต่างๆ ทั้งหมดเลย

จากอาฬารดาบส เห็นไหมว่าได้สมาบัติเหมือนเรา สอนได้เหมือนเราเห็นไหม ไม่เชื่อ ไม่เชื่อ ไม่เชื่อ เพราะอะไร? เพราะสร้างสมบุญญาธิการมา สร้างสมบุญญาธิกามาว่าจะตรัสรู้เองโดยชอบ ขณะที่มาตรัสรู้เองโดยชอบย้อนกลับเข้ามา ทิ้งคำสั่งสอนของเจ้าลัทธิต่างๆ ทั้งหมดเลย แล้วปฏิเสธทั้งหมด ไม่มีใครช่วยเราได้

อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน กำหนดอานาปานสติ แล้วรื้อค้นเข้ามาจึงถึงที่สุด เห็นไหม ด้วยธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย้อนกลับเข้ามาทำลายกิเลสเห็นไหม ถ้าเราประพฤติปฏิบัติโดยธรรมเห็นไหม โดยธรรม ใครช่วยเหลือเราได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ชี้ทาง

สติก็เป็นของเรา ความเพียรก็เป็นของเรา ความตั้งใจก็เป็นของเรา ทุกอย่างต้องเป็นของเราหมดเลย เป็นของเราแก้ไขเรา เป็นของเราทำลายกิเลสของเรา เป็นของคนอื่นทำลายกิเลสของคนอื่น คนจะมั่งมีศรีสุข คนจะมีสมบัติมากน้อยแค่ไหนก็เป็นสมบัติของเขา

แต่ถ้าเป็นสมบัติของเรา เราหาทุกอย่างมาเป็นสมบัติของเรา สติก็เป็นสติของเรา สมาธิก็เป็นสมาธิของเรา ปัญญาที่มันจะเกิด เราฝึกฝนขึ้นมามันก็เป็นสติเป็นสมาธิของเรา ปัญญาที่มันเกิดขึ้นมาก็เป็นปัญญาของเรา แล้วปัญญาของเรา ปัญญาของเราเป็นอย่างไร? ปัญญาของเราก็ล้มลุกคลุกคลาน ปัญญาอย่างหยาบๆ เข้ามาก่อน ทวนกระแสเข้ามาก่อน

ดูสิ ปลาเห็นไหม สัตว์เวลามันเกิดมา ตัวมันเล็กนิดเดียว ช้างออกมาตัวมันนิดเดียวเห็นไหม เวลามันโตขึ้นมามันใหญ่กว่าเราอีก จิตที่มันหัดฝึกฝนขึ้นมามันพัฒนาได้ มันยืนตัวของมันขึ้นเองได้ ถ้ามันยืนตัวขึ้นมาของมันเองโดยสัจจะความจริงเห็นไหม มันเป็นสัมมาสมาธิ ถ้าไม่ใช่สัมมาสมาธิ สมาธินี่พออยู่พอกินนะ

คนที่มันทุกข์มันร้อนอยู่เพราะใจไม่สงบ ใจมันฟุ้งซ่าน ใจมันแบกหามสิ่งต่างๆ ทั้งหมดเลย แล้วถ้ามันสละสิ่งที่มันแบกหามเข้ามาเป็นอิสระตัวมันเอง มันจะมีความสุขไหม? มันต้องมีความสุขในตัวมันเองเป็นธรรมดา นี้พอมีความสุขเป็นธรรมดา แต่ความเข้าใจผิดไง เข้าใจผิดว่าพอมันว่างๆ อย่างนี้ ก็เป็นผลของธรรม

เป็นผลของธรรม คิดว่าถึงธรรม ถึงที่สุดแห่งธรรม ไม่ใช่เลย ไม่ใช่เลยเพราะเดี๋ยวมันก็คลายตัวออกมา มันคลายตัวออกมาโดยธรรมชาติของมันอยู่แล้วเห็นไหม ในการประพฤติมันเป็นสิ่งที่สกปรก มันเป็นความประพฤติปฏิบัติโดยสมมุติ ปฏิบัติโดยจิต ปฏิบัติโดยกิเลสนี่แหละ

แต่เราทำโดยธรรม ทำโดยธรรมนี่ทำโดยความถูกต้อง ความถูกต้อง เชื่อธรรมเคารพในครูบาอาจารย์ เคารพในคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วทำเข้าไปให้มันซื่อตรงกับธรรม เราซื่อตรงกับธรรมนะ ปฏิบัติธรรมขึ้นมามันจะเป็นค่าความจริงขึ้นมาจากใจ

พอค่าความจริงจากใจ สมาธิก็เป็นสมาธิ สมาธิเป็นสมาธิแล้วถ้ามันติดในสมาธิมันก็ว่างอย่างนั้น ถ้ามีครูบาอาจารย์มีวาสนาที่ดี มีวาสนาที่ดีเห็นไหม มันจะรื้อค้น มันจะสงสัย สนเท่ห์ แล้วมันจะพิสูจน์ตรวจสอบของมันเอง แต่ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์เห็นไหม มันจะรื้อค้นของมันเอง

ถ้ามีครูบาอาจารย์เห็นไหม ครูบาอาจารย์ท่านเคยผ่านอย่างนี้มานะ ดูสิเราเป็นพ่อแม่ของคน พ่อแม่ของคนมีลูกต้องรู้ผ่านการอบรมสั่งสอนลูกมาทุกคน ทำไมจะไม่รู้ว่าสิ่งที่เราทำ สิ่งที่ปรารถนาของเด็ก สิ่งที่ปรารถนาของวัยทำงาน สิ่งที่ปรารถนาของคนวัยชราภาพเป็นอย่างไร? เขาต้องเดินตามเรามาแน่นอนเลย นี่คือการดำรงชีวิตโดยธรรมชาตินะ

แต่ในการประพฤติปฏิบัติครูบาอาจารย์ท่านผ่านของท่านมา ท่านได้ผ่านชีวิตอย่างนี้มา ถ้าเราไม่ใช่ ครูบาอาจารย์ที่สั่งสอนเราไม่ได้ ท่านเป็นครูบาอาจารย์เหมือนกัน แต่ท่านไม่เอาการเอางาน ท่านไม่รับรู้สิ่งใดๆ เลย ท่านขวางโลกไว้ตลอดเวลา

เวลาสอนเราก็สอนให้เราขวางโลก ขวางกิเลสไง เอากิเลสขวางโลก เอาความเห็นของเราขวางธรรม เอาทิฐิมานะของเราขวางไปตลอด ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ของจริงนะ แต่เพราะเราขวาง เพราะความเห็นของเรามันขวาง ถ้าความเห็นของเรามันขวางก็ขวางไปทุกๆ อย่าง

พอขวางไปทุกๆ อย่างแล้วมันจะเป็นธรรมไหม นี่ไงการปฏิบัติที่มันไม่เป็นธรรม ถ้าการปฏิบัติที่มันเป็นธรรมนะ ถ้าการปฏิบัติเป็นธรรมมันถึงเป็นธรรม ถ้าปฏิบัติเป็นธรรมขึ้นมาแล้ว ศีลก็เป็นศีลจริงๆ สมาธิก็เป็นสมาธิจริงๆ แล้วถ้าเป็นปัญญานะ มันเป็นปัญญาจริงๆ นะ

ปัญญาจริงๆ มันเกิดขึ้นมานะ มันเห็นความเป็นไป ถึงบอกว่าโลกุตตระปัญญา คนเห็นเห็นธรรมจักร โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติมรรคระหว่างเราเคลื่อนไหวมรรคโสดามักจะเกิดนะ โสดาปัตติมรรค ถ้ามันไม่ถึงที่สุด มันไม่เป็นอกุปปธรรม มันก็เสื่อมมาเป็นกัลยาณปุถุชน แต่ถ้าเป็นโสดาปัตติมรรค แล้วเราตรวจสอบทดสอบของเราไปบ่อยครั้งเข้า

โสดาปัตติมรรคนี่มันฝึกฝน มันเป็นตทังคปหาน ปล่อยแล้วปล่อยเล่าปล่อยแล้วปล่อยเล่าเห็นไหม ถึงที่สุดนะ ถึงที่สุดขณะจิตมันพลิกเลย ขาดออกไป กายเป็นกาย จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์ กายเป็นกาย จิตเป็นจิต จิตมันเป็นจิต จิตนี่มันเป็นตัวสมานระหว่างกายกับทุกข์

กายเป็นกาย จิตเป็นจิต เห็นไหม ทุกข์เป็นทุกข์ แล้วความรับรู้มันปล่อยวางหายไปหมดเลย หายไปโดยสติที่มันรู้พร้อม จิตที่มันสมานความเป็นทุกข์กับความเป็นกาย สิ่งต่างๆ ที่มันเหมือนกันมันปล่อยหมดเห็นไหม สิ่งที่ปล่อยหมดนี่ ขณะที่มันเป็นไป ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม

ขณะที่มันเป็นไป ขณะที่จิตนี้มันพลิกขึ้นมา มันเป็นธรรมแท้ๆ นะ มันเป็นอริยสัจ มันเป็นความจริง มันเป็นมรรคญาณ มันเป็นสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อค้น ธรรมะนี่มีอยู่แล้ว ทฤษฎีอย่างนี้มันเป็นความจริงอย่างนี้ มันมีอยู่แล้ว แต่ไม่มีใครปฏิบัติถึง

เวลาครูบาอาจารย์ของเราแสวงหานะ แสวงหาสิ่งนี้อยู่นะ ไปศึกษามานะ ที่ไหนมันมี สองพันกว่าปีนี่ตำรามีนะ เวลาหลวงปู่เสาร์ร์ หลวงปู่มั่นออกรื้อค้น ไปรื้อค้นมากับใคร ปฏิบัติเข้าไป พอจิตสงบขึ้นมา เห็นปัญญาขึ้นมา ไปถามใคร ใครก็ตอบไม่ได้ ไปถามใคร ใครก็ตอบไม่ได้

คำว่าตอบไม่ได้เพราะเขาไม่เคยรู้ เขาไม่เคยเห็น เขาไม่เคยมีประสบการณ์อย่างนี้เลย แล้วเขาจะตอบอาการอย่างนี้ได้อย่างไร? ถึงจะต้องตรวจสอบ ทดสอบกันเองเห็นไหม ตรวจสอบทดสอบกันไปเองจนในปัจจุบันนี้ ของรู้จริงมันมีอยู่ สิ่งที่มีอยู่ การกระทำมันเคลื่อนไหว

เราชำนาญในการทำอาหารนะ แล้วมีคนหนึ่งทำอาหารไม่เป็นมาเสนอว่าเขาทำอาหารอย่างที่เราชำนาญด้วยรสชาติดี๊ดีกว่าเรา รสชาติที่แปลกกว่าเรา แล้วเขาทำมา เราจะเชื่อเขาไหม? ถ้าไม่เชื่อเขา ให้เขาทดสอบมา พอเขาทำขึ้นมามันอาหารคนละชนิด อาหารที่รสชาติมันเข้มข้นกว่าเรา แต่มันไม่ใช่อาหารของเรา มันไม่ใช่

นี่ก็เหมือนกัน ประพฤติปฏิบัติธรรมขึ้นไปถ้ามันไม่สมควรแก่ธรรม มันไม่เป็นธรรม ทำอย่างไรขึ้นมามันก็ไม่ใช่ธรรม ปฏิบัติโดยไม่ชอบ ตรัสรู้เองโดยชอบนะ เวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นไปมันก็จะเป็นความเห็นเราโดยชอบ ถ้าโดยชอบมันจะไม่เปลี่ยนแปลง โดยชอบจะเป็นความจริง โดยไม่ชอบทำแล้วมันเรรวน ทุกอย่างจะเรรวนไปหมด สิ่งต่างๆ จะเรรวนไปหมด เรรวนนะ พอเรรวนเข้าไปแล้วเราก็ไม่มั่นใจ พอใจเราไม่มั่นคงนะ เราปฏิบัติไปมันก็ทดท้อ แต่ถ้าเป็นความมั่นคงนะ

ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม สมควรแก่ธรรมมันต้องได้ธรรมะนี้มาครอบครองแน่นอน มันเป็นสิ่งที่มีอยู่ สิ่งที่สัมผัสอยู่ ลมพัดก็เย็น แดดออกก็ร้อน มันมีของมันอยู่โดยธรรมชาติของมัน แต่มันไม่มีชีวิต มันพัดเคลื่อนไหวไป มันเป็นธรรมชาตินะ มันไม่รู้หรอกว่ามันให้โทษกับใคร ให้ประโยชน์กับใคร มันไม่รู้มันเป็นธรรมชาติของมัน

แต่เรารู้เพราะเราได้รับความเย็นความร้อนจากอากาศ เรานี่รู้ ใจก็เหมือนกัน ถ้าปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมใจนี่รู้ ใจสัมผัสได้ สิ่งที่ใจสัมผัสได้แล้วปัจจุบันมันเกิดมาเป็นเรา เกิดมาเป็นสิ่งที่มีชีวิต คือสิ่งที่มีชีวิตอยู่มันจะเป็นโอกาส

โอกาสของเราที่จะแสวงหาสิ่งนี้มาเป็นสมบัติของเราได้ โอกาสที่จะแสวงหาสิ่งที่เป็นสมบัติของเรา แต่มันไปต้องการที่ว่าเหมือนกับสิ่งที่เป็นสมบัติเขาให้ทุกคนขนสมบัตินี้เอาเอง นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่เป็นนามธรรม สิ่งนี้เป็นสมบัติเป็นเพชรนิลจินดานะ เรามีภาชนะไปหยิบไปตักมา เราจะเห็นได้หมด

แต่สิ่งที่เป็นสติ สิ่งที่เป็นปัญญา สิ่งที่เป็นความรู้สึก สิ่งต่างๆ มันเป็นนามธรรม แล้วเราจะรื้อค้น ค้นอย่างไร? ขนอย่างไร? ขนขึ้นมาเห็นไหม ถ้าการทำงานเราไม่พร้อม เราจะทำงานสิ่งใดไม่ได้เลย เราต้องพร้อมก่อน นี่ก็เหมือนกัน เราต้องมีสติก่อน มีสติสัมปชัญญะ แล้วมีความพอใจ

ถ้ามีความพอใจเห็นไหม สักแต่ว่าทำเป็นกิริยาของหุ่นยนต์ หุ่นยนต์ที่เขาทำงานตามโรงงานเห็นไหม เขาทำดีกว่ามนุษย์อีก แล้วเขาได้อะไร? มีแต่เจ้าของหุ่นยนต์เขาได้ประโยชน์นะ เขาได้ประโยชน์จากการงานของหุ่นยนต์ที่มันทำขึ้นมา นี่ก็เหมือนกันเราทำสักแต่ว่าเหมือนหุ่นยนต์กันเลย ศึกษามา ต้องเป็นอย่างนั้น ต้องอย่างนั้น แล้วทำแบบหุ่นยนต์จะไม่ได้อะไรเลย

แต่ถ้าเราทำโดยที่มีหัวใจ หัวใจนี่มันมีเจตนา มันมีความจงใจ มันมีความตั้งใจ ความจงใจความตั้งใจมันคือการเปิดประตู เปิดประตู เปิดให้อากาศเข้าถึงหัวใจ เปิดให้สติปัญญาเข้าถึงใจ ถ้าสติปัญญาเห็นไหม สติ ปัญญาคืออะไร? สังขารความคิดความปรุงความแต่ง

ถ้าเป็นกิเลส สังขารความคิด ความปรุง ความแต่ง มันเป็นสังขารของกิเลส มันเป็นขันธมาร แต่ถ้ามันเป็นธรรมนะ สังขารนั้นมันมีสมาธิรองรับ ถ้ามีสมาธิรองรับสังขารนั้นเกิดขึ้นมาด้วยสมาธิเห็นไหม สมาธิเกิดสังขารนั้นขึ้นมา สมาธิมันทำให้ตัวตน ทำให้กิเลสตัณหาที่มันไปตามความคิดตามสังขารที่มันปรุงแต่งขึ้นไป มันไม่เป็นกิเลส

ไม่เป็นกิเลสเพราะสมาธิ สมาธิเป็นพื้นฐาน สมาธิทำให้ตัวตนของเราไม่สอดแทรกเข้าไป ปัญญามันเกิดขึ้นมา ปัญญาของคนเกิดขึ้นมาปัญญาหยาบปัญญาละเอียดก็มี ปัญญาเห็นไหม ได้ใคร่ครวญด้วยปัญญาไม่กี่ครั้งกี่คราวมันก็ปล่อยได้มันก็เข้าใจได้

แต่ถ้าเรามีกิเลสตัณหาความสงสัยเราเยอะ เราก็มีปัญญาซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันไม่ปล่อยก็คือมันไม่ปล่อยสิ เพราะอะไร? เพราะเราปัญญามันมาก ความสงสัยสนเท่ห์เรามันมาก ความยึดมั่นถือมั่นเรามาก ถ้าความยึดมั่นถือมั่นมันมาก เราก็ต้องสอนมันมากๆ สอนใจ ทำให้ใจมันเห็น มันปล่อยหนึ่ง ปล่อยสอง ปล่อยสาม ปล่อยสี่ ปล่อยนี้คือเชื่อไหม ไม่เชื่อก็ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพราะการกระทำ

สิ่งนี้มันเป็นประสบการณ์ของจิตแต่ละดวงแต่ละดวงไป ไม่เหมือนกัน ไม่เหมือนกันหรอก ความชอบความพอใจความให้คะแนนมากคะแนนน้อยไม่เหมือนกัน ไม่เหมือนกัน กิริยาท่าทางไม่เหมือนกัน ความไม่เหมือนกันถือเอาใครเป็นแบบอย่างไม่ได้

ถือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นแบบอย่าง แล้วการกระทำของเราถือความเห็นของใจเป็นแบบอย่าง ปล่อยคราวนี้เป็นอย่างไร? ปล่อยคราวต่อมาเป็นอย่างไร? ปล่อยไปเรื่อยๆ ถ้ามันไม่มีเหตุผลตอบสนอง ถ้ามีเหตุผลตอบสนองมันเข้าใจของมัน เข้าใจของมันเห็นไหม

เข้าใจโลกุตตระปัญญาเกิดบ่อยครั้งเข้า บ่อยครั้งเข้า ถึงที่สุด มันจะเป็นประโยชน์กับเรา ประโยชน์กับเรานะ ความตั้งใจ ชีวิตมันเป็นอย่างนี้ ชีวิตเห็นไหม ชีวิตนี่มีคุณค่ามาก

เวลาครูบาอาจารย์ท่านสอนนะ ถ้ายังมีลมหายใจเข้าและลมหายใจออกอยู่เรายังมีโอกาสนะ เมื่อใดลมหายใจขาดบุญกุศลบาปอกุศลมันจะถึงตัวเราทันที เราจะไปตามแรงขับนั้น แรงขับนั้นจะทำให้เราไปเป็นตามนั้น ถ้าแรงขับนั้นไปตามนั้น ถึงที่นั้นแล้วเราจะมีโอกาสแก้ไขไหม?

ในปัจจุบันนี้เราถึงต้องตั้งใจของเรา เราทำของเรานะ ตั้งใจทำของเราให้เป็นประโยชน์กับเรา เกิดมาเป็นชาวพุทธ พบพุทธศาสนาแล้วมีอะไรติดไม้ติดมือไปนะ เวลาครูบาอาจารย์ของเรานะ ท่านบุกเบิกมา ท่านค้นคว้ามา ท่านพยายามวางธรรมวินัยนะ หลวงปู่มั่นนะ เวลาพระนะ

“ให้มีข้อวัตรติดหัวมันไป”

ให้มีข้อวัตรนะ ท่านห่วงข้อวัตรนะ ข้อวัตรคือนิสัยไง นิสัย นิสัย ๔ อกิริยา ๔ สิ่งที่ควรทำและสิ่งที่ไม่ควรทำ แล้วอยู่กับครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ท่านจะพยายามเร่งรัด พยายามส่งเสริม ส่งเสริมให้มันเป็นจริตนิสัย อยู่ที่ไหนก็เป็นความเพียร อยู่ที่ไหนก็เป็นความเพียร อยู่ในคนมากเราก็ตั้งสติของเราไว้ อยู่ในคนน้อยเราก็ตั้งใจของเราไว้

เราตั้งใจเป็นความเพียรของเราเห็นไหม เพราะอะไร? เพราะการหามา เหมือนของเราเลย พ่อแม่ปู่ย่าตายายกว่าจะสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาได้ แล้วมีลูกมีหลาน ก็อยากจะให้ลูกหลานรักษาสมบัติ รักษามรดกตกทอด นี้รักษาสมบัติภายนอก แต่ครูบาอาจารย์ของเรานะ นิสัยใจคอมันจะแสดงออกต่อเมื่อมันแสดงกิริยาออกมาใช่ไหม?

นิสัยของใจเวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันแสดงออกมาของใจ ใจมันจะรู้เห็นความเป็นไป ผู้ปฏิบัติถึงจะรู้ในการประพฤติปฏิบัติ สิ่งต่างๆ อย่างนี้มันส่งจากใจดวงหนึ่งให้กับใจดวงหนึ่ง ใจดวงนั้นได้เคยสัมผัส ใจดวงนั้นได้เคยบุกเบิก ใจดวงนั้นได้เคยชำแรกออกมาจากฟองไข่ มันจะรู้เลยว่าขณะที่เราจะจิกฟองไข่ออกไปจากฟองไข่มันจะมีอาการอย่างไร? มันจะมีความรู้สึกอย่างไร?

แล้วถ้าใครทำได้อย่างนั้นนะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ พระอัญญาโกณฑัญญะนะ

“สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายย่อมดับไปเป็นธรรมดา”

“อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ รู้แล้วหนอ”

พอใจมาก สงฆ์องค์แรกเกิดขึ้นมาแล้วเห็นไหม ในการประพฤติปฏิบัติของเรา ถ้าเราทำของเราขึ้นมาประสบความสำเร็จของเรามันจะเป็นประโยชน์กับเรานะ สิ่งนี้ต้องทำขึ้นมาเพื่อเรา ชีวิตมีอยู่ต้องทำให้เราเป็นประโยชน์กับเรา ให้ชีวิตนี้มีคุณค่า เอวัง

มา มาเลย

สีลัพพตปรามาสนี่ต้องรอไปก่อนไหม รอให้เจ้าของคำถามมันมาก่อน

ถ้าโยมพี่สาวป่วยนะ เวลาหลง ถ้าเวลาลืมให้พุทโธดังๆ ได้ ให้เขาทำตามประสาเขานั่นแหละ มีหน้าที่ของเราก็เตือนตลอด มันต้องเตือนไง คอยให้สติตลอด มันต้องมี คำว่าเตือนสติเห็นไหม คนโบราณเวลาญาติผู้ใหญ่จะเสียจะบอกว่าให้นึกถึงพระ นึกถึงพระ การนึกถึงพระนี่มันรวบยอด

พอนึกถึงพระเห็นไหม พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง อันนั้นนึกถึงพระ นึกถึงพระ แต่นี่เรานึกถึงพุทโธ มันเป็นคำบริกรรมเลย มันก็ เพราะนึกถึงพระ มันบางทีนะ ถ้าคนมันคิดถึงทางโลกตลอด นึกถึงพระ นึกถึงพระอะไร? แล้วนึกถึงพระนึกออกไหม? ถ้าตอนนี้มันยังนึกได้ มันเป็นไปได้ เวลาเป็นไปได้นะ

แต่เวลากรรมนิมิตไง เวลากรรมนิมิตถ้าเวลามันหลง เวลามันหลงมันหายไปไหน สติหายไปไหน ทั้งๆ ที่จิตอยู่กับเรานะ จิตนี่อยู่กับเรา แต่บางทีมันเป็นไปไง มันเป็นไปเหมือนกับการไข้ อาการไข้เดี๋ยวก็มีไข้ เดี๋ยวก็หายไข้ อาการไข้ อาการไข้เวลาไข้มันหายไข้มันหายไปไหน

นี่ก็เหมือนกัน เวลามันหลง เวลามันมีสติไง เวลาหลง หลงไปได้อย่างไร? เวลามีสติมีสติได้อย่างไร? เวลามีสติมันก็สมบูรณ์ธรรมดา เวลามันหลงขึ้นไป ทีนี้เวลาเราหลงไปเราก็ต้องดูแล เราจะดูแลของเราไปเพราะเวลาหลงนะ

เวลาหลงคือเขาไม่รู้สึกตัว พอรู้สึกตัวมันเหมือนกับเราจะบอกให้เขาทำอย่างที่เราตั้งใจไม่ได้ เหมือนกับว่า เหมือนจะบอกว่าเราต้องดูแล ต้องบังคับ บังคับเหมือนกับ เราไม่ให้ผิดพลาดไง เราจะดูแลของเรา เราจะประคองของเราเลย แต่ถ้าเราได้สติแล้ว เออ เราออกห่างได้เพราะเขารักษาตัวเขาได้ แต่ถ้าเขารักษาตัวเขาไม่ได้ เราไม่ปล่อย เราไม่ต้องปล่อยแล้วไม่ต้องเกรงใจเพราะความเกรงใจ เพราะเขาช่วยตัวเองไม่ได้อยู่แล้ว

ถ้าเขาช่วยตัวเองไม่ได้เราจะปล่อยเขาได้อย่างไร แต่ถ้าโดยสามัญสำนึกใช่ไหม ถ้าเป็นพี่เป็นญาติผู้ใหญ่เรา เราไปทำไป เหมือนกับว่าเราไปบังคับท่าน หรือเราไปทำผิด เราไปทำเสียหาย ไม่ใช่ เพราะตอนนั้นท่านหลง

ถ้าพ่อแม่ ถ้าญาติผู้ใหญ่เราหลง เราก็ดูของเรา ต้องดูตรงนั้น แต่ถ้าพอได้สติขึ้นมา เราก็อยู่ห่างได้เพราะตัวสติมันก็ฟื้นมาแล้ว สติเขาก็พร้อมแล้ว เราก็ปล่อย แต่ถ้าเขาไม่พร้อม ขณะที่เขามีปัญหาเราต้องดูแลของเรา คำว่าบังคับไม่ใช่บังคับให้ทำผิดนะ บังคับคือว่าไม่ให้ทำร้ายตัวเอง ไม่ให้ทำอย่างอื่น

คือว่าไม่ให้ทำเสียหาย ถ้าทำเสียหายเราบังคับเลย เราจับมือเลย เราจับได้ สิ่งที่มีอะไรเราเอาออกจากมือเขาเลย แล้วนี้ ถ้ามันเป็นญาติผู้ใหญ่บางทีเราไม่กล้าทำ เราเห็นว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้ทำไปแล้วมันเหมือนกับว่าเป็นการทำร้ายกัน เป็นการทำไม่น่าดูอะไรทำนองนั้น ไม่ใช่ ไม่น่าดูสำหรับคนที่เขามีสติ

แต่คนที่เขาช่วยตัวเองไม่ได้ ไม่น่าดู จะปล่อยเขา มันเหมือนกับสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ไง จะปล่อยให้สิ่งที่เขาไม่มีสติให้เขารู้สึกตัว มันเป็นไปไม่ได้ ถ้าเรามีสติ เรารู้สึกตัวของเรา เราก็รักษาของเราเอง เราต้องดูแลของเรา แล้วถ้าอย่างนี้ ถ้าเขามีสติขึ้นมาเขาทำของเขาได้เห็นไหม เขาเปิดฟังเทปได้ อะไรได้

อย่างนี้ถึงเวลาที่เขาดีขึ้นมาก็เป็นประโยชน์กับเขาเอง เป็นประโยชน์กับเขาเพราะในทางโลกนี่มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ทางโลกนะเพราะเทคโนโลยีมันเจริญขึ้นมา เจริญขึ้นมา นี่จะรักษาด้วยขนาดไหนก็ได้ แล้วถึงที่สุด ที่ไหน แค่ไหนพอเพียง นี่เราก็รักษาของเราด้วยเต็มที่ของเรา ถึงที่สุดแล้ว ถึงที่สุดมันก็ต้องพลัดพราก มันเป็นเรื่องธรรมดา

การเห็นการเกิดและการตาย เวลาเกิดขึ้นมาดีใจ เห็นลูกเกิดขึ้นมา เห็นหลานเกิดขึ้นมาดีใจมาก แต่เวลาญาติผู้ใหญ่เสียไปจะเสียใจ เราจะเสียใจ แต่ถ้ามันเห็นเป็นธรรมดา การเกิดก็คือธรรมดา การตายการพลัดพรากมันก็เป็นเรื่องธรรมดาเพราะว่าเราเป็นชาวพุทธ เราได้ศึกษาธรรมใช่ไหม

เราได้ฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งนี้เป็นธรรมดา ถ้าเป็นผลประโยชน์ของเรา เราได้ไปหยิบไปยืมเป็นธรรมดา ดีใจ แต่เวลามันเสียใจไม่ธรรมดา ไปทุกข์ร้อนกับมัน นี่ก็เหมือนกัน นี่สิ่งที่มันขัดใจ สิ่งที่ไม่พอใจเวลาเกิดขึ้นมาไม่ธรรมดาหรอก แต่ถ้ามันเป็นสิ่งที่เป็นผลประโยชน์เรา เออ พอใจเป็นธรรมดา มันคิดโดยกิเลสไง แต่ถ้าคิดโดยธรรมนะมันเห็นสัจจะความจริงตลอด แล้วถ้ามันเป็นไปธรรมดาอย่างนี้ มันเป็นธรรมดาของเขา ถ้ามันถึงธรรมดาของเขาเราก็ต้องดูแลรักษา

คำว่าดูแลรักษานี่นะ ดูสิ หลวงปู่มั่น เวลาท่านพูดกับหลวงตาไว้เห็นไหม

“ป่วยคราวนี้ไม่หายแล้วล่ะ เหมือนกับต้นไม้มันตายยืนต้น แต่ไม่ตายง่ายนะเพราะมันเป็นโรคคนแก่ ไม่ตายง่าย”

ทุกข์ จนขนาดที่หลวงตาท่านอุปัฏฐากอยู่จนเป็นคติธรรมอันหนึ่งนะเพราะว่าตอนนั้นหลวงตาท่านเป็นอุปัฏฐากอยู่แล้วคนเป็นวัณโรค กลางคืนหน้าหนาวหายใจไม่ออกเลย คนหายใจไม่ออกเสลดมันปิดหมด แล้วเวลาท่านทรมานของท่าน เออ เออ หลวงตาท่านบอกว่าท่านคิดแว็บหนึ่งนะ

“เอ.. พระอรหันต์จะเผลอหรือเปล่าหนอ?” อย่างนี้

มันเป็นประเด็นขึ้นมาจนได้ พระอรหันต์จะมีความเผลอบ้างหรือเปล่าหน? แต่พอท่านบอกท่านคิดท่านก็ตบเลยเห็นไหม ว่าเป็นประเด็นขึ้นมาละ กิริยานี่กิริยาของคน กิริยาของคนเห็นไหม พระอรหันต์ แต่เวลาเจ็บไข้ได้ป่วย อาการของความเจ็บไข้ได้ป่วย หายใจไม่ออกก็คือหายใจไม่ออก

เราเป็นหวัดพระอรหันต์เป็นหวัด ถ้าหายใจไม่ออกก็ต้องฟืดฟาด พระอรหันต์เป็นหวัดก็หายใจปกติ เป็นอะไรก็ มันไม่ใช่ พระอรหันต์มันเป็นที่ใจ พระอรหันต์เป็นที่ใจ ใจมันพ้นจากกิเลสเป็นพระอรหันต์ที่นั่น แต่มีร่างกายเป็นหวัดก็คือหวัด หายใจมันก็คัดจมูกนั่นแหละ พระอรหันต์ก็คัดจมูก ยิ่งมีเสลดในคอ มีไอ้นี่ มีเสลดมีอะไรในคอ ท่านต้องล้วงต้องอะไรออกมา

แล้วก็คิด เราก็คิดกันไปเห็นไหม คิดกันไปว่า อือ พระอรหันต์ มันบอกว่าพระอรหันต์เหมือนกับหนังจีน มีกำลังภายใน เหาะเหินเดินฟ้าได้หมดเลย เหาะเหินเดินฟ้าพูดถึงหนังจีนเขาเป็นกำลังภายในของเขา มันเป็นฌานโลกีย์นะ มันมีเสื่อมมีเจริญของเขา เวลาทำมันทำได้ เวลาเราประพฤติปฏิบัติกัน ทดสอบได้ เวลาเข้าฌานสมาบัติจะเหาะเหินเดินฟ้าได้ ได้ทั้งนั้น แล้วมันได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา

ในปัจจุบันนี้เราซื้อตั๋วเครื่องบินเราจะเดินเหาะรอบโลก เรายังสบายกว่าเลย แล้วนี่จะเข้าฌานสมาบัติกว่าจะทำได้ เพียงแต่สมัยก่อนเทคโนโลยีมันยังไม่มี ถ้าใครลอยได้มันก็ดูเป็นเรื่องแปลก แต่เดี๋ยวนี้ลอยได้เป็นเรื่องธรรมดา เขาจะไปอวกาศกันแล้ว เห็นไหม สิ่งที่เราคิด คิดโดยกิเลสไง คิดโดยกิเลสมันเป็นธรรมดา

เวลาท่านพูดนะ หลวงปู่มั่นท่านพูด “มันเป็นโรคคนแก่ ไม่ตายง่ายหรอก นี่ ทรมาน”

ทรมานเห็นไหม มีหลายเรื่องมากที่เวลาหลวงปู่มั่นท่านเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา แล้วท่านเห็นกรรมของท่าน มันมาจากนั่นมาจากนั่น แต่พูดไปมันเหมือน ถ้าฟังว่ามันคติ เราก็ยกย่องครูบาอาจารย์เรานะเพราะครูบาอาจารย์ของเราท่านรู้จริงเห็นจริง

ท่านรู้จริงเห็นจริงมันมีที่มาที่ไปหมด ของทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันมีที่มาที่ไป แต่พวกเรามันไม่รู้ที่มาที่ไป แล้วที่มาที่ไปอย่างนี้มันเป็นกรรมเก่ากรรมใหม่ มันซับซ้อนกันมา มันซับซ้อนมา สิ่งที่โรคขัดอกโรคอะไร ท่านเป็นอยู่เห็นไหม ท่านพูด เล่าให้หลวงตาฟัง ท่านก็เล่าให้ฟังเยอะ เรื่องที่ว่า อย่างนี้มันเป็นเพราะไอ้นั่น มันเป็นเพราะไอ้นี่ แต่เป็นของท่านมันเป็นจริงๆ นะ

ถ้าเป็นของเราว่าแก้กรรมแก้กรรม มันเป็นเรื่องของผลประโยชน์ การแก้กรรมของเราถ้ามันเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์มาก สิ่งที่เป็นจริงกับเรานะ “การแก้กรรมของเราคือการนั่งสมาธิภาวนา”

การแก้กรรมคือการแก้กิเลส การแก้กรรมข้างนอก การแก้กรรมที่ว่าเข้าไปแก้กรรมกันอย่างนั้น กรรมเก่ากรรมใหม่ เราแก้กรรม เราตักข้าวมาจานหนึ่ง เรากินข้าวหมดจานนั้นแล้ว เราจะต้องมีข้าวจานใหม่ไหม เราจะต้องกินมื้อต่อๆ ไปไหม แล้วกรรมมันก็มีซับซ้อนมา ถ้ายังมีชีวิตอยู่ ยังทำมีการกระทำอยู่ กรรมเกิดตลอดเวลา เราแก้ขนาดไหนมันก็มีกรรมต่อๆ ไปใช่ไหม? มันจบที่ไหน?

แต่ถ้าเรามาภาวนาพุทโธ พุทโธ จิตสงบเข้าไปนะ แล้วเกิดปัญญาขึ้นมาชำระกิเลส มันแก้ที่นี่ มารมันไม่เห็นเลย มารมันไม่มีที่จะไปทวงใครเลย มันพ้นจากกรรมจริงๆ มันพ้นนะ มันพ้นจากกรรมเลย มารหาไม่เจอ กรรมตามหาไม่เจอ สิ่งใดๆ ตามหาไม่เจอ

การแก้กรรมถึงบอก การแก้กรรมมีไหม? มี มีด้วยวิธีการใด? มีวิธีการด้วยวิปัสสนาญาณ วิปัสสนาญาณชำระกิเลส ชำระกิเลสเข้าไปมารหาไม่เจอ สิ่งที่มากระทบกระเทือนของเราข้างนอกมันเรื่องภายนอกทั้งนั้น เรื่องดินฟ้าอากาศ เรื่องธาตุขันธ์ เรื่องร่างกาย มันเป็นเรื่องธรรมดาทั้งนั้น มันเป็นเรื่องธรรมดา มันเห็นเป็นเรื่องธรรมดา

แต่ถ้าจิตมันไม่เป็นธรรมนะมันไม่เป็นเรื่องธรรมดา มันเหนี่ยวรั้ง มันเหนี่ยวรั้ง แล้วมันเหนี่ยวรั้ง สิ่งที่เหนี่ยวรั้ง ทีนี้มันไม่เหนี่ยวรั้ง เราศึกษา เราศึกษาแล้วเราก็ค้นคว้าของเรา แล้วเรารักษาของเรานะ เราทำของเรา จะบอกว่าทำไมมันไม่ได้ดั่งใจ ไม่เป็นไปอย่างที่เราทำบุญมา บุญที่ทำได้อยู่นี่มันทำให้สิ่งที่เกิดขึ้นมาเบาบางลงนะ ๑. เบาบางลง ๒. มีจุดยืน ให้มีจุดยืน

ให้หัวใจมีจุดยืน พอมีจุดยืนเห็นไหมเราเชื่อมั่นในศาสนา เราทำดีมาแล้ว มันเพราะเชื่อมั่นในศาสนา คนเรามีสติสัมปชัญญะกับตัวเอง ทำสิ่งใดจะไม่ค่อยผิดพลาด ผิดพลาดน้อยมาก นี่ก็เหมือนกันถ้ามีสติมีสัมปชัญญะเห็นไหม มีสติสัมปชัญญะเข้าใจเรื่องสภาวะแบบนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นมาที่มีสติสัมปชัญญะเขาก็รักษาตัวเขา

ถ้าขาดสติไปมันก็เป็นสิ่งที่มันขาดไป สิ่งที่ทำมาอย่างนี้เราก็ดูแลรักษากันไป ดูแลรักษากันไปจนจะถึงที่สุด ถึงที่สุดนะ แล้วใครทำสิ่งใดไว้ สิ่งนั้นเป็นบุญ พ่อแม่เรา สิ่งที่เป็นญาติผู้ใหญ่เรา เราได้ดูแลรักษาเราไว้ เห็นไหม ดูแลรักษามันเป็นบุญคุณหมดล่ะ

บุญคืออะไร? บุญคือการแม้แต่เราล้างถ้วยล้างจานเห็นไหม สิ่งที่เป็นไขมันสิ่งต่างๆ เราสาดไปในน้ำคร่ำ สัตว์มันได้อาศัยเป็นอาหารนั่นก็เป็นบุญแล้ว ขนาดสัตว์ที่มันไม่เป็นอะไรกับเราเลย เราแค่ทำเศษอาหารทิ้งไป มันมาอาศัยกิน เรายังได้บุญเลย เราป้อนน้ำป้อนข้าว เราดูแลมันไม่เป็นบุญได้อย่างไร? มันเป็นบุญทั้งนั้น

เพียงแต่ว่ามันบ่อย มันนาน ทำให้เราเบื่อหน่าย ความเบื่อหน่ายถ้าไม่มีธรรมอันนี้มาช่วยเจือจานหัวใจ ช่วยเจือจานมุมมองหัวใจให้มันชุ่มชื่น ให้ทำขึ้นมาด้วยความชุ่มชื่น ให้ทำขึ้นมาด้วยความพอใจ ด้วยความพอใจของเรา เราตั้งใจทำ อย่าทำสักแต่ว่าทำ ทำสักแต่ว่าด้วยให้กิเลสมันขี่เอา ถ้ากิเลสมันขี่ กิเลสมันมีอำนาจนะ มันทำตามหน้าที่ แล้วเมื่อไหร่จะหมดหน้าที่เสียที ทำตามหน้าที่นะ

แต่ถ้ามันเป็นสายบุญสายกรรมนะ เราทำถึงที่สุด ทำถึงที่สุด จบสิ้นกระบวนการแล้วก็จบกัน จบกันเห็นไหม จบเรื่องของเขานะ แล้วเรื่องของเรายังไม่จบ เรื่องของเราคือเราต้องรักษาตัวเราล่ะ เราต้องดูแลตัวเราล่ะ ถ้าเราดูแลตัวเรานะ เวลารักษาเห็นไหม มีลูกศิษย์มาหาหลายคนมาก ดูแลพ่อดูแลแม่นี่แหละ

พอดูแลพ่อดูแลแม่แล้วก็ย้อนถึงตัวไง ย้อนถึงตัวเราก็เป็นอย่างนี้ เราก็ต้องเป็นอย่างนี้ ทุกข์เป็นอย่างนี้ เห็นแล้วมันคิดนะ ดูแลพ่อแม่แล้วมันย้อนกลับมาที่เรา มันได้ประโยชน์ไง มันได้สติ มันได้สติด้วยความคิด เราก็จะแก่อย่างนี้ เราก็จะทุกข์อย่างนี้ มันเหมือนกับเรากำหนดมรณานุสติ

ถ้ามรณานุสตินี่เราจะเตือนตัวเราตลอด แต่นี่เราเห็นกับตา เราจับต้อง เราดูแล เตือนสติ แล้วพอพ้นจากนั้นไปเห็นไหม เราออกมาข้างนอกเราก็เพลิน เพลินกับชีวิตไปอีกแล้ว ไปกับเขาหมดเลย ไปกับโลกหมดเลย ถ้าไปกับโลกหมดเลยมันก็ไปตามกระแสโลก เห็นไหม

ความคิดอันหนึ่งเป็นโลก ความคิดอันหนึ่งเป็นธรรม ถ้าความคิดอันหนึ่งเป็นโลกมันก็ไปกับโลก ถ้าความคิดที่เป็นธรรม ความคิดเป็นธรรมเห็นไหมมันมีสติ มันรู้จักคิดและรู้จักชีวิต รู้จักกาลเวลา กาลเทศะ ถ้ากาลเวลาเห็นไหม ประโยชน์กับเราไง เข็มนาฬิกากระดิกหมดนะ ตั้งแต่เช้ามาเห็นไหมเป็นประวัติศาสตร์หมดแล้ว เป็นอดีตหมด

วันเวลานี้เอากลับคืนมาไม่ได้เลย ตัวเลขที่ได้มาคือวันเวลาที่เสียไป อายุขัยที่ได้มาคือหมดเวลาไปเท่านั้น ทุกคนหมดเวลาไปแล้วไม่จบ ไม่จบเพราะมันไปเกิดใหม่ มันจะไปเกิดของมันเรื่อยๆ ไม่มีวันจบ จิตนี้ไม่มีวันจบ ถ้าไม่ทำให้มันหมดกิเลสไม่มีวันจบ มันไปตลอด แต่กาลเวลามันเป็นโอกาสชีวิตหนึ่งไง ชีวิตหนึ่งมีโอกาสเท่านี้

แล้ววันเวลาเท่านี้ในโอกาสนี่ ถ้ามันหมดเพราะโอกาสอย่างนี้ โอกาสหมายถึงว่าดูสิดูนี่ดูเขาทำการค้ากันเขาต้องมีตลาดเห็นไหม โอกาสที่ศาสนาเจริญรุ่งเรืองไง หลวงปู่เสาร์ร์หลวงปู่มั่นมารื้อค้นขึ้นมาจนให้การกระทำของเราเป็นหลักชัยในศาสนา

ศาสนามีแก่น มีกระพี้ มีเปลือก ไปติดกันที่เปลือกนะ ไปติดกันทางวิชาการนะ แล้วปากเปียกปากแฉะนะ ธรรมะเป็นอย่างนั้น สุดยอดอย่างนั้น สุดยอดอย่างนั้น ไอ้ตัวที่พูดไม่รู้อะไรเลย นกแก้วนกขุนทอง แต่ถ้าดูหลวงปู่มั่นหลวงปู่เสาร์ท่านรื้อค้นขึ้นมานะ ท่านรื้อค้นขึ้นมาในป่าในเขา รื้อค้นขึ้นมาจากหัวใจของหลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่นเอง อาศัยป่าอาศัยเขาเป็นชัยภูมิ

เป็นชัยภูมิในการที่ว่าให้มันสยดสยอง ให้มันวิเวก ให้มันสงบสงัด ให้มันเข้ามาหาตัวของใจ แล้วพอเข้ามาหาตัวของใจ แล้วใจของเรามันจะใช้ปัญญาของมันรื้อค้นเข้ามันเข้าไปอีก เห็นไหม ธรรมะมันเกิดที่นี่ ธรรมะมันเกิดกับใจที่มันรื้อค้น มันได้รื้อค้นเข้ามาในหัวใจ

มันรื้อค้น มันเห็นว่าสิ่งใดเป็นพิษ สิ่งใดเป็นเสี้ยนเป็นหนาม สิ่งใดเป็นสิ่งที่ปักเสียบหัวใจ มันถอดถอนสิ่งนั้นออกด้วยใจแก้ใจ เพราะด้วยใจแก้ใจ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ที่โคนต้นโพธิ์ ตรัสรู้ในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ววางธรรมวินัยไว้เห็นไหม มันรู้จริง รู้จริงมันทำได้จริง

ในการปฏิบัติในยุคสมัยปัจจุบันที่ครูบาอาจารย์เรารื้อค้นขึ้นมาเห็นไหม มันทำได้จริงอย่างนี้ มันทำขึ้นมาจากหัวใจความเป็นจริงเห็นไหม สิ่งที่เป็นจริงขึ้นมามันพูดเมื่อไหร่ก็ได้ มันพูดด้วยความจริง ด้วยความองอาจนะ ด้วยความองอาจไม่กลัวสิ่งใดๆ เลยเพราะมันเห็นจริงทำจริงได้ประโยชน์จริงๆ

แต่ถ้าเป็นการศึกษามามันเหมือนกับเราจำของเขามา แล้วศึกษากันไปประสาโลกๆ เห็นไหม แล้วส่งเสริมกัน ทุกอย่างต้องเป็นวิทยาศาสตร์ ทุกอย่างต้องเป็นวิทยาศาสตร์ ใช่ ทุกอย่างต้องเป็นวิทยาศาสตร์ การปฏิบัติก็เป็นวิทยาศาสตร์ทางจิต วิทยาศาสตร์คือการทดสอบ สมาธิก็เป็นวิทยาศาสตร์

ปัญญายิ่งกว่าวิทยาศาสตร์อีกเพราะวิทยาศาสตร์เห็นไหม ๙๙.๙๙ ในวิทยาศาสตร์ไม่มีปรมัตถธรรม ร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่มี แต่ในทางธรรมะ มี ปรมัตถธรรมในธรรมะนี่ มี หัวใจเป็นธรรม ถ้าไม่ร้อยเปอร์เซ็น ๙๙.๙๙ ไม่ได้ มรรคสามัคคีไม่ได้ จุดหนึ่งทำให้ครบสมบูรณ์ไม่ได้ ธรรมะครบสมบูรณ์ไม่ได้เลยถ้าเป็นวิทยาศาสตร์

เพราะวิทยาศาสตร์มันต้องมีเจ้าของ มีตัวตน มีสสาร มีความเป็นไป ธรรมะนี่เป็นธรรมชาติ หมุนเข้าไปทำลายตัวมันเองตลอด ทำลายตัวมันเองตลอด สิ่งที่ทำลายตัวเองเห็นไหม เข้ามาถึงตัวมันเองแล้วทำลายตัวมันเอง เนี่ย ถือว่าเป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งที่เป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วเราทำของเราขึ้นมาในใจของเรา

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดกับปัญจวัคคีย์เห็นไหม

“เราไม่รู้ ๖ ปีก็ไม่บอกว่าเป็นพระอรหันต์ บัดนี้เป็นพระอรหันต์นะ เงี่ยหูลงฟัง เงี่ยหูลงฟัง ถ้าไม่มีกิจญาณ สัจญาณเกิดจากใจ กิจญาณเกิดจากหัวใจไม่เกิดขึ้นมา เราไม่เคยปฏิญาณตน ปัจจุบันนี้เราปฏิญาณตน ให้เงี่ยหูลงฟัง”

แล้วปัญจวัคคีย์ฝึกฝนมากับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อุปัฏฐากอยู่ ๖ ปี จิตมันเป็นสมาธิอยู่แล้ว จิตมันมีพื้นฐานอยู่แล้ว จิตที่เป็นพื้นฐาน จิตที่เป็นสมาธิ จิตที่ใฝ่ที่ต้องการที่พยายามแสวงหาทางออก แล้วนี่มันมีพื้นฐาน แต่ยังไม่มีสิ่งเป็นมรรคเป็นธรรมที่จะพาให้ออก ยังไม่มีในโลกเห็นไหม

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อค้นขึ้นมาก่อน เสวยวิมุตติสุขแล้ว มาเทศน์ธัมมจักฯ เอาพระอัญญาโกณฑัญญะ รู้ออกมาได้เห็นไหม สิ่งที่เกิดขึ้นมา สิ่งที่กระทำขึ้นมาแล้วพอพระอัญญาโกณฑัญญะตรัสรู้ธรรมขึ้นมา พอรู้ธรรมขึ้นมาเห็นไหม จนปัญจวัคคีย์ทั้งหมด เทศนาให้ปัญจวัคคีย์ทั้งหมดเห็นไหม สิ่งที่จะเป็นพยานต่อกันเป็นพยานต่อกันทั้งหมด

ยสะขึ้นมาอีก ๕๔ องค์ ภิกษุ ๖๑ องค์ พ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและบ่วงที่เป็นทิพย์ บ่วงที่เป็นโลกบ่วงที่เป็นทิพย์ เธอจงไป อย่าซ้อนทางกัน แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังบอกอย่าไปซ้อนทางกัน มันเสียผลประโยชน์เพราะว่ากว่าจะฝึกฝนใจแต่ละดวงขึ้นมา มันไม่ใช่ของง่ายหรอก

แล้วในปัจจุบันนี้หลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่นรื้อค้นขึ้นมา แล้วหลวงปู่มั่นเห็นไหมไปทางนั้น ไปทางนั้น เวลาสั่งสอนพยายามให้มีข้อวัตรปฏิบัติติดตัวมันไป ติดตัวมันไป คือให้มันมีอาวุธติดตัวมันไป ติดตัวไปสู้กับกิเลสของมัน แล้วถ้ามันเอาอาวุธนั้นชำระกิเลสของมันได้ขึ้นมานะ มันเป็นประโยชน์กับโลกมหาศาลเลยเพราะคนทำงานเป็น

คนทำงานเป็น คนมีวิชาการคนมีความรู้จริงจะไปอยู่ในที่ไหนมันเป็นประโยชน์ทั้งนั้น ถ้าคนรู้ไม่จริงไปอยู่ในที่สังคมที่เขาเจริญแล้วยิ่งไม่รู้จริงยิ่งเป็นปัญหาไปหมดเลย สิ่งที่มันรู้จริงขึ้นมาเห็นไหม แล้วในปัจจุบันนี้มันมีครูบาอาจารย์ที่รู้จริงเราถึงจะต้องเห็นโอกาสไง เราถึงเห็นโอกาสกับชีวิต เรามีการกระทำ

โลกเขาจะเป็นไปให้เขาเป็นไปนะ เราอยู่กับโลก ใช่ ทุกคนอยู่กับโลก ธรรมะไม่ขวางโลก อยู่กับโลกเราก็อยู่กับเขาเพราะว่าชีวิตมันเป็นอย่างนี้ มนุษย์เป็นสัตว์สังคมต้องอยู่กับมัน ต้องอยู่กับมันนะเพราะเราเกิดมาแล้ว เราเกิดมาเป็นมนุษย์แล้วเรามีอายุขัย เรามีกาลเวลาของเรา เราอยู่ในสังคมของเรา แต่เราไม่ไปกับเขา

เราอยู่กับเขา อาศัยสังคม แต่เราไม่ไปกับเขา เราจะไปสู่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราจะรื้อค้นใจของเรา อยู่กับเขาโดยไม่ติดเขา อยู่กับเขาโดยดูหัวใจของเรา แล้วมันจะเห็นนะ ธรรมกับโลกอยู่ด้วยกัน แต่ไม่เหมือนกัน ไม่ใช่อันเดียวกัน ไม่ใช่ โลกมันเป็นสิ่งที่ไม่มีต้น ไม่มีปลาย ทำเสร็จแล้วก็ต้องทำ วัตถุไม่มีต้นไม่มีปลายต้องทำกันอยู่อย่างนั้น

แต่หัวใจถ้าเราทำเสร็จแล้วนะ จบ จบสิ้นกระบวนการ เพียงแต่รอวันเวลาเท่านั้น รอกาลเวลาที่มันถึงที่สุด รอแต่ใบไม้หลุดจากขั้วก็ จบ ถ้าใบไม้หลุดจากขั้วแล้วเลิกกัน แต่ถ้าใบไม้ไม่หลุดออกจากขั้วลมพัดมันก็ไหวตามลมมันก็ธรรมชาติ ยังมีชีวิตอยู่มันก็ต้องกินต้องอยู่กันไปอย่างนี้

ถึงที่สุดแล้วเห็นไหม ไม่ตื่นเต้นไปกับโลกเลย ไม่เป็นสิ่งใดๆ กับโลกเลย เข้าใจสภาวะแบบนั้นแล้วถ้ามันเป็นอย่างนั้นนะ ร่มโพธิ์ร่มไทร ถ้าเรามีความรู้จริงในศาสนามันจะเป็นประโยชน์กับศาสนาเพราะมันเป็นที่พึ่งอาศัยไง ถ้าร่มโพธิ์ร่มไทรนกกาอาศัยมหาศาล ถ้านกกาอาศัยเห็นไหม มันเป็นประโยชน์ไหม?

ถ้าไม่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทร มันมีแต่แดดแต่ลมนกกาที่ไหนจะไปอาศัย ถ้าผู้รู้จริงคนหนึ่งมันเป็นประโยชน์กับโลกได้ขนาดนั้นนะ เราถึง ถ้าเรารู้จริงเราต้องเอาตัวรอด มันเป็น ๒ ประเด็น ประเด็นหนึ่งถ้ารู้จริงเราพ้นจากกิเลสด้วย พ้นจากทุกข์ด้วย แล้วยังเป็นประโยชน์กับโลกอีกด้วย

สิ่งประเด็นแรกต้องสอนตัวเองก่อน ต้องเอาตัวเองก่อน สิ่งที่เกิดรอบข้าง เราดูเขาไป ดูรอบข้างเห็นไหม แล้วย้อนมาดูใจ สอนใจตลอดเห็นไหม เขาก็คน เราก็คน อาการที่เป็นอาการของคน เราเห็น แต่อาการของเราก็อาการของคน แต่เราไม่เห็นเพราะมันเป็นเรา เราเลยเข้าข้างเรา เราเข้าข้างเรานะ เราเข้าข้างว่าเราทำดีหมดเลย เราเป็นสิ่งที่ดีหมดเลย

แต่เวลาเราเห็นคนอื่นเจ็บไข้ได้ป่วยเห็นไหม เห็นทุกข์เห็นร้อนนะ เราทุกข์ร้อนไหม? ถ้าเรามีสติเราจะย้อนกลับมา เราก็เป็นอย่างนี้ เห็นไหม มันเตือนเรา มันเตือนเป็นประโยชน์กับเรา ถ้าเตือนเป็นประโยชน์กับเรา มันเป็น สิ่งที่เกิดขึ้นรอบข้างมันก็เป็นประโยชน์กับเรา ใจเป็นธรรมถ้าใจเป็นธรรม มันมองสิ่งต่างๆ เป็นธรรม ถ้าใจไม่เป็นธรรมนะมันมองเป็นกิเลสนะ

ดูสิถ้าใจเป็นธรรมเห็นใบไม้หลุดจากขั้ว สิ่งนี้มันก็กระเทือนใจ มันกระเทือนใจ มันเป็นไป มันเตือนสติตลอด เหมือนเราเดินไปจิ้งจกมันร้องจ๊อกๆๆ ตลอดเห็นไหม พอจิ้งจกมันทักก็ต้องระวังนะ จิ้งจกทักก็ยังมีประโยชน์นะ นี่ก็เหมือนกัน พอเราไปเห็นสิ่งต่างๆ มันเหมือนทักเราตลอดเวลา มันทักถึงชีวิตไง เห็นไหม

นั่นก็ผ่านละ นี่ก็ไปละ พระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์ตก มันหมุนไปวันๆ หนึ่งเห็นไหม มันเป็นอย่างนี้ มันเป็นอย่างนี้ พอมันเป็นอย่างนี้แล้วชีวิตเราล่ะ แล้วความรู้สึกเราล่ะ ตื่นเต้นไปกับเขาไหม? ชีวิตเรามันสั่นไหวไหม ตรวจสอบใจได้นะ

ในการประพฤติปฏิบัติของเรา เราตรวจสอบตลอดเวลา เห็นสิ่งต่างๆ ทดสอบ ตรวจสอบ มันขึ้นไหม มันพองโตไหม หัวใจมันเป็นไปไหม ถ้ามันเป็นไป พอมันได้เชื้อมันเป็นไปแล้ว เป็นเพราะอะไร? แล้วถ้ามันไม่ได้เชื้อ มันไม่เป็นไป มันเป็นเพราะอะไร? ถ้ามันมีกิเลสอยู่ในใจ มันมีสิ่งใดฝังอยู่ในใจนะ รื้อค้นมันต้องเจอ ถ้ามันมีอยู่นะ

ถ้ามันมีอยู่เราหาต้องเจอ เรามีสติ เรารู้ต้องเจอ แต่นี่มันไม่รื้อ มันคิดว่ามันเป็นธรรมหมด มันปล่อยหมด พอมันปล่อยหมดมันก็ส่งออกหมด มันก็ไปกับกิเลสหมด กิเลสก็หลอกใช้หมด เอาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาอ้างอิง อ้างตามใจของตัว อ้างความพอใจ มันก็เป็นไปตามนั้น แล้วมันเป็นสมบัติเราจริงไหมล่ะ

ถ้าสมบัติเราจริงมันจะเป็นของเราจริง สมบัติของเราจริงนะหาไม่ได้ รื้อค้นอย่างไรก็หาไม่ได้ มันไม่เป็นไปตามที่มันต้องการหรอก

อันนี้พูดถึงถ้ามันเป็นสมบัติของเขา สมบัติของเขานะ อายุขัยของเขา ความเป็นไปของเขา เราดูแลของเราไป ดูแลให้มันเป็นประโยชน์กับเขาด้วยประโยชน์กับเราด้วย ประโยชน์กับเขา เขามีคนอยู่ดูแลมันก็ไม่ สัตว์สังคม อยู่คนเดียวมันว้าเหว่ แต่ถ้ามาปฏิบัตินะ อยากอยู่คนเดียว

ถ้าอยู่คนเดียวมันมีโอกาสปฏิบัติ ถ้าอยู่หลายๆ คนเห็นไหม เวลาธรรมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ให้คลุกเคล้า ไม่ให้คลุกคลีกัน ให้แยกกัน ให้ต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างดูใจของเรา อันนี้เป็นถึงบอกว่าการขาดสติและไม่ขาดสติ

อันนี้เวลาจะตายเราควรจะให้สติจ่อว่าอะไร? อะไรปวด? อะไรตายหรือเราควรท่องพุทโธ พุทโธอย่างเดียว ไม่ต้องสนใจเรื่องเป็นเรื่องตาย อันไหนจะทำให้เราเข้าสุคโต

พุทโธ พุทโธ อย่างเดียวล่ะ เวลาเราตายเห็นไหม เราควรตั้งสติไว้ อะไรปวดอะไรตายอย่าไปสนใจมัน เพราะอะไรปวด อะไรตาย จิตมันไปรู้ ถ้าพุทโธถี่ๆๆๆๆๆ ไปเลยล่ะ เวลาเขาพูดกันเห็นไหม บอกว่าเวลาคนใกล้ตายให้นึกถึงพระ แต่ถ้าเราพุทโธ พุทโธนี่พุทโธนี่เป็นพระเลยล่ะ พุทโธผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เพราะตัวจิตเป็นพระไง เวลาจิตสงบ เวลาพุทโธ พุทโธไป พอจิตสงบบางทีมันเห็นเป็นพระพุทธรูป เห็นมันก็เห็น

เห็นนี่จิตมันเห็นมันเป็นนิมิต แต่ถ้าจิตมันเป็นพุทโธเองเห็นไหมนึกพุทโธไม่ออก แล้วถ้าพูดถึง ถ้าวิกฤตขึ้นมาคนเราเห็นไหม คนเราเวลาจะจมน้ำ เวลาตกน้ำไปจะจมน้ำ มันจะตะเกียกตะกายเอาชีวิตรอดได้ไหม ทุกคนกลัวตาย ทุกคนก็ตะเกียกตะกายเอาตัวรอด นี่ก็เหมือนกัน พุทโธ พุทโธ พุทโธ

ถ้าพุทโธ พุทโธเหมือนเราตะเกียกตะกายเกาะพุทโธ แล้วถ้าเราเกาะพุทโธได้นะ พุทโธกับจิตเป็นอันเดียวกันนะ มันเป็นเนื้อเดียวกันเลย ฉะนั้นพุทโธดีกว่านึกถึงปวดนึกถึงตายมาก แต่ขณะที่มันปวดความปวดอันนั้นมันเร่งเร้า เราจะพุทโธพุทโธปวดมันก็จะดึงไปเยอะมาก

อันนี้ปวดจะดึงไปเยอะมากเห็นไหม ถ้ามีสติมันพยายามพุทโธ ถ้าพุทโธออกมาจากใจนะ มันเหมือนกับคนจนตรอก คนจนตรอกนะ ถ้ามันฮึดสู้ขึ้นมานะ มันเป็นไปได้นะ ถ้าคนไม่จนตรอกเห็นไหม ครูบาอาจารย์ท่านสอน ท่านสอนบอกว่าสติปัญญามันจะเกิดตอนจนตรอกนะ อย่าคิดว่าเราจะโง่ตลอดเวลา

ถ้าเรามีโอกาสเคลื่อนไหว มีโอกาสหลบหลีกมันจะอ้างตลอด มันจะอ้างนะ แล้วมันไม่จนตรอก ไม่จนตรอก มันคิด เวลามันจนตรอกเห็นไหม มันจนตรอกมันคิดขึ้นมาได้ มันเอาตัวรอดได้ มันหาทางออกของมันได้ พุทโธ พุทโธ พุทโธก็เหมือนกัน ถ้ามันจนตรอก มันปวด มันเจ็บจนไม่มีทางไปนะ มันพุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ มันลงได้ ถ้าลงได้นั่นละตัวพระ

ให้นึกถึงพระคือว่ามันเป็นตัวพระ ตัวจิตเป็นตัวพระเลย พุทโธสว่างไสว พุทโธผ่องใสเพราะพุทโธมันเป็นสมาธิ เวลาพุทโธ “พุทโธผ่องใส พุทโธสว่างไสว” นี่เป็นสมาธิหมดนะ มันไม่ใช่เป็นปัญญา ถ้าเป็นปัญญามันเป็นมรรค นี่อาศัยพุทโธ พุทโธ พุทโธมันเป็นที่หลบที่พัก มันเป็นที่หลบที่พักเพราะอะไร?

เพราะโดยกำปั้นทุบดินไง คิดเจ็บก็เจ็บ คิดปวดก็ปวด คิดหายก็หาย คิดดีก็ดี คิดชั่วก็ชั่ว มันเป็นจากความคิด แล้วพอมันคิดถึงพุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธอยู่กับมัน ถ้าพุทโธอยู่กับใจ ใจมันเป็นพุทโธเสียเอง เราเรียกหาพุทโธ พุทโธเห็นไหม เราเรียกร้องหาสิ่งต่างๆ แล้วเราไปจับสิ่งนั้นเสียเอง

สิ่งนั้นอยู่กับเรา เราจะเรียกร้องหาอีกไหม มันเรียกร้องมันก็ไม่เรียกร้อง มันต้องการหา มันก็ไม่ต้องการหาเพราะตัวมันเป็น จิตที่มันเป็นพุทโธขึ้นมาเห็นไหม นี่แหละที่ว่านึกถึงพระนึกถึงพระ นึกถึงพระกับใจเป็นพระต่างกันตรงไหน? นึกถึงพระเห็นไหม นึกถึงพระ นึกถึงพระ ตัวมันไม่ใช่พระ มันนึกถึงเขา

นึกถึงพระเห็นไหม นึกถึงพระ พยายามนึกถึงพระ สร้างพระ ภาพพระ แต่ถ้าพุทโธ พุทโธตัวมันเป็นพระ มันไม่ต้องนึกถึงพระมันเป็นพระเอง แล้วเข้าใจพระว่าสิ่งนี้เป็นพระ สิ่งนี้เป็นพระ ตัวเป็นพระ ตัวเป็นความว่าง ตัวเป็นตัวพุทโธ ตัวเป็นตัวผู้รู้

นี่ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน แล้วเวลาในการประพฤติปฏิบัติเห็นไหม ถ้าเห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ฆ่าทิ้งเสีย คนฟังถ้าไม่ใช่ปรารภธรรม ฟังแล้วมันก็ดูแปลกๆ ไม่ได้ไปฆ่าทิ้ง ไม่ได้ทำลาย แต่ขณะที่พุทโธจิตมันเป็นพระ คำว่าจิตมันเป็นพระ จิตมันเป็นพระชั่วคราว จิตเป็นพระเพราะจิตเป็นพระเลย

ทำไมมันคลายตัวออกมาล่ะ? ทำไมสมาธิมันเสื่อมล่ะ? ทำไมสมาธิมันอยู่กับเรา? เป็นพุทโธเป็นพระ เป็นพระ เป็นพระชั่วคราว แต่เวลาคลายออกมามันเป็นกิเลส อันนี้มันเป็นกิเลส ถ้าเจอพุทโธเห็นไหม สิ่งที่เป็นทุนมันเป็นมีดที่คมกล้า ที่บอกว่าถือมีดไว้เจอสิ่งใดเราใช้มีดนั้นทำประโยชน์ได้

จิตเป็นสมาธิ สมาธิมันเป็นฐานให้เกิดปัญญา ถ้าสมาธิมันเป็นฐานให้เกิดปัญญา ถ้าสมาธิให้เกิดปัญญา ถ้าปัญญาเกิดจากสมาธินี่มันเป็นโลกุตตระปัญญา แล้วเกิดคนมันจนตรอกขึ้นมาเห็นไหม เกิดถ้าปัญญา ดูสิ สันตติมหาอำมาตย์ หรือที่ว่าออกไปสู้รบกับมารเห็นไหม

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก ดูสิ เมาอยู่บนคอช้างนะ พระพุทธเจ้าบอกวันนี้จะเป็นพระอรหันต์ ไปรบทัพจับศึกกลับมา กษัตริย์ให้เป็นกษัตริย์อยู่ ๗ วัน กินเหล้าเมายาเลยล่ะ แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบิณฑบาตเห็นเขาเมาอยู่บนคอช้าง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกวันนี้เขาจะได้เป็นพระอรหันต์ แล้วใครจะไปเชื่อคนเมาจะเป็นพระอรหันต์ได้ไง

มีความสุขมาก กำลังกินของเขาตามที่ได้เป็นกษัตริย์ ๗ วันก็เสพสุขเต็มที่เลย แต่ถึงวันที่ ๗ ภรรยาของตัวเองเสียต่อหน้า พอภรรยาเสียต่อหน้ามันกระตุกหัวใจ พอเสียต่อหน้ามันช็อก พอช็อกย้อนกลับมา สำเร็จเป็นพระอรหันต์เลยเห็นไหม สำเร็จเป็นพระอรหันต์ความคิดมันย้อนกลับเลย สำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าจิตมันเป็นพุทโธ ถ้าจิตเราเป็นสมาธิ สมาธิจะเกิดปัญญา ถ้าสมาธิจะเกิดปัญญา ปัญญาจะเกิดจากสัมมาสมาธิ สิ่งนี้ถ้าจนตรอกเห็นไหม จนมีคนคิดมากบอกว่าถึงเวลาก่อน ภาวนากันไปเป็นพอพิธี แล้วจะไปเอาตอนตาย กิเลสมันหาทางออก แต่ที่พูดนี่พูดเพราะมันเป็นความจริง

มันเป็นความจริงหมายถึงว่าคนที่มันจนตรอก คนที่มันถึงที่สุดแล้วปัญญามันเกิดก็มี ถ้าคนมันจนตรอกเห็นไหม คนมันจนตรอกแล้วมันไม่มีทางไป ถ้ามีวาสนามันออกได้ ถ้าคนจนตรอก แต่ไม่มีปัญญาเห็นไหม จนตรอกก็เลยหาที่หลบที่ซ่อน หาที่หลบที่ซ่อน หาพุทโธ หาสมาธิเป็นที่พึ่งอาศัย

ถ้ามีสมาธิเป็นที่พึ่งอาศัยมันก็พออาศัยได้ อาศัยหลบเจ็บหลบปวด แต่มันอยู่ได้สักพักหนึ่งมันก็คลายออกมา พอคลายออกมามันก็เจ็บปวดอีก มีนะ พระสมัยพุทธกาลที่สำเร็จท่ามกลางปากเสือเห็นไหม เวลาเสือกัดเท้า กินเข้าไปถึงเท้าถึงเอว คิดดูสิว่าเสือมันขบกระดูกหัก มันกัดเนื้อเรา กินเป็นชิ้นๆ เจ็บปวดไหม แล้วมันสำเร็จได้อย่างไรคาปากเสือ มันก็เป็นสิ่งที่เขาสร้างของเขามา

เขาสร้างของเขามาทั้งนั้น ทำไมเสือมันต้องมากินพระองค์นี้? ทำไมเสือ ทำไมพระองค์นี้ต้องโดนเสือกิน แล้วทำไมถึงไม่ไปกินพระองค์อื่น แล้วเวลากินเข้าไป ทำไมสำเร็จท่ามกลางปากเสือ มันส่งเสริมกันมาทั้งนั้น พระนาคิตะ เป็นผู้อุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นไหม

เวลาละจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาแล้วเดินจงกรมอยู่ ทุกคนเขามีความสุขเพราะเขาไปเที่ยวนักขัตฤกษ์กัน ทุกคนมีความสุข เรานี่มันเป็นเศษคน เราเป็นคนที่ไม่มีอำนาจวาสนา เดินจงกรมอยู่เห็นไหม แล้วเทวดามายับยั้งกลางอากาศเลย

“ที่เขา เป็นที่ว่าเป็นวาสนา เขายังติดในโลก เขายังติดในวัฏฏะกันอยู่นะ เขายังเวียนตายเวียนเกิดอยู่นะ ท่านต่างหากเป็นผู้วิเศษ ท่านต่างหากนะ”

เพราะท่านต่างหาก ท่านต่างหากที่พูดถึง ถ้ารื้อค้นเข้ามาในหัวใจจะพ้นจากกิเลสไง ได้สติเพราะมันน้อยเนื้อต่ำใจไง เห็นเขามีความสนุก เห็นเขามีความเพลิดเพลิน เราอยู่ในทางจงกรม อยู่ในที่บีบคั้นมีแต่ความทุกข์ คนนะ เวลาทุกข์เวลายากนะ เวลาหิว เวลากระหายนะ แล้วเดินจงกรมอยู่เพราะเดินจงกรมเป็นวันเป็นเดือนเป็นปีอยู่อย่างนั้น

แล้วมันจะรู้เลยว่ามันทุกข์ขนาดไหน มันทุกข์ขนาดไหนเพราะมันจำเจ จำเจเราต้องกระตุ้นตัวเองตลอด เราต้องต่อสู้ตลอดเพราะทุกคนไม่อยากทุกข์หรอก ทุกคนอยากสะดวกสบายทั้งนั้น แต่เพราะเรามีความตั้งใจ เรามีความจะต่อสู้กับกิเลส เราถึงพยายามต่อสู้ด้วยความเป็นจริง เอาเราเข้าต่อสู้กับกิเลส กิเลสก็คือเราเองเห็นไหม เราถึงกระตุ้นให้ต่อสู้ ให้มีความเป็นไป

เวลาเทวดามายับยั้งอยู่กลางอากาศ เตือนพระนาคิตะ พระนาคิตะเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาเลย แล้วเทวดาองค์นั้นกับพระนาคิตะเป็นอะไรกัน? ทำไมเทวดาเยอะแยะไป ทำไมไม่มาเตือนเราบ้าง ไม่มาเตือนเราเพราะอะไร? เพราะเราไม่สนใจไง เราเพลิดเพลินกับชีวิตไง เราพอใจกับชีวิตของเรา

เราพอใจ เห็นเขามีความสุข เราก็จะสุขกับเขา เห็นเขาทำอะไรก็จะไปทำกับเขา เห็นเขาตื่นเต้นก็ไปตื่นเต้นกับเขา ไม่ได้ทวนกระแสเลย เพราะทวนกระแสไง เห็นเขาไปเที่ยวกัน มีความสุขเพลิดเพลินกัน เราเป็นคนเศษคนเดน เราเป็นคนไม่มีอำนาจวาสนา

ในวิเวก ในการหาที่สงัด ในการวิเวกของเราเห็นไหม เราหาที่วิเวกหาที่สงัดของเรา เราตั้งใจใช่ไหม? เราตั้งใจหาที่วิเวกของเรา เราตั้งใจหาความสงัดของเรา แล้วในที่วิเวกสงัดของเรา มันเป็นวิเวก แต่ถ้าเป็นกิเลสมันไม่พอใจ มันไม่พอใจหรอก มันอยากจะอยู่คลุกเคล้า มันอยากจะอยู่ที่เคยชิน อยู่ในสิ่งที่มีบุคคลมากๆ มันทำให้มันนอนใจ มันทำให้มันไม่มีภัย แต่มันไม่รู้เลยว่ากิเลสมันขี่หัวอยู่ตลอดเวลา

แต่ถ้าเราไปอยู่ในที่สงัด อยู่ในที่วิเวกเห็นไหม มันกลัวภัย กลัวจะมีการผิดพลาด กลัวสิ่งต่างๆ ความกลัวนั้นมันทำให้เราดูแลจิตของเรา ถ้าดูแลจิตของเราขึ้นมาเห็นไหม ถ้ามันเป็นสมาธิขึ้นมา มันก็มีกำลัง กำลังของสัมมาสมาธินะ แล้วกำลังของปัญญามันเกิด ถ้ากำลังปัญญามันเกิด มันเป็นประโยชน์กับเราทั้งนั้น มรรคมันเกิดอย่างนี้ การกระทำของเรามันเกิดอย่างนี้ เนี่ยสิ่งที่ความเป็นไป ถือว่าพุทโธ พุทโธถ้ามันเป็นจริงนะ มันสุคโตแน่นอน

ถาม : ทำอย่างไรเราถึงเป็นไปอย่างสุคโต?

หลวงพ่อ : สุคโตเพราะเราต้องเป็นสุคโตเดี๋ยวนี้ เราจะไปหวังเอาแต่สุคโตข้างหน้า ตายไปแล้วจะมีความสุข ตายไปแล้วจะมีความสุข มันจะจริงไหมล่ะ? ถ้าสุคโตเดี๋ยวนี้นะ ปัจจุบันดีทุกอย่างดีหมด ถ้าปัจจุบันไม่ดี ตายด้วยความเป็นหนี้ มันก็เป็นหนี้ตลอดไป แต่ถ้าตายด้วยความไม่เป็นหนี้ มันก็ไม่เป็นหนี้ตลอดไป

ถ้าตายด้วยความไม่เป็นหนี้ ไม่เป็นหนี้ต้องใช้อย่างไร? ดูสิ ภิกษุอะไร ไปบิณฑบาตมา ฉันด้วยความเป็นหนี้ แต่ถ้าเราประพฤติปฏิบัติ เราถึงที่สุดแล้วนะ ฉันด้วยความไม่เป็นหนี้ ฉันอยู่เหมือนกัน แต่ไม่เป็นหนี้ ไม่เป็นหนี้หรอก เพราะอะไรรู้ไหม? เพราะมันหมดเวรหมดกรรม ใจหมดเวรหมดกรรมนะ

ใจอาศัยอยู่กับโลกเขาไป อาศัยอยู่กับโลกไปมันเป็นประโยชน์กับโลก ครูบาอาจารย์ท่านพูดเห็นไหม ชีวิตที่ตายกับชีวิตที่อยู่ ถ้าชีวิตที่อยู่มีประโยชน์ก็ประโยชน์เปล่าๆ ถ้าชีวิตที่ตายไปแล้วนะ เพราะอะไร? เพราะพอตายปั๊บไม่มีใครได้ประโยชน์กับใจดวงนั้น ไม่มีใครได้ประโยชน์ล่ะ เพราะอะไร? เพราะมันเป็นสถานะของนิพพาน มันไม่ใช่สถานะของวัฏฏะ

ถ้าสถานะของวัฏฏะเห็นไหม จิตมันยังเกิดในวัฏฏะ จิตจะเกิดเป็นพรหม เป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม แต่นี่มันพ้นออกไป พ้นออกไปนะ ไม่เป็นประโยชน์กับใคร แต่มันเป็นประโยชน์กับผู้ที่ประพฤติปฏิบัติเห็นไหม เวลาหลวงปู่มั่นจิตสงบขึ้นมา จิตสงบขึ้นไป พระอรหันต์มาสอน

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาอนุโมทนา อนุโมทนาทำไม? อนุโมทนากับหลวงปู่มั่นนะ เวลาหลวงปู่มั่นบรรลุธรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาอนุโมทนาเพราะสิ่งนี้มันรู้ยาก สิ่งที่มันจะรู้ได้ ดูสิ ทางวิชาการที่เรารื้อค้นวิชาการ สิ่งที่มันเป็นประโยชน์กับโลก เราจะทำประโยชน์กับโลก มันทำเพื่อประโยชน์สาธารณะใครจะยอมรับใครจะยอมเชื่อ คนไม่ยอมเชื่อ แล้วใครจะฟัง เขาเชื่อฟังไหม?

นี่ก็เหมือนกัน ในการประพฤติปฏิบัติเราจะรื้อค้นตัวเราเองขึ้นมาก่อน การรื้อค้นตัวเองขึ้นมาเพื่อให้ใจมันพ้นจากกิเลส มันต้องหาวิชาการ หาวิธีการที่เรารู้จริง สิ่งที่รู้จริง ใครควรจะรู้จริง เห็นไหม พลังงานที่ทวนกระแส พลังงานที่เข้าอยู่ข้างใน เวลามันย้อนกลับเข้าไปข้างใน ย้อนกลับเข้าไป มันไปชำระกิเลสของเรา

แล้วการชำระกิเลส ดูสิ ดูทางการเกษตรเห็นไหม เขาต้องกั้นเขื่อน เขาต้องกั้นเขื่อนเพื่อกักน้ำ เพื่อทำท่อส่งน้ำ เพื่อยกระดับน้ำ เพื่อให้น้ำเขาเป็นประโยชน์เห็นไหม เขายังต้องลงทุนลงแรงกันขนาดนั้น แล้วนี่จะชำระกิเลส จะฆ่ากิเลสจะไม่มีการกระทำอะไรเลยหรือ แล้วการกระทำนี่ดูสิขนาดประโยชน์ทางร่างกายนะ ประโยชน์การทำเกษตรกรรมเฉยๆ ลงทุนลงแรงกันขนาดนั้น

แล้วนี่ธรรมะเนี่ย ธรรม ธรรมเหนือโลกถ้ามันชำระกิเลสไปแล้วมันจะไม่เกิดกับโลกอีกเลย มันจะทำอย่างไร? มันทำรุนแรงกับสิ่งที่ทางโลกเขาทำกันมหาศาลเลย แต่ทางโลกมันเป็นวัตถุ เป็นสิ่งที่จับต้องได้ เป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ แล้วพากันไปทัศนศึกษาได้ แต่ในทางธรรม ถ้าใครจิตสงบขึ้นมาเห็นไหม รู้เห็นต่างๆ ขึ้นมา ความรู้ความเห็นต่างๆ นี่ส่งออกหมด

ส่งออกเพราะมันไม่เคยเห็น แต่ทวนกระแสเข้าไป ส่งออกก็คือการส่งออก ส่งออกก็คือการเห็นเทวดา อินทร์ พรหม เห็นสิ่งต่างๆ ส่งออกหมด แต่ถ้ามันเป็นอริยสัจล่ะ มันย้อนเข้าล่ะ เห็นไหม ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอรหันต์ในสมัยพุทธกาลมาอนุโมทนากับหลวงปู่มั่นก็ตรงนี้ไง

เพราะสิ่งที่พระอรหันต์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอรหันต์ในสมัยพุทธกาลอยากจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ไหม? อยากจะหนีจากโลกไหม? อยากทั้งนั้น แต่จะสื่อสารกันอย่างไร? จะสื่อสารกับสิ่งที่มีชีวิตอย่างไร? สิ่งที่มีชีวิตนะ แต่หลวงปู่มั่นท่านเป็นมนุษย์ ท่านเป็นภิกษุ ท่านเป็นพระ แล้วท่านรื้อค้นของท่าน

ท่านยังพูดได้ ท่านยังเอาความเห็นของท่านมาแจกแจงให้กับลูกศิษย์ลูกหาได้ ถึงอนุโมทนาว่าศาสนามันจะฟื้นฟูขึ้นมา ศาสนาจะมีผู้รู้จริงขึ้นมา ศาสนาจะมีคนรื้อค้นขึ้นมา รื้อค้นขึ้นมาให้ธรรมะได้แสดงตัวออกมา

ธรรมะที่มีอยู่ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อค้นมา แล้ววางอยู่ในพระไตรปิฎก มันเป็นทฤษฎี แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อค้นมาจริงๆ นะ ในศาสนามีอยู่ ๕,๐๐๐ ปีและในกึ่งพุทธกาลเห็นไหม นี่มรรคผลไม่มีแล้ว พ้นกึ่งพุทธกาลมาแล้วมรรคผลจะไม่มี

มรรค ผลจะไม่มีแล้วพระศรีอริยเมตไตรยจะมาตรัสรู้ด้วยอะไร? อกาลิโก ไม่ใช่กาลไม่ใช่เวลา เพียงแต่ว่าไม่ใช่กึ่ง ไม่ใช่กาลไม่ใช่เวลา แต่คนที่จะรู้ คนที่จะมารู้ในกาลมันจะมีอำนาจวาสนาแค่ไหน ถ้าอำนาจวาสนาไม่ถึง ความเป็นไปเข้าถึงธรรมไม่ถึง สมาธิก็สมาธิไม่ถึง ปัญญาก็เป็นปัญญาโลกๆ ปัญญาโลกๆ มันจะเข้าถึงธรรมะได้อย่างไร?

ปัญญาก็ปัญญาโลกๆ แล้วไปศึกษาธรรม ศึกษาปรมัตถธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เราเป็นโลก ปัญญาเราเป็นโลก ความรู้ของเราเป็นโลก แต่ความรู้ที่เป็นโลกมันก็เป็นความรู้โลกๆ ถ้าความรู้โลกๆ โลกกับธรรมมันคนละเรื่องนะ

เรื่องของโลก โลกทัศน์มันส่งออก ธรรมะมันเหนือโลก ถ้ามันเหนือโลกมันจะย้อนกลับเข้ามา ถ้ามันไม่ย้อนกลับเข้ามา แล้วมันจะเอาอะไรไปทำมัน นี่ไงที่ว่าอนุโมทนา อนุโมทนาอย่างนี้ อนุโมทนาเพราะสิ่งที่จะโต้แย้งกับเขา สิ่งที่จะรื้อสัตว์ขนสัตว์ไง สิ่งที่จะให้ย้อนกลับเข้ามาจากข้างในได้ ถ้าย้อนกลับมาข้างในมันเป็นสัจจะ มันเป็นความจริง

ถ้าสัจจะความจริง คนมีสัจจะความจริงพูดคำเดียว พูดสัจจะความจริง คนที่ต้องการ คนที่ปรารถนานะ คนที่กำลังรื้ออยู่นะ นี่สิ่งที่เรียกว่าวัวปากคอก เปิดประตูออกทันที เปิดประตูด้วยโวหาร เปิดประตูด้วยธรรมไง เอาธรรมจี้เข้าไปที่หัวใจ ถ้าถึงจุดนั้นมันจะเปิดประตูนั้นออกมา โคฝูงนั้น โคในคอกนั้นมันจะได้ออกมาได้

แต่ถ้าไม่มีใครเปิดคอกเห็นไหม ไม่มีใครรู้จริงมาเปิดคอก แต่องค์หลวงปู่มั่นไม่มีใครเปิดให้ ดันออกไป ดันจนปากคอกเปิดออกไปจนได้ ถึงอนุโมทนาไง พอดันปากคอกออกไปได้ ตัวเองพ้นออกไปได้ ถ้าตัวเองพ้นออกไปไม่ได้จะเอาอะไรไปสอนเขา เพราะคอกมันอยู่ไหน? ประตูคอกมันอยู่ไหน? มันจะพ้นจากคอกนั้นออกไปได้อย่างไร?

คอกคือกิเลสนะ คอกคือหัวใจ สิ่งที่หัวใจที่มันมีกิเลสที่มันยังฝังอยู่ ถ้ามันจะสุคโต มันจะสุคโตที่นี่ สุคโตเดี๋ยวนี้นะ อย่าไปหวังสุคโตข้างหน้า สุคโตข้างหน้ามันเป็นความคิดของเราเองว่าสิ่งที่ไปข้างหน้ามันจะเป็นสุคโต เราต้องรู้ของเรา เราต้องทำของเรา ถ้าทำของเราได้ มันเป็นของเรา ถ้าทำของเราไม่ได้ ทำของเราไม่ได้นะ มันเป็นสมบัติความจำ สมบัติความจำ

ถาม : มันถามมาสังโยชน์ ๑๐ สีลัพพตปรามาส ให้ช่วยอธิบายเรื่องสีลัพพตปรามาส

หลวงพ่อ : สีลัพพตปรามาสตามตัวอักษร ตามตัวอักษรสีลัพพตปรามาสคือการลูบคลำในศีล ถ้าลูบคลำในศีล ลูบคลำในศีลมันส่วนศีล สีลัพพตปรามาสไม่ต้องอธิบายเลย สีลัพพตปรามาสมันเป็นสิ่งที่ ถ้ามันสมุจเฉทปหานแล้ว สีลัพพตปรามาสมันขาดไปพร้อมกัน

นี้พอเป็นสีลัพพตปรามาสเราจะอธิบายว่าสีลัพพตปรามาสกันตลอด คำว่าสีลัพพตปรามาสเราก็พูดบ่อย ถ้าเราพูดถึงสีลัพพตปรามาสเราจะพูดถึงคำว่าโลเลไง สีลัพพตปรามาสคือการโลเล ความมันไม่จริง ถ้าหัวใจมันไม่จริง หัวใจมันไม่เป็นความจริงมันเป็นสีลัพพตปรามาสโดยธรรมชาติ

แต่ถ้าหัวใจเป็นความจริงนะ ชำระกิเลสออกไปจากความจริงแล้ว สีลัพพตปรามาสจะไม่มีเลย เพราะมันรู้จริงแล้ว มันจะเป็นสีลัพพตปรามาสได้อย่างไร มันรู้ของมันแล้ว เรารู้ขาว รู้ดำ รู้เขียว รู้แดง เราจะไปสงสัยในขาว ในเขียว ในแดงไหม แต่ถ้าเราเป็นเทาๆ หมดเลย เราไม่รู้สีขาวสีแดงเลย เราก็สงสัย อันนี้ขาว อันนี้เขียว อันนี้แดง

แล้วพูดถึง ถ้าให้อธิบายอย่างละเอียดอย่างที่เขาบูชากัน บูชาตามวิชาชีพของเขา เขาบูชาเขาไม่เป็นสีลัพพตปรามาส ถ้าจิตใจเป็นสีลัพพตปรามาสแล้ว เขาจะทำอะไรก็ไม่เป็นสีลัพพตปรามาสเพราะทำไปตามสังคม สังคมเขาทำกันไป แต่นี่เราไม่เป็นเพราะใจเราไม่เป็น ใจเราเป็นสีลัพพตปรามาส

พอเราไปทำอะไร เราว่าถ้าเราถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วเราจะไม่บูชาสิ่งอย่างอื่น เราก็ไม่บูชา เราไม่บูชาสิ่งอย่างอื่นหรอก แต่สังคมเขาเป็นไป สังคมเขาเป็นไปแล้วเราอยู่ในสังคมนั้น เขาถามมาว่า ให้อธิบายอย่างละเอียดแล้วเช่น ถ้าเป็นสีลัพพตปรามาสแล้วคนที่เขาบูชาของเขาโดยสาขาอาชีพของเขา

เช่น ช่าง เห็นไหม ชาวนาเขาบูชาพระแม่โพสพ ชาวนาเขาบูชาพระศิวะอะไรของเขา ไอ้นี่มันเป็นบูชาครู ครูคือวิชาชีพ อาชีพของเขาเห็นไหม ถ้าเขาเป็นโสดาบัน ถ้าเขามีอาชีพอย่างนั้นเขาก็บูชาของเขาได้เพราะเขากตัญญูกับอาจารย์ของเขา แต่เขาไม่ได้นับถือเป็นที่พึ่ง

คำว่าอาชีพ อาชีพคือการเลี้ยงชีพใช่ไหม อาชีพคือการเลี้ยงชีพไม่ใช่เราจะเชื่อถือเขา เราจะเชื่อถือเขา หมายถึงว่าชีวิต แต่ถ้าไม่ได้เชื่อถือกับชีวิตหมายถึงว่า เชื่อถือว่ามันเป็นที่พึ่ง อาชีพคือของชั่วคราว อาชีพมันก็เหมือนกับที่ว่าปัจจัยเครื่องอาศัย แม้แต่พระเห็นไหม พระอรหันต์ยังต้องกินข้าวเลย พระอรหันต์ยังต้องบิณฑบาตเลย พระอรหันต์เจ็บไข้ได้ป่วยต้องไปหาหมอ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปหาหมอชีวก หมอชีวกหมอประจำองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เห็นไหม มันก็ยังต้องอยู่ในโลก คำว่าอยู่ในโลก แต่ถ้าใจมันไม่ติดแล้วนะ อะไรก็ไม่ติด ถ้ากิเลสมันขาดไปจากใจ ไม่เป็นสีลัพพตปรามาส ตั้งแต่โสดาบันขึ้นไปไม่สีลัพพตปรามาส ไม่สีลัพพตปรามาสคือว่ามันไม่ลูบคลำในศีล

ไม่ลูบคลำในศีล แต่มันเป็นปาปมุต ปาปมุตหมายถึงว่าเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือครูบาอาจารย์ที่เป็นพระอรหันต์อยู่ในโลกนี้ อยู่ในโลกการเคลื่อนไหวไปมันเป็นวาระของกรรม เป็นวาระของกรรม คือสิ่งที่มันมีกระทบกระเทือนกันเรื่องของกรรมมันเป็นเรื่องของกรรม ไม่ใช่เรื่องของการผิดศีล ปาปมุตคือไม่เป็น

พระจักขุบาล ตาบอดแล้วเดินจงกรมอยู่ เหยียบสัตว์ตาย เหยียบสัตว์ตาย แล้วที่ภิกษุไปฟ้ององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปาปมุตเหยียบสัตว์ตาย แต่ไม่เป็นอะไรเลย เป็นปาปมุตคือไม่เป็นบาป สีลัพพตปรามาสไหม?

สีลัพพตปรามาส ถ้าพวกเราไปเหยียบตายเป็นสีลัพพตปรามาส พอเหยียบตายแล้ว อุ้ย เราผิดๆ สีลัพพตปรามาสเพราะเราเหยียบตาย เรารู้ เราสำนึก แต่นั่นท่านไม่มีเจตนาเพราะเวลาท่านอยู่ในวิหารธรรมของท่านเพราะใจท่านเป็นธรรม ท่านอยู่ในวิหารธรรมของท่านเห็นไหม การเคลื่อนไหวเป็นของกาย แต่มันเป็นกรรมของสัตว์พวกนั้น สัตว์พวกนั้นบินมาทำไม? มาอยู่ในทางจงกรมนี้ทำไม? เพราะท่านตาบอด ท่านเดินจงกรมไปตามปกติของท่าน

ถาม : ถ้าพูดถึงว่าให้อธิบายถึงสีลัพพตปรามาสอย่างละเอียด

หลวงพ่อ : อย่างละเอียดอย่างหยาบมันอยู่ที่นี่เห็นไหม อยู่ที่ว่าเรารู้จริงไหม? ถ้าเรารู้จริง ถ้ามันเป็นจริงแล้วเพราะว่าสีลัพพตปรามาสมันขาดอย่างไร? เพราะอะไร? เพราะเวลาสังโยชน์มันขาด เวลาสังโยชน์มันขาดเห็นไหม เวลาสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส

เวลาสักกายทิฏฐิมันขาด พอสักกายทิฏฐิมันขาดไปมันสงสัยอะไรไหม? มันไม่สงสัยแล้ว ไม่สงสัยนั่นแหละสีลัพพตปรามาสขาดแล้ว เพราะไม่มีความลังเลสงสัย ไม่สีลัพพตปรามาส ไม่ลูบคลำ ไม่ลูบลำอะไรเลย ที่มันไม่ลูบคลำนั้นเป็นพระโสดาบันเห็นไหม

ดูนางวิสาขาเป็นพระโสดาบันสิ นางวิสาขายังมีครอบครัว เวลาหลานตายเห็นไหมยังร้องไห้ คำว่าร้องไห้พอหลานตายเพราะหลานนี้เป็นคนสนิทมาก ให้เป็นคนทำบุญตลอดเวลา แล้วหลานคนนั้นตายก่อน พอตายก่อนร้องไห้ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

“วิสาขาเธอร้องไห้ทำไม”

“หลานตาย”

“โอ้ ถ้าในโลกนี้เป็นหลานเธอทุกคน เธอไม่ต้องร้องไห้ทุกวันหรือ?”

เพราะในโลกนี้มีคนตายทุกวัน สติฟื้นเลย ไม่ได้บอกว่าอย่าร้องไห้ ไม่ต้องร้องไห้ ไม่ต้อง พระโสดาบัน พระโสดาบันสติสมบูรณ์ สติสมบูรณ์ของพระโสดาบัน พอพูดเป็นคติ เป็นคตินี่เห็นไหม พระโสดาบันคิดปุ๊บ ปัญญาหมุนปั๊บ หยุดเลย ได้สติขึ้นมา

อ้าว ก็หลานตายเป็นเรื่องธรรมดา เพราะใครก็ตายตลอดเวลา โลกเขาตายเป็นอยู่อย่างนี้ สีลัพพตปรามาสไหม ถ้าสีลัพพตปรามาส ร้องไห้นี่เป็นความเสียใจ เป็นสีลัพพตปรามาสไหม พระโสดาบันไม่มีสีลัพพตปรามาส แต่มันเป็นเรื่องหยาบละเอียด ถ้าเรื่องหยาบละเอียดมันต้องพัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ

เพราะเราสงสัย เราก็ถามด้วยความสงสัย ถ้าสงสัยมันก็สนเท่ห์ สงสัยสนเท่ห์ตลอดไปเห็นไหม ถ้ายังมีอย่างนี้อยู่มันก็เป็นเรื่องของใจ เรื่องของใจเห็นไหม ในการประพฤติปฏิบัติมันถึงต้องมีเจตนา ถ้าเรามีเจตนาตั้งใจให้ดี ทำของเราไปเรื่อยๆ ทำของเราไปนะ ตั้งสติตั้งใจ

นี่พอเริ่มตั้งใจสติสมบูรณ์ พอเดินจงกรม นั่งสมาธิไป เดี๋ยวมันก็อ่อนลง อ่อนลงเห็นไหม สติ สมาธิ สติอ่อนลง การประพฤติปฏิบัติเห็นไหม มันก็ไขว้เขวแล้ว ถ้ามันไขว้เขวปุ๊บเราก็เริ่มต้นใหม่ เริ่มต้นใหม่ เริ่มต้นมาใหม่ ทำมันบ่อยๆ ครั้งเข้าจนมันเป็นนิสัยนะ พอเป็นนิสัย พอสติมันเผลอปั๊บ มันเตือนตัวเองได้ เตือนตัวเอง เตือนตัวเอง เตือนตัวเอง ถ้าเตือนตัวเองพยายามฝึกฝนอย่างนี้แล้วทำมันไปเรื่อยๆ

กัดฟันทนเข้าไป กัดฟันทนนะเพราะการทำความเพียร การแบกหามเขายังเหนื่อยเลย ทำความเพียร ความเพียรปั๊บมันไม่ชอบ มันถึงไม่สมดุล ถ้าความเพียรชอบมันสมดุลนะ ทุกอย่างสมดุลหมด ถ้าสมดุลหมดมันจะเป็นประโยชน์กับเรา รู้เอง เห็นเอง สันทิฏฐิโกเห็นไหม

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาเทศนาว่าการประพฤติปฏิบัติไม่ต้องตั้งกรรมการทดสอบ ตั้งกรรมการตรวจสอบหรอก มันเป็นเองนะ มันเป็นเอง มันเป็นเอง คนเป็นงานก็คือคนเป็นงาน คนไม่เป็นงานให้อุปโลกน์ขนาดไหน เขาก็ไม่เป็นงาน เวลาจิตมันเป็นขึ้นมาเห็นไหม

ในสมัยพุทธกาลพระปุถุชนเข้าใจว่าตัวเองเป็นพระอรหันต์จะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ต้องมา เอาพระไปดักไว้เลย ให้เขาไปเที่ยวป่าช้าก่อน พอไปเที่ยวในป่าช้า พอไปเห็นซากศพ เห็นสิ่งซากศพมันต่างๆ กันไป หัวใจมันหวั่นไหว พระอรหันต์เป็นอย่างนี้หรือ? เข้าใจตัวเองหมดเห็นไหม

ความรู้จากภายในถ้าเข้าใจว่าเป็น แล้วเวลาครูบาอาจารย์ที่รู้ว่าไม่เป็นเห็นไหมให้เขารู้ตัวเขาเอง ให้เขาไปทดสอบที่ป่าช้า ให้เขาไปทดสอบกับความเป็นไปของใจ เวลาประพฤติปฏิบัติถ้าเราเป็นผู้ปฏิบัติที่มีสติสัมปชัญญะ เราจะทดสอบเราเอง เพราะอะไร? เพราะการหลง การติด ทำให้เราเนิ่นช้านะ ติดทำให้เนิ่นช้า หลงออกนอกทางเลย

ถึงว่าถ้าเราทำตัวเราเองเราหลง เราทำตัวเราเองเราหลง เราเข้าใจผิดนะ เรายังว่าบาปบุญ บาปยังไม่เท่าไร? แต่ถ้าเราหลง เราไม่เข้าใจแล้วไปสอนคนอื่นเขาหลง มันยิ่งบาป เพราะอะไร? มันเสียเวลา มันออกนอกทางไปเลย ออกนอกทางไปเลย มันเป็นมิจฉาทิฐิไปเลย

มิจฉาทิฐิออกนอกลู่นอกทางไปแล้วทำให้เสียหาย แต่ถ้าเป็นสัมมาทิฐิเห็นไหม สัมมาทิฐิด้วย แล้วเวลาจะอธิบายเห็นไหม เป็นสัมมาทิฐิด้วยแล้วจะอธิบายอย่างไร? อย่างไรเป็นสัมมาทิฐิ? อย่างไรถึงเป็นประโยชน์ มันเป็นประโยชน์ตรงไหน สิ่งที่ออกไปรู้-ไปเห็นมันถึงเป็นประโยชน์สิ เก็บข้อมูลมาเยอะแยะเลย แล้วอยู่เฉยๆ มันเป็นประโยชน์อย่างไร?

ไอ้เก็บข้อมูลขึ้นมาเพราะกิเลสมันหลอก มันไปเก็บกรวด เก็บหิน เก็บทรายมาแบกหาม แต่ถ้ามันเข้ามาเป็นสัมมาสมาธิเห็นไหม มันปล่อยหมดเลย มันไม่เอาอะไรเลย มันว่างโดยตัวมันเอง มันสลัดทิ้งหมดเลย มันเป็นเอกเทศของมัน มันไม่ได้เอาอะไรมาแบกหามเลย แต่มันเป็นความดี มันเป็นความจริง เนี่ยของจริงมันเป็นอย่างนี้

แล้วถ้าไม่ใช่ของจริง ถ้าไม่มีความจริงขึ้นมาในหัวใจมันจะเอาอะไรไปอธิบายเขา อธิบายเขาอย่างไร? อู๊ย เขาไปรู้ไปเห็น เขาไปแบกไปหามมา อู๊ย เก็บหอมรอมริบมาเป็นหาบๆ เลยนะ หาบความรู้มาเต็มหัวเลย แล้วเวลา นี่เป็นความรู้ ความรู้ เป็นความจริง ไร้สาระ มันเป็นเรื่องโลกๆ เป็นจิตส่งออก มันเป็นจิตนอก ถ้ามันเป็นจิตใน จิตในมันทิ้งหมด ทิ้งหมดเลยเห็นไหม

“จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้เป็นผู้ข้ามพ้นกิเลส”

จิตเดิมแท้เป็นผู้ข้ามพ้นกิเลส ข้ามพ้นอย่างไร? “โมฆราชเธอจงมองโลกนี้เป็นความว่าง” มองโลกเป็นความว่าง เราก็มองสิ โลกนี้เป็นความว่างมองเข้าไปสิ อ้าว ว่างหรือยังล่ะ?

“โมฆราชเธอจงมองโลกนี้เป็นความว่าง แล้วกลับมาถอนอัตตานุทิฐิที่เธอไปรู้ รู้ว่าว่าง”

มองโลกให้เป็นความว่าง มองให้มันสลดสังเวช มองเตรียมพร้อมการทำงาน มองคือจะประหารชีวิต จับนักโทษเข้าไปหลักประหารแล้วเอาดาบตัดหัวมัน มองให้โลกนี้เป็นความว่าง แล้วไอ้อัตตานุทิฐิที่มันไปเห็นว่าว่างจับมันมาตัดหัว เอาทิฐิความเห็นว่าว่างมาตัดหัวมันทิ้ง พอมันตัดหัวมันทิ้งปั๊บมันก็ว่างใน ข้างนอกก็ว่าง ข้างในก็ว่างเห็นไหม

โมฆราชมองโลกเป็นความว่าง อือ โน่นก็ว่าง นี่ก็ว่าง โน่นก็วาง แต่ตัวมันทิฐิท่วมฟ้า มันไม่จับมันเข้าหลักประหาร จับมันไม่เป็น ไปจับมันก็ปลิ้น อุ๊ย ว่างแล้ว ดีแล้ว ถูกต้องแล้วเห็นไหม มันไม่รู้จักตัวมันเอง มันต้องรู้จักตัวมันเองเห็นไหม แล้วเราตัดหัว ตัวอย่างไร? อะไรเป็นหัว? หัวอยู่ตรงไหน? ไม่รู้พูดไม่ได้หรอก ไม่รู้ตอบไม่ได้

โมฆราช เธอดูโลกเป็นความว่าง ว่าง.. อวกาศก็ว่าง ไปว่างกันอยู่ในโลกพระจันทร์โน่นนะ ตัวเองแบกทุกข์ไว้เต็มหัวใจ ว่างหมดพระอรหันต์ทั้งนั้นเลย พระอรหันต์ทำไมบ่นว่าทุกข์? พระอรหันต์ทำไมไม่มีวิมุตติสุข? ถ้ามันปฏิบัติกันนะ ปฏิบัติตามจริง ที่ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครูบาอาจารย์มาอนุโมทนา อนุโมทนาเพราะสิ่งที่หลวงปู่มั่นครูบาอาจารย์ท่านต้องสร้างของท่านมานะ

ถ้าท่านไม่สร้างของท่านมาหลวงปู่มั่นเวลาเทศน์ เวลาเทศน์เวลาสอน ครูบาอาจารย์เล่าให้ฟัง เราเกิดไม่ทันหรอก เราเกิดไม่ทันนะ หลวงปู่มั่นนิพพานไปก่อน ยังไม่เกิดเลย แต่เคารพมาก เคารพเพราะอยู่กับครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ท่านสั่งสอนมาแล้วครูบาอาจารย์ที่สั่งสอนเรามาท่านได้มาจากหลวงปู่มั่น

ถ้าไม่มีหลวงปู่มั่นเราก็ไม่มีครูบาอาจารย์ เพราะมีหลวงปู่มั่นเราถึงมีครูบาอาจารย์ แล้วครูบาอาจารย์ท่านก็สั่งสอนมาว่าหลวงปู่มั่นสอนมาอย่างนั้นๆ แล้วสอนมาสอนถูกด้วย แล้วเราประพฤติปฏิบัติเราก็มีทิฐิ เราก็แสวงหา เราก็โต้แย้งมาตลอดเหมือนกัน โต้แย้งในหัวใจนะ ถ้าพูดไม่ได้เราก็โต้แย้งในความคิด ถ้าพูดได้ก็โต้แย้งกันด้วยเสียง ถ้าเป็นดีมันก็ดีไป ถ้าไม่ดีเราก็แก้ไขเห็นไหม

มันเห็นมันรู้ มันจนตรอก สู้ไม่ได้หรอก เวลาเราไม่จริง ท่านบอกไม่จริง เราบอกว่าจริงเพราะเราเห็นมา เหมือนเราคนนอนฝัน ฝันมา ฝันมาจริงๆ รู้เห็นมาหมดเลย เพราะฝันมา ก็เป็นคนฝันเสียเอง ไปเล่าบอกฝันอย่างนี้ ท่านบอกว่าความฝัน เอ็งโกหกหมด ไม่เชื่อหรอก ก็ฝันมาอย่างนี้จะโกหกได้อย่างไร แต่พอมันเลือนไป มันหายไป อือ โกหกไหมล่ะ มันโกหกชัดๆ ฝันสุกฝันดิบมันก็โกหก

มันรู้ มันเห็น มันโดน คือว่าเหตุผลสู้ไม่ได้ เหตุผลของเรา เหตุผลของความจริงมันสู้กันไม่ได้ มันแพ้มาตลอด มันถึงย้อนกลับมาดูเรา ดูเราแล้วแก้ไขเรามันถึงย้อนกลับเห็นไหม นอกในใจ นอกใจในใจ มันมีครูบาอาจารย์พามานะ ไม่มีครูบาอาจารย์พามาศาสนาเรียวแหลมแน่นอน เพราะศาสนาต่างคนต่างเห็นแก่ตัว ต่างคนต่างเห็นว่าตัวเองเป็นความถูกต้อง

ความถูกต้อง ทิฐิ ความเห็น แล้วก็เอาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเป็นสินค้า แต่ถ้ามันเป็นความจริงนะ มันเป็นความเสียสละ มันเป็นความทะนุถนอมเพราะสิ่งนี้มันเชิดชู เชิดชูเวลาหลวงปู่มั่นเห็นไหม แม้แต่หนังสือนะ เป็นตัวอักษรท่านยังไม่ตีตัวเสมอเลย ถ้ามีอักษรเป็นตัวอักษรท่านบอกว่าตัวอักษรเป็นตัวอธิบายธรรม

แต่เวลาพูดถึงพระไตรปิฎกเห็นไหม บอกว่าพระไตรปิฎกมัน ถ้ากิเลสในหัวใจเรามันยังมีอยู่ ไปอ่าน มันก็เป็นกิเลสหมด ใช่ มันเป็นกิเลสหมดเพราะว่ามันผิดที่เรา แต่ขณะที่เป็นตัวอักษรเพราะใจท่านเป็นธรรมเห็นไหม พอใจท่านเป็นธรรมท่านเคารพนะ แม้แต่ตัวอักษรท่านยังเคารพ แล้วตู้พระไตรปิฎกทั้งตู้ทำไมท่านจะไม่เคารพ? ท่านเคารพ แต่เคารพ เคารพแล้วใช้ประโยชน์ เคารพแล้วให้มันเป็นประโยชน์กับเรา ไอ้พวกเรากราบไหว้เอาบุญ

พระไตรปิฎกมันเป็นตัวแทนธรรมะ ไปกราบไหว้กัน ไม่ศึกษา ศึกษาแล้วก็ไปติดมัน ศึกษาแล้วไม่ปฏิบัติ ศึกษาแล้วปฏิบัติขึ้นมา พอถึงที่สุดแล้วเห็นไหม ความรู้ที่มันเป็นความจริงพระไตรปิฎกเหมือนกันเปี๊ยะเลย ไม่ผิดหรอก พระไตรปิฎกนี่ไม่ผิดเลย แต่ขณะที่ไปศึกษาไปอ่านนี่ผิดหมดเลย ผิดเพราะอะไร? ผิดเพราะมันเกิดทิฐิมานะ

ผิดว่ามันเป็นอย่างนั้น มันเป็นอย่างนั้น มันไปสร้างกรอบ สร้างคอก ครอบใจไว้ไง เอากะลาไปครอบหัวใจไว้ แล้วบอกนี่พระอรหันต์ เอาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปครอบมันไว้ ครอบด้วยความรู้ของเรา ครอบว่าสิ่งนี้มันเป็นความจริง ครอบไว้เลย

ศึกษามา ศึกษาธรรม ปรมัตถธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาครอบมันไว้ แล้วมันครอบไว้มันจะว่างได้ไง ครอบกิเลสไว้แล้วกิเลสมันจะตายอย่างไร? มันไม่ตายหรอก มันทำไม่ได้หรอก แต่ถ้าเราไม่ครอบมันไว้ ปล่อยไปตามความเป็นจริง แล้วทำสมาธิขึ้นมา ใช้ปัญญาขึ้นมาเห็นไหม ความจริงกับความจริงมันสู้กัน

ขณะกิเลสนั้นมีกำลังขึ้นมา มันก็ทำให้เราอ่อนแอ ทำให้การประพฤติปฏิบัตินี่ทุกข์ยาก อดนอนผ่อนอาหารก็ทุกข์อยู่แล้ว เดินความเพียร เร่งความเพียรก็ทุกข์อีก แล้วเวลาเข้าไปเจอความจอมปลอมของใจมันปลิ้นปล้อน มันหลอกอีก มันทุกข์หลายทุกข์เหลือเกิน แล้วมันจะสู้พ้นกับความทุกข์มาได้อย่างไร ถ้ามันมีความตั้งใจนะ มันมีความตั้งใจ มีความจริงใจนะ มันต่อสู้ได้

ทุกข์ก็คือทุกข์ ทุกข์เพราะอะไร ทุกข์เพราะปัญญาเราอ่อนด้อย ทุกข์เพราะเราอ่อนแอ ทุกข์เพราะเราประมาทเลินเล่อ ทุกข์เพราะการปฏิบัติครั้งแรก เราเข้าไปเห็นกิเลสครั้งแรก กิเลสครั้งแรกมันเหมือนยักษ์เหมือนมาร ไอ้เรามันเหมือนมดเหมือนปลวก แล้วมดปลวกมันจะเอาอะไรไปสู้กับกิเลส ขอให้ได้เห็นหน้ากิเลส รู้จักกิเลสก็ยังดีเห็นไหม อ้าว ก็สู้ใหม่ ก็ตั้งต้นใหม่ ก็ต่อสู้ไป

ครูบาอาจารย์เป็นอย่างนี้นะ ประพฤติปฏิบัติมาเป็นอย่างนี้ เป็นมดเป็นปลวกแล้วต่อสู้กับกิเลส ยืนตัวขึ้นมาจนมดจนปลวกมันกัดกิเลสได้ มดมันกัดขากิเลสได้ กิเลสมันคันได้ กิเลสมันเจ็บปวดกับมดนั้นได้ ความเพียรที่ทุกข์ที่ยากขึ้นมา มันสร้างสมได้ มันต่อสู้ได้ มันสร้างขึ้นมาเป็นเอกัคคตารมณ์ได้ มันสร้างขึ้นมาเป็นจิตตั้งมั่นได้ มันสร้างขึ้นมาสัมมาสมาธิได้ มันสร้างขึ้นมาเป็นปัญญาได้

แล้วปัญญามันฟาดฟันกับกิเลสเห็นไหม ระหว่างกิเลสกับธรรมต่อสู้กัน ขณะที่กิเลสมันต่อสู้กันกิเลสมันมีแรงกว่า นี่ปัญญาเกิด พลิกไป ปลิ้นมา หลอกลวงกันไป หลอกลวงกันมา แต่ถ้าทำกำลังให้มากขึ้น ทำสมาธิให้แข็งแรงขึ้น ปัญญาเข้มแข็งขึ้นนะ กิเลสฟาดฟันไปมันหลบนะ กิเลสไม่ตายหรอก กิเลสมันหลบก่อน หลบเข้าไปปุ๊บมันก็ว่าง มันก็พอใจนะ พอมันจิตมันเสื่อมมานะ กิเลสมันโผล่มาอีกแล้ว มันเหยียบอีกแล้ว มันกระทืบอีกแล้ว

ครูบาอาจารย์ท่านผ่านมาอย่างนี้ทั้งนั้น แล้วเวลาประพฤติปฏิบัติเราผ่านกันมาอย่างนี้ แล้วเวลาเขาทำกัน ทำเล่นๆ นะ ทำเป็นของชำร่วย แล้วมาอวดกัน นิพพานของชำร่วย มาอวดกัน มันเป็นไปไม่ได้หรอก เพราะมีการกระทำมันถึงไม่เชื่อโลก ไม่เชื่อคนเยินยอปอปั้น ไม่เชื่อคนมายกลอย ยกให้เราลอยเพราะการมายกให้ลอย การให้เกียรติให้ศักดิ์ศรีนั้นเป็นเรื่องกิเลสทั้งนั้น

ถ้ากิเลสกับกิเลสมันเข้ากันนะ ในการประพฤติปฏิบัติเห็นไหม ในหมู่ของสังคมเราเห็นไหม พระอยากมีเกียรติมีศักดิ์มีศรีเห็นไหม สมณะศักดิ์ขอกัน วิ่งเต้นกันเห็นไหม แล้วมันก็เข้ากับกิเลสไงเพราะกิเลสมันอยากได้ อยากเป็นอะไร? อยากเป็นกิเลส แล้วไปขอ ไปวิ่งเต้นกันมา แล้วได้ขึ้นมาเห็นไหม จัดพิธีกัน จัดอะไรกัน มันหลอกเอาสตางค์ทั้งนั้น หลอกเอาสตางค์แล้วไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย แต่ถ้าเราต่อสู้กับกิเลสเรานะ เราต่อสู้กับเรานะ ใครจะยกยอปอปั้นไม่ได้

การยกยอปอปั้นนั้นเป็นกิเลส คำว่ากิเลสเข้ากับธรรมไม่ได้ แล้วเราก็ต่อสู้กันมาตลอดตั้งแต่เป็นมดเป็นปลวกเห็นไหม มันยืนตัวของมันขึ้นมาได้ แล้วมันก็ทำลายมันได้ ทำลายได้นะ มันเป็นสติก็เป็นสติ เป็นสมาธิก็เป็นสมาธิ ทั้งรู้เห็นจับต้องได้ ทั้งรู้ทั้งเห็นทั้งเป็นทั้งไป มันทั้งเจริญเติบโต เจริญงอกงามขึ้นมา

ถ้าครูบาอาจารย์ของเรามีความรู้ความเห็นอย่างนี้ ทำไมท่านจะไม่ทะนุถนอม ถ้าไม่เคารพธรรมของครูบาอาจารย์ ไม่เคารพธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นไปได้อย่างไร? มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย แต่เพราะท่านเคยผ่านประสบการณ์ที่หลง หลงขณะที่ท่านอ่านพระไตรปิฎกแล้วเข้าใจพระไตรปิฎกผิด

เริ่มต้นในการประพฤติปฏิบัติ ครูบาอาจารย์หรือภาคปฏิบัติหรือนักปฏิบัติทั้งหมดเริ่มต้นต้องอ่านพระไตรปิฎก ต้องศึกษาค้นคว้าพระไตรปิฎกก่อน เรื่องอริยสัจ เรื่องความเป็นจริงเห็นไหม แล้วใจของเราเป็นไหม? ใจของเราเป็นไหม? เพราะใจของท่านก็ไม่เป็นแบบนี้ เพราะใจของท่านก็ไม่เป็นแบบนี้ ท่านเห็นโทษของมันมาก่อนเห็นไหม

ท่านถึงเตือนเราไงว่าพระไตรปิฎกถ้าเอากิเลสไปศึกษามันจะเป็นโทษกับการประพฤติปฏิบัติ ดูสิเวลาหลวงตาไปหาหลวงปู่มั่นเห็นไหม หลวงปู่มั่นบอกว่า

“ท่านมหา ก็เรียนมาจนเป็นมหานะ ไม่ใช่ดูถูกธรรมนะ ไม่ใช่ดูถูก ไม่ใช่เหยียบย่ำ แต่เทิดทูนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ สิ่งที่เรียนมาเป็นสมบัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เก็บไว้ในลิ้นชัก แล้วล็อกกุญแจไว้ก่อน ล็อกกุญแจไว้นะ อย่าให้พึ่งออก อย่าให้ความคิดที่มีการศึกษาให้มาเตะ มาถีบ มาขัดแย้งกับความเป็นจริง”

คือสมาธิจริงๆ ปัญญาจริงๆ ที่จะเกิดขึ้นมาจากการประพฤติการปฏิบัติ ถ้าไม่มีการเตือนกัน ไม่มีอะไร สิ่งนี้กิเลสของเราเองมันต้องเอามาเจือปนกัน เอามาเจือปนกันแล้วก็เอามาโต้แย้งกัน เราจะเสียเวลาที่ไปคัดเลือกคัดแยกอีกเยอะแยะเลย เราจะต้องเสียเวลาไปคัดเลือกคัดแยกว่าสิ่งนี้ผิดสิ่งนี้ถูกเป็นเวลาอีกนานเลย

แต่ครูบาอาจารย์ท่านมีประสบการณ์ขึ้นมาเห็นไหม ท่านเตือนไว้ก่อน ท่านบอกไว้ก่อน แล้วเวลาท่านเล่าให้ฟังว่าเวลาท่านประพฤติปฏิบัติไปก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่เพราะว่าได้รับการเตือนไว้แล้วท่านถึงได้ล็อกไว้ ไม่สนใจกับมัน ไม่สนใจกับสิ่งที่เป็นไป ไม่สนใจกับสิ่งที่เป็นวิชาการ ทำไปโดยก้มหน้าก้มตา แต่ถึงที่สุดแล้วท่านก็บอกเหมือนกัน ถึงที่สุดแล้วต้องเหมือนกัน

จะบอกว่าคนที่มีธรรมในหัวใจไม่ดูถูกหรอก ไม่มีอกตัญญูในหัวใจหรอก ต้องเคารพธรรมและวินัยเพราะเป็นองค์ศาสดา เคารพธรรมวินัยนะ แต่ขณะที่เคารพธรรมวินัยเพราะมีประสบการณ์ถึงได้เตือน ได้สั่ง ได้สอน ได้สั่งได้สอนให้คนมีสติมีสัมปชัญญะ ให้มีกาลเวลา ให้มีความรู้สึกย้อนกลับมาถึงตัว

ให้ย้อนกลับมาดูใจตัว ให้การประพฤติปฏิบัติของตนนั้นเป็นความจริง ให้การประพฤติปฏิบัติของตนเป็นประโยชน์กับตน เห็นไหมเป็นประโยชน์กับตนนะ

“ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต”

เห็นไหม เป็นประโยชน์ไหม? ได้เฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยตัวจริง โดยใจจริงๆ ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นตถาคต เวลาใจเป็นธรรมเหมือนกัน เหมือนกันเห็นไหม เวลาครูบาอาจารย์ เวลาท่านนิพพานไปแล้วท่านไปอยู่ที่ไหนกัน? จิตที่นิพพาน ครูบาอาจารย์ที่ท่านล่วงไปแล้ว จิตท่านไปอยู่ที่ไหนกัน? เพราะจิตมันเหมือนกัน มันเหมือนกันมันก็ไปอยู่ที่เดียวกัน ที่เดียวกัน

ถ้าไม่ไปอยู่ที่เดียวกันมันจะไปนิพพานเหมือนกันได้อย่างไร? สิ่งที่เป็นการกระทำมันเป็นประโยชน์ไหม? มันเป็นประโยชน์กับทุกๆ คนนะ เป็นประโยชน์ในการกระทำ เป็นประโยชน์กับชีวิต เราถึงว่าการเกิดมาเป็นมนุษย์นี้แสนยาก แล้วเกิดแล้วพบพระพุทธศาสนาก็แสนยาก แสนยากนะ

แล้วถ้าเกิดมีครูบาอาจารย์ที่สอนที่รู้จริงมันก็ยิ่งยากเข้าไปใหญ่ ยากเข้าไปใหญ่นะ แล้วยิ่งถ้ารู้จริงมันเป็นเรื่องธรรมะล้วนๆ ถ้าไม่มีสิ่งที่เป็นสมมุติสื่อกันเรายิ่งไม่รู้เรื่องเลย แล้วสมมุติสื่อกันเราก็ตีค่า ตีความว่าเป็นของเรา ตีความว่าเหมือนกัน เหมือนกันโดยภาษาพูด ภาษาพูดสมมุติมันเป็นอย่างนี้ แต่ความจริงไม่เหมือนกัน ถ้าความจริงมันเป็นความจริงนะ มันจะซึ้งใจมาก ซึ้งใจมาก มีความสุขมาก

ถ้าไม่มีอย่างนั้น พูดกันทางโลกนะ ทางโลกว่าเขามีความเป็นอยู่ทางโลกเขาว่าเขามีความสุข พวกที่เป็นพระ พวกที่ประพฤติปฏิบัตินี่แห้งแล้งจะมีความสุขได้อย่างไร? ไม่ได้ใช้สอยกับโลกเขาเหมือนโลกเขา จะมีความสุขได้อย่างไร? แต่เขาไม่รู้หรอกเวลาจิตมันสงบมันจะมีความสุขได้ขนาดไหน

เวลาปัญญามันเกิดขึ้นมาระหว่างกิเลสกับธรรมที่มันต่อสู้กัน มันทำลายกัน มันทำลายหัวใจ ดูสิ มันพลิกคว่ำโลกธาตุได้ โลกธาตุมันพลิกคว่ำเลย พลิกฟ้าคว่ำดิน

ทางวิชาการเขาทำ ดูสิโลกนี้ เขาไปศึกษานอกโลกกันเห็นไหม ในโลกนี้ใต้บาดาลนี้ สิ่งต่างๆ ใต้พิภพเขายังค้นคว้ากัน กี่หมื่นกี่พันเมตร กี่หมื่นกี่ร้อยเมตรลงไปมันจะมีอะไรบ้าง เขายังไม่รู้ของเขาเลย เขาไม่เข้าใจของเขาหรอก ธรณีวิทยาเขาต้องตรวจสอบ เขาต้องค้นคว้ากันตลอดเวลาเห็นไหม เจาะน้ำมันกันต่างๆ เขาก็ตรวจสอบตลอดเวลา

เขารื้อค้น เขายังคว่ำโลกไม่ได้เลย เขายังทำของเขาไม่ได้เลย เพราะอะไร? เพราะโลกนี้เป็นอจินไตย แต่ถ้าโลกทัศน์ล่ะ? ถ้าหัวใจล่ะ? จะค้นคว้ากันอย่างไร? จะทำกันอย่างไร? ถ้าทำไม่ได้มันจะคว่ำโลกธาตุได้อย่างไร? มันจะคว่ำโลกธาตุออกจากใจไปได้อย่างไร? สิ่งที่เป็นนี่เห็นไหม โลกนอกโลกใน รู้แจ้งทั้งโลกนอกโลกใน

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้แจ้งทั้งโลกนอกโลกใน ครูบาอาจารย์ของเราหลวงปู่มั่นรู้แจ้งทั้งโลกนอกโลกใน ๘๐ ปีต้องตาย ชีวิตนี้ ๘๐ ปี เวลาป่วยครั้งแรกเห็นไหม เราป่วยแล้วนะ อีก ๘ เดือน อีก ๘ เดือน ตรงตลอดเห็นไหม รู้แจ้งโลกนอกโลกใน แล้วในการประพฤติปฏิบัติผู้ที่ประพฤติปฏิบัติไปเห็นมิติ เห็นสวรรค์ เห็นนรก เห็นอะไรต่างๆ ไปคุยถามท่าน ท่านตอบได้หมด นี่โลกนอก โลกในก็รู้โลกก็นอกก็รู้

แล้วครูบาอาจารย์ที่ประพฤติปฏิบัติมาเห็นไหม โลกในสำคัญ โลกในคือโลกกิเลส แล้วมันชำระกิเลสได้ มันทำลายกิเลสจากหัวใจได้ นี่โลกใน ถ้าโลกในมันแจ่มแจ้งโลกในมันเข้าใจหมด โลกนอกเห็นไหม โลกนอกวิทยาศาสตร์มันพิสูจน์ได้นะ โลกนอกคือโลกของเขา โลกนอกเห็นไหม โลกนอกคือโลกวัฏฏะ เราเวียนกันมาเกิด เราเวียนตายกันมาตลอด เราเวียนมาตามวัฏฏะ

วัฏฏะพาเราเกิดเราตายมา วัฏฏะมันเป็นวิบาก มันเป็นผลที่อยู่นะ แต่วัฏฏะในหัวใจสิ เชื้อไขของใจ เชื้อไขของหัวใจที่มันมีสิ่งขับเคลื่อน มันจะต้องขับเคลื่อนไปอย่างนี้ ขับเคลื่อนไปตลอดเวลา ขับเคลื่อนไปจนถึงที่สุด ที่สุดนะ ที่สุดแห่งทุกข์

ถ้าในการทำ ถ้าในทางธรรมเห็นไหม ทำธรรมมาถึงที่สุดนะ เราสงสารมาก ทำไมไม่ทำกัน? ทำไมไม่ตั้งใจกัน? เพราะอะไรรู้ไหม? เพราะเราทำมา ทุ่มเททั้งชีวิตเหมือนกัน มันทุ่มเทกันมาทั้งนั้น เวลามันทุกข์มันยากมันเดือดร้อนขนาดไหนเห็นไหม มันทุกข์นะ

อดนอนผ่อนอาหาร ทุกข์มาก ทุกข์มาก แต่มันก็ชุ่มชื่น ถ้าจิตมันลงหนหนึ่ง จิตมันลงหนหนึ่งปัญญามันฟาดฟันกันหนหนึ่งนะ มันปล่อยวางหนหนึ่งมันก็ชุ่มชื่นมาก มันกระหยิ่มในหัวใจนะ มันเหมือนกับเรากำสมบัติไว้ ของเรา ของเรา ทำไมมันไม่กระหยิ่มในหัวใจ แล้วของเรามันอยู่ใกล้มือ เราจะเอื้อมเอา จะหยิบเอาขนาดไหนก็ได้

คนเวลาภาวนาเป็นนะ มันกำหนดวันตายกิเลสเลย เมื่อนั้นมันจะตาย เมื่อนั้นมันจะตาย แล้วเวลาถึงมันจะตายไหม? เหมือนกับเราทำงานเลย มันจะสิ้นสุดเมื่อไหร่? สิ้นสุดเมื่อไหร่? แต่ถ้าเราเริ่มต้นงานไม่ได้เราจะให้มันสิ้นสุดได้เมื่อไหร่ มันจะจบงานเมื่อไหร่เห็นไหม แล้วชีวิตมันไม่มีวันจบ มันจะหมุนไปอย่างนี้ เกิด-ตายแน่นอน ตายแล้ว เกิดมาตายหมด เกิดมาตายหมดเลย ตายหมดแล้วนะก็เกิดหมดเลย เกิดหมดเลยนะ

ชาติปิ ทุกขา ชาติความเกิดเป็นทุกข์อย่างยิ่ง เว้นไว้แต่พระอรหันต์เท่านั้น ตายแล้วไม่เกิดอีก เกิดมาตายหมด ตายหมดก็เกิดหมด

ฟังสิ งงไหม มันก็อยู่อย่างนี้ แล้วชีวิตหนึ่งทุกข์ไหม? ชีวิตหนึ่งวนเวียนอยู่อย่างนี้ เกิดมานี่ตายหมดเลย แล้วทำไมต้องให้มันตาย? ทำไมไม่ฆ่ามันก่อน? ทำไมไม่ฆ่ากิเลส? ทำไมไม่เอากำลังใจขึ้นมา? ทำไมไม่ต่อสู้กับตัวเอง?

ถ้าต่อสู้กับตัวเองนะ พอกิเลสมันตายแล้วนะ จบ กิเลสตายแล้วไม่มีอะไรตายแล้ว ชีวิตที่มีอยู่นี้ก็ไม่ตาย ชีวิตที่ยังมีชีวิตอยู่นี่ ยังหายใจอยู่ไม่เคยตายอีกแล้ว พอกิเลสตายไม่มีอะไรตาย กลับสู่สภาวะเดิมของเขา กลับสู่สภาวะเดิมของเขาเฉพาะธรรมชาตินะ ธรรมชาติสิ่งที่เป็นสสารนะ แต่ใจไม่มี ใจมันตั้งแต่กิเลสตายไม่มีใจ เป็นธรรมธาตุ

ธาตุเป็นใจเป็นภพ ธาตุเป็นจิตเป็นภพหมด แต่เพียงแต่เป็นสมมุติที่คุยกันว่าจิตนี่เป็นอย่างไร? ความรู้สึกเป็นอย่างไร? เท่านั้นเอง ไม่มีอะไรตายแล้ว ถ้าลองกิเลสตายแล้วไม่มีอะไรตาย รอวันเวลาเท่านั้น รอวันเวลาที่ใบไม้หลุดออกจากขั้วเท่านั้นเอง ถึงเวลามันก็หลุดออกจากขั้วมันไปเอง ถึงเวลาเห็นไหม แล้วยังมีมหัศจรรย์ด้วย มหัศจรรย์ด้วยนะ

ผู้ที่จะอยู่อีกกัปหนึ่ง ผู้ที่มีอิทธิบาท ๔ เห็นไหม จิตตะ วิมังสา มีจิต มีธรรมธาตุ แล้วถ้าจะอยู่อีกกัปหนึ่ง ถ้าร่างกายนี้แข็งแรงใบไม้ที่มันหลุดจากขั้วบังคับไม่ให้มันหลุดก็ได้ ใบไม้ที่แก่มันร่วงทั้งต้นเลย ร่วงหมดเลย ไอ้ใบนี้กูไม่ให้ร่วง กูให้มันอยู่คาต้นอย่างนี้ก็ทำได้ ในเมื่อไม่ให้จิตมันออก ไม่ให้มันร่วง มันจะตายได้อย่างไร?

ถ้าจะอยู่กับเพื่อประโยชน์โลกนะ จิตตะ วิมังสา จิตตะเห็นไหม รักษามัน ดูจิต ถ้าจิต ไม่ให้จิตออกจากร่าง ไม่ให้จิตออกจากตัวนี้ เห็นไหม กำหนดไว้ ต่อไว้ได้ แล้วถ้ามันไม่ให้จิตมันออก ไม่ให้จิตมันออก ร่างกายมันมีพลังงาน อาหารที่มันอุ่นอยู่มันก็ไม่เน่า ถ้าจิตมันออกพลังงานออกแล้ว ร่างกายนี้มันก็บูด มันก็เน่า มันก็กลับสู่สภาพเดิมของมัน

แต่ถ้าลองมีธาตุไฟอยู่ ลองมีพลังงานอยู่ มันอยู่อย่างนี้มันก็อุ่นอยู่ อุ่นอยู่มันก็ไม่เน่า มันก็ไม่กลับสู่สภาพเดิมของมันเพราะมีพลังงานรักษามันไว้ ถ้าพลังงานตัวนี้คือตัวจิต ถ้าตัวจิตเห็นไหม ตัวจิตจะอยู่อีกเท่าไรก็ได้ ถ้าร่างกายมันทนไหว

แต่ถ้ามันมีกิเลสอยู่มันกลัวไปหมด อยากจะอยู่ ๕๐๐ ชาติ แต่มันก็ตายหมด ร่วงหมดทั้งต้น ไม่มีเหลือสักใบ แต่ผู้ที่มีอยู่แล้วถึงไม่ร่วงไง ไม่ต้องตาย ไม่มีวันตาย กิเลสตายแล้วไม่มีตาย สุคโตแท้ๆ เลย สุคโตอยู่ที่นี่ สุคโตต้องให้มันสุคโตที่ใจให้ได้ ถ้ามันสุคโตที่ใจได้ มันจะเป็นความจริง

ถาม : ชาวโลกทั่วไป ที่ว่าไม่มีอะไรเกิด ไม่มีอะไรตายนี้ พระโสดาบัน พระสกิทา พระอนาคารู้อย่างนี้หรือยัง? หรือต้องเป็นพระอรหันต์ถึงจะรู้ อย่างนี้ชาวโลกทั่วๆ ไป เห็นแต่เกิดกับตาย เหมือนเห็นพระอาทิตย์ขึ้นพระอาทิตย์ตก แต่จริงๆ แล้วพระอาทิตย์ก็ส่องสว่างอยู่ตลอดเวลา ไม่มีอะไรตก

หลวงพ่อ : ถูกต้อง ชาวโลกเห็นพระอาทิตย์ เห็นเกิดกับตายเพราะเห็นด้วยตา เห็นด้วยสมมุติ เห็นด้วยตาคือเห็นด้วยมิติเดียว โลก โลกนี้โลกสมมุติ พอเราเกิดมาเป็นโลกปั๊บ เราก็เกิดมาเป็นเรา เราเกิดในมิตินี้ เกิดมาในโลกนี้คือ ๒๔ ชั่วโมงเป็นหนึ่งวัน พอ ๒๔ ชั่วโมงเป็นหนึ่งวันคือสมมุติของโลกมันครอบไว้

สมมุติของโลก สมมุติมิติของวันหนึ่ง หนึ่งวันของเรามี ๒๔ ชั่วโมงเป็นหนึ่งวันครอบไว้ นี่ครอบไว้ปัญญาของเราก็รู้ว่าครอบไว้นี่ในหนึ่งวัน พ่อแม่ก็สอนลูกกันมาคนนี้เกิดนะ คนนี้ตายนะ เขาก็รู้ว่าเกิดตาย มันก็ไม่มีอะไรเกิดตายเพราะจิตมันไม่เคยเกิดเคยตาย จิตมันก็หมุนตายอยู่อย่างนี้ จิตมันไม่เคยเกิดเคยตาย จิตไม่เคยทำลาย แต่มันเกิดตายในมิติ

ถาม : แต่ในเมื่อที่ว่าไม่มีอะไรเกิดแล้ว คำว่าไม่มีอะไรเกิดไม่มีอะไรตาย

หลวงพ่อ : ที่ว่าไม่มีอะไรเกิดไม่มีอะไรตายนี่ เพราะมันไม่มีภพ มันไม่มีคนสื่อสาร มันไม่มีสิ่งใดๆ เลย แต่มันมีอยู่ มันไม่สื่อสาร มันไม่เข้ารหัส การที่ไม่เข้ารหัสนี้มันเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว ถึงไม่มีเกิดไม่มีตาย พระอรหันต์ไม่มีเกิดไม่มีตาย และที่รู้ได้พระอรหันต์อย่างเดียว

พระอนาคาไม่รู้หรอก พระอนาคารู้ พระอนาคาติดทำไม? ทำไมพระอนาคาต้องไปเกิดเป็นพรหม? เพราะพระอนาคาติดว่าเป็นพระอรหันต์ พอคำว่าติดพระอรหันต์ มันก็มีตัวจิต ตัวภพ ตัวหนึ่งเดียวไง เพราะพระอนาคาทิ้งกามภพ

กามภพคือ กามภพนะทิ้งปฏิฆะ กามราคะกับปฏิฆะ กามราคะ โอฆะ ถ้ากามราคะเวลาที่พระสกิทา พระสกิทาเป็นพระสกิทานะ แล้วตาย ตายยังเกิด ถ้าไม่เกิดเป็นมนุษย์ก็ยังเกิดเป็นเทวดา เกิดเป็นเทวดาอะไร เพราะมันมีกาม เพราะเทวดายังมีกาม ทั้งๆ ที่ว่าเป็นพระสกิทานะ

แต่ถ้าเป็นพระอนาคา พระอนาคานี่มันละกาม ละกามคือปฏิฆะ กามราคะคือความโลภ ความโกรธ ความหลง ความหลงในกาม พอละในกาม สิ่งที่ละมาใครเป็นคนละ ก็ใจคือเป็นคนละ พอใจเป็นคนละ ใจมันก็ปล่อยมา พอปล่อยมามันก็คิดว่าเป็นพระอรหันต์เพราะมันปล่อยมาหมดแล้ว ว่างหมดเลย โมฆราชไง เธอจงมองดูโลกนี้เป็นความว่าง

แต่หัวใจที่ดูเขามันไม่เห็น มันห้ามดู มึงอย่ามาดูกูนะก็กูเป็นอวิชชา กูคุมมึงอยู่ มึงจะดูกูได้อย่างไร? มันก็ไสออกหมดเลย มันก็ไม่ยอมมาดูมันเห็นไหม มันก็เลยติด มันก็เลยไม่รู้ ก็มันนี่มันตัวเกิดตัวตาย แต่ตอนนั้นมันหลง มันไม่รู้ มันนึกว่ามันไม่มี แต่พอมันตายปั๊บ เออ ก็กูอยู่นี่ไง ก็กูมาเกิดอยู่นี่ กูไม่มีได้อย่างไร?

ฉะนั้นมันถึงบอกว่าพระอรหันต์เท่านั้นที่ไม่เกิดไม่ตาย พระอรหันต์เท่านั้นที่จะรู้แจ้งเห็นจริง มีพระอรหันต์เท่านั้น พระอนาคานี่ตัวติดอย่างดีเลย อนาคา ๕ ชั้น อนาคานี่ติดมาก แต่ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์นะ ส่วนใหญ่นี่ติด ติดตรงนี้ ติดในความว่าง เพราะอะไรรู้ไหม? เพราะว่าพระไตรปิฎกหรือว่าโดยสามัญสำนึกของเราจะคิดถึงเรื่องความว่างกันหมด นู่นก็ว่างนี่ก็ว่าง

คิดถึงความว่างแล้วก็สร้างจินตนาการว่างเพราะใจ กิเลสมันอยากได้ โดยกิเลสมันอยากได้ อยากเห็น อยากรู้ พอมันมีสิ่งใดแล้วมันเหมือน (โทษนะ) สามล้อถูกหวย ทุกข์ ทุกข์ฉิบหายเลย พอถูกหวยนี่ แหม สามล้อถูกหวย มันเพลินมันจ่ายอย่างเดียว เดี๋ยวแม่งทุกข์อีก ใช้จ่ายเกลี้ยงเลย

เหมือนกัน พอจิตมันไปสัมผัสอะไรเข้า โอ้โฮ ค่านั้น ค่านั้น ค่านั้น มันจะให้คะแนนมันแบบว่าเอบวกร้อยเลย เอบวกร้อย เอบวกด้วยร้อย เอบวกร้อย ทั้งๆ ที่ แหม มันเอศูนย์ทั้งนั้น เอลบ ไอ้บ้า โธ่ ในปฏิบัติมันเป็นอย่างนี้มาตลอด พอมันปล่อยปั๊บ โอ้โฮ ให้เอบวกร้อยเลย เอบวกแสนบวกล้านเลย พอมันเสื่อมมานะ เฮ้ย นี่มันเอลบ มันไม่ใช่ พอเสื่อมแล้วเอาใหม่

ในการกระทำนะ มันจะมาอย่างนี้เยอะมาก แล้วพอมาเจออภิธรรมที่เขาพูดๆ กัน มันไม่เคยเห็นความจริง คือมันเป็นไปไม่ได้ แม้แต่สมาธิก็เสื่อม ทุกอย่างก็เสื่อม อะไรไม่มีใครคงที่เลย แม้แต่ปัญญาก็เสื่อม

สิ่งต่างๆ เกิดขึ้นมา สิ่งใดๆ เกิดขึ้นมาสิ่งนั้นต้องดับเป็นธรรมดา สิ่งใดที่สร้างขึ้นมามันก็ต้องบุบสลายเป็นธรรมดา สติตั้งขึ้นมามันก็หายเป็นธรรมดา ไม่มีอะไรคงที่เลย ไม่มี ไม่มีหรอก ไม่มีอะไรจะคงที่เลย แล้วพอมันไปว่าง มันไปหลอกให้มันปล่อยวาง พอปล่อยวางมันก็ทิ้งหมดเลย พอทิ้งหมดเลย พอมันเสื่อมหมดเลยก็นั่งคอตก กรรมฐานม้วนเสื่อ เศรษฐีล้มละลาย แหม ต้องมาเก็บของเก่าขาย

ต้องมาเก็บของเก่าขายเพื่อจะตั้งต้นใหม่ (หัวเราะ) ไม่ใช่พูดเล่นนะ เรื่องจริงนะ ที่พูดนี่เรื่องจริงนะ ถึงเวลา เวลาจิตมันดี ครูบาอาจารย์ท่านถึง โอ้โฮ ต้องถนอมรักษา ต้องคอยเตือน ต้องคอยบอกเพราะคนเวลาล้มละลายนะ แล้วไปตั้งตัวใหม่ ทุกข์มาก จิตเสื่อม เวลามันเสื่อม เสื่อมจริงๆ แล้วถ้าพูดถึงเตือนขนาดไหน บอกขนาดไหนนะ มันก็เสื่อม มันทิฐิ มันยึดว่าของมันจริงๆ พอมันไปเสื่อมเอง มันทุกข์เอง แล้ว โอ้โฮ.. โอ้โฮ..

เราสอนลูกศิษย์มากอยู่ที่วัด บอกเป็นอย่างนั้นๆ ไม่ค่อยเชื่อหรอก เวลากลับมานะ

“แหม แหม หลวงพ่อ อย่างนี้ทุกทีเลย จริงทุกทีเลย”

ทั้งนั้นนะ บอกไปเยอะ ทุกคนจะกลับมานะ จริงทุกทีเลย แต่ถ้ามันยังไม่รู้ นี่วุฒิภาวะ วุฒิภาวะของใจมันไม่ถึงกัน ไม่ถึงหรอก สอนแค่ไหนก็ไม่รู้ แต่ครูบาอาจารย์เขาด้วยสัญชาตญาณ ด้วยความเป็นไปของครูบาอาจารย์ก็พยายามจะดูแลกันนะ จะบอกด้วยทางอ้อม บอกด้วยความเป็นจริง

แต่พอเราบอกว่า ถ้าทางโลกเห็นว่าพระอาทิตย์ขึ้นพระอาทิตย์ลง คำว่าพระอาทิตย์ขึ้นพระอาทิตย์ลงเพราะเราอยู่ในจุดใดจุดหนึ่งของโลก เมื่อก่อนมันยิ่งเลวร้ายกว่านี้นะ เมื่อก่อนบูชาพระอาทิตย์ เมื่อก่อนบูชาไฟ เมื่อก่อนบูชาภูเขา บูชาทุกอย่าง บูชาผี ถ้าศาสนาพุทธยังไม่เกิด ในปัจจุบันนี้ ในลัทธิอื่นๆ มันเป็นคำสมมุติ พูดถึงว่าบูชาพระเจ้า บูชาอะไร ชื่อพระเจ้า นั่นก็คือบูชาไฟนั่นแหละ เพราะอะไร?

เพราะพระเจ้าไม่มี สิ่งต่างๆ ไม่มีนะ ไม่มีเพราะอะไรรู้ไหม? ไม่มีเพราะมันมีวาระ พระอินทร์ก็มีวาระ จิตไม่มีคงที่ไง พระเจ้าไม่มีหรอก เรานี่คือพระเจ้า พวกโยมนี่เป็นพระเจ้า โยมทำดี โยมสร้างบุญกุศลนะ โยมไปเกิดเป็นพระอินทร์ เกิดเป็นพระอินทร์ เกิดเป็นเทวดา โยมนี่คือพระเจ้า เรานี่คือพระเจ้า คือพระเจ้าเป็นวาระ

วาระที่เราทำดีเราก็ไปเกิดเป็นพระเจ้า คือจริงๆ แล้วมันอนิจจังไง มันเปลี่ยนแปลงไง มันไม่มี มันหมุนเวียน ไม่มีอะไรคงที่หรอก แล้วพระเจ้าองค์ไหนเป็นพระเจ้าแท้ พระเจ้าองค์ไหนเป็นพระเจ้าปลอมที่มาเปลี่ยนตำแหน่งพระเจ้า ไม่มีหรอก

ทีนี้พอคำว่าไม่มีปั๊บ มันก็เท่ากับมาบูชาดิน น้ำ ลม ไฟนี่ไง แล้วที่บอกว่าไอ้ที่มันพูดนี่นะมันพูดว่าเรามาเกิดกึ่งพุทธกาล ลองไปพูดสมัย พูดที่ว่า

ถาม : แต่ชาวโลกที่เห็นการเกิดและการตายเหมือนพระอาทิตย์ขึ้นพระอาทิตย์ตกนี่ จริงๆ มันไม่มีหรอก พระอาทิตย์มันส่องแสงอยู่ตลอดเวลา

หลวงพ่อ : ไอ้ไม่มีเพราะเอ็งมาเกิดตอนนี้ เอ็งรู้วิทยาศาสตร์ไง เอ็งเกิดเมื่อพันปีที่แล้วเอ็งว่ามีหรือเปล่าล่ะ ถ้าเอ็งเกิดเมื่อที่โลกนี้ยังเป็นโลกแบนอยู่นะ เมื่อก่อนโลกนี้โลกแบนนะ ใครบอกโลกนี้โลกกลม มึงโดนตัดหัวนะมึง โลกนี้โลกแบนนะมึง ไม่ใช่โลกกลมหรอก แล้วพระอาทิตย์ขึ้นพระอาทิตย์ตกมึงจะรู้ได้อย่างไร? แหม มาอวดรู้ อวดรู้เพราะวิทยาศาสตร์มันเจริญนี่ (หัวเราะ)

เวลาเราอ่านพระไตรปิฎก เราอ่านกันเฉยๆ เห็นไหม โธ่ เราอ่านพระไตรปิฎกนะ เราคิดถึงมุมมองของมนุษย์เมื่อสมัยสองพันปีที่แล้วที่พระพุทธเจ้าบอกว่าต่อไปจะมีฝนเหล็ก ทุกคนก็งงว่าฝนเหล็ก เดี๋ยวนี้เวลามันทิ้งระเบิดทีนะปูพรมเลย เห็นภาพชัดเจนนะ ต่อไปนะ น้ำเต้าจะจมน้ำ กระเบื้องจะฟูลอย ต่อไปสังคมคนดีต้องหลบหลีก คนชั่วจะเชิดชูเพราะสังคมคนชั่วมันมาก คนชั่วต้องมากกว่าคนดี แล้วดูปัจจุบันสังคมเราสิ

อ่านพระไตรปิฎกสิ พระพุทธเจ้าพยากรณ์ไว้หมดแล้วล่ะ ต่อไปคนดีนะน้ำเต้ามันจะจมน้ำ น้ำเต้าดูมันเบา อากาศมันพองขนาดไหน กระเบื้องมันจะฟูลอย กระเบื้องนะมันจะขึ้นมาได้ไง ดูเดี๋ยวนี้สิ ดูมันสิ โอ้โฮ คนดีทั้งนั้น ประชาธิปไตย โอ้โฮ เป็นคนของสังคม โอ้โฮ เป็นคนของสังคมนะ กระเบื้องมันจะฟูลอย กระเบื้องฟูลอยหมดเลย ไอ้คนดีๆ มึงไปเลือกตั้งไม่มีใคร เสียงเดียวเท่านั้น ตัวเองลงให้ตัวเอง ได้เสียงเดียว กูลงให้ตัวเอง น้ำเต้ามันจะจมเห็นไหม กระเบื้องมันจะฟูลอย

อ่านอย่างนี้ เวลาเราอ่านพระไตรปิฎกแล้วเราก็คิดเปรียบเทียบ คิดเปรียบเทียบแล้วมันถึง โอ้โฮ โอ้โฮ นะ แต่เราคิดถึงว่าพวกเรานี่อ่านพระไตรปิฎก แล้วก็เอามุมมองของเราไปตีความ มันคนละยุคคนละสมัย แต่อริยสัจอันเดียวกัน ทุกข์อันเดียวกัน ทุกอย่างอันเดียวกัน แต่เราตีความกันไม่ออก ตีความกันไม่เป็น เราเข้ากันไม่ถึงหรอก

พูดอย่างนี้เหมือนกัน สิ่งที่พูดนี้มันที่ว่าพูดถึงว่ามันไม่มีอะไรเกิดไม่มีอะไรตายนี่มันไม่รู้จริง ถ้ารู้จริงแล้วเราถึงเข้าใจไง เข้าใจที่ว่า เพราะเข้าใจ เพราะมีประสบการณ์ ประสบการณ์เวลามันช็อก เราเคยช็อก เคยจะตายหลายทีนะ จิตมันจะออก มันจะออกอย่างไร? เรานี่ช็อกตัวเอง ช็อกหลายทีเลย เคยช็อกมาหลายทีแล้ว

เวลามันแพ้จริงๆ นี่ช็อกเลย พอช็อกนี่มันดับหมด แล้วมันซ่าออกมา มันซ่าออกมาอย่างนั้น คือจิตเวลามันถอนออกหมดมันจะถอนอย่างไร? แล้วเราดึงไว้ไม่ให้ออกมันจะปล่อยอย่างไร? แล้วเวลาไปพูดถึง

เวลาหลวงตาท่านพูดถึง ท่านเป็นของท่านที่ว่า ท่านถ่าย ๒๐ ครั้ง ๒๗ ครั้งอะไร อ๊วกเลยนะ มันก็ถอยเข้ามา ถอยเข้ามา นี่มันจะออกจากร่าง เวลามันจะออกจากร่างไม่มีเผลอหรอก สตินี่สมบูรณ์มาก ร้อยเปอร์เซ็น มึงไปไหนกูไปด้วย ไปไหนไปกัน ไม่มีเผลอ ไปได้ตลอด

แต่ถ้าไม่สมบูรณ์นะ เผลอ พอมันจะเป็นไรไป อ้าว ไปไหน พรวด! ตายแล้ว ตายแล้วถึงรู้ว่า อ๋อ กูตายแล้ว ออกจากร่างไปแล้ว ไม่ทันหรอก แต่ถ้าทัน ประสบการณ์มีไง ประสบการณ์มีเวลาเทศน์มันก็ออกไปตาม จริงมันคือจริง เทศน์ไป เทศน์ไป อันนี้มันเลยมันด้วยเลย อันนี้เลยมันด้วย มันเปลี่ยนได้

จิตสกปรกมันเปลี่ยนให้เป็นจิตสะอาดได้ มันเป็นความจริงได้ มันดูได้ มันทำได้ แต่มันต้องทำจริงๆ ไง แล้วทำจริงๆ อาจารย์ที่เป็นเขาไม่เปิดหมดไง ถ้าเปิดหมดมันเป็นวิปัสสนึก คนควรที่มันจะทำได้ เป็นได้ มันเลยไม่เป็นเลย ดูสิ เห็นไหม ลูกเศรษฐีส่วนใหญ่พอใช้จ่ายจนเคยแล้ว หาเงินไม่เป็นนะ จะจ่ายลูกเดียว นี่ก็เหมือนกัน ไปอยู่กับครูบาอาจารย์ที่รู้จริง มีชื่อเสียงนะ จำท่านมาหมดเลย แล้วก็ไปโม้กัน แล้วถึงเวลาแล้ว หมดตัวนั่นล่ะ พอถาม ตอบเขาไม่ได้หรอก

เนื่องจากว่าเวลาพูดถ้าให้เล่าเรื่องมันๆ โอ้โฮ มันทั้งวัน แล้วพอเล่าไป อือ หลวงพ่อขี้โม้ฉิบหายเลย มันไม่เคยเห็นกูทำนี่หว่า เอาพูดจริงๆ พูดจริงๆ มันกล้าพูด ก็พูดของจริง แต่ถ้าคนฟังนะ โอ้โฮ ขี้โม้ฉิบหายเลย โอ้โฮ โม้ได้ทุกเรื่อง อ้าว โม้ มึงจับผิดกูสิ มึงจับผิดกูว่ากูโม้ตอนไหน เดี๋ยวกูอธิบายให้มึงฟัง มึงจับผิดกูไม่ได้หรอก มันรู้คนละชั้น มันรู้คนละชั้น มันรู้กันไม่ได้

เนาะ เอาแค่นี้ก่อน เอวัง