ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

เทศน์ที่ธรรมศาสตร์รังสิตครั้งที่๓ไฟล์๓

๑๒ เม.ย. ๒๕๕๑

 

เทศน์ที่ธรรมศาสตร์รังสิต ครั้งที่ ๓ ไฟล์ ๓
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๑
ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิต ต.คลองหนึ่ง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี

 

ทำวัตรก่อน ทำวัตรเลยล่ะ (ทำวัตรเย็น) เริ่มเทศน์นาทีที่ ๑๑.๒๘

ตอนเช้าเทศน์ กลางวันนี้ เทศน์เรื่องนี้ไปแล้ว เรื่องฤๅษีชีไพร กลางวันนี้ซัดเรื่องนี้ไปแล้วเต็มๆ ถ้าพูดใหม่เป็นรอบสอง กลางวันพูดไปแล้ว ถามเรื่องพระกราบฤๅษีอีกล่ะ ตามที่เป็นข่าวไง พระกราบฤๅษี แสดงธรรมนิดหนึ่ง แล้วจะตอบปัญหาไปเรื่อยๆ สองทุ่ม สองทุ่มครึ่ง

เรามีมุมมองของเรานิดหนึ่ง มุมมองต่างกับโยม ต่างกับโยมตรงที่ว่ากึ่งพุทธกาลแล้ว ศาสนาจะเรียวแหลม แต่ในสมัยพุทธกาลนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่ากึ่งพุทธกาลศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง คำว่าเจริญของเรามันเจริญในหัวใจของพระ มันเจริญถึงสิ่งที่รู้แจ้ง ความเจริญอย่างนี้เพราะก่อนหน้ากึ่งพุทธกาล ก่อนหน้าที่ อย่างกรุงเทพฯ ตั้งแต่สมัยกรุงเทพฯ ธนบุรี กรุงเทพฯ นี่ เวลาฟื้นฟูกันพระแตกกระสานซ่านเซ็นนะ

แล้วดูลังกาสิ ลังกาเวลาตกเป็นเมืองขึ้นเขา ไม่มีพระเลยนะ ที่ลังกานี่ไม่มีพระ จนเหลือเณรอยู่องค์เดียว สมัยกรุงศรีอยุธยาเข้าไปฟื้นฟู แล้วตอนหลังที่ลังกาแทบจะไม่มีพระเลย แล้วพอหมดอาณานิคม สยามวงศ์ ลังกาวงศ์ ลังกาวงศ์ สยามวงศ์ฟื้นฟูมา การฟื้นฟูเพราะอะไร? เพราะสิ่งนี้มันเป็นความเคยชิน

ถ้าเราเคยชินกับสิ่งใด เราคุ้นเคยกับสิ่งใด สิ่งนั้นเราจะไม่เห็นคุณค่า เพราะตั้งแต่สมัยกรุงเทพฯ สมัยกรุงเทพฯ เวลาปราบดาภิเษกขึ้นมาเป็นกษัตริย์ ต่างๆ ต้องฟื้นฟูหมด จนพระจอมเกล้าฯ พระจอมเกล้าฯ ไปบวช บวชเข้าไปแล้วไปศึกษาเข้าไปแล้ว เห็นสภาวะต่างๆ ถึงได้กระทำออกมา สิ่งที่ทำออกมาสิ่งนี้ยังไม่มีใครประพฤติปฏิบัติ ถ้าสังคมมีการศึก มีการสงคราม สมณะชีพราหมณ์ก็อยู่ไม่เป็นสุข

สมณะชีพราหมณ์ไม่อยู่ด้วยความสงบ สมณะชีพราหมณ์เอาเวลาที่ไหนมาค้นคว้าตัวเอง ธรรมจะเจริญมันเจริญที่หัวใจ หัวใจตรงไหน หัวใจตรงที่มันรู้จักไง สิ่งใดเป็นทรัพย์ในโลก ทรัพย์ในโลกกับทรัพย์ธรรมะเหนือโลก ธรรมะเหนือโลกมันเหนือยังไง มันเหนือโลกยังไง ถ้ามันไม่เหนือโลกนะ มันไม่เหนือโลกจะไม่เข้าใจถึงธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ถ้าเข้าใจถึงธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งที่เข้าใจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันรื้อค้นในหัวใจ ถ้ารื้อค้นในหัวใจมันบอกถึงวิธีการได้ วิธีการอะไร? วิธีการการชำระกิเลส การทำลายชำระกิเลส ตั้งแต่หลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ลงมา รื้อค้นมาๆ จนสงฆ์ของเรามั่นคงขึ้นมา มั่นคงขึ้นมาจนมีความเชื่อถือศรัทธา พอมีความเชื่อถือศรัทธา

ทีนี้คนมันเข้าไม่ถึง คนเราเข้าไม่ถึงธรรม เข้าใจเห็นไหม ดูสิ คนถามบ่อยมากเลย อภิญญา อภิญญานะ หูทิพย์ตาทิพย์ต่างๆ มีฤทธิ์มีเดช สิ่งนี้เป็นธรรมไหม ผู้วิเศษไง ทายใจทายอะไรต่างๆ เป็นผู้วิเศษ แล้วพอเราไปเห็นสภาวะแบบนั้น เราก็ไปตื่นเต้นกับความเป็นผู้วิเศษ ผู้วิเศษเดี๋ยวนี้เครื่องจับเท็จมันดีกว่าเราอีก สิ่งต่างๆ มันดีกว่าเราอยู่แล้ว แล้วเราไปเห็นสิ่งนั้น

คุณไสยนะ เวลามีคุณไสยสิ่งต่างๆ เขาทำกัน เขาทำกันเพื่อประโยชน์ของเขา แล้วเราไปตื่นเต้น ศาสนานี่มันละเอียดอ่อนมากกว่านั้น ศาสนาละเอียดเห็นไหม เวลาปกติของเรา เราสงสัยไปหมดเลย เราสงสัยเราไม่เข้าใจอะไรเพราะเป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ ต้องพิสูจน์ได้ๆ ความพิสูจน์ได้กิเลสมันพูดนะ สิ่งใดพิสูจน์ได้ๆ พิสูจน์ไม่ได้มันไม่เชื่อถือ

เวลาจิตมันสงบขึ้นมา ถ้าทำความสงบของใจ ใจสงบขึ้นมามันรู้นอก รู้นอกอย่างที่มันเป็นไป จะรู้เรื่องพิสดาร พิสดารพันลึกเพราะอะไร? ดูสิ คนอยู่เฉยๆ คนดวงตก เวลาเดินไปนี่ผีมาหลอกได้ แล้วผีมาหลอกเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาเลย ถ้าผีมาหลอกจริงๆ นะ แต่ถ้าผีในตัวเราเองหลอก เห็นไหมเราสร้างภาพ เราตกใจ เรากลัวความมืด พอเรากลัวความมืดเราเห็นสภาพแบบนี้เป็นผีเป็นสาง เราตกใจไปเองนะ นี่กิเลสมันหลอกเราเอง

ถ้ากิเลสมันหลอกเรา เราสร้างภาพขึ้นมาเราก็ตกใจ เรากลัวความมืดเราสร้างภาพต่างๆ ตกอกตกใจหมดเลย แต่เวลาผีมาหลอกจริงๆ มีนะ ผีนี่เวลามาหลอก ดูสิ การที่ว่าผีมาหลอก เครือญาติของเรา ญาติโกโหติกาของเรา เวลาตายไป เวลาตกทุกข์ได้ยาก

พระเจ้าพิมพิสาร เวลาสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมแล้ว มาโปรดพระเจ้าพิมพิสาร จนพระเจ้าพิมพิสารเป็นพระโสดาบัน แล้วพระโสดาบัน ทำบุญกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เปรตโผล่มาตรงหน้าต่างเลย เปรตโผล่มาเลยนะ พระเจ้าพิมพิสาร เพราะเชื่อมั่นในพระโสดาบัน พระโสดาบันมีความรู้ในธรรมส่วนหนึ่งแต่ไม่รู้โดยรอบ แล้วไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเพราะเหตุใด?

“เครือญาติของเธอ เกิดเป็นเปรตแล้วรอเธอมามหาศาลเลย จะมาขอส่วนบุญ”

แล้วนิมนต์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาถวายทาน พอถวายทานแล้วอุทิศส่วนกุศลให้เปรต พอให้เปรตขึ้นมา เปรตได้กินอาหารนั้น มีความอิ่มหนำสำราญมีความสุขมาก มาหาพระเจ้าพิมพิสาร พระเจ้าพิมพิสารก็ตกใจอีก เอ๊ะ ทำบุญกุศลแล้วทำไมมาอีก เราอุทิศส่วนกุศลให้แล้วเป็นบุญกุศลให้แล้ว มันมีความสุขแล้วทำไมมาทำให้ตกใจอีก

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกที่เขามาเปลือยกายอยู่นั้นเพราะถวายทาน แต่ไม่ได้ถวายผ้า ไม่ได้ถวายสิ่งใด พระเจ้าพิมพิสารถวายซ้ำอีก ถวายซ้ำ ได้รับส่วนบุญจากพระเจ้าพิมพิสารอิ่มหนำสำราญมีความสุขของเขา แล้วพอมีความสุขของเขา เขาอนุโมทนาไป

เนี่ยสิ่งนี้มีจริง มีจริงแล้วเวลาประพฤติปฏิบัติ ความว่ามีจริงมันก็เป็นเรื่องของเขา เป็นญาติโกโหติกาของพระเจ้าพิมพิสาร แล้วพระเจ้าพิมพิสารทำบุญกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อุทิศส่วนกุศลให้เขาไป ให้เขาไปต่างคนต่างได้รับความสุข เมตตาธรรมค้ำจุนโลก ค้ำจุนต่างคนต่างเป็นสุข ไม่ใช่ว่า เราไปตื่นเต้นจะไปรับรู้ แล้วเราจะไปกราบไปไหว้ไปบูชามันเป็นเรื่องไร้สาระ

สังฆะนะ สงฆ์ เวลาลงอุโบสถ มันเป็นธรรมวินัยนะ ธรรมวินัย ถ้านานาสังวาสร่วมอุโบสถสังฆกรรมกันไม่ได้ ถ้าร่วมอุโบสถสังฆกรรมเป็นโมฆียะ เป็นโมฆะ สิ่งที่เป็นโมฆะ คนดี เวลาที่เราขับรถไปตามถนนหนทาง คนดีต้องเคารพกฎจราจร ถ้าเคารพกฎจราจรเป็นคนดีใช่ไหม เราเป็นคนดี แต่เวลาเราขับรถไปตามกฎจราจร ไฟแดงเราจะผ่าไปเลย เราเป็นคนดี ทุกคนจะส่งเสริมว่าเราเป็นคนดีมาก เจอกฎจราจรเราจะผ่าไปๆ เราไม่ยอมรับไฟแดงได้ไหม?

ธรรมและวินัยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้แล้วเป็นธรรม หลวงปู่มั่น เวลาพระที่ไปอยู่ด้วยอย่างหลวงปู่ชาเป็นมหานิกาย มาอยู่กับหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นก็รับ หลวงปู่ฝั้นเป็นมหานิกายนะไปอยู่กับหลวงปู่มั่น หลวงปู่ฝั้น หลวงปู่ขาว นี่เป็นมหานิกายมาก่อนทั้งนั้น แต่ไปอยู่กับหลวงปู่มั่นได้รับคุณประโยชน์จากหลวงปู่มั่น เหมือนกับเราไปอยู่กับพ่อแม่ ได้พ่อแม่เจือจานเรา พ่อแม่ดูแลรักษา มีความสุขมากๆ เลี้ยงทั้งกายและใจ พ่อแม่ครูอาจารย์

พ่อแม่เลี้ยงได้แต่ร่างกาย พ่อแม่ครูอาจารย์เลี้ยงทั้งร่างกายและดูแลความเป็นอยู่ด้วย เลี้ยงทั้งหัวใจด้วย พ่อแม่ครูอาจารย์ พ่อเป็นพ่อเป็นแม่เป็นครูบาอาจารย์ เราเป็นพ่อแม่ พ่อแม่คือพระอรหันต์ของลูกเพราะลูกได้กรรมพันธุ์ทุกอย่างจากพ่อแม่มา เกิดในประเทศอันสมควร เกิดจากพ่อจากแม่ เกิดโดยสายบุญสายกรรม นี่เป็นพระอรหันต์ของเรา

แต่พระอรหันต์ของเราโกรธเราก็ได้ ด่าเราก็ได้ ว่าเราก็ได้ ติเราก็ได้ เป็นพระอรหันต์ของเรา เราเคารพบูชาหมดแหละ พ่อแม่ของเรา แต่เอ็ดว่าได้เพราะด้วยกิเลส แต่พ่อแม่ครูบาอาจารย์เป็นทั้งครูบาอาจารย์เป็นทั้งพระอรหันต์ เป็นพระอรหันต์ของสาธารณะ เป็นพระอรหันต์หมดเลย

แล้ว หลวงปู่ฝั้น หลวงปู่ขาว มาอยู่กับหลวงปู่มั่น แล้วได้การบำรุงรักษาเพราะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา แล้วมันได้ผลขึ้นมาจากการประพฤติปฏิบัติ รู้แจ้งเหมือนกัน ตามรู้เหมือนกัน แล้วเวลาหลวงปู่มั่นป่วย เห็นไหม นานาสังวาสๆ ร่วมกินร่วมนอนกันไม่ได้ จะเอายาไปให้ท่านก็ไม่ได้ สิ่งใดก็ไม่ได้ เห็นคุณประโยชน์ของท่าน เลยญัตติ ญัตติใหม่เป็นธรรมยุติ เพื่อจะหยิบได้ ทำได้ด้วยเหมือนกัน นี่นานาสังวาส

ทีนี้หลวงปู่มั่นท่านมีทิฐิมานะ ท่านไม่ยอมรับสิ่งใดเลย ถ้าพูดถึงเป็นธรรมแล้วก็ต้อง อะไรก็ต้องร่วมกันได้ ทำร่วมกันได้ มันทำไม่ได้ เพราะทำได้เป็นโมฆะ สิ่งที่เราทำ อย่างประชุมสภา ประชุมสภาไม่ครบองค์ ไปประชุมแล้ว กฎหมายออกมา ใช้ไม่ได้แล้วมีประโยชน์อะไร มันจริงตามสมมุติไง วินัยนี้เป็นสมมุติ แต่จริงตามสมมุติ

ถ้าจริงตามสมมุติ เวลาทำอุโบสถสังฆกรรม ถ้าอยู่ด้วยกัน ทำอุโบสถสังฆกรรมด้วยกันได้ อยู่นอกหัตถบาส ภิกษุที่เป็นส่วนใหญ่สวดปาติโมกข์ ภิกษุที่เป็นส่วนน้อยอยู่ข้างนอก รับฟังด้วย อยู่นอกหัตถบาสแล้วขอบริสุทธิ์เอาเห็นไหม เป็น ๒ ฝ่าย เพราะธรรมยุติเราไปอยู่กับสายหลวงปู่ชา หลวงปู่ชาก็ต้องให้อยู่ข้างนอกเหมือนกัน

หลวงปู่ชาเป็นพระที่รู้แจ้งในธรรมวินัย จะเห็น เคารพธรรมวินัย

“เคารพพระธรรมวินัยคือเคารพพระพุทธเจ้า คนที่ไม่เคารพพระธรรมวินัยคือไม่เคารพพระพุทธเจ้า”

หลวงตาบอกว่าเหยียบหัวพระพุทธเจ้าไป

“ธรรมวินัยจะเป็นศาสดาของเธอ”

แล้วธรรมวินัยจะเป็นศาสดาของเรา แล้วไม่เคารพธรรมวินัย เราจะเคารพศาสดาได้อย่างไร? ถ้าเคารพธรรมวินัย คนที่ทำดี ทำตามกติกา กติกาของสังคม แต่เราเห็นทำตามกติกาแล้วเราไม่พอใจ โน่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ดี จะทำแต่ตามความพอใจของตัว อะไรก็มามั่วกันไปหมดเลย มั่วสุมกันอย่างนั้นไม่ได้ มั่วสุมไม่ใช่ธรรม

มั่วสุมเป็นแก๊งโจรเป็นมหาโจร เป็นมหาโจร หลอก โจรมันเอาไปปล้นนะ ทีนี้หลอกลวงเขาเอาเขามาถึงที่เลย เป็นมหาโจร เอาเขามาถึงที่เลย มันเป็นมหาโจร สิ่งที่เป็นมหาโจรคือไม่เป็นประโยชน์กับศาสนาใช่ไหม ถ้าไม่เป็นประโยชน์กับศาสนา ทำกันอย่างนั้นแล้วมันไปตื่นเต้นกับข้างนอกเพราะอะไร? เพราะมันไม่เชื่อธรรมวินัย ถ้ามันเชื่อธรรมวินัย มันเห็นประโยชน์กับธรรมวินัย จะทำอย่างนั้นไม่ได้หรอก จะทำอย่างที่เขาทำกันอย่างนี้ไม่ได้ เพราะอะไร? เพราะเคารพพระพุทธเจ้า นี่ ถ้าทำอย่างนี้ปั๊บ ไปกราบฤๅษีชีไพรขาดจากสามเณรเลย ขาดจากไตรสรณคมน์

พระเราเวลาเข้าเจ้าเข้าทรงขาดจากพระ ขาดจากพระเลย เพราะถือมงคลตื่นข่าว ไปถือนอกพระรัตนตรัย นอกพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แต่มันขาด มันขาดจากภายใน มันขาดจากหัวใจ แล้วใครจะไปปรับโทษล่ะ เพราะการปรับโทษอย่างนี้มันเป็นเรื่องของหัวหน้าวัดนั้น พวกเจ้าอาวาส เจ้าอาวาสวัดไหนก็แล้วแต่ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาส วัดนั้นเป็นบริษัท บริษัทเหมือนกับบริษัทของเรา บริษัทของเรา เราบริหารจัดการบริษัทของเรา เรามีอำนาจในการบริหารจัดการ เราเป็นผู้จัดการในบริษัทนั้น

เจ้าอาวาสก็เหมือนกัน เจ้าอาวาสในอาวาสนั้น ในอาวาสนั้นภิกษุทำผิดทำถูก เจ้าอาวาสนั้นต้องจัดการ ทีนี้พอตั้งเจ้าอาวาสก็ตั้งขึ้นมา ตั้งเจ้าคณะตำบล เจ้าคณะอำเภอขึ้นมา สิทธินะ ภิกษุไม่ควรไปในที่อโคจร ไปในที่อโคจรเป็นอาบัติ

แล้วเวลาพระไปเดินห้างสรรพสินค้ากัน อะไรกัน ก็ไปออกกฎหมายอีกนะ ออกกฎหมายว่าห้ามพระไปเดินสรรพสินค้า ธรรมวินัยมันสองพันกว่าปีแล้ว แต่เพราะว่า เพราะผู้รักษาธรรมวินัยไม่ใช่กฎหมายเอง มีกฎหมายบังคับไว้แล้วแต่ไม่ศึกษาธรรมวินัย ไม่เคารพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เหยียบหัวองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไป แล้วก็ไปออกกฎหมายอันใหม่ ห้ามโน่นห้ามนี่ขึ้นมาให้เป็น พรบ.สงฆ์

พรบ.สงฆ์นี่นะ พูดถึงมันเป็นมติของมหาเถรสมาคม มหาเถรสมาคมเป็นที่ออกมาเป็นกฤษฎีกาเป็นกฎหมาย เป็นกฎหมายบังคับสงฆ์ในประเทศไทย มันก็ยอมรับ พูดถึงก็ยอมรับ ไม่ใช่ว่าไม่ยอมรับกฤษฎีกา ไม่ยอมรับกฎหมายของเมืองไทย สงฆ์ในเมืองไทยต้องยอมรับกฎหมายของเมืองไทย

แต่พูดถึงมันสลดสังเวชที่สิ่งนี้มันมีอยู่ มันมีอยู่แล้ว ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีอยู่ทุกอย่าง มีอยู่พร้อมสมบูรณ์แบบหมดเลย แต่ละเลยไม่ทำเท่านั้นเอง แล้วไปออกกฎหมายซ้อนๆ ๆ มา แล้วออกกฎหมายซ้อนมา แล้วทำอีกไหม ออกกฎหมายซ้อนมาก็ไม่ได้ทำอีกล่ะ ออกมาเอาผลงานกัน เราเป็นคนออกผลงานมา แล้วก็ไปขอความดีความชอบกัน มันทำแบบโลกๆ บริหารแบบโลก

ถ้าบริหารแบบธรรมนะ ดูสิ หลวงปู่มั่นท่านป่วยเป็นวัณโรค อายุ 80 เทศนาว่าการมหาศาลเลย ถึงเวลานั้นฉันข้าวไม่ได้ หลวงตามหาบัวท่านเป็นพระอุปัฏฐาก ถึงเวลาก่อนในเพลท่านเอามะพร้าวมาผ่า ให้เณรผ่านะ แล้วเอาน้ำมะพร้าวไปให้หลวงปู่มั่นได้ดื่ม เพราะว่าผู้ป่วยผู้เฒ่า ฉันอาหารไม่ได้ ร่างกายมันก็อ่อนแอ

เอาน้ำมะพร้าวไปให้ท่านดื่มในเพล มันไม่ผิดวินัยหรอก แต่ไปให้ท่าน ท่านบอกว่า

“ฉันไม่ได้”

“ฉันไม่ได้เพราะอะไร?”

“ตาดำๆ มันมองอยู่”

ตาดำๆ คือพระลูกศิษย์ลูกหาที่ไปอยู่กับท่านมองอยู่ ถ้าฉันแล้วมันขาดความเคารพความศรัทธา ความเชื่อถือ ถ้าเรามีความศรัทธามีความเชื่อถือ คำสั่งสอนนั้นเราจะลงใจ ท่านสละความสะดวกสบายของท่าน ท่านสละทุกอย่างเพื่อการบริหารจัดการในวัดนั้น คนที่มีคุณธรรม ชีวิตที่เป็นแบบอย่างนะ

ชีวิตที่เป็นแบบอย่างของพระที่เป็นแบบอย่าง แล้วพระที่ไปอาศัยอยู่ด้วยก็ยอมรับ ยอมรับศรัทธา เข้าไปเพื่อที่จะไปศึกษาธรรมวินัยกับท่าน แต่พระที่คดในข้องอในกระดูกก็ไปอยู่กับท่าน เพื่อหวังเอาชื่อเสียงว่าเป็นลูกศิษย์ลูกหาของท่าน เอามาขายกิน คนมันก็มีต่างๆ กันไปในความคิดของโลก ในความคิดของกิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจ

สิ่งนี้มันมีอยู่นะ แล้วมีอยู่ เวลาออกมาแล้วถ้าเคารพบูชากันนะ ถ้าเคารพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันอยู่ที่เป้าหมาย เราบวชกันเราบวชเพื่ออะไร? บวชเพราะเราหนีทุกข์มาใช่ไหม บวชเพราะเราหนีหนี้มาเหรอ ไม่ใช่ทั้งนั้นล่ะ เราบวชมา บวชมาเพื่อชำระกิเลส ถ้าเราบวชมาเพื่อชำระกิเลสนะ คนที่จะชนะกิเลสควรเป็นคนที่จริงจัง คนที่มีศักยภาพ จริงจัง

ถ้าประกอบอาชีพทางโลกก็จะประสบความสำเร็จ ถ้ามาภาวนามันก็ควบคุมตัวเองได้ แต่ถ้าเป็นคนโลเลนะ อยู่ทางโลก เราก็ประกอบอาชีพทางโลกเราก็ไม่ทันหมู่ทันคณะ มาบวชแล้วก็เป็นภาระแก่สังคม สิ่งที่เป็นภาระแก่สังคมมันฟ้องถึงศักยภาพของมนุษย์ไง ศักยภาพของมนุษย์มีเท่านี้

เวลาเราบวชมาแล้ว ก็เห็นแก่ตัว ก็ทำอะไรเพื่อประโยชน์ตัว ไม่เห็นธรรมวินัย ไม่เห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นใหญ่ ถ้าเห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นใหญ่ มันทำอย่างนั้นกันไม่ได้หรอก เพราะทำอย่างนั้นทำแล้วมันทุศีล ภิกษุทุศีล จะทำอะไรที่มันจะเป็นประโยชน์กับตัวเองล่ะ?

ภิกษุทุศีลจะไม่มีอะไรเป็นประโยชน์กับตัวเองเลย ภิกษุถ้ามีศีล สมาธิ ปัญญาขึ้นมา มันมีโอกาสนะ ถ้ามีโอกาสจะกราบนะ จะกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยหัวใจ จะลงหมด ครูบาอาจารย์เราท่านฝึกฝนกันมาอย่างนี้ ถ้าฝึกฝนกันอย่างนี้ ความผิดในที่ลับ ในที่แจ้ง ในที่ลับก็ไม่มี ในที่แจ้งก็ไม่มี

อย่างเช่นปัจจุบันนี้ ธุดงค์กัน ธุดงค์เล่นๆ นะ ธุดงค์เดินไปตามถนนหนทาง น่าอาย เราไม่เคยทำเลยนะ ถ้าเราธุดงค์ปั๊บเราจะเข้าป่า ถ้าพูดถึงถนนขึ้นรถดีกว่า ไปหลอกลวงเขาทำไม? ธุดงค์เพื่ออะไร? ธุดงค์เพื่อให้ฉันรู้ฉันเป็นพระธุดงค์เหรอ? มันไม่ใช่ ธุดงควัตร ธุดงค์เพื่อขัดเกลากิเลสนะ เวลาเข้าป่าเข้าเขาไป ปีนเขา เขาลูกต่อลูกนะ ลงเขาลูกนี้ขึ้นเขาลูกใหม่นะ ไม่ใช่ลงเขาแล้วมันจะเป็นพื้นราบนะ แล้วขึ้นไปทำไม? ตะเกียกตะกายทำไม?

ตังเม ตังเมในใจ มันดึงออกมาแล้วเอาตะไกรตัด เราจะดึงกิเลสเราออกมาไง เวลาธุดงค์ไปได้แต่เหงื่อมาทั้งนั้นล่ะ ได้เหงื่อมาได้ความอ่อนเพลียมา พอได้ความอ่อนเพลียมา ได้แต่ความวิตกกังวลมา พรุ่งนี้เช้าจะกินข้าวกับอะไร? เดินไปในป่าในเขาจะเจออะไร? ไม่เจออะไรเลยนะ มันพิสูจน์ตัวเอง

ถ้ามันพิสูจน์ตัวเองมันมีความเข้มแข็งขึ้นมา ความเข้มแข็งขึ้นมา ทุกข์เป็นอย่างนี้ มีพระไปหามากนะ “ผมอยากเห็นทุกข์ครับ” แบกก้อนหินวิ่งขึ้นเขาลงเขา อยากเห็นทุกข์ โง่มาก ถ้าอยากเห็นทุกข์นะ แบกหินแล้วมันทุกข์นะ ไอ้กรรมกรแบกหามที่ท่าเรือคลองเตยมันเป็นพระอรหันต์หมดล่ะ ทุกคนอยากเห็นทุกข์แล้วก็พยายาม ทุกข์ยาก ก็มึงหนีทุกข์มา มึงทำงานทุกข์ยากมา แล้วมึงก็จะเข้ามาในศาสนา เห็นทุกข์ก็ที่ว่า เห็นทุกข์มันต้องเห็นอริยสัจ ทุกข์อยู่ที่ไหน?

สิ่งที่เจ็บปวดแสบร้อนคืออาการของทุกข์หมด ทุกข์นั้นคือตัณหาความทะยานอยากมันขี้ถ่ายรดในหัวใจแล้วมันก็ไปแล้ว เราก็ไม่เห็นมัน ไม่มีใครเคยเห็นทุกข์ ถ้าใครเห็นทุกข์มันสละหมดล่ะ

เวลาหลวงปู่ฝั้นท่านเทศน์นะ เวลาพูดธรรมะกัน โห นิพพานทั้งนั้นล่ะ หัวมันยังโกนไม่ได้เลย ผมบนหัวมันยังสละไม่ได้เลยแล้วมันจะเอามรรค ผล นิพพาน คุยธรรมะกันปากเปียกปากแฉะ โม้กันน้ำลายแตกฟองเลย แต่มันสละอะไรได้บ้าง? มันสละสถานะของคฤหัสถ์อะไรได้บ้าง? มันสละอะไรไม่ได้สักอย่างหนึ่ง โม้กันอยู่แต่ปากนั่นแหละ เอาธรรมะมาอ้างอิงกัน มันทำไม่ได้จริง

ถ้าทำได้จริงนะ ถ้าเห็นทุกข์ ดูสิ คนเรา ถ้าเราเห็นทุกข์เราอยากออกจากทุกข์ไหม? ถ้าเห็นทุกข์เราอยากออกจากทุกข์ไหม? เราอยากจะเกิดอีกไหม? ถ้าเราไม่อยากจะเกิด เราพร้อมไหม? ภิกษุนี่นักรบ รบกับทิฐิมานะ รบกับเจ้าของ รบกับตัวเอง รบกับความเห็นผิดนี่

ถ้ารบกับความเห็นผิด เราจะรบ นักรบมันจะไปหลบอะไร? นักรบมันก็ต้องออกธุดงควัตร ทุกนักรบมันจะขัดเกลา มันจะต่อสู้กับตัวเอง ต่อสู้กับตัวเองเพื่อเอาชนะตัวเองให้ได้ ถ้าชนะตัวเองได้มันจะไม่ให้มันเกิดอีก ถ้ามันเกิด อะไรมันมาเกิด? สิ่งใดมันพาให้มาเกิด ถ้าพาเกิดมันก็เวียนตายเวียนเกิดมันก็ทุกข์อยู่อย่างนี้ แล้วก็บอกว่าเห็นทุกข์ รู้ทุกข์

รู้ทุกข์แล้วบวชมาทำไม? บวชมาแล้วไม่ขัดเกลามัน ไปทำสภาวะแบบนั้น สังคมหมู่หนึ่ง หลวงตาท่านพูดบ่อย เป็นวงกรรมฐาน วงของเรา เราจะรักษาดูแลกัน แล้วจะถึงกัน วงกรรมฐานเข้มแข็งมากเพราะว่าวงกรรมฐานจะรู้จักกันไปหมดเลย

แล้ววงในครอบครัว “ครอบครัวกรรมฐาน” พระองค์ใดปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมันจะรู้กันหมดล่ะ พระองค์ใดไม่เข้มแข็งพระองค์ใดเป็นภาระ เราก็รู้ๆ กันอยู่ แต่รู้กันอยู่มันก็รักษาก็สมานกันไว้ไง สมานกันไว้ให้เป็นที่พึ่ง ถ้าพระยังเป็นที่พึ่งไม่ได้ พระยังไม่มีหลักมีเกณฑ์ สังคมจะพึ่งใคร?

พระคืออะไร? พระคือผู้ประเสริฐ อะไรประเสริฐ? ถ้าพระประเสริฐนะ ก็สร้างพระพุทธรูปไว้ก็ประเสริฐ พระพุทธรูปประเสริฐไหม? พระพุทธรูปเป็นสมมุติ สมมุติเป็นองค์แทนพระพุทธเจ้า

สมมุติเป็นองค์แทนพระพุทธเจ้า สมัยพุทธกาลไม่มีพระพุทธรูป เพราะเคารพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาก เวลาจะกราบกันจะมีแต่แท่น แท่นเฉยๆ ไม่มีพระพุทธรูปหรอก ทีนี้พระพุทธรูปเกิดขึ้นมาจากอเล็กซานเดอร์ อเล็กซานเดอร์ตีเข้าไปในอินเดีย

ประเทศอินเดีย อเล็กซานเดอร์ตีเข้าไปในอินเดีย แล้วตั้งแม่ทัพเป็นพระเจ้ามิลินท์ พระเจ้ามิลินท์ชื่อในวิทยาศาสตร์ เป็นทหารเอกของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มาจากกรีกไง เวลาทางวิทยาศาสตร์ เวลาห่มผ้า พระห่มผ้ามาจากกรีก มาจากกรีก ไม่ใช่ เพราะอเล็กซานเดอร์มาหลังพระพุทธเจ้ามาก

พระพุทธเจ้า ในคันนาให้พระอานนท์ออกแบบจีวร ออกแบบจีวรที่ธงชัยพระอรหันต์ สมัยโบราณมันจะชนชาติใดก็แล้วแต่มันใช้ผ้าผืนหมด ใช้ผ้าผืนพันกายเพราะสมัยนั้นยังไม่มี ดูสิสมัยโบราณเรายังใช้ผ้าม่วงเลย ไม่มีผ้าหรอก ไอ้เสื้อผ้าที่เป็นแฟชั่นมันเพิ่งออกมาไม่กี่ปีนี้เอง แต่เดิมทุกชนชาติใช้ผ้าผืนห่มร่างกายทั้งนั้นแหละ

แล้วจะบอกว่า ใครเลียนแบบใคร แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้วางธรรมและวินัยไว้ ให้ออกแบบให้ประหยัด เพราะอะไร? เพราะว่า เวลาพระเราทำชั่วมาก ทำชั่วนะ เจ้าหน้าที่ทำความผิดโทษสองชั้นสามชั้น เราปล้น เราโกงเขามาตัดสิน ๒๐-๓๐ ปีนะ แต่ถ้าเป็นตำรวจปล้น เจ้าหน้าที่ทำความผิดโทษสองชั้น

ภิกษุถ้าทำความชั่วตกนรกอเวจี จีวรไม่ตกนรกอเวจีไปด้วย ไปแต่ตัวเปล่าๆ แล้ว เหล็กเท่าลำตาล ต้นตาลเหล็กเท่าลำตาลแล้วจีวรไปพาดอยู่บนลำตาล จนเหล็กลำตาลนี้อ่อนเลย ภิกษุที่ทำความชั่วตกนรกมหาศาลเลย แล้วทำกันอยู่อย่างนั้น แล้วมันก็คึกเข้ามาหาผลประโยชน์ในศาสนาไง

สิ่งที่เป็นไป มันสะเทือนใจไหม? มันก็สะเทือนใจ หยิกเล็บก็เจ็บเนื้อ ก็พระก็คือพระนั่นแหละ พระด้วยกัน หัวโล้นๆ เหมือนกัน หัวโล้นๆ ห่มผ้าเหลือง ก็ห่มผ้าเหลืองด้วยกัน แต่ความรับผิดชอบ วุฒิภาวะที่เขารับผิดชอบมันมากหรือน้อยขนาดไหนเท่านั้นเอง

ถ้ามันมากนะ วัตถุไม่มีคุณค่าเลย

“หลวงตาคนจนผู้ยิ่งใหญ่ มีบริขาร ๘ เท่านั้น หาเงินไว้กับโลกนี้เป็นหมื่นๆ ล้าน”

แต่เดิมแต่ก่อนหน้านั้นท่านไม่ออกมายุ่งกับเรื่องโลกเลย ท่านยุ่งแต่กับเรื่องสร้างพระก่อน สร้างพระก่อน ถ้าหัวหน้าออกมายุ่งกับสิ่งที่เป็นวัตถุ ลูกน้องมันจะยุ่งมากกว่านั้นอีก ลูกน้องหมายถึงลูกศิษย์ลูกหาที่ไม่มีหลักมีเกณฑ์ หัวหน้าไปทางไหน มันอ้างหมด ทำไมพระครูบาอาจารย์ทำได้

เช่นหลวงปู่ตื้อ พระอ้างมากเลย หลวงปู่ตื้อทำไมทำอย่างนั้นได้ หลวงปู่ตื้อทำไมทำอย่างนี้ได้ แต่หลวงปู่ตื้อนั่งภาวนา ๗ วัน ๗ คืนมันไม่พูดถึงนะ เวลาท่านทำคุณงามความดีมันไม่เคยพูดถึงเลย แต่เวลาท่านทำตามนิสัยจริตของท่าน ท่านเป็นพระอรหันต์เว้ย หลวงปู่ตื้อท่านเป็นพระอรหันต์นะ

เวลาท่านเป็นพระอรหันต์ เวลาท่านเทศนาว่าการ ครูบาอาจารย์ท่านบอกเลย หลวงปู่ตื้อเทศน์ธรรมล้วนๆ เลย ธรรมที่เหนือโลก ธรรมที่โลกฟังไม่ได้ โลกนี้มันติดอะไรกัน? มันก็ติดระหว่างเพศนี่แหละ แล้วเวลาท่านเทศน์เข้าไป อุ๊ย พูดหยาบพูดคาย แล้วเวลามึงทำหยาบคายมึงคิดหรือเปล่า? สิ่งที่โลกเป็นอยู่ โลกก็ทำกันอยู่อย่างนี้ทุกวัน

แล้วเวลาท่านพูดถึงให้เราเห็น รับไม่ได้ กระมิดกระเมี้ยนกันนะแอบทำ แต่อยากจะฟังธรรมะ แล้วเวลาท่านรู้จริงท่านทำจริง ท่านก็พูดของท่านได้ คนรู้จริงคนเห็นจริงมันจะสลดสังเวช ถ้าสังเวชมันจะไม่ทำอย่างนั้น เห็นแล้วเราก็สังเวช ของแค่นี้พระยังรู้ไม่ได้ ของที่ว่าอะไรควรไม่ควรมันยังไม่เข้าใจเลย

แต่เวลาเราพูดกระโชกโฮกฮาก นี่ว่าแต่เขาตัวเองกลายเป็นเจ้าพ่ออยู่นะ ไม่ใช่หรอก นี่เจ้าพ่อจะฆ่ากิเลส ไม่ใช่เจ้าพ่อไปทำลายใคร เจ้าพ่อจะเอาตัวไว้ให้ได้ไง สังเวชมันก็สังเวช มันเหมือนกับ ถ้าพูดภาษาโลกนะ ไม่ใช่ธุระของกูเว้ย ประเทศนี้ไม่ใช่ของกูคนเดียว สังคมก็ไม่ใช่ของเราคนเดียว

นี้พูดอย่างนี้พูดแบบไม่รับผิดชอบ เวลามันเบื่อหน่ายเพราะมันทำอะไรไม่ได้ มันทำอะไรไม่ได้เพราะว่า กรรมของใคร กรรมของสัตว์เพราะว่าสิ่งนี้มันมีต้นเหตุมานะ ถ้าไม่อยู่ในวงการพระไม่รู้หรอก พระกับพระมันจะรู้กัน มันมีผู้ปกป้อง มีผู้ดูแล มีผู้ทำของเขา เวลาตัดสินขึ้นไป ดูสิ เวลาตัดสินขึ้นมา ผิด-ถูกอย่างนี้

พอตัดสินว่าผิด อ้าว ผิดแล้วก็ต้องรอ ต้องฟ้องศาล ศาลทางโลกเขาตัดสินก่อนแล้วพระค่อยมาว่ากัน แต่ถ้าเป็นธรรมวินัยนะ มันเป็นข้อเท็จจริงตั้งแต่เวลาเอ็งทำ เอ็งทำผิดมันก็ผิดตั้งแต่ตอนนั้น ไม่ต้องรอศาลตัดสินหรอก มันเป็นตั้งแต่ตอนที่เอ็งทำ ความลับไม่มีในโลกหรอก เอ็งนั่นแหละรู้ คนทำรู้ ใครทำชั่ว ใครเป็นคนโกง ใครเป็นคนกล่าวตู่ ใครเป็นคนเอาสตางค์เขา มันรู้ทั้งนั้นล่ะ หน้าไหว้หลังหลอก

แต่ถ้า เราประพฤติปฏิบัติกันมา เราอยู่วัดนะ บวชมา ๓๐ ปีนี้ไม่เคยไปไหนเลย ไม่เคยไปไหนเลยนะ ไม่เคยยุ่งกับใคร อยู่แต่วัด ลูกศิษย์จะรู้ดี ไม่เคยไปไหนเลย แต่ที่มาที่นี่ครั้งที่แล้ว นี่เป็นครั้งที่ ๒ แล้วพอไป มีฎีกาที่วัดเป็นตั้งๆ เลย ให้ไปเทศน์ที่โน่นเทศน์ที่นี่ ไม่ยอมไป เพราะคิดว่ายังไม่ถึงเวลา แต่ต่อไปนี่จะออก จะไปพูด วันที่ ๒๖ นี้จะไปวัดอโศการาม เพราะอะไร? เวลาไม่ได้เทศน์ที่นี่ ที่วัดเทศน์ทุกวัน เทศน์อยู่แล้ว พูดถึงเพื่ออะไรล่ะ? มันพูดได้ทำได้ แล้วถ้ามันมีปัญหากันมันจะมีปัญหากัน อันนี้พูดถึงพระทั่วไป

ตอบปัญหาเลยล่ะ

เขาไม่เคยเห็นนี่ เขาไม่เคยเห็นครูบาอาจารย์เราทำ ไม่เคยเห็นพระพุทธเจ้า แล้วเวลาใครทำจริงทำจังก็ไม่เชื่อ พระโสณะเดินจงกรม พระโสณะเป็นลูกคนมีฐานะมาก เป็นลูกผู้ดีมาก ตีนบางมาก แล้วขนาดที่ว่ามันมีขนขึ้นด้วย ขนาดที่ว่าพระเจ้าปเสนทิโกศลหรือใครอยากดู ขอดูเลยล่ะ แล้วเวลาเดินจงกรมนี่นะ เท้าบางเวลาเดินจงกรม เท้าแตก เท้าแตกแล้วเลือดสาดเลยล่ะ ฟังคำนี้สิ นี่พระพุทธเจ้าพูดนะ

“ที่นี่เป็นที่เชือดโคของใคร เลือดเต็มไปหมด ที่นี่เป็นที่เชือดโคของใคร”

เพราะเลือดมันแดงหมดเลย

“ไม่ใช่ ที่นี่เป็นที่เดินจงกรมของพระโสณะ”

มีความเพียรเป็นเลิศ ฉะนั้นพระพุทธเจ้าถึงอนุญาตให้ใส่รองเท้า พระโสณะเป็นคนที่มีจิตใจเป็นคุณธรรม

“ถ้าอนุญาตให้เกล้ากระผมใส่รองเท้า เกล้ากระผมไม่ยอม ถ้าให้เกล้ากระผมเป็นผู้ได้รับอนุญาตให้ใส่รองเท้าพระทั้งหมดก็จะหาว่าเกล้ากระผมเป็นคนอ่อนแอ ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะอนุญาตให้พระภิกษุใส่รองเท้า ต้องอนุญาตทั้งหมด”

ก็เลยเป็นการอนุญาตให้ใส่รองเท้ามา พอใส่รองเท้ามาฉัพพัคคีย์ ก็เล่น รองเท้ามีปิดส้นมีอะไร ก็ห้ามมาตลอด เวลาดูพระกรรมฐานสิ เวลาใส่รองเท้า ใส่แบบรองเท้าสายที่มีคีบคู่นั่นแหละ ปิดส้นอะไรไม่ได้หมด เพราะอะไร? เพราะพระพุทธเจ้าบังคับไว้ ห้ามไว้ ห้ามหมดเลยนะ

ฉัพพัคคีย์ ภิกษุทั้ง ๖ ฉัพพัคคีย์ทั้ง ๖ คน เกมาก ทำอะไรมาจะมีปัญหาตลอดมา ถ้าคนที่มีความละอาย คนที่ประพฤติปฏิบัติจะมีความละอาย มีหิริโอตตัปปะ ถ้าเรามีเป็นผู้ที่มีความละอาย หัวใจเรามันจะไม่ดื้อด้าน ที่ภาวนากันอยู่นี่ไม่ได้ เพราะใจมันด้าน ฟังเทศน์ทุกวัน ฟังจนชินหู พูดจนชินปาก หัวใจมันด้าน ถ้าหัวใจไม่ด้าน มันมีหิริ มันมีโอตตัปปะ มันไม่ทำความชั่ว ทำความชั่วไม่ได้ ถ้าทำความชั่ว นั่นล่ะ กรรม

ถาม : ให้หลวงพ่อพูดถึงมนุษย์เกิดมาเพื่ออะไร? และดำเนินชีวิตอย่างไร?

หลวงพ่อ : อันนี้เป็นปัญหาหนึ่ง เขาถามมานานแล้ว เก็บไว้เอง ยังไม่อยากพูด เพราะมันสะเทือนใจนะ

ถาม : ในเมื่อคนเราเกิดมาแล้วต้องตาย แล้วคนเราเกิดมาทำไม?

หลวงพ่อ :ในเมื่อคนเราเกิดมาแล้วต้องตาย แล้วคนเกิดมาทำไม? นี่คำถามนะ อ้าว ก็เอ็งอย่าเกิดสิ เอ็งอย่าเกิดเอ็งก็ไม่ต้องเกิด นี่พูดแบบกำปั้นทุบดินนะ แต่ความจริงแล้วไม่ได้ ความจริงไม่ได้เพราะอะไร? ความจริงไม่ได้เพราะจิตเราบังคับมันไม่ได้ เราบังคับความรู้สึกเราเองไม่ได้ ในเมื่อเราเกิดมาแล้วต้องตาย ใช่ เราเกิดมาต้องตายเพราะอะไร? เพราะเรารู้ เราศึกษามาว่าเราเกิดมาต้องตาย แล้วเกิดมาแล้วก็ไม่อยากตาย

ถ้าเกิดมาแล้วต้องตายแล้วเกิดมาทำไม? ไอ้เกิดมาทำไม? พระอรหันต์ไม่เกิดเว้ย ถ้าที่ไหนมีการเกิดที่นั่นมีความทุกข์ ชาติปิ ทุกขา ทุกคนเวลาเกิดขึ้นมา ดีใจ เวลาตายไม่ยอม ตายนี่มีความทุกข์มีความเสียใจมาก

นกเวลามันลงเกาะคอน เวลาลงเกาะนี่นิ่มนวลมากเลย เวลามันจะบินไปมันกระพือทีคอนนี้สั่นไหวเลย เวลาเกิดขึ้นมา โอ๋ย ลูกชายเกิดครบ ๑ เดือน ฉลอง ลูกใคร โอ๊ย มีความสุขมาก เวลาจะตายนี้ โอ้โฮ สะเทือนไปทั้งบ้านทั้งเรือน นี่แล้วเกิดมาทำไม? มันต้องเกิดเพราะมันมีอวิชชา คนเราถ้าบังคับไม่ให้เกิดไม่ให้ตายได้ หรือไม่รับรู้ได้นะ ศาสนานี่ไม่มีคุณค่าเลย ศาสนาพุทธมีคุณค่าเพราะตรงนี้ไง

บุพเพนิวาสานุสติญาณ คนที่เกิดเกิดมาจากไหน? พระพุทธเจ้าเกิดมาจากไหน? เจ้าชายสิทธัตถะเกิดมาจากไหน? ชาติก่อนที่จะเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ เกิดเป็นพระเวสสันดร แล้วพระเวสสันดรเกิดมาจากไหน? มันต่อๆ ๆ ต่อไป คนมันเกิดมาจากไหน? แล้วมันไม่เกิดได้ไหม? มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เราจะปฏิเสธพายุฝนไม่ได้ เราจะปฏิเสธฤดูกาลไม่ได้

ฤดูกาลมันแปรสภาพไปตามธรรมชาติ ฤดูกาลมันไม่มีชีวิต แต่จิตของคนมันมีชีวิต ธาตุที่มีชีวิต สสารที่มีชีวิตมันไม่มี ธาตุรู้ ธาตุรู้เป็นสสารที่มีชีวิต สสารที่มีชีวิตไม่มีสิ่งใดไปทำลายมันได้ ไม่มีสิ่งใดทำลายสสารที่มีชีวิตนี้ได้อยู่เลย สสารที่มีชีวิตไม่มีใครทำลายมันได้ เว้นไว้แต่ อรหัตมรรค

เพราะอรหัตมรรค “จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส” จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส เพราะพระอนาคา จะเข้าไปเห็นจิตเดิมแท้ของตัวเอง แล้วจิตเดิมแท้มันเป็นตัวปฏิสนธิจิต ปฏิสนธิจิต มันไม่มีการเสื่อมสลาย อย่างที่ว่านะ “จิตไม่เคยตายๆ ” ใครเป็นคนพูด จิตไม่เคยตายแล้วใครพิสูจน์ได้ว่าจิตใครไม่เคยตาย จิตนี้ไม่เคยตายแล้วมันเวียนตายเวียนเกิดสภาวะแบบนั้น

แล้วเวียนตายเวียนเกิด พอมันถึงเวลาที่จะมาเกิด การเกิดเป็นมนุษย์ ถ้าพูดถึงคนที่มีสติสัมปชัญญะ การเกิดเป็นมนุษย์นี่เป็นอริยทรัพย์ คำขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเปรียบไว้อย่างนี้

“มีเต่าตาบอดมันอยู่ในทะเล แล้วมันมีห่วงอยู่ห่วงหนึ่งอยู่กลางทะเล ถ้ามันโผล่ขึ้นมาในห่วงนั้น นั่นคือบุญที่ได้เกิดเป็นมนุษย์”

การเกิดเป็นมนุษย์นี้แสนยาก เพราะอะไรรู้ไหม? ดูสิ ดูสิ่งมีชีวิตสิ ดูสัตว์เดรัจฉาน ดูอย่างพวกปลวกแมลงสิ ดูแมลงในอากาศสิ ดูแพลงตอน สิ่งที่อยู่ในน้ำสิ สัตว์ที่มันกินน้ำ นี่สิ่งมีชีวิตทั้งนั้นล่ะ จิตหนึ่ง จิตหนึ่งต้องเป็นการเกิดตลอด จิตหนึ่ง เกิดชีวิตหนึ่งคือจิตหนึ่ง จิตหนึ่งตลอดเวลา จิตนี้แตกแขนงไปไม่ได้ จิตหนึ่ง จิตหนึ่งต้องเวียนตายเวียนเกิดในสภาวะแบบนั้น

แล้วจิตที่ยังมาเกิด เกิดมหาศาล แล้วเกิดเป็นแพลงตอน เกิดเป็นอะไรต่างๆ เกิดเป็นเหยื่อของสัตว์เป็นเหยื่อกันเอง ปลาเล็กกินปลาใหญ่ ไม่ใช่ ปลาใหญ่กินปลาเล็ก (หัวเราะ) พูดเร็วไป

ปลาใหญ่กินปลาเล็ก เห็นไหม ไปเกิดเป็นอาหารด้วยกันเอง ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ก็กินกันตลอดไป แล้วก็เกิดอยู่อย่างนั้นแหละ แล้วหนีไปไหนพ้น ปลาใหญ่กินปลาเล็ก แล้วปลาเล็กก็ไปเกิดเป็นปลาใหญ่ ปลาใหญ่กินปลาเล็กแล้วก็ผลัดกันกินผลัดกันมาอยู่อย่างนั้นแหละ ผลัดกันมาตลอดนะ

เขาบอกว่า แล้วเกิดมาทำไม? เกิดมาทำไมนี่ไม่มีสิ่งใดไปยับยั้งการเกิดได้ ทีนี้ถ้ายับยั้งการเกิดได้มันก็ต้องเกิดดี ในศาสนานี้ เกิดแล้วถ้าทำบุญกุศลแล้วจะไปเกิดดี เกิดเป็นมนุษย์นี้เพราะอะไร? เพราะเกิดเป็นมนุษย์นี่เป็น..

เกิดในนรกนะ เหมือนคนติดคุก คนติดคุกจะมีความสุขไหม? เกิดบนสวรรค์ก็เหมือนมีงานจัดเลี้ยงฉลองที่โรงแรม เท่านี้เอง เราเปรียบนรกเหมือนคนติดคุกเลย แล้วคนพ้นจากคุกมาก็เป็นเรา นี่ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นมนุษย์เป็นผู้อิสระไง ถ้าเราไม่ติดคุกเราจะทำอะไรก็ได้ ถ้าติดคุกทำไม่ได้นะ ผู้คุมมันคุมอยู่ ถึงเวลามาเข้าโรงนอน ถึงเวลามันบังคับหมดล่ะ

จะกินจะนอน ต้องอยู่ในอำนาจเขาหมดเลย นั่นคือตกนรกอเวจี จิตมันต้องหมุนอย่างนั้นนะ ถ้าเกิดบนสวรรค์นะ ดูสิ ดูเขาจัดงานกันอยู่ที่โรงแรม เขาจัดสัมมนากันตลอด โรงแรมเขามีความสุขมีความเพลิดเพลิน มีความสนุก มีธุรกิจบริการ ก็เท่านั้นล่ะ ทุกข์ทั้งนั้น

สวรรค์ก็ทุกข์ นรกก็ทุกข์แล้วมันก็วนไปอย่างนั้น เพราะสวรรค์มันก็เพลินไปในสวรรค์ นรกก็ทุกข์ไปในนรก ก็โดนเขาควบคุมตลอดเวลา เกิดเป็นมนุษย์นี้มีอิสรภาพ ๑๐๐ ปี จะทำอะไรก็ได้ จะทำดีก็ได้ ทำชั่วก็ได้ จะทำดีก็ได้ จะไม่ทำก็ได้ แล้วมีสติสัมปชัญญะไหม? แล้วจะสร้างคุณงามความดีไหม?

เกิดเป็นมนุษย์เป็นอริยทรัพย์ แต่เกิดมาก็ทุกข์ ทุกข์ไหม? ทุกข์ แต่ทุกข์มันมีโอกาสไงเหมือนคนเจ็บคนไข้คนป่วยมีโอกาสรักษา ใครเป็นคนเจ็บคนไข้คนป่วยเห็นเชื้อโรคก่อนรักษาจะหาย นี่ก็เหมือนกัน เกิดเป็นมนุษย์แล้วพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาบอกให้นั่งสมาธิภาวนาแล้วเอ็งจะไม่ต้องเกิดอีก

นี่ไง เกิดเป็นมนุษย์นี่ประเสริฐ ประเสริฐมาเพื่อจะให้เราได้แก้ไข จะให้เราได้รักษา นี่ที่ว่า เกิดเป็นมนุษย์ เกิดมา ในเมื่อคนเราเกิดมาต้องตายแล้วเกิดมาทำไม? ก็เกิดมาเพื่อชำระจะได้ไม่ต้องตายอีกไง ถ้ากิเลสตายแล้วไม่มีอะไรตายอีกเลย กิเลสตายจริงๆ นะ การเกิดและการตายหลอกกัน

การเกิดและการตายไม่มี การเกิดและการตายไม่มีกับจิตที่บริสุทธิ์ แต่จิตที่ยังไม่บริสุทธิ์มันต้องเวียนเกิดเวียนตายตามวาระ มันต้องเกิดต้องตายตามธรรมชาติ แล้วเกิดทุกข์เกิดยาก เกิดนรกอเวจีเกิดทุกข์ยากมากนะ

นรกอเวจี ไฟนรก เราทำชั่วมาก เราตกนรกแล้วไฟอเวจีมันจะเผาเราหมดเลย คิดดูสิ ไฟมันเป็นไฟกรด มันจะเผาเราหลอมละลายหมดเลย ละลายหมดเลย ตาย ยังไม่หมดกรรม ก็กลับขึ้นมาเป็นเราอีก แล้วไฟนรกอเวจีก็เผาเราหลอมละลายอีก เกิดตาย มันไม่ตาย มันโดนเผามันทุกข์มันร้อนอยู่อย่างนั้นแหละไฟนรกมันเผา มันเผาอยู่อย่างนั้นแต่มันไม่ตายจากนรกขึ้นมานะ คือว่ามันหมดสภาพ มันเผาจนมันหลอมละลายไป แล้วมันก็ขึ้นมาอีกเป็นเราอีกแล้วก็เผาเราหลอมละลายอยู่อย่างนั้น วาระที่มันยังไม่พ้นจากกรรม

แล้วมันตายไหม จิตมันตายไหม จิตมันยังมีเชื้ออยู่มันก็ขึ้นรูปมาอีกอยู่อย่างนั้น นี่ไฟนรกมันเผานะ ทำอยู่อย่างนั้นจนกว่ามันจะทุกข์ขนาดไหน แล้วก็พ้นขึ้นมาจากนรก นรกขุมชั้นอเวจีก็พ้นขึ้นมาก็ขึ้นมาเป็นเปรตเป็นผีเป็นอะไร ทุกข์มาก แล้วก็มาเกิดเป็นคน แล้วเกิดเป็นคนก็ว่าเกิดมาทำไม? ก็เกิดมาให้มึงหูตาสว่างไง เกิดมาให้พบพระพุทธศาสนา

อาชีพทางโลกนะ ทุกข์ ทุกคนบ่นหมดเลย เราประกอบการงานหน้าที่การงานนี่ทุกข์ หน้าที่การงานก็ทุกข์เพราะอะไร? เพราะเราเกิดมาแล้ว ทำให้เราลืมตัว ยิ่งเทคโนโลยีเจริญขึ้นมาลืมตัวหมดเลย เรามองโลกเรามองอย่างนั้นเลยนะ จริงๆ นะ เราไม่ได้มองแค่กรุงเทพฯ

พอเข้ามากรุงเทพฯ คอนโดมีเนียมเหมือนฟาร์มไก่ คอนโดมีเนียม ที่พักหอพักเหมือนฟาร์มไก่ ไอ้คนที่อยู่ในหอพักนี่ ไก่ทั้งนั้นเลย เช้าขึ้นมาก็ให้กินอาหาร จ๊อกๆ ๆ ๆ แล้วให้มันไข่ อยู่กันแบบฟาร์มไก่ (หัวเราะ) เราอยู่ป่าอยู่เขาของเรานะ ดูฟาร์มดูเขาเลี้ยงไก่กัน แล้วเรามาดูสิ ดูหอพักนี่ฟาร์มเลี้ยงไก่ ใครอยู่หอนี่ไก่ทั้งนั้น ถึงเวลาก็กิน ถึงเวลาก็นอน นอนแล้วก็ทำงาน นี่ลืมตัว

แต่ถ้ามันมีความคิดนะ มีความคิดชีวิตนี้มีคุณค่า ถ้าชีวิตมีคุณค่าเราจะศึกษาไหม หน้าที่การงานเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ทางคฤหัสถ์เป็นทางคับแคบ พระพุทธเจ้าบอกในพระไตรปิฎก ทางคฤหัสถ์เป็นทางคับแคบมาก คับแคบเพราะต้องเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง แล้วถึงเวลาตกเย็นขึ้นมาได้ภาวนาวันละกี่ชั่วโมง?

สมณะทางกว้างขวาง สมณะนะ ๒๔ ชั่วโมง อดอาหาร ๒๔ ชั่วโมง เราภาวนา ๒๔ ชั่วโมงตลอด ที่บอกว่าเดินจงกรม ๓ วัน พุทโธ ๓ วัน ไอ้นั่นมันเด็กเล่นขายของนะ เขาอยู่กับพุทโธตลอดชีวิต ตลอดชีวิตเลย สู้กับมัน สู้กับตัวเอง ถ้าสู้กับตัวเองขึ้นมา เกิดมาเพื่อมีโอกาส เกิดมาเพื่อแก้ไข นี่เราคิดไม่ถึงตรงนี้ เราคิดไม่ถึง โอ แค่ทำมาหากินก็ทุกข์ยากแล้ว เวลาไม่มี ยิ่งไอ้พวกกิเลสมันหลอกเอานะ

พระพุทธเจ้าสอนให้ปล่อยวางเราก็ปล่อยวางแล้ว พระพุทธเจ้าสอนให้เป็นคนดี เราก็เป็นคนดีประเสริฐดีเลิศนะ ไปวัดทำไม? ไปวัดนะ (โทษนะ) ไปวัดให้พระด่า อยู่บ้านให้เมียเทศน์ เวลาเมียด่า มันว่าเทศน์นะ ไปวัดพระเทศน์ มันว่าพระด่า มันจะอยู่บ้าน ความคิดของเขา ความคิดของโลกไปวัดทำไม? เอ็งไม่ป่วยนะ เอ็งไม่ป่วยเอ็งก็ไม่เห็นคุณประโยชน์ของโรงพยาบาล เอ็งป่วยเมื่อไหร่เอ็งอยากไปโรงพยาบาล

ภาวนานะ ถ้ายังไม่มีอาการยังไม่มีความรู้ที่จะให้ครูบาอาจารย์แก้ไขนะ ไม่เห็นโรงพยาบาลหรอก แล้วภาวนาไปถึงเวลามันติดนะ เวลามันติดเวลามันข้องขึ้นมานะ เอ็งจะไม่มีคนแก้ไขเลย วัดเป็นที่อยู่ของอารามิก เป็นคนที่ไม่มีบ้านไม่มีเรือน คนที่ไม่มีบ้านปฏิเสธบ้านปฏิเสธเรือน ภิกษุ โดยสามัญสำนึกของมนุษย์ ชีวิตเป็นสาธารณะ ทุกสิทธิ์มีเลือกคู่ได้ แต่เราสละสิทธิการเลือกคู่ สละสิทธิของการมีคู่ สละสิทธิมาเพื่อพรหมจรรย์

เพื่อพรหมจรรย์ เขามีคู่ครองกันเขาถึงต้องแสวงหาที่อยู่ที่อาศัยกัน นี่เราสละสิทธิ์ในการมีคู่ ทีนี้อารามิกไม่มีคู่ ถึงต้องอยู่ในวัดอยู่ในอาราม อยู่ในอารามเหมือนอยู่ในที่สาธารณะ แล้วเราเองเราจะหาทางออกจากชีวิต ไม่ต้องไปวัดหรอกเราเป็นคนดี ไอ้คนที่ไปวัด ไอ้คนที่อยู่วัดเหมือนคนสิ้นไร้ไม้ตอก ไม่รู้จักออกทำมาหากิน ไอ้พวกนี้มันเป็นพวกไม่มีอาชีพ

เวลากิเลสมันขี่หัวนะ กิเลสมันขี่หัวเกิดมาทำไม? ก็เกิดมาหลงไง เกิดมาไม่เข้าใจไง เกิดเป็นมนุษย์มีอริยทรัพย์แล้ว มีสมบัติที่ประเสริฐแล้วมันยังหลงตัวมันเอง มันยังไม่รู้จักตัวมันเอง มันไม่เข้าใจตัวมันเอง ถ้ามันเข้าใจตัวมันเอง มันจะเห็นการเกิดเป็นมนุษย์

ถึงเรานะ เราจะเคยผิดพลาดมาแล้ว (หัวเราะ) เราจะเคยมีคู่มาแล้ว คนในอยากออกคนนอกอยากเข้า ไอ้คนในก็อยากจะเข้าไป ไอ้คนเข้ามาแล้วบอกว่าผมหลงมาได้อย่างไร คนในอยากออกคนนอกอยากเข้า เพราะมันยังไม่เข้าไปเจอทุกข์มันก็อยากเข้าไปทดสอบ แต่พอมันเข้าไปแล้วนะ โอ๊ย รู้อย่างนี้กูไม่มี รู้อย่างนี้กูไม่ติดกับแน่ๆ เลย

พรหมจรรย์นะ ลูกศิษย์ที่วัดเยอะมากที่ไม่มีคู่ เราบอกเลยนะถ้าไม่มีคู่ เหงา ทุกข์เพราะความเหงา ทุกข์เพราะคิดว่าถ้ามีคู่แล้วจะมีที่ปรึกษา ไม่ใช่หรอก คู่เวรคู่กรรม (หัวเราะ) คู่ทุกข์คู่ยาก คู่สร้างคู่สม ถ้าคู่เวรคู่กรรมนะมึงต้องไปให้มันเถือกเลือดซิบๆ เลยล่ะ คู่เวรคู่กรรม แล้วถ้าไม่หมดเวรหมดกรรมนะแยกกันไม่ได้ ถ้ามันหมดเวรหมดกรรมนะ เออ เลิกกันซะที

ถ้าไม่หมดเวรหมดกรรม มันจะต้องถูไถไปอย่างนั้นอีก พระเป็นสถานี พระฟังเรื่องนี้มาเยอะมาก พระนี่นะ เขาแปลกใจมาก ทุกคนไปหา “หลวงพ่อไม่เคยออกจากวัด” จริงๆ นะ ไม่เคยไปไหนเลย อยู่ในวัดนะ เวลาคนทุกข์ยากไปหาที่วัด เราบอกว่าเอ็งทุกข์ไม่เท่ากูหรอก กูทุกข์กว่าเอ็งอีก เขาติดคุกยังมีวันออกนะ กูสร้างกำแพงล้อมกูเอง (หัวเราะ) กูไม่มีวันออกนะ กูสร้างกำแพงล้อมตัวเอง คือจะพูดให้เขาว่าคนที่ทุกข์กว่าเขายังมี

ถ้าเราทุกข์นะ เราบอกว่าเราทุกข์ๆ มันจะเหยียบย่ำตัวเองตลอดไปเลย พอไปเห็นคนอื่นทุกข์กว่านะ โอ๊ย ทุกข์เราเล็กๆ ทุกข์เราเล็กมากเลย คนอื่นยังทุกข์กว่าเราเลย เวลาใครบอกว่ามีความทุกข์มาก เราจะบอกว่าเอ็งทุกข์น้อยกว่าเราอีก เอ็งจะเที่ยว เอ็งอยากจะดูมหรสพสมโภชเอ็งยังมีโอกาสบ้างนะ ของข้าไปไหนไม่ได้เลย คนติดคุกมันยังมีวันออก ไอ้เราล้อมกำแพงไว้ ล้อมตัวเองไว้ไม่มีวันออกนะ ออกไม่ได้เพราะกูเป็นพระ

แต่ถ้าพูดถึงสุขนะ ขออยู่คนเดียวนะ ถ้าวันไหนไม่มีคนมาหานะ วันนี้สุดยอดเลย ถ้าวันไหนมีคนมาหานะ เบื่อ เบื่อมาก อยู่คนเดียวนี้สุขมาก อยู่คนเดียวอยู่เฉยๆ นะสุขมากเลย เขาไม่รู้หรอกว่ามันสุขยังไง โลกนี้มันอนิจจัง ทุกอย่างอนิจจังแล้วเราจะพึ่งอย่างอื่นมันเป็นไปไม่ได้หรอก เห็นไหมว่าเกิดมาทำไม? เกิดมานี่นะ ประสาเราเลย เกิดมามันมีบุญ ถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ไง

เราเปรียบเทียบแต่มนุษย์ ดูหลวงตาท่านพูดนะ ถ้าเปิดโลกธาตุให้เห็นสวรรค์ นรก อเวจีนะ แล้วมนุษย์เห็นกันหนหนึ่งนะ มนุษย์จะไม่ทำความชั่วเลย แต่เพราะเรามันเปิดไม่ได้ แต่พระพุทธเจ้าแต่ละทุกๆ พระองค์จะมีจาตุรงคสันนิบาตองค์หนึ่ง อย่างองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๑,๒๕๐ องค์ พระอรหันต์แต่ละองค์สำเร็จมีบารมีมากเป็นหมื่นๆ องค์เลยนะ จะมีหนหนึ่ง บางองค์มีถึง ๒ หนเลยถ้ามีบารมีมาก

พระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ถ้าพระพุทธเจ้าเป็นพระพุทธเจ้าจะมีโอกาสได้เปิดโลกธาตุหนหนึ่ง อย่างพระพุทธเจ้าเวลาที่เปิดโลกธาตุที่ลงมาจากดาวดึงส์ ทางวิชาการเขาไม่เชื่อนะ เขาไม่เชื่อหรอกว่าเป็นไปได้อย่างไร? นรก-สวรรค์จะเห็นกันได้อย่างไร? เขาไม่เชื่อ เพราะการเปิดนรก-สวรรค์หนหนึ่งเป็นบารมีของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าสร้างมามันเป็นผลโดยอัตโนมัติ จะมีสิทธิทำได้อย่างนี้หนหนึ่งหรือสองหน แล้วแต่พระพุทธเจ้าองค์ไหนสร้างบุญมากหรือสร้างบุญน้อย

พอเปิดหนหนึ่ง ชาวราชคฤห์ทั้งหมดเห็นนรก-สวรรค์หมดเลย พอเห็นนรก-สวรรค์ เห็นพระพุทธเจ้า มันก็เลยกลายเป็นการปลุกเร้าให้ทุกคนที่เห็นอยากเป็นพระพุทธเจ้า ก็เลยปรารถนาพุทธภูมิกัน โอ๊ย ปรารถนาเป็นล้านๆ องค์เลย ไม่รอดเลยสักองค์ (หัวเราะ) เพราะมีบารมีขนาดนี้ทำได้ขนาดนี้ เห็นเศรษฐีถอยรถใหม่ก็อยากถอยด้วยกันทั้งนั้นล่ะ แต่รถจักรยานยังซื้อไม่ได้เลยเพราะไม่มีสตางค์ นี่พระพุทธเจ้าองค์หนึ่งจะมีโอกาสได้หนหนึ่ง

พอมีโอกาสได้หนหนึ่งพวกเรา พวกที่เห็นก็อยากปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า ก็เลยปรารถนาพุทธภูมิ ก็สร้างบุญบารมีไป มันเป็นตัวเร้าขึ้นมา ในศาสนาเขาไม่เชื่อกันนะ ไม่เชื่อเพราะอะไร? ไม่เชื่อเพราะหัวใจมันบอด มรรค ผล นิพพาน ก็ไม่เชื่อ บาปบุญก็ไม่เชื่อ นรก-สวรรค์ก็ไม่เชื่อ กูเก่งกูรู้อยู่คนเดียว กูยอดเยี่ยมอยู่คนเดียว เวลาตายไปหัวมันจะปักตำลงนรกอเวจีเลย

เพราะถ้าเขาไม่เชื่อสิ่งใดๆ แล้ว เราไม่เชื่อใช่ไหม โอ้โฮ คนที่นั่งอยู่นี่นะ เชื่อในศาสนา พวกนี้โง่หมดเลยนะ เพราะอะไรเพราะไม่ทันคน ไอ้เราไม่เชื่อในศาสนากูนี้เก่งที่สุดเลย กูโกงกูหลอกลวงนะ กูจะเอาของมันให้หมดเลย แล้วเอามาไว้กับตัวแล้วได้อะไรมา ได้บาปอกุศลมา ไปทำลายเขาหมดเลย เอาอะไรรู้ไหม? เอาเศษกระดาษมา แบงก์เป็นเศษกระดาษนะ

ในปัจจุบันไปเอาเศษกระดาษมานะ ไปเอาหินเอากรวดมา เพชรนิลจินดามา ก็แร่ธาตุ แต่ด้วยตัณหาทะยานอยาก อยากได้ของเขา แล้วมันอยู่ในเหมืองมันเป็นอะไร? เพชรมันอยู่ในเหมืองมันก็หิน ไปเอาหินเขามาไปเอากระดาษของเขามา อยากจะขี่หัวเขา อยากจะมีมานะทิฐิ อยากจะมีอำนาจ

แล้วไอ้พวกที่มีศีลมีธรรมพวกนี้มันโง่ทั้งนั้นล่ะ ให้กูหลอก มันทำลายตัวมันเองโดยที่มันไม่รู้ตัวนะ กิเลสมันทำลายได้ขนาดนั้น กิเลสมันทำลายตัวเองตลอด แล้วเกิดมาถ้ายังหลงอยู่ เกิดมาหลงเป็นกิเลสเราก็อยู่ในอำนาจของมัน

ในเมื่อคนเราเกิดมาแล้วต้องมาตายแล้วจะเกิดมาทำไม? มันเป็นวาระ เราบอกว่าการเกิดเป็นมนุษย์นี่แจ็คพอตนะ ดูสิเราปาแจ็คพอต แจ็คพอตมีแค่นี้นิดเดียว แล้วเราปาไป ดูสิตกนรกหมดล่ะ ปาเท่าไหร่ก็ตกนรก แหม ถ้าปาเข้าแจ็คพอต พั้บ โอ้โฮ ได้เกิดเป็นมนุษย์นะ เกิดเป็นมนุษย์แล้วยังหลงอีก โอ๊ย น่าเศร้า

โอ๊ย มึงปาไปเหอะ นรกทั้งนั้น ปาไปเหอะนรก พอปา ผลัวะ! มนุษย์ โอ้โฮ ได้เกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาไม่รู้จักมนุษย์ ไม่เห็นคุณค่า ไม่เห็นสมบัติของการเกิดเป็นมนุษย์ มนุษย์สมบัติ แล้วมนุษย์สมบัติ ดูสิ จิตหนึ่ง จิตนี้หนึ่งเดียว เมื่อก่อนเมืองไทย ๑๖ ล้านคน นี่ ๖๐ ล้านแล้วมาจากไหน? จิตนี้หนึ่งเดียวทั้งนั้นล่ะ

จิตนี้หนึ่งเดียว แต่จิตนี้ หลวงปู่ดูลย์บอกไว้ในปรมาณู ๑ มีจิตอยู่ ๘ ดวง ในอากาศมีจิตเต็มไปหมดเลย จิตนี้มาจากไหน? ชีวิตนี้มาจากไหน? ชีวิตแสวงหาที่เกิดอีกมหาศาลเลยแล้วเขาไม่มีโอกาสได้เกิด แล้วเราได้เกิดมาเราเกิดมาทำไม? เกิดมาให้มีสติ เกิดมาให้แก้ไข แล้วพอตายไปแล้วนะ ทุกคนเห็นไหม ศึกษาศาสนานะ โอ๊ย ศาสนาพระสมณโคดมทำได้ยากมาก ปรารถนาจะไปเกิดในยุคพระศรีอริยเมตไตรย โอ๊ย ทำได้ง่ายๆ

เราถามมันกลับบ่อย มึงมีสิทธิ์เหรอ มึงตีตั๋วไว้เหรอจะไปเกิดยุคพระศรีอริยเมตไตรย เอ็งเอาอะไรไปเกิด จะไปเกิดยุคพระศรีอริยเมตไตรย อย่างที่ว่าต้องปรารถนา พอปรารถนาแล้วสร้างบุญกุศล อยู่ดีๆ เห็นเงินของเขาแล้วอยากได้เงินของเขา เอ็งจะเอาเงินของเขาได้ยังไง เงินของเขานะ เวลาตายไปในยมบาล ที่พันเอกเสนาะไปเห็นนะ

พันเอกเสนาะเขาไปดู เราทำบุญกุศลไว้ ของเราหมดเลย แล้วพอมีเพื่อนฝูงในหมู่บ้านเราตายขึ้นมา เขาเป็นเจ๊ก เจ๊กนะเวลา (หัวเราะ) ตักบาตรสูญเปล่า ไหว้เจ้าได้กิน แล้วถึงเวลาไหว้เจ้าเสร็จก็เผากระดาษเงินกระดาษทองนะ เผากระดาษเงินกระดาษทองเป็นการเสียสละ ไอ้ตักบาตรสูญเปล่า ใส่บาตรพระไปๆ

ทีนี้คนใส่บาตร คนไทยเวลาตายไป ไปนั่งรอเวลา รอเวลายมบาลให้ไปนรก-สวรรค์เพราะต้องไปที่นั่นก่อน ถ้าพูดถึงตามวัฏฏะนะ พอถึงที่นั่น ตายแล้วไปเจอกันนะ เห็นเพื่อนฝูงมีอาหารเต็มเลยขอหยิบบ้าง ขอกินบ้างสิๆ เพราะอะไร? หยิบปั๊บหายไปกับมือเลย หายหมด เพราะมันเป็นทิพย์ หยิบปั๊บถ้าไม่ใช่ของเรา หยิบปั๊บหายเลย

อ้าว เพื่อนกันทำไมให้ไม่ได้วะ? อ้าว เพื่อนอยากให้ กูอยากให้มึงฉิบหายเลย แต่พอหยิบแล้วหายๆ อ้าว แล้วของเราล่ะเอ็งมี เราก็ต้องมีสิ ของเอ็งก็มีอยู่นั่นไง กองขี้เถ้า กองขี้เถ้านั่นของเอ็ง ก็เอ็งเสียสละกองขี้เถ้ามา เวลาตายไปเวลาหมุนเวียนไป สิ่งที่มันเห็น แล้วพออย่างนั้นปั๊บ มันก็มาพูด เวลาเขามาพูดว่าคนตายแล้วฟื้น

โอ๊ย ถ้าทำบุญนะ ไม่มีน้ำก็ไม่ได้กินนะ อะไรก็ไม่ได้กิน โอ๊ย วงจรของแจ็คพอต มันมีวาระของวัฏฏะมันกว้างมาก แล้วเวลาเกิดอย่างนั้นเขาไปรอที่ยมบาลเขายังไม่ไปถึงสถานที่ของเขา ถ้าเขาไปถึงสถานที่ของเขา ถ้าเขาไปเป็นเทวดาเขาไม่กินน้ำอย่างนี้หรอก น้ำที่เราใส่ไปเขาไม่กินหรอก น้ำเป็นทิพย์

อาหารที่เรากินนี่ กวฬิงการาหาร อาหารเป็นคำข้าว เทวดา อินทร์ กินวิญญาณาหาร พรหม กินผัสสาหาร เขาไม่กินอย่างนี้หรอก เทวดาไม่มีอาหารให้กินหรอก อาหารนี้หยาบๆ นะ อาหารที่เรากินหยาบมาก อาหารที่เรากิน ดูสิ สัตว์มันก็กินอาหารเหมือนเรา สัตว์มันกินอาหารเหมือนเรามันจัดให้ประณีตไม่ประณีตเท่านั้นแหละ

สัตว์กับมนุษย์กินอาหารต่างกันตรงไหน? แต่เราไปทิฐิมานะกันเองนะเราประเสริฐกว่าเขา เราดีกว่าเขา นี่พอเวลามันไปถึงตรงนั้น มันยังไม่ไป พอมันไปถึงวาระของเขาแล้วมันไปอีก ทีนี้คนไปเห็นจุดใดจุดหนึ่ง ผู้ที่ไม่รอบ ผู้ที่ยังไม่รู้จักวัฏฏะโดยรอบ วัฏฏะโดยรอบมันเป็นผล มันเป็นมิติมันเป็นสถานที่เพื่อให้จิตนี้ไปพัก

เราถึงบอกว่า นรก-สวรรค์ เหมือนป้ายรถเมล์ ป้ายรถเมล์นะรถเมล์มันเข้าจอด รถเมล์จอดป้ายนี้ อ้าว เป็นนรก ออกป้ายนี้ก็เป็นสวรรค์ จิตเวียนตายเวียนเกิดอย่างนี้ไง ถึงบอกว่าที่ถามนี่นะ ฟังแล้วมันสะเทือนใจว่าในเมื่อเราเกิดมาแล้วต้องตายแล้วเกิดมาทำไม เกิดมาให้โอกาสนะ ตายหมดนะ คนเราเกิดมาตายหมดเลย

แล้วตายแล้วนี่ก็เกิดหมดเลย ไม่มีที่สิ้นสุด คนเราเกิดมาก็ต้องตายหมด และตายแล้วก็เกิดหมดแต่เกิดเป็นอะไรเท่านั้น เว้นไว้แต่พระอรหันต์ พระอรหันต์ตายชาตินี้ก็ไม่เกิดอีก เพราะมันหมดสิ้น มันหมดสิ้นขณะที่อาสวักขยญาณทำลายอวิชชาหมด พอทำลายอวิชชาหมดนั่นล่ะกิเลสมันตาย สิ่งที่คนยังเกิดยังตายอยู่เพราะมันมีกิเลสอยู่ยังมีเชื้อไขขับอยู่ นี่ทำไมถึงต้องเกิด

สิ่งที่ยังมีเชื้อไขขับอยู่มันต้องเกิด เกิดเพราะแรงขับของเชื้อไขหรือแรงขับของอวิชชา ยางเหนียวมันต้องพาเกิด แล้วถ้าเมื่อใดยางเหนียวในหัวใจมันหมดแล้วการเกิดการตายหลอกกัน ครูบาอาจารย์ที่ท่านถึงที่สุดแล้วการเกิดและการตายหลอกกันเพราะการเกิดการตายเป็นสมมุติ มันมีจริงๆ นะ เกิด-ตายจริงๆ มันเกิด-ตายจริงๆ แต่มันจริงตามสมมุติเพราะมันชั่วคราว เพราะมันเป็นวาระตลอด

แต่พอถึงที่สุดแล้วพอจิตมันหมดเชื้อขับแล้ว ไม่มีอีกเลย! นิพพานเที่ยง นิพพานคงที่อย่างนั้นตลอดไป จะไม่มีการเกิดการตายอีกแล้ว แต่เวลาคงเหลือบุญกุศล ตั้งแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ๔๕ ปี จิตนี้สิ้นกิเลสแล้ว สอุปาทิเสสนิพพาน พระอรหันต์ที่ยังมีดำรงชีวิตอยู่

พระอรหันต์ที่ยังมีดำรงชีวิตอยู่ จิตที่เป็นพระอรหันต์คือตู้พระไตรปิฎกที่มีชีวิต ตู้พระไตรปิฎกที่มีชีวิตจะเข้าใจธรรมะทั้งหมด แล้วตู้พระไตรปิฎกที่มีชีวิตสามารถสื่อสารเรื่องธรรมะกับผู้ที่มีกิเลสในหัวใจ เราสื่อสารกับตู้พระไตรปิฎกที่มีชีวิต ตู้พระไตรปิฎกที่คุยกับเราได้มันเป็นประโยชน์กับเราไหม?

และถ้าวันใดตู้พระไตรปิฎกดับขันธ์ไป ตู้พระไตรปิฎกที่มีชีวิตก็ต้องสูญไปอีกตู้หนึ่ง นี่สอุปาทิเสสนิพพานคือพระอรหันต์ที่ยังมีชีวิตอยู่ พอตายไป อนุปาทิเสสนิพพาน คือไม่มีเศษส่วน เศษนะธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ เป็นเศษส่วนของพระอรหันต์ เป็นเศษ ชีวิตนี้เหลือเศษ ธาตุ ๔ นี้เป็นเศษ ขันธ์ ๕ ความคิดที่สื่อกันนี่ เป็นภาษาสื่อสารโดยมนุษย์ ภาษาสื่อสารของใจ

ถ้าภาษาสื่อสารของใจเป็นภาษาสื่อสารของมรรคผล มันเป็นภาษาใจ ทีนี้ภาษาสื่อสารสื่อสารเพื่อมนุษย์ มันถึงเป็นเศษ เป็นเศษส่วนที่เหลืออยู่ แล้วพอดับขันธ์ไปเศษนี้ก็ไม่มี ถ้าไม่มีไปแล้วทำไมหลวงปู่มั่นสืบต่อกับพระอรหันต์ได้? ทำไมพระพุทธเจ้ามาอนุโมทนากับหลวงปู่มั่น?

นี่ กวฬิงการาหาร วิญญาณาหาร ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร มโนวิญฺาเณปิ นิพฺพินฺทติ มโนสมฺผสฺเสปิ นิพฺพินฺทติ มโนๆ ๆ มโนคือตัวภพ มโนคือตัวใจ พระอรหันต์ถึงไม่มีจิตไง จิตคือมโน จิตคือใจ จิตคือสิ่งที่ตั้ง สิ่งที่หมาย แต่เมื่อสละทิ้งไปแล้ว คนที่สละทิ้งไปแล้ว คนที่มีใช่ไหม เรามีเงินมหาศาลเราสละทิ้งไปแล้ว แล้วทำไมเราสละทิ้งไป เราใช้ประโยชน์ได้ไหม สละทิ้งไปแล้วใช่ไหม เราสละทิ้งไป แต่มันมีช่องทางที่สืบต่อได้ไง นี่สืบต่อได้ มะโนวิญญาเณปิ นิพพินทะติ แต่มโนนี่มันเป็นมโนในหัวใจ มันเป็นเรื่องนามธรรม ไม่มีทางหรอกไอ้ที่ว่าอวิชชาอย่างเรา ไอ้ที่โดนครอบงำด้วยอวิชชาแล้วจะเห็นพระอรหันต์ ไม่มี!

แต่จิตที่มันสิ้น จิตที่มันเป็นมันสื่อสารกันได้ สื่อสารกันมาเพื่อเอามาเป็นประโยชน์กับศาสนานี่ไง อาหาร ๔ อาหารในวัฏฏะ ชีวิตนี้ ดูสิ ชีวิตที่ดำรงอยู่ได้เพราะอาหาร สิ่งที่เป็นเทวดาเขาก็อยู่ได้เพราะอาหาร สิ่งที่ดำรงได้เพราะอาหารทั้งหมดเลย ถ้าไม่มีอาหาร รถมันยังต้องอาศัยน้ำมันเลย

ถ้าไม่มีน้ำมันรถก็จอด พลังงานหมด อาหารไม่มีแล้ว อาหารของเทคโนโลยีไม่มีแล้ว ตายห่าหมดแล้ว ต้องหาพลังงานทดแทน สิ่งที่ดำรงชีวิตอยู่ต้องอาศัยอาหาร อาหาร ๔ อาหาร ๔ ในวัฏฏะ วัฏวน กวฬิงการาหาร อาหารคำข้าว วิญญาณาหาร อาหารของเทวดา ผัสสาหาร อาหารของพรหม มโนสัญเจตนาหาร อาหารของใคร?

ไอ้โง่ๆ บอกว่ามโนสัญเจตนาหารก็คือเจตนานี่ไง โอ๊ย มนุษย์นี่กินทั้งกายทั้งใจเนาะ กายก็จะกินอาหารคำข้าว ไอ้ใจก็จะกินอีก โอ๊ย มันเอาเปรียบเขาสองชั้นสามชั้น

คนโง่ตีธรรมวินัย คนโง่ไม่เข้าใจธรรมวินัยจะไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย นี่พูดถึงว่าเกิดทำไมไง พูดไปเถอะ อยากเกิดไม่อยากเกิดพูดไปเถอะ ไม่มีทางปฏิเสธได้ ไม่มีทางหรอก

ถาม : ในเมื่อพูดถึงพวกมนุษย์เกิดมาเพื่ออะไร? แล้วการดำรงชีวิตอย่างไร?

หลวงพ่อ : ตอบหมดแล้ว การดำรงชีวิต การดำรงชีวิตแบบโลกนี่ ถ้าเราไม่สามารถประกอบอาชีพทางโลกได้ประสบความสำเร็จนะ มันก็มีรัฐสวัสดิการ เดี๋ยวนี้นะไอ้เงินดำรงชีพ ๓๐๐ บาทรัฐบาลแจกนะ จะให้ขึ้นพันหนึ่งแล้ว แก่เฒ่าขึ้นมาเดี๋ยวรัฐบาลแจกเอง เดือนละพัน

มันช่วยเหลือกันได้ เรื่องของโลกมันช่วยเหลือกันได้ทั้งนั้น แต่โอกาสของเราล่ะ โอกาสที่เราจะทำของเรา นี่ทำไมถึงต้องเกิด? เกิดมาทำไม? ไม่น่าถามเลย มันถามเพราะอะไรรู้ไหม มันถามเพราะมันไม่เข้าใจ

เอาอันนี้ก่อน ได้ตอบตรงนี้แล้วสบายใจ อันนี้ แหม เห็นปัญหาแล้วอยากจะพูดมาก อันนี้

ถาม : มารมีรูปร่างหน้าตาไหม มันเป็นเพียงนามธรรมหรือ?

หลวงพ่อ : (แหม ใครอยากเห็นมารวะ?) หลวงปู่มั่นอยู่ที่ถ้ำสาริกา ขณะที่หลวงปู่มั่นอยู่ที่ถ้ำสาริกา ก่อนขึ้นไป หลวงปู่มั่นสร้างบุญญาธิการมามาก สร้างบุญญาธิการมามากคนพูดบ่อยเลย

สร้างบุญญาธิการมามากทำไมไปเกิดเป็นลูกชาวนาล่ะ?

สร้างบุญญาธิการมามากทำไมไม่ไปเกิดเป็นกษัตริย์ล่ะ?

ถ้าเกิดเป็นกษัตริย์จะไม่ได้ออกบวชหรอก มันจะเกิดทิฏฐิมานะ เกิดเป็นลูกชาวนา คนที่สร้างบุญญาธิการมามากนี่จะไปเกิดในสิ่งที่มีโอกาสได้บวช ไปเกิดในครอบครัวที่เป็นสัมมาทิฏฐิ แล้วทางครอบครัวมีการส่งเสริมให้ออกได้ง่าย นั่นถึงว่าเป็นบุญ

ถ้าเป็นบุญ บุญก็ต้องเกิดในครอบครัวที่มีฐานะดีๆ สิ ถ้าครอบครัวที่ฐานะดีๆ นี่มันก็มีโซ่คล้องคอเอาไว้ด้วยไง แล้วก็โซ่มันก็ผูกขาไว้ด้วยไง แล้วมันก็จะไม่ได้ออกไง นี่บุญมันเป็นอย่างนี้นะ แล้วพูดถึงเวลาหลวงปู่มั่นท่านออกไปที่ถ้ำสาริกา ท่านไปประพฤติปฏิบัติของท่าน เวลาจิตสงบไปนี่ จิตสงบไปเห็นยักษ์ เห็นยักษ์ถือกระบองจะมาตีท่าน

ยักษ์มันจะมาตีท่านเพราะอะไร? เพราะมันเป็นมิจฉาทิฏฐิ ความจริงยักษ์ตัวนั้นมันไม่ใช่ยักษ์ จะพูดถึงมารไง ยักษ์ตนนั้นไม่ใช่ยักษ์ แต่เพราะใจของเขานี่เป็นมิจฉาทิฏฐิ เขามีมิจฉาทิฏฐิ เขายึดครองพื้นที่นั้นไว้ เขาเป็นรุกขเทวดา

รุกขเทวดานี่เขาคุมพื้นที่นั้นทั้งหมดเลย แล้วสมณะนี้จะเข้ามาในพื้นที่เขาได้อย่างไร? แล้วสมณะเข้ามาในพื้นที่เขา เวลาจิตมันสงบลงไป เพราะพิจารณา พิจารณาถึงธาตุ เพราะหลวงปู่มั่นตอนนั้นพิจารณาถึงโรคภัยไข้เจ็บ เพราะเป็นโรคท้อง แล้วพิจารณาไปมันแยกระหว่างกายกับจิต มันแยกออกไป แล้วจิตรวมใหญ่ พอรวมใหญ่ลงปั๊บเห็นเป็นยักษ์ถือกระบองเข้ามาเลย แล้วเทศนาว่าการสอนยักษ์ พอสอนยักษ์จนยักษ์นั้นกลับใจ

เพราะยักษ์ คำว่ายักษ์นี้ยักษ์เพราะเขาสร้างเขาทำภาพแล้วเนรมิตกายขึ้นมาให้เราตกใจไง ให้เราตกใจขึ้นมา พอเนรมิตกายให้ตกใจขึ้นมาให้คิดว่าเขาเห็นภาพนี้เขาจะตกใจ ยิ่งถือกระบองมาเขายิ่งตกใจใหญ่เลย แต่ไม่เข้าใจหรอกว่าคนที่มีคุณธรรมในหัวใจนี่มันไม่ตกใจ เพราะอะไร?เพราะชีวิตนี้จะทิ้งอยู่แล้ว ชีวิตนี้ชั่วคราวอยู่แล้ว ก็เลยเทศนาว่าการ ก็ตอบโต้กันด้วยภาษาใจ

“จะมาตีเรื่องอะไร? ทำไมถึงต้องมาตี? ไม่ต้องมาตีก็จะตายอยู่แล้ว แล้วมาตีเพื่ออะไร?”

“ตีเพราะมีอำนาจบาตรใหญ่ อู๋ย เก่งมาก”

“ถ้ามีอำนาจบาตรใหญ่นี่ต้องเกิดต้องตายไหม? ถ้ามีอำนาจบาตรใหญ่นี่มันต้องไม่ตายนะ แล้วเอ็งต้องตายอยู่ไหม?”

จนจิตใจอ่อนนะ พอจิตใจอ่อนนี่แปลงกายกลับมาเป็นสุภาพบุรุษ เป็นลูกศิษย์ลูกหา เป็นผู้มีอุปัฏฐาก อุปัฏฐากเพื่อจะดูแล ถ้าลงใจหลวงปู่มั่นให้หลวงปู่มั่นอยู่เป็นสุขสบาย ต่อไปนี้บริเวณนี้จะไม่มีใครเข้ามายุ่งกับหลวงปู่มั่นเลย จะดูแลรักษา นี่จะบอกว่าเทพ ว่าสิ่งที่เป็นมาร

มารนี่นะ ถ้าคนสร้างคุณงามความดีกันนี่ มาร มารก็เหมือนกับพระอินทร์ พระอินทร์นี่มีวาระ อันนี้มารก็เหมือนกัน ถ้าเราเป็นคนที่ทิฏฐิมานะ มารคือเทพฝ่ายมาร คือฝ่ายมารคือสิ่งที่เป็นมิจฉาทิฏฐิมันจะไปสะสมอยู่ที่นั่น แล้วเขามีฤทธิ์มีเดชของเขา นี่คือมาร

แล้วมารนี่ มารดูสิที่ว่าในพระไตรปิฎก ที่พระอุปคุตเอาหมาเน่าแขวนคอไว้ โอ้โฮ พระพุทธเจ้ายังไม่ทำขนาดนี้เลย เวลาต่อสู้กับพระพุทธเจ้ามา พระพุทธเจ้ายังไม่ทำกับเราขนาดนี้เลย ทำไมพระอุปคุตเอาหมาเน่าแขวนคอ อู๋ย เสียใจมากเลย พลิกกลับ อธิษฐานเป็นคนดี ต่อไปจะเป็นพระปัจเจกพระพุทธเจ้า

แล้วพอมารนี่มาพลิกกลับมาเป็นสัมมาทิฏฐิหมด แล้วมารมันจะหมดไปไหม โอ๋ย มารไม่มีอีกแล้ว พวกเรานี่สบายมากไม่มีมารแล้ว โอ๋ย พวกเราจะเป็นพระอรหันต์หมดเลย พวกที่นั่งอยู่นี่เป็นพระอรหันต์หมดเลย มารตายหมดแล้ว

มารมันเป็นนามธรรมอย่างนี้ สิ่งที่เป็นนามธรรมนะ สิ่งที่เป็นนามธรรมนี้เราพูดบ่อยในเทศน์ มารนี่มันมี พ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย มันมีลูกมีหลาน สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส นี่หลานของมาร การต่อสู้เป็นโสดาบันนี้ ต่อสู้กับหลานของมาร ต่อสู้กับกิเลสหยาบๆ เลย แล้วขึ้นไปนี่จะไปเจอหลานของมาร ไปเจอลูกของมาร ลูกของมารก็แยกกัน พอไปเจอพ่อของมารนะ ไปเจอพ่อของมารก็กามราคะนี่ แล้วมึงจะไปเจอปู่มันนะ แล้วปู่มัน ปู่มันคืออวิชชา

นี่เรือนยอด ๓ หลัง นางตัณหา นางอรดี เรือนยอดของอวิชชาคือเรือนยอดที่รวมกันเป็นอวิชชา มันเป็นปู่ของมารนะ ถ้าปู่ของมารนี่ อู้หู มันเก่ง มันเก่งเพราะอะไร? เพราะมันมีอวิชชาเยอะ อู้หู แล้วนี่ภาพวาดในโบสถ์ อวิชชานี่มันเป็นยักษ์เป็นมาร ครูบาอาจารย์ไปเจอนะ โอ้โฮ มันสวยมาก แล้วถ้ามันไม่สวยมากเราจะไม่ไปติดไม่ไปจำนนกับมันหรอก

ถาม : มารรูปร่างเป็นอย่างไร?

หลวงพ่อ : มันหลอกมึงทั้งนั้นแหละ เอ็งเจอมารตัวไหนเอ็งก็แพ้มันทั้งนั้นแหละ เพราะเราเริ่มต้นใหม่นี่ มันเอาเด็กๆ มาหลอกยังเชื่อมันเลย ดูสิ ไม่ได้พูดประชดนะ นี่พูดแบบเป็นบุคลาธิษฐาน ดูสิ ดูเด็กแก๊งค์ขอทานสิ มันเอาเด็กๆ มานั่งนะ แล้วเด็กมันขอทานไปให้ใครล่ะ ไปให้หัวหน้าแก๊งค์มัน เห็นเด็กน่าสงสาร อ้าว ให้เอ็ง ให้เอ็ง เด็กๆ มันยังหลอกได้เลย

ลูกหลานมารไม่เคยเจอตัวมารเลย ถ้าเจอมารแล้วพอมันสู้ไปแล้วมันถึงหมด มันเข้าใจนี่มารมีลูกมีหลาน มีลูกมีหลานของมันหมด แล้วพญามาร พญามารมันทำลายเราทั้งนั้น มันทำลายเรานะ

พูดถึงหลวงปู่มั่น โอวาทหลวงปู่มั่น เวลาคนปฏิบัติไปนี่นิมิตมันมี คนปฏิบัติไปนี่หลวงปู่มั่นมาสอนเยอะมาก ถ้าหลวงปู่มั่นมาสอนนะก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง นี่เรา เราพูดไม่ได้ เราพูดไปมันจะขายโง่ตัวเอง ของเราเก็บไว้ส่วนตัว

ถาม : ทำไมพระในปัจจุบันนี้จึงมีพระแท้น้อย?

หลวงพ่อ : พระแท้น้อยเพราะว่าความจริงจังของเขาน้อย เขาไม่จริงจังของเขาเอง นี่ในอภิธรรมนี่เขายึดมั่นถือมั่นของเขา กึ่งพุทธกาลจะไม่มีพระอรหันต์ กึ่งพุทธกาลหมดแล้วนะ มันไปขัดแย้งกับอกาลิโก ไม่ใช่กาลไม่ใช่เวลา วันเวลานี่เราสถิติเรานับเฉยๆ เวลาที่ได้มา อายุที่ได้มานี่คือวันเวลาที่เสียไป คนอายุ ๕๐ นี่เสียไปแล้ว ๕๐ ปี คนอายุ ๑๐ ปีก็เสียไปแล้ว ๑๐ ปีนะอายุขัยของเรานี่ วันเวลาที่ได้มา อายุที่ได้มาคือวันเวลาที่เสียไป

นั่นเรื่องวันเวลาที่เสียไป นี่มันเป็นเพราะว่าอำนาจวาสนา คนไม่ค่อยคิด ดังนั้นพระแท้ คำว่าพระแท้ พระแท้น้อย ถ้าเรามันจะมีความจริงจัง นี่เขาบอกว่า พระอรหันต์นี่ต้องสร้างมาแสนกัปถึงจะเป็นพระอรหันต์ได้ แล้วพอใครเกิดขึ้นมาแล้วนี่ก็ยังทำอะไรไม่ได้ ก็เลยภาวนากันไป ภาวนาพอเป็นพิธีไง

เราบอกเลยนะ เอ็งคิดว่าเอ็งเกิดชาตินี้เป็นชาติแรกหรือ? เอ็งเกิดมานี่ชาตินี้เป็นชาติแรกที่เอ็งเกิดชาตินี้ใช่ไหม? แล้วเอ็งไม่รู้จักชาติที่จะต่อๆ มาหรือ ถึงบอกว่าเอ็งไม่เคยเกิดมาเลยนี่มันเป็นไปได้อย่างไร? มันเกิดมากี่ภพกี่ชาติแล้ว

แล้วถึงบอกว่า นี่พระอรหันต์ต้องสร้างมาแสนกัป แล้วเอ็งสร้างมาหรือยังล่ะ? ถ้าเอ็งไม่สร้างมานะเอ็งจะไม่สนใจเรื่องอย่างนี้ ถ้าไม่สนใจ พระแท้ถึงมีน้อยไง ถ้าพระแท้มีมาก พระแท้มีมากมันต้อง พระมันจะเกิดขึ้นมาจากความวิริยะอุตสาหะ พระคือผู้ประเสริฐ ผู้ประเสริฐจะมีความวิริยะอุตสาหะในการค้นคว้า ในการค้นคว้าในการต่อสู้กับตัวเอง ถ้าทำอย่างนั้นพระแท้มันก็จะเกิด ถ้าเราไม่มีความวิริยะอุตสาหะนี่พระแท้ไม่เกิดหรอก มันก็พระปลอมๆ นี่

หัวโล้นห่มผ้าเหลืองนี่พระปลอม สมมุติสงฆ์ สงฆ์นี่ได้มาจากอะไร? ได้มาจากจตุตถกรรม ได้มาจากอุปัชฌาย์นี่สมมุติสงฆ์ แล้วเวลาทำขึ้นไปนี่พระแท้มันเกิดที่ไหน? พระแท้มันเกิดที่ใจ พระแท้มันเกิดที่ใจนี้ ถ้าใจเป็นโสดาบัน เป็นสกิทาคา เป็นอนาคานี่พระเกิดที่นั่น นางวิสาขานี่เป็นคฤหัสถ์ทำไมเป็นพระล่ะ?

ทำไมเรียกนางวิสาขาว่า “พระโสดาบัน”? พระมันเกิดที่ใจ แล้วใครจะเอาใจมาวัดกัน อ้าว ถ้าคนตาบอดมันก็ไม่รู้หรอก มันก็คลำช้างไปอยู่นั่น แต่ถ้าเป็นคนตาดีนะ เอ็งเป็นอย่างไร? พระแท้เป็นอย่างไร? ถ้าพระแท้นี่เอ็งละสักกายทิฏฐิอย่างไร? ถ้าพระแท้มันต้องบอกได้

เรานี่กำเพชรอยู่ นี่เพชรของเรานี่เพชรของเราที่ได้มา เพชรของเรามีกี่เหลี่ยม เพชรของเราเจียระไนอย่างไร? เพชรเราอยู่ในหัวแหวนอะไร? เพชรเราจะไปประดับเป็นล็อคเก็ตอย่างไร? ของหายมาอยู่ที่เรานี่ นี่เพชรใครหายมาเอาไป อ้าว ทำอะไร? เพชรนี่มันทำอะไร? ตอบไม่ถูกอด ตอบไม่ถูกไม่คืนเจ้าของ ถ้าเจ้าของมันต้องตอบถูกเพราะว่าของมัน มันทำมา มันทำหายนี่มันต้องรู้สิว่าของมันเป็นอะไร?

นี่เวลาจะเป็นพระแท้นี่เขาวัดกันที่นี่ เขากำมาเลย นี่เพชรนี้มันอยู่ในรูปอะไร? เพชรนี้มันอยู่ในรูปอะไร? ถ้าตอบผิดนะเอ็งกลับบ้านไปอย่ามาคุยว่าเป็นพระแท้ ถ้าเป็นพระแท้นี่มันจะบอกเลย สิ่งที่กำอยู่นี้คืออะไร? นี่พระแท้เขาวัดกันที่นี่ นี่พระแท้พระปลอม พระแท้มันต้องพูดถึงความจริงได้ แล้วพระแท้นี่พูดถึงความจริงได้ ดูสิแม้แต่เพชรนิลจินดา ดูสิที่ว่านี่ แม้แต่ไปเอากระดาษเขา ไปเอาเศษแร่ธาตุของเขามา ประโยชน์อะไร?

สมบัติสาธารณะ สมบัติของโลก มันเป็นสมบัติของโลกไม่ใช่สมบัติของใคร มันมีลูกศิษย์พวกหนึ่งเขาไปพาเพื่อนเขามา เขามาพูดที่วัดนี่เขาบอกว่า เขานี่เป็นคนดีหมดแล้ว เขาทำทุกอย่างดีหมดแล้ว ครอบครัวเขามีความสุขความสบายหมดแล้วนะ เขาบอกว่าเขาเป็นคนมีบุญแล้ว เราบอกว่า อู้หู เราสลดสังเวชมาก สิ่งที่โยมทำนี่มันเป็นสมบัติสาธารณะหมดเลย โยมไม่มีอะไรเลยติดตัวไป บุญและบาปนี่ติดตัวโยมไปเอง แล้วพูดถึงถ้าเรามาทำสมาธินะ จิตใครทำสมาธิได้นะ คนทำสมาธิได้นี่มันจะฝังใจ

หลวงตาพูดบ่อย ตอนที่ท่านเรียนอยู่ท่านภาวนาอยู่ ๗ ปี เรียนด้วยภาวนาด้วย จิตเป็นสมาธิ ๓ หน ทำไมท่านจำได้แม่นขนาดนี้ล่ะ? ท่านเรียนอยู่ ๗ ปีนี่ท่านทำสมาธิจิตมันรวมได้ ๓ หน ท่านพูดบ่อยมากเลย ทีนี้ถ้าเราทำสมาธิได้นี่ ท่านพูดได้ท่านจำได้ ถ้าเราทำสมาธิได้เราก็จะจำสมาธิของเราได้ เราจะจำจิตที่มันลึกที่สุด จิตที่มันเป็นได้

ฉะนั้นเวลาจะตายนี่จิตมันจะมาเกาะตรงนี้ ถ้าจิตมันนี่ เพราะเรา นี่คนที่ออกจากบ้านมานี้โยมเอารถอะไรมากัน? รถใครรถมัน โยมกลับก็ต้องกลับรถของโยมนะ

ออกจากบ้านนี่คนจะตายนี่ จิตออกจากร่าง จิตที่มันจะออกมันจะรวมออกไป แล้วมันออกจากร่างนี่ ทีนี้ออกจากร่าง ถ้ามีสติสัมปชัญญะ พระโสดาบันถึงว่า พระโสดาบันปิดกั้นอบายภูมิ เพราะสติสมบูรณ์ เวลาที่มันตื่นเต้นมันความคิดก็คิดไปนี่ พอมันจะตายปั๊บมันจะรวมยอดเข้ามาที่สติ แล้วมันก็เคลื่อนออกไปพร้อมสติ พร้อม ไปได้สบาย ไม่ตื่นเต้นกับอะไรเลยพระโสดาบัน อบายภูมิไปไม่ได้ เพราะอบายภูมิมันเป็นทางที่รก มันลงไปอบายมันไม่ไปหรอก ก็กูจะไปทางดีๆ นี่พระโสดาบันถึงปิดอบายภูมิ

ทีนี้ถ้าพระโสดาบันปิดอบายมันจะไปใช่ไหม ทีนี้สิ่งที่ว่าจิตมันจะตายใช่ไหม? พอจิตมันจะตายนี่มันคิดถึงอะไร? ก็คิดถึงสมาธิ แล้วคิดถึงสมาธินี่สมาธิคืออะไร? สมาธิคือหนึ่งเดียว หนึ่งเดียวคืออะไร? หนึ่งเดียวคือขันธ์ ๑ ขันธ์ ๑ คืออะไร? ขันธ์ ๑ คือพรหม มันก็ไปเกิดเป็นพรหมสิ แค่ทำสมาธิได้นี่ แล้วนี่เพียงแต่ว่าเพราะเรามันฝังใจ

สิ่งใดที่เป็นสมบัติของเรานี่คนนั้นจะฝังใจของเรา นี่เราเคยเป็นเศรษฐี เราเคยมีเงินสูงสุดนี่พันล้านแล้วตอนนี้เจ๊งหมดเลย แต่เราจำเงินพันล้านได้นะ กูเคยมียอดถึงพันล้าน

ทำสมาธิได้หนหนึ่งก็มีเงินพันล้าน แล้วเสื่อมหมดเลยไม่เหลือสักสลึงหนึ่ง แต่มันจำพันล้านนั้นได้ เวลามันจะตายมันจะไปเกาะที่พันล้านนั่น แล้วมันออกไปพร้อมกับพันล้าน มันไปเกิดเป็นพรหมนะ นี่ทำสมาธิ ถ้าคนทำสิ่งใดได้มันจะฝังใจ สิ่งที่ฝังใจนี่ นี่การฝึกฝน แล้วถ้า นี่พูดถึงผลที่เกิดจากวัฏฏะ เกิดจากที่มันทำนะ

แต่ถ้าทำสมาธิได้ ถ้ารักษาสมาธิได้เสื่อมหมด ใครจะรักษา เวลาได้สมาธิแล้วจะรักษาสมาธินะ เอ็งเสื่อมหมด เสื่อมหมดเพราะอะไร? เพราะสมาธิมันไม่ใช่ลอยมาจากฟ้า สมาธิมันเกิดจากการกระทำ สมาธิมันเกิดจากสติ เกิดจากการคำบริกรรมของเอ็ง แล้วเอ็งจะไปรักษาสมาธิไง เอ็งไม่มีสมาธิหรอก แต่ถ้าเอ็งไปตั้งสติ เอ็งมีคำบริกรรม สมาธิมันอยู่กับเอ็งตลอดชีวิต

แต่คนว่าอวิชชาไง นี่ไอ้มารมันหลอก ลูกมารแค่มาหลอก บอกว่านี่รักษาสมาธิแล้วสมาธิจะอยู่กับเรา อู๋ย อยากได้สมาธิทุกคนต้องวิ่งหาสมาธินะ มึงตายเปล่า ตายกับกิเลสนั่น แต่ถ้ามีครูบาอาจารย์ท่านจะแนะนำ แนะนำให้ออกมา ให้ออกมา ให้ออกมา นี่ “ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ” เอ็งต้องมาที่เหตุสิ นี่ เย ธมฺมา ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ไปละที่เหตุนั้น นี่เวลาพระสารีบุตรฟังคำเดียวนี่เป็นพระโสดาบันเลย แล้วเราก็มาท่องกัน ชาวพุทธท่องได้หมดนะ ชาวพุทธท่องสวดมนต์ได้หมดเลย แล้วชาวพุทธไม่มีโสดาบันเลย เพราะท่องแต่ปาก เอาปากมาท่องมันไม่ท่องที่ใจ มันท่องไม่ถึงใจ ใจมันไม่เป็นความจริง ใจมันไม่เปิดกว้าง ถ้าใจมันเปิดกว้างนะ ใจมันเปิดกว้างนี่เพราะกิเลสมันอยู่ที่ใจ

พอใจมันเปิดกว้างขึ้นมา ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ แล้วเหตุคืออะไรล่ะ? เหตุก็คืออวิชชามึงไง เหตุก็คือความปิด ปิดใจนี่ ถ้ามันรู้แจ้งมันก็เปิดใจ พอเปิดใจมันก็เปิดทิฏฐิมานะ ทิฏฐิมานะมันก็เป็นสักกายทิฏฐิ สักกายทิฏฐิมันก็ถอน ถอนความเห็นผิด ถอนความเห็นผิดมันก็รู้แจ้ง รู้แจ้งมันก็เป็นโสดาบัน แล้วโสดาบัน โสดาบันมันจะลูบคลำไหม? ลูบคลำไหม?

ใครมานั่งอยู่ที่นี่นะกลับไปมันไม่สงสัยหรอก ว่าหอพระเป็นอย่างไร? ไปพูดให้เพื่อนฟังนะ เพื่อนบอก เฮ้ย เป็นอย่างไรวะ อธิบายมันไปเถอะ อธิบายไปมันก็ เอ้อ เป็นอย่างนั้น ตาบอดคลำช้าง แต่ถ้าคนมานั่งอยู่นี่กลับไปพูดกันหอพระเป็นอย่างนี้ เออใช่ แต่ถ้ากลับไปอธิบายให้เพื่อนฟังนะ โอ๋ย หอพระที่ธรรมศาสตร์เป็นอย่างนั้น อย่างนั้นโว้ย มันก็จินตนาการเลยนี่ โอ๋ย เหมือนกระต๊อบเลยใช่ไหม ข้างล่างยุงเยอะด้วย มันจินตนาการไปหมด

แต่ถ้ารู้แจ้งแล้วมันไม่สีลัพพตปรามาส ไม่มีสิ่งใดลูบคลำเลย

รู้จริง รู้จริงมันเป็นอย่างนั้น แล้วรู้จริงมันเกิดมาจากไหนล่ะ? เกิดมาจากนี่ไง นี่พูดถึงถ้ามีการประพฤติปฏิบัตินะ นี่บอกว่าพระแท้พระปลอมทำไมมันมีน้อยมีมาก มีน้อยมีมากเพราะเจตนานะ เล็งปืนนะถ้าเอ็งเล็งปืนยิงเป้านะเข้าสิบแต้มเอ็งได้สิบแต้มนะ เล็งปืนนี่เอาปืนมายิงหัวตัวเอง ปัง โอ้โฮ กูได้สิบแต้ม เจตนาไง เจตนาคือการเล็งออกไป เจตนาที่ดี ความตั้งเป้าหมายที่ดี อธิษฐานบารมี

นี่เขาบอกเลยนะ ตักบาตรแค่ทัพพีเดียว ปรารถนาเป็นพระอรหันต์ โอ๋ย ค้ากำไรเกินควร ไอ้คนพูดมันไม่เป็น (ลูกคู่ไม่ดีเลย ทำเสียหมด)

ในสมัยพุทธกาล ทุคตะเข็ญใจ ตักบาตรทัพพีหนึ่งแล้วอยากบวชมาก ไปบวชกับพระองค์ไหน พระก็ไม่ให้บวช เพราะเป็นทุคตะเข็ญใจ แล้วทุคตะเข็ญใจนี้เป็นภิกษุผู้เฒ่า

“ภิกษุบวชเมื่อเฒ่า จะเป็นภิกษุที่ว่าง่านสอนง่าย หายากนัก”

แต่ทุคตะเข็ญใจนี้มีความศรัทธา มีความอยากบวชมาก ตักบาตรทัพพีเดียวแล้วมีความอยากบวชไปขอใครบวช ใครก็ไม่ให้บวช จนประชุมสงฆ์ไง พระพุทธเจ้าเป็นประธานสงฆ์เอง

“ทุคตะเข็ญใจนี่อยากบวชมาก ทุคตะเข็ญใจนี่เคยมีบุญคุณกับใคร? ทำไมคนบวชทุคตะเข็ญใจนี้ไม่ได้?”

พระสารีบุตรยกมือ ตึ๊บเลย

“เขาเคยมีบุญคุณกับข้าพเจ้าครับ?”

“มีบุญคุณเรื่องอะไร?”

“เคยตักบาตรข้าพเจ้าทัพพีหนึ่งครับ”

“ตักบาตรหนึ่งทัพพี อ้าว พระสารีบุตรบวช”

พระสารีบุตรเอาบวช แล้วพระสารีบุตรสอน สอนจนเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาเลย

“สารีบุตร สัทธิวิหาริกของเธอ สอนง่ายหรือสอนยาก?”

“สอนง่ายมาก เป็นภิกษุผู้เฒ่าที่สอนได้ง่ายมาก”

เป็นภิกษุผู้เฒ่า ผู้ที่มีราตรี ที่มีความรู้มากนี่ทิฏฐิมานะมาก ใครสอนอะไรก็ไม่ฟัง กูรู้ กูเก่ง กูแน่ทั้งนั้น ไอ้กูมันทิฏฐินะมึง ไม่อย่างนั้นมันไม่เปิดหัวใจขึ้นมา นี่ภิกษุผู้เฒ่า สอนจนเป็นพระอรหันต์นะ ตักบาตรทัพพีเดียวนี่เป็นพระอรหันต์ได้ พระอรหันต์ได้เพราะเขาสร้างบุญสร้างกรรมของเขามา

แต่ของเรานี่นะตักบาตรทัพพีหนึ่ง อธิษฐานขอให้เป็นพระอรหันต์ อธิษฐานเข้าถึงนิพพาน ไม่เป็นการค้ากำไรเกินควร เพราะเป็นเป้าหมายบารมีสิบทัศ

ถ้าไม่มีการอธิษฐานตั้งเป้า พระอรหันต์เกิดไม่ได้ พระพุทธเจ้าจะไม่มี การเสวย การปรารถนามาเป็นพระโพธิสัตว์มันตั้งเป้าแล้วเดินไปตามเป้าแล้วทุกข์ยากมาก พระโพธิสัตว์สละชีวิต

นี่สมณะโคดมเสวยชาติเป็นกระต่าย นี่มีนายพราน ๒ คนหลงไปในป่า หนาวมาก อดอยากมาก สุมกองไฟไว้เพื่อจะเอาไว้อุ่น พระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นกระต่าย นายพราน ๒ คนนี้เขาจะเสียชีวิต เขาจะตายเพราะไม่มีอาหารกิน พระโพธิสัตว์เป็นกระต่าย กระโดดเข้ากองไฟเลย ให้ไฟเผาตายไปเลย เอาเนื้อนี้ให้นายพราน ๒ คนนั้นได้กินรอดชีวิต

นี่คือพระโพธิสัตว์ อยู่ในพระไตรปิฎกใครเถียง เถียงมา มันตั้งเป้าไว้ พระโพธิสัตว์เสวยชาตินี่ เสวยเป็นกระต่าย ถ้าไม่ตั้งเป้า กระต่ายมันคิดได้อย่างไร? กระต่ายมันกระโดดเข้ากองไฟทำไม? ถ้ามันไม่ตั้งใจปรารถนาของมัน ถ้ามันตั้งใจปรารถนาของมัน บารมีสิบทัศ อธิษฐานบารมี

แล้วเรานี่ข้าวทัพพีเดียวแล้วเราอธิษฐานบารมี เราตั้งเป้าไว้ ตำรวจจับเหรอ สอนกันผิดๆ ทำบุญก็อธิษฐานไม่ได้ ทำอะไรก็อธิษฐานไม่ได้ อธิษฐานได้ทั้งนั้น เพราะการอธิษฐานนี้เป็นการตั้งเป้า ตั้งเป้าแล้วนี่เราจะเข้าถึงเป้าเราไม่เข้าถึงเป้าเรา มันอยู่ที่การกระทำของเรา ไม่ใช่อธิษฐานแล้วมึงจะได้

อยากมีเงินร้อยล้านนะแล้วนอนกระดิกเท้าอยู่นี่ให้เงินมันไหลมาเองนะ อีก ๕๐๐ ชาติก็ไม่มี ถ้าอยากมีเงินร้อยล้านนะ เราก็ทำธุรกิจของเราใช่ไหม เราก็ทำคุณงามความดีเข้านะ ทำงานของเรานี่เงินมันไหลมาเอง ตั้งเป้าแล้วต้องทำ อธิษฐานบารมีนี่ให้จิตเข้มแข็ง ให้จิตเราทำ แต่ไปพูดกันนะ ไอ้นู้นก็ไปค้ากำไรเกินควร ทำอะไรก็ไม่ได้

เอาวิทยาศาสตร์มาจับ ทำอะไรกันไม่ได้ แล้วก็บอกว่ามรรคผลนิพพานนี้มันสุดเอื้อม มันอยู่บนโลกพระจันทร์จะไปเอาไม่ได้ โง่มาก มรรค ผล นิพพาน นี้อยู่ในหัวใจมึง หัวใจที่มีกิเลสนั่น มันพลิกจากกิเลสมาจะเป็นธรรม มรรค ผล นิพพาน อยู่ในหัวใจของสัตว์โลก อยู่ในหัวใจของสัตว์โลกที่ทุกข์ๆ ยากๆ อยู่นี่ มรรค ผล นิพพาน ไม่ได้อยู่ในพระไตรปิฎก มรรค ผล นิพพาน ไม่ได้อยู่ที่พระพุทธเจ้า มรรค ผล นิพพาน ไม่ได้อยู่ที่หัวใจของพระสารีบุตร ไม่ได้อยู่ที่หัวใจของใครทั้งสิ้น

สิ่งที่อยู่ในหัวใจของครูบาอาจารย์นั้นเป็น มรรค ผล นิพพาน ของท่าน เพราะท่านประพฤติปฏิบัติธรรมขึ้นมาจนใจของท่านเป็น มรรค ผล นิพพาน ของท่าน เป็นสมบัติของท่าน สมบัติของเรา ทุกข์ก็เป็นของเรา สุขก็เป็นของเรา สมาธิก็เป็นของเรา ปัญญาก็เป็นของเรา ถ้าเราสร้างขึ้นมา แต่เราสร้างของเราขึ้นมาไม่ได้ แล้วจะสร้างขึ้นมาก็ไม่ยอมสร้าง ให้ทิฏฐิมานะมันบิดเบือน

บิดเบือนว่าอย่างนี้ทำไม่ได้ อย่างนี้หมดกาล อย่างนี้หมดสมัย แล้วเวลามันจนตรอก หัวมันปักอยู่กับกิเลส มันบอกว่านี่สมบัติของกู กิเลสมันทำให้หัวใจนี้หมดโอกาส หมดกำลังใจ

นี่เกิดมาทำไม? มนุษย์เกิดมาทำไม? เกิดมาไม่มีครูบาอาจารย์ นี่ครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์นี่สอนอย่างนี้ กระตุ้นอย่างนี้ นี่เวลาอยู่กับครูบาอาจารย์ประพฤติปฏิบัติไปนี่มันไม่ได้ผล หัวนี่ชนภูเขานะเอาค้ำภูเขาไว้แล้วก็ทนนะ นี่เดี๋ยวครูบาอาจารย์นะยุแล้ว พระพุทธเจ้าทุกข์กว่านี้นะ ครูบาอาจารย์ท่านทำความเพียรมากกว่านี้นะ

พระโสณะ ดูสิ ขนาดเดินจงกรมจนฝ่าเท้าแตกนะ เอ็งทำอย่างนี้เด็กๆ เฮ้อ ฮึดขึ้นมาอีกที นี่อยู่กับครูบาอาจารย์มันมีประโยชน์อย่างนี้ มันคอยกระตุ้น คอยกระตุ้นคอยปลอบประโลม นี่พ่อแม่ครูบาอาจารย์ พ่อแม่ครูบาอาจารย์จะให้โอกาส จะกระตุ้นจะเร่งเร้า จะเร่งเร้าให้เรามีโอกาส ให้เรามีการกระทำ นี่แล้วเวลาบอก เวลาทำอะไรนี่ก็ไม่ได้ มันเป็นการค้ากำไรเกินควร กิเลสพูดทั้งนั้น

มรรค ผล นิพพาน เป็นสิทธิของชาวพุทธทุกๆ คน ชาวพุทธมีสิทธิทุกๆ คน ไม่มีใครห้าม ไม่มีใครปิดกั้น ไม่มีใครจดลิขสิทธิ์สงวนไว้ นี่ทรัพย์สินทางปัญญานี่ไปใช้ของเขา เขาต้องใช้สิทธิ ต้องให้ค่าเขา

พระพุทธเจ้าไม่เคยขอร้องใครเลย พระพุทธเจ้าไม่ต้องการสิทธิของใครเลย พระพุทธเจ้าไม่ต้องการแบ่งบุญจากใครเลย พระพุทธเจ้าไม่ต้องการสิ่งใดทั้งสิ้นเลย พระพุทธเจ้านี่วางธรรมไว้ให้เราก้าวเดิน ให้เราเข้าถึง ทุกๆ คนเลย สิทธิของทุกๆ คน คนที่เกิดมาเป็นชาวพุทธที่มีหัวใจอยู่ มีสิทธิเข้าถึงมรรคผลนิพพานได้ทั้งหมดเลย เพียงแต่มันไม่ทำ ถ้าทำก็ให้กิเลสหลอก หลอกไปออกนอกลู่นอกทาง หลอกเอาอยู่ในกรอบ หลอกเอาออกไปนอกร่องนอกรอย มันถึงไม่เข้ามาในเส้นทางไง

หลวงปู่มั่นพูดบ่อยมาก ต้นคด ปลายไม่ต้องหวัง เพราะไม่ให้ต้นคด ต้นต้องตรง พอต้นตรง ต้นตรงท่านถึงเก็บหอมรอมริบไง ถึง ข้อวัตร วัจกุฎีวัตร เวลาเข้าส้วม เข้านี่วัตรทำอย่างไร? เข้าส้วมนะ (อะแฮ่ม) กระแอมก่อนข้างในมีคนไหม? ถ้าข้างในไม่มีคน ต้องเข้าไปในส้วมก่อน เข้าส้วมแล้วถึงต้องถลกผ้าขึ้น แล้วถ่ายเสร็จแล้วทำความสะอาดอย่างไร? ออกมา แล้วต้องปิดให้ดีก่อนแล้วค่อยออกมา ออกมาค่อยปิด สอนหมดนะ แม้แต่วัจกุฎีวัตร วัตรในโรงฉัน วัตรในการน้ำใช้น้ำฉันน้ำหา พระพุทธเจ้าวางไว้หมดแล้ว

แล้วนี่ครูบาอาจารย์ของเรานี่ สิ่งนี้เพราะอะไร? เพราะจิตมันขี้เกียจ เราเป็นอาจารย์ใหญ่นะ ไม่ต้องทำอะไรหรอก ทุกคนจะคอยอุปัฏฐาก ศีล ๒๒๗ เท่ากัน ทุกคนต้องทำข้อวัตรปฏิบัติ ถ้าเขาเคารพ เขาเคารพที่คุณธรรม เขาไม่เคารพเราด้วยอำนาจบาตรใหญ่ เขาเคารพเราด้วยคุณธรรม คนจะเคารพด้วยคุณธรรม อ้างอาวุโสภัณเต อาวุโสภัณเตนี่มันเป็นเรื่องของธรรมวินัย อาวุโสภัณเตนี่ใช่อาวุโสภัณเตตามสิทธิตามกฎหมาย แต่ถ้าอาวุโสมันชั่ว ไม่สน แต่ถ้ามันเข้ามาในสังคม เราก็กราบก็ไหว้อย่างนั้น เอามือจิ้มขี้ กราบธรรมพระพุทธเจ้า ไม่ได้กราบมึง

แต่ถ้าเขาเป็นสามเณรน้อย เขาไม่มีความอาวุโสเลยแต่ใจเขาเป็นธรรมนะ โอ๋ย เราจะเชิดชูนะ จะกราบจะไหว้เลย มันเป็นคุณธรรมในหัวใจต่างหาก นี่พระกรรมฐาน พระที่เขาเคารพกัน เคารพบูชากันนี่ เขาเคารพที่คุณธรรมนี่ เพราะคุณธรรมที่มันแสดงออกมา สิ่งที่มันสะอาดบริสุทธิ์นะ มันแสดงออกมานี่มันเป็นความสะอาดบริสุทธิ์ตลอด

ถึงจะเป็นอุบายวิธีการข่มขี่ ข่มขี่ใคร? ข่มขี่กิเลสในผู้ที่ฟังไง ข่มขี่กิเลสที่เราไม่รู้ตัวไง ข่มขี่กิเลสที่มันทิฏฐิมานะไง ท่านจะข่มขี่ ข่มขี่เก้อเขินไอ้คนหน้าด้านให้กิเลสมันออกไปจากใจดวงนั้น เวลาท่านติท่านว่าใครนะท่านว่ากิเลสไม่ใช่ว่าเรา แต่เพราะกิเลสมานะ พอว่าแล้วไม่โดนกิเลสนะ โดนเราเต็มหน้าเลย ว่ากู ทั้งๆ ที่ท่านจะทำลายกิเลสนะ เหมือนกับเรานี่เด็กนี่มันไปจับของร้อน ท่านจะปัดมือออกนะ ปัดมือว่าอย่าไปจับมันนี่ของร้อน ของร้อนนะ ปัดได้เลย นี่ๆ เป็นทองคำนะ กำเข้าไปเต็มๆ เลย

ที่พูดนี่พูดจากประสบการณ์ชีวิต อยู่กับครูบาอาจารย์มาหลายองค์ ครูบาอาจารย์ท่านสั่งสอนมานะ แล้วเวลาครูบาอาจารย์ท่านพูดถึง พูดถึงสิ่งที่ท่านได้มา ท่านก็ได้จากครูบาอาจารย์มา แล้วสาวขึ้นไปก็ไปตกที่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นทุกทีเลย มันถึงได้เคารพหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นมาก ถ้าไม่มีหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นนะ เรามันก็ไอ้แค่ปลาแห้ง มันก็แค่เหมือนปลาแห้งมันโดนแดดเผามันก็งออยู่บนโลกนี้มันไปไหนไม่รอดหรอก

เพราะว่ามัน ดูสิ ดูเวลาเขาตากปลากัน เขาตากปลาไอ้ปลาแดดเดียวนี่ ดูสิมันงอก่องอขิง ถ้าเราไปปฏิบัติมันก็งอก่องอขิง ไอ้ปัญญาขี้เท่ออย่างพวกเรานี่เอาตัวไม่รอดหรอก

นี่ครูบาอาจารย์ท่านคอยชี้นำ ท่านคอยดึงมานะ เพราะเราไม่เคยปฏิบัติเราถึงไม่เคยติด คนที่ติดคนที่ไปอั้นตู้กับกิเลสที่มันครอบงำนี่ มันจะเอาอย่างไรให้เราพ้นออกไป ให้เราพ้นออกไปจากทิฏฐิมานะ เราบอกเลยนี่อย่างพวกโยมนี่นะ ถ้าดื้อดึงขัดขืนนะ เราเอา รปภ.นี่ ผู้รักษาความปลอดภัยนี่มาเอาออกไปได้หมดเลย แต่ถ้ามันทิฏฐิมานะนะ จะบอกให้มันเปลี่ยนนะ ใครทำให้ได้ มันอยู่ในหัวอก ใครฆ่าความคิดไม่ได้หรอก ฆ่าได้แต่ตัวนะ แต่ฆ่าความคิดคนไม่ได้นะ อุดมการณ์ในชีวิตนี่ใครฆ่ามันไม่ได้นะ แต่ร่างกายนี่เขาฆ่าเราได้

ฉะนั้นไอ้เรื่องร่างกายนี่มันไม่ใช่สิ่งที่จะไปถึง มรรค ผล นิพพาน ที่เขาบอกว่า ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นอริยสัจ บอกไม่ใช่หรอก ถ้าผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นอริยสัจนะ แผงขายสัตว์มันเป็นอริยสัจหมด แล้วยิ่งที่ว่าแยกกาย แยกกายนะ ถ้าแยกกายนะ ไอ้โรงเชือด ซีพีมันแยกดีกว่ามึงอีก โรงเชือดซีพีนี่มันแยกกระดูกส่วนหนึ่ง เนื้อส่วนหนึ่งเลย มันแยกหมดนะ

คำว่าแยกๆ นี่เราก็ไปคิดกันแต่เรื่องโลกๆ ไง มันไม่ได้ว่าเราละกายอย่างไร? สักกายทิฏฐิมันเป็นทิฐิ ถ้ามันมีจิต มันมีจิตมีสมาธิ สมาธินี่มันเข้าไปเห็นมันเข้าไปแยกแยะนี่ มันไปฝึกจิต เพราะตัวจิตนี่มันเป็นตัวแก้กิเลส กิเลสมันอยู่ที่จิต แล้วจิตตัวจิตนี่มันเป็นตัวพระ ถ้าตัวจิตมันตัวคลาย คลายทิฏฐิมานะ คลายสิ่งที่เสพ สิ่งนี้คือธรรม จิตที่มันสงบแล้วที่ไปเห็นผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นสัจจะความจริง แล้วมันแยกแยะของมัน แยกแยะนี่มันเป็นวิภาคะ มันจะทำมันจะฝึกสอนจิต เพราะมันเป็นปัจจุบันธรรม มันจะเห็นสภาวะแบบนั้น

พอฝึกสอนจิตนี่จิตมันก็ฉลาดขึ้น โอ๊ะ! โอ๊ะ! โอ๊ะ! ตลอด โอ๊ะ! มันก็ปล่อยทีหนึ่ง โอ๊ะ!เลยล่ะ โอ๊ะ! เพราะมันมีทิฏฐิมานะ มันมีข้อมูลของมัน ทีนี้ข้อมูลของมัน ต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนั้น เอ้อ มันปล่อยวางมันจะวางอย่างนั้น วางแบบโรงเชือดซีพีนี่ มันก็คาดหมายของมันไป โดยวิทยาศาสตร์โดยมีการศึกษามาก ทีนี้การศึกษามากวิทยาศาสตร์มาก มันก็ต้องคาดการณ์คาดหมายของมันไปมาก

การคาดการณ์คาดหมายนี่เป็นตัณหาความทะยานอยากหมดเลย แล้วมันไม่เป็นความจริงเลย มันก็ถอนอะไรไม่ได้เลย มันอดีตอนาคตมันก็ดึงจิตนี้ไป ดึงจิตนี้มาตลอดเลย แต่พอจิตมันสงบขึ้นมา มันเข้าไปนี่มันเป็นวิภาคะ มันเป็นวาสนาของแต่ละดวงใจ

ดวงใจดวงหนึ่งพิจารณามากครั้งบ่อยครั้งเข้ามันจะปล่อยวาง ดวงใจมันจะพิจารณามากน้อยครั้งมันปล่อยวาง มันปล่อยวางตามความจริงของมัน แล้วเวลามันถอดถอนขึ้นมานี่ พรึ่บ! นั่นไง อย่างนี้ต่างหากมันถึงเป็นวิปัสสนา มันไม่ใช่แยกแยะแบบโรงเชือดหรอก นี่เราไปคิดกันเองไปคาดหมายกันเอง ถ้ามันแยกมันแยกอย่างไร? นี่ไงเพชรในมือไง แล้วมันเป็นอย่างไรมึงบอกกูมาสิ

ผู้รู้กับผู้รู้นี่คุยกันได้ ผู้รู้กับผู้รู้นี่พูดเหมือนกันเปี๊ยบเลย ถ้าผู้รู้กับผู้รู้เถียงกันนะต้องผิดคนหนึ่ง ต้องผิดคนหนึ่ง ลองได้โต้แย้งแล้วต้องมีผิดคนหนึ่ง ไม่มีถูกทั้งคู่ นี่แล้วถ้าครูบาอาจารย์เวลาท่านสอบกัน ไม่มีผิด ลงเพี๊ยะ! เพี๊ยะ! เพี๊ยะ! เลย นี่ไงนี่วงการกรรมฐาน นี่ครอบครัวกรรมฐาน ถึงได้เคารพคุณธรรมกัน แล้วเคารพมาก

ถ้ามีคุณธรรมถึงแล้วจะเคารพมากเลย เพราะอะไร? เพราะสิ่งนั้นเราทำไม่ได้ สิ่งนั้น นี่คนที่ปล่อยวางหมดแล้ว คนที่ไม่มีสิ่งใดขัดแย้งกับทางโลกเลย สิ่งนี้เป็นสิ่งสูงส่ง แล้วเราไปติฉินนินทาไปทำร้ายนี่ กรรมมันเกิดตรงนี้ไง

นี่เขาบอกนะ ศาสนาพุทธนี่เป็นศาสนาแห่งปัญญา ยุ่งมากเลย ถ้าไม่เชื่อก็เป็นกรรม ไม่เป็นกรรม ไม่เชื่อศาสนาไม่เป็นกรรมหรอก เอ็งจะเอาศาสนาอะไรก็ได้ เอ็งจะไปเที่ยวศึกษาอะไรก็เรื่องของเอ็ง ไปได้เลยตามสบายไม่เป็นกรรม แต่ถ้าเอ็งมาในศาสนาพุทธแล้ว แล้วเวลาเกิดนะ เวลาครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ท่านแสดงธรรมของท่านเป็นความจริง เป็นความจริงนะ

ไอ้เราไม่เชื่อก็ไม่เป็นไรนะ แต่กิเลสถ้าไม่เชื่อนะ โอ๋ย ขี้โม้ เวลามันหาเหตุผลติเตียนนั่นกรรมมันเกิดตรงนั้น กิเลสนี่มันจะหาเหตุหาผล แล้วมันจะจาบจ้วงทำลาย จาบจ้วงทำลายด้วยมโนกรรม มโนกรรมการกระทำนั้น นั่นกรรมเกิดตรงนั้น

ไม่ใช่ว่าศาสนาพุทธนี้ไม่เชื่อแล้วเป็นกรรม ไม่ใช่ ไม่เชื่อ สิทธิตามสิทธิทุกคนมีสิทธิหมด ไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร ไม่เชื่อตามสบายเลย ไม่เชื่อมันเป็นวาสนาของแต่ละดวงใจ ไม่เชื่อก็คือไม่เชื่อ ไม่อย่างนั้นทำไมชาวพุทธเรานี่เปลี่ยนลัทธิเปลี่ยนศาสนาเยอะแยะไป เพราะมันไม่เห็นเป็นกรรม เป็นกรรมเหรอ ไม่เห็นเป็นกรรมอะไร เขาก็เปลี่ยนของเขาไป เพียงแต่ว่าเปลี่ยนไปแล้วมันจะมีโอกาสมากโอกาสน้อยไง แต่ถ้ามันไม่เชื่อ พอไม่เชื่อกิเลสมันหาเหตุหาผล พอหาเหตุหาผลมันหาข้อโต้แย้ง พอหาข้อโต้แย้งนี่ แล้วเป็นกรรมเห็นไหม คนไม่ภาวนาไม่รู้

เรามีลูกศิษย์มาหาเยอะมาก “หลวงพ่อครับ ผมนี่เคารพพระพุทธเจ้ามากเลย เวลาภาวนาไปนี่ผมก็ตั้งพระพุทธเจ้าขึ้นมา แล้วผมก็ติเตียนแล้วผมก็ด่า” แล้วด่า ด่าประสาเรานะ ประสาเราที่ว่าถ้าเราด่าของเราเองนี่ มันขึ้นคำพูดหยาบคายขนาดไหนมันก็พูดได้ แล้วพอพูดขึ้นมานี่ตัวเองก็หนาวนะ มันก็รู้ว่ากรรม “ผมไม่อยากทำเลย ผมไม่อยากทำ ผมพยายามห้ามใจของผมก็ห้ามไม่ได้” แล้วทำไมมันติมันตั้งพระพุทธเจ้าขึ้นมา ตั้งครูบาอาจารย์ขึ้นมา แล้วก็คอยเพ่งโทษคอย..

เวลากรรมมันให้ผล เวลาเราติเตียนเราติฉินนินทานี่ เราไม่รู้หรอก แต่เวลากรรมให้ผล เป็นเยอะมากนะ แต่เวลาเราพูดกับเขานี่เราไม่เคยเป็น สิ่งนี้ในใจเราไม่มี เราไม่เคยเป็นอย่างนี้เลย เพราะว่ามันคงจะสร้างกรรมมาดี แต่ของเขามานี่เขาสร้างมาอย่างนี้ แล้วเขาติฉินนินทา เราบอกว่าเราแก้เขา เราแก้เขาเพราะว่ามันเป็นเรื่องของสุดวิสัย

สิ่งที่มันเกิดขึ้นมาในหัวใจนี่มันเป็นสุดวิสัย เราถึงบอกว่าให้ขอขมาซะ ขอขมากับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จะไปขอขมากับองค์ท่านเองก็อาย ก็ให้ขอขมากับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ก่อน คือให้มันอ่อนลง

เริ่มต้นต้องให้มันอ่อนลงก่อน ให้การกระทำให้สิ่งที่มันเกิดขึ้นมาเอง คือมันเกิดภาพขึ้นมาเอง เกิดภาพพระพุทธเจ้า ภาพสมมุติไง ภาพสมมุตินี่เป็นพระพุทธเจ้า เห็นรูปเห็นอะไรนี่ นี่คือพระพุทธเจ้า เห็นรูปนี้คือเป็นครูบาอาจารย์ แล้วก็ติเตียน ติเตียน มีคนไปหาให้แก้ปัญหาอย่างนี้เยอะมาก เยอะจริงๆ

นี่ไงเวลาสิ่งที่เกิดขึ้นมาในหัวใจของเรานี่ เรารู้ของเราเองนะ เรารู้ดีรู้ชั่ว เราแก้ไม่ได้ ไปหาครูบาอาจารย์ ตัวเองแก้ไม่ได้นะ แล้วไปหาเรา เราแก้นี่ นี่มหาปวารณา

มหาปวารณามีไว้ทำไม ถ้าข้าพเจ้าทำผิดสิ่งใดๆ ขอให้สงฆ์นี้ตักเตือนได้ มหาปวารณานี่ให้ทำแทนพระอุโบสถเลย ทำไมเวลาลงอุโบสถนี่ อุโบสถคือทำปฐมนิเทศในเรื่องของศาสนา กำลังตรวจสอบกันนี่ เวลาลงอุโบสถ การลงอุโบสถนี่สำคัญมาก สำคัญมากเพราะแต่เดิมนี่พระพุทธเจ้าเป็นคนเทศนาว่าการเอง พระพุทธเจ้าเป็นผู้แสดงอุโบสถเอง

พระพุทธเจ้าแสดงอุโบสถนี่มีอยู่ครั้งหนึ่ง นี่ถึงเวลาตั้งแต่หัวค่ำจนถึงเที่ยงคืนจนถึงสว่างแล้ว พระอานนท์ว่า

“อาราธนาพระพุทธเจ้าให้แสดงธรรมให้แสดงอุโบสถ”

ท่านเฉย พอเที่ยงคืนนิมนต์อีกก็เฉย จนเกือบจะสว่างแล้วนิมนต์อีก

“เราแสดงไม่ได้หรอก ถ้าเราแสดงไปนี่มีภิกษุอยู่ ๒ คนที่ทำผิดมา ถ้าแสดงไปนี่ภิกษุ ๒ คนนั้นหัวจะแตกเป็น ๘ เสี่ยง”

ตอนนั้นพระโมคคัลลานะ นั่งอยู่ด้วย กำหนดจิตเลย เห็นเลยพระภิกษุ ๒ องค์นี้ พระโมคคัลลานะรีบลุกขึ้นไปเลย ไปจับมือพระ ๒ องค์นี้ให้ออกไปจากสังฆกรรมแล้วกลับมากราบพระพุทธเจ้า

“บัดนี้สังฆะนี้สะอาดบริสุทธิ์แล้ว ขอนิมนต์ให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงปาติโมกข์เถิด” องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสลดสังเวชไง

“ต่อไปนี้เราจะไม่แสดงปาติโมกข์แล้ว เราจะให้ภิกษุนี้เป็นคนแสดงกันเอง”

พอภิกษุแสดงเอง เวลาพระสวดปาติโมกข์นะ สมเด็จพระสังฆราช สมเด็จญาณฯ ยังต้องนั่งอยู่ข้างล่างเลย เพราะผู้แสดงปาติโมกข์นั้นคือทำการแทนพระพุทธเจ้าวาระนั้น

นี่คนสวดปาติโมกข์ถึงมีบุญมาก มีบุญเพราะอะไร? เพราะทำให้สังคมนี้สะอาด สังคมของสงฆ์นี่สะอาด แล้วนี่เวลาเข้าสังคมของสงฆ์นี่ เวลาลงอุโบสถกันนี่ถึงต้องปลงอาบัติกันก่อน เพราะสมัยโบราณนี่มันเป็นภาษามคธนี่ เพราะมันเป็นภาษาพื้นถิ่น ทุกคนฟังแล้วเข้าใจ เดี๋ยวนี้ภาษามคธ ภาษาบาลีนี่เราไม่เข้าใจ แต่ถ้าผู้ท่องได้เข้าใจนะ นี่ไงที่บอกว่าพระที่บรรลุนิติภาวะ ๕ พรรษาเป็นผู้ที่ฉลาด คือท่องปาติโมกข์ได้

การท่องปาติโมกข์นี่คนท่องทุกวันๆ นี่มันรู้ความหมาย มันรู้ความหมายนะ พอรู้ความหมายนี่ พอท่องไปนี่มันรู้เลย อย่างเรานี่เราเคยสวดปาติโมกข์มา ฉะนั้นเวลาพระสวดปาติโมกข์นี่นะมันรู้หน้าไปก่อน รู้ไปหมดเลยนะ แต่ให้สวดนี่สวดไม่ได้นะ จำไม่ได้ เดี๋ยวนี้มันนาน แต่เวลาพระสวดนะ รู้ เพราะมันใกล้ๆ กัน มันพูดมานี่รู้เลยอย่างนั้น อย่างนั้นๆ ติดนี่บอกได้นะ แต่ให้สวดเองสวดไม่ได้ มันไม่ได้ทวนนาน

นี่ไงมันรู้ เพราะเราเคยทำมามันเข้าใจ พอเข้าใจนี่ พอมันเข้าใจอย่างนี้ปั๊บนี่ นี่บรรลุนิติภาวะคือเข้าใจในเรื่องธรรมวินัย มันถึงไปไหนนี่มันไปได้ เพราะบรรลุนิติภาวะ นี่สวดปาติโมกข์ได้ มันเข้าใจ มันเข้าใจในเนื้อหาสาระไปด้วย นี่สงฆ์ นี่พระพุทธเจ้าเป็นผู้แสดง นี่สังฆกรรม

สิ่งที่เป็นสังฆกรรม ความสะอาดบริสุทธิ์นี่สังฆกรรม แล้วสังฆกรรม แล้วถ้าเกิดมีส่วนร่วม มีสิ่งที่มันไม่เป็น วิบัติ ๔ อุปัชฌาย์วิบัติ สีมาวิบัติ อักขรวิบัติ อะไรอีก วิบัติลืมแล้ว

วิบัติ ๔ อุปัชฌาย์วิบัติ กรรมวาจาวิบัติ อักขรวิบัติ สีมาวิบัติ วิบัติ ๔ วิบัติ ๔ การอุโบสถการบวชพระไง ถ้าวิบัติ ๔ ออกบวช บวชแล้วนี่ นะโมตัสสะ นะมอ นะโม นะมอ ออกมานะทำคลอดตัวเอง เวลาเราขานนาคนี่มันเป็น ถ้าบอกอุโบสถ เหมือนเราทำคลอด ถ้าทำคลอดเด็กออกมาแข็งแรง ทำคลอดเด็กออกมาแข็งแรงนี่เด็กจะโตอุดมสมบูรณ์ ถ้าทำคลอดเด็กออกมาพิการ เราทำคลอดตัวเอง อักขรวิบัติ วิบัติ ๔ วิบัติ ๔ มันเป็น การบวชนั้นเป็นความวิบัติ พอวิบัติแล้วมานั่งภาวนานี่มันจะสะดวกมันจะง่ายหรือมันจะยากล่ะ

สังฆกรรมนี่ถ้าศึกษาเข้าไป แล้วพอสังฆกรรมนี้เพื่อความสะอาดบริสุทธิ์ เพื่อพระแท้ ถ้าพระแท้นี่เริ่มต้นมาตรงเห็นไหม เวลาภาวนาไปนี่ แล้วถ้าคนไม่เคยภาวนาจะไม่รู้เรื่องอย่างนี้หรอก

เราอยู่ในวงของภาวนานะ มีพระองค์หนึ่ง เพื่อนกัน อดอาหารทีหนึ่ง ๒๐-๓๐ วันนะ นั่งภาวนาไปนี่ พอจิตมันเริ่ม มันจะลงปั๊บ เด้งปึ๊ก จิตจะเริ่มลง เด้งปึ๊ก เอ.. ก็ปลงอาบัติ ก็ทำทุกอย่างให้ดีหมด ทุกอย่างดีหมด ไม่ได้ พอไม่ได้นี่พอคุยกันในหมู่คณะ ทำทัฬหีกรรมบวชซ้ำ บวชซ้ำเพราะตัดกับอุปัชฌาย์นั้นมา พอบวชซ้ำเข้าไปนะ ทำทัฬหีกรรมบวชซ้ำ พอบวชซ้ำขึ้นไปนี่ พอไปนั่งภาวนา ดีขึ้น ดีขึ้น

แต่เดิมนะ เวลากรรมมันให้ผลนี่ถ้าคนเราไม่ปฏิบัตินะ ไม่ปฏิบัติ มันจะไม่รู้คุณค่าของธรรมวินัย ไม่รู้เรื่องของศีลของธรรม ถ้าคนจะปฏิบัตินี่ ศีลธรรม ศีล สมาธิ ปัญญานี่ ศีลนี่สำคัญมากเลย ถ้าสมาธิมันลงมันก็เป็นสัมมาสมาธิ มันควบคุม มันควบคุมกันเอง มันเป็นสิ่งที่ว่ามันตรวจสอบกันเอง มันเป็นสิ่งที่ส่งต่อกัน

ถ้าศีลดีสมาธิก็จะดี ถ้าสมาธิเป็นสัมมาสมาธิ มันจะเกิดปัญญา ถ้าสมาธิที่มันไม่ดี สมาธิที่มันไม่ถูกต้อง ปัญญาไม่เกิดหรอก ถ้าสมาธิเกิดปัญญาได้เอง ฤๅษีชีไพรเป็นสมาธิ อาฬารดาบสเป็นพระอรหันต์ไปแล้ว

อาฬารดาบสนี่เข้าสมาบัติ ๘ เจ้าชายสิทธัตถะจะเป็นพระอรหันต์ไปแล้ว เจ้าชายสิทธัตถะไปเรียนกับใครมา สมาธิเป็นปัญญาไปไม่ได้ แล้วสมาธิอย่างนั้นมันเป็นฌานสมาบัติ เป็นฌานสมาบัติไม่ใช่สัมมาสมาธิ ฌานสมาบัตินี่เป็นพลังงานที่มีกำลังส่งออกมันมีการขับเคลื่อน

ถ้าสัมมาสมาธินี่เป็นสมาธิที่สะอาดบริสุทธิ์ สัมมาสมาธินี่มันเป็นสัมมาที่ เหมือนกับเรานี่คนแข็งแรงทำอะไรก็ได้ พอทำอะไรก็ได้นี่มันจะย้อนกลับมา ถ้าย้อนกลับมา ทำอะไรเป็นประโยชน์ขึ้นมา ทำประโยชน์ขึ้นมาคือถ้ามันย้อนกลับมา ย้อนกลับมาให้เห็นกาย เวทนา จิต ธรรมนี่มันจะวิปัสสนาขึ้นมา

นี่ถ้าเป็นสัมมาสมาธิ สิ่งนี้จะเป็นประโยชน์แก่การประพฤติปฏิบัตินะ นี่ถ้าเริ่มต้นมานี่ครูบาอาจารย์เราถึง สิ่งที่เป็นธรรมวินัยนี่มันถึงถนอมรักษาแล้วมันจะเป็นไป เพราะอะไรรู้ไหม? เพราะศาสนาพุทธนี่ธรรมะ ธรรม ผู้ที่บรรลุธรรมใจเข้าถึงธรรมคือสุดยอดของศาสนา คือสุดยอดปรารถนาของสัตว์โลก

แต่ในปัจจุบันนี้ภิกษุนี่มีความรู้มากนะ ถ้ามีความขัดแย้งนะมันจะฟ้อง UN พอไปฟ้อง UN นี่ UN นี่หัวดำๆ เราเห็นเวลามันให้สัมภาษณ์กันนะ จะไปฟ้อง UN สิทธิมนุษยชนนะ โอ๋ย พวกนี้มันจะบ้าแล้ว

ทำไมเอ็งต้องบวช? เอ็งบวชมาทำไม? เอ็งบวชมาแล้วนี่เอ็งยอมรับพระพุทธเจ้าไหม? ถ้าเอ็งยอมรับพระพุทธเจ้าแล้วเอ็งทำไมไม่เชื่อฟังธรรมวินัย ถ้าเอ็งเชื่อธรรมวินัยนี่เอ็งไปฟ้องคฤหัสถ์ คฤหัสถ์จะมีประโยชน์อะไร? ใครจะมีปัญญาเท่ากับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในโลกนี้ไม่มีใครมีปัญญาเท่ากับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว

แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่วางธรรมและวินัยไว้แล้วนี่ แล้วเอ็งก็พอใจ เอ็งก็ปรารถนา แล้วเอ็งมาบวชในธรรมวินัยนี้ แล้วมีปัญหาขึ้นมาจะไปฟ้อง UN

คิดแบบโลกๆ คิดแบบวิทยาศาสตร์ น่าเศร้า เราเห็นคิดอย่างนั้นแล้วน่าเศร้า อย่างเช่นเราหรืออย่างเช่นครูบาอาจารย์นี่ บางอย่างมันเป็นเรื่องสุดวิสัย เรื่องของกรรมนี่เป็นเรื่องสุดวิสัย สุดวิสัยหมายถึงว่าเราทำไม่ได้ มีเหตุการณ์ขัดแย้งนี่ถ้าเป็นสิ่งที่ลงกัน สิ่งที่เป็นสายบุญสายกรรม

หลวงตาท่านพูดเลยสายบุญสายกรรม นี่เพราะมีสายบุญสายกรรมมา เวลาที่ท่านพูดอะไรนี่ภิกษุสงฆ์ถึงเชื่อถือ

๑.เชื่อถือการประพฤติปฏิบัติของท่าน

๒.เชื่อถือคุณธรรมของท่าน

๓.เชื่อถือในความสะอาดบริสุทธิ์ของท่าน นี่ท่านพูดอะไรมาคนเขาก็เชื่อถือ

ฉะนั้นมีปัญหานี่ถ้าเวลาท่านตัดสินแล้วพวกเราจะฟัง เราจะยอมรับกัน ทีนี้ถ้าพูดถึงมันไม่ยอมรับกันนี่ คือว่าใจมันไม่ลงไม่ยอมรับกัน แล้วเราจะไปตัดสินอะไร? แล้วในกรรมฐานเรา ดูสิสมัยที่หลวงปู่ฝั้นยังอยู่ มันมีอยู่ทางนครพนม นครพนมในวัดหนึ่งมีปัญหาขึ้นมา แล้วมีปัญหาขึ้นมานี่ ประชุมสงฆ์ขึ้นมา ให้หลวงปู่ฝั้นไปแก้ไข

หลวงปู่ฝั้นท่านฉลาดนะ ท่านก็แบบ ท่านวิเวกไป ไปถึงก็ไปเป็นอาคันตุกะวัดนั้นก่อน ไปเป็นอาคันตุกะวัดนั้นก็ไปดูไง ดูว่ามันเกิดเพราะอะไร? เหตุมันเกิดเพราะว่าแม่ชีหลงตัวเองว่าเป็นพระอรหันต์ แล้วพระก็ไปเชื่อแม่ชีนั้น ไปกราบไหว้แม่ชีนั้น

ทีนี้แล้วหลวงปู่ฝั้นไปถึงก็ไปดูก่อน ไปดูถือสิทธิแล้วนะ ให้แม่ชีนั้นออกจากวัดไป แล้วปรับอาบัติพระ แล้วทำให้มันกลับขึ้นมาใหม่ ดูสิ ดูถนอมรักษากัน ถ้ามีความขัดแย้งมีเป็นปัญหา นี่อยู่ในประวัติหลวงปู่ฝั้นก็มี อาจาโรวาทของหลวงปู่ฝั้นนี่มี

ทีนี้ เราอยู่ในสังคมสงฆ์ เรื่องอย่างนี้ที่มันเกิดขึ้นมานี่เราศึกษา ศึกษามาเป็นคติ ศึกษามาเป็นนี่ ถ้าเรามีวาสนาบารมีที่จะวินิจฉัย หรือแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคม มันก็เป็นประโยชน์ ก็ทำ แต่ถ้าเราจะวินิจฉัยเขานี่ เขาไม่เชื่อเรา แล้วไปพูดนั่น เขาดูถูกเหยียดหยามนะ เขาดูถูกเหยียดหยามด้วย

“ไอ้พระโง่ๆ อย่างนี้จะมาสอนกู” แล้วเราจะไปสอนเขาทำไมล่ะ? นี่มันอยู่ที่สังคมสงฆ์ นี่พูดอย่างนี้แล้วจะบอกว่า ทำไม? นี่ถ้าบอกว่า มันเป็นอย่างนี้ทำไมไม่แก้ไข มันเป็นอย่างนี้ทำไมไม่แก้ไข

มันแก้ไขนี่มันเป็นสายบุญสายกรรม มันเป็นผลบุญผลกรรม ดูสิ สมัยพุทธกาล ที่ว่าพอพระพุทธเจ้าจะปรินิพพาน พระพุทธเจ้ายังไม่นิพพานเลย แล้วมันมีภิกษุวัชชี นี่เวลาถึงเวลาเขาบิณฑบาตเขาเอาสตางค์ไง เอาสตางค์หมดเลย แล้วก็ใส่สตางค์ อู้หู ใส่สตางค์พระก็ชมว่า โอ๋ย คนนี้ได้บุญมาก บุญมาก ทุกคนก็ใส่สตางค์หมด ทีนี้ภิกษุธุดงค์มา พอไปบิณฑบาตเขาจะใส่สตางค์ ไม่ให้ใส่

“ใส่ไม่ได้”

“อ้าว ทำไมใส่ไม่ได้ล่ะ นี่ใส่อยู่ทุกวันไง พระ ใส่อยู่ทุกวัน”

“ใส่ไม่ได้ ใส่ไม่ได้หรอก เพราะภิกษุนี่รับเงินรับทองไม่ได้ วัตถุนั่นเป็นนิสสัคคีย์ ภิกษุเป็นอาบัติปาจิตตีย์ อ้าว แล้วเอาใส่มาได้อย่างไร?”

พอบอกใส่ไม่ได้ปั๊บ พวกโยมเขารู้ขึ้นมา รู้เขาก็โจษขึ้นมา โจษขึ้นมาพระก็จะไม่ได้ลาภ พระเลยประชุมสงฆ์ ประชุมสงฆ์ว่าบังคับให้พระองค์นี้ต้องรับสตางค์ อ้าว พระองค์นี้ก็รับ รับต่อหน้า รับต่อหน้าเขา รับเสร็จแล้วก็หนีจากนั้นไป ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

บอกภิกษุแคว้นวัชชีนั้นเขาทำอย่างนั้น พระพุทธเจ้าสั่งพระให้มาจัดการเลย นี่ถ้ามัน เพราะภิกษุองค์นั้นท่านไปพูดแล้วเขาไม่ฟัง เพราะองค์เดียว แต่สังคมมันเป็นอย่างนั้นไปหมดแล้ว พอไปหมดแล้วนี่กลับมาฟ้องพระพุทธเจ้านะ พระพุทธเจ้า นี่เขาบอกเลยนะเวลาเทศนาว่าการก็จะมีเงินมีทอง แล้วเอาเงินเอาทองนี่พระมาแบ่งกัน

ภิกษุห้ามรับเงินและทอง เริ่มต้นพระพุทธเจ้าไม่ให้ทำเลย เพราะให้พระนี่ต่อสู้กับกิเลส ไม่ให้พระนี่เข้ามายุ่งกับเรื่องผลประโยชน์ ถ้าไปยุ่งกับผลประโยชน์นะจิตมันจะออกนอกหมด สุดท้ายแล้วนี่ จิตตคฤหบดี มันมีคนมาบวชแล้วนี่ คนมาบวชแล้วนี่ทุกคนเป็นลูกคหบดีนี่มันธุดงค์มันทุกข์มันยาก แล้วนี่เขามีศรัทธา พอเขามีศรัทธานี่เขาบอกว่า คนที่มาบวชนี่ลูกคหบดีก็มี ฉะนั้นข้าพเจ้าจะขอถวาย ตอนนั้นมันมีรถต่างเมือง มีรถม้า จะตีตั๋วให้ส่งให้เดินทางไง บอกว่าจะให้เงินนี้ไปเพื่อเดินทาง

พระพุทธเจ้าบอก “ไม่ได้” แต่ถ้าภิกษุเขาอย่างนั้นเพื่อประโยชน์ในการเดินทาง เพื่อประโยชน์ในการเดินทาง

“ให้ยินดีในสิ่งที่เกิดขึ้นจากเงินและทอง แต่ห้ามยินดีในตัวเงินและตัวทอง”

ถ้าเราไม่ยินดีในเงินและทองนี่ สิ่งที่เกิดขึ้นก็เอาเงินนี้ไปซื้อ พอซื้อขึ้นมานี่ถ้าเรารังเกียจเงินและทองนี่ สิ่งที่เกิดขึ้นจากเงินและทอง เราก็รังเกียจอีก เราก็ฉันไม่ได้ เราทำไม่ได้ ให้ยินดีในสิ่งที่เกิดขึ้นจากเงินและทอง แต่ห้ามยินดีในตัวเงินและตัวทอง

สิ่งที่เกิดขึ้นจากเงินจากทอง ที่โยมเขาอุปัฏฐาก เขาหาสิ่งใดๆ มาได้ สิ่งนี้เกิดขึ้นจากเงินและทอง ฉะนั้นมันก็เลยเอาสิ่งนี้ถือปฏิบัติกันมา ทีแรกไม่ให้ยุ่ง ไม่ให้ยุ่งเลยนะ ไม่ให้ยุ่งเพราะอะไร? ภิกษุบวชมาเพื่อนิพพาน เพื่อพ้นจากกิเลสทั้งหมด ทีนี้เพียงแต่เอาตัวรอดไหวหรือไม่ไหว เดี๋ยวนี้ทุกคนบอกว่าโลกเจริญนี่ เป็นไปไม่ได้ทุกอย่างเป็นไปไม่ได้ แต่ ปริยัติเป็นไปไม่ได้ เพราะมันมีการศึกษา เพราะใช้ชีวิตในเมือง ชีวิตในเมืองเป็นสภาวะแบบนั้น ชีวิตในเมืองจะเดินเอาเหรอ

แต่ของเรา พวกเรานี่มัน ประสาเรานะก็ยังทำอยู่ แต่จะบอกอย่างนี้นะ สังคมทุกสังคมมีคนดีและคนชั่ว ไม่ใช่ว่าพระกรรมฐาน พระปฏิบัติจะดีไปหมด พระกรรมฐานดีก็มี ที่หมกเม็ดกันก็มี จะบอกว่าถ้ายี่ห้อกรรมฐานแล้วจะดีไปหมดมันก็ไม่ใช่ แล้วความสะอาดบริสุทธิ์ไม่มีใครทำให้ใครได้ ผู้ทำนี่รู้เอง ความสะอาดบริสุทธิ์พระพุทธเจ้าทำให้ไม่ได้ ทุกอย่างทำให้ไม่ได้ ไม่ได้

พระพุทธเจ้าแค่พยากรณ์ พยากรณ์ว่าคนนั้นสะอาดหรือไม่สะอาด แต่ แต่พระพุทธเจ้าทำความสะอาดให้คนอื่นไม่ได้ ทำให้คนอื่นสะอาดทุกคนเป็นไปไม่ได้ แล้วเราก็จะไปประกันความสะอาดของเขาไม่ได้ เพียงแต่การกระทำของเขามันจะฟ้องเขาเองว่าเขาสะอาดหรือไม่สะอาด

ถาม : ปฏิปทาของพระในปัจจุบันกับสมัยหลวงปู่มั่น นี่จิตรู้

เราจะขอนิดหนึ่งนะ ขออีกหน่อย อันนี้ จะตอบอันนี้หน่อย เขาเขียนมาตั้งแต่เมื่อวาน อันนี้ตอบมันจะเป็นประโยชน์

ถาม : ๑.สำหรับผู้ที่เริ่มปฏิบัติธรรม ทำอย่างไรจิตถึงจะดับอวิชชาได้คะ ควรเริ่มต้นอย่างไร ขอความเมตตาจากหลวงพ่อด้วยค่ะ

๒.ในปฏิจจสมุปบาท อวิชฺชา ปจฺจยา สงฺขารา สงฺขารา ปจฺจยา วิญฺญาณํ เป็นนามรูปของมัน

หลวงพ่อ : นี่ดับอวิชชา การดับอวิชชาที่เราคิดกันว่าจะดับอวิชชานี่ มันไม่ได้ดับที่อวิชชาหรอก มันดับที่ลูกหลานอวิชชา นี่ที่เราบอก มารมันมีพ่อของมาร นี่พูดอย่างนี้นะทางปริยัติเขาฟังแล้วเขา งง อวิชชาคืออวิชชาไง แต่ทางภาคปฏิบัตินี่ เรือนยอดของอวิชชา นางตัณหา นางอรดี คือลูกของอวิชชา แล้วเรือนยอดของมันคือพญามาร ก็คือตัวอวิชชาคือปู่ของมัน

นี่นางตัณหา นางอรดีนี่เหมือนกับพ่อของอวิชชา แล้วนี่ความเห็นผิดระหว่างกายกับจิตนี่มันเป็นหลานของอวิชชา สักกายทิฏฐินี่มันเป็นหลานของอวิชชานะ คำว่าอวิชชานี่ถ้าเราจะไปแก้อวิชชา ไปดับอวิชชาเลยนี่มันไม่เห็นตัวมันหรอก ไม่เห็นตัวมันหรอก แต่เห็นกิเลส กิเลสกับอวิชชามันคนละอัน กิเลสนี่มันเป็นความเข้าใจผิด

กิเลสมันเป็นความรู้สึก มันเป็นความเข้าใจผิดว่าไอ้นี่ก็เป็นเรา ทุกอย่างก็เป็นเรา เวลาศึกษาธรรมแล้วนี่ กายไม่ใช่เรา เราไม่ใช่กาย คนเราเกิดแล้วก็ต้องตาย ไอ้นี่มันพูดที่ปาก มันพูดที่ความคิด มันไม่ได้พูดที่ใจ

กิเลสมันอยู่ที่จิตใต้สำนึก เราพูดด้วยความเห็นของเรา แต่จิตใต้สำนึกคือตัวใจนี่มันค้าน เวลาอวิชชานี่ เวลาเราแก้กิเลสนี่มันไปแก้ที่จิตใต้สำนึก จิตใต้สำนึกตัวจิตมันคลาย ตัวจิตมันปล่อย ตัวจิตนี่มันปล่อยตัวกิเลส พอจิตมันปล่อยกิเลสขึ้นมานี่ มันถึงไม่มีสีลัพพตปรามาสไง มันปล่อยที่จิต ถ้ามันปล่อยที่จิตแล้วบอกว่าทำอย่างไรจะไปดับอวิชชา ถ้าการจะดับอวิชชา มันจะไปดับอวิชชานี่ มันคิดไปประสาโลกๆ นะ เราฟังดูอยู่

มีสำนักปฏิบัติอันหนึ่ง เขาจะบอกเลยนะบอกว่าสร้างนิมิตขึ้นมา แล้วก็ทำลายมัน พอทำลายมันก็ทำลายด้วยวิทยาศาสตร์ไง ทำลายด้วยระเบิด ทำลายด้วยการทำลายมัน มันเป็นไปไม่ได้หรอก มันต้องทำลายด้วยมรรค มรรคญาณนี่มันเกิดขึ้นมาจากอะไร? มันเกิดขึ้นมาจากศีล สมาธิ ปัญญา

แล้วศีล สมาธิ ปัญญามันทำลายนี่มันทำลายโดยธรรม มันทำลายโดยธรรม ทำลายโดยสัจธรรม ทีนี้ทำลายโดยสัจธรรมนี่เราจะคาดหมายการทำลายนั้นไม่ได้ เราจะคาดหมายว่าการทำลายมันจะเป็นออกมาในรูปแบบใดไม่ได้ เพราะการคาดหมายนี่เป็นตัณหา

การคาดหมายฟังสิ ตัณหา วิภวตัณหา ตัณหาคือความอยากได้ วิภวตัณหาคือการผลักไส แล้วเวลามันเกิดขึ้นมานี่เราคาดหมายขึ้นมาให้มันเป็น มันก็เป็นตัณหา แล้วตัณหามันจะไปแก้กิเลสได้อย่างไรล่ะ? เพราะตัวมันเป็นกิเลส แต่คราวนี้ ที่ประพฤติปฏิบัตินี่ จะอธิบายคำว่า แล้วจะไปดับอวิชชาอย่างไรไง การจะไปดับอวิชชานี่มึงดับไม่ได้หรอก มึงไม่เห็นตัวอวิชชา ไม่เห็น

การรวมใหญ่นะ เวลาจิตรวมใหญ่นี่ รวมใหญ่จิตเดิมแท้นี่ผ่องใส ผ่องใสนี่ การรวมใหญ่โดยสมาธินี่จิตมันผ่องใส คือมันว่างหมด กับเห็นความผ่องใส ดูเวลาที่หลวงตาท่านเทศน์ เวลาเข้าไปนี่ นี่ผ่านกามราคะเข้าไปนี่ มันว่างหมด จิตเดิมแท้นี่ผ่องใส มันมองทะลุไปหมดทุกๆ อย่างเลย จิตเดิมแท้นี่ผ่องใส นึกว่าเป็นนิพพานนะ อู๋ย จิตเรามันทำไมมันมหัศจรรย์ขนาดนี้

นี่ ตัวอวิชชา เพราะอะไร? เพราะพอธรรมมันเกิด ธรรมมันเกิดท่านบอกว่า นี่ธรรมกลัวหลง ท่านพูดนะว่าธรรมนี้กลัวหลงถึงบอกว่า ความผ่องใส สิ่งที่ผ่องใสก็ดี สิ่งที่เศร้าหมองก็ดี มันเกิดมาจากจุดและต่อม มันมีที่เกิด ที่เกิดคือตัวภพ ตัวภพคือตัวอวิชชา การเห็นอวิชชานี่มันต้องทำลายตั้งแต่ต้นจนถึงเห็นเป็นอวิชชา แล้วเห็นอวิชชาจะเห็นอย่างไร? พอจิตนี้ผ่องใส งงอีก พองงก็เข้าไปจับตัวอวิชชาไม่ได้ มันก็ออกมาจากตัวอวิชชา พอออกมามันก็หมุนไป หมุนไปเรื่อยๆ หมุนไปเรื่อยๆ

ท่านบอกว่าถ้าหลวงปู่มั่นอยู่นะ ท่านจะไม่เสียเวลา ๘ เดือนเลย เพราะหลวงปู่มั่นมันผ่านมาแล้วมันจะรู้ ที่ไหนเป็นพ่อ ที่ไหนเป็นจุดศูนย์กลางของมันก็จะต้องเข้าไปทำลายที่นั่น แต่นี่เพราะเราเข้าไปไม่ถึง เพราะตัวมัน มันป้องกันตัวมันเอง มันให้ออกมาข้างนอก ให้ออกมาข้างนอกมันก็ส่งออก ส่งออกไปเรื่อยๆ จนทำไปเรื่อยๆ ตรวจสอบไปเรื่อยๆ ละเอียดเข้าไปเรื่อยๆ จนถึงที่สุดนะไปพลิกคว่ำกันที่จุดและต่อมนั้น จุดและต่อมนั้นเป็นอวิชชา เราจะเห็นจุดและต่อมเข้าไปนี่ จุดและต่อมมันเป็นพ่อ มันก็มีลูก มันก็มีลูกมีหลานมีเหลนมา มีหลานมีเหลนขึ้นมาก็ไอ้นี่ ก็ความเข้าใจผิด สักกายทิฏฐิ ความเข้าใจผิด

นี่ไง ง่ายๆ ความเข้าใจผิดว่ากายนี้ไม่ใช่เรา เราก็ศึกษากันนี่ กูเข้าใจถูกแล้ว กายไม่ใช่กู แล้วเป็นพระโสดาบันหรือยัง? เป็นไหมล่ะ? ไม่เป็นเลย นี่ไงปริยัติไง มันไม่ใช่ปฏิบัติ มันไม่ใช่เกิดจากการกระทำ มันไม่ใช่เกิดมาจากการตรวจสอบของใจ ใจไม่ได้ตรวจสอบกันเอง ใจไปตรวจสอบอารมณ์ความรู้สึกกับธรรมของพระพุทธเจ้า แต่ใจไม่มีมรรคญาณเป็นกับใจเข้ามา เข้ามาทำลายตัวมันเอง ถ้าใจมันมีความเข้าใจมันจะทำลายตัวมันเอง มันต้องตัวมันเองก่อน

เราถึงบอกว่า จิตเห็นจิต ถ้าจิตเห็นจิตนี่มันต้องรู้จักจิตก่อน ตอนนี้ดูจิตกัน ดูจิต ดูจิต ดูจิต มันไม่รู้จักตัวมันเองไปดูใคร ไม่รู้จักตัวมันเองไง ถ้ามันดูไปเรื่อยๆ ดูจนจิตรู้จักจิต คือรู้จักเราก่อน จิตคือสมาธิ แล้วสมาธิเห็น จิตเห็นอาการของจิต ถ้าจิตมันไม่เป็นตัวมันเองก่อน มันเอาอะไรไปดูเขา

ถ้าไม่มีสมาธิมันจะไปดูเขา มันก็ดูสัญญาอารมณ์ไง สัญญาอารมณ์ดูสัญญาอารมณ์ พอสัญญาอารมณ์มันก็สร้างสัญญาขึ้นมาใหม่ ว่าง รู้ สงสัยน่าดูเลย ว่างรู้ หลวงพ่อใช่ไหม หลวงพ่อใช่ไหม ถ้ามึงยังถามกูนี่ไม่ใช่ทั้งนั้น ถ้าใช่มึงรู้ก่อนแล้ว มันรู้เองเห็นเองไง มันจะเป็นความจริงเลย

นี่ถึงบอกว่าทำอย่างไรมันถึงจะดับอวิชชา นี่ๆ ความคิดของเรา ทุกคนอยากจะทำลายอวิชชา เราเคยเข้าใจผิดอย่างนี้มา เอามาขายบ่อยมาก ตอนบวชใหม่ๆ ก็มีความคิด เราบวชใหม่ๆ ก็เหมือนกับโยมนี่ การปฏิบัติก็มาจากปุถุชนนี่ เราบวชมาก็เหมือนโยมนั่นล่ะ เหมือนโยมก็อยากได้อยากดีทั้งนั้น แล้วก็อดนอนผ่อนอาหาร สู้กันเต็มที่เลยนะ

พอจิตมันสงบเข้ามา สงบเข้ามานะอวิชชาดับ อวิชชาดับทำไมไม่เป็นพระอรหันต์ ตัวเองก็รู้อยู่ว่าไม่ได้เป็นพระอรหันต์ แต่ด้วยกิเลสมันอยากได้ ไปถามพระองค์นั้นนะ อวิชชาดับแล้วทำไมไม่เป็นพระอรหันต์ อวิชชาดับแล้ว ไปถามองค์นี้ก็ ตอบไม่ได้หรอก ภาวนาไม่เป็นก็ตอบไม่ได้นะ ไปถามองค์ไหนนะ ถามมันว่าไปไหนมา มันบอก ๓ วา ๒ ศอก ยิ่ง งง เข้าไปใหญ่เลย

ธุดงค์ไปนี่ทุกข์มาก เพราะจิตมันเร่งเร้าของมัน มันอยากได้อยากดี แล้วมันก็ทำไม่ได้อย่างมัน โอ๋ย ทุกข์มากนะ ทุกข์น่าดูเลยนี่ เวลาปฏิบัติใครจะรู้ว่าทุกข์ขนาดไหน จนไปถึงอีสาน ไปเที่ยวอีสาน ไปถึงอาจารย์จวน พอฟังท่านเทศน์นะ “อวิชชาอย่างหยาบสงบตัวลง”

ฟังว่าคำว่าอวิชชาอย่างหยาบ อวิชชาอย่างหยาบคือความเข้าใจผิดหยาบๆ มันสงบตัวลง มันก็เป็นสมาธิ ทีนี้พออวิชชาอย่างหยาบสงบตัวลง เราก็เข้าใจว่าอวิชชามันตาย พอเข้าใจว่าอวิชชามันตายกิเลสมันก็หลอก หลอกว่าถ้าอวิชชาดับต้องเป็นพระอรหันต์

ท่านบอกว่า “อวิชชาอย่างหยาบสงบตัวลง อวิชชาอย่างกลางในหัวใจของท่านยังอีกมหาศาลเลย แล้วอวิชชาอย่างละเอียดนะที่มันซุกซ่อนอยู่ในหัวใจของท่าน อีกเยอะแยะเลย”

แหม มันทิ่มหัวใจนี้มันซึ้งมาก มันพูดในใจนะ ใช่ครับ ใช่ครับ ใช่ครับ มันไม่มีใครมาตอบอย่างนี้เลย ไม่มีใครเคยเอาเราอยู่นะ พอไปเจอหลวงปู่จวน

“อวิชชาอย่างหยาบมันสงบตัวลง อวิชชาอย่างกลางในหัวใจท่านอีกเยอะแยะนะ อวิชชาอย่างละเอียดในหัวใจท่านมันยังมีอีกมหาศาลเลย”

เถียงไม่ขึ้น นักปฏิบัติ ถ้าครูบาอาจารย์ที่เป็นจริงนี่ท่านรู้หมด แล้วท่านพูดคำเดียว นักปฏิบัตินี่ขอให้พูดคำเดียว อย่าพูดเยิ่นเย้อ อย่าอธิบายเป็นคุ้งเป็นแคว เบื่อมาก พูดคำเดียวว่าผิดหรือถูก แล้วบอกมาว่าผิดเพราะอะไร? ถูกก็ถูกเพราะอะไร? ไม่อย่างนั้นคนนั้นไม่เป็น เป็นจานกระเบื้อง ไม่ใช่อาจารย์ของเรา

ถ้าอาจารย์ของเรานะมันต้องฟันธงเลย ผิดอย่างนี้ ถูกอย่างนี้ แล้วไม่เสียเวลา ถูกผิดตามชัดเจนมาก ครูบาอาจารย์ที่เป็นจริงตอบอย่างนี้เลย แล้วพอท่านตอบเสร็จปั๊บนี่ สิ่งที่เราเรรวนอยู่นี่มันย้อนกลับหมด พอย้อนกลับมาก็กลับมาเป็นปัญญาอบรมสมาธิ

แล้วพอไปเห็นจิต เจอจิตเห็นจิตนี่ เราปฏิบัติทางจิตมา พอจิตมันสงบไง พอจิตสงบมันสงบบ่อยครั้งเข้า บ่อยครั้งเข้า จิตสงบก็ งง อีก อ้าว ไหนว่าจิตเป็นนามธรรมที่ไม่มีไง นามธรรมไม่มีแล้วนี่มันอะไรล่ะ? นี่มันอะไร?

มันเห็นชัดๆ นะ นี่ เรานี่โง่มาก่อนนะ เราก็เป็นแบบโยมนี่ ทำอะไรพอไปเห็นจริงเข้ากลับ งง เห็นของจริงก็นึกว่าของปลอม เวลาอยู่กับของปลอมก็นึกว่าของจริงนะ อวิชชาดับแล้วมันต้องเป็นพระอรหันต์นะ ของปลอมๆ มันก็ว่าจริง พอไปจิต เจอจิตเข้าจริงๆ งงเข้าไปอีก อ้าว ก็เป็นนามธรรม แล้วนี่อะไร? อยู่ต่อหน้านี่มันอะไร? ก็จิตไง ก็จิตไง นี่ไงที่ว่าพอปฏิบัติไปแล้วนี่พอมาฟัง มาอ่านพระไตรปิฎกไง

นี่หลานพระสารีบุตรที่ไปต่อว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เขาคิชฌกูฏไง

“ไม่พอใจอะไรต่างๆ ไม่พอใจหมดเลย”

พระพุทธเจ้าบอก

“ถ้าไม่พอใจสิ่งต่างๆ เธอต้องไม่พอใจอารมณ์ความรู้สึกของเธอด้วย เพราะอารมณ์ความรู้สึกของเธอก็เป็นวัตถุอันหนึ่ง”

จิตนี่เป็นวัตถุอันหนึ่ง พระสารีบุตรก็พูด พระพุทธเจ้าก็พูด อยู่ในพระไตรปิฎกมหาศาลเลย ว่าจิตนี่เป็นวัตถุอันหนึ่ง แต่ความรู้สึกของพวกเราทางวิทยาศาสตร์ จิตนี้เป็นนามธรรมที่ไม่มีจับต้องไม่ได้

แล้วเวลาเป็นสมาธิ เมื่อตอนบ่ายที่พูด ว่านี่พอมันเป็นสมาธิขึ้นมานี่มันเป็นตัวเป็นตนที่มันจะเห็นมันชัด นั่นแหละของจริง ของจริงมันเป็นอย่างนั้น สมาธิก็เป็นสมาธินั่น มันจะรู้ว่าสมาธิของมัน มันจะเห็นสมาธิของมัน นั่นของจริงนะ ไอ้ที่ว่า ว่างๆ

“หลวงพ่อครับ นี่ว่างๆ มานาน ทำอะไรไม่ได้เลย”

มันมิจฉาสมาธิ มันสมาธิหลอก สมาธิของกิเลสไม่ใช่สมาธิของธรรม สมาธิของกิเลสไง กิเลสมันสร้างความว่างไว้ นี่ไงเป็นอย่างนี้ ว่างๆ นี่เป็นสมาธินะ กิเลสมันสร้างไว้นะ เราก็เชื่อ เออใช่ สมาธิเป็นอย่างนี้ แล้วเป็นสมาธิมา ๓๐ ปี ๔๐ ปีนะ ทำอะไรไม่ได้หรอก เพราะอะไรรู้ไหม เพราะมันเป็นสมาธิของกิเลสไม่ใช่ของเรา ของกิเลสมันสร้างให้ มันหลอกให้ว่าเป็นความว่าง แล้วเวลาอยู่เราก็อยู่กับมัน แล้วเป็นของมันไม่ใช่ของเรา เอ็งจะเอาไปทำอะไร?

แต่ถ้าเป็นสมาธิของเรานะ สติพร้อม ทุกอย่างพร้อม จับต้องได้พร้อม แล้วถ้ามีสติ มีอำนาจวาสนาย้อนออกนะ วิปัสสนาเกิด วิปัสสนาเกิดทำไปเลย โอ้โฮ นี่ๆ จิตเห็นอาการของจิต ตอนที่ว่าดูจิต ดูจิตกัน ปฏิเสธตัวเองก่อน ปฏิเสธจิต แล้วก็ดูจิต ปฏิเสธตัวเองแล้วจะได้อะไร?

ปฏิเสธตัวเอง ปฏิเสธรากฐานแล้วมันจะได้อะไร? ไม่มีเจ้าของมันก็เป็นของสาธารณะ มันเป็นของ นี่ไงธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาติ กิเลสก็เป็นธรรมชาติ การเกิดและการตายก็เป็นธรรมชาติ แต่ถ้าเป็นธรรมะของเรานะ ไม่ใช่

ธรรมะไม่เป็นธรรมชาติ ธรรมะรู้กฎของธรรมชาติ แล้วปล่อยวางธรรมชาติไว้ตามความเป็นจริง กูรู้เข้าใจธรรมชาติหมดเลย แล้วธรรมชาติอยู่เหนือกูไม่ได้ กูอยู่เหนือธรรมชาติ

“ธรรมะเหนือธรรมชาติ”

เพราะธรรมชาติคือแปรปรวน ธรรมชาติคือสิ่งที่เป็นสสารที่ยังแปรปรวนตลอดเวลา แล้วนิพพานมันแปรปรวนได้อย่างไร? นิพพานมันแปรปรวนได้อย่างไร?

ธรรมเหนือโลกนี่ เอโกธัมโม ธรรมหนึ่งเดียว หนึ่งไม่มีสอง

ธรรมชาติหนึ่งเดียวไม่มีสองมีไหม?

แต่ก็พูดกันอย่างนั้นนะ ก็พูดกันไป แต่เราไม่เชื่อแล้วเราไม่ฟัง ธรรมะ ธรรมะเหนือธรรมชาติ ธรรมะเข้าไปสภาวธรรม เข้าใจธรรมะแล้วมันปล่อยวางธรรมะไว้ตามความเป็นจริง แล้วจิตนี้มันกลั่นออกมาจากอริยสัจ จิตนี้มันกลั่นออกมาจากอริยสัจ กลั่นออกมาจากอริยสัจ มันเป็นอิสระของมัน ถ้าจิตมันกลั่นออกมาจากอริยสัจ เป็นโสดาบัน เป็นสกิทาคา เป็นอนาคา แล้วถ้ายังมีจิตอยู่จิตเป็นภพ ถึงที่สุดแล้วพอมันทำลายหมดแล้ว ทำลายตัวจิตทำลายทุกๆ อย่างหมด ว่า จิตเดิมแท้นี่ผ่องใส จิตเดิมแท้นี่ อู้หู มหัศจรรย์

พอทำลาย ปั๊บ! ความผ่องใสความที่ว่านี่เป็นขี้ควายหมด สิ่งที่เป็นความมหัศจรรย์ มหัศจรรย์มันมหัศจรรย์โลกไง ถ้าจิตผ่องใสนะ ดูสิดวงอาทิตย์มันใสกว่าเราอีก ถ้าผ่องใสนั่นแสงสว่างที่นี่ดูสิถนนหนทางมันเปิดนี่สว่างกว่าเราอีก แล้วสว่างใครเป็นเจ้าของมัน ถ้าสว่างอย่างนี้ สว่างอย่างนี้มันก็เป็นอวิชชาอยู่ไง พอมันทำลาย ผลัวะ! เหนือธรรมชาติ เหนือความสว่าง สว่างคู่กับผ่องใส สว่างคู่กับมืด ผ่องใสคู่กับเศร้าหมอง ทุกอย่างคู่หมด สุขคู่กับทุกข์ ไม่มีอะไรคงที่ ธรรมชาติไม่คงที่ ธรรมชาติแปรปรวนตลอด ไม่มี

แต่จิตที่พ้นไปแล้ว นี่ไงพ้นจากพญามารไง มารตามหาจนฝุ่นคลุ้งเลย มารค้นหาไม่เจอหรอก ไม่เจอจิตดวงนี้ พ้นออกไป

นี่บอกว่าทำอย่างไรถึงจะดับอวิชชาได้?

ทุกคนคิดนะว่าจะฆ่ากิเลส ดับอวิชชาเพื่อจะชำระกิเลส แล้วไปทำกันโดยเอากิเลสออกหน้า ไปทำกันโดยความคิดของตน ไม่ได้หรอก ความคิดของตนเป็นโลกียปัญญา โลกียะคือโลก โลกคือหมู่สัตว์ โลกคือสัตว์โลก โลกคือสัตตะ โลกคือผู้ข้อง แล้วจิตนี้เป็นสัตว์โลก สัตว์ที่ข้อง ข้องในวัฏฏะ แล้วปัญญาเกิดจากความข้อง ปัญญาเกิดจากวัฏฏะ แล้วปัญญาจะแก้วัฏฏะ เป็นไปไม่ได้

แต่ทำความสงบของใจเข้ามาจนจิตมันสงบ มันเหยียบย่ำสิ่งที่เป็นตัวตนของเราจนออกไปจนเป็นอิสรภาพขึ้นมา แล้วมันออกไปวิปัสสนาขึ้นมา เป็นโลกุตตรปัญญา ไม่ใช่โลกียปัญญา ไม่ใช่ปัญญามาจากโลก โลกุตตรปัญญาคือปัญญาที่จะออกจากโลก แต่โลกียปัญญา เจ้าของปัญญาคือสัตตะ คือผู้ข้อง แล้วใช้ปัญญา กับโลกุตตรปัญญาที่พ้นออกไปจากโลก มันคนละปัญญา มันคนละชิ้นคนละอันทั้งนั้น ถ้ามันเป็นอันเดียวกัน มันต้องเหมือนกัน

ดูสิ วิญญาณในขันธ์ ๕ กับวิญญาณในปฏิจจสมุปบาทนี่อันเดียวกันไหม? รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ วิญญาณในขันธ์ ๕ อวิชฺชา ปจฺจยา สงฺขารา สงฺขารา ปจฺจยา วิญฺญาณํ วิญญาณในขันธ์ ๕ กับวิญญาณในปฏิจจสมุปบาทนี่เหมือนกันไหม? เราไปถามครูบาอาจารย์มาเยอะ ตอบไม่ได้ แต่เราไปถามอาจารย์จวน อาจารย์จวนเขกทีเดียวหงายท้องตึงมาเลย “คนละอันเว้ย”

วิญญาณในขันธ์ ๕ คือวิญญาณรับรู้ วิญญาณอายตนะ วิญญาณนี่หู ตา จมูก ลิ้น กายนี่ ถ้าไม่มีวิญญาณรับรู้ เราไปเห็นภาพนี่นะ เห็นภาพ แต่ใจมันไม่รับรู้นี่มันอ่านภาพนั้นไม่ออก แต่ถ้ามีวิญญาณรับรู้ นี่จิตมันมารับรู้ นี่เราจะ ฟังเสียงนี่ ถ้าคิดถึงบ้านฟังเสียงนี่ฟังไม่รู้เรื่อง นี่โสตวิญญาณ คือวิญญาณรับรู้ นี่วิญญาณในขันธ์ ๕

วิญญาณในปฏิจจสมุปบาท อวิชฺชา ปจฺจยา สงฺขารา สงฺขารา ปจฺจยา วิญฺญาณํ วิญญาณอันนี้ไม่ใช่วิญญาณในขันธ์ ๕ เขียนวิญญาณเหมือนกัน แต่คนละเรื่องกัน ฟ้ากับดินไม่เกี่ยวกันเลย วิญญาณในปฏิจจสมุปบาทคือวิญญาณปฏิสนธิ คือวิญญาณที่เกิดตาย ฉะนั้นวิญญาณในขันธ์ ๕ สิ่งที่เราสร้างสมขึ้นมาเป็นขันธ์ ๕ เป็นสัญญา

สัญญานี่เราจำได้ในชาตินี้ สิ่งที่เราจำได้ในชาตินี้ นี่ชาตินี้จำได้อย่างหลงๆ ลืมๆ เลย แต่ทำแล้วนี่ถ้าหลงๆ ลืมๆ นี่ กรรมทำแล้วต้องลืมสิ ปล้นเขามาแล้วกูจำไม่ได้ กูปล้นเขามาแล้วกูไม่ได้ทำ กูลืมแล้ว แล้วเราเปลี่ยนแปลงไม่ได้กรรมมันต้องให้ผลใช่ไหม จะลืมหรือไม่ลืมก็แล้วแต่ นี่คือสัญญาในชาติปัจจุบัน

ทีนี้พอในชาติปัจจุบันตายนี่ พอเวลาตายขึ้นมานี่ ถ้าขันธ์ ๕ มันตายตัวนะ คนนี่ไปเกิดต้องเกิดเป็นคนตลอด คนไปเกิดเป็นเทวดาได้อย่างไร? คนไปเกิดเป็นพรหมได้อย่างไร? คนไปเกิดเป็นพรหมเป็นขันธ์ ๑ อ้าว ขันธ์ ๑ ไม่มีขันธ์ ๕ แล้วสิ่งที่ทำมามันก็ไม่มีผลกับขันธ์ ๕ สิ มันไม่มีผลกับจิตดวงนั้นสิ มันมีผลสิ ไอ้ขันธ์ ๕ นี่มันเป็นสามัญสำนึก มันเป็นสิ่งที่เราเกิดเป็นมนุษย์ มนุษย์จะมีธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ แต่ตัวจิตนี่ จิตที่ไม่เคยตายนี่มันเกิดทุกภพทุกชาติ

สิ่งที่ทำมานี่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ สิ่งนี้มันเป็นสามัญสำนึกของมนุษย์ที่สื่อสารกัน เวลามันตายขึ้นไปนี่ พอจิตนี่มันตายขึ้นไป มันทิ้งธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ มันก็ จิตตัวนี้เป็นจิตปฏิสนธิ ปฏิสนธิก็ถ้าสร้างแล้วมันก็ไปเกิดเป็นพรหม เกิดเป็นเทวดา เกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นต่างๆ เกิด การเกิดนี่ สิ่งที่เป็นข้อมูลที่ทำในชาตินี้มันย่อยสลายไป มันมาอยู่ในปฏิจจสมุปบาทนี่ มันอยู่ในวิญญาณปฏิสนธินี่ พออยู่ในวิญญาณปฏิสนธินี่พอไปเกิดที่ไหน พระโพธิสัตว์ถึงได้เป็นพระโพธิสัตว์มาตลอดไง ใครสร้างพระโพธิสัตว์มานี่ บุญกุศลสร้างมามันอยู่ที่นี่ตลอดไป

แล้วเวลาจิตมันสงบเข้าไป มันเข้าไปถึงข้อมูลเดิมของมันนี่ บุพเพนิวาสานุสติญาณนี่ สาวไปไม่มีที่สิ้นสุด สาวไปไม่มีที่สิ้นสุด จิตเกิดตายไม่มีที่สิ้นสุด แล้วเวลาชำระ อวิชฺชา ปจฺจยา สงฺขารา สงฺขารา ปจฺจยา วิญฺญาณํ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่อาสวักขยญาณนี่ทำลายอวิชชาหมด มันจะไปไหนต่อ? มันจะไปไหน? มันจะไปไหน?

ในเมื่อวิญญาณ วิญญาณปฏิสนธินี่ อวิชฺชา ปจฺจยา สงฺขารา สงฺขารา ปจฺจยา วิญฺญาณํ แล้วปัจจยาการอันนี้โดนลบหมด มารมันจะไปหาใคร? มารจะไปเจอใคร? ลบออกหมดไม่มีเลย พระอรหันต์ จบ เอวัง