ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

เทศน์หลังจังหัน

๒ ส.ค. ๒๕๕๑

 

เทศน์หลังจังหัน
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๕๑
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ที่เรานี้จะมีพระมาถามนะ พระอย่างพวกบางกะม่าเขามา เขาบอกว่าจิตของเขานี่มันเป็นจุดเป็นต่อมเลยนะ แล้วจับอย่างนี้ แล้วก็ปล่อย แล้วก็ถามเราว่า ทำไมเราไม่ยอมรับ เรานี่ขำจะตายนะ มันจะยอมรับได้ยังไง มันก็ก๊อบปี้หลวงตามาชัดๆ แล้วเขาก็พูดมุมกลับนะ เขาก็ย้อนกลับด้วย แบบว่าเขาคิดแบบโลกๆไง เขาถามเรานะ ถามอย่างนี้จริงๆ เลย อ้าว ทำไมทีหลวงตา หลวงพ่อยอมรับล่ะ ทำไมของผมไม่ยอมรับ ดูสิ เขายังไม่รู้ตัว เขาถามว่าหลวงตาเป็นจุดเป็นต่อม ทำไมเรายอมรับหลวงตา ทำไมเราไม่เห็นค้านหลวงตา แล้วเขาก็จุดและต่อมเหมือนกัน เราก็ต้องยอมรับเขาสิ กูนี่งงเลยนะ ไอ้ห่า ก็หลวงตาท่านเป็นของจริงใช่ไหม ไอ้นี่มันเป็นความจำใช่ไหม

แล้วอย่างที่มีพระมาเห็นไหม มาถึงก็มาร้องไห้ๆ ถ้าร้องไห้นะกูจะบอกให้มึงจับส่งโรงพยาบาลบ้าเลย หลวงตาเวลาธรรมของท่านถึงที่สุด มันเป็นคุณสมบัติของท่านเอง แล้วก็มาร้องไห้ให้เรายอมรับ ถ้ามันไม่มีหลัก พระที่ออกมาเทศน์ๆ กันอยู่นี่ อย่าง....เขาเล่าให้ฟังอยู่นะ ไปร้องไห้ ให้อาจารย์.......ดูก่อน อาจารย์......ก็เชื่อ ไปร้องไห้ให้....... พอไปร้องไห้ โฮๆ นะ ไอ้พวกนี้มันไม่มีวุฒิภาวะ ก็ทึ่ง ใช่เว้ย ก็ยอมรับ

พอยอมรับก็นิมนต์มาออกงาน เริ่มต้นก็นิมนต์ออกงาน พอออกงานมันก็ติดตลาด พอติดตลาด ว่าวขึ้นลมบนแล้ว ไปแล้ว พอตัวเองไม่มีใช่ไหม ออกมามันก็มีแต่ความเสียหาย ย้อนกลับมาตรงนี้ เขาจดไว้ เขามาถามเราเลยว่า เฮ้ย ถ้าพระมันทำมาเป็นอย่างนี้ต้องตอบอย่างไรวะ โธ่.. แค่นี้เราก็รู้แล้วว่ามันไม่มี เพราะถ้ามีมันจะถามเราทำไม อย่างโยมนี่ ถ้าไม่รู้เรื่องแล้วเขามาถามโยม โยมจะงงไหม โยมยังตอบไม่ได้ โยมก็ต้องเก็บความลังเลสงสัยมาถามคนที่รู้ไง พอมาถามคนที่รู้ เอาปัญหามาให้เราดู เราบอกไอ้นี่มันโกหก เราแค่ดูปัญหาแค่นี้เราก็รู้แล้วว่าไม่ใช่ คือจิตประภัสสร จิตสว่างไปหมดอย่างนี้ มึงไม่รู้ความสว่าง แล้วมึงมาถามกูทำไม แต่ถ้ามันไปถามคนไม่เป็น คนไม่เป็นมันงงไง

เวลาเราไปหาเขา เขาจะมีอย่างนี้ เขาก็มีพรรษาเยอะ ทีนี้ลูกศิษย์ พระเวลามันภาวนาแล้วมันมีปัญหามันก็มาถามปัญหา ตัวเองก็ตอบไม่ได้ แล้วก็เก็บเงียบไว้ เวลาเราไปเยี่ยม “ไอ้หงบ อย่างนี้มันว่ายังไง” เราบอกว่าปัญหานี้ปัญหาปลอม คือปัญหามันเต๊าขึ้นมา มันไม่จริง ถ้าปัญหาจริง มันก็ยังไม่ใช่ เราถึงเห็นไง ว่าพอไม่เป็นมันทุกข์อย่างนี้ เวลามีลูกศิษย์มาถามปัญหานี่ มันตอบไม่ได้ไง แล้วเราก็บอกต้องตอบอย่างนี้ๆ เพราะเรารู้อยู่ว่า เวลาเขาจำเราไปนี่เขาจะตอบไม่ได้หรอก เพราะการตอบปัญหานี่มันเหมือนนักเรียน ตอบนักเรียนไป นักเรียนก็สงสัยใช่ไหม มันก็ถามใหม่ไง เพราะว่า เอ็งตอบปัญหาที่หนึ่งไป มันถามใหม่ว่าแล้วทีนี้จะว่ายังไงล่ะ ตายห่าอีก เพราะกูทำมาได้แค่นี้ไง เราแนะนำเขาแล้วนะ เราก็เศร้าใจด้วย เศร้าใจว่าเขาตอบไม่ได้ เพราะเขาไม่รู้จริง แล้วอย่างนี้เวลาไป เราจะช่วยไปดูไปแลอย่างนี้ แล้วพอตอนหลังเขามาพูดอย่างนี้ เขาไปปล่อยข่าวกับข้างนอกว่าเขามีคุณธรรมนี่ เราจึงไม่ไปอีกเลย เพราะอะไรรู้ไหม ไม่ใช่อิจฉาตาร้อนนะ เพราะเราไปนี่ เพราะคำว่ามันไม่เป็น ก็รู้อยู่ว่าไม่เป็น แล้วเราพูดอะไรไป เราพูดไปถึงสีหนึ่ง แต่เขาไปบอกอีกสีหนึ่ง เห็นไหม เขาบอกเทาๆๆ หมดเลย ต่อไปคำพูดเราก็ไม่มีน้ำหนัก เพราะเขาอ้างคำพูดเราไง อ้างคำพูดของเรา แต่เขาไม่รู้จริง ธรรมะมันก็ไม่มีน้ำหนัก มันก็เสียหายไปเลย

อันนี้มันถึง โอ้โฮ วงในมันมีอะไรกันเยอะ เราถึงกล้าพูดว่าอย่างครูบาอาจารย์ สังเกตได้ไหม อย่างหลวงตาเวลาท่านไปไหน เรื่องปัญหานี่ท่านจะเคลียร์ได้หมด แต่ถ้าเรามันไม่เป็น มันจะไม่กล้า ออกสังคมนี่ไม่กล้าหรอก ยิ่งมีปัญหายิ่งไม่กล้าใหญ่เลย เมื่อวานเขาถามมานะ เมื่อวานมันมีจดหมายมา บอกว่ากำหนดใช้ปัญญาอบรมสมาธิตลอด แล้วบางทีมันก็ทันบางทีมันก็ไม่ทัน พอทันมันก็สบาย พอไม่ทันมันก็ไม่สบาย แล้วให้ทำยังไงต่อไป แล้วพอมันทันขึ้นมานี่ มันเห็นอริยสัจไง เห็นอริยสัจเลยนะ ทุกข์เป็นอย่างนั้น เขียนมาเต็มที่เลยนะ เอามาเทศน์ตอนเช้าเมื่อกี้นี้ไง เราบอกว่าก็เหมือนไปดูงานไง เพราะจิตมันเห็นไง พอจิตมันสงบ มันเห็นอริยสัจไง แต่จิตยังไม่ได้เป็น อันนี้คือปัญญาอบรมสมาธิไง

มันจะเป็นมาอย่างนี้เรื่อยๆ มันจะเห็นภาพเรื่อยๆ เหมือนกับธรรมมันเกิด ถ้าธรรมมันเกิดมันจะรู้มันจะเห็นของมัน มันรู้มันเห็นของมันนี่ เขาคิด นี่คืออะไร พอพูดปั๊บ อย่างเรา เราไปรู้ไปเห็นอะไรเข้า เราก็อยากจะบอกว่าไอ้นี่คือคุณธรรม เราอยากให้เป็นคุณธรรม แต่มันเป็นแค่ทางผ่าน มันต้องเป็นทางผ่านมา ถ้าเราบอกตรงนี้เป็นธรรมปั๊บ ตายเลย มันก็ติดอยู่แค่นี้แหละ

เราถึงบอกว่า ถ้ามันเห็นอย่างนี้ปั๊บ ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า ต้องทำต่อไปไง ถ้าทำต่อไปนี่มันจะเร็วขึ้น หลวงตาพูดเห็นไหม บอกตอนที่ท่านพิจารณาอสุภะ ตอนหลังมันจะไว ท่านบอกมันจะไวมาก มันจะแว้บๆๆ เลย นี่ไง ถ้าฝึกบ่อยๆ มันจะเร็วมาก เร็วมากจนมันหดสั้นเข้ามา จนถึงตัวมันเองเป็นเลย จะหดเข้ามาถึงตัวแล้ว ครืน! ลงที่ใจนี้ มันไม่ได้เป็นที่ตรงนั้น แต่มันต้องฝึกตรงนั้นเข้ามา ถ้าไม่ฝึกตรงนั้นมันก็เริ่มมาไม่ได้

ทีนี้พอเห็นอย่างนั้นปั๊บ แล้วบอกว่าใช่ พอใช่แล้ว มันก็ไม่พัฒนาไง มันจะเห็นของมันอยู่อย่างนั้น แล้วก็จะเสื่อมไป พอเห็นอย่างนั้นปั๊บทุกคนก็ว่านี่เป็นคุณธรรม นี่เป็นธรรมไหม ใช่ แต่มันยังอยู่ในขั้นของ สัพเพ ธัมมา อนัตตา ในขั้นของการพัฒนาการของมัน พอจิตมันเห็น มันจับได้ปั๊บ มันก็พัฒนาการของมันไปเรื่อยๆ จนชำนาญเห็นไหม แล้วกระแสที่มันออกไปมันจะหดเข้ามาเรื่อยๆ ชำนาญเรื่อยๆ เร็วขึ้นเรื่อยๆ ทีนี้ตอนเร็วขึ้นเรื่อยๆ แล้วคนมันไม่อยากทำไง เหมือนเรากินข้าวอิ่มแล้ว ก็ไม่อยากกินอีกแล้ว แต่เดี๋ยวก็ต้องกินนะมึง

ไอ้นี่พอทำเสร็จแล้วก็จะหยุดไง ขี้เกียจไง มันเหนื่อยมันทุกข์ แต่ถ้าไม่ทำ มันก็ไม่ชำนาญเข้ามา ก็ต้องทำอยู่อย่างนั้น นี่ไงเวลาเราอ่านหนังสือที่เขาไปหาหลวงตา แล้วเขามาพูดกับเราว่าหลวงตารับประกัน เราถามว่าหลวงตาท่านพูดเลยเหรอ ใช่ ถูกต้อง แต่ต้องซ้ำๆๆ ตลอดเลย หลวงตาจะตอบอย่างนี้ คำว่าซ้ำคือขยันหมั่นเพียร ถูกแล้วถูก จะว่าผิดไม่ผิดนะ แต่ยังไม่จบกระบวนการของมัน

ถ้าไม่จบกระบวนการของมันคือมันไม่ขาด มันรอวันเสื่อม เหมือนการรักษาโรคไง กินเข้าไปเพื่อบรรเทาไข้ แต่ไม่หาย ต้องกินยาให้ครบชุดของมัน ยาแก้ไข้ กินเข้าไปเม็ดเดียว โอ้โฮ สบายแล้ว ไม่กินแล้ว เดี๋ยวมึงตายห่าเลย จะหายแล้วจะอะไรแล้วแต่ก็ต้องกินให้ครบชุดของมัน อันนี้ก็เหมือนกัน ถ้ามึงทำไม่ถึงที่สุด ยังไม่ขาดนะ เดี๋ยวมันเสื่อมนะ เศรษฐีล้มละลายแล้วมึงจะรู้จักเลยว่าทุกข์ขนาดไหน อันนี้ไม่มีประสบการณ์ไง คนไม่มีประสบการณ์เห็นครั้งแรกก็นึกว่าใช่ บอกว่าใช่ไหม ใช่ ก็เห็นจริงๆ นั่นล่ะ ก็ดูงานไง กายนี่จิตเห็น จิตเห็นธรรม แต่จิตไม่เป็นธรรม จิตเห็น จิตรู้ แต่จิตยังไม่เป็นอยู่ ก็ต้องฝึกบ่อยๆๆๆ เข้ามาจนจิตมันเป็น แล้วตรงไหนถึงรู้ว่าตรงไหนเป็นล่ะ ภาวนา ไม่ผ่านก็ไม่รู้ไง ตรงไหนรู้ตรงไหนเป็น ถ้ามันผ่านแล้วมันรู้ โธ่ ฟังทีเดียว มึงพูดมาคำเดียวเท่านั้น พูดมามันจะรู้เลย เพราะว่าเราเป็น มันผ่าน การภาวนานี่ไงถึงบอกว่าต้องมีอาจารย์

ตำราอ่านขนาดไหนแล้วก็งง โธ่ โทษนะ เรานี่เอาเราเป็นตัวตั้ง ตัวตั้งเพราะอะไร เพราะพรรษาแรก เราอ่านประวัติหลวงปู่เทสก์กับหลวงปู่หลุย องค์หนึ่งติด ๑๗ ปี องค์หนึ่งติด ๑๑ ปี มันก็กลัวมาก กลัวติดกลัวเสียเวลามาก ประวัติหลวงปู่มั่น ประวัติของใครนี่อ่านๆๆๆ แล้วเก็บข้อมูลไว้หมด มึงห้ามพลาดๆ บล็อกตายเลย ห้ามพลาดๆ แล้วมันพลาดไหมล่ะ ก็พลาดทุกที่เลย กลัวมากนะ กลัวจนหาข้อมูล ห้ามพลาดๆ มันจะได้ประโยชน์อันเดียวนั่นล่ะ ประโยชน์อันท้ายนี่ เพราะหลวงตาพูดไง หลวงตาท่านบอกว่าที่ไปเห็นจุดและต่อม ท่านบอกว่าถ้าหลวงปู่มั่นอยู่นะ เราจะไม่เสียเวลา ๘ เดือนเลย ถ้าหลวงปู่มั่นอยู่ หลวงปู่มั่นต้องชี้เลย แล้วต้องได้เลย ก็หลวงปู่มั่นไม่อยู่เราก็เลยต้องเสียเวลาอีก ๘ เดือน ทีนี้พอมาเจอปั๊บนี่ โอ้โฮ เพราะหลวงตาพูดอยู่แล้วเห็นไหม ถ้าหลวงปู่มั่นอยู่ หลวงปู่มั่นต้องชี้เข้ามาเลย โอ้โฮ พอเจอปั๊บ กูไม่ไปไหนเลย กูนั่งเฝ้าเลย จิตนะ ความรู้สึกภายใน กูไม่ไปไหนเลย กูไม่ออกเลย กูนั่งเฝ้าแม่งเลย เหมือนนั่งเฝ้าอย่างนี้เลย ไม่ออกเลย อันนี้ได้ประโยชน์มาก ฟังมาทุกอันๆ แล้วก็จำ แบบว่าคัดลอก ก๊อปปี้ไว้ ฝังใจเลย กลัวพลาด ไอ้ที่ไม่ได้ประโยชน์ อันท้ายนี่ๆ เพราะฟังตรงนี้ฟังบ่อยมาก แล้วก่อนหน้านั้นมันคิดว่ามันผ่านแล้วไง แล้วมันติด เอ้า มีอะไรก็ว่ามา

โยม : ปีติแล้วยาว แช่ไว้อย่างนั้นทั้งคืนครับ เราจะแยกกับสมาบัติได้ไหม

หลวงพ่อ : ไม่ได้ ว่าไปๆ

โยม : ผมก็เลยคิดว่า สมาบัติมันต้องเป็นสัญญาก่อนไหม (หลวงพ่อ : ไม่) หรือว่าปีติมันก็เกิดกับสมาบัติ

หลวงพ่อ : ปีติคือปีติ ปุถุชนก็เข้าสมาบัติได้ พระอริยเจ้าก็เข้าสมาบัติได้ เข้าสมาบัติได้เพราะอะไร เพราะกาฬเทวิล อาฬารดาบส ก็เข้าสมาบัติได้ ปุถุชนนี้ก็เข้าสมาบัติได้ ฤๅษีชีไพรเข้าสมาบัติได้ พวกเข้าสมาบัติถึงเหาะเหินเดินฟ้าได้ เพราะสมาบัติคือสมาธิ สมาธินะ สัมมาสมาธิ ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิคือสมาธิใช่ไหม สมาธิเฉยๆ สมาธิที่เป็นกำลังขึ้นมาเฉยๆ แต่สมาบัติจะไม่เป็นอย่างนั้น เพราะสมาบัติมันมีขั้นตอนของมัน

สมาบัติหมายถึง ฌาน ๔ รูปฌาน อรูปฌาน นี้พอรูปฌาน ๔ อรูปฌาน ๔ นี่มันเหมือนกับเครื่องยนต์ มันมีการผ่อนแรงหรือเร่งแรงขึ้นได้ ทีนี้พอปฐมฌานนี่มันขึ้น เพราะอะไรรู้ไหม เพราะเวลาขึ้นไปแล้ว ขึ้นนี่เราจะไม่รู้นะ เวลาขึ้นบันไดเราจะไม่รู้หรอก อย่างเวลาขึ้นเขา เขาว่ายาก มันไม่ยาก พอลงเขาจะยากกว่า ลงเขานี่รถลงเขาไม่ดีมันตกได้นะ เวลาขึ้นเราแทบไม่รู้ตัวเลย แต่เวลาลง เวลาลงคือถอนกลับ จากเนวสัญญาลงมาอากิญฯนี่ ลงมาจะ โอ้โฮๆๆ มันหยาบไง ถอยขึ้นถอยลงปั๊บ ถ้าถอยขึ้นถอยลงแล้วมันมีแรงของมันไง พอมีแรงของมัน ถอยขึ้นถอยลงเสร็จ พอมีกำลังปั๊บนี่ โอ้โฮ อยากรู้อยากเห็นอะไรจะรู้หมด

โยม : ปีติก็เห็น แล้วเวลาสมาบัติก็เห็น

หลวงพ่อ : ใช่ๆ ทีนี้ปีติมันคือปีติสิ พอจิตมันสงบแล้วมันมีปีติ ปีตินี่มันจะเห็น อย่างที่หลวงตาว่าปีติรู้วาระจิตก็ได้ เพราะปีตินี่มันกว้างมาก รู้วาระจิตก็เหมือนสมาธิเมื่อกี้นี้ไง สมาธินี่เป็นสมาธิใช่ไหม พอสมาธิมันเข้าถึงปีติ ปีติของเรา บางคนปีตินี่แค่สุขเฉยๆ แต่ถ้าบางคนมันจะหลุดเลย เห็นเรานี่หลุดไปเดินจงกรมบนอากาศเลย เห็นเรานี่ไปนั่งบนก้อนเมฆได้เลย

ไอ้อย่างนี้มันอยู่ที่คุณสมบัติของจิตไง จิตของใครมันสร้างมา อย่างที่นั่งกันอยู่นี้ ดูสิ ใครมีตังค์มากที่สุด คนมีตังค์มากคนนั้นก็มีเงินมาก คนมีเงินน้อยก็มีเงินน้อย ใช่ไหม เงินนี้จำนวนเงินมันไม่เท่ากัน นี่ก็เหมือนกัน จิตนี้มันสร้างบารมีมาไม่เท่ากัน จิตเหมือนกัน เรานั่งอยู่นี่ คนเหมือนกัน แต่ละคนมีตังค์ไม่เท่ากัน ไอ้ตังค์นั่นคือบารมีไง พอตังค์นั่นคือบารมีปั๊บ ไอ้ตังค์ตัวนี้ บารมีตัวนี้ มันทำให้อาการที่เป็นมันต่างกัน เห็นปีติกว้างขวาง ก็ตัวนี้ไง

ตัวนี้ไม่เท่ากัน และทุกคนจะไม่เท่ากันหรอก ภาวนาจะไม่เหมือนกัน ถึงจะทำเหมือนกันผลก็ตอบออกมาไม่เหมือนกัน ทีนี้พอไม่เหมือนกัน เหมือนเราเป็นพนักงานธนาคารเห็นไหม เรามีบัญชี เราตรวจได้หมดเลยว่าโยมมีเงินเท่าไร ถ้าเราไม่ไปธนาคารเราจะรู้ได้ยังไงว่าโยมมีเงินในบัญชีเท่าไร พนักงานธนาคารหมายถึงว่ามันรู้วงรอบของจิตไง มันเข้าใจเรื่องของจิตใช่ไหม พอเข้าใจเรื่องของจิต จิตของใครจะเป็นอย่างไรมันจะเข้าใจได้หมด

ถ้าไม่เข้าใจเรื่องของจิต เหมือนเราไม่ใช่พนักงานธนาคาร กูไม่เคยมีข้อมูล กูจะรู้ได้อย่างไรว่าใครมีเงินเท่าไร พอไม่รู้ว่าเท่าไรก็ เฮ้ย ต้องทำอย่างนั้นๆ ก็เลยเป็นสูตรตายตัวไป ก็เลยไม่รู้ว่ายอดบัญชีของใครมีเท่าไร ไม่รู้ว่าใครต้องทำอย่างไร ไม่รู้

ฉะนั้นคำว่าปีติ พอมันเป็นอย่างนั้นปั๊บ ปีติมันจะเป็นไปได้ ประสาเราเลยนะ มันจะอยู่ได้ไม่นาน เพราะเราต้องรักษาสมาธิของเรา ถ้าจิตมันดี ปีติมันก็ดี ถ้ามันรักษาได้นานนะ ไม่อย่างนั้นไอ้.........จะไม่เสื่อมหมดหรอก ขณะที่มันดีขึ้นมามันดีขึ้นมาพักเดียว แล้วมันไปชะล่าใจไง สุดท้ายก็เกลี้ยงเลย เดี๋ยวนี้มีอะไรเหลือ ไม่มีอะไรเหลือเลย เหลือแต่ชื่อเสียงเดิม

ชื่อเสียงคุณธรรมที่เคยมีไว้ คนก็ยังเชื่อถืออยู่ แต่คุณสมบัติในปัจจุบันนี้ไม่มี เพราะมันหมดไปแล้ว หมด ปีติก็เหมือนกัน สมาบัติก็เหมือนกัน สมาบัตินี้เวลาเข้าเวลาออกนี่ มันเข้ามันออกได้แล้วรักษาไว้ได้ พอรักษาไว้ได้ จะทำอะไรก็ได้ว่าอย่างนั้นเลย โธ่.. ประสาเรามันคนชอบลองไง พอเข้าเสร็จ เหาะนี่ โห มันไปอย่างนี้เลย บนเมฆ ไปเลย ทำได้หมด อันนี้เวลาเราพูดนะ

หลวงตาจะบอกเลยว่า ถ้าคนไม่เคยทำ คำพูดมันจะไม่ฉะฉาน แต่เวลาเราพูด ทำไมเราพูดได้เต็มที่เพราะอะไร ก็ทำมาหมดแล้ว เข้าสมาบัตินี่ ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌานปั๊บ อากาสานัญจายตนะ นี่กำหนดเลย อากาศ สรรพสิ่งเป็นอากาศหมด ร่างกายเป็นอากาศหมด ทุกอย่างเป็นอากาศหมดเลย อากาสานัญจายตนะ อากาศ อากิญจัญญายตนะ เข้าไปถึง ในอากาศมีผู้รู้ วิญญาณัญจายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ ขึ้นเลย เข้านิโรธะเลย แล้วถอยออกมา โอ้โฮ ไอ้ที่มาคุยโม้นั้น โธ่.. อยู่ในป่ามันทำมาตลอดเว้ย ปี ๒๕๒๕ ปีนั้นทั้งปีเลย ติดไม่ได้

ขนาดนั่งอยู่ในวัดนี่นะ พอได้ยินเสียงครอกๆ นี่โอ้โฮ กำหนดไปเลย ไปเห็นพระนอนอ้าปากหวอ เช้าไปบิณฑบาต ทำไมเมื่อคืนมึงนอนแผ่สองสลึงอย่างนั้นล่ะ เฮอะ รู้ได้ไง ทะลุหมด เห็นหมดเลย แล้วถามเมื่อคืนทำไมเอ็งนอนอย่างนั้น เพื่อนกันไง บอกว่า นั่งกำหนดทั้งคืนเลย มันไม่ไหว มันเพลียมาก ก็นึกว่าจะพักผ่อนไง ก็นอนแผ่ นอนแผ่สองสลึงเลย แล้วถามว่าทำไมทำอย่างนั้น มันบอกว่าเพลียมาก เพราะเพื่อนกันมันนั่งสว่างตลอดไง พวกนี้มันนั่งตลอดรุ่งตลอด แล้ววันนั้นกำหนดไปดู กำลังนอนอย่างนี้เลย นอนแผ่อย่างนี้เลย ถามมันว่าทำไมนอนอย่างนั้น ก็มันนั่งไม่ไหวมันเพลียมาก ก็นอนแผ่ก็ดี

เวลากำหนดดู กำหนดดูเลย ก็ดู ก็ตรวจสอบ ประสาเรานะไม่อยากรู้อะไร เรื่องของเขา เรื่องของมันมันยังไม่รู้เลย แล้วเราจะไปรู้ของมัน ก็โง่ตายห่าเลย ไปรู้เรื่องเขาทำไม จริงๆ ไม่อยากรู้ แต่จะตรวจสอบใจตัว กำหนดดู ทดสอบตามตำรา ไอ้ที่เหาะ เราดูมาจากของหลวงปู่หลุย หลวงปู่หลุยบอกเลยว่า กำหนดสมาบัติแล้วกำหนดโปรแกรมไว้ มันจะไปตามนั้น เราก็ลอง ลองตั้งโปรแกรมไว้เลย เหาะ แล้วเข้าเลย โอ้ พอมันไปล่ะ โอ! ขึ้นมาเลยนะ เหมือนดิ่งพสุธา แม่งมีแต่เมฆ เฮ้ย เมฆทั้งนั้นเลย ร่อนไปเลยล่ะ ร่อนไปเลย

เวลาทำนี่เห็นไหม ตอนนั้นจิตมันเป็นอย่างนั้น แล้วมันไม่รับรู้อะไรเลย มันเหมือนเราถือศีลเข้มๆ เราก็อวดว่าเราดีกว่าเขา กูถือศีลดีกว่า กูก็ทิฐิว่ากูดีกว่ามึง ไอ้นี่ก็เหมือนกัน พอมันทำได้มันก็นึกว่าดีกว่าเขา มันก็เท่านั้นล่ะ เหมือนเราถือศีลว่าดีกว่าเขา กูดีกว่ามึงนะ ชนชั้นไง กูเหนือกว่ามึง สุดท้ายแล้วบ้าทั้งนั้น หลวงตาว่าบ้าทั้งนั้นเลย เพียงแต่จะทดสอบไง ทดสอบไว้เวลาเทศนาว่าการ ถ้าใครที่มาแล้วมันติดไง ถ้าติดมานะใครติดอะไรมานะ กูได้ทดสอบมาหมดแล้ว กูทำมามากกว่ามึงอีก

เมื่อ ๒ วันก่อนลูกศิษย์มาหาไง เขาบอกว่ามีพระอยู่องค์หนึ่งอ้างว่าเป็นพระศรีอริยเมตไตรย เขามาหาเรา เราบอกไม่ใช่ไม่มี พระศรีอริยเมตไตรยรออยู่นั่นแล้ว แล้วก็พูดทำนองนี้ ว่าญาติเขาชอบทางฤทธิ์ไง เราบอกว่าไอ้เรื่องอย่างนี้นะ มันเจริญแล้วเสื่อม แล้วเขาถามเราว่า แล้วอย่างนี้เราทำได้ไหม เราบอกว่า ถ้าทำ ก็ทำได้ทั้งนั้น แต่มันเป็นเรื่องโลก เรื่องโลกกับเรื่องธรรม ธรรมมันเหนือโลก ถ้าธรรมมันเหนือโลกแล้วจะลงมาโลกทำไม โลกนี่เป็นอนิจจัง แต่ธรรมมันสูงกว่า แต่เขาก็คิดดีนะ เขาบอกว่าอย่างนี้ได้ไหม เปรียบเหมือนสกี เขาเล่นสกีมันมีใช่ไหม มี แต่เราอยู่เมืองร้อน เราก็ไม่จำเป็นต้องเล่นสกีใช่ไหม บอกใช่ เหมือนกัน ถ้าเล่นสกีแล้วเล่นได้ไหม ได้ แต่เราจะเล่นทำไมล่ะ เพราะเราไม่ได้อยู่ในภูมิภาคนั้น

นี่ก็เหมือนกัน จิตมันทำได้ไหม ได้ จิตที่เป็นธรรม ทำอย่างนั้นได้ไหม ได้ แต่จะไปทำทำไม อยู่ดีๆ เอ็งจะไปซื้อสกีมาแล้วก็ไปถ่ออยู่ เอ็งจะทำทำไม มันไม่ได้อะไรขึ้นมา จิตที่มันเป็นธรรมแล้วนี่มันเป็นธรรมเหนือโลก มันจะลงมาคลุกทำไม แต่ถ้าให้ทำจริง ทำได้ไหม ได้ แล้วทำไมไม่ทำล่ะ ไอ้เราถ้าไม่มีเราก็อยากจะทำกันใช่ไหม มันเป็นเรื่องไร้สาระ แต่โลกก็ตื่นเต้นกัน เพราะมันไม่เข้าอริยสัจไง มันไม่เป็นความจริง ถ้าเข้าอริยสัจปั๊บนี่ ดับได้หมด

โยม : อย่างนั้นสมาบัติ ๘ ที่พระอริยะ....

หลวงพ่อ : นั่นไงกูถึงเถียงนี่ไง เพราะในมโนมยิทธิ เห็นไหม บอกเลยว่า ถ้าเข้าสมาบัติแล้ว เขาพูดอย่างนี้นะ ในตำราของเขา ในมโนมยิทธิจะบอกว่า ถ้าเข้าสมาบัติได้ชำนาญมาก เขาพูดอย่างนี้จริงๆ นะ แม้แต่ถ่ายอุจจาระ แม้แต่กินข้าวอยู่ มีสมาบัติแล้วรักษาไว้ตลอด ต้องนิ่งตลอดขนาดนั้นนะ แล้วน้อมไปพิจารณาอริยสัจ ๔ พิจารณาสติปัฏฐาน ๔ แค่เคี้ยวหมากแหลกก็เป็นพระอรหันต์ได้เลย ว่าทำได้ไหม แกบอกได้ แต่ทำได้ไหม ไม่ได้ ไม่ได้เพราะอะไรรู้ไหม ไม่ได้เพราะว่าเวลาเราเข้าสมาบัติ มันจะติด มันติดในสมาบัตินั้นว่าเป็นนิพพาน ถ้าเอ็งเข้าใจว่าสิ่งที่เอ็งทำ มันมหัศจรรย์มันเวิ้งว้าง แล้วเอ็งจะมาพิจารณาไหม มันจะติด ติดล้านเปอร์เซ็นต์ เพราะขนาดใจเราเป็นอย่างนี้นะ แล้วพอเราไปพิจารณานะ กูยังทึ่งเลย เราพูดได้เลยนะ ถ้ากูไม่ภาวนามาก่อนนะ ถ้าไม่ติดนะ กูให้เอาตีนลูบหน้าแน่ ติดเด็ดขาด แล้วถ้าคนมันติด มันจะกลับมาพิจารณาได้ไหม เราถึงบอกว่ามันเป็นไปไม่ได้ไง

โดยทฤษฎีเป็นไปได้ไหม ได้ แต่โดยการปฏิบัติเป็นไปได้ไหม ไม่ได้ กูยันอย่างนี้ประจำ ในทฤษฎีเป็นไปได้ไหม ได้ แต่ในทางปฏิบัติเป็นไปได้ไหม ไม่ได้ เพราะเอ็งไม่เคยเห็นไง มันมหัศจรรย์ ขนาด โอ้โฮ มันมหัศจรรย์มากๆ นะ คำว่ามหัศจรรย์นะ โดยใจของเรานี่ เราก็ต้องตื่นเต้นใช่ไหม แต่เราวัดจากใจของเรา ใจของเราไม่ใช่ใจของโยม ใจของกูนี่ กูผ่านวิกฤตมา กูผ่านเหตุการณ์การภาวนามา มันลึกล้ำขนาดไหน กูไปทำแล้วกูยังทึ่งกับมันเลย แล้วใจที่มันไม่มีหลักไม่มีเกณฑ์ ถ้าไม่ติดนะกูให้ตัดคอเลย ขนาดใจของเรามันขนาดนี้นะ กูไปทำนะ กูยังทึ่งมันเลย แล้วกูยังคิดในใจเลยนะ มันคิดเองเลยนะ ถ้าไม่มีฐานนะติดแน่นอนๆ แต่นี่เพราะใจมันมีหลักเกณฑ์แล้ว แล้วมาทำนี่ มันรู้อยู่ว่ามาทำเพื่อทดสอบไง

เวลาเราปฏิบัติมันจะมีข้อดีตรงนี้ เวลาจิตมันลงนะ เป็นรูปนิมิตอะไรก็แล้วแต่ ทีแรกหลงไปก่อน แล้วพออ่านแล้วเราจะปฏิเสธตลอด ขนาดที่ว่าระลึกได้ ย้อนไปบุพเพฯเลย ย้อนอดีตชาติเลย มันยังปฏิเสธเลย มันยังไม่ยอมรับเลย ว่าไม่ใช่เราเลย อยู่ที่บ้านตาดนี่มันย้อนกลับไป มันเห็นหมดนะ พอเห็นหมดก็ตกใจ พอตกใจก็ยกอันนี้ให้หลวงตาให้หมดเลย บอกว่าเป็นของหลวงตาไม่เกี่ยวกับเรา คือไม่ยอบรับว่าเป็นอดีตชาติของเรา มันเป็นของหลวงตา ยกให้หลวงตาหมดเลย เพราะไม่ให้ไปเกาะเกี่ยวกับมัน แล้วก็ภาวนาต่อไปๆ พอสุดท้ายแล้ว มันผ่าน เข้าใจว่าหมดแล้ว แล้วค่อยมาย้อนดูไง เทียบไปเทียบมา มันของกูเอง

ขนาดย้อนไปดูขนาดนั้นยังปฏิเสธเลย เพราะอะไร เพราะมันกลัวติดไง ปฏิเสธทุกอย่างนะ แล้วพอเข้าใจว่า ตอนนั้นเข้าใจแต่ว่ายังไม่ถึงที่สุด แต่เข้าใจไง ปี ๒๕๒๕ เข้าใจหมดแล้ว เพราะมันหมดแล้ว ก็เลยมาเข้าสมาบัติดูก็มาเจอไอ้พระที่ว่ามันแผ่ เขาเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ เราคุยกันแล้วเขาเชื่อว่าถ้าจิตมึงดีอย่างนี้นะ มึงต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ได้ ต้องเข้าสมาบัติได้หมดต้องอะไรได้หมด เออ จริงเหรอวะ จิตที่ควรแก่การงานแล้ว เหมือนกับดินที่ดีจะปั้นอะไรก็ได้ไง เขาให้เราทำไง ก็พิสูจน์กัน

ก็ทำต่อหน้ากัน ทีแรกเราทำก่อน ทำประสาเรา ทำตามที่เขาบอก มันไม่ได้ ทำตามที่เขาบอกเลย ทำไม่ได้ๆ พอทำไม่ได้ปั๊บ กูทิ้งเลย เพราะเหตุนี้ไง มันถึงย้อนไปที่บ้านตาดได้ เพราะที่บ้านตาดเคยเป็นใช่ไหม เราถึงต้องเอาจริตของตัวเอาความถนัดของตัว เอาสิ่งที่เราใช้ย้อนกลับไป โอ้โฮ พอทำได้ พอทำได้ปั๊บทีนี้เข้าเลย ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน อากาสานัญจายตนะนี่ โอ้โฮ เข้าทุกวัน แล้วคิดดูสิ โทษนะ พอเข้าเสร็จแล้วนะ จนเบื่อ กูไม่รู้จะไปไหน ไม่รู้จะไปไหน จนมาคิดวันนี้จะไปไหนดีวะ เหมือนเขาให้ตั๋วเครื่องบินเยอะแยะเลย แล้วให้เที่ยว กูก็ไม่รู้จะไปไหน จริงๆ ยาย...กูถึงไม่สนเลยไง ใครไปเจอแกก็จะทึ่งใช่ไหม แต่เราฟังแล้ว วันนั้นเขาพูดบอกว่า นรกมืดๆ กูบอกว่านรกสว่างก็มี ถึงยอมรับไง แล้วสวรรค์สว่าง สวรรค์มืดก็มี เพราะในสวรรค์มันก็มีชนชั้น อย่างพวกโยม ทำบุญเหมือนกันหมดเลย แล้วไปเกิดสวรรค์ชั้นเดียวกัน มันก็เหมือนอย่างนี้ ตังค์ใครมากกว่า พอขึ้นสวรรค์ปั๊บนะ เทวดาก็ไม่เท่ากันนะ คุณสมบัติของเทวดาไม่เท่ากันหรอก มันอยู่ที่บุญที่สร้างมา อยู่ที่ใจที่สร้างมา ไม่เท่ากันหรอก แล้วนี่มาบอกสวรรค์มืด สวรรค์สว่าง วันนั้นมาเราอัดทีเดียว เงียบเลย มันทันกันไง พอแกอ้าปากปุ๊บก็ เจ๊อะ หยุดหมด ไปไหนไม่ได้เลย ขยับไม่ได้เลย ขยับไม่ได้ ถึงยอมรับ พอแกยอมรับเราถึงเริ่มพูดไง

เราพูดเป็นขั้นตอนเลย คือพูดให้เขาจับ ที่เราพูดเหมือนเราพาดบันได เอาบันไดพาดให้แล้วมึงฉลาดไหม ถ้ามึงฉลาดมึงจะปีนบันไดขึ้นมา ถ้ามึงโง่มึงอด แต่เขาไม่รู้นะ พอเราพูดจบแล้วนะ เราบอกฟังนะ ทีนี้เราก็พูดเลย โสดาบัน สกิทาคา เราพูดเป็นอย่างนี้ ๆ เหมือนกูพาดบันไดให้เดินเลย ทีนี้มันอยู่ที่วาสนาของเขาแล้ว อยู่ที่เขาโง่หรือฉลาดล่ะ

ถ้าคนฟังไม่ออกก็กลายเป็นเทศน์กัณฑ์หนึ่ง แต่ถ้าคนฟังออกนะ ก็อย่างที่ว่า อย่างที่บอกว่าเราศึกษาประวัติครูบาอาจารย์เห็นไหม กลัวหลงมากกว่ากลัวอะไรอย่างนี้ ขนาดหาทุกอย่างแล้วกั้นเอาไว้เลยนะ กลัวมากๆ เลยนะ แต่มันก็หลง เพราะมันจริตนิสัยและการกระทำนั้นมันไม่เหมือนกัน

อย่างพวกไอ้หวานมันถามเรา เห็นไหม พิจารณาจิตแล้วทำไมต้องมาพิจารณากาย ในเมื่อก็พิจารณาไปแล้ว ก็พิจารณาจิตไปหมดแล้ว แล้วเวลาไปหลวงปู่เจี๊ยะ หลวงปู่เจี๊ยะไม่ยอม ท่านพิจารณากาย มันก็เลย มันถึงบอกเลย ขอโทษนะ ไม่ได้อวดนะ สมัยพุทธกาล เอตทัคคะทำไมไม่เหมือนกัน แล้วนี่เหมือนกันพระที่ปฏิบัติมาในปัจจุบัน หลวงปู่ขาว หลวงปู่แหวนไม่เหมือนกันสักองค์หนึ่ง แล้วมันจะเอาเราไปเทียบกับคนอื่น ก็กูเป็นกู จะให้กูไปเทียบกับใคร แล้วเอาเขามาเทียบกับกูก็ไม่ได้อีกเหมือนกัน เพราะนี่สมบัติกู นั่นเขาไม่คิดถึงตรงนี้ไง เขาคิดว่าถ้าเราเป็นอย่างนี้ปุ๊บ มันต้องเทียบกับในพระไตรปิฎก เทียบตามวิชาการไง เขาดูทำไมเราเป็นอย่างนั้น โอ๊ย มึงตายแน่ๆ มึงคิดจนตาย

ก็มันไปเรียนมา แล้วเอาวิชาการมาจับกู ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ ทำไมไม่เป็นอย่างนั้น ทำไมไม่เป็นอย่างนี้ อธิบายไม่ถูกเว้ย เราก็อธิบายให้มันฟัง มันมีคนสงสัยตรงนี้เยอะมากๆ นี่ยังดีนะ ประสาเรานี่ เรามันมีหลักไง อย่างที่พูดมานี่ ปีติเราก็เคยเป็น ปีติเราเป็นมาเยอะมาก แล้วเราเป็นอย่างหยาบอย่างละเอียดเลย เพราะเริ่มภาวนาใหม่ ยังภาวนาไม่เป็นใช่ไหม มันก็ไปตามขั้นตอนนั่น กำหนดพุทโธไป ดูสิ เรากำหนดพุทโธๆๆๆ จนจิตมันสงบเห็นเป็นก้อนเนื้อมาทับตัวเองเลย ก้อนเนื้อนี้ เนื้อสดๆ กลิ้งมาทับตัวเองเลยนะ เป็นอยู่ ๒ ที พรรษาแรก ก็คิดว่าตัวเองต้องพิจารณากาย พอพิจารณาไป จืดหมดเลย จืดชืดภาวนาอะไรก็ไม่เอาไหนเลย เป็นอย่างนั้นอยู่ ๒ ปี ถึงหันมาพิจารณาจิต ลองดูสิ กูไปไม่รอดแล้ว ดูจิต มาพิจารณาจิต พอมันจับทางจิตได้มันไปพรวดๆ เลย พอจับได้ก็ขึ้นขั้น ๑ ขั้น ๒ ขั้น ๓ เลย

โยม : พระอาจารย์แล้วอย่างนี้เราจะรู้ได้ยังไงว่าควรจะพิจารณาอะไร เพราะในเมื่อพระอาจารย์บอกว่า ครั้งแรกเราเห็นกายก็จะเข้าใจว่า ถ้านิ่งแล้วเจออะไรในตอนแรกมันน่าจะบอกว่ามีนิสัยอย่างไร

หลวงพ่อ : ใช่ๆ ก็อย่างนั้น น่าจะเป็นนิสัยของเรา แต่ถ้ามันทำไม่ได้ก็ต้องหาอุบายหาทางออกเอา หาทางออกเพราะอะไร เพราะอย่างเรานี่นะ พิจารณาไป ๒ ปี ทีแรกนะ ถ้าได้อุบายใหม่ขึ้นมาวันไหนนะ มันก็เหมือนกินของอร่อยนะ ซึ้งมากเลยนะ พอ ๒ วัน ๓ วัน แม่งเซ็งอีกละ ก็จืดชืดอยู่อย่างนั้น

พอหันไปใช้ปัญญาอบรมสมาธิก่อน พอมันสงบเข้ามา มันมีความต่างเรารู้นี่ อันนี้เราถึงพูดถึงหลวงปู่มั่นบ่อยไง หลวงปู่มั่นท่านภาวนาตั้งกี่สิบปีนะ เป็นสิบปี แล้วไปไม่รอดไง แล้วท่านมากำหนดถึงว่า พอพิจารณาเข้าไปเห็นกาย เห็นอะไรเข้าไปแล้วมัน เป็นทางตัน เห็นไหม ถนนขาดเลยที่ในประวัติ มันไปไม่ได้ ไปไม่ได้ก็พิจารณาดู อ๋อตัวเอง ติดในพุทธภูมิ ก็มาลาพุทธภูมิก่อน ฟังนะ ตรงนี้สำคัญ สำคัญเวลาลาพุทธภูมิเสร็จแล้วนี่ พิจารณากายเข้าไป ผลของมันพอลาแล้ว ผลของมันกับการพิจารณาอันเก่ามันไม่เหมือนกันไง อันเก่ามันเข้าไปอั้นตู้ไง อันนี้พิจารณาเข้าไปแล้วมันเข้าใจ มันโปร่งพอเข้าใจมันโปร่ง มันถอนนะ เอ้อ อันนี้ใช่ เห็นไหม

อันนี้ของเราก็เหมือนกัน พอพิจารณาจิต ทางมันโล่งไปเลยนะ มันไปได้เลย พอไปได้เลยมันเห็นทางแล้ว เหมือนเรานี่เห็นทางแล้ว อุโมงค์ ปลายอุโมงค์เห็นแสงสว่างแล้ว แล้วมันย้ำตอนหลวงปู่มั่นมา หลวงปู่มั่นชี้หน้าเลยนะ ของมึงๆ คิดในใจเลยพูดบ่อย เพราะมันฝังใจ ทำไมเพิ่งมาบอกกูวะ เกือบตายแล้ว เพิ่งมา หลวงปู่มั่นมาเลยนะ รูปยืน ยืนอยู่ตรงหน้านี่เลย รูปยืน หลวงปู่มั่นยืนอย่างนั้นเลย มืออย่างนี้ ชี้อย่างนี้เลย ของมึงๆ ทางมึง ทางมึง โอ้โฮ เพิ่งมาบอก ตั้งแต่นั้นไปมันพรวดเลย จับทางนั้นปั๊บปีนั้นได้เลย เราเข้าบ้านตาดนะ ไปได้ที่บ้านตาด ๒ ขั้น ปี ๒๓ พอ ปี ๒๓ ก็มาหลวงปู่เจี๊ยะ มาจบปี ๒๗

โยม : แล้วอยู่ระหว่างเดินปัญญาอยู่เจ้าค่ะ แล้วกลับมาเห็นกายอีกไหมเจ้าคะ แล้วกลับมาได้ไหมเจ้าคะ

หลวงพ่อ : เห็นๆ ได้หมด เราถึงบอกไง เราจะพูดที่เขาบอกว่ากำหนดนิมิตกำหนดพุทโธนี่จะเห็นกายใช่ไหม ถ้ากำหนดนามรูปจะไม่เห็นนิมิต ไม่เห็นกายไง ย้อนกลับไปหลวงพ่อ.......สิ หลวงพ่อ.......สอนอะไร นามรูปเหมือนกันใช่ไหม ทำไมหลวงพ่อ.....เห็นหมดเลยๆ หนังสือของท่านเห็นไหม เห็นอย่างนี้นะมันเห็นเป็นนิมิต มันไม่ได้เห็นเป็นอริยสัจ เพราะเห็นกรรม เห็นกรรมคนโน้น เห็นกรรมคนนี้ แล้วกรรมของกูอยู่ไหนล่ะ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ เราถึงบอกว่าถ้าพูดอย่างนี้มันไปไม่รอด

ถ้าไปรอดต้องหลวงปู่บุดดา จิตหนึ่ง ทั้งๆ ที่เขาอยู่ในวงการของอภิธรรม เขาปฏิเสธหมดเลย ว่าไอ้นั่นเป็นวิชาการ ไม่ใช่ความจริง ความจริงของเขานั่น หลวงปู่บุดดาของจริง ถ้ายังนามรูปอยู่ไม่จริงๆ จริงหนึ่งเดียว ถ้าเวลาเราพูดถึง เวลามันมีอย่างนี้เห็นไหม มันจะมีเหตุการณ์อะไรก็แล้วแต่ หลวงตาท่านบอกว่าถ้ามันเป็นธรรมแล้ว กิริยาแสดงออกมาจะรู้ทันหมด ถ้าไม่ทันจะสอนยังไง จริงๆ เราก็อยากสอนอยากติดอาวุธนะ อยากติดดาบให้พระ แต่ติดไปแล้วเดี๋ยวมันไปฟันคอมันเอง มันไม่ฟันกิเลสมันไปฟันเราเอง มันเกิดทิฐิมานะ แล้วสุดท้ายนะ พอมันเผลอขึ้นมามันเสื่อมขึ้นมาไง เพราะพวกนี้มันเป็นความจำ สังเกตได้ไหมอย่างครูบาอาจารย์ พระที่ออกมาจากบ้านตาด มาใหม่ๆ จะเทศน์มากทุกองค์เลย ได้ ๒-๓ ปีเท่านั้นจบ เพราะข้อมูลมันหมดแล้ว ไอ้ที่จำมาเกลี้ยงแล้ว ออกมาจากบ้านตาดมานะจะไฟแรงมาก โอ้โฮ ออกตลาดเทศน์จ้อยๆ เลยนะ อย่างมากไม่เกิน ๓ ปี เรียบร้อย คือหมดแล้วไง ไอ้ที่จำมา จะเป็นอย่างนี้หมด

นี่ถ้าไปติดดาบเข้ามันก็เป็นอย่างนี้ มันก็ออกไปได้ปีสองปี แล้วเดี๋ยวก็เสร็จ แต่ถ้ามันทำของมันเอง รักษาขึ้นมาเอง มันจะเป็นของมันเอง มันจะดีของมันไปเรื่อยๆ เวลามันพูดมันอิงข้อมูลมันก็ออก แต่เรื่องอย่างนี้พอดีเรามีพระมาถาม มีคนมาบ่อยๆ เลยจะจับประเด็นนี้ ไอ้เรื่องสมาบัตินี่ มันไม่เข้าอย่างนี้ มันต้องปฐมฌาน มันต้องขึ้นเป็นระดับเลย แล้วมันยกไง มันยก อากาสานัญจาฯ เพราะเวลาเราเข้านี่มันจะเป็นชั้นๆ ขึ้นไป มันเหมือนขึ้นบันได ๘ ขั้น แล้วก็ลงบันได ขึ้นบันได ลงบันได ต้องขึ้น ขึ้นไปปั๊บ สมมุติว่าขึ้นบันไดอากาสานัญฯ กำหนดอากาศ ว่างหมดเลย โยมลองคิดดู ที่เรานั่งอยู่นี่เป็นอวกาศหมดเลย ไม่มีอะไรแม้แต่ผงธุลีเลย แปลกไหม ทีนี้พอ อากิญฯปั๊บ สิ่งที่รู้ในอากาศนั้น เพราะอากาศใครเป็นคนรู้ล่ะ จิตรู้ใช่ไหม วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ

โยม : นึกว่าวิญญาณมันจะละเอียดกว่าอากาศ

หลวงพ่อ : โอ๋ อากาศ นี่ใครไปรู้อากาศล่ะ ใช่ แล้วพอ อากาสานัญจายตนะ โห ว่างหมดเลยนะ อากิญจัญญายตนะยิ่งละเอียดเข้าไปอีก วิญญาณัญจายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ อะไรก็ไม่ใช่เลย โอ้โฮ มหัศจรรย์ฉิบหายเลย แล้วยังถอยลงมาอีกนะ เรายังฝังใจเลย จริงๆ ไม่ค่อยได้พูดออกมา เวลาจะถอยออกมาอารมณ์มันหยาบ พออารมณ์มันหยาบนี่มันขยะแขยง ทีแรกไม่รู้เรื่องเพราะเรามันฝึกใหม่ พออารมณ์มันหยาบนะ ความรู้สึกเรานะ เหมือนกับบังคับให้เรานี่กินอาหารหมา อาหารเรานี่อร่อยใช่ไหม อาหารมนุษย์แล้วพอเราต้องกินอาหาร เพราะอารมณ์มันหยาบ เหมือนเราต้องกินดิน กินเศษฝุ่น เศษอะไรเลย จิตมันรับรู้ มันสะอิดสะเอียน เวลาลงแรกๆ เวลาลงนะ จากข้างบนลงมา มันสะอิดสะเอียนเลยนะ มันครั้งแรกไง แต่พอมันชำนาญแล้วมันก็เป็นเรื่องปกติ แต่ครั้งแรกนี่ฝังใจมากเลย

พอมันถอยลงมาจากเนวสัญญานาสัญญายตนะ ลงมาๆ อู้หู มันไม่อยากลง มันลงไม่ได้ เหมือนกับเอาเราไปคลุกขี้ ว่างั้นเลย ความรู้สึกนะ เหมือนเอาเราไปคลุกขี้เลย อารมณ์มันหยาบขนาดนั้น สะอิดสะเอียนเลย แต่ก็ลงมา นี่ของจริง มันเคยทำ แล้วพอเสร็จแล้วเดี๋ยวเราก็ขึ้นอีก ลงอีก ขึ้นอีก เฮ้ย กำลังมันเกิดแล้ว เหมือนรีไซเคิลน้ำ เราถึงบอกว่ามันมีพลังไง เหมือนชาร์ตแบต เต็มแบต แบตจะเอาไปใช้อะไรก็ได้ พอจิตมันพัฒนามันมีกำลังแล้วนะ โอ้โฮ สยดสยอง อยากรู้อยากเห็นอะไร ไม่มีอะไรปิดได้เลย ไปได้หมด อันนี้เราเป็นคนกำหนดเห็นไหม เรารู้ว่าอันนี้เราเป็นคนกำหนด แต่ที่พวกเราเวลาเป็นเห็นไหม มันคือกิเลสกำหนด เราถึงไม่ให้ออกไง ไอ้อย่างนี้เราทำกำลังนี่ เราเป็นคนกำหนด พอกำหนดปั๊บเราจะทำอะไรก็ได้เหมือนเราเป็นคนใช้มัน แต่เวลาภาวนา คนนิสัยอย่างนี้มันไปรู้เห็นอะไรแปลกๆ นี่ นี่เราไปใช้มัน แต่นั่นกิเลสมันใช้เรา ถ้ากิเลสมันใช้เราปั๊บ เราจะไม่ตามมันไป เราจะหดเข้ามาก่อน ให้มันเป็นอิสระเข้ามาก่อน แล้วเดี๋ยวเราค่อยใช้มัน

ถ้าเราไปรู้อย่างงี้ปั๊บ มันใช้เรานะ ที่รู้ๆ นั่นมันใช้เรา พอมันใช้เรา คิดดูสิ มันใช้เรา เราเป็นขี้ข้ามันตลอดเลย แล้วแต่มันจะเรียกใช้ไง กิเลสกวักมือ แม่งก็ไปละ ต๊อกๆๆๆ นี่ไงตั้งสติไว้ไง กำหนดพุทโธไว้ กำหนดไม่ให้มันไปไง มันทำได้แต่มันเหนื่อยมาก ถ้ามันทำไม่ได้นะ ทำไมหลวงตา แม่ชีแก้วก็ออกรู้อย่างนี้ แล้วตัวเองก็ไม่ยอม พอไม่ยอมหลวงตาบอก ไม่ๆ ไม่ให้ออก ถ้าไม่ออกก็ไม่ได้ภาวนาสิ เพราะไปสำคัญว่าการเห็นนั้นมันถูกไง ถ้าอย่างนั้นลงไป! ไล่ลงจากเขาเลย ถ้าจะอยู่กับเราต้องไม่ให้ออก ต้องบังคับ แล้วพอบังคับจริงๆ เข้า โอ้โฮ เป็นของดี กราบหลวงตาแล้วกราบหลวงตาอีกนะ

โยม : วันก่อนก็ใช้ปัญญาอบรมสมาธิอยู่ค่ะ คือจะแยกอย่างที่หลวงพ่อบอก คือ แต่เดิมคิดว่าปัญญาอบรมสมาธิหมายถึง คิดเรื่องเรื่อยเปื่อยค่ะ ทีนี้พอมันแยกแบบ โอ้โฮ ฮูย ถ้าเกิดแบบได้เข้าไปแยกแบบที่เคยเป็น คงจะแบบว่าสนุกน่าดู

หลวงพ่อ : สนุก ก็เราพูดบ่อยใช่ไหม บอกว่าเกมของมึงสู้กูไม่ได้ เด็กๆ ที่มึงกดเกมสู้กูไม่ได้หรอก กูมันกว่ามึงเยอะ (มันเหมือนเล่นเกมเลย) กูพูดทุกวันเลย อู้ฮู มันสู้กันมันฉิบหายเลย มันแยกนะขันธ์เป็นอย่างนั้น เกมมึงสู้กูไม่ได้หรอก กูมันกว่ามึงหลายเท่า

โยม : ตรงนี้ไงเจ้าคะ ก็ฟังหลวงพ่อจนเกิดอาการที่เราคาดหวัง โอ้โฮ ถ้าเกิดมีอย่างนี้ถ้าเกิดมันเข้าไปเล่นได้คงสนุกน่าดู

หลวงพ่อ : ใช่ ถ้าจะเข้าไปเล่นได้นี่ เราต้องกลับมาที่ฐาน กลับมาภาวนาของเราไปเรื่อยๆ เหมือนเราปลูกต้นไม้เวลาโตขึ้นมา มันจะออกดอกออกผลให้เราได้กิน ถ้าเผลอเมื่อไรนะต้นไม้มึงตาย มึงจะเอาสารพิษไปรดน้ำต้นไม้ได้ยังไง มันต้องเอาปุ๋ย เอาสิ่งที่เป็นประโยชน์รดให้ต้นไม้ นี่เหมือนกัน ต้องมีสติ

มีสติมีความตั้งใจดี มีอะไรนี่ เห็นไหม สิ่งนี้มัน เป็นสิ่งที่ทำให้มันเจริญงอกงาม เราต้องรดด้วยอย่างนี้ จิตถึงจะดีขึ้นมา แต่ถ้าเราไปเพลินกับมันนี่คือสารพิษแล้ว แล้วมันก็จะมีอย่างนี้ เพราะเราต้องลองผิดลองถูกไป ทำไปอย่างนี้เดี๋ยวเราจะรู้ถูกรู้ผิดเอง รู้ถูกรู้ผิดเองเพราะอะไร เพราะเราก็รู้นะ เวลาหลวงตาสอนขึ้นมานี่ ฮื้ม! แต่ถ้าเราเห็นเอง เรารู้เอง นี่ก็เหมือนกัน เวลาใครสอน มันก็ยังคิดอยู่นะ ใช่ เราก็เป็นนะ ใช่ แต่พักไว้ก่อนเอาอย่างนี้ก่อน หลวงตาสอน บอกถูก แต่ขอลองก่อน เราเป็นมาหมดแล้ว

โยม : ใช้ปัญญาอบรมสมาธิมันก็เพลินไปเรื่อยๆ แต่ถ้าเกิดมีพุทโธเข้าไป..

หลวงพ่อ : เดี๋ยว ใช้ปัญญาอบรมสมาธินี่ มันเพลินไปเรื่อยๆ เพลินคือเพลินมันปล่อย สุดท้ายแล้วมันหยุด ตอนหยุดนั่นคือสมาธิ เวลามันเพลินไป เมื่อก่อนมันคิดแล้วมันทุกข์ แต่ถ้ามันเป็นปัญญาคิดแล้วมันเพลิน คือคิดแล้วมันเป็นสุขไง ถ้าคิดแล้วเป็นสุขเห็นไหม ระหว่างสุขกับทุกข์ และถ้ามันปล่อยมามันก็เป็นกลาง แล้วก็คิดไป มีสติตามไป ถ้ามันมีความสุขๆ หมายถึงว่ากำลังมันมีแล้วนะ มันคิดแล้วมันทันกันไง พอมันทันกันแล้วมันมีพลังงานที่จะหยุด แต่ถ้ากำลังไม่พอนะ คิดแล้วเครียด มันลากไปเห็นไหม

ถ้ากำลังไม่พอ ปัญญาเราไม่ทันนี่ โห คิดแล้วทุกข์ฉิบหายเลย แต่ถ้าคิดแล้วชักสุข ชักพอใจเห็นไหม เริ่มมีกำลังแล้ว คิดนี่ตามมันไป ตามรู้ตามเห็น รู้เท่ารู้ทันเห็นไหม มีความสุขแล้ว รู้แจ้งแทงตลอด ตามรู้ตามเห็นไง มันคิดจบแล้วค่อยรู้ไง มันคิดแล้วมันทุกข์แล้ว ค่อยรู้ว่าทุกข์ไง นี่ก็ตามมันไป ก็ยังดีนะ ยังดีกว่าไม่รู้ตัวเลย ตามรู้ตามเห็น รู้เท่ารู้ทัน รู้แจ้งแทงตลอด เวลาจะคิดนะ เฮ้ย มันคิดอีกแล้ว จบ ฝึกไปเรื่อยๆ ทำไปเรื่อยๆ ทุกอย่างต้องมีการกระทำ มันไม่มาจากฟ้าหรอก ไม่มีอะไรทุกอย่างที่สำเร็จรูปมาจากไหนหรอก เราต้องขยัน ถ้าเห็นประโยชน์ มันเห็นคุณ มันต้องขยันแล้วทำได้

โยม : แต่ เวลาแยกขันธ์ค่ะ ต้องพร้อมรูปไหมคะ มันไม่เรียงใช่ไหมคะ

หลวงพ่อ : ไม่ ถ้าเรียงผิด ไม่ต้องเรียง บางทีไปคิดเรื่องรูปก่อน ไปคิดเรื่องวิญญาณก่อน ไปคิดเวทนาก่อน อะไรขึ้นมาจับก่อนไง เวลาอารมณ์ขึ้นมา โกรธเขา โกรธเขาคือจำสัญญา จับสัญญาก่อนเลย สัญญามาจากไหน เขาด่ามึงตั้งแต่เมื่อไร ถ้าเวลาเราคิด พอคิดมาสังขาร เห็นไหม ในสังขารก็มีสัญญาทั้งหมด ในสัญญาก็มีครบ ทุกอย่างมีครบ เขาเรียกปัจจุบันไง อะไรโผล่ขึ้นมา เอาก่อนเลย

โยม : วิญญาณรับรู้ก่อน

หลวงพ่อ : มาอยู่โพธารามนะ มันกินข้าวไม่ได้ต้องไปกินที่กรุงเทพนะ มึงอดตายห่าเลย มาอยู่ที่นี่ อะไรมีก็กินมันสิ เขาบอกกินข้าวที่บ้าน หิ้วท้องกลับไปกินบ้าน ต้องรอพิจารณาอย่างเดียวไง เจออะไรขึ้นมาก็ไม่เอามัน

โยม : หลวงพ่อ สมมุติว่าเราได้ยินเสียงแล้วเรารู้สึก จะบอกว่า เราไปติดสัญญาอันเก่าแล้ว

หลวงพ่อ : นั่นคืออุบายของเรา ถ้าเป็นเสียงขึ้นมา เสียงนั่นคืออะไร จับมันแล้วคิดสิ อุบายอันเก่าคืออันเก่าไง อุบายอันเก่านี่บางที เขาเรียกกิเลสบังเงา มันจะได้ประโยชน์กลับไม่ได้ประโยชน์ไง พอจะเป็นประโยชน์ ก็เป็นสัญญาแล้วนะ ทำไม่ได้ไง พอจะหยิบเงิน เงินคนอื่นนะไม่ใช่เงินกู ก็กูหยิบเอง ไอ้ห่าปัจจุบันๆ จับเดี๋ยวนั้นพิจารณาเดี๋ยวนั้น มันจะเป็นยังไงช่างหัวมัน ทำมันเดี๋ยวนั้น เดี๋ยวมันรู้เองเก่าไม่เก่า

เพราะอะไรรู้ไหม การพิจารณากายนี่นะพิจารณากาย พิจารณาเหมือนกัน บางทีมันไม่เหมือนกัน อย่างเช่นหลวงตาท่านบอกว่า ท่านเหมือนกับหลวงปู่คำดี แต่คนละวาระ ไอ้ที่ว่าเสือก็มีขน เราก็มีขน เสือก็มีหนังเราก็มีหนัง หลวงปู่คำดีก็ใช้อย่างนี้เหมือนกัน แต่คนละวาระ เพราะหลวงปู่คำดีใช้ก่อน หลวงตาท่านใช้ปัญญาของท่าน นี่พูดประสาเรานี่คือสัญญา ถ้าเอามาเทียบกันนะ แต่ไม่ใช่เพราะต่างคนต่างเป็น คราวละโอกาส พิจารณากายก็เหมือนกัน พิจารณากาย กายหยาบกายละเอียด พิจารณาอย่างหลวงปู่เจี๊ยะ หลวงปู่ชอบนี่ พิจารณากายเหมือนกัน แต่ไม่เหมือนกัน เพราะมันเป็นปัจจุบันของใครของมันไง

อันนี้ก็เหมือนกันเวลามันคิดว่าอันนี้เป็นสัญญาเก่าอีกแล้ว เป็นของครูบาอาจารย์แล้ว ถ้าเป็นของครูบาอาจารย์ ถ้าพิจารณาแล้วมันปล่อยก็ใช้ได้เว้ย เว้นไว้แต่นะเวลาคิดเปรียบเทียบแล้วมันไม่ไปสักที เอ้อ อันนี้สัญญาจริงๆ คือทำแล้วมันไม่ได้ผลไง ถ้าทำแล้วได้ผล ก็เหมือนกัน เอ็งจะทำอะไรก็แล้วแต่นะ ไม่พ้นจากนโยบายของพระพุทธเจ้า คือทำมาทั้งหมดไม่พ้นจากอริยสัจ ๔ ของพระพุทธเจ้าไปหรอก

แต่ถ้าไปจำพระพุทธเจ้ามามึงทำอะไรไม่ได้เลย แต่ถ้าเอ็งทำอะไรก็แล้วแต่ ไม่พ้นจากพระไตรปิฎกหรอก สิ่งที่เรารู้ขึ้นมานี้ พระพุทธเจ้ารู้ก่อนแล้ว แต่ถ้าเอ็งไปรู้ตอนนั้นเอ็งไม่รู้อะไรเลย ต้องมาเกิดให้รู้จริงกับเรานี่ไง ลองทำดูสิ

ถ้าพูดถึงคำว่าปีตินี่นะ มันเป็นสมบัติเดิม เหมือนกับรสชาติของอาหาร รสชาติของมันก็ผสมสำเร็จมาแล้วคือปีติ แต่ถ้าเป็นสมาบัตินะ เราต้องผสมเอง เราต้องทำแกงเอง มันต้องขึ้น กำหนดเลยนะ อากาสานัญจายตนะ มันเป็นคนละระดับ เพราะจะยกขึ้นอากาศนี่ พอเราเข้าถึงปฐมฌานปั๊บ เรายกขึ้นอากาศเลย คืออรูปฌาน อรูป คือไม่มีอะไรเลย รูปฌาน ๔ อรูปฌาน ๔ พอยกขึ้นอากาศ ยกขึ้นวิญญาณยกขึ้นเลย แล้วมันเป็นอย่างนั้นจริงๆนะ มันพาสชั้นเลย ไปไม่รู้เรื่องเลย เหมือนคนละมิติเลยๆ แล้วเปลี่ยนเข้าไปอีกมิติหนึ่งๆ เปลี่ยนเข้าไปอีกมิติหนึ่งแล้วถอยกลับๆๆ

ตอนทำได้อยู่คนเดียวนะ เหมือนคนบ้า มันฉิบหายเลย เล่นอยู่คนเดียวไม่มีใครรู้นะ พระเด็กๆ ๔-๕ พรรษาใครจะไปเชื่อมัน แล้วเสือกเป็นเจ๊กด้วย ทำอยู่คนเดียวนะ อยู่บ้านตาด เวลาขัดศาลานี่ โห เขาขัดกันอย่างนี้ เราขัดอย่างกับหนังจีนเลย พรวดๆ กวนเขาไปทั่ว เพราะอะไร เพราะมันบอกว่าพระเจ๊ก อ้าว เจ๊กใช่ไหม เวลาขัดศาลาพรวดไปเลยนะ เหมือนกับกำลังภายในเลยล่ะ กูเล่นของกูกลางศาลา เพราะอะไรรู้ไหม เพราะว่าใจมันมีหลัก เราเห็นของเขานี่แบบว่าใกล้เกลือกินด่าง มารยาทข้างนอกทำเหงียมๆ แต่ไม่เอาจริงเอาจัง ความคิดไม่มี ความเป็นไปก็ไม่เป็นไป เอ็งเห็นกูนี่ขี้ครอก แม่งเจ๊กบ้านี่แหละ เราไม่กลัว กิริยาภายนอก กิริยาภายใน

แล้วมันรู้กับหลวงตา เราคุยกับหลวงตาอย่างนี้ หลวงตารู้ตลอด ถ้าทำอย่างนั้น โธ่ เป็นคนอื่นนะตายห่าเลย เวลาเข็นน้ำๆ ไอ้จำรัสกับไอ้หมู ไอ้หมูนาแห้วนี่ เราอยู่กลาง มันเข็นน้ำกันแล้วทุกคน มันจะหลบหลีกไง ไอ้เราเข็นน้ำมันก็เล่น ระยอง จันทบุรี ตราด ก็พูดไปเรื่อยนะ เด็กวัดไง ระยองๆ ก็เรียกไปเรื่อย ลั่นวัดเลยล่ะ ท่านยืนอยู่นะ ท่านยืนอยู่ที่แท็งก์น้ำนี่ โธ่ ท่านจับเราตลอดเรารู้อยู่ ท่านยืนอยู่ตรงแท็งก์น้ำ พอ จันทบุรี ตราด มาโน่น ท่านพรวดออกมาดักหน้าเลย เล่นรถเข็นน้ำ ท่านพรวดออกมาดักเลย ท่านพรวดออกมาจากแท็งก์น้ำเลย ชี้หน้าเลย มึงคึกคะนองอะไรขนาดนั้น โห ใส่เลยนะ เพราะมันกลางวัดไง ไอ้จำรัสแม่งสั่นเลย กับไอ้หมูสั่นเลย ไอ้เราอยู่กลางนะ ไปสิๆ ไอ้ห่า ไปสิ กูก็เข็นตรงกลางนะกูเข็นไปใหญ่เลยนะ จบ โห ถ้าเป็นคนอื่นตายห่า ท่านเอาตายเลยนะ มันคึกมาก โธ่ ไม่เห็นหรอก โยกน้ำนี่ อยู่ที่วัดบ้านตาด บางทีมันหนีกัน เวลาโยกน้ำ โยกน้ำนี่ อย่างเราไปนี่ อย่าง............... ไปด้วยกัน ๓ คน กลับมาเหลือกูคนเดียวนี่ แม่งหายเกลี้ยงเลย มันอู้มันเล่น อู้ ร้อยแปด เพราะคนไม่มีหลักใจ เห็นว่าเป็นงานหยาบๆ เป็นงานพื้นๆ กูต้องบริหารไง ต้องคุมนโยบายไง แต่สำหรับเรามันคือข้อวัตรเว้ย เวลาไป ๓-๔ คนกลับมาเหลือกูคนเดียว โยกน้ำนี่ แม่งหายกันหมดเลย กูโยกจนน้ำแห้งแล้ว น้ำนี่หมดบ่อเลย ต้องนั่งรอ น้ำแห้งบ่อเลย โยกจนน้ำแห้งบ่อ พระไม่มีน้ำอาบ แล้วรอเวลาตาน้ำมันขึ้นมา โยกกันโอ้โฮ แล้วถ้าอดอาหารนะเราไม่อยู่ แล้วท่านเห็นตลอด เรารู้ เวลาโยกน้ำ ท่านจะมาดู เวลาโยกน้ำกัน เฮ้ย เหยี่ยวมาแล้วๆ ท่านเดินมาดูไง แล้วใครทำงานหรือไม่ทำงานในวัดท่าน เหมือนเราอยู่ในบ้าน เด็กในบ้านเราจะรู้หมดล่ะ

เราทำอะไรทำให้มันสนุกครึกครื้นไง จะทำอะไรทำให้มันสนุก ไม่ได้ทำด้วยความหงอยเหงา แล้วทำอะไรทำจริงทำจัง อย่าง......นี่ กับคนอื่นเขาสั่งไม่ได้ แต่กับเรานี่ เวลาบ่ายๆ นี่ คนมาวัดใช่ไหม มันใช้ส้วม น้ำมันแห้งไง หงบเว้ย เราก็เอารถนี่ออกเลยนะ รถเข็น ยกน้ำมาตั้งไว้ ขนาดตั้งไว้หน้าส้วมเลยนะ เอ้า โยมเข้าไปเลยๆ หมดแล้วเดี๋ยวกูจะเทน้ำนี่ แม่งโอ่ง เข้าไปทีเดียวแม่งหมดแล้ว เข้ามาตัก ๒ ทีแม่งหมดโอ่งแล้วกูเทๆๆ ถ้าเราอยู่นะพวกอาจารย์....นะ หงบเว้ย อย่างไอ้...นี่ หงบ พอหมดปั๊บ เออ เอาน้ำเข้าหาหลวงตาไง แต่ถ้าเป็นคนอื่นนะเขาไม่ทำ เขาถือว่ามันเป็นภาระของพระอุปัฏฐาก เพราะพระอุปัฏฐากไม่ต้องทำข้อวัตร แล้วทำไมไม่เข็นน้ำล่ะ ถ้าไปพูดกับคนอื่น คนอื่นเขาเล่นแง่กันไง แต่สำหรับเรานี่กูไม่มีเลย กูทำเพื่ออาจารย์กู ไอ้พวกมึงอย่าเสือก ไอ้พวกมึงก็ไอ้เด็กเหมือนกันทั้งนั้น เราไม่เคยมองภาพคนอื่นเลย เรามองระหว่างท่านองค์เดียว ฉะนั้นเราทำได้ทุกอย่าง มันอยู่กันมาอย่างนั้น อย่างที่ว่า ถ้าเราไม่เอาไหนนะ หัวขาดไปนานแล้ว หัวนี่ไม่มีเหลือ แล้วจะเข้าจะออกนี่อิสระนะ อย่างที่ว่าไม่จำพรรษาก็เข้าออกตลอด

คนอื่นทำอย่างนี้ไม่ได้ เวลามากราบ มาแล้วเหรอ จะไปเหรอ เออ จริงๆ เวลาเข้าไปกราบ ถึงเวลาจะเข้าไปกราบละ จะไปแล้วเหรอ มาแล้วเหรอ คนอื่นไม่มีสิทธิ์ ไม่มีสิทธิ์ เพราะมันทำจริงทำจัง และภาวนาอดอาหารทั้งวันทั้งคืน ท่านเห็น อดอาหาร ทำงาน ทำกันจริงจังตลอด ไอ้ตอนนั้นยังไม่ทำอย่างที่ว่านี้ ตอนนั้นปี ๒๕ ตอนนั้นรู้ รู้เบื้องหลังแล้ว แต่ตอนนั้นยังบอกไม่ใช่เรา ยกให้อาจารย์ ยกให้คนอื่น มันแบบว่ามันจะว่าเป็นเรามันแบบว่า ขี้ครอกอย่างเราจะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร มันแบบว่าชีวิตอย่างเราจะเป็นอย่างนั้นเหรอ

โยม : เห็นอดีตชาติ (เอ้อ) มันเป็นยังไงครับ มันเป็นหนังขึ้นมาหรือไง

หลวงพ่อ : ไม่ มันเป็นภาพขึ้นมาเลย ชาตินั้นๆๆ เลย (มันไวไหม) ไม่ อยู่ที่เราจะกดปุ่มไง

โยม : เหมือนหนังจีน เกาหลี

หลวงพ่อ : นั่นจะกลับแล้วใช่ไหม

นั่นแหละ มันไปฟังเราเลยแหละ เราไปหาหลวงตามันไปแอบฟังอยู่ข้างล่าง แล้วจูงมือเรามาเลยพรรษามันมากกว่านะ มันจะกราบ ไม่กล้ากราบเลย ตัวมันเองนั่นแหละ แต่ตอนหลังมันไปโดนคนเป่าหูไง คนเรานี่ เราชนกับหลวงตาแล้วมันฟังอยู่ มึงจะเชื่อใครวะ แต่พอเสร็จแล้วไม่กี่วันนะ พระเขาเพ่งเล็งเราไง พอเขาไปเป่าหูหน่อย มันก็เอียงไปกับเขาหมด เราก็สมเพชมัน ก็มันนี่แหละ มันอยู่กุฏิเราอยู่ที่ร้านใช่ไหม เราเดินจงกรมทั้งวันทั้งคืนเลย มันบอกว่า มันแปลกใจมากพระห่าอะไรวะเดินจงกรมทั้งวันทั้งคืน มันพูดเองนะ แค่ผมฟังเทปหน้าเดียวผมยังนั่งหลับเลย แล้วท่านอยู่ได้ยังไง แสดงว่าท่านต้องมีงานทำ

มันพูดอย่างนี้นะ แล้วมันก็สังเกตเราสิ พอเราเข้าไปหาหลวงตา มันก็ตามเข้าไปแอบฟัง พอมันแอบฟังมันเห็นเท่านั้น มันจับมือเราเลยนะ เฮ้ย ท่านมีอะไรวะ เพราะเราไปลาไง เราจะไม่ยอม เราจะลาอะไรอย่างนี้ หลวงตาไม่ยอมให้ไป มันบอกธรรมดามีแต่หลวงตาไล่พระออกจากวัด ทำไมเอ็งไปลาท่าน ท่านไม่ยอมให้เอ็งไปวะ สงสัยมันสงสัยมาก อันนี้มันคุยอย่างนี้ ตอนนั้นไม่ได้คุยอย่างนี้ เราไม่ได้คุย เพราะเวลาเราไม่มี เราจะภาวนาอย่างเดียว ตอนนั้นเรื่องคุยกับใครนี่เย็บปากเลย เสียเวลากู กูไม่ได้มาสอนใคร กูจะมาเอาตัวกูรอด ไม่เคยยุ่งกับใครเลยจนเขาบอกเลย พระประชุมกันแล้วให้พระมาบอกเรา เฮ้ย บอกไอ้หงบทีสิวะ ไอ้ห่าแม่งวันๆ ทำแต่หน้าเหม็นขี้ว่ะ ไม่เล่นกับเขาไง คือวันๆ ทำแต่หน้าเหม็นขี้ ไม่คุยกับใครเลย จนมันประชุมกันนะ แล้วมันให้คนมาบอกเพราะสนิทกันไง มันบอกว่าไปบอกไอ้หงบที แล้วมันก็พูดอย่างนี้ บอก โห เขาประชุมกันแล้ว ให้กูมาบอกมึง บอกวันๆ ทำแต่หน้าเหม็นขี้ อย่าทำหน้าเหม็นขี้สิ ให้เล่นกับเขาบ้าง นิสัยเห็นไหม มันไม่เหมือนกัน เอาจริงเอาจังมาก

โยม : ทำไมหลวงพ่อไม่อยู่ตลอดครับ ไม่อยู่กับหลวงตาตลอด ช่วงนั้นมันมีอะไรถึงได้มาอยู่กับหลวงปู่เจี๊ยะนี่

หลวงพ่อ : หลวงปู่เจี๊ยะ ที่หลวงปู่เจี๊ยะนี่ มันอยู่ที่ว่า เขาขอพระไปบอกหลวงปู่เจี๊ยะต้องการพระปาฏิโมกข์ แล้วเราได้ปาฏิโมกข์ไง แล้วเราคิดอยู่ด้วย คิดว่า เราอยากให้ภาคกลางมีวัดไง เราต้องการมายกให้ภาคกลางมีกรรมฐานไง ประสาเราเลยมาช่วยเขาเต็มที่เลยล่ะ มาลงวัวงานดีๆ นี่ล่ะ ทำงานนี่ทั้งวันเลย จากตรงนั้นมันเป็นทุ่งนาแล้วข้างนอกเป็นทิวสนไง

โยม : ไปดูในหนังสือหลวงปู่เจี๊ยะ มีรูปหลวงพ่อสงบด้วย

หลวงพ่อ : เอาเท่านี้ล่ะเนอะ เอวัง