ขณะจิตคือนิโรธ

พระพุทธศาสนาสอนถึงที่สุดความพ้นทุกข์ พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญอาสวักขยญาณ นิโรธ ความดับทุกข์สําคัญที่สุด อริยสัจ ๔ ที่พระพุทธองค์ตรัสรู้ ทั้งพระอรหันตสาวกและครูบาอาจารย์ได้รู้เห็นตาม ต้องเกิดจากภาคปฏิบัติตามความเป็นจริงด้วยมรรค ๘ เท่านั้น จึงเข้าถึงนิโรธได้ ซึ่งต้องมีขณะจิต เพราะอริยสัจมีหนึ่งเดียว ขณะจิต หรือวิทยานิพนธ์ของผู้ปฏิบัติก็มีหนึ่งเดียว ลอกเลียนไม่ได้ ต้องมีเหตุมีผล ต้องเป็น ปจฺจตฺตํ สนฺทิฏฺฐิโก และต้องตรวจสอบได้ ไม่ใช่โมฆบุรุษผู้ว่างเปล่า ว่างจากสัมมาสมาธิ ว่างจากหลักเกณฑ์ ปฏิบัติพอเป็นพิธี ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ทําตามใจชอบอันเป็นเรื่องกิเลสไม่ใช่ธรรม เมื่อไม่มีสมถะจึงยกสู่วิปัสสนาไม่ได้ ไม่มีขณะจิต ไม่มีนิโรธ อริยสัจ ๔ มรรค ๘ ก็ไม่สมบูรณ์ เป็นอริยสัจ ๓ มรรค ๗ ขัดแย้งกับธรรมวินัย ธรรมเห็นอย่าง แต่กิเลสเห็นเป็นอีกอย่าง เมื่อปฏิบัติไม่ได้ก็โกหกบิดเบือน สัมมาสมาธิ ทําไม่ได้ก็ให้ใช้ปัญญาไปเลย มรรคสามัคคี สมุจเฉทปหาน คือ ขณะจิต เมื่อไม่เห็นก็บอกขณะจิตไม่ต้อง ไม่มีก็ได้ มันคือกิเลสในใจทั้งนั้น

หนังสือขณะจิตคือนิโรธ ท่านพระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต เมตตาเทศน์ไว้อย่างผู้รู้จริงเห็นจริง ท่านจึงตอกยํ้า จิตดวงใดไม่มีมรรค จิตดวงนั้นไม่มีผล ธรรมเป็นความจริง ผู้ปฏิบัติทุกรายที่มีอํานาจวาสนาหากปฏิบัติธรรม สมควรแก่ธรรม ตามหลักธรรมวินัยและมีครูบาอาจารย์ผู้รู้จริงคอยชี้แนะ ย่อมมีสิทธิ์บรรลุอริยสัจธรรมนี้ได้อย่างแน่นอน


เทศน์บนศาลา

เป็นอีกอย่าง

๒๒ พ.ย. ๒๕๖๑

เทศน์บนศาลา

มันคือกิเลส

๗ ธ.ค. ๒๕๖๑

เทศน์บนศาลา

ขณะจิตคือนิโรธ

๒๒ ธ.ค. ๒๕๖๑

เทศน์บนศาลา

ตามใจชอบ

๕ ม.ค. ๒๕๖๒