เทศน์บนศาลา

จิตมหัศจรรย์

๑๖ มิ.ย. ๒๕๔๓

 

จิตมหัศจรรย์
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์บนศาลา วันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๔๓
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ออกบวชแสวงหาอยู่แล้ว ไม่มีสิ่งที่มหัศจรรย์ ในโลกนี้มีอยู่ ไม่มี ออกไปแสวงหากับเจ้าลัทธิต่างๆ เห็นไหม เจ้าลัทธิต่างๆ ที่เป็นศาสดาสอนอยู่แล้ว สอนถึงความสงบของใจไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ไปศึกษาเล่าเรียนกับเจ้าลัทธิต่างๆ เพราะว่าความเข้าใจของผู้ที่ออกหาโมกขธรรม ออกหาสัจจะความจริง ก็ต้องหาสิ่งที่ว่าสะดวก สิ่งที่สะดวกสบาย สิ่งที่มีคนค้นคว้าอยู่แล้วไง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ เข้าไปศึกษาเล่าเรียนกับเจ้าลัทธิต่างๆ ทำความสงบเข้ามาได้ๆ จนสุดท้ายกาฬเทวิล เหาะเหินเดินฟ้าได้ ในพระไตรปิฎกว่าไว้ ก่อนพระพุทธเจ้าตรัสรู้ ตอนพระพุทธเจ้าประสูติออกมา กาฬเทวิลอยู่บนพรหม ผู้วิเศษระลึกชาติได้ ๔๐ ชาติ ระลึกอดีตได้ ๔๐ ชาติ อนาคตได้ ๔๐ ชาติ เห็นไหม ๘๐ ชาติ นั่นน่ะกาฬเทวิล อยู่ในพระไตรปิฎกบอกไว้ว่า ก่อนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประสูติออกมาไง จุติอยู่บนพรหม ทั้งๆ ที่ทำคุณวิเศษขึ้นมาได้ไง

จิตนี้สงบเข้ามา พอจิตนี้สงบเข้ามาๆๆ จนมีพลังงาน พลังงานอันนั้นส่งออกไป ส่งให้ขึ้นไปอยู่บนพรหมนั้น พอพระพุทธเจ้าประสูติออกมา พวกพรหมมาอนุโมทนากันไง ขึ้นไปจนถึงสะเทือนถึงกาฬเทวิล ว่าสิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้น เห็นไหม พระพุทธเจ้าประสูติ สิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้นแล้ว ประสูติเกิดขึ้น ออกลงมาดู ลงมาดูพระเจ้าสุทโธทนะเคลื่อนลูกออกมา ให้เอาลูกออกมาดู ให้กาฬเทวิลดู เพราะเป็นพราหมณ์ผู้ที่ขมังในไตรเวทย์ เป็นผู้วิเศษที่ใครก็ต้องนับถือ แล้วมีความรู้มากไง เอามาให้ดูน่ะ

ดีใจ ดีใจว่าพระพุทธเจ้าเกิดแล้ว ตัวเองเหาะเหินเดินฟ้าขนาดนั้นได้ แต่ไม่สามารถชำระกิเลสได้ คนที่ไปจุติบนพรหมได้ มีคุณวิเศษขนาดนั้นน่ะ ดีใจมาก แล้วก็ร้องไห้เลยน่ะ ดีใจที่ว่า พระพุทธเจ้าเกิดแล้ว แต่เสียใจว่าตัวเองไม่ทันเวลานั้น เห็นไหม นั่นน่ะ จิตที่เป็นคุณวิเศษอยู่ มีพลังงานอยู่ขนาดนั้น แต่ไม่สามารถชำระกิเลสได้เพราะไม่มีวิธีการไง เพราะไม่มีวิธีการ ทำความสงบเข้ามาๆ นี่มีคุณวิเศษขนาดนั้นยังไปไม่รอด แล้วอย่างนี้จิตที่มหัศจรรย์อยู่ในอะไร

สิ่งที่มหัศจรรย์ ธรรมะที่มหัศจรรย์อยู่ในจิตนั้น จิตนั้นขึ้นมาก่อน จิตนั้นไง จิตนั้นเคลื่อนไป จิตนั้นเคลื่อนไป จิตนี้ตายแล้วเกิด ตายแล้วเกิดอยู่ในจิตนั้น นั่นน่ะ สิ่งที่มหัศจรรย์อยู่ในจิตนั้น คุณวิเศษก็อยู่ในจิตนั้น จิตที่ยังเป็นปุถุชนอยู่ จิตที่ยังมีกิเลสอยู่ กิเลสฝังอยู่ในตัวนั้น จิตนี้ต้องเคลื่อนไป ต้องตายไป ตายเกิดๆ ไม่มีที่สิ้นสุด จิตนั้นยังเป็นไปตลอดเวลา การเกิดการตายวนเวียนในวัฏฏะ ถ้าไม่มีสิ่งที่ว่าเข้าไปแก้ไข ไม่มีสิ่งที่จะรู้ รู้ได้อย่างไร

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะแล้วออกแสวงหาโมกขธรรม ไปศึกษากับผู้ที่ว่าเขารู้สิ่งนี้มาก่อนใช่ไหม เขาก็สอนสิ่งนี้มาก่อน สอนทำความสงบเข้าไปๆ แล้วเขาก็มีพลังงานในใจดวงนั้น ใจดวงนั้นเป็นผู้วิเศษที่ว่ารู้สิ่งต่างๆ ออกไปข้างนอก รู้ไปหมด แต่ไม่รู้จักตัวเองไง ไม่รู้จักสิ่งที่ว่า อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา อยู่ในหัวใจของตัว เห็นไหม เขารู้ออก รู้ออกข้างนอกหมด แล้วคนก็คนนับถือกันเป็นเจ้าลัทธิต่างๆ

จิตดวงนั้นมีพลังงานเฉยๆ แต่ไม่มีมรรคอริยสัจจัง เพราะมรรคอันนี้ยังไม่เกิดขึ้นมา เจ้าชายสิทธัตถะออกแสวงหาเรียนอยู่กับเขา เรียนกับเขามาก็ได้มาสิ่งที่ว่าความสงบนั้นได้มาสูงสุด จนอาฬารดาบส อุทกดาบสรับประกันว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้จบวิชาการของเขา ควรจะอยู่กับเขาเพื่อจะสอนลูกศิษย์ต่อๆ ไป แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสะสมบุญญาธิการมามาก จะต้องเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยเฉพาะสถานเดียวไง นี่ไงเอกบุรุษที่เกิดขึ้นมาในโลกนี้ไง แล้วธรรมะที่สิ่งมหัศจรรย์ต้องให้บุคคลอย่างนี้มาค้นคว้าไง ค้นคว้าเข้ามา ต้องค้นคว้าเพราะอะไร

เพราะว่าการเกิดมานี้กิเลสพาเกิด เจ้าชายสิทธถัตถะเกิดมาก็มีกิเลสมา เห็นไหม มีกิเลสมาเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ แต่บุญญาธิการสะสมมา สะสมมาจนพอตรัสรู้แล้ววางธรรมไว้ ธรรมถึงได้บอกไว้ไงว่า ถ้าจะสร้างสมบารมีมาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ต้อง ๑๖ อสงไขย แสนมหากัป ๘ อสงไขย ๔ อสงไขย

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้สร้างสมบารมีมา ๔ อสงไขย ความที่สร้างสมบารมีมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ยังว่าสร้างสมบารมีมามาก แล้วออกไปแสวงหาโมกขธรรมอย่างนั้น ก็ยังศึกษาเล่าเรียนกับทางอื่นก่อน เพราะว่าเวลาเกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นมนุษย์นี่บุญญาธิการหรือสิ่งที่สะสมมาขนาดไหนมันก็สิ่งที่สะสมมา เพราะไม่มีใครรู้ไง สิ่งที่ไม่มีใครรู้ก็เป็นปัจจุบันธรรมที่เป็นมนุษย์นี้ใช่ไหม มนุษย์นี้ก็ต้องแสวงหาสิ่งที่มีอยู่เฉพาะหน้า สิ่งที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า สิ่งที่รับรู้อยู่นี่มนุษย์ก็แสวงหาสิ่งนั้น แต่บุญญาธิการของแต่ละดวงใจนั้นไม่มีใครสามารถหยั่งรู้ได้ ก็ต้องแสวงหากันไปเฉพาะหน้านั้นก่อน

นี่ไงมนุษย์สมบัติ เกิดเป็นมนุษย์นี้ถึงว่าประเสริฐ ประเสริฐตรงที่ว่า มีสิ่งที่ว่าให้มีคุณและโทษ คือว่า คุณหมายถึงว่า มนุษย์สมบัตินี้มีคุณมาก โทษของมันก็คือว่าเป็นปัจจุบัน มนุษย์สมบัติมีขันธ์ ๕ ไง มีธาตุ ๔ และ ขันธ์ ๕ ธาตุ ๔ และ ขันธ์ ๕ ศึกษาไปเล่าเรียนไปตามปัจจุบันนั้น การเกิดมาเป็นมนุษย์ถึงว่าเป็นอิสรเสรีภาพที่จะทำคุณงามความดีกันได้ แต่เพราะมีบุญญาธิการสะสมมานั้นจะต้องดีไปฝ่ายเดียว ทั้งๆ ที่เกิดมาสหชาตินะ ผู้ที่เกิดร่วมกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นเป็นสหชาติทั้งหมด แต่ก็ยังแสวงหาดึงไว้เพื่อจะต้องการให้เป็นจักรพรรดิ ถึงว่าพยายามสะสมไว้ พระเจ้าสุทโธทนะก็ลูก พ่อกับลูกใช่ไหม พ่อก็ต้องการให้ลูกนั้นอยู่ข้างตัวตลอดไป แต่ลูกก็เกิดมายังเด็กนัก ยังด้อยปัญญา ก็ต้องอยู่ในการปกครองของพ่อ ก็ต้องหมุนเวียนไป

แต่ด้วยบุญญาธิการอันนั้นที่สะสมมา นี่จิตถึงว่าเป็นการยืนยันว่าการตายการเกิดจากจิตดวงที่เกิดตายๆ มานี่มันสะสมมา มันเป็นสิ่งที่น่าจะสลดสังเวชไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ววางไว้ ถึงจะรู้ ถ้าไม่มีใครวาง ไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นแบบเจ้าลัทธิต่างๆ ที่ว่าจิตแค่สงบตัวลง ระลึกชาติได้ก็ระลึกชาติได้เหมือนกัน แต่ไม่สามารถจะหาทางออกอันนี้ได้ไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีเพราะสร้างสมบุญญาธิการมาจะเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยแน่นอน นี้คือสิ่งที่ประเสริฐที่สุด แล้วก็แสวงหาจนออกไปได้ จนวันเพ็ญเดือน ๖ ที่ว่าวันที่หาความจริงพบไง นี่ความมหัศจรรย์เกิดขึ้นจากเพราะการหาความจริงพบนี่ไง

สิ่งที่หาความจริง เห็นไหม บุพเพนิวาสานุสติญาณ นั่นน่ะญาณหยั่งไปในอดีตทั้งหมด บุพเพนิวาสานุสติญาณ ญาณหยั่งไปในอดีตไม่มีที่สิ้นสุด นี่การมายืนยันกันกับที่ว่า ๑๖ อสงไขย ๘ อสงไขย ๔ อสงไขย นี่จิตนี้ไม่มีที่สิ้นสุด การตายการเกิดนี้ไม่มีต้นไม่มีปลาย จิตนี้สะสมมาโดยตลอด บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณนี่ไปอนาคต ตายแล้วเกิดไปไหน ตายแล้วเกิดไปไหน แม้แต่กาฬเทวิลก็รู้ไว้อยู่ก่อนแล้ว แต่รู้ได้¬ขอบเขต ๔๐ รู้ได้ขอบเขตขนาดไหน นี่ผู้วิเศษเขารู้ รู้ในคุณวิเศษ

นี่เหมือนกัน บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณนี้ก็เป็นคุณวิเศษ เป็นคุณวิเศษแต่มายืนยันในหลักของศาสนาได้ คุณวิเศษที่ตรงไหน เพราะว่าไม่เป็นการชำระกิเลส ย้อนไปในอดีตก็ดึงกลับมา ส่งไปอนาคตก็ดึงกลับมา ไม่ใช่ปัจจุบันธรรม นี่เกิดเป็นมนุษย์เป็นปัจจุบัน แต่ก็ยังย้อนอดีตอนาคต ความคิดเรายังซ่านไป ยังส่งไปในอดีตอนาคต มันยังดีดย้อนไปย้อนมาอยู่ มันไม่เป็นปัจจุบันธรรม กลับมาสิ้นสุดกันที่ปัจจุบันคือจิตดวงที่เป็นมนุษย์นี้ไง

อาสวักขยญาณ อาสวักขัย อาสวะที่ปกปิดหัวใจอยู่ พอเปิดเพิกอันนี้ออก เพิกอาสวักขยญาณ เพิกกิเลสออกไป กิเลสคือ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา อวิชชาปกคลุมจิตอยู่ เห็นไหม จิตที่เป็นจิตตัวที่ว่าเกิดตายๆ อยู่นี้ เพราะมีสิ่งนี้พาให้เกิดให้ตาย สิ่งนี้พาให้เกิดให้ตายมันถึงว่าต้องเกิดต้องตายไปตลอด เพราะมีสิ่งนี้ปกคลุมอยู่ สิ่งนี้ปกคลุมอยู่ก็หมุนเวียนไป หมุนเวียนไป ในวัฏวนมันก็ตายเกิดๆ ไม่มีที่สิ้นสุด

๑๖ อสงไขย ๘ อสงไขย ๔ อสงไขย นั้นเป็นที่การสะสมบุญญาธิการมาตลอดของจิตดวงนั้น แล้วอย่างพวกปุถุชน หรือผู้ที่ปฏิบัติอย่างเรา จิตนี้เกิดตายๆ มาขนาดไหน มันสลดสังเวช ต้องย้อนกลับมาตรงนี้ไง ย้อนกลับมาที่เรา จิตนี้ก็ต้องเกิดต้องตายเหมือนกัน เหมือนกันกับจิตทุกๆ ดวง มันเป็นธรรมชาติ สิ่งนี้เป็นธรรมชาติ เป็นสพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรมเป็นแบบนี้ จิตเป็นแบบนี้ การเกิดการตายเป็นแบบนี้ เป็นแบบนี้เพราะมีอวิชชาปกคลุมใจอยู่

อวิชชาปกคลุมใจอยู่ แล้วไม่พบกับยาไง ไม่พบกับธรรมะที่เป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ไง ธรรมะเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ เพราะเข้าไปเพิก อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา ออกจากใจ เห็นไหม ออกจากใจทั้งหมด ถึงเป็นธรรมขึ้นมา พอเป็นธรรมขึ้นมาก็เห็นสิ่งนี้ไง มันต้องมีเหตุถึงจะมีผล เพิกเหตุออกไปทั้งหมด ผลอันนั้นเกิดขึ้นมาเป็นวิมุตติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพ้นออกไป ถึงย้อนกลับมาดูดวงใจทุกดวงใจที่พาเกิดพาตายอยู่นี้ จิตดวงนี้ยังต้องเกิดต้องตายอยู่ มันเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์

จากสิ่งหนึ่ง เพราะเราเห็นแต่มนุษย์ๆ นี่ เราดูแต่มนุษย์สมบัติ ร่างของมนุษย์ใช่ไหม แต่ไม่เคยดูหัวใจสิ่งที่เป็นมหัศจรรย์ในกลางหัวอกของมนุษย์นี้ไง หัวใจที่เป็นเราๆ นี่มันพาเกิด เพราะมันมีอวิชชาถึงได้พาเกิดเป็นเรา ที่เรามานั่งอยู่นี่ก็เพราะว่าอวิชชามันพาเราเกิดมา พอมันพาเกิดมา มันถึงว่าเป็นสิ่งที่ปกปิดเราไว้ไง เราไม่รู้สิ่งนี้เลย เราเห็นว่าเราเกิดมานี้ก็เป็นเราๆ แล้วถ้าไปเกิดเป็นภพชาติอื่น ภพชาติอื่นเกิดเป็นเทวดาก็ขันธ์ ๔ เกิดเป็นพรหมขันธ์เดียว ระหว่างขันธ์ ๑ ขันธ์ ๔ กับขันธ์ ๕ นี่มันต่างกัน ต่างกันอย่างไร? ต่างกันว่ามนุษย์นี้มีร่างกายเป็นรูป นี่ถึงว่าเป็นธาตุ ๔ กับขันธ์ ๕ เวลาขันธ์ ๕ มันทำงานรวมไป มันอยู่ในความทุกข์ความโศกอยู่ตลอดไป

ความทุกข์ความโศกของเรานี้มันเป็นทุกข์จรมาเฉยๆ มันไม่ใช่เรื่องมหัศจรรย์ใดๆ เลย สิ่งที่มหัศจรรย์คืออวิชชามันปกคลุมใจไว้ ปกคลุมใจของเรา เราไม่รู้เรื่อง เราต้องเกิดต้องตาย ต้องไปแสวงหา ต้องไปประสบพบเห็นกับความทุกข์ที่ทุกข์เราผจญอยู่นี้ตลอดไป ฟังดูสิ ฟังที่ว่าเราจะต้องผจญกับสิ่งที่ว่าเราเบื่อหน่ายแสนเบื่อหน่ายนี้ ความทุกข์อยู่ที่ในหัวใจนี้มันก็ทำให้กดคอเราจนให้เรานั่งละเมอเพ้อพก จนเลือดตกยางออก ถ้ามันเป็นไปได้นะ

เห็นว่า อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา จูงจมูกลากเราไป ความคิดที่ไม่รู้เรื่องมันพาเรา อวิชชาคือความไม่รู้ไง ความไม่รู้ เห็นไหม ไม่รู้ในอะไร? ไม่รู้ในสัจจะความจริง แต่รู้ในภพชาติของตัวเอง เพราะอวิชชานี้เป็นเจ้าวัฏจักร สิ่งที่เป็นเจ้าวัฏจักรจะแสดงตนนั้นมันไม่ออกทำงานเอง เพราะอวิชชานี้ถือเป็นนโยบาย ผู้ควบคุมนโยบาย ผู้บริหารสูงสุดองค์กรนั้น ควบคุมองค์กรนั้น ผู้ที่กำหนดนโยบายอย่างเดียวอยู่หลังฉาก ไม่เคยเห็นตัวอวิชชา

อันนี้ก็เหมือนกัน องค์กรไหนก็คือองค์กรเรา องค์กรมนุษย์ องค์กรของสัตว์โลก สัตว์นี้คือหมู่สัตว์ มันควบคุมถึงว่าเวียนตายเวียนเกิดใน ๓ โลกธาตุ จิตดวงนี้ยิ่งกว่าองค์กรอีก เพราะว่าถ้าสะสมรวมกัน รวมกับภพชาติที่เกิดขึ้นมานะ รวมภพชาติที่เราตายเกิดๆ มานี่มันมีสถิติมากกว่าองค์กรใดๆ ทั้งสิ้น มันจะมีการเกิดการตายนับสถิติไว้เป็นแต่ละชาติ แต่ละคนๆ แล้วแต่ละชาติไหนเป็นคนหนึ่งมารวมกันแล้ว ประชากรมันจะมีมากกว่าประเทศไทย มากกว่าสิ่งใดๆ มากกว่าหมด เพราะจิตนี้เป็นอสงไขยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด มันจะองค์กรขนาดไหน มันโดนปกคลุมไว้ด้วยอวิชชาอันนี้ นั้นสิ่งที่อวิชชาอันนี้มันถึงทำให้เราเกิดมาเห็นไหม อันนั้นเป็นผู้กำหนดนโยบาย กำหนดนโยบายคือสิ่งที่กำหนดให้เราเกิดเราตายไง มันถึงมองไม่เห็นความกำหนดนโยบาย เห็นแต่ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติงาน ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติงานคือความทุกข์หยาบๆ นี่ ความทุกข์ในชีวิตเรานี่ ความทุกข์ในการที่ว่าเราต้องผจญภัยกับสิ่งที่เราไม่พอใจ เราผจญภัยกับสิ่งนี้ เราผจญ เห็นไหม

ทำไมถึงว่าเราผจญ เพราะเราไม่พอใจ มันเป็นตัณหาความทะยานอยากทั้งหมดเลย นี่ทุกข์จรมา ทุกข์จรมาเรายังกำจัดทุกข์จรมาไม่ได้ ถ้าเรากำจัดทุกข์ที่จรมาในหัวใจของเรา เรากำจัดสิ่งที่เราประสบเข้าไปในสังคมที่เราไม่พอใจ เราไม่สามารถเบี่ยงเบนสิ่งที่ว่ามันขัดขวางใจของเรา มันก็ทำให้ใจนี้ฟุ้งซ่านตลอด

ใจนี้ลุกเป็นไฟ เหมือนกับไฟได้เชื้อแล้วไม่เคยมอดไหม้ เห็นไหม ไฟได้เชื้อไง แล้วไม่เคยมอดลงเลย นี่มันทุกข์ ๒ ชั้น ๓ ชั้นนะ ทุกข์จาก อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา ผู้ที่กำหนดนโยบายให้เราเกิดเราตายนี้ เราก็ต้องก้มหน้ารับกรรมอันนี้ไปโดยที่ว่าไม่มีการต่อกรใดๆ ทั้งสิ้น เราไม่สามารถจะต่อกรหรือโต้แย้งกับสิ่งที่ว่ากำหนดนโยบายสิ่งที่ให้เป็นไป เห็นไหม เจ้าวัฏจักรมีอำนาจขนาดนั้นน่ะ แล้วธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำไมไม่ให้สิ่งที่เป็นมหัศจรรย์ ธรรมสิ่งที่เป็นมหัศจรรย์เข้าไปรื้อภพรื้อชาติอันนี้ได้

นั้นคือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เป็นครูเป็นศาสดาของเราเท่านั้น เรานี้เป็นแค่ปลายอ้อปลายแขม เป็นแค่มดตะนอย เป็นแค่สัตว์โลกตัวหนึ่งไง เป็นผู้ที่ไม่มีอำนาจวาสนาที่จะก้าวไปไม่ถึงนั้น มันถึงได้ง่อยเปลี้ยเสียขา ไม่มีอำนาจวาสนา ไม่มีกำลังใจ ไม่มีการก้าวเดินของใจ ไม่มีการทำให้ลุกขึ้นองอาจกล้าหาญ ในผจญกับแค่ทุกข์หยาบๆ จากผู้ประพฤติปฏิบัติ คือขันธ์ ๕ เท่านั้นเอง

อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา นี้เป็นเจ้าวัฏจักร เป็นจิตหนึ่ง แล้วขันธ์ที่เกิดเป็นมนุษย์นี่มีขันธ์ ๕ ที่ควบคุมใจอยู่นั้น ขันธ์เท่านั้นกระเพื่อม ขันธ์เท่านั้นทำงาน ขันธ์เท่านั้นทำให้เราทุกข์ร้อน ขันธ์คือความพอใจและไม่พอใจของเรา สัญญาความจำได้หมายรู้ สังขารความปรุงความแต่ง นี้คือผู้ปฏิบัติเท่านั้น ผู้ที่ปฏิบัติทำให้เราเร่าร้อนอยู่นี้ เรายังไม่มีสามารถแม้แต่อำนาจเด็กๆ อำนาจของกิเลสที่ว่าปลีกย่อยแค่นี้เอง เรายังไม่สามารถต่อสู้หรือขัดขวางการดำเนินงานของเขา

สิ่งใดก็แล้วแต่ที่เขาดำเนินงานอยู่ คือเขาใช้งานอยู่ตลอดเวลา การใช้งานอยู่ตลอดเวลามันต้องคล่องแคล่วใช่ไหม ความคล่องแคล่วของกิเลสเกิดขึ้นในหัวใจของเรา มันมีแต่ความเผาไหม้ใจของเราไง มันทำใจเราให้เร่าร้อน ทำใจให้เราเผาไหม้ เราไม่ได้กำหนดต่อสู้กับสิ่งนั้นเลย เราไม่ได้กำหนดต่อสู้กับสิ่งที่ว่าขันธ์ ๕ ทำงานในตัวของเรา ทำให้ใจนี้ฟุ้งซ่าน เห็นไหม ไม่ได้กำหนดใจต่อสู้เลย

ธรรมเกิดขึ้นจากใจดวงนั้น เพราะอวิชชาปกคลุมอะไรอยู่? อวิชชาปกคลุมหัวใจอยู่ เห็นไหม หัวใจที่จะเข้าไปสัมผัสธรรมได้ ธรรมก็เกิดขึ้นอยู่ที่กลางหัวใจ ถ้าหัวใจนั้นเริ่ม เพราะมีเชื้ออยู่ มีเชื้อคือพลังงานที่ว่าจะต่อสู้กับสิ่งนี้ได้ เพราะใจเท่านั้น เพราะความคิดเท่านั้น เพราะขันธ์เท่านั้น เพราะปัญญาเท่านั้นถึงกิเลสกลัวสิ่งนี้ ถ้าไม่มีสิ่งนี้ ไม่มีความริเริ่มคิดออกมา แยกออกไปจากกิเลส แยกออกไปจากกุศล อกุศล

กุศลคือความคิดที่ฝ่ายดี ฝ่ายดีคือฝ่ายธรรม อกุศลคือฝ่ายชั่ว ธรรมก็เหมือนกัน ธรรมเริ่มต้นขึ้นมาก็เริ่มต้นแต่ว่าอกุศลกับกุศล เห็นไหม คนเกิดมาทุกคนต้องมีดำและขาวมาทุกคน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใน ๔ อสงไขย ก็ยังสะสมบุญญาธิการมา ก็มีความผิดพลาดมาเหมือนกัน ทุกดวงจิตเคยเกิดเคยตายในวัฏฏะ ในวัฏฏะคือในนรก จิตดวงนั้นต้องเคยตกนรก จิตดวงนั้นเคยเกิดเป็นมนุษย์ซ้ำๆ ซากๆ จิตดวงนั้นได้เคยเกิดเป็นเทวดา เคยเกิดเป็นพรหม ฉะนั้น จิตดวงนี้เคยผ่านวัฏวนมาทั้งหมด

ฉะนั้น พูดถึงวัฏวน พูดถึงวัฏวนนี่มันจะสยองใจ สยองใจหมายถึงว่าสิ่งที่ไม่อยากพบไม่อยากจะเห็น มันให้แต่ความทุกข์มาก็อยากจะปฏิเสธ แต่มันปฏิเสธได้ไหมในเมื่อกรรมสร้างขึ้นมา กรรมสร้างขึ้นมา ผลวิบากมันต้องให้ผลไปโดยธรรมชาติของมัน ฉะนั้น ถึงต้องมีธรรมตัวมากดมาเบรกไว้ มาเบรกสิ่งที่จะเกิดขึ้นไม่ให้เกิดขึ้นไป

พอจิตนี้พูดถึงการนึก แต่ถ้าจิตนี้ทำจิตของเราให้เป็นผู้วิเศษก็หยั่งรู้ได้ในอดีตชาติ ผู้วิเศษนะ ทำใจให้สงบขึ้นมานี่มันจะย้อนกลับรื้อถึงข้อมูลเดิมของใจได้ คือสัญญาที่การเกิดการตายแต่ละภพแต่ละชาติ ที่มันย่อยสลายลงมาอยู่ที่ใจนี่ไง ถ้ามันรื้อภพรื้อชาติด้วยวิธีการย้อนกลับไป จากสยดสยองด้วยความคิดอย่างหนึ่ง จากทำใจถึงความสงบในการย้อนอดีตชาติอย่างหนึ่ง จากการทำความสงบจนสร้างมรรคสร้างผลขึ้นมา เห็นไหม การรื้อภพรื้อชาติอีกอย่างหนึ่ง การรื้อภพรื้อชาตินี้ถึงเป็นความมหัศจรรย์ การตามรู้ตามเห็นด้วยคุณวิเศษอันนั้นมันเป็นความตามรู้ตามเห็นโดยสิ่งที่ว่าเป็นเจ้าลัทธิผู้เศษสั่งสอนกันไว้ มันไม่มีมรรคอริยสัจจังขึ้นมาไง ตามรื้อตามถอนด้วยปัญญา ด้วยมรรคอริยสัจจังที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทานไว้นี้ อันนี้ต่างหากถึงรื้อภพรื้อชาติได้

จิตดวงนี้มันสยดสยองเพราะสิ่งมันเคยเป็นไปอยู่ในวัฏวนนี้ วัฏฏะที่หมุนไป จิตดวงนี้เคยวนไปในวัฏวนนี้ อันนี้มันเป็นอำนาจวาสนาของใจทุกดวง อำนาจวาสนาหมายถึงว่ามันสะสมบุญญาธิการมา ถึงได้ใฝ่ดีไง การใฝ่ดีหมายถึงการใฝ่กับธรรม ใจเริ่มเข้าเป็นธรรม จากการเข้าเริ่มเป็นธรรม แต่ยังไม่เป็นธรรมเพราะกิเลสมันผลักไส ความที่ว่ากิเลสผลักไสเพราะกิเลสมันอยู่ใจเหมือนกัน อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา อันนี้มันเริ่มต้นจากสิ่งที่ไม่รู้ นี่มันน่าสยดสยองตรงที่ว่าเริ่มต้นเข้าไปนี้ มันสิ่งที่จะเป็นแรงต้านอยู่ คือเจ้าวัฏจักร การรื้อภพรื้อชาติมันยาก มันยากตรงนี้ไง ยากตรงที่ว่าตรงนี้ แล้วนี่แค่กำหนดนโยบาย ยากด้วย ละเอียดอ่อนด้วย จนเข้าถึงไม่ได้

ความเข้าถึงไม่ได้ แต่ธรรมมหัศจรรย์ ธรรมที่มหัศจรรย์สะเทือนเลือนลั่นใน ๓ โลกธาตุมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมจักรขึ้นไปสะเทือนเลือนลั่นไปหมด อันนี้คือธรรมาวุธ อาวุธที่จะชำระกิเลสเกิดขึ้นแล้ว แต่เดิมมากาฬเทวิลขึ้นมา กาฬเทวิลมีชีวิตอยู่ ไม่มีสิ่งนี้ ถึงสยดสยองร้องห่มร้องไห้ว่าตัวเองมีอำนาจวาสนาได้พบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ยังไม่ได้ตรัสรู้ไง ได้พบเจ้าชายสิทธัตถะที่ประสูติมา เพราะมีคุณวิเศษของใจของตัว...รู้ รู้ว่านี่คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ประสูติแล้วแต่ยังไม่ตรัสรู้ ยังร้องห่มร้องไห้ถึงอำนาจวาสนาของตัว

เขาสร้างสมคุณวิเศษของเขา สร้างสมสมาธิธรรม สร้างสมความสงบใจ ใจที่สงบ สงบไป สงบจนมีหลักมีเกณฑ์ มีพลังงานของใจขึ้นมา แต่ในเมื่อพลังงานนั้นเป็นพลังงานเฉยๆ ไม่ใช่เป็นพลังงานด้วยมีปัญญาการแยกแยะ ไม่ใช่พลังงานแล้วทำงานให้งานนี้ชอบ งานชอบ ความเพียรชอบ การค้นคว้าหาภพหาชาติ หาอดีตชาติที่ชอบ เห็นไหม ถ้าอันนี้ขึ้นมา กาฬเทวิล ก็ต้องไปได้ เพราะเขาใฝ่อยู่ แต่เขาใฝ่ ก็เหมือนเรา เราก็ใฝ่อยู่ เราอยากจะออกจากทุกข์ เราอยากออกจากทุกข์มาก เราเริ่มคิดว่าอยากจะทำ แล้วพอทำไปก็เจออุปสรรคตลอด อุปสรรคที่ว่าเป็นอุปสรรคมาตลอดของเรานี่ มันเกิดจากตัวนี้ เกิดจากอวิชชาที่กำหนดนโยบายนี้ เพราะเขาควบคุมใจของเราอยู่ เขาอาศัยหัวใจนี้เป็นเรือนของเขาอยู่

มันจะเกิดความโต้แย้งมาในหัวใจของเรา “เมื่อนั้นก็ได้” นี่หยาบๆ นะ เมื่อนั้น เมื่อนี้ เมื่อก่อนไง อำนาจวาสนาเราน้อย อันนี้คืออะไร นี่นโยบายกำหนดมา ผู้นี้คือผู้ปฏิบัตินะเพราะมันหยาบมาก สิ่งที่ว่าหยาบๆ เพราะอะไร เพราะมันเป็นความคิด มันเป็นขันธ์ เรายังไม่เคยเจอตัวของอวิชชาเลย เราได้แค่ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติกำหนดเอานโยบายของเขามาประพฤติปฏิบัติ ก็มาทำให้เรานี่โง่เง่าเต่าตุ่น ทำให้เราเซ่อ เราเป็นไป เพราะเราเชื่อเรา เราเชื่อแล้วนะน่ะ พอเราเชื่อแล้วนี่ พอเชื่อขึ้นมาก็ขาอ่อนไง

เชื่อขึ้นมาก็ขาอ่อนเพราะว่าสิ่งที่จะเข้าไปทำลายกิเลส เราก็เป็นความหวาดกังวลแล้วหนึ่ง พอจะเข้าไปทำลายนี่ สิ่งที่บอกว่าเมื่อนั้นเมื่อนี้มันก็เลยเข้ากันได้ สิ่งที่เข้ากันได้ไง เหมือนธาตุ เข้ากันด้วยธาตุ น้ำเข้ากับน้ำ น้ำมันเข้ากับน้ำมัน น้ำกับน้ำมันเข้ากันไม่ได้ อันนี้เป็นกิเลสกับธรรม มันจะเข้ากันไม่ได้ แต่เมื่อใจเรามีกิเลส ผู้ควบคุมนโยบายอยู่ข้างบน พอสั่งการลงมานี่มันเป็นธาตุเดียวกัน ธาตุของกิเลส กิเลสธาตุไง

ความไม่รู้นี่ อวิชชาคือความไม่รู้ สิ่งนี้ก็คือไม่รู้ว่าเราจะทำแล้วเมื่อไรมันจะได้ มันเป็นการคาดการหมาย พอมันเข้ากันได้มันก็ฉุดกระชากลากไป ไปในสายทางเดียวกัน เราก็ล้มลุกคลุกคลานไป นี่ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ว่าตัวเองประพฤติปฏิบัติอยู่ แต่ด้วยความไม่รู้ นโยบายของความไม่รู้ นโยบายของอวิชชาแย็บออกมา แล้วผู้ปฏิบัติคือขันธ์ ๕ นี้ซ้อนไปๆๆ นี่สัญญาเกิดขึ้นก่อน ตามขึ้นมาหมุนเวียนไปๆ

ผู้ที่ปฏิบัตินี่ ปฏิกิริยาของใจ การทำปฏิกิริยาขึ้นมามันออกฤทธิ์ ความออกฤทธิ์คือความสุขความทุกข์ ความที่เราเฉา หัวใจฝ่อหัวใจเฉา นี่ผู้ที่ออกฤทธิ์ออกมา ฤทธิ์ก็เกิดขึ้นมาจากใจ อันนั้นเราก็รับทุกข์ไป เห็นไหม ว่านี่ทุกข์เด็กๆ ทุกข์ที่ทำให้ฟุ้งซ่านแล้วจิตใจฟุ้งซ่านไปเรื่อยๆ ฉะนั้น เราเกิดขึ้นมาเป็นนักปฏิบัติ ความมหัศจรรย์ของธรรม ธรรมนี้มหัศจรรย์มาก ธรรมนี้สามารถชำระล้างได้ทั้งหมด กำจัดได้ตั้งแต่ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา ถ้ากำจัดไม่ได้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เย้ยมารได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชำระมารออกไปทั้งหมด

กิเลสฝ่ายมาร ธาตุขันธ์เรามีดำกับขาว ธรรมะในหัวใจ อธรรมกับธรรม เราคิดเป็นอธรรมๆ คิดเป็นธรรมๆ ธรรมกับอธรรมนี่อยู่ในหัวใจของเราตลอดเวลา นโยบายใครกำหนดใช้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขาราปจฺจยา วิญฺญาณํ หมุนออกไป เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกอวิชชาปกคลุมหมด เย้ยพญามาร

“มารเอย เธอจะเกิดอีกไม่ได้แล้ว เพราะเธอเกิดจากความดำริของเรา”

แล้วอวิชชาเกิดขึ้นจากอะไร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเจ้าของศาสนา แต่หลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นบอกว่าอวิชชาเกิดจากฐีติจิต จิตที่มันเป็นจิตเดิมแท้ไง จิตเดิมแท้ที่ว่าอวิชชาปกคลุมอยู่ไง ฐีติจิต จิตเบื้องต้น มันก็เข้ากับว่า “จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส” แต่ธรรมที่มหัศจรรย์นั้นมันพ้นจากนี้ขึ้นไป มันถึงว่าเป็นธรรมล้วนๆ อันนั้นขึ้นไปธรรมล้วนๆ

นั่นน่ะ มันพาตายพาเกิด สิ่งที่พาตายพาเกิด เพราะปกคลุมไว้ จิตนี้มันถึงว่าตายๆ เกิดๆ มันเป็นความทุกข์ที่ว่าน่าสยดสยอง น่าความทุกข์มาก อันนั้นความทุกข์มาก แต่ธรรมนี้ชำระล้างได้หมดๆ นั้นเป็นครูอาจารย์ของเรา เป็นองค์ศาสดา เป็นผู้ที่ดำเนิน เป็นผู้ที่ว่าเราจะก้าวเดินตามองค์ศาสดาของเรา เห็นไหม แล้วที่ว่า หลวงปู่มั่นเป็นผู้ชี้นำ เป็นผู้สั่งสอน เป็นผู้บุกเบิกวิธีการขึ้นมาอีก เป็นผู้บุกเบิกเพราะว่า คำสอนทำให้เข้าใจ ทำให้ตัวเองมีความมั่นใจไง

อวิชชาเกิดจากฐีติจิต เพราะอวิชชาก็เกิดขึ้นมาจากดวงใจดวงนั้นน่ะ ดวงใจดวงนั้น อวิชชาเกิดจากอะไร จะลอยฟ้าอยู่ที่ไหน อวิชชามาโดยที่ไม่มีเหตุไม่มีผลไม่ได้ สรรพสิ่งในโลกนี้ต้องมีเหตุกับผล มีเหตุกับผลต้องเกิดขึ้น เห็นไหม เหตุคืออวิชชา ผลล่ะ ผลก็ให้ความทุกข์น่ะสิ ถ้าเหตุมันเป็นวิชชาล่ะ เหตุวิชชาคือผู้รู้จริงไง เหตุถ้าเป็นวิชชา วิชชาผลก็ให้เป็นความสุขสิ

แต่ตอนนี้เราไม่มีเหตุที่เป็นวิชชา จากสมบัติเดิมของเรา เรามีเหตุจากวิชชา จากพระไตรปิฎก มีเหตุวิชชาขึ้นมาจากหลวงปู่มั่น จากครูบาอาจารย์ที่ว่าเป็นผู้ที่องอาจ ผ่านจากข้าศึกไปแล้วชี้นำไว้ไงว่าสิ่งนั้นประสบได้จริง สิ่งนั้นมีอยู่ในดวงใจทุกดวงใจ คนที่เกิดมามีหัวใจ มีดวงใจทุกดวงใจ แต่ทุกคนมองข้ามไปหมดไง

คนเกิดขึ้นมาแล้วบอกว่าเราเป็นมนุษย์มีแต่ความทุกข์ๆ มันพูดถึงแต่เรื่องของการเกิดเป็นมนุษย์ ภพของมนุษย์ แต่ลืมไปว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมา ดวงใจที่เกิดมาในมนุษย์นี้เกิดตายๆ มาแล้วไม่รู้สักเท่าไร ฉะนั้น การเกิดการตายที่บอกว่าเราเกิดเป็นมนุษย์แล้วเป็นความทุกข์นั้น มันถึงว่าเป็นเศษเสี้ยวของจิตดวงนี้ จิตดวงนี้ซับซ้อนกับสิ่งที่ว่าเป็นทุกข์โศกเศร้า มันถึงยอกใจ ถึงเวลาคิดย้อนกลับไปแล้วมันถึงไม่ค่อยอยากจะ...ถ้าพูดถึงความทุกข์มันถึงขยะแขยง พูดถึงนี่มันถึงกลัวไง มันไม่กล้าผจญภัยกับสิ่งต่างๆ เห็นไหม อันนั้นเพราะว่าใจนี้มันเคยเกิดเคยตายมามากมายมหาศาล แต่มันโดนปกปิดไว้ด้วยอวิชชา แล้วเกิดเป็นมนุษย์เราก็ว่าแต่มีแต่กายๆ กายของมนุษย์นี่ร่างกาย กายของมนุษย์ เราถึงจะต้องย้อนกลับมา ย้อนกลับมาฟังธรรม

ธรรมนี้บอกว่า มนุษย์นี้ ๘๐ ปี เป็นของชั่วคราว แต่จิตที่ว่าเป็นของแท้ที่พาเกิดพาตายอยู่นั้น ต้องชำระสะสางกันตรงนั้น ต้องทำจิตตรงนั้นให้ผ่องใส จิตดวงนั้นผ่องใสขึ้นมาๆ ใจมันก็ผ่องใส ความผ่องใสนั้นเป็นความสุข ความสุขคนจะทำงานนั้นต้องมีพลังงานก่อน คนจะทำงาน คนกำลังจะตายอยู่แล้ว คนเป็นไข้ง่อยเปลี้ยเสียขา ให้ทำงานจะเอาแรงที่ไหนไปทำงาน ต้องหาความสงบให้กับใจดวงนั้น

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราไม่มีวิชชาเป็นของเรา แต่เรามีวิชชาของครูบาอาจารย์อยู่ เห็นไหม สุตมยปัญญา การศึกษาเล่าเรียน การฟังธรรม การฟังธรรมเฉพาะหน้าเป็นปัจจุบันธรรมของใจ เป็นปัจจุบันธรรม ใจเดี๋ยวนี้อวิชชาปกคลุมอยู่ อายไหม ถามมัน ถามปัจจุบันธรรม ถามว่าสิ่งที่ออกมาเป็นธรรมอยู่ที่ว่าครูบาอาจารย์แสดงอยู่นี้ กับสิ่งที่ว่าในหัวใจเรานี่มันเชื่อมันฟังไหม ถ้ามันไม่ฟัง มันไม่ฟังธรรมนั้น มันมีสิ่งใดสูงค่ากว่านั้น นี่ถามใจตัวเอง

ถ้าใจของเรามีสิ่งที่ควรพึ่ง มีสิ่งที่อยู่ที่อาศัย มีคุณสมบัติพอที่จะเอาตัวเองให้พ้นออกจากทุกข์ได้ มันถึงควรจะยกย่องตัวเองว่าใจของตัวเองนั้นมีคุณค่า ในเมื่อใจของตัวเองจมปลักอยู่กับกลัดหนอง จมปลักอยู่กับมูตรกับคูถ มูตรคูถคือความพาให้ใจนี้มีแต่ความทุกข์ ใจนี้มีความทุกข์ ใจนั้นมันประเสริฐตรงไหน เห็นไหม

สุตมยปัญญา คือการศึกษา การฟัง การวิชชา อวิชชาเป็นความคิดฝ่ายผูก ฝ่ายไม่รู้ วิชชาคือวิชชาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เราศึกษามา สุตมยปัญญา วิชชาคือการก้าวเดินออกจากทุกข์ ตำราวิชาการก้าวเดินออกจากทุกข์นั่นคือวิชา นั่นคือสุตมยปัญญา การฟังธรรมนี้ก็เหมือนกัน การฟังธรรม การบันลือสีหนาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละครั้ง รื้อค้น รื้อสัตว์ขนสัตว์ของจากโลกมหาศาล นั้นคือการบันลือสีหนาทของธรรมที่ครอบคลุมให้กิเลสสงบยุบยอบตัวลง เห็นไหม การฟังธรรมต่อหน้าครูต่อหน้าอาจารย์ มันถึงว่าเป็นผลประโยชน์ให้กิเลสนี้มันได้สะเทือนใจบ้าง

ความสะเทือนใจของกิเลส เห็นไหม ผู้กำหนดนโยบายของใจนั้น เริ่มจากสะเทือน เริ่มจากที่ว่าเป็นกำหนดนโยบายนอนอยู่บนหอคอยงาช้างของใจ ควบคุมใจให้หมุนเวียนตายเวียนเกิดอยู่ ไม่เคยมีใครมาสามารถสะเทือนให้บัลลังก์นั้นขยับให้รู้สึกตัวว่ามีโทษอยู่ได้ นี่ถ้าฟังธรรมแล้วธรรมอันนั้นเป็นประโยชน์ ถึงว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ไง ธรรมนั้นเป็นสิ่งมหัศจรรย์สะเทือนถึงหัวใจนั้นได้ สะเทือนถึงผู้ควบคุมนโยบายของใจนั้นได้ ถ้าควบคุม สะเทือนถึงอย่างนั้นได้ นี่การทำให้จิตถึงความสงบ ผู้ที่ควรแก่การงานต้องมีพลังงานควรแก่การงาน ต้องมีพลังงานก่อน มีพลังงานหมายถึงว่า จิตนี้ควรสงบ ควรได้พักผ่อน ไม่ใช่ขี้โรค คนง่อยเปลี้ยเสียขาที่ว่าไม่แข็งแรงจะออกไปทำงาน มันก็ได้แต่งานปลีกย่อย

แต่การรื้อภพรื้อชาติมันไม่ใช่งานปลีกย่อย การรื้อภพรื้อชาติเป็นสิ่งที่ว่าเป็นงานของทุกๆ ดวงใจที่จะพ้นจากพญามาร พ้นจากกรงเล็บของพญามัจจุราช เห็นไหม กรงเล็บของพญามัจจุราชคือยังต้องตายไปอีกต่อหน้า แล้ว...

...เกิดซับเกิดซ้อน เกิดอุบัติเป็น...ถ้าคนนั้นสร้างบุญกุศลไว้ เกิดอุบัติทันทีขึ้นเป็นเทวดา อุบัติทันทีนะ ถ้าเป็นเทวดาไปเลย แต่ถ้ายังเป็นกึ่งดิบกึ่งดีอยู่มันก็ต้องไปผ่านยมบาล กึ่งดิบกึ่งดีนี้ต้องไปแบ่งแยก ชั่วหนักๆ เขาก็ลงไปเลย ลงคือเทวทัตนี้ตกนรกทั้งเป็นเลย ชั่วหนักๆ เข้าไปเลย ถ้าบุญมหาศาลก็ไปเลย นั่นน่ะ บุญก็ยังเป็นอวิชชาพาเกิด เพราะคนเกิดเป็นเทวดาก็มีความทุกข์ อวิชชาปกปิดไปเกิดอีกชาติหนึ่ง

เห็นไหม มนุษย์ตาย คนคนหนึ่ง เรานึกว่ามนุษย์ตายแล้วก็แล้วกัน มนุษย์ตายแล้วมันไม่แล้ว นี่ก็เหมือนกัน มนุษย์ตายคือเราตายไง เราตายแล้วมันไม่แล้ว จิตนี้มันไปเรื่อยๆ จิตนี้มันไปเรื่อยๆ เพราะความลึกลับซับซ้อนของใจดวงนั้นต้องหมุนเวียนไปตามวัฏฏะของเขาๆ นี้เราฟังธรรมอยู่นี้ เราต้องฟังธรรม เราก็ต้องพยายามเข้าใจถึงแผนที่ดำเนินไง แผนที่ดำเนินของวัฏฏะที่หมุนเวียนไป ใจนี้มันถึงควรจะว่า ทำอย่างไรถึงว่า เดินตรงในแผนที่นั้น ถ้าเรายังไม่สามารถออกจากแผนที่นั้น คือลบแผนที่ออกจากใจ ลบอวิชชา ลบสิ่งที่ไม่รู้ มันเป็นกระจ่างแจ้งแล้ว เราจะเดินไปทำไมในแผนที่นั้น แผนที่นั้นก็ลบทิ้งซะ คือว่าเครื่องหมายที่จะดำเนินต่อไปนี่หมด อวิชชานี่ลบทิ้งซะมันก็จบ จบความเข้าใจ ชีวิตที่ผ่องแผ้ว ความเข้าใจชีวิตผ่องแผ้ว การชำระอวิชชา การชำระความไม่รู้ของใจ เพิกใจนั้นออก

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพิกออกมาแล้ว องค์หลวงปู่มั่น องค์ครูบาอาจารย์เพิกออกมา เป็นตามๆ กันมา ธรรมนี้ถึงเป็นสิ่งมหัศจรรย์ ธรรมนี้มหัศจรรย์ แม้แต่กิเลสที่ว่าเป็นความลึกลับซับซ้อนที่ทำให้เราเกิดเราตายอยู่นี่ ลึกลับซับซ้อนมาก ทำให้เราเกิดเราตายนะ ทำให้เรา เรานี้เกิดตายแล้วถึงจะรู้ว่าเป็นเรา แต่ขณะจะเกิดจะตายนี้ไม่รู้ เพราะมันเป็นอวิชชา เป็นจิตหนึ่ง หนึ่งเดียวเท่านั้น

จิตหนึ่งเดียวถึงวนไปในวัฏฏะนี้ ขันธ์ ๑ ก็ได้ ขันธ์ ๔ ก็ได้ ขันธ์ ๕ ก็ได้ เห็นไหม ขันธ์ ๕ คือมนุษย์เรานี่ ขันธ์ ๕ ก็ได้ ขันธ์อันนี้มันถึงออกแสดงตัวทีหลัง เราได้เป็นมนุษย์มาแล้ว แล้วเกิดขึ้นมาเป็นเด็กไร้เดียงสาก็ต้องมาสั่งกันสอนกันเพื่อให้ขันธ์นี้มันเข้มแข็งขึ้นมาไง ขันธ์คือสัญญาความจำได้หมายรู้ สังขารความปรุงความแต่งให้ฉลาดฉะฉาน ให้ทันคน นี่เราต้องมาสร้างสมขึ้นมาในภพของมนุษย์นี้ มนุษย์แต่ละภพแต่ละชาติสร้างสมขึ้นมา แล้วในมนุษย์แต่ละสัญชาติก็ต้องสร้างสมสอนต่างๆ กัน นั้นคือสมมุติของโลกเขา

แต่ภาษาใจ ภาษาใจหยิบน้ำขึ้นมา มองด้วยกันทุกคนก็รู้ว่าเป็นน้ำเหมือนกันหมด ภาษาใจคือภาษาทุกข์ ความทุกข์อันเดียวกัน จะสัญชาติใด จะวิชาการใดอยู่ในโลกนี้ เวลาทุกข์ขึ้นมาเป็นทุกข์อันเดียวกัน มีทุกข์มากทุกข์น้อย เพราะนั้นอีกตากหาก

ทุกข์ในศาสนานี้รู้ว่าทุกข์นี้ยังพอรู้ คนที่เจ็บไข้ได้ป่วยรู้ว่าเราเจ็บไข้ได้ป่วยด้วยโรคสิ่งใดนั้นมันยังมีโอกาสหาย คนที่ทุกข์แล้วไม่รู้จักทุกข์ไง ทุกข์ว่าอันนี้มันเกิดขึ้นได้ไง ตีโพยตีพายพยายามผลักไสไป เหมือนกับเราตีโพยตีพายในปัจจุบันนี้ เพราะเราไม่เข้าใจ เราไม่เข้าใจสิ่งนี้ไง ว่าสิ่งนี้มันเป็นเหตุขึ้นมา เพราะเราสร้างบุญสร้างกรรมมา มันเกิดสิ่งนี้แล้ว สิ่งนี้เป็นชัยภูมิ สิ่งนี้เป็นสนามที่จะประลองยุทธ์กันระหว่างวิชากับอวิชชา

สิ่งที่เป็นชัยภูมิที่จะประลองยุทธ์กันนี่มีในเรา สนามรบไหนจะเป็นสนามรบการชำระกิเลส สนามรบนั้นก็อยู่ที่กายกับใจเท่านั้น กายกับใจที่เราแสวงหาโทษแต่สิ่งต่างๆ โทษแต่สิ่งที่เราเกิดมา โทษแต่สิ่งที่รอบข้างว่าสิ่งนั้นให้ทุกข์เราทั้งนั้น สิ่งนี้ให้ทุกข์เราทั้งนั้น แต่ไม่ได้ดูที่ดวงใจดวงนี้ไง ถ้ามาดับที่ดวงใจดวงนี้ สิ่งที่เป็นทุกข์นั้นมันเก้อๆ เขินๆ นะ

บ่วงของมาร สิ่งนั้นเป็นบ่วงของมารเท่านั้น เป็นบ่วงล่อ บ่วงล่อให้คนที่ไม่รู้ไปติดกับ เราต่างหากไปติดกับโลกเขา โลกเขานี่มาติดเรา โลกเป็นโลกนะ ธรรมนี้เป็นธรรม ธรรมนี้กับใจถ้าสัมผัสกันแล้วเป็นเนื้อเดียวกัน แต่ขณะนี้ธรรมนี้เกิดขึ้นแย็บๆๆ ในหัวใจของเรา เราไม่สามารถให้เป็นธรรมแท้ได้ เพราะเราไม่ได้สมุจเฉทปหานกิเลสออกจากใจเป็นขั้นเป็นตอนเข้าไป เราทำแต่ความว่าเป็นคุณเป็นผู้วิเศษ เป็นความสงบเข้ามา ความสงบเข้ามาแล้วเราว่าอันนั้นเป็นธรรม อันนั้นเป็นธรรม

อันนั้นเป็นธรรม ทำไมมันไม่ชำระสิ่งที่ว่าเป็นกิเลสออกไปล่ะ อันนั้นเป็นธรรม ทำไมพยายามให้กิเลสนั้นหลบเข้าไปอยู่ข้างในล่ะ กิเลสมันหลบนะ กิเลสนี้ฉลาดมาก เราเป็นคนโง่ เรานี่เราว่าฉลาด แต่เราโง่กับกิเลสเพราะอะไร เพราะ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา เป็นสิ่งที่ว่ามันไม่รู้ มันไม่รู้ มันปฏิเสธให้เราไม่รู้ต่างหาก แต่มันรู้ มันรู้เพราะต้องการเอาเราอยู่ใต้อำนาจของมัน เห็นไหม นี่มันรู้ตัวมันเอง แต่เราไม่รู้เพราะเรามีมัน อวิชชาถึงสิ่งที่ไม่รู้

มันถึงปฏิเสธไง ความปฏิเสธว่าสิ่งนั้นสิ่งที่ว่าปัดเข้ามาๆ นี่มันหลบตัว หลบเฉยๆ มันหลบจากเวลาเราเอาจริงเอาจัง เราจะเอาจริงเอาจังเพื่อจะชำระกิเลส เห็นไหม เป็นการรบกัน มันก็พาลไม่สู้เราซะ มันหลบไปไง เราทำความสงบขึ้นมาได้มันหลบเข้าไปๆ สิ่งที่มันหลบเข้าไป ในเมื่อน้ำเดือดอยู่ เวลามันสงบตัวลง น้ำเดือดเป็นฟองเป็นอะไรขึ้นมา เพราะพลังงานนั้นเกิดขึ้น มันควรขึ้นไปจะทำอาหาร สิ่งที่จะไปต้มหุงอะไรขึ้นมามันก็เป็นอาหารของเราใช่ไหม ทำไมเราไม่ได้ทำ ปล่อยให้น้ำนั้นเดือดนั้นมันเย็นตัวลง

อันนี้เหมือนกัน เวลาจิตเราองอาจกล้าหาญ จิตที่เราเป็นธรรมขึ้นมานี่ มันเหมือนกับน้ำเดือด พลังงานมันเกิดขึ้น ทำไมปล่อยให้พลังงานนั้นมอดไปๆๆ จนพลังงานนั้นไม่มี พอพลังงานไม่มี น้ำเป็นอะไร? น้ำก็เป็นน้ำปกติใช่ไหม เชื้อโรคมันก็เข้าไปอยู่ในนั้นได้ จะเป็นยุงเป็นอะไรมันก็เข้าไปไข่ได้

นี่ก็เหมือนกัน เราทำลายตัวเราเอง เราว่าเราเป็นนักรบ เราจะต่อสู้กับกิเลส ทำความสงบขึ้นมา พลังงานเกิดขึ้น พลังงานของใจเกิดขึ้น องอาจกล้าหาญมาก กิเลสมันก็หลบตัวลง นี่มันฉลาดมาก มันหลบตัวซุกเข้าไปในหัวใจของเรา เราก็ว่า โอ้โฮ! ตอนนี้ขณะนี้น้ำกำลังเดือด น้ำเดือดนี่พลังงานของใจ สมาธิมันเกิดขึ้น น้ำเดือดขึ้นมา สิ่งใดเข้าไปในน้ำนี้ไม่ได้เลย น้ำนั้นต้มสุกหมด ไม่มีสิ่งใดเข้ามาเลย กิเลสมันก็หลบตัวไป

สิ่งที่ควรจะเป็นการสัมปยุตกับกิเลส กับกิเลสเราไม่ได้สัมปยุต เราไปพอใจกับสิ่งที่ว่า ไม่มีสิ่งใดเข้ามาในอำนาจของความร้อนนั้นได้ ปฏิกิริยาของธรรม...ปฏิกิริยาของกิเลสล่ะ ปฏิกิริยาของกิเลสเวลากิเลสมันเกิดขึ้นมา มันขึ้นมา เราไม่ต้องการเลย เวลาที่ว่ามันหลงไปในสิ่งใด เราไม่รู้สิ่งต่างๆ นี้ บางอย่างวัตถุขึ้นมานี่เราไม่รู้จักมัน เราก็ต้องทำความเข้าใจกับมันเพราะเราไม่รู้ นี่มันหลงไป มันพอใจ เห็นไหม ปฏิกิริยาของมัน นี่ปฏิกิริยาอันนี้อันเดียวกัน กุศล อกุศล ถึงเกิดขึ้นจากใจ

ถ้าเป็นสัมมาสมาธิ มีสมาธิอยู่ คิดถูกต้องอยู่ อันนี้เป็นธรรม ธรรมหมายถึงว่า สังขารปรุงเหมือนกัน ขันธ์ ๕ เหมือนกัน ขันธ์ ๕ นี่ ในขันธ์ ๕ นี้มันเป็นปัจจุบันของมนุษย์ มนุษย์มีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ นี้เป็นธรรมชาติที่เราเกิดขึ้นมาแล้ว คือว่าสมบัติส่วนตนที่บุคคลทุกบุคคลมีเหมือนกัน เป็นญาติกันโดยธรรม มีคุณค่าเท่ากัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงสอนลงที่ขันธ์นี้ ขันธ์นี้เป็นตัวสสาร ปฏิกิริยาที่มันกระทบกระเทือนกันมันถึงให้ค่ากับใจนี้ขึ้นมา เป็นความร้อนขึ้นมา เป็นสัมมาสมาธิ เพื่อจะสัมปยุตกับกิเลส เราก็ไม่มีความสามารถ เห็นไหม วาสนาบารมีเราอยู่ที่ไหน ทำไมไม่ยกขึ้นวิปัสสนาให้เห็นกาย เห็นจิต เห็นเวทนา เห็นธรรม

ธรรมคือสิ่งที่กระทบ มันกระทบอีกเหมือนกัน กระทบสองกระทบไง กระทบหนึ่งเกิดขึ้นจากความที่ว่าเราสร้างสมขึ้นมาเป็นสัมมาสมาธิก่อน อันนี้เป็นปัญญาส่วนหนึ่ง กระทบกับกาย การวิปัสสนากาย ต้องวิปัสสนากาย เวทนา จิต ธรรม เวทนาความสุขความทุกข์ที่มันมักมาก มักความสะดวกสบาย มักใหญ่ใฝ่สูง มักใหญ่ใฝ่สูงในธรรมไง ในเวลาปฏิบัติก็ แหม! จะเอาถึงมรรค ถึงผล ถึงสิ้นสุดแห่งทุกข์ นี่มักใหญ่ใฝ่สูง มักจะไปเอาข้างหน้า นี่มันเพิกถอนออกไปจากจุดยืนของใจ

จุดยืนของใจบอก ไม่ต้องไปมักใหญ่ใฝ่สูงว่าจะเอาถึงให้พ้นจากกิเลสในปัจจุบันนี้ ในปัจจุบันนี้ให้พิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม งานของเราคืองานพิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม การพิจารณากายหรือใจนี้มันเป็นการสัมปยุตกับกิเลส เพราะผู้กำหนดนโยบายอยู่ในนี้ไง ผู้กำหนดนโยบายอาศัยพักตัวอยู่ที่ไหน ผู้กำหนดนโยบายคืออวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา กำหนดฟักตัวอยู่ที่หัวใจนั้น พิจารณากายก็สะเทือนถึงใจ พิจารณาใจก็พิจารณาถึงพื้นฐานที่อู่กินอู่นอนของผู้กำหนดนโยบายนั้น นั้นคือการสัมปยุต

การสัมปยุตกับกิเลส การสัมปยุตกับสิ่งที่ว่าไม่รู้ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา การจะเพิกถอน อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา มันต้องเริ่มต้นจากจุดนี้ไง จุดที่ว่าเราเข้าต่อสู้ ถ้าไม่อย่างนั้นเรากำหนดความสงบอยู่เฉยๆ มันก็ให้พลังงานมา ให้พลังงานมาเฉยๆ แล้วกิเลสก็หลบตัวลง กิเลสพอหลบตัวลงนี่ เรามันก็เข้าใจว่าอันนี้เป็นธรรม

สิ่งที่ว่าเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ ธรรมะนี้มหัศจรรย์มาก สะเทือนโลกนะ สะเทือนเลื่อนลั่น แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะอันนั้น กาฬเทวิลอยู่บนพรหม ยังได้สะเทือนขึ้นไปถึงบนพรหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว แสดงธรรมจักรก็สะเทือนเลื่อนลั่นทั่วไปหมดเลย ขนาดว่าเกิดมาด้วยเป็นร่างของมนุษย์ที่ยังไม่ได้ถึงธรรม แต่ผู้ที่จะเป็นผู้ที่จะพาออก เขายังสรรเสริญ เทวดายังสรรเสริญยังสาธุการขนาดนั้น แล้วปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมจนชำระกิเลสออกไป จนสะอาดบริสุทธิ์ ทำไมเทวดาไม่สาธุการกับจิตดวงนั้น

พอจิตดวงนั้นแสดงธรรมออกไป ธัมมจักกัปปวัตตนสูตรออกไป สะเทือนเลื่อนลั่นขึ้นไปตลอดออกไป ตลอดไป นี่ความสะเทือนเลื่อนลั่นของธรรม สิ่งที่มหัศจรรย์สิ่งนั้น สิ่งที่มหัศจรรย์มีอยู่ ธรรมะนี้ไม่มีกาลไม่มีเวลา มีอยู่โดยดั้งเดิม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประพฤติปฏิบัติไปจนไปถึงเพิกถอนอวิชชาตัวนี้ได้หมด นี่ความมหัศจรรย์ของธรรม ความมหัศจรรย์ของจิตไง จิตดวงที่พ้นออกจากกิเลสแล้ว จิตที่พ้นออกจากกิเลส พ้นออกจากอวิชชา เพิกจากอวิชชาออกจากใจแล้ว จิตดวงนั้นมหัศจรรย์มาก

พอมหัศจรรย์มาก มหัศจรรย์ การแสดงธรรมออกมาจากจิตดวงนั้น เทวดาถึงสาธุการกัน สะเทือนเลื่อนลั่นไปหมด นี่มันถึงว่าเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์สุดๆ สิ่งที่มหัศจรรย์ที่ว่าไม่ใช่อยู่อื่นไกลของเราเลย จิตของเราก็มีอยู่ หัวใจของเราก็มีอยู่ มันควรได้รับความมหัศจรรย์สิ่งนั้นเข้ามาให้สัมผัสกับใจของเราบ้าง ใจของเรา ใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใจของครูบาอาจารย์นั้นเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ ใจของเราทำไมมันมืดดำขนาดนี้

เห็นไหม ถ้าถามตนเอง การถามตนเอง การค้นคว้ามาที่ใจของตัวเอง อันนั้นเป็นผู้ที่ประเสริฐที่สุด ผู้ที่ประเสริฐที่สุดคือการเริ่มเตือนตนออกไปไง เตือนตนของตนให้ตนมีความมุมานะ เพราะว่าช้าไป ความเนินช้าของเรา จากเกิดมาร่างกายจากเด็กอ่อนขึ้นมานี่ ร่างกายอ่อน การเล่นกีฬา กระดูกอ่อนควรแก่งานของกีฬานั้น พอโตขึ้นไปนี่หมดเวลาของการเล่นกีฬานั้นแล้ว ต้องทำงานเป็นผู้ใหญ่ต่อไป จนอายุมากขึ้น กระดูกนั้นก็ต้องผุกร่อนไปโดยธรรมชาติของมัน เห็นไหม ธรรมชาติของร่างกาย มันก็เป็นธรรมชาติของมันอยู่แล้ว แล้วในหัวใจที่มันดื้อด้าน ไปในการประพฤติปฏิบัติที่เราเริ่มต้นว่า เริ่มต้นจงใจอยากจะประพฤติปฏิบัติ อยากจะออกสนามรบ อยากจะสู้กับกิเลส อยากจะผจญภัยกับกิเลส ต่อหน้ากิเลสเราจะพุ่งรบกับมันเลย แต่เวลาเอาจริงเอาจังขึ้นมาก็อ่อนเปลี้ยเพลียแรงไปเรื่อยๆ จนถึงจุดหนึ่งก็กลายเป็นคนขี้โรคไป ใจนี้เป็นใจขี้โรค ใจดื้อ ใจด้าน

จากที่ว่าเริ่มต้นออกมาจะประพฤติปฏิบัติ เริ่มต้นจะสู้กับกิเลส นี่ความคิดเริ่มต้นมันมี แต่ความจริงความจังของใจ ในขณะที่ว่าก้าวเดินออกไปไม่มี นี่เหมือนกัน จากเด็ก จากเริ่มต้นออกมา การฝึกฝนของเด็ก เล่นกีฬาจนได้เหรียญทองขนาดไหน เขาเล่นยิมนาสติก เพราะอะไร เพราะกระดูกกระเดี้ยวมันยังอ่อนอยู่ ควรแก่ เห็นไหม โอกาสมีแค่นั้นเอง พออายุมากขึ้นไป โอกาสเป็นไปได้ไหม

ธรรมชาติ “สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหลายต้องดับเป็นไปธรรมดา” สิ่งนั้นเป็นไตรลักษณ์อยู่โดยธรรมชาติของมัน แต่เป็นไตรลักษณะโดยที่ธรรมชาติของมัน มันหมุนเวียนไปโดยธรรมชาติของมัน เราไม่ได้ประโยชน์ใดๆ เลย ทั้งๆ ที่ว่าสิ่งนั้นก็เป็นเรา เราก็อยู่ในไตรลักษณ์นั้น ทำไมเราไม่เห็นไตรลักษณะ เห็นไหม นี่ถ้าไตรลักษณะเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา

ทั้งๆ ที่ในหัวใจเรา เราภาวนาอยู่ขึ้นมา เริ่มขึ้นมาก็ตั้งเป็นพลังงานของน้ำที่เดือดขึ้นมาได้ พลังงานของใจที่เราสร้างสมขึ้นมา กำหนดพุทโธๆ เข้าไปจนใจนี้สงบขึ้นมาได้ นี้ก็เป็นไตรลักษณ์อันหนึ่ง เป็นไตรลักษณ์เพราะอะไร เพราะมันเจริญขึ้นมา แล้วมันอยู่ชั่วคราว แล้วพอเราเพลิดเพลินลืมตัวไป มันก็จะเสื่อมสลายไปธรรมดา

ขณะที่เพลิดเพลินอยู่ ขณะที่น้ำร้อนอยู่ ทุกคนต้องหลบหลีก หลบหลีกสิ่งนั้น มันจะภูมิอกภูมิใจว่าตัวนี้เป็นธรรม เป็นสิ่งที่มหัศจรรย์...ความมหัศจรรย์นี้เป็นมหัศจรรย์เล็กน้อย มหัศจรรย์เล็กน้อยเพราะอะไร เพราะไปเห็นเงา เห็นแต่ร่างเงาของธรรม ไม่เคยเห็นธรรม ร่างเงาของธรรมคือจิตมันสงบเข้ามาเป็นสมาธิธรรม จิตที่เสวยสมาธิธรรมนั้นจะมีความสงบพอตัวของความสงบนั้น กิเลสก็สงบตัวลง

๑. เราหลงใหลไป เราไม่เห็นไตรลักษณะนั้น เพราะตัวของจิตนั้นเป็นไตรลักษณะ หนึ่ง

๒. กิเลสที่ว่ามันเคยปกคลุมครอบครองใจนั้นอยู่มันหลบตัวหลีกออกไป

นี่ผู้ที่ปฏิบัติที่จะหลง หลงไปในการประพฤติปฏิบัติไง ผู้ที่ปฏิบัติ ผู้ที่ออกสงคราม นักกีฬาที่เล่นแล้วโดนเขาตัดแต้มไง ควรเล่นกีฬาแล้วควรจะชนะ สู้กับกิเลสแล้วควรจะชนะ สู้กับกิเลสยังโดนกิเลสหักแข้งหักขา หักแข้งหักขาต่อเมื่อเวลามันเสื่อมแล้วไง จิตนี้มันเสื่อมสภาพไปแล้ว หลงใหลไป จนปล่อยวางไปแล้ว โอ้โฮ! โอ้โฮ! ออกมานะ ทำไมมันเร่าร้อนเหมือนเก่า ทำไมประพฤติปฏิบัติมามีแต่ความทุกข์ขนาดนี้ นี่การก้าวเดินของใจมันต้องก้าวเดินไปแบบนั้นเหมือนกัน

ไตรลักษณะมีอยู่ เราพิจารณาในกาย เวทนา จิต ธรรม ก็เพื่อให้เห็นไตรลักษณะ เห็น! เพราะว่าจิตนี้มันเป็นเนื้อเดียวกับสิ่งที่เป็นไปอยู่ ขันธ์ ๕ กับใจเป็นอันเดียวกัน ความยึดมั่นถือมั่นระหว่างใจกับอารมณ์นี้เป็นเนื้อเดียวกัน ทีนี้พอเป็นเนื้อเดียวกันนี่ ความเห็นไตรลักษณะมันเห็น มันถึงมองไม่เห็น คำว่า “เห็น” เพราะไตรลักษณะ หมายถึงว่าใจนี้พิจารณาในขันธ์ ในกายกับจิตนี้ ต้องทำให้ใจนี้สงบลงมา ให้สงบเข้ามา เป็นพลังงานของใจ ของน้ำที่เดือดขึ้นมา น้ำเดือดขึ้นมาจับสิ่งที่เป็นสัตว์เป็นอะไรลงไปน้ำเดือดนั้นต้องสุก ต้องสุกเพราะอะไร เพราะน้ำนั้นเดือด

จิตที่เป็นสมาธิขึ้นมา เพราะจิตนี้เป็นสมาธิแยกตัวเป็นอิสระจากขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ นั้นเป็นขันธ์ ๕ จิตนั้นเป็นจิต แยกออกจากกัน แล้วใคร่ครวญกัน ใคร่ครวญคือว่า ใจนี้ที่วิปัสสนาในขันธ์ไง ในขันธ์ ๕ นั้น เห็นพระไตรลักษณะในขันธ์ ๕ นั้น ถึงว่าเห็นไง เห็นจริง เห็นจริงแบบรู้แจ้งแทงตลอด ปัญญานี้แทงตลอด พระไตรลักษณญาณ ปัญญานี้แทงตลอดไปในขันธ์ ๕ นั้น แต่ถ้ามันไม่มีปัญญานี้แทงเข้าไปตลอดในขันธ์ ๕ ปล่อยวางขันธ์ ๕ นั้นตามความเป็นจริง นี้ถ้ามีไตรลักษณะ เห็น การเห็นการรู้แจ้งนี่ การเห็นแจ้งรู้แจ้งนี้ถึงสำคัญมากในการประพฤติปฏิบัติ

นี้มันไม่มีการเห็นแจ้งรู้แจ้งไง การถ้าเห็นแจ้ง ปัญญาแทงทะลุตลอด มันต้องปล่อยวาง ปัญญาแทงทะลุตลอด ขันธ์ ๕ เป็นชั้นเป็นตอน ขันธ์ ๕ ขันธ์ในขันธ์ ขันธ์ ๕ นอกขันธ์ ๕ ใน ขันธ์ ๕ ในขันธ์ ๕ แล้วก็ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา ในหัวใจ ในตอของจิตนั้นก็แยกเป็นขันธ์ ๕ อย่างละเอียดได้ ถึงว่าธรรมะมีอย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียด แล้วละเอียดสุด สิ่งที่ละเอียดสุดนั้นคือการเพิกถอนออกทั้งหมด นั้นคือเพิกถอนนโยบายของหัวใจอันนั้นได้

ความมหัศจรรย์ของธรรมนี่ มีหลักการ มีวิชาการ มีทุกสิ่งทุกอย่างที่จะค้นคว้าเข้าไปได้ มันขาดแต่ผู้ประพฤติปฏิบัติ ขาดแต่ความจริงความจังของพวกเรานี่ พวกที่จะเข้าไปทำลายสิ่งที่ว่าทำให้ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา ทำให้ดวงจิตนี้ เกิดตายๆ ไปไม่มีที่สิ้นสุด ความมหัศจรรย์ของธรรม มาเพิกมาถอนให้เห็นความเกิดความตายที่ไม่มีที่สิ้นสุดนั้น แล้วสลดสังเวชสลัดทิ้งออกไป นี่ความมหัศจรรย์ของธรรมนี้ถึงมหัศจรรย์แสนมหัศจรรย์ จิตที่พ้นออกไปนี้ยิ่งมหัศจรรย์เข้าไปอีกไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า

เพราะว่ามันจะมหัศจรรย์ในธรรมที่ว่าเป็นวิชาการอันนี้ เป็นวิชาการ เป็นเทคนิคที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้วางนี่ มันจะซึ้งใจว่าสิ่งนี้หนอ ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพราะว่าได้ชำระกิเลสแล้ว ถ้าอย่างนั้นแล้วก็ควรจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ เพราะตัวเองปรารถนาสิ่งนั้น ตัวเองปรารถนาสิ่งที่ว่าเป็นพระพุทธเจ้าหนึ่ง แล้วอยากจะรื้อสัตว์ขนสัตว์หนึ่ง แต่เวลาพ้นออกไปจากกิเลสแล้วทำไมทำให้ขวนขวายน้อย ทรงขวนขวายน้อย ทรงไม่อยากทำ นั่นล่ะมหัศจรรย์ขนาดที่ว่ามันมหัศจรรย์เหนือโลกเหนือสงสารไง มันจะเป็นไปไม่ได้หนอที่จะเอามาสั่งสอนกัน ใครหนอจะได้เห็นสิ่งนั้น

แต่ในเมื่อมีข้อวัตรปฏิบัติ ผู้ที่ชำระ ผู้ที่สะสมบุญญาธิการมานี่ต้องมี ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพ้นไปได้ล่ะ ทำไมคนที่เดินตามหลังมา คนที่ว่ารอคนชี้นำอยู่ ผู้ที่อยากจะออกจากกิเลสมีมหาศาล ขาดแต่วิชาการ ขาดแต่เทคนิคอันนี้ พอพระพุทธเจ้ากลับมาสอน สอนยสะ เทศน์พระยสะคืนเดียว คืนเดียวเท่านั้นเลย พระยสะเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา

๑ คืนแต่เทศน์ ๒ หน เทศน์หัวค่ำหนหนึ่ง เทศน์...

“ที่นี่ขัดข้องหนอ ที่นี่วุ่นวายหนอ” พระยสะออกมาจากเรือนของตัว

“ที่นี่ไม่เดือดร้อน ที่นี่ไม่ขัดข้อง ที่นี่สุขสบาย ที่นี่เป็นสถานที่ว่าไม่ติดข้อง อยู่ในความว่าง” นี่พระยสะฟังธรรม ฟังธรรมนั้นเป็นพระโสดาบันขึ้นมา...เทศน์สอนพ่ออีกทีหนึ่ง บังพระยสะไว้ พระยสะเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา นี่บุญอำนาจวาสนาต้องมี

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ไปแล้ว พระยสะตามไปแล้ว ครูบาอาจารย์ที่ว่า ที่ในหมู่คณะเราเชื่อมั่นเชื่อใจกันผ่านไปแล้ว ผ่านไปแล้ว นี่ผ่านออกไป มันมหัศจรรย์ขนาดนั้น มหัศจรรย์จริงๆ จิตที่เป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ มันจะไม่เข้าถึงใจของเราเชียวหรือ ใจของเราไม่มหัศจรรย์ เพราะว่ามันไม่ก้าวเดินตามธรรมนั้น ใจเราที่ไม่มหัศจรรย์ ใจเรามันมีสิ่งที่ว่าอวิชชาปกคลุมกดถ่วงไว้ไง จิตที่มีอวิชชากดถ่วงไว้มันก็ต้องทุกข์ๆ ร่ำๆ ไป ทุกข์ร่ำไป พอทุกข์ร่ำไปจะแก้ไขอย่างไร

คนป่วยคนเจ็บยังอยากปรารถนาจะไปหาหมอ เห็นไหม คนเจ็บคนไข้ก็ปรารถนาจะพึ่งหมอให้หมอรักษาให้หายได้ อันนี้ก็ใจป่วยใจไข้อยู่ ใจเราป่วยนะ ใจเราโดนอวิชชาปกคลุมอยู่ ผู้กำหนดนโยบาย กำหนดนโยบายอยู่ว่าเอ็งจะต้องเกิดต้องตาย ต้องเกิดต้องตาย เกิดตายไปกี่ภพกี่ชาติ อวิชชาก็อยู่ในหัวใจนั้น

เกิดเป็นพรหมก็ยังมีอวิชชา เพราะยังไม่ทำลายอวิชชาดวงนั้นออกไปจากใจ ถึงสิ้นสุดของคนตาย พรหมนั้นตายเศร้าโศกไหม คนที่จะต้องสิ้นสุดของชีวิตมันจะมีความทุกข์ จะดีใจได้อย่างไร เพราะอวิชชาปกคลุมไว้ ไม่รู้ พอความไม่รู้ว่าเราจะไปไหน เราจะออกจากสถานะนี้ เปลี่ยนสถานะใหม่โดยที่เราไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ ทำไมเราจะไม่อ้างว้าง เว้นไว้แต่พรหมที่เป็นพระอนาคามีเท่านั้นนะ พรหมที่เป็นพระอนาคามีนั้น ในอนาคามี ๕ ชั้นนั้นไปได้เลย แต่พรหมที่มีอวิชชาอันนี้อยู่...พรหมที่อนาคามี ๕ ชั้นนั้นเพราะอะไร เพราะว่าเผาผลาญสิ่งนี้มาตลอด

แล้วเผาผลาญ เพียงแต่ไม่เห็นไง ไม่เห็นอวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา ผู้ที่เห็นอวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา นี้ เห็นตอของจิตแล้วจะชำระได้เลย แต่พระอนาคามีช่วงนั้นยังไม่เห็นอวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา ก็ไปเสวยอยู่ตรงนั้น จนถึงที่สุดแล้วภพชาติจะสิ้นไป สิ่งที่จะสืบต่อนั้นไม่มีเพราะได้ทำลายกามภพแล้ว ทำลายกามภพ หมุนกลับมาไม่ได้ เพราะสิ่งที่หมุนกลับมาไม่ได้มันเป็นอกุปปธรรม สิ่งที่เป็นอกุปปธรรมนั้นจะต้องดับไป เพราะถึงที่สิ้นสุดตรงนั้น เพราะพลังงานมันเผาอยู่แล้ว เผาถึงตรงอวิชชานั้นดับ ดับ พระอนาคามีก็สิ้นไปเลย

แต่พรหมที่ยังมีกิเลสอยู่ พรหมเป็นปุถุชนนั่นน่ะต้องหมุนกลับมา อวิชชา ในเทวดาก็เหมือนกัน ในเทวดาก็มีอวิชชาอยู่ ในมนุษย์ก็มีอวิชชาอยู่ อวิชชาถึงเป็นผู้ควบคุมนโยบายของใจดวงนี้ไปตลอด นี่วัฏวนที่วนหมุนเวียนไปด้วยสัตว์โลกหมุนเวียนไปในวัฏวนยังต้องหมุนไป หมุนไป หมุนไปตลอด นี่คืออยู่ในใต้ของผู้ที่คุมนโยบายนั้น คือตัวอวิชชา

แล้วตัวเวลาไปเสวยภพเสวยชาติแล้ว เสวยเป็นพรหมก็ขันธ์ ๑ ขันธ์ ๑ ก็อาหารความเป็นอยู่ของเขาอย่างหนึ่ง อาหารไม่ใช่อาหารแบบทั่วๆ ไป อาหารของเทวดาก็เป็นอย่างหนึ่งในขันธ์ ๔ นั้น ขันธ์ ๔ เพราะเทวดามีร่างกายทิพย์ ไม่มีร่างของมนุษย์ ถึงว่าเป็นขันธ์ ๔ แต่ถ้าผู้ปฏิบัติธรรมจิตเข้าไปแล้ว เทวดาก็ขันธ์ ๕ เหมือนกัน เพราะว่ามีรูปของทิพย์อันนั้นก็เป็นรูปได้เหมือนกัน รูปของทิพย์อันนั้นก็เป็นรูป แต่ในเมื่อจะสื่อความหมายกันเพื่อความสะดวก ถึงบอกว่าเทวดาเป็นขันธ์ ๔ เพราะไม่มีร่างกายเป็นมนุษย์แบบเรา มีขันธ์ ๔ คือความคิดเหมือนกันหมดเลย ทุกอย่างเหมือนกันหมด ครบองค์รอบของรูปของจิตนั้นก็คือความคิด

ขันธ์ ๕ ของเรา อวิชชาก็ควบคุมใจนั้นอยู่ ขันธ์ ๕ ของเรานี่ เราเกิดเป็นมนุษย์ แล้วมีอวิชชาปกคลุมอยู่ อวิชชานี้เป็นแค่เปลือก เปลือกขึ้นมา ขันธ์ ๕ แล้วถึงจะยกเข้าไป ถึงจะบอกว่ามีหยาบ มีกลาง มีละเอียด มีละเอียดสุด นี่เวลาตัดภพ ตัดชาติ ตัดตอนเข้าไป สั้นเข้าๆ ความตัดภพ ตัดชาติ ตัดตอนเข้าไป สมุจเฉทปหานเป็นขั้นเป็นตอน บุคคล ๘ จำพวกไง โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล จนอรหัตตมรรค อรหัตตผล นี่ ๘ จำพวก ตัดทอนๆ เข้าไป สมุจเฉทปหานเข้าไป ถึงบอกว่าไม่ใช่คนโลภมาก คนโลเลไง

เวลาจะประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม คนมักใหญ่ใฝ่สูงจะเอาทีเดียวให้จบ ทีเดียวไปจบเลย แล้วพอพรวดๆ ไปนี่ คนพรวดพราด ทำพรวดทำพราด ทำแบบว่าไม่ละเอียดรอบคอบ ควรจะได้ผลในการประพฤติปฏิบัติ เราประพฤติปฏิบัติ เราเกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วได้ออกบวชเป็นพระด้วย เป็นนักรบแนวหน้าเลยนะ ผู้ที่ยังไม่ได้ออกบวช ผู้ที่ปฏิบัติไปด้วย อันนั้นก็เป็นผู้ที่มีอำนาจวาสนาบารมี

เพราะธรรมนี้ไม่ใช่เพศ ไม่ใช่วัย ไม่มีเพศหญิง เพศชาย เพศนักบวช ไม่มี ธรรมนี้เป็นธรรม หัวใจนี้เข้าถึงแล้ว เหมือนกันหมด จิตที่เข้าถึงธรรมแล้วเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์เหมือนกันหมด สิ่งที่มหัศจรรย์คือมันชำระออกไปจากกิเลส ออกไปทั้งหมดเลย กิเลสที่ในหัวใจที่มันปกคลุมอยู่นี่ มันชำระออกไปหมด ถึงว่ามรรค ๔ ผล ๔ ตัดทอนเข้ามา ตัดทอนเข้ามา ถึงไม่ให้ทำพรวดพราดไง เดินไปตามเต็มๆ ฝ่าเท้านี้ ยืนให้มั่นในการประพฤติปฏิบัติ แล้วทำไปด้วยอำนาจวาสนาของเรา จะต้องเป็นไป จะต้องสมประสงค์ของผู้ที่ใฝ่ดี

ในหลักธรรมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไว้ว่า ผู้ที่ปฏิบัติจริง ทำจริง ภายใน ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน แต่ ๗ วันของเรา เราคิดว่าอย่างปุถุชนเราหรือพวกปฏิบัติเราคงจะทำไปได้ยาก แต่ผู้ที่เขามีบุญญาธิการเขาทำได้จริงๆ นะ ก็ดูสิพระยสะฟังคืนเดียวยังสำเร็จไปได้ ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ มันสิ่งที่เป็นไปได้ แต่เพราะว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสอะไรไว้เป็นธรรมนี้ต้องควบคุมทั้งหมด ต้องครอบคลุมทั้งหมดไง ไม่มีทางตรัสอะไรไว้จะให้ขาดตกบกพร่อง ให้คนโต้แย้งได้ไง พระยสะคืนเดียวเป็นพระอรหันต์ไปนี่ ในพระไตรปิฎกบอกไว้ชัดๆ เลย แล้วทำไม ๗ วันเราจะทำไม่ได้ ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปี

แล้วเราก็เป็นมนุษย์ ได้บวชในหลักของศาสนา ได้บวชในพุทธศาสนา ในจตุตถกรรม สมกับเป็นนักรบ นักรบที่มีพร้อมเลย อาวุธยุทโธปกรณ์มีพร้อม เพราะอาวุธอันนี้มันเป็นธรรมาอาวุธ ธรรมาวุธนี้ออกมาจากใจทั้งหมด สร้างสมขึ้นมาจากหัวใจที่เราจะสร้างขึ้นมา ทำไมธรรมาวุธอันนี้เราไม่สร้างสมขึ้นมา

นี่มันว่าอำนาจวาสนาน้อย เหมือนคลังของอาวุธนี่ คลังอาวุธมีอยู่เต็มเลย เราไม่เปิดประตูเข้าไปในคลังอาวุธเอาอาวุธนั้นมาใช้ เห็นไหม ก็ขันธ์ ๕ ไง สังขารที่คิดที่มีสมาธิอยู่อันนั้นก็เป็นปัญญา ปัญญาคือขันธ์ ๕ ที่มันมีสมาธิเข้ามาแยกออกจากปุถุชนไง โลกียะกับเป็นโลกุตตระ ขันธ์ ๕ ที่มี นี่ขันธ์ ๕ ก็มีอยู่แล้วอยู่ในหัวใจ อยู่ในตัวเรานี่ เราเปิดคลังอันนี้ออกมาก็มีธรรมาวุธ ธรรมาวุธอยู่ในตัวเรานี้ แต่เราไม่สามารถเปิดคลังอันนี้ออกมา เอาอาวุธออกมาชำระกิเลสได้ ปุถุชนเป็นอย่างนี้ ผู้ที่เป็นผู้ปฏิบัติก็เหมือนกัน เหมือนกันหมด คลังอยู่ที่เรา คลังอาวุธนี่อยู่ที่กลางหัวใจเรา เราไม่สามารถเปิดเอาอาวุธออกมาใช้เอง เรามีอาวุธอยู่แล้วเราใช้ไม่เป็น ฟังธรรมนี้ก็เหมือนกัน เพื่อจะฝึกการใช้อาวุธ ฝึกการใช้อาวุธไง ทำความสงบเข้ามา สงบเข้ามา สงบเข้ามา นั่นล่ะอาวุธมันจะเป็นรูปธรรมขึ้นมา

จิตที่เป็นสมาธิจะ โอ้โฮ! มันจะเวิ้งว้างอย่างนี้ มันจะ โอ้! โอ้! โอ้! ผู้ที่ร้อง โอ้! โอ้! โอ้! นั่นคือผู้ที่ทำจริง ผู้ที่ท่องตำรามาว่าสมาธิเป็นอย่างนั้น วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตารมณ์ อันนั้นได้แต่ตัวหนังสือมา เขาได้แต่ตำรามา เขาได้แต่ท่องมา เขาท่องมา เขาได้แต่ว่าวิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตารมณ์ ขาดออกไป ขาดออกไป แต่ผู้ที่ได้จริงมานะ เอ๊อะ! เอ๊อะ! มันปล่อยหมด มันว่าง นี่ธรรมาวุธเกิดขึ้น เกิดขึ้นจากตรงนี้

เราสร้างธรรมาวุธของเราขึ้นมากันเอง แล้วพอธรรมาวุธเกิดขึ้นมาแล้วต้องหมุนไป ธรรมนี้ต้องหมุนไป ต้องเคลื่อนตัวไปถึงเป็นธรรมจักร ถ้าอยู่เฉยๆ แล้วมันก็ไม่เป็นธรรมจักร การหมุนไป ธรรมจักรจะหมุนได้ จะหมุนด้วยปัญญา ปัญญานี้เคลื่อนหมุนไป เคลื่อนหมุนไปเป็นสังขารไหม สังขารที่คิดนี่แหละ แต่เพราะจิตนี้เป็นความสงบอยู่แล้ว เป็นธรรมาวุธ นี่อาวุธเกิดขึ้นจากพวกนักปฏิบัติ อาวุธเกิดขึ้นจากผู้ที่เป็นอาชาไนย เป็นนักรบกับกิเลส เห็นไหม

จะเป็นเพศใดก็แล้วแต่ ถ้าเรามีความมั่นอกมั่นใจ เรามีความมุ่งมั่นของเรา นี่ธรรมาวุธเกิดขึ้น พออาวุธเกิดขึ้น ชำระกิเลสเป็นชั้นๆ เข้าไป แล้วจิตที่มีกิเลสอยู่ จิตที่มีความเศร้าหมองอยู่ จิตที่อมหนองอยู่ แล้วชำระล้างออกไปเป็นจิตที่มหัศจรรย์ จิตที่มหัศจรรย์ขึ้นไปเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป เป็นอกุปปธรรมระหว่างหัวใจผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เป็นอกาลิโก เป็นไม่มีกาล จะ ๕,๐๐๐ ปีไปแล้ว พระศรีอริยเมตไตรยก็จะมาตรัสอยู่ ธรรมนี้ยังมีอยู่ตลอดไป

ก่อนหน้านี้มา ๒,๕๐๐ กว่าปี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว นั่นไม่มีกาล กาลนับเวลาไม่ได้ นั่นอกาลิโก เป็นปัจจัตตังรู้จำเพาะดวงนั้น ใจดวงที่รู้นั้นจริงๆ ใจดวงนั้น ผู้ที่ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ใจที่ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม จิตดวงนั้นประเสริฐสุด จิตดวงนั้นมหัศจรรย์ จิตดวงนั้นเป็นจิตที่ประเสริฐ เอวัง

เพิ่มเติมท้ายกัณฑ์

จิตมหัศจรรย์คู่กับธรรมะมหัศจรรย์ จิตมหัศจรรย์หมายถึงจิตที่มันสิ้นจากกิเลส ออกจากกิเลสไปแล้วจะมหัศจรรย์มาก ความมหัศจรรย์นั้นจะเกิดขึ้นต่อเมื่อเราเห็นการประพฤติปฏิบัติมาเป็นขั้นเป็นตอน มหัศจรรย์ เพราะว่าความที่กิเลสปกคลุมอยู่ก็เป็นเรื่องมหัศจรรย์ในฝ่ายลบ มหัศจรรย์ในฝ่ายบวก มหัศจรรย์เพิกออกเป็นชั้นๆไป มหัศจรรย์ เห็นความมหัศจรรย์กับตัวเองด้วย จิตนั้นขณะเห็น ขณะประพฤติปฏิบัติด้วย เห็นไปรู้ไป แทงตลอด ไปตลอด เป็นสิ่งที่เป็นแทงตลอดนี้ก็เป็นความมหัศจรรย์ ที่เห็นอยู่ก็เป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ และที่ละออกไปก็เป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ ความมหัศจรรย์นั้นถึงเป็นมหัศจรรย์สุดส่วน หลักเกณฑ์ของศาสนาเราสอนเรื่องความมหัศจรรย์นี้

ความมหัศจรรย์นี้มีในหลักพระพุทธศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ที่รู้ก่อน รู้เห็นตามความเป็นจริงนั้น แล้วประทานไว้ให้กับผู้ที่ก้าวเดินไป ความมหัศจรรย์นั้นเกิดจากใจได้ทุกๆ ดวง ใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นเป็นธรรม เป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านปรินิพพานไปแล้ว ก็เอาความมหัศจรรย์ของท่านไปดวงเดียว ความมหัศจรรย์ของครูบาอาจารย์ที่มีอยู่ นั้นก็เป็นความมหัศจรรย์ที่ว่าท่านสร้างขึ้นมาของท่าน เป็นแต่ละบุคคลๆ แล้วเวลาท่านปรินิพพาน ท่านทิ้งธาตุขันธ์ไป ความมหัศจรรย์อันนั้นก็ติดกับใจดวงนั้นไปตลอด ใจดวงนั้นเอาความมหัศจรรย์นั้นไปด้วย

ผู้ที่ประพฤติปฏิบัตินี้จะเข้าถึงก็ต่อเมื่อเห็นความมหัศจรรย์ขณะเห็นไง ปัญญาแทงตลอดนั้นก็เป็นความมหัศจรรย์ซึ่งๆหน้า ความมหัศจรรย์ที่เห็นต่อหน้านี้เป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ เป็นสิ่งที่หาดูไม่ได้ จะเห็นเองรู้เอง จำเพาะตน จะไม่มีสิ่งใดมาเทียบเคียงได้ นั้นก็เป็นมหัศจรรย์สุดส่วน แล้วยังเป็นมหัศจรรย์ที่เห็นเองรู้เองนั้นหนึ่ง ความมหัศจรรย์ที่เป็นผลของความมหัศจรรย์นั้นเป็นความสุขสุดส่วนนี้เป็นอีกส่วนหนึ่ง ความสุขสุดส่วนที่อยู่ภายในอันนี้ ความสุขสุดส่วนนี้ความมหัศจรรย์เลิศ มหัศจรรย์สุดๆ ความมหัศจรรย์อันนี้อยู่ในหลักของเป้าหมายของพวกเรา เป้าหมายของผู้ที่จะเดินตามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ทันองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้กราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยความสนิทใจ ได้กราบ ได้เห็น

“ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต” เราได้กราบแล้วได้เห็นตามหลักความเป็นจริงอันนั้น ทำไมจะกราบได้ไม่ซึ้งใจ จะกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยความเคารพสุดส่วน เพราะเห็นสุดส่วน เห็นสุดส่วนเหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย เห็นสุดส่วนเพราะเราเห็นเองจากภายในด้วย แล้วยังรู้จริงขึ้นมาจากสิ่งที่เราเห็นจริงรู้จริงจากความเป็นจริงของเราอีกด้วย

เห็นไหม การกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงเป็นการกราบที่ยอดเยี่ยม การกราบจากหัวใจ หัวใจของผู้รู้ธรรมเห็นธรรมมันจะซึ้งจากภายในอันนั้น จะกราบด้วยความซึ้งใจ กราบจากหัวใจ จากหัวใจดวงที่เห็นธรรมนั้น เคารพ...(เทปสิ้นสุดเพียงเท่านี้)