เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑o ม.ค. ๒๕๕๓

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๕๓
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เวลาออกไปแล้ว เวลาไปเห็นบารมีของครูบาอาจารย์ เห็นไหม เวลาพูดกันนี่บารมีสร้างมาได้ขนาดนี้ คนๆ หนึ่งชีวิตหนึ่ง แล้วเราชีวิตหนึ่ง ดูสิ เราแสวงหาทรัพย์สมบัติกัน ทรัพย์สมบัติเอาไว้แล้วมันก็มีอย่างว่ามีมรดกตกทอดไป แต่กรรมเวรของใครของมันนะ กรรมเวรคือของบุคคล ของบุคคลนั้นเป็นของคนๆ นั้น

แต่ถ้าเรามีความเข้าใจผิด เราพยายามจะรับมรดก คุณธรรมของท่าน.. เป็นไปไม่ได้ ! คุณธรรมของใครเป็นคุณธรรมของคนนั้น ถ้าคุณธรรมของคนนั้น คนนั้นเขาต้องสร้างของคนนั้นขึ้นมาเอง ถ้าคนนั้นสร้างขึ้นมาเองนี่มันเป็นผลของคนนั้น ไม่มีทางหรอกที่ใครจะไปรับมรดกตกทอดคุณงามความดีของใคร..

อย่างเช่น เราเป็นพ่อแม่ลูกกัน นี่มันเป็นสายบุญสายกรรม.. ถ้าไม่มีสายบุญสายกรรมเราเกิดเป็นพ่อเป็นแม่เป็นลูกกันทำไม เราเกิดมานี่แล้วผลัดกันนะ พ่อแม่ลูกนี่ผลัดกันเป็นนะ ไอ้ลูกก็กลับมาเป็นพ่อแม่ ไม่พ่อแม่ก็กลับมาเป็นลูก มันจะหมุนไปอย่างนี้ เพราะอะไร เพราะความผูกพันของมัน แต่พอมาเกิดแต่ละภพแต่ละชาติเราไม่เข้าใจว่าสิ่งนั้นมันมาจากไหน เพราะความผูกพันของใจ

ความผูกพันของใจนี่เรารักเราสงวนของเรา นี่ความผูกพันอันนี้มันจะหมุนของมันไป ถ้ามันหมุนของมันไปมันก็เป็นเวรเป็นกรรมไป แต่ขณะเป็นเวรเป็นกรรมนี่สิ่งที่ทำขึ้นมา เห็นไหม ดูสิ เราเลี้ยงดูพ่อเลี้ยงดูแม่เรา เราดูแลพ่อดูแลแม่ของเรานี่พระอรหันต์ของลูก มันมีบุญมีคุณไง เกิดมานี่ชีวิตของเราเกิดมาจากไหน เกิดมาจากครรภ์ เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่

สมบัตินี่ ดูสิ สมบัติเราไปซื้อมาจากห้างต่างๆ นี่มันเป็นสมบัติของเราไหม เราซื้ออะไรมันก็เป็นของเราทั้งนั้นแหละ ลูกเราคลอดออกมานี่มันเป็นของเราไหม ลูกเราเราคลอดมันออกมาเอง มันเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเรา มันเป็นของเราไหม ถ้าพูดถึงจดลิขสิทธิ์นี่ของเราทั้งนั้นแหละ นี้ของๆ เราทั้งนั้น ถ้าเป็นวัตถุนี่ของๆ เราเราจะทำอย่างไรก็ได้ แต่ลูกของเรามันมีชีวิต มันมีเวรมีกรรมของมัน มันจะเชื่อฟังเราไหมล่ะ มันจะทำตามเราไหม

นี่ไง นี่ผลของวัฏฏะ ! ถ้าเป็นวัตถุนะ วัตถุนี่มันเป็นของๆ เราโดยเฉพาะเลย นี่ถ้ามันเป็นวัตถุนะ ดีเอ็นเอไปตรวจของพ่อแม่ทั้งนั้นแหละ แต่คุณงามความดีของลูก เห็นไหม นี่ลูกอภิชาตบุตร ลูกมันดีกว่าพ่อแม่ ทำดีกว่าพ่อแม่อีก แล้วอันนี้มันมาจากไหนล่ะ นี่ถ้าพูดถึงมันเป็นวิทยาศาสตร์ ถ้าเป็นกรรมมันตายตัวๆ นี่พ่อแม่ดีได้ขนาดนี้ ลูกมันก็ต้องได้ระดับเดียวกับพ่อแม่ มันไม่เลวกว่าหรือไม่ดีกว่า

ไอ้นี่มันทั้งดีกว่าและเลวกว่า ถ้าดีกว่าและเลวกว่านี่มันเป็นของใคร ดีกว่าและเลวกว่านี้มันให้ผลกระทบของทั้ง ๒ ส่วน ส่วนหนึ่งคือตัวของเขาเอง ส่วนหนึ่งของพ่อแม่ด้วย ถ้าลูกของเรานี่ทำให้เราเจ็บช้ำน้ำใจ พ่อแม่ทุกข์ใจไหม นี่มันเป็นเวรเป็นกรรม เห็นไหม นี่ถ้ามันเลวกว่าแล้วมันกระทบ ๒ ส่วน ทั้งตัวเขาด้วย ทั้งชาติตระกูลเราด้วย แล้วชาติตระกูลเราด้วย นี่มันเป็นเรื่องของเวรของกรรม

ทีนี้เวรกรรมนี่มันแก้กันที่ไหน นี่มันเข้ามาแล้ว เข้ามาถึงธรรมะ.. ธรรมะนี่ ศีล ! ศีลเป็นความปกติของใจ ความคิดนี่มันทะลุทะลวงไปได้ทั้งหมดแหละ ความคิดนี่มันจินตนาการทะลุทะลวงไปทุกๆ อย่างเลย แล้วจะเอาอะไรมาปกป้องมัน จะเอาอะไรมาดูแลมัน

นี่ไงศีลไง ศีลคือความปกติของใจ ! ใจมันเป็นปกติ คิดในสิ่งดีๆ คิดในสิ่งที่ดีเพราะความคิดนี้มันห้ามไม่ได้ ความคิดของคนห้ามไม่ได้หรอก สสารพลังงานธรรมชาติห้ามไม่ได้หรอก ฤดูกาลต่างๆ มันเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา วันคืนมันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ชีวิตก็เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา แล้วเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีหรือชั่วล่ะ.. ถ้าเปลี่ยนแปลงในทางที่ชั่ว เห็นไหม ชั่วเพราะกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เพราะชั่วมันเป็นสิ่งที่ไม่ดีไม่มีใครต้องการ แต่กิเลสมันชอบนะ

แมลงวันชอบตอมของเหม็น แมลงผึ้งชอบตอมเกสรดอกไม้.. นี่ไงความดีของใจ ใจมันต้องการตอมอะไร ถ้าใจที่เป็นคุณงามความดีมันต้องฝืน เห็นไหม ดูสิ น้ำใสจืดสนิทเย็นดี สิ่งต่างๆ คุณธรรมนี่มันเป็นผลดีกับร่างกายทั้งนั้นแหละ แต่สิ่งที่มันเหม็นนี่แมลงวันชอบตอมของเหม็น แล้วเหม็นมันชอบนะ เวลาเรามีอะไรเหม็นติดมานี่ดมแล้วดมอีกมันเหม็นนะ หอมนี่ดมทีเดียวเลิกเลย ไอ้เหม็นนี่ดมแล้วดมอีก ดมแล้วดมอีก

ไอ้กิเลสมันคิดแล้วคิดอีก คิดแล้วคิดอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีก ซ้ำซาก เห็นไหม นี้มันต้องมีศีลเข้ามา ความปกติของใจนี่เอามากางกั้นมัน มีศีลธรรมเท่านั้นที่จะยับยั้งมันได้.. ถ้ายับยั้งสิ่งนี้ได้ นี่ศีลธรรมเราเกิดมาในพุทธศาสนา พุทธศาสนาสอนตรงนี้ ถ้าเราทำตรงนี้ขึ้นมานี่มันเป็นคุณธรรมของใคร

นี่ไงมรดกตกทอด เห็นไหม นี่ข้อวัตรปฏิบัติ ครูบาอาจารย์เวลาท่านประพฤติปฏิบัติของท่านนี่ท่านทำอย่างไร.. นี้พูดถึงหลวงปู่ตื้อกันมาก บอกว่า “หลวงปู่ตื้อท่านทำอย่างนั้น หลวงปู่ตื้อทำอย่างนั้น”

แล้วหลวงปู่ตื้อนั่ง ๗ วัน ๗ คืน หลวงปู่ตื้อท่านเดินจงกรม นั่งสมาธิ ภาวนา ทำไมไม่คิดล่ะ เวลาเราคิดถึงครูบาอาจารย์เราไม่คิดถึงการกระทำ ไม่คิดถึงวิธีการที่ทำคุณงามความดีมาเลย เราคิดแต่ว่าครูบาอาจารย์ทำได้ ครูบาอาจารย์ทำได้.. ครูบาอาจารย์ทำได้นี่ ท่านพ้นไปแล้วท่านก็ทำได้

อย่างพ่อแม่นี่ เห็นไหม พ่อแม่นั่งตามสบาย.. ลูกไม่ได้นะ เสียมารยาท พ่อแม่บังคับน่าดูเลย ลูกต้องทำดีหมดเลย ไอ้พ่อแม่ทำอะไรก็ได้ จะนอนตีแปลงก็ได้ ตีแปลงเพราะอะไร เพราะเราหาของเรามา เราทำของเราได้ แต่ลูกของเรามันยังเลี้ยงตัวเองไม่ได้ ลูกของเรายังไม่มีคุณสมบัติที่มันจะยืนในสังคมได้ เราก็ต้องฝึกฝนมันใช่ไหม

แต่พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ของเรานี่ช่วงวัยชราของท่านแล้ว ท่านได้สร้างสม ท่านได้สมบุกสมบั่นมา ท่านได้แสวงหามา ท่านได้สร้างคุณงามความดีมาถึงที่สุดแล้ว ท่านควรจะอยู่สุขสบายของท่านบ้าง

นี้พอสุขสบายของท่านบ้างก็ว่า “ทำไมทำได้ ทำไมทำได้.. ทำไมครูบาอาจารย์ทำได้ ทำไมเราทำไม่ได้”

แล้วเวลาครูบาอาจารย์ท่านภาวนามึงไม่ดูบ้างล่ะ..

เวลาครูบาอาจารย์ท่านทำคุณงามความดีทำไมมึงไม่ดูบ้าง..

เวลาทำคุณงามความดีสิ่งใดนี่กิเลสมันไม่ชอบเลย กิเลสมันไม่เอาเลยนะ สิ่งใดที่มาดัดแปลงมัน.. การต่อสู้กับเรา การมีสติปัญญานี่มันต่อสู้กับกิเลสนะ การฝืนความรู้สึก การฝืนความคิด เห็นไหม ฝืนมัน ! ต้องฝืนมัน..

เขาบอก “ฝืนไม่ได้ ฝืนไม่ได้มันเป็นอัตตกิลมถานุโยค”

อ้าว.. แล้วเวลามึงเจ็บไข้ได้ป่วยไปหาหมอทำไม ทำไมไม่ปล่อยให้ตายไปล่ะ อ้าว.. มึงไปฝืนมันทำไม เจ็บไข้ได้ป่วยหาหมอนะ แหม.. ผ่าตัดนะ มึงฝืนหรือเปล่านั่นน่ะ อ้าว.. ฝืนธรรมชาติ ฝืนความเป็นไปของธรรมชาติมันเจ็บไข้ได้ป่วย.. ฝืนนะรักษา เวลากิเลสมันเกิดขึ้นมา เวลามันต้องการนี่ฝืนไม่ได้ อัตตกิลมถานุโยค โอ้โฮ.. ต้องปล่อยไปตามมันสบายๆ

แล้วเวลาเจ็บไข้ได้ป่วยนี่ไม่ยอมนะ เจ็บไข้ได้ป่วยนี่เข้าโรงพยาบาล.. เจ็บไข้ได้ป่วยก็นอนอยู่บ้านสิ มันธรรมชาติตายไปเลย จบ.. มันไม่ยอมตาย

นี่ก็เหมือนกัน เวลาจะทำขึ้นมามันต้องฝืน ! นี่เจ็บไข้ได้ป่วยก็ต้องดูแลรักษา ดูแลรักษาขึ้นไป เห็นไหม เราเสียทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ เราเสียอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต เราเสียสละชีวิตเพื่อรักษาธรรม ทำไมเขาทำกันขนาดนั้น..

นี่แล้วเวลาเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา อู้ฮู.. เวลาไปหาหมอ เวลามันคิดชั่วขึ้นมาทำไมไม่หาธรรมะแก้ ทำไมไม่เอาแก้มัน ศีลธรรม จริยธรรมทำไมไม่เอามาดูแลมัน

ถ้าดูแลมัน เห็นไหม เราจะบอกว่า “กลิ่นของศีลนั้นหอมทวนลม” คุณงามความดีของใครก็เป็นคุณงามความดีของคนนั้น เรามีพ่อแม่มีครูบาอาจารย์เราก็ดูแลท่าน เราก็อาศัยบารมีนะ อาศัยบารมีความร่มเย็นของท่าน.. อาศัยความร่มเย็นนะ

ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์นะพวกเรามานั่งกันนี่ไม่ได้หรอก ที่เรามาอยู่กันได้อย่างนี้เพราะถ้าไม่มีบารมีครูบาอาจารย์ปกป้องเราจะโตขึ้นมาได้อย่างไร นี่เด็กอ่อนเด็กไม่มีกำลังจะทำอะไรได้ ถ้าเด็กมันไม่มีกำลัง พ่อแม่ก็ดูแลรักษามัน เวลามันโตขึ้นมานะมันก็เป็นที่อาศัยของคนอื่นได้ เป็นที่อาศัยของตัวมันด้วย เป็นที่อาศัยของคนอื่นด้วย

นี่เวลาไปดูบารมีของครูบาอาจารย์ ไปดูการกระทำ มันคิดนะ มันคิดแล้วมันยิ่งคิดเรายิ่งต้องรักษาตัวเรา.. อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน แต่ความกว่าจะตนเป็นที่พึ่งแห่งตนได้ตนต้องอาศัยสังคมมา คนเราอยู่คนเดียวได้ไหม คนเราต้องอาศัยพ่อแม่มา อาศัยหมู่คณะ อาศัยเพื่อนฝูงมา แต่อาศัยจนตายได้ไหม

ถ้ามึงไม่ยืนขึ้นมา มึงไม่เป็นหลักขึ้นมานี่แล้วสังคมจะอยู่กันอย่างไร ศาสนาอ่อนแอได้ขนาดไหน ศาสนามันจะเข้มแข็งขึ้นมานี่เราต้องเข้มแข็งขึ้นมา เราต้องมีจุดยืนของเราขึ้นมา

ดูหนังดูละครแล้วย้อนดูตัว ดูความเป็นไปของท่าน ทำไมท่านทำของท่านแล้วทำไมมีคนนับหน้าถือตาได้ขนาดนี้ ทำไมมีคนมาช่วยเหลือเจือจานได้ขนาดนี้ นี่อำนาจวาสนาของท่าน อำนาจวาสนาของท่าน ดูสิ ท่านเอามาจากไหนล่ะ บารมีเอามาจากไหน !

ดูสิ คนไม่มีบารมี เห็นไหม ทรัพย์สมบัติมหาศาลไม่มีใครเหลียวไปมองเลย คนมีบารมีขนาดไหนไม่มีทรัพย์สมบัติขนาดไหนเลย เขามีคนเจือจาน เขามีคนดูแลรักษาของเขา เขาสามารถสร้างคุณประโยชน์ได้มหาศาลเลย

นี่ไง มันเป็นนามธรรมนะ วัตถุเป็นวัตถุ ข้าวของเงินทองเป็นข้าวของเงินทอง จำเป็นต้องอาศัยไหม.. จำเป็น ! มันจำเป็นต้องใช้ต้องอาศัย มันเป็นปัจจัยเครื่องอาศัย.. เป็นปัจจัยเครื่องอาศัย !

แต่สิ่งที่มีคุณค่ามากกว่าทุกๆ อย่างเลยคือความรู้สึกคือหัวใจนั้น ถ้าหัวใจนั้นมีคุณค่าขึ้นมา ดูสิ เรามีเงินมหาศาลเลย พรุ่งนี้ต้องตาย เงินไม่มีค่าอะไรเลยนะ โอ้โฮ.. มันคอตกเลยนะ

แต่ถ้ามันมีคุณธรรมในหัวใจของมัน มันมีทรัพย์สมบัติ มีคุณธรรมในหัวใจ มีศีลธรรมในหัวใจมหาศาลเลย พรุ่งนี้ต้องตาย อ้าว.. ตายก็ตาย อ้าว.. ตายก็ตายมันเป็นธรรมดา อ้าว.. ถึงเวลาตายก็ตาย ก็ใครจะฝืนมันได้ล่ะ

นี่ถ้ามีคุณธรรมในหัวใจ เห็นไหม หัวใจมันจะไม่หวั่นไหวเลย มันจะมีคุณประโยชน์ของมันมากเลย แล้วจะไปไหนก็ได้ ลุยไฟก็ได้ ลุยไหนก็ได้ เพราะอะไร เพราะว่าหัวใจมันอิ่มเต็มของมัน ไอ้นี่เงินทองมหาศาลเลย เวลาจะตายขึ้นมาก็คอตก เอาเงินมาลุยสิ เอาเงินมาทับให้ไฟมันดับก่อนแล้วค่อยลุยมันไป แต่ถ้ามันมีคุณธรรมของมัน ลุยขนาดไหนก็ได้ เพราะอะไร..

คุณธรรมนะ สิ่งใดๆ มันก็สู้สิ่งนี้ไม่ได้.. นี่ศีลธรรม จริยธรรมมันเป็นเรื่องของมันไป ไปดูอำนาจวาสนาบารมีของครูบาอาจารย์ ดูเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่วันตักบาตรเทโว ลงมาจากดาวดึงส์ นี่คนเห็นอย่างนั้นอธิษฐานเป็นพระโพธิสัตว์หมดเลย อธิษฐานเป็นพระโพธิสัตว์ทั้งนั้นเลย แล้วเวลาไปนี่ทนความพิสูจน์ได้ไหมว่าเราเกิดตายๆ นี่สร้างสมบารมีมาเป็นพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ เห็นไหม เป็นหัวหน้าคนนี่บารมีเกิดตรงนี้ไง

บารมีนี่พันธุกรรมทางจิต ถ้าจิตมันมีพันธุกรรมของมัน มันได้รับการตัดแต่งของมัน ได้รับการดูแลรักษาของมัน แล้วพันธุกรรมมันเกิดได้อย่างไรล่ะ.. นี่โยมมาเสียสละนี่พันธุกรรมของจิต เพราะมันยอมเสียสละไหม ถ้าเวลาทำบุญตักบาตรใหม่ๆ เห็นไหม มันก็ทำบุญตักบาตรไปสักแต่ว่า

แต่ถ้าหัวใจมันอยู่โดยการกระทำนะ ดูสิ บางคนนะ โอ้โฮ.. ยกขึ้นหัวแล้ว เทิดทูนแล้ว อธิษฐานแล้วอธิษฐานอีก มันมาจากไหนล่ะ ! มันมาจากไหน มันมาจากความรู้สึกในหัวใจ ถ้าหัวใจมันมีความรู้สึกของมันขึ้นมานี่มันเชิดชู มันเทิดทูน นี่ไงมันยิ่งเปิดกว้าง

เวลาทำบุญมีเจตนาๆ ที่เปิดดีขึ้นมานี่บุญกุศลมันจะเข้ามหาศาลเลย แต่ถ้าทำสักแต่ว่าๆ นะ สักแต่ว่า ! สักแต่ว่าทำ ถ้าสักแต่ว่าทำนี่ได้บุญไหม ได้บุญทั้งนั้นแหละ แต่บุญกุศลนี่ระดับของมันแตกต่างกัน ลึกซึ้งแตกต่างกันไป เพราะอะไร เพราะหัวใจมันได้พัฒนาของมัน เห็นไหม นี่พันธุกรรมของมันได้ตัดแต่งของมัน.. พอตัดแต่งของมันนี่มุมมองที่ดี พอมันตัดแต่งเข้าไป มันได้แก้ไขของมัน มันเสียสละของมัน

น้ำเสียหรือสิ่งอัดอั้นในหัวใจมันเปิดออก มันโล่งมันโถง เวลานั่งภาวนา นั่งสมาธินะ วันไหนถ้าจิตใจสบายนั่งสมาธิก็ง่าย วันไหนจิตใจถ้ามันดี เดินจงกรมก็ง่าย วันไหนมีลมกระทบรุนแรงมากเลย เดินจงกรมนะเอาหัวทิ่มดินเลยล่ะ เดินเข้าไปหัวชี้ฟ้านู้นน่ะ มันเอาไม่ลง เห็นไหม นี่พันธุกรรมมันมาจากไหน การกระทำมันมาจากไหน มันต้องมีพันธุกรรมของมันมา มันมีการกระทำของมันมา จิตมันมีการกระทำของมันมา

วุฒิภาวะ นี่วุฒิภาวะมันถึงเกิดขึ้นมา เห็นไหม ดูปฏิภาณไหวพริบ นี่ไงปัญญาๆ ที่ว่าปัญญาๆ คนสร้างปัญญามา.. นี่ทาน เวลาทำทานขึ้นมามันก็มีวัตถุมีปัจจัยเครื่องอาศัย รักษาศีลคือความปกติของใจ มีสมาธิขึ้นมาก็มีหลักมีใจของมัน

เวลามีปัญญา นี่ปัญญาเกิดจากการภาวนา ปัญญาเกิดจากการค้นคว้าของใจ ใจมันฝึกฝนของมันขึ้นมา เห็นไหม นี่พันธุกรรมของมันขึ้นมา แล้วเวลาปฏิบัติขึ้นไปมันจะย้อนกลับเข้ามานะ มันเห็นหมดแหละ มันเข้าใจได้ พอมันเข้าใจได้นะ เข้าใจได้ถึงที่สุดมันก็เข้าไปชำระมัน ทำลายมัน ! ทำลายมัน

ทำลายถึงที่สุด เห็นไหม “กลิ่นของศีลหอมทวนลม” คุณงามความดีมันหอมทวนลม เรานี่เป็นคนดี ทำความดีมหาศาล ทุกคนบอก “ทำความดีมหาศาลเลยทำไมไม่ได้ดีซักทีเลย มีแต่คนติฉินนินทา” ไอ้ปากของคนมันติฉินนินทาทั้งนั้นแหละ..

แต่คุณงามความดี เห็นไหม สัจจะความจริง ! ความจริงคือความจริง ความไม่จริงคือความไม่จริง ถ้าความจริงของเรานะ เทวดา อินทร์ พรหมรู้นะ ดูสิ อากาศร้อนอากาศเย็นนี่ทุกคนรู้หมดแหละ คุณงามความดีทุกคนรู้หมด

“กลิ่นของศีลหอมทวนลม”

ความรู้สึก เห็นไหม ดูมันสบตาขึ้นมาแล้วมันไว้วางใจได้ คนที่ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมในหัวใจเลย อยู่ที่ไหนเราก็มีความสบายใจ คนที่มีเล่ห์เหลี่ยมในหัวใจทั้งหมดเลย โอ้โฮ.. อยู่ด้วยกันก็ระแวงตลอดเวลา มันอยู่กันไม่ไหว

นี่ถ้าจิตใจมันเป็นความปกติของมัน เห็นไหม มันไม่มีเล่ห์มีเหลี่ยมของมัน มันมีความใสสะอาดของมัน ทุกข์ก็ทุกข์ด้วยกัน คนเรานี่มันทุกข์ๆ ยากๆ นะ ขับรถมา เห็นไหม ดูสิ ลงที่ต่ำขึ้นที่สูงนี่ธรรมชาติของมัน การเกิดของชีวิต ชีวิตมันก็มีขึ้นๆ ลงๆ เหมือนกัน ไม่มีใครเสมอตลอดไปหรอก

นี่ความมั่นคงของชีวิตใช่ไหม พยายามสะสมขึ้นมาใช่ไหม ให้ชีวิตมั่นคงใช่ไหม แล้ววัตถุมันมั่นคง แล้วหัวใจเรามั่นคงไหม ขึ้นๆ ลงๆ นี่ เดี๋ยวทุกข์เดี๋ยวสุข เดี๋ยวพอใจ เดี๋ยวไม่พอใจ เงินมีแค่นี้พอใจแล้ว ประเดี๋ยวไม่พอใจ เงินแค่นี้ไม่พอใจอีกแล้ว ไอ้เงินกองเก่านั่นแหละ ไอ้หัวใจเดี๋ยวพอใจเดี๋ยวไม่พอใจ จะเอามากจะเอาน้อย นี่มันก็ขึ้นๆ ลงๆ เห็นไหม รักษาชีวิตของเรา นี่คุณธรรมของเราเพื่อประโยชน์อันนี้ !

ไปเห็นหลายๆ อย่าง ออกไปข้างนอกทีหนึ่ง มันก็ไปฟังเทศน์กัณฑ์ใหญ่ๆ มากัณฑ์หนึ่งมันสะเทือนใจ แล้วใจมันจะ อื้อฮือ.. เห็นนะ ไปดูแล้วเห็นแล้วมัน..

เทศน์นี่ เห็นไหม บอกว่า “ธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาติ..”

ถ้าใจเป็นธรรมไปมองสิ่งใดนะมันสะเทือน พอมันสะเทือนขึ้นมาแล้วมันก็ปลุกเร้า ปลุกเร้าจิตใจให้มันตื่นตัว ปลุกเร้า ! ปลุกเร้าเราขึ้นมา แล้วปลุกเร้าขึ้นมา เรามีหลักมีเกณฑ์ของเราขึ้นมา เอาตัวเราให้ได้เพื่อประโยชน์ของเรา

แล้วรู้เหมือนกัน สัจธรรมมีอันเดียว สุขก็สุขเหมือนกัน ทุกข์ก็ทุกข์เหมือนกัน แต่ว่าเวลาจิตใจมันทุกข์ อมทุกข์นี่นะแต่ปั้นหน้า โอ้โฮ.. สุขหนอ ! สุขหนอ ! ไอ้หัวใจมันจะระเบิดอยู่นั่นไง แต่ถ้ามันสุขมาจากข้างใน มันเป็นความจริงจากภายในนะ ภายในคือภายใน ของจริงคือของจริง มันเป็นความซื่อตรง ! ซื่อตรง ! ทำดีกับเรา เพื่อประโยชน์กับเรา

เรามาทำบุญกุศลกันก็เพื่อหัวใจเรานี้ให้เปิดกว้างขึ้นมา เพื่อประโยชน์กับเรา ! เพื่อประโยชน์กับเรา ! ประโยชน์กับเราจริงๆ นะ สิ่งที่มีคุณค่า ข้าวของเงินทองมันไม่มีชีวิต มันรับรู้อะไรไม่ได้หรอก แต่หัวใจเรามันมีชีวิต แล้วมันแก้ไขของมัน..

แล้วนี่ไงความสุขอันนี้มันเป็นสุขที่สุด แล้วมันอยู่ที่ไหนล่ะ มันอยู่ที่หัวใจเรา เห็นไหม นี่หลวงตาถึงบอกว่า ไปไหน... ไปเอาใจคน ใจคนสำคัญที่สุดเลย สุขทุกข์มันอยู่ที่ใจ ความรู้สึกมันอยู่ที่ใจ.. ถ้าอยู่ที่ใจ แก้ไขที่นี่ได้ แล้วจะเป็นประโยชน์กับเรา เอวัง