เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๑ ก.พ. ๒๕๕๓

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วันป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันโกน วันพระ เป็นวันทำบุญของชาวพุทธนะ วันแห่งพุทธศาสนา พุทธศาสนาเห็นไหม ศาสนาแห่งพุทธะ ศาสนาแห่งปัญญา แล้วปัญญาทำไมมันอยู่ทางซีกตะวันออกล่ะ ดูสิ เวลาการศึกษาทางวิชาการ ซีกตะวันตกเขามีปัญญามากกว่าเรา เวลาเราไปศึกษาทางวิชาการ เราไปศึกษาตำราจากเขา เราไปศึกษาทางภาคตะวันตก

ภาคตะวันตกเขามีปัญญาเพราะอะไร เพราะเขามีการทดลอง มีการวิจัยของเขา เพราะอะไร เพราะประเทศอันสมควร เกิดในประเทศอันสมควร ประเทศของเขา อากาศหนาว อากาศต่างๆ เขาต้องพยายามดำรงชีวิตของเขา เราเกิดในประเทศอันสมควร ไม่สมควรของเราคือ อบอุ่น สุขสบายเห็นไหม พอสุขสบายเราก็อยู่กันด้วยความสุขสบาย

แต่ทางประเพณีวัฒนธรรมของเราเจริญมากกว่า เพราะอะไร ดูสิ เวลาคนของเราไปศึกษาทางภาคตะวันตก เรามีความอบอุ่นในครอบครัวนะ เราไปอาศัยเขาอยู่นี่ เราดูแลเขาจากเด็กดูแลผู้ใหญ่ ความกตัญญูกตเวที ประเพณีวัฒนธรรม การระลึกถึงบุญคุณของคน

แต่ถ้ามองในทางโลก...ทางโลกบอก “อย่างนี้เป็นจารีตประเพณี” จารีตประเพณีมันเข้าสายเลือดนะ...มันเข้าสายเลือด วันพระ วันโกน เพราะว่าสิ่งที่เป็นจารีตประเพณีของเรา เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมและวินัยไว้ วางธรรมนะ ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ตรัสรู้ธรรมขึ้นมานี่ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ค้นคว้าในตัวขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อน ว่าเป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมาได้ยังไง

สิ่งที่เป็นคุณงามความดีส่งเสริมขึ้นมาให้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อะไรส่งเสริมขึ้นมา คุณงามความดีที่สร้างสมมาเป็นพระโพธิสัตว์ ได้เสียสละกันต่างๆ นี่ สร้างสมขึ้นมาให้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บุญกุศลสร้างมาให้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

แล้วเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมานี่ ชำระกิเลสสิ้นออกไปจากหัวใจ การชำระกิเลสสิ้นออกจากหัวใจไป นี่เป็นความปรารถนา “ถึงที่สุดของชาวพุทธ ชาวพุทธต้องการสิ้นสุดแห่งทุกข์” คือที่สุดแห่งทุกข์ ถึงที่สุดแห่งทุกข์ พ้นไปจากทุกข์...

ก็ต้องการสร้างสมสิ่งที่เราจะรื้อค้นในตัวเราเอง เราไม่มีวุฒิภาวะ ไม่มีความสามารถได้ขนาดนั้น เราเพียงแต่ว่าเราเกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นหัวรถจักร เป็นศาสดาของเรา เป็นผู้มีความเมตตา มีความกรุณากับพวกเรานะ วางธรรมและวินัยไว้ไง พอวางธรรมและวินัยไว้ เราประพฤติปฏิบัติตาม

พอประพฤติปฏิบัติตาม วันพระ วันโกน ทำบุญกุศลตามแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวินัย วางเป็นร่องเป็นรอยให้เราเดินตาม... ให้เราเดินตามขึ้นมา... เราพยายามทำของเราเห็นไหม

มัชฌิมาปฏิปทา ความดีของโลก มัชฌิมาของโลก ความชั่วมากกว่าความดีไง ทำดีก็ทำชั่วได้ ทำต่างๆ ได้ตามความพอใจของตัว

แต่ถ้าเป็นศีลธรรม จริยธรรม “ศีลคือข้อบังคับ” บังคับไม่ให้เราผิดจากศีล ๕ “ศีล ๕ เป็นสมบัติของมนุษย์” ...มนุษย์สมบัติ...

สิ่งที่เกิดขึ้นมานี่ “มนุษย์สมบัติ” เพราะเรามีศีล มีธรรม พอสมควร เราเกิดมนุษย์สมบัติเห็นไหม มนุษย์สมบัติขึ้นมา คนนั้นอายุสั้น อายุยาว คนต่างๆ เป็นอะไร มันเป็นเพราะเวรกรรมที่สร้างมาเห็นไหม

ปาณาติปาตา ได้เบียดเบียนกันทำต่างๆขึ้นมา ทำให้ชีวิตคนสั้น

อทินนาทานา เราไม่ลักไม่ฉวยของใคร เราเสียสละของเราขึ้นมา เราจะมีทรัพย์สมบัติของเราเห็นไหม

กาเมสุมิจฺฉานารา ครอบครัวมีความร่มเย็นเป็นสุข เพราะเราได้สร้างสมของเรามาเห็นไหม

มุสาวาทา

สุราเมฯ

ศีล ๕ ถ้ามันความผิดศีล ๕ ของเรา ความรู้ สมบัติของเราขึ้นมา มันถึงได้แตกต่างไง เราเกิดเป็นมนุษย์ด้วยกันเห็นไหม ดูสิ ครอบครัวเราแตกต่างกัน ความเห็นในครอบครัวแตกต่างกัน คนมีวุฒิภาวะแตกต่างกัน มันมาจากไหน มันก็มาจากการกระทำนั่นล่ะ มันมาจากการกระทำของจิตดวงนั้นที่สร้างสมมา

พระโพธิสัตว์สร้างสมมาเป็นพระโพธิสัตว์ ขึ้นไปถึงที่สุดเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เราสร้างสมของเรามา ทำดีทำชั่วของเรามาเห็นไหม มัชฌิมาปฏิปทา ทำความชั่วมากกว่าความดี ทำตามความพอใจของเรา นี่คือมัชฌิมาปฏิปทาของเราไง มัชฌิมาปฏิปทาตามความพอใจของเรา

แต่มัชฌิมาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เป็นอย่างนั้น!!!

มันไม่เป็นอย่างนั้นเพราะอะไร ดูสิ พระโพธิสัตว์เสียสละมาขนาดไหน เสียสละมาเพื่ออะไร เพื่อความมั่นคงของใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขึ้นมาเป็นพระโพธิสัตว์ เสียสละมาตลอด แม้แต่เป็นปุถุชนก็เสียสละมา มีหัวใจมั่นคงเสียสละมา เพราะอะไร เพราะวุฒิภาวะที่สร้างมาสูงขึ้นมาเรื่อยๆ

แต่พอเกิดมาในชาติปัจจุบัน ถึงที่สุดแล้วนี่ จะเป็นกษัตริย์ สมบัติของกษัตริย์ คนเราสร้างสมบุญญาธิการมาเป็นผู้ปกครอง คนเป็นกษัตริย์ มีบริษัทบริวาร มันก็เป็นบุญกุศลที่สูงส่งใช่ไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสละทิ้งเลย เพราะถ้าเราเป็นจักรพรรดิ คำว่าจักรพรรดิคือรวบรวมแว่นแคว้นในสมัยพุทธกาล ในสมัยนั้นให้เป็นรัฐชาติขึ้นมา แต่นี่มันเป็นกษัตริย์ เราเป็นจักรพรรดิ จักรพรรดิจะรวบรวม...

...นี่ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเกิดต้องตายเหมือนกัน... ถ้าอย่างนั้นเราก็ต้องเกิดต้องตาย มันก็ได้ชาติหนึ่ง เราสร้างบุญกุศลมาถึงที่สุด เราก็เสวยบุญของเรา แล้วพอสิ้นบุญกุศลเราตายไป เราก็ไปเกิดชาติใหม่ก็ต้องเวียนไปอย่างนั้นใช่ไหม

เสียสละเลย! สิ่งที่จะทำให้เราเนิ่นช้าอยู่ “ไม่เอา!” จะเป็นจักรพรรดิ... เป็นกษัตริย์...ก็ไม่เอา! ไม่เอา! ก็เสียสละลูก สละเมีย เสียสละออกไป เราก็ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นแก่ตัว...

...ไม่เห็นแก่ตัว... ไม่เอาตัวรอดก่อน แล้วจะไปช่วยเหลือใคร คนว่ายน้ำไม่เป็นจะไปช่วยคนจมน้ำ มันก็จมน้ำตายกันไปหมด คนเราจะช่วยคนจมน้ำมันต้องฝึกว่ายน้ำให้ได้ก่อน มันต้องเอาตัวรอดจากในน้ำก่อน ถ้ามันรอดจากว่ายน้ำได้ แล้วการจะช่วยเหลือคน จะช่วยเหลืออย่างไร

เราจะช่วยเหลือเจือจาน ดูสิ เราเห็นสังคมไหม สังคมเขาขาดแคลนกันนี่ เราจะเอาเงินไปทุ่มให้เขานี่ เราจะช่วยเหลือเขาได้ไหม... แต่ถ้าเราไปสอนเขา ให้เขาทำมาหากิน ให้เขามีหลักมีเกณฑ์ในชีวิตของเขา ให้เขาเอาตัวรอดของเขา เขาจะช่วยตัวเขาได้ไหม

นี่ก็เหมือนกัน เราจะปกครอง เป็นจักรพรรดิต่างๆ ขึ้นไปนี่ ชาติหนึ่งมันก็หมดไป แต่ถ้าเราเอาตัวรอดขึ้นมา เอาตัวรอดให้ได้ก่อน เวลาเสียสละออกไป มันต้องมีการเสียสละ มีการลงทุน การลงทุนขึ้นมาแล้วจะมีผลตอบแทนขึ้นมา

เราจะไม่ยอมลงทุนสิ่งต่างๆ อะไรเลย เราจะเกิดขึ้นมามัชฌิมาปฏิปทาของเรา ก็มั่วสุมกัน อาลัยอาวรณ์ต่อกัน แล้วมันจะไปกันได้อย่างไร

แต่ถ้ามันมีใครเสียสละคนหนึ่ง เราไปที่คับขันแล้วมีใครคนหนึ่งเสียสละออกไป ไปหาคนมาช่วยเหลือเรา ทุกคนมันจะรอดพ้นกันไปหมด เราไปเกิดมีเหตุมีภัยขึ้นมา แล้วเราต้องรักกัน เราต้องดูแลกัน เราต้องกอดคอกัน แล้วเราก็ตายกันไปให้หมดเลย เห็นไหม นี่มันมีเสียสละ มันมีหนักมีเบา

การประพฤติปฏิบัติก็เหมือนกัน มันมีหนักมีเบา มัชฌิมาปฏิปทาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีความดีเป็นตัวนำเห็นไหม ...ดีมากกว่าชั่ว... !

ถ้ามัชฌิมาของโลก ...ชั่วมากกว่าดี...! มันจะเอาแต่ความชั่วของมัน มันจะเอาแต่ความพอใจของมัน มันจะเอาแต่ความดีของมัน มัชฌิมาปฏิปทาของกิเลสไง เพราะมีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มีความเห็นแก่ตัวใช่ไหม มันก็มัชฌิมาของเรา เราคิดอย่างไร เราทำอย่างไร ก็มัชฌิมาของเรา

แต่ถ้ามัชฌิมาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เป็นอย่างนั้น เพราะการเสียสละ ทุกคนเห็นแต่ว่าการเสียสละ เราเสียสิ่งของต่างๆ ที่เราแสวงหาของเรามา แต่สิ่งที่เราแสวงหาของเรามา เราเสียสละขึ้นมานี่ สิ่งที่เขาได้รับการเจือจานไปนี่ เขามีความร่มเย็นเป็นสุขของเขา บารมีธรรมมันเกิดตรงนี้ไง

ดูสิ คนมีอำนาจวาสนา แต่ไม่มีบารมี ไม่มีคนเชื่อถือศรัทธา เพราะอะไร เพราะเขาไม่ได้ทำของเขามา เขาเห็นแก่ตัวของเขา เขาทำดีเพื่อประโยชน์ของเขา เขาดีของเขาคนเดียว แต่ถ้าเขาดีของเขา แล้วเขาเสียสละของเขามา เขามีบริษัทบริวารของเขาขึ้นมา บารมีมันเกิดขึ้นมาอย่างนั้น

บารมีข้างนอก บารมีข้างใน บารมีข้างในเห็นไหม เวลานั่งสมาธิ ภาวนานี่ มันจะมีโอกาสของเขา...

ดูสิพระนาคิตะ อุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ เดินจงกรมอยู่ในป่า เห็นเขามีความสุขรื่นเริงกัน เขาไปเที่ยวนักขัตฤกษ์กัน มันคิดขึ้นมาในหัวใจ ความคิดจากภายใน เห็นเขามีความสุข เขาไปเที่ยวนักขัตฤกษ์ เขาไปมีความรื่นเริงกัน ไอ้เรามันคนทุกข์คนยาก อยู่ในป่าช้า อยู่ในป่าผีดิบ มันมีความทุกข์ความยาก ไอ้เรามันคนทุกข์คนยาก คนเข็ญใจเห็นไหม

เทวดามายับยั้งกลางอากาศเลย “ไอ้พวกที่เขาไปสุขสงบ เขาไปรื่นเริงกันนั่นนะ ไอ้พวกนั้นมันเวียนอยู่ในวัฏฏะ มันจะตายเปล่า มันจะไม่มีอะไรติดเนื้อติดตัวมันไปเลย มันจะเวียนตายเวียนเกิดเป็นสวะอันหนึ่ง เป็นผลของวัฏฏะ ท่านต่างหาก...ท่านต่างหาก ที่เป็นเศษคน ที่เดินจงกรมอยู่ในป่านะ ท่านต่างหากเป็นผู้ประเสริฐนะ! ท่านต่างหากจะพ้นจากวัฏฏะนะ!” นี่เทวดาเขามายับยั้งกลางอากาศ ...อยู่ในพระไตรปิฎกนะ

นี่พูดถึงบุญบารมีจากภายใน ความเห็นจากภายใน คุณประโยชน์จากภายใน ท่านต่างหากจะเป็นคนที่พ้นจากวัฏฏะ ท่านต่างหากที่จะพ้นจากโลก ท่านต่างหากล่ะ พอจิตใจที่มันเรรวนไปเห็นไหม เห็นแต่เขามีความสุขกัน โอ้โฮ... เขามีความร่มเย็นเป็นสุข ไอ้เรามันขี้ทุกข์ขี้ยาก อยู่ในป่าในเขา เดินจงกรม นั่งสมาธิอยู่นี่ ลำบากลำบนอยู่คนเดียว

พอมันฟื้นขึ้นมา มันฮึกเหิมขึ้นมา “เราต่างหากจะพ้นจากวัฏฏะ” เดินจงกรม จิตใจก็อยู่กับร่างกายนี้ แต่เดินจงกรมอยู่ แต่หัวใจมันไปอยู่ที่เขาไปเที่ยววันนักขัตฤกษ์กันนะ มันคิดไปข้างนอก ตัวเดินจงกรมอยู่นี้หัวใจมันส่งออกไปนะ เขามีความสุข เขามีความรื่นเริง เราเป็นคนขี้ทุกข์ขี้ยาก...เดินจงกรม เดินจงกรม สักแต่ว่า... ใจไม่อยู่กับตัว

พอเทวดามายับยั้งกลางอากาศ “ท่านต่างหาก ท่านต่างหาก”

...พอท่านต่างหาก...มันก็ย้อนกลับมาเราเลย พอย้อนกลับมาเรา ความรู้สึกมันอยู่ในตัวเราเห็นไหม เราเดินจงกรมไป เกิดปัญญาวิปัสสนาไป คืนนั้นสำเร็จเป็นพระอรหันต์เลย พ้นจากกิเลสไปได้

ถ้ามันมีอำนาจวาสนา มันจะเป็นมุมมอง มันจะเป็นความรู้สึก มันเป็นความคิดย้อนกลับมาในตัวเรา เราเกิดมาทำไม เรามาอยู่เพื่ออะไร มันย้อนมาที่เรานะ

ถ้าเราเป็นคนดีสักคนหนึ่ง มันเป็นที่พึ่งอาศัยของสังคมได้ทั้งนั้นล่ะ แต่ถ้าเราเป็นคนชั่วคนหนึ่งนะ เราทำลายเขาได้หมดเลยนะ มนุษย์มีปัญญามาก ดูสิ ไอ้โจรเสื้อนอกมันโกงประเทศชาติมันโกงทั้งโลกเลยนะ แต่ไอ้นี่เพราะอะไร ปัญญาไหมน่ะ นั่นก็ปัญญา

“ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา”

ก็ปัญญาขี้โกง ! ศาสนาพุทธเป็นศาสนาของมารนะ มารมันเอาปัญญามาใช้เห็นไหม มันเอาปัญญา นั่นนะเพราะไม่มีศีล ไม่มีธรรม ปัญญาจะมากน้อยขนาดไหน มันต้องมีศีล มีธรรม

คำว่าศีล มันมาเทียบเคียง ความคิดเราถูกต้องไหม ความเห็นนี้ดีไหม ถ้าไม่ดี เราไม่ชอบ คนอื่นก็ไม่ชอบ อะไรที่เราไม่ชอบใจ คนอื่นเขาไม่ชอบทั้งนั้นล่ะ อะไรที่เราปรารถนา คนอื่นเขาปรารถนาเหมือนกันทั้งนั้นล่ะ

แล้วแผ่นดินธรรมจะเจือจานกันไหม เราจะดูแลกันไหม เราแค่ปัจจัยเครื่องอาศัย ถ้าสิ่งใดมันเป็นประโยชน์นะ เราทำของเรา เพื่อประโยชน์กับเรา สิ่งที่เสียสละออกไปมันเป็นวัตถุ วัตถุมันเป็นเครื่องแสดงออกถึงน้ำใจ ถ้าหัวใจมันสูงส่งกว่านั้น ดูสิ ของที่โยมหามานะ มันมีคุณค่าขนาดไหน ทำไมโยมเสียสละได้ล่ะ เสียสละเพราะจิตใจเราสูงกว่า

แต่ถ้าจิตใจเราต่ำกว่านะ โอ้โฮ... มือไม้สั่นเลยนะ มันออกไม่ได้ มันหวง ของหามานี่มีแต่คุณค่าทั้งนั้น ถ้ามันมีน้ำหนักมากกว่าหัวใจ หัวใจสั่นไหวหมดเลย แต่ถ้าหัวใจเราสูงกว่ามันนะ หัวใจเราเสียสละมันนะ ของอย่างนี้ใครๆ ก็หาได้ ของอย่างนี้ในโลกก็มีอยู่นี่ ใช่! ปัจจัยเครื่องอาศัยมันหามายาก เราจะสั่งของมานี่ เราต้องมีเครื่องตอบแทนเขา... ตอบแทนเขามันก็ต้องมีวาสนาบารมี

“ทำทานร้อยหน ไม่เท่าถือศีลหนหนึ่ง มีศีลบริสุทธิ์หนหนึ่ง ไม่เท่าความสงบของใจหนหนึ่ง มีความสงบของใจร้อยหนพันหน ไม่เท่าเกิดปัญญาหนหนึ่ง”

แล้วปัญญา โลกียปัญญา ปัญญาที่มันเสียสละ ปัญญาเกิดจากจิตนะ ไม่ใช่ปัญญาเกิดจากสมอง ปัญญาเกิดจากสมองเป็นสถิติใช่ไหม นี่มันของเรา นี่ของเรา มันเทียบเคียงวิทยาศาสตร์หมดเห็นไหม

เวลาปัญญาของจิต กิเลสไม่มีเหตุผล เวลากิเลสมันเกิดขึ้นมา มันเอาเหตุผลอะไรขึ้นมาบ้าง มันมีเหตุผลมาจากไหน เวลามันคิดขึ้นมา มันเอาเหตุผลอะไรมา มันอ้างเหตุผลอะไรขึ้นมา มันถึงคิดว่าขึ้นมาได้ มันไม่มีเหตุผลขึ้นมาเลย มันคิดมาจากตัณหาความทะยานอยากเลย

แล้วปัญญาที่มันจะเกิดขึ้นมา จะเอาเหตุผลอะไรไปสู้กับมัน ถ้าไม่มีสมาธิยับยั้งมันก่อน ไม่มีสมาธิขึ้นมาให้ปัญญาบริสุทธิ์ที่เข้าไปเหยียบหัวกิเลส เวลาความคิดขึ้นมานี่ ความคิดกิเลสทั้งหมดเลย กิเลสไม่มีเหตุผล มันก็เอาความคิดอันนั้นมาหลอกเรา แล้วเอาความคิดว่าเป็นความคิดของเรา เรามีความคิด เรามีปัญญา เรามีคนเก่ง เราประสบความสำเร็จ กิเลสทั้งนั้น!!!

แต่ถ้าเป็นความจริงขึ้นมาล่ะ ถ้ามันสงบขึ้นมา แล้วเราบังคับตนเองให้ได้ พุทโธๆๆ ปัญญาอบรมสมาธิขึ้นมานี่ ถ้าจิตมันสงบเข้ามาได้ มันเหยียบหัวกิเลสลงไป... มันเหยียบหัวกิเลสลงไป... มันเหยียบทิฐิความมานะอหังการของเราลงไป... มันจะเป็นความสุขของมันได้ใช่ไหม ถ้ามันเป็นความสุขของมันได้ ถ้าปัญญามันเกิดขึ้นมาล่ะ ปัญญาเกิดขึ้นจากตัณหาความทะยานอยากที่เข้าไปร่วม นี่ไง มัชฌิมาปฏิปทาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง

มัชฌิมาปฏิปทาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันต้องเหยียบหัวกิเลสลงไปก่อน แล้วเหยียบหัวกิเลสไม่ได้ฆ่ากิเลสนะ เหยียบหัวกิเลสให้มีความสงบเฉยๆ ใจมันสงบลงไป... ใจมันมีความสงบลงไป... เหยียบหัวกิเลสลงไป แล้วปัญญามันเกิดขึ้นมา ปัญญาเกิดจากโลกุตตรปัญญา โลกียปัญญาเห็นไหม

นี่โลกุตตรปัญญา เหนือโลก...เหนือโลก เหนือตัวตน เหนือความคิด เหนือต่างๆ ขึ้นมา แล้วปัญญามันเกิดขึ้นมาอย่างนี้ต่างหากละ

มัชฌิมาปฏิปทาเราก็มัชฌิมาของกิเลส เอาแต่ความเห็นความรู้เราเข้าไปบวก ธรรมะของพระพุทธเจ้าทั้งนั้น

ทองคำในร้าน ดูสิ เต็มไปหมดเลย เพชรนิลจินดามหาศาลเลย ของเราๆๆ ลองเข้าไปสิ ปล้นเขาน่ะ เขาเอาตำรวจจับเลยนะ

นี่ก็เหมือนกัน ธรรมะของพระพุทธเจ้า ของเราๆ รู้! รู้! รู้! ไปหมด รู้ของใคร เพชรนิลจินดาตัวเองมีสักเม็ดไหม ปัญญาที่เกิดขึ้นมาชำระกิเลสของตัวเองมีสักกะพี้ไหม มีแต่ปัญญาพระพุทธเจ้าทั้งนั้น มีแต่เพชรนิลจินดาในร้านทั้งนั้น ไม่ใช่ของเราเลย ถ้าของเราขึ้นมา มันต้องปรากฏขึ้นมา นี่มัชฌิมาปฏิปทากับเรานะ ถ้าเรามีปัญญา

นี้วันพระ... วันพระ วันเจ้าเห็นไหม วันพระผู้ประเสริฐ แล้วพระไม่ใช่เป็นพระที่วัด ในบ้านเรา พ่อแม่ก็เป็นพระ พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก เพราะพ่อแม่ให้ชีวิตเรามา นี่เรากตัญญูกตเวทีนะ ให้กตัญญูกับพ่อแม่ เรากตัญญูกับตาเรา พ่อแม่ก็พ่อแม่นะ พระอรหันต์ของลูก แต่ไม่ใช่พระอรหันต์ของสาธารณะ

แต่จิตใจเราถ้าเป็นพระอรหันต์ของเรานะ จิตใจเราเป็นพระอรหันต์จริงๆ จิตใจเราพ้นจากทุกข์ได้จริงๆ เพราะจิตใจมันทุกข์ใช่ไหม

...ทุกข์คู่กับไม่ทุกข์ ...มืดคู่กับสว่าง ...จริงคู่กับความไม่จริง

ถ้าหัวใจเรามีอยู่ มีกิเลสอยู่ มันต้องพ้นจากกิเลสได้ มันมีของคู่ มืดคู่กับสว่าง ทุกข์คู่กับสุข มันจะพ้นไปได้ ถ้าเราจริงใจ เราตั้งใจ เราทำของเรา นี่พระของเราอยู่ที่นี่ วันนี้วันพระ หาพระตัวเองให้เจอ เพื่อเป็นประโยชน์กับเรา เอวัง