เทศน์เช้า

เทศน์ค่ำ

๒๑ ก.พ. ๒๕๕๑

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

จะพูดธรรมะ ธรรมะ เห็นไหม ธรรมชาติ เขาว่าธรรมะเป็นธรรมชาติ แต่เราว่าธรรมะเหนือธรรมชาติ เพราะธรรมชาติพวกเราเป็นธรรมกันอยู่แล้ว เพราะพวกเราเกิดมาจากธรรมชาติ ธรรมชาติเห็นไหม ธรรมชาติการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย เป็นธรรมชาติ เพราะธรรมะเป็นธรรมชาติแล้วเราว่าธรรมะเป็นธรรมชาติ แต่เราก็ทุกข์กันอยู่ธรรมชาตินี่

แต่ถ้าธรรมะนะ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันทวนกระแส ธรรมะนี่ทวนกระแสนะ มันทวนกระแสการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย มันทวนธรรมชาติ มันสวนธรรมชาติขึ้นไป เพราะธรรมชาติมันมีอนิจจัง โลกนี้เป็นโลกอนิจจัง มันเวียนว่ายตายเกิดโดยธรรมชาติอย่างนี้ โดยธรรมชาตินะมันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยากไง พอมีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เราก็ต้องหมุนเวียนไปตามวัฏฏะ นี่คือวัฏวน วัฏวนเป็นอย่างนี้ กระทะทองแดง กระทะทองแดงคือมันหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไปตามธรรมชาติอย่างนี้ แล้วถ้าธรรมะเป็นธรรมชาติมันก็เป็นธรรมชาติอยู่แล้ว สิ่งที่เป็นธรรมชาติอยู่แล้วเราก็ทุกข์ในธรรมชาตินี่

แต่ถ้าเป็นธรรมนะ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ มันถึงมีการกระทำไง นี่เรามาถือศีลกันไง เราถึงให้เสียสละ เห็นไหม เราเสียสละทาน เราเสียสละเพื่อใคร เสียสละเพื่อเรา ผู้ที่ยื่นมือออกไปนั่นแหละผู้นั้นเป็นผู้ได้ แต่โลกเขามองกันว่าคนที่รับเป็นคนได้ คนที่รับจากการเสียสละมานั้นเขาได้วัตถุ เขาได้วัตถุแต่เขาเป็นหนี้บุญหนี้กรรมนะ เขาเป็นหนี้นะ เห็นไหม

ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาประพฤติปฏิบัติมานะ เราฉันด้วยความไม่เป็นหนี้ ไม่เป็นหนี้เพราะอะไร เพราะมันไม่มีภวาสวะ มันไม่มีภพ มันไม่มีสิ่งต่างๆ ในหัวใจ หัวใจว่างเปล่า สิ่งที่ว่างเปล่าเป็นความที่สะอาดบริสุทธิ์ มันกลับได้บุญ ๒ ชั้น ๓ ชั้นนะ เพราะอะไร เพราะเนื้อนาบุญที่บริสุทธิ์ไง เนื้อนาบุญนะ ถ้าเนื้อนาบุญนั้นมีแต่วัชพืช เราหว่านพืชลงไปตายหมด วัชพืชมันเติบโตมากกว่า เห็นไหม แต่ถ้าเรายังมีกิเลสในหัวใจ เราอยู่เพื่อจะประพฤติปฏิบัติ เราอาศัยการดำรงชีวิตไง สิ่งนี้ดำรงชีวิตนะ จนชีวิตถึงที่สุดแล้วนี่ เราจะดำรงชีวิตด้วยความไม่เป็นหนี้ แต่นี่เราเป็นหนี้ หนี้บุญหนี้กรรม เห็นไหม

การเสียสละก็เหมือนกัน นี่การเสียสละออกไปเสียสละเพื่อใคร เสียสละเพื่อเรานะ การเสียสละออกไปเป็นการเสียสละเพื่อเรา แต่โลกเขามองว่าการเสียสละเป็นผู้เสียเปรียบ นี่ผู้เสียสละ เห็นไหม เราทำคุณงามความดีกัน เราสร้างคุณงามความดี สิ่งที่ทำคุณงามความดี เราเสียสละ เราปกป้องเด็ก เราดูแลเด็ก เราทำต่างๆ มันบุญกุศลทั้งนั้นนะ สิ่งที่เป็นบุญกุศลนี่สังคมยอมรับนะ

คนที่สร้างบารมี เห็นไหม ดูสิ พระโพธิสัตว์เสียสละชีวิต เห็นนายพรานเขาเดินป่าหลงทางอยู่ เขาหนาวสั่น เขาจุดกองไฟอยู่ เห็นไหม โดดเข้ากองไฟ เสียสละชีวิตเรา ให้ชีวิตนายพรานมีชีวิตต่อไป นี่การเสียสละอย่างนี้ เสียสละชีวิต เสียสละทุกอย่างเพื่อความสุขของคนอื่นเห็นไหม นี่พระโพธิสัตว์ สิ่งที่เป็นพระโพธิสัตว์ นี่ใจเป็นสภาวะแบบนั้น ใจเป็นผู้ที่เสียสละ เสียสละทุกๆ อย่าง เสียสละแม้แต่ชีวิต เสียสละได้ทุกอย่างเลย เพราะใจทำมาเพื่อโพธิญาณ เพื่อความรู้แจ้งในหัวใจ

นี่เราเป็นชาวพุทธ เราเพียงแค่สาวก สาวกะ สาวก สาวกะขอให้พ้นทุกข์เราก็พอใจแล้ว เราอยากจะพ้นทุกข์กัน เห็นไหม เราอยากพ้นทุกข์กัน เราหาบุญกุศลกัน ที่เราจะมาเวียนเทียน เห็นไหม เวียนเทียนระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เวลาเราเดินรอบแรกนึกถึงพุทโธ พุทโธ นึกถึงพระพุทธเจ้า รอบที่ ๒ นึกถึงธัมโม รอบที่ ๓ นึกถึง สังโฆ นี่เราเป็นคนที่มีบุญวาสนามาก เพราะมันครบไตรสรณาคมน์ เห็นไหม

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมามีพระพุทธ มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับมีพระธรรม เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาถึงเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีรัตนะ ๒ เท่านั้นเอง จนแสดงธรรมจักร เห็นไหม พระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรม “อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ” องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเปล่งอุทานไง เพราะเวลาประพฤติปฏิบัติไปแล้วนี่สิ่งนี้จะบอกใครได้หนอ เพราะมันละเอียดลึกซึ้งนัก เวลาเทศนาว่าการไปเทศน์ธรรมจักรนะ พระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรม

เป็นพระที่ไหน เป็นพระที่หัวใจนะ ถ้าเป็นพระที่หัวใจนี่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รัตนตรัยครบสมบูรณ์ แล้วเราเกิดมานี่รัตนตรัยพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ครบสมบูรณ์ แล้วเวลาเราระลึกถึง เราเวียนเทียนของเรานี่ เราระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รอบแรกให้นึกถึงพุทโธ พุทโธ ธัมโม สังโฆ แก้วสารพัดนึก ทั้งๆ ที่มันมีอยู่กับเรานี่ หัวใจของเรา พุทธะนี่มันคือความรู้สึกของเรา พุทโธ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เวลาจิตมันสงบขึ้นมามันสว่างไสว นี่มันอยู่กับเรานะ

แต่พูดถึง เห็นไหม ถ้าวุฒิภาวะเรายังไม่ถึง มันอริยทรัพย์ ทรัพย์ที่ละเอียดเกินไปละเอียดมาก ละเอียดจนโลกเขาบอกว่ามันไม่มีหรอก แล้วผู้ที่ประพฤติปฏิบัติก็กล่าวตู่กันไป นี่เวลามันทุกข์มันไม่พูดอย่างนั้นนะ นี่เวลามันทุกข์นี่มันทุกข์มาก พอมันทุกข์มากมันทุกข์มาจากไหน ทุกข์เพราะลืมหัวใจไง ลืมผู้ที่ทุกข์ มันไม่อุปัฏฐาก มันไม่ดูแลมันก็เลยทุกข์ แต่พวกเรานี่เราเป็นชาวพุทธ เราดูแลเพราะอะไร เพราะมีศีล มีสมาธิ มีปัญญา เราดูแลไง เราดูแลเรา เราดูแลผู้ที่จะทุกข์นี่ ถ้าเรามีศีลเราไม่เบียดเบียนเขา นี่บุญกุศลมันเกิดตรงนี้ไง เราไม่เบียดเบียนเขา เราไม่ทำลายเขา เห็นไหม ผู้ที่ไม่เบียดเบียนเขา ไม่ทำลายเขา เขาให้อภัยนะ

ดูสิ ดูพระเราอยู่ในศีลในธรรม เป็นผู้ที่เสียสละ เวลาใครมาทำร้ายพระ สังคมรับไม่ได้เลย รับไม่ได้หรอก เพราะพระเป็นผู้ที่ไม่มีเวรมีภัยกับใครแล้ว นี่ถ้าเราทำของเรา เห็นไหม เราทำของเราสภาวะแบบนั้น นี่เป็นผู้ที่เสียสละ เป็นผู้ที่ย้อนกลับมาในหัวใจของเรา นี่สิ่งนี้มันจะเป็นประโยชน์กับเรา ของนี่มันละเอียดไง นี่ความหยาบๆผลประโยชน์ของเรา เรามีเงินมีทองเราแสวงหามานี่ เราว่าสิ่งนั้นมันเป็นประโยชน์กับเรา มันเป็นประโยชน์สาธารณะนะ เพราะมันเป็นกระดาษ ถ้าเขาสมมุติว่าใช้ได้ก็ใช้ ถ้าเขายกเลิกมาก็ไม่มีค่าเลย เห็นไหม

แต่คุณงามความดีนี่ของเรานะ สิ่งที่เป็นประโยชน์ของเรา เห็นไหม สิ่งที่เราสร้างมันเป็นประโยชน์ของเรา เราต้องดูแลรักษาของเรา ถ้าเราดูแลรักษาของเรา มันจะมาจากไหน มันมาจากมีสติสัมปชัญญะ เราเกิดมาเป็นมนุษย์นี่นะ ทรัพย์สมบัติที่เราหามาถ้าไม่มีเรามันจะเป็นของเราไหม มนุษย์สมบัติมีคุณค่ามาก มนุษย์สมบัติไง เราเกิดมาเป็นมนุษย์ มนุษย์สมบัตินี่สิ่งนี้มันมีโอกาสให้เราได้แสวงหา แล้วโลกเขามองข้ามศาสนากันไป เขาเลยไปแสวงหาแต่ทางโลกกัน แต่เรามาแสวงหาทางธรรม โลกเราก็ต้องอยู่กับเขา

ดูสิ ถ้าบอกว่าเราปฏิเสธโลกเลยนี่ เวลาสุดโต่งนะว่าปฏิเสธโลกนะ ไม่ใช่หรอก ทำไมพระต้องบิณฑบาต ทำไมพระต้องฉันอาหาร ปฏิเสธได้ไหมปัจจัย ๔ ปฏิเสธไม่ได้หรอก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ปฏิเสธปัจจัย ๔ นะ ปัจจัย ๔ ขาดไม่ได้ นี่ขาดไม่ได้จะทำอย่างไรให้เป็นการเกื้อกูลกัน เห็นไหม นี่พระออกบิณฑบาต เพราะอะไร เพราะพระไม่ประกอบอาชีพ เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง นี่การเดินบิณฑบาตไง โยมก็แสวงหา แสวงหามาแล้วจะสร้างบุญกุศล จะสร้างโอกาส เห็นไหม โอกาสในการเสียสละ นี่ภิกษุเป็นผู้บิณฑบาตไป สิ่งนี้มันได้กระทำกันมา สิ่งที่กระทำกันมามันก็เป็นบริษัท ๔ ไง ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา สิ่งนี่มันจะทำให้ศาสนาเคลื่อนไป เพราะคฤหัสถ์ออกบวชก็เป็นภิกษุ สิ่งที่เป็นภิกษุขึ้นมา สิ่งที่การกระทำนี่ ถ้าเรามีโอกาสเราทำของเราได้นะ ถ้าเราทำของเราได้มันจะพัฒนาใจของเรา ถ้าใจเราพัฒนาขึ้นมา เห็นไหม นี่มันเห็นคุณค่าทรัพย์อันละเอียดไง อริยทรัพย์ ทรัพย์จากภายใน

ทรัพย์จากภายนอก สิ่งที่เป็นทรัพย์จากภายนอกเขาแสวงหากัน เพราะอะไร เพราะสิ่งต่างๆ มันเป็นเรื่องของโลกๆ โลกเห็นไหม โลกพร่องอยู่เป็นนิจ โลกนี้ไม่เคยเต็มหรอก สิ่งนี้พร่องอยู่เป็นนิจ ดูสิ ทรัพยากรใช้ไปอย่างนี้พร่องอยู่เป็นนิจ แล้วประชากรจะเกิดขึ้นมามาก วิตกวิจารกันว่าจะใช้กันอย่างไร จะหาสิ่งใดมา แต่ถ้าคนมีบุญมาเกิดนะ ทุกอย่างมาพร้อม มันมีพร้อมของมันเลยนะ แล้วบุญมาจากไหน บุญมาจากที่เราเสียสละนี่ไง สิ่งที่เราสละ เราแสวงหาของเรา เราเสียสละของเราออกไป

เสียสละออกไปเพื่อใคร ก็เพื่อเราๆ เสียสละเพื่อเรานะ ผู้รับ เห็นไหม ผู้รับถ้าพูดถึงยังมีกิเลสอยู่ ยังมีสิ่งต่างๆ อยู่ในหัวใจ สิ่งนี้ฉันด้วยความเป็นหนี้ สิ่งนี้ฉันด้วยความเป็นหนี้เพราะอะไร เพราะมันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก แต่ถ้าผู้ที่สิ้นกิเลส เห็นไหม นี่ฉันด้วยความไม่เป็นหนี้เลย ไม่เป็นหนี้แล้วบุญกุศลของเราทบทวีคูณขึ้นไป มันทบทวีคูณขึ้นไปนะ เพราะสิ่งนี้มันเป็นความสะอาดบริสุทธิ์ ดูสิ ดูเราทำนา เห็นไหม ถ้านาเราไม่ได้คราดไม่ได้ไถมันมีวัชพืชขึ้นมานี่ ข้าวจะขึ้นได้สะดวกดีไหม ข้าวนี่มันก็ต้องโดนวัชพืชมันทำลายใช่ไหม แต่ถ้านานี่มันเป็นสิ่งที่ดินดี ทำทุกอย่าง มีน้ำ มีทุกอย่างแล้ววัชพืชไม่มี ต้นข้าวมันจะงอกงามไหม นี่ไงถ้าฉันด้วยความไม่เป็นหนี้มันเป็นสภาวะแบบนั้น ถ้าเป็นสภาวะแบบนั้นแล้วเราจะเห็นได้อย่างไร นี่ว่าบุญกุศล ว่าทำบุญๆ กันนี่บุญอยู่ที่ไหน บุญมันอยู่ที่หัวใจ บุญมันอยู่ที่ผู้รับนี่ บุญไม่ใช่อยู่ที่ตัวเลข บุญไม่อยู่ที่ต่างๆ นี่

ดูสิ ประชาธิปไตยๆ เขาหากันนี่ ธรรมาธิปไตย ธรรมาธิปไตยมันถึงเป็นโอกาสของคน มันเป็นความถูกต้องของคน ความถูกต้องของใจ ถ้าใจมันถูกต้อง เห็นไหม นี่บุญมันอยู่ที่นี่ บุญมันอยู่ที่ความสุขใจ บุญมันอยู่ที่เรามีความสุขใจ เราไม่ทุกข์ไม่ร้อนนะ คนที่เขาแสวงหามาเขาอยากได้มากนะ แล้วเขามีการแก่งแย่งกัน เขามีการชิงดีชิงเด่นนะ เขาทุกข์มากนะ ปั้นหน้ากันว่าสุขเฉยๆ ทั้งนั้นล่ะ ปั้นหน้ากัน ไม่เป็นความจริงหรอก

แต่ถ้าเป็นความจริง ดูสิ เราเสียสละ เห็นไหม เราเป็นผู้ไม่เป็นภัยกับใคร ภิกษุไม่เป็นภัยกับใคร ไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใคร นี่ชีวิตดำรงอยู่ได้ นี่บิณฑบาตเป็นวัตร ทุกอย่างเป็นวัตร นี่ดำรงชีวิตอยู่ได้ ดำรงชีวิตอยู่ได้ โลกนี้นะถ้ามันเป็นความเชื่อของคน เป็นความเชื่อของเราชาวพุทธ เห็นไหม เราจะทำบุญทำกุศลกันเพื่อส่งเสริมให้ผู้ประพฤติปฏิบัติเพื่อได้ประพฤติปฏิบัติ เพื่อทรงธรรมทรงวินัย เพื่อรักษาธรรมวินัยไว้ ให้มันครบไตรสรณาคมน์ในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

สิ่งนี้เป็นประโยชน์กับเรา ถ้าเป็นประโยชน์กับเรา สิ่งดำรงชีวิตมันดำรงชีวิตได้อยู่แล้วแหละ แต่เราวิตกกังวลกันเองไง นี่กิเลสตัณหาความทะยานอยาก ภิกษุถ้าผิดผิดตรงนี้ ผิดเวลาทำอะไรวิตกวิจารไปว่าตัวเองจะไม่มีจะไม่ได้ คือทำผิดศีลผิดธรรมกัน พอทำผิดศีลผิดธรรมเราจะพอใจไหมล่ะ เราไม่พอใจเราก็ไม่อยากจะทำ ถ้าทุกคนเป็นสิ่งที่ดีหมดมันจะดีกับเรา เห็นไหม ดีกับเราหมด

นี่ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เราเป็นอุบาสก อุบาสิกา เราต้องหาแก้วสารพัดนึก หาที่พึ่งของเรา ถ้าที่พึ่งของเรานะ ความสุขอย่างนี่ความสุขเกิดมาจากใจมันจะหาที่ไหน เราถึงแสวงหากัน ที่เราอุตส่าห์ทุกข์อุตส่าห์ยากเรามาจากไหนกัน มาจากทางไกลเดินทางมาเพื่อใคร เดินทางมาเพื่อหัวใจของเรานะ หัวใจของเรานี่ เราอยู่ในบ้านของเรา แล้วหัวใจมันอยู่ในร่างกายเรานี่ ทำไมหาใจเราไม่เจอ ทำไมเราไม่รู้จักเรา นาย ก. นาย ข. นาย ง. สมมุติทั้งนั้นนะ สมมุติในทะเบียนบ้านไง เปลี่ยนชื่อเปลี่ยนคนใหม่แล้วนะ นี่ลองไปเปลี่ยนชื่อมันก็เปลี่ยนไปหมดนะ เราอยู่บ้านเราเราหาเราไม่เจอไง เราถึงต้องมีข้อวัตรปฏิบัติ เห็นไหม เพื่อหาเรา

ถ้าหาเรา ถ้าจิตมันเริ่มสงบมา มันรู้จักเรานะ รู้จักความสงบ นี่รู้จักว่านี่นาย ก. นาย ข. คือเรา เมื่อจิตมันสงบขึ้นมา นี่เรามาแสวงหาเรากัน ถ้าเรามาแสวงหากัน ถ้าเราเจอเราขึ้นมาแล้วนี่ เราจะทำงานนะมันต้องมีคนเจ้าของงาน เราทำหน้าที่การงานผลประโยชน์ใครเป็นคนรับ นี่จิตก็เหมือนกัน ถ้าจิตมันสงบขึ้นมามันมีฐาน นี่กรรมฐานไง พระกรรมฐาน ถ้าจิตสงบขึ้นมามันมีฐานที่ทำงาน ถ้าฐานที่ทำงาน เห็นไหม นี่ความสงบของใจ ใจสงบเข้ามาพื้นฐานอยู่ตรงนี้ แล้วถ้าจิตนี่มันออกไปวิปัสสนา ออกวิปัสสนามันไปทำผลประโยชน์ของใจ มันไปเห็นไง ไปเห็นความที่ว่าเราติดข้องอะไรบ้าง เราติดขัดอะไร มันไปแก้ไขไปปลดเปลื้อง เห็นไหม นี่ถ้ามันรู้จักตัวเองเห็นไหม นี่อยู่ที่นี่ ไม่ใช่นาย ก. นาย ข. นาย ง. ที่เราว่ากันไปนั้นมันสมมุติทั้งนั้นนะ นี่ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา เราทำกันที่นี่

นี่ไงศาสนานี่มีคุณค่ามากเลย มีคุณค่าตรงนี้ไง คำว่าทรัพย์สมบัติ กับอริยทรัพย์สมบัตินะ อริยทรัพย์นะ แก้วแหวนเงินทองมันเป็นสมบัติสาธารณะ แต่กุศล-บาปอกุศลเป็นสมบัติของเรา เราสร้างมันเป็นบุญกุศลและเป็นบาปอกุศล มันจะติดใจของเราไป ถ้าติดใจอันนี้ไปเราจะแก้ของเราอย่างไร? เราจะรักษาของเราอย่างไร? เรารักษา เราแก้ไข คำว่าแก้ไขคือแก้ไขให้มันไปถูกทาง รักษา เห็นไหม ดูสิ ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ จิตถ้ามันสงบขึ้นมาบ้าง เราจะรักษาอย่างไรให้มันอยู่กับเรา

นี่ศีล มาถึงเรื่องความปกติของใจก่อน ใจมันจะปกติของมันขึ้นมา แล้วมันจะหาเหตุหาผลขึ้นมา สิ่งนี้มันจะทำได้ เพราะเราเริ่มต้นมานี้ ผู้ที่มาใหม่เราจะพาเวียนเทียน คำว่าเวียนเทียนเราบูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ บูชารัตนตรัย แก้วสารพัดนึก แก้วสารพัดนึกนะ แล้วเรานึกไม่เห็นเคยได้อะไรเลย ไม่เคยได้เพราะเรานึกโดยกิเลสตัณหาทะยานอยากไง นึกถึงสิ่งที่มันไม่เป็นธรรมไง

แต่นึกสิ่งที่มันเป็นธรรมสิ นี่เกิดมามีลมหายใจไหม? เกิดมามีชีวิตไหม? แล้วลมหายใจความเป็นสุขอย่างนี้ ถ้าจิตมันอยู่กับลมหายใจ อยู่กับเรา แล้วถ้ามันสุขขึ้นมา นี่เงินทองมันจะมีความหมายอะไร สิ่งต่างๆ ที่เราแสวงหามันจะมีความหมายอะไร เราไปหาแก้วแหวนเงินทองก็เพื่อความสุข แล้วมันได้มาแล้วมันสุขจริงไหม? แล้วมันสมประโยชน์กับเราไหม? ทำไมมันไม่คิดล่ะ นี่แก้วสารพัดนึก เราไปนึกโดยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เราเข้าใจผิด เราเข้าใจผิดกัน นี่โลกเข้าใจผิดว่าสิ่งนอกเหนือออกไปเป็นสมบัติพัสถานจะเป็นที่พึ่งอาศัย

แต่ในศาสนาหัวใจจะเป็นที่พึ่งอาศัย หัวใจกลางหน้าอกนี่เป็นที่พึ่งอาศัย แต่หากันไม่เจอ ค้นกันไม่เจอ ทั้งๆ ที่ปฏิสนธิจิตนี่มีไข่ มีสเปิร์ม มีตัวจิต มันถึงปฏิสนธิในครรภ์ของมารดา ทั้งๆ ที่ตัวจิตเป็นตัวเกิด ตัวจิตเป็นตัวเรา ตัวจิตเป็นตัวสร้างบุญกุศล สร้างบาปอกุศลมานี่ เกิดดีเกิดชั่ว ในท้องพ่อท้องแม่ท้องหนึ่ง เห็นไหม ลูกคนนี้เกิดขึ้นมาครอบครัวจะมีความสุขรื่นเริง ลูกคนนี้เกิดขึ้นมานี่จะมีอุปสรรคขาดแคลน กรรมมันเกี่ยวเนื่องกันมา เห็นไหม นี่จิตเวลามันมาเกิด ตัวมันนั่นแหละมาเกิด เกิดในไข่ พอเกิดในไข่แล้วก็อยู่ในครรภ์ ๙ เดือนแล้วคลอดออกมาก็เป็นเรา ทั้งๆ ที่มันเป็นตัวมันตั้งแต่เริ่มต้นนะ แต่เวลาศึกษาธรรมกันแล้วหามันไม่เจอ

ถ้าใครจิตมันเริ่มพุทโธ พุทโธ พุทโธ คำบริกรรมนี่ ความคิดมันแผ่กระจายออกไป แล้วถ้ามันพุทโธ พุทโธ พุทโธนี่ เริ่มต้นรวมความสงบมันเข้ามา ถ้าจิตมันสงบถึงอัปปนาสมาธิ เห็นหมดเลย เป็น โอ๋! ภวาสวะ ตัวภพ ตัวจิต เป็นอย่างนี้เอง เราอยู่ที่นี่ไง นาย ก. นาย ข. อยู่ตรงนี้เอง อยู่ตรงนี้แล้วทำงานเป็นไหม ถ้าทำงานเป็น นี่วิปัสสนาเป็นมันจะทำความสะอาดของใจขึ้นมานะ นี่อริยทรัพย์มันอยู่ที่นี่ นี่เห็นคุณสมบัติอย่างนี้ ถึงว่าการเกิดและการตายมันเป็นผลของวัฏฏะนะ นี่เราเกิดเราตาย

ดูสิ วันคืนล่วงไปๆ นี่บังคับมันไม่ได้เลย ใครบังคับได้บ้างไม่ให้โลกหมุนไป ใครบังคับได้บ้างไม่ให้พระอาทิตย์ขึ้นพระอาทิตย์ตก ใครบังคับได้บ้างไม่ให้เราแก่ชราภาพ ใครบังคับได้บ้าง ไม่มีใครบังคับได้เลย เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาเป็นศาสดา เห็นไหม เป็นศาสดา เป็นที่พึ่งของเรา เวลาท่านกำหนดปลงอายุสังขาร เห็นไหม พระอานนท์เสียใจมาก พระอานนท์นี่มารดลใจ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปลงอายุสังขารบอกพระอานนท์ ถ้าพระอานนท์นิมนต์ไว้ ก็ถึง ๑๖ หนนะ ถึงสุดท้ายแล้วพระอานนท์ไม่ทันองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงปลงอายุสังขาร นี่โลกธาตุหวั่นไหว พระอานนท์เข้าไปกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลยเพราะอุปัฏฐากมารู้กัน ถ้ามีเหตุการณ์ที่มันสุดวิสัยจะไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

“อะไรมันเกิดขึ้น สิ่งที่เป็นไปมันเป็นเพราะเหตุใด”

“อานนท์ เป็นธรรมดาเององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิด ตรัสรู้ ปรินิพพาน โลกธาตุจะหวั่นไหวอย่างนี้”

พระอานนท์ขนลุกขนพองเลย รู้เลยว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปลงอายุสังขารแล้ว เห็นไหม กราบใหญ่ กราบขออาราธนาเลย ขอให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าดำรงชีวิตอยู่ไปเถิด

“อานนท์ เราบอกเธอแล้วไม่ใช่เหรอ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายต้องดับเป็นธรรมดา แม้แต่ชีวิตของตถาคตก็จะสิ้นไปในอีก ๓ เดือนข้างหน้า” พระอานนท์เสียใจมาก เห็นไหม นี่แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังจะต้องปรินิพพาน ยังจะต้องตายไป นี่สิ่งนี่มันก็เกิดตายไปอย่างนี่ แต่สิ่งหนึ่ง สิ่งหนึ่ง เห็นไหม ในศาสนาเรานี่ สิ่งที่มันคงที่มันมี สิ่งที่คงที่คือความรู้สึกเรานี่ แต่ความรู้สึกเรานี้มันคงที่ไม่ได้ เพราะกิเลสครอบงำมัน แต่ถ้าเรามาศึกษาธรรมแล้วมาประพฤติปฏิบัติ ทำไมพระเราอยู่ได้ล่ะ ทำไมพระเราศรัทธา เรามีความเชื่อ เราแสวงหาอะไรกัน แสวงหาไอ้ตัวปฏิสนธิจิตที่มาเกิดเป็นเราอยู่นี่

นี่ทรัพย์จากข้างนอกมันก็เป็นอันหนึ่ง ทรัพย์จากข้างในก็เป็นอันหนึ่ง เราถึงต้องแสวงหากัน ต้องหาที่สงบสงัด ต้องหาความเป็นไป หาที่สัปปายะ เราถึงต้องมาอยู่ป่าอยู่เขากัน เราอยู่ป่าอยู่เขานะไม่ใช่ว่าเราเป็นคนที่ปฏิเสธโลก อยากจะอยู่ทุกข์อยู่ยาก ไม่ใช่หรอก ต้องการให้หาเราให้เจอ ถ้าหาเราให้เจอเราจะแก้ไขเราได้ นี่เราจะทำสิ่งใด ทำงานสิ่งใด เราต้องรู้ต้นเหตุ รู้ปลายเหตุ ถ้ารู้จักต้นเหตุและปลายเหตุ เราจะเป็นคนทำงานประสบความสำเร็จ เห็นไหม

เราเป็นชาวพุทธ แล้วเรานี่เราจะมาเวียนเทียนกันเพื่อให้ระลึกถึงเรา เวลาเราเวียนเทียน รอบแรกให้กำหนดพุทโธ พุทโธ ให้มีพุทโธ ธัมโม สังโฆ พุทโธ ธัมโม สังโฆ ก็คือหัวใจของเรา พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน พุทธะคือความรู้สึก ถ้าเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมานี่ เราเป็นพระขึ้นมานี่เป็นพระในหัวใจ ตอนนี้เราเป็นสมมุติสงฆ์ เราปรารถนามาเพื่ออยากจะบวช อยากจะค้นคว้า อยากจะหา เป็นไข้อยากจะแก้ไขโรคภัยไข้เจ็บให้หายไปจากจิต จิตมันเป็นไข้ จิตมันต้องเกิดต้องตาย แล้วสิ่งที่มันเกิดมันตายได้ มันก็ต้องมีสิ่งที่ตรงข้ามคือไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ก็ได้ แต่มันเป็นนามธรรม เป็นความรู้สึกที่ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายได้ แต่เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วร่างกายต้องเจ็บ ต้องแก่ ต้องตาย เป็นธรรมดา

สิ่งที่เป็นธรรมดา เห็นไหม เราแก้ไขให้จบ พอแก้ไขให้จบแล้ว เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารอวันปรินิพพาน รอวันสิ้นอายุขัย สิ้นกิเลสตั้งแต่วันวิสาขบูชา แล้วก็รอถึงที่สุดรอหมดอายุขัยไป แต่หัวใจเบิกบาน หัวใจรู้เท่า หัวใจรู้จริง แล้วอย่างนี้มันมีสิทธิ์ทุกคน เพราะโยมก็มีกายกับใจ มีเหมือนกันหมดเลย แต่ไปตื่นโลกกัน

หน้าที่การงานนะ พระนี่เช้าก็ต้องออกบิณฑบาต พระก็มีปากมีท้องนะ แต่มีปากมีท้องนี่อยู่ในศาสนาไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องวางธรรมและวินัยไว้ ให้มีภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา อาศัยเกื้อกูลกัน ทำให้ศาสนามั่นคง ทำให้ประชนมีที่พึ่งอาศัย ไม่ให้จิตใจร้อนรนจนเกินไปนะ มันมีที่เกาะ มันที่พัก มีที่อาศัย นี่สังคมจะอยู่ร่มเย็นเป็นสุข แต่เราไม่มีผู้นำที่ดีเราถึงไปตื่นโลกกัน ตื่นสมบัติพัสถานกัน ไม่รู้จักความพอดี ไม่รู้จักการดำรงชีวิตที่พอสมควร ความพอดีของโยม ความพอดีของคฤหัสถ์เขาก็ใช้ดำรงชีวิตของเขา ความพอดีของภิกษุ ความพอดีของพระ ความพอดีของนักปฏิบัติ นี่ความพอดี เห็นไหม มันก็ความพอดีขณะที่แสวงหาทรัพย์อันละเอียดขึ้นไป ความตั้งใจมันก็ต้องเป็นขั้นตอนขึ้นไป เห็นไหม

นี่แสดงธรรม เพราะเราจะเวียนเทียนกัน เราจะต้องเข้าใจก่อนว่าเราจะเวียนเทียน เพื่ออะไร เราเอาใจเราเวียนเทียนนะ เวียนเทียนเพื่อศาสนา เพื่อความรู้สึกดีๆ ของเรา เพื่ออุปัฏฐากในหัวใจของเรา ให้พุทธะ ให้ปัญญาของเราเกิดขึ้นกระจ่างแจ้ง บุญนี้จะเข้าถึงหัวใจ เอวัง