เทศน์เช้า วันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๕๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
วันนี้วันเด็ก เห็นไหม เวลาวันเด็กเพราะประชาชนหรือพ่อแม่นี่ก็ต้องการให้เด็กมันได้สิทธิของเขา วันนี้วันเด็ก เด็กเป็นเจ้าของวันนี้ เด็กมีสิทธิเสรีภาพเต็มที่ วันเด็ก เห็นไหม เด็กไร้เดียงสา เด็กดูแล้วน่าชื่นใจ แล้วเด็กต้องมีการศึกษา เด็กต้องมีการเติบโต เห็นไหม วันของเด็กเขา นี่แล้วก็ยัดเหยียดไว้ เห็นไหม นี่ถ้าแก้ไขสิ่งใดไม่ได้ต้องไปแก้ไขที่เด็ก การศึกษาก็ต้องเด็ก ทุกอย่างก็ต้องเด็ก
แต่เวลาไม่ได้ดูที่ใจเรานะ ผู้ใหญ่ใจเด็กไง ผู้ใหญ่ใจเด็กๆ ผู้ใหญ่ใจเป็นผู้ใหญ่ เห็นไหม ดูสิเวลาทำบุญกุศลนะ ใจเด็กๆ นะ แม้แต่ทำบุญกุศลนี่มันทำกันได้ง่ายๆ เลย ในภาคปฏิบัตินะ แต่ถ้าเป็นสังคม เห็นไหม การทำบุญกุศลนะ นี่ชาวพุทธเราบอกว่า นี่ถ้าไปนับถือศาสนาอื่น อ้อนวอนเอาขอเอาจะได้หมดเลย แต่ถ้าเป็นศาสนาพุทธมีแต่เสียสละๆ เป็นศาสนาที่ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย นี่ไปมองกันตรงนี้ เห็นไหม นี่ความเห็นของคนไง
การเสียสละอย่างนี้เสียสละเพื่อหัวใจที่มันเข้มแข็งขึ้นมาไง หัวใจมันเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมา เห็นไหม ถ้าหัวใจมันอ่อนแอมันทำไม่ได้นะ เพราะกิเลสมันข่มขี่ กิเลสนี่มันข่มขี่ให้สิ่งนี้เป็นของเรา ทุกอย่างเป็นของเรา แต่ถ้าใจเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมา เห็นไหม มันจะเห็นประโยชน์ไง ออกจากมือของเราไป ไปมือผู้อื่นที่ได้รับ เห็นไหม ดูพระสิ เราบอกสัมมาอาชีวะ เห็นไหม พระเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้งนะ เวลาบิณฑบาตไป ดูสิครูบาอาจารย์ของเรา เห็นไหม ไปหาที่อัตคัดขาดแคลน อัตคัดขาดแคลนเพื่ออะไร เพื่อให้กิเลสมันไม่มีคุณค่าไง ถ้ากิเลสมันมีคุณค่าขึ้นมานะ
ดูสิในปัจจุบันเขาคุยกัน เห็นไหม ในสังคมในการปกครองสงฆ์ เขากินโต๊ะจีนกันนะ เขาต้องกินโต๊ะจีนนะ เขามีศักยภาพ เขากินอาหารกันมีศักยภาพมาก เห็นไหม นี่เราก็ว่าเป็นศักดิ์เป็นเกียรติของเขาไง แต่ถ้าเป็นกรรมฐาน เห็นไหม รุกขมูลเสนาสนัง นี่รุกขมูล เห็นไหม ธุดงควัตร ตามมีตามเกิด ตามมีตามได้ ตามมีตามได้ ถ้าหัวใจมันเป็นผู้ใหญ่มันจะเห็นคุณค่าตรงนี้ เพราะอะไร เพราะในการประพฤติปฏิบัติ ถ้ายังไม่มีภาคปฏิบัติ เห็นไหม ถ้าเป็นปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ถ้าไม่มีภาคปฏิบัติจะไม่เห็นคุณค่าสิ่งใดๆ เลย
ดูสิ นี่บอกว่าพระเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง นี่เวลาไหว้พระนะ ไปไหว้ลูกชาวบ้านไม่ใช่พระ มันจะเป็นลูกชาวบ้านได้อย่างไร ลูกชาวบ้าน เห็นไหม อย่างนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นลูกชายพระเจ้าสุทโธทนะสิ ก็เป็นลูกชาวบ้านเหมือนกัน ลูกชาวบ้านเขาก็เกิดมาในโลกนี่ เพราะเกิดมาในโลกเวลาบวชมาแล้วเป็นสมมุติสงฆ์ สมมุติสงฆ์นี่ประกาศตน เห็นไหม ยอมรับธรรมและวินัย ประกาศเป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมานี่บังคับตน การบังคับตน เห็นไหม
นี่แล้วก็บอกว่าพระเป็นผู้ได้ ได้อะไร? ได้ความง่วงเหงาหาวนอนเหรอ ฉันอาหารมาก ใช้ของญาติโยมมากนะ มันก็ทำให้กิเลสฟูขึ้นมา นี่ใจมันก็กลับเป็นเด็กขึ้นมา เห็นไหม ใจไม่เป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาเลย ถ้าใจเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมานะ มันจะเริ่มหักห้ามตัวเองได้ เห็นไหม หักห้ามตัวเองได้ เราเริ่มเสียสละได้เพราะอะไร เพราะใจมันเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมากิเลสมันก็เล็กลง ถ้ากิเลสมันเล็กลงจะทำสิ่งใดมันก็เป็นประโยชน์กับเราขึ้นมา แล้วประโยชน์กับเรา นี่ประโยชน์กับเรา แต่คนไม่เห็นนะ ถ้าไม่เป็นประโยชน์กับเรา ทำไมพระต้องเสียสละออกมา
ทำไมทางโลก เห็นไหม เวลาเจ้าชายสิทธัตถะนี่จะได้เป็นกษัตริย์อยู่แล้ว ทำไมต้องเสียสละออกมา เจ้าชายสิทธัตถะนะมีสถานะเป็นกษัตริย์ด้วย ถ้าบอกว่าเป็นผู้ที่มีปมด้อยทางสังคมก็ไม่ใช่ เพราะอะไร เพราะครอบครัวก็มี เห็นไหม ลูกก็มี มีทุกอย่างพร้อมเลย แต่สิ่งนี้มันเป็นเรื่องของโลกๆ ไง เพราะมันเวียนตายเวียนเกิด เห็นไหม เวลาไปเที่ยวสวน ไปเห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย เราก็ต้องเป็นอย่างนี้เหรอ ถ้าเราก็เป็นอย่างนี้ สิ่งที่อาศัยชั่วคราวมันก็เป็นเรื่องของโลก ของโลกคือของเด็กๆ คือของสมมุติไง
ถ้าเป็นความจริงขึ้นมามันก็ต้องเสียสละอย่างนี้ ถ้าเสียสละอย่างนี้แล้วนี่ เวลาบวชเข้ามาแล้วนี่ ถ้าบวชเข้ามาแล้ว เห็นไหม ขนาดเป็นพระก็ใจเด็กๆ เห็นไหม นี่ศักยภาพ ทำอะไรต้องมีความสะดวกสบาย สะดวกสบายกิเลสมันก็โตขึ้นมาเรื่อยๆ มันก็เหยียบย่ำหัวใจอย่างนั้นขึ้นมาเรื่อยๆ ครูบาอาจารย์ของเราเวลาออกปฏิบัติ ไปหาที่อัตคัดขาดแคลน อัตคัดขาดแคลนเพื่อไม่ให้หัวใจมันเหิมเกริมไง ถ้าหัวใจมันเหิมเกริมกิเลสมันตัวใหญ่นะ เราเอามันได้ยากนะ
ถ้ากิเลสตัวมันเล็กลง เห็นไหม พอกิเลสตัวมันเล็กลง คำว่ากิเลสมันเล็กลง เวลาเราไปเที่ยวป่าช้า เวลาเราประพฤติปฏิบัติออกป่าช้า เห็นไหม ออกไปป่าช้าทำไมเรากลัวผีล่ะ ถ้าเราคลุกคลีกัน เราอยู่หมู่คณะกัน มันจะมีความอบอุ่น เห็นไหม เวลาออกไปเที่ยวป่าช้ามันมีความตื่นกลัวขึ้นมา การตื่นกลัวขึ้นมาอย่างนั้นนะ เพราะว่ากิเลสมันได้ประสบกับความจริงมันตื่นกลัวขึ้นมา แต่เราเข้าไปเที่ยวป่าช้า เห็นไหม เที่ยวป่าช้า ไปเที่ยวธุดงควัตร ไปอยู่กับเสืออยู่กับสัตว์เพื่ออะไร เพราะถ้ามันกลัวขึ้นมามันก็ไม่คิดตามใจมันไง กิเลสมันไม่เป็นอิสระไง
ถ้ากิเลสมันเป็นอิสระ มันก็คิดตามแต่ความพอใจของมัน เห็นไหม แต่ถ้ากิเลสมันมีอะไรไปโต้แย้งกับมัน กิเลสมีความโต้แย้งกับมัน เห็นไหม นี่ใจมันจะโตตรงนี้ไง ถ้ากิเลสมันมีอะไรไปโต้แย้งกับมัน มีความกลัวไปโต้แย้ง มีความกลัวไปกดไว้ก่อน กดไว้ก่อน เห็นไหม ความกลัวขึ้นมาต้องหาที่พึ่ง หาที่พึ่งทำอย่างไร ก็กำหนดพุทโธสิ ตั้งสติไว้สิ ตั้งสติไว้ ตั้งกำหนดพุทโธไว้ สิ่งใดมันเป็นสิ่งน่ากลัว
ในป่าช้า เห็นไหม สัตว์มันก็อยู่ในป่าช้า นก หนู มันก็อยู่ในป่าช้า สุนัขมันก็อยู่ในป่าช้า มันเป็นสัตว์ทำไมมันไม่กลัวล่ะ เราเป็นพระทั้งองค์ทำไมมันกลัวล่ะ เห็นไหม ปัญญามันเกิดขึ้นมาอย่างนี้ มันก็ทำให้เราองอาจกล้าหาญขึ้นมา เห็นไหม นี่ใจมันเป็นผู้ใหญ่อย่างนี้ไง นี่จากเป็นพระเด็กๆ ก็เป็นพระผู้ใหญ่ขึ้นมา ถ้าเป็นพระผู้ใหญ่ขึ้นมา เห็นไหม นี่ในภาคปฏิบัติมันจะเห็นคุณค่าของการประพฤติปฏิบัติ เห็นคุณค่าของหัวใจ เห็นไหม
นี่เราจะบอกว่าเป็นผู้ได้เหรอ? เป็นผู้ได้ ได้มาอย่างนั้นๆ นะ ถ้าเป็นโดยธรรม ดูพระสีวลี เห็นไหม ได้มาโดยธรรม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้มาโดยธรรม สิ่งที่ได้มาโดยธรรมมันเป็นธรรมชาติ มันเป็นสัจจะความจริง เพราะเป็นผู้ที่ทำไว้ ผู้ที่ทำไว้มันก็เป็นอย่างนั้น เราฝากเงินในธนาคารไว้ เงินในธนาคารมันก็เป็นของเราวันยังค่ำล่ะ จะทำอย่างไรเงินในธนาคารก็เป็นของเรา นี่ไงเงินในธนาคาร แต่นี่บุญของเราๆ การกระทำของเรา บุญของเรา ใจของเรา มันเกิดมันตายขึ้นมา มันสะสมขึ้นมา ถึงสิ่งที่มันเป็นไปได้มันก็เป็นไปได้ แต่เพราะมีธรรมไง
ถ้าไม่มีธรรม เห็นไหม คนไม่มีธรรมไปคดไปโกง ไปพยายามได้มา มันทุกข์มันร้อนนะ เพราะอะไร เพราะได้มาด้วยความไม่ชอบ ได้มาโดยความไม่ชอบมันทุกข์มันร้อนขึ้นมา แต่ถ้าได้มาโดยความชอบ เห็นไหม เราไม่ต้องทุกข์ต้องร้อนแล้วมีธรรมด้วย ถ้าไม่มีธรรมขึ้นมามันจะไปติด ถ้ามีธรรมสิ่งนั้นจะเป็นประโยชน์กับเรา ถ้าเสียสละต้องเป็นประโยชน์กับเรา เห็นไหม เพราะอะไร เพราะใจมันพัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ ถ้าใจพัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ สิ่งนี้มันเป็นอะไร? มันก็เป็นบุญกุศล ทำอะไรมันจะประสบความสำเร็จตลอดไป เห็นไหม สิ่งนั้นสละออกไปมันก็เป็นประโยชน์กับโลก สิ่งนั้นมีธรรมขึ้นมาทุกอย่างจะเป็นธรรม
ถ้าใจเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมา จะเป็นประโยชน์กันหมดเลย ถ้าใจเป็นเด็กๆ นะ มันออกไม่ได้ นี่เป็นของเราๆ คำว่าเราอย่างเดียวนะ เหยียบย่ำหัวใจตายเลย กิเลสมันโตขึ้นมาเหยียบย่ำหัวใจ เห็นไหม ถ้าหัวใจมันโตขึ้นมา โตขึ้นมามีสติ มีสมาธิขึ้นมา แล้วเวลาปัญญาขึ้นมา นี่เวลาภาวนามยปัญญาเกิดขึ้นมา ภาวนาเท่านั้น ภาคปฏิบัติเท่านั้นถึงจะแก้กิเลสได้ ไม่ใช่ว่านี่รู้เท่า การรู้เท่าเข้าไปเห็นไปดูจิต เห็นไหม การดูจิตมันจะรู้เท่า รู้เท่าไม่ได้ทำอะไรเลย เหมือนกับ เห็นไหม หลวงตาบอกว่าเดินตามรอยโค กำหนดพุทโธๆ นี่เดินตามรอยโคไป แต่ไม่รู้จักโคนะ ไปเดินชนโคยังไม่รู้จักโคว่าเป็นอย่างไรเลย เห็นไหม ถ้าพูดถึงคนเข้าไป เห็นไหม ถ้าคนมีปัญญาไปถึงตัวโค มันจะรู้จักโคเป็นอย่างไร
นี่รู้เท่าเฉยๆ ดูจิตรู้เท่าเฉยๆ ไม่เป็นประโยชน์อะไรเลย เพราะอะไร ถ้าเป็นประโยชน์นะ มันจะเป็นสัมมา ถ้าเป็นสัมมา เห็นไหม ดูสิเวลาครูบาอาจารย์ติดสมาธิ เห็นไหม นี่หลวงปู่มั่นบอกว่า นี่สัมมาสมาธิขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอย่างหนึ่ง สัมมาสมาธิของเรา เพราะเราอ้างว่าสัมมา เพราะมันรู้เท่า รู้เท่าแล้วมันไม่มีการพัฒนามันก็เป็นมิจฉา มิจฉาเพราะอะไร เพราะมันมีกิเลสละเอียดอยู่ใช่ไหม กิเลสในหัวใจยังมีอยู่ ถ้ากิเลสในหัวใจยังอยู่ มันก็ยึดว่าเป็นเรา ยึดมั่นว่าเป็นนิพพาน ยึดมั่นนี่เป็นธรรม เป็นธรรมของใคร เป็นธรรมของกิเลสไง ไม่ใช่ธรรมของสัจจะความจริงไง
ถ้าเป็นภาวนามยปัญญา ปัญญามันจะลึกกว่านี้ มันจะเป็นไปกว่านี้ เพราะอะไร เพราะมันไปชำระล้าง เห็นไหม เหมือนเรานี่ นี่ดูสิ ดูการเคลื่อนไหวของเราไปสิ เราเห็นการเคลื่อนไหว เห็นไหม ดูสิร่างกายเรานี่ เราเห็นผิวหนัง เราเห็นต่างๆ เลย แต่เราไม่เห็นใต้ผิวหนังเข้าไปไง เพราะใต้ผิวหนังเวลาเจ็บไข้ได้ป่วย ใต้ผิวหนัง เห็นไหม เวลาเราเพาะเชื้อ ต้องเอาเชื้อมาเพาะเชื้อเพื่อจะหาเชื้อ นี่ก็เหมือนกัน กิเลสมันอยู่ในจิต กิเลสไม่อยู่ในกายของจิต ถ้ากายของจิต จิตมันสงบไปแล้วมันได้อะไรขึ้นมา เพราะมันสงบขึ้นมามันก็เท่านั้นล่ะ รู้เท่าไม่เป็นประโยชน์อะไรเลย
รู้เท่าถ้าเป็นสัมมาสมาธิมันจะเป็นสัมมา สัมมามันจะเป็นมรรค ถ้ารู้เท่าไม่ได้พิจารณาต่อไป เห็นไหม ไม่ได้เจาะทะลวงเข้าไปในใต้ผิวหนังอันนั้น เห็นไหม พิจารณากายๆ เข้าไปใต้ผิวหนังนั้น มันจะเข้าไปเห็นเชื้อนั้น เชื้อกิเลสมันอยู่ที่นั่น เห็นไหม นี่มันภาวนามยปัญญาเกิดอย่างนี้ไง ถ้าปัญญามันเกิดขึ้นมา เห็นไหม ปัญญามันเกิดขึ้นมา ธรรมจักรมันจะหมุนได้อย่างไร เห็นไหม ปัญญาจะหมุนติ้วๆ ติ้วอย่างไร ปัญญาเกิดขึ้นอย่างไร แล้วสิ่งที่ว่าเป็นปัญญากันปัญญากดไว้อย่างนี้ เห็นไหม นี่ตามรอยโคไป ไปถึงตัวโค โคมันเอาเท้าดีดเอายังไม่รู้จักว่าโคมันเอาเท้าดีดนะ มันว่างๆ มันปล่อยวาง ปล่อยวางแบบมิจฉา ปล่อยวางแบบไม่มีเหตุไม่มีผล ปล่อยวางแบบเป็นไปไม่ได้ เห็นไหม
นี่ถ้าใจมันเด็กมันจะเด็กไปตลอด เด็กไปตลอด แม้แต่การปฏิบัติก็เป็นเด็ก เห็นไหม นี่ดูสิแม้แต่เกิดสมาธิ เวลาเราประพฤติปฏิบัติ ศีล สมาธิ ปัญญา เวลาเกิดสมาธิขึ้นมาถ้าสมาธิเป็นมิจฉา ดูสิเขาทำคุณไสยกัน เขาทำลายครอบครัวกัน เขาทำสิ่งต่างๆ เขาใช้อะไร เขาไม่ใช้สมาธิเหรอ สมาธิถ้าเป็นมิจฉาขึ้นมาเป็นโทษกับเราอีก เห็นไหม นี่ถ้าเราเกิดขึ้นมา เราภาวนาขึ้นไป พอจิตเราสงบขึ้นมาปล่อยวางขนาดไหน ถ้าไม่มีสติขึ้นมาเป็นพรหมลูกฟัก พรหมลูกฟักเวลาตายไปก็ไปเกิดเป็นพรหม ก็ไปนอนจมอยู่นั่น มันได้ประโยชน์อะไร
แต่ทางโลกเขาชอบกันๆ เพราะสิ่งนั้นเป็นศักยภาพ เห็นไหม จิตถ้ามันพัฒนาขึ้นมา ถ้ามันเป็นมิจฉามันกลับทำลายนะ ถ้าเป็นมิจฉาสมาธิกลับทำลายโอกาสของเรา แต่ถ้ามันเป็นสัมมาขึ้นมา มันถึงต้องพัฒนาเบี่ยงเบนให้เป็นสัมมาขึ้นมา แล้วสัมมาขึ้นมามันจะเกิดเป็นมรรค มรรคเพราะอะไร เพราะเป็นงานชอบนะ ถ้าเป็นงานไม่ชอบ มันไม่ใช่มรรค มันก็เป็นงานไม่ชอบนะ งานไม่ชอบทำอะไร งานไม่ชอบมันก็กดไว้อย่างนั้น มันประโยชน์อะไรขึ้นมา มันไม่เป็นประโยชน์อะไรเลย เพราะมันเป็นมิจฉา
ถ้าเป็นสัมมา สัมมามีครูอาจารย์ นี่ครูบาอาจารย์สำคัญมาก แล้วต้องครูบาอาจารย์ที่รู้จริงด้วย ถ้าครูบาอาจารย์รู้ไม่จริงนะ เหมือนหลับตาคลำช้างเลย ตาบอดคลำช้างนะ ครูบาอาจารย์รู้ไม่จริงคลำกันไปอย่างนั้นนะ แล้วก็อยู่สภาวะแบบนั้น คลำช้าง เห็นไหม ช้างมันมีชีวิตช้างมันก็ดีดเอาก็ได้ แต่นี่ไปคลำจิต จิตนี่มันเป็นธรรมชาติ เห็นไหม จิตดูสิปกติเรามันยังว่างเลย ยังมีความสุขได้เลย นี่ปล่อยวางๆ จิตมันมีความรู้สึก แล้วพอไปถึงรู้เท่ามันก็มีความมหัศจรรย์ ก็ไปทึ่งนะ ไปทึ่งกับเรื่องกิเลส มันหลอกนะ กิเลสมันหลอกในหัวใจยังไปทึ่งนะ
นี่ที่ว่าต่อไปนะ มันเป็นมุมมองของเขาเองว่า นี่กึ่งพุทธกาลไม่มีพระอริยบุคคล ไม่มีพระอริยบุคคลเพราะอะไร เพราะกิเลสมันบังไว้อย่างนี้ไง นี่วันเวลา อกาลิโก ไม่มีวัน ไม่มีเวลา ไม่มีหรอก มันมีถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้ นี่ผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม นี่เพราะไม่สมควรแก่ธรรม แล้วก็ยังมีมุมมองอีกด้วยว่ากึ่งพุทธกาลไม่มีพระอรหันต์แล้ว ไม่มีต่างๆ ไม่มีอะไร ...ไม่มีเพราะกิเลสมันหลอกอย่างนี้ไง ไม่มีเพราะทำโดยกิเลสไง ไม่มีเพราะว่ามันเป็นการรู้เท่า มันเป็นการกดไว้ไง ตามถึงตัวโคยังไม่รู้จักโค ตามไปถึงตัวจิตยังไม่รู้จักจิต ยังไม่เห็นจิต
การเห็นจิตมันต้องเห็นด้วยปัญญา ไม่ใช่ว่าเป็นการรู้ตามมันไป แล้วมันจะเห็นจิตได้อย่างไร เพราะมันไม่ใช่เอาจิตดูจิตนี่ มันเป็นอาการของจิต ดูอาการของจิตมันเป็นความคิดจากสุตมยปัญญา สุตมยปัญญาเข้าไป มันจะไปถึงตัวจริงมันได้อย่างไรๆ มันก็ไปจมกับความจริงอย่างนั้นอีก มันก็ไม่เป็นมรรคหรอก ถ้าไม่เป็นมรรคจะไม่เป็นการชำระกิเลส ถ้าเป็นมรรคต่างหาก เห็นไหม ถ้าศาสนาไหนไม่มีมรรค ศาสนาไหนไม่มีผล ในศาสนาพุทธเรามีมรรค เห็นไหม
ถ้ามีมรรคขึ้นมามรรคเป็นอย่างไร มรรคของคฤหัสถ์เห็นไหม เลี้ยงชีวิตชอบ ต่างๆ ชอบนี่เป็นมรรคของเขา นี่เลี้ยงชีวิตชอบ ดูพระสิ นี่เลี้ยงชีวิตด้วยปลีแข้ง เลี้ยงปากด้วยการบิณฑบาต เลี้ยงปากด้วยบิณฑบาตมันก็เป็นความประพฤติขึ้นมาเฉยๆ แล้วจิตล่ะจิตอยู่ไหน เลี้ยงจิตชอบอย่างไร มันอาการของจิตเป็นอย่างไร อารมณ์ของจิตจะเป็นอย่างไร ปัญญาเกิดอย่างไร ปัญญานี่ละเอียดเข้ามาเรื่อยๆ เห็นไหม อย่างนี้ต่างหากมันถึงเป็นปัญญาขึ้นมา
นี่ศาสนาพุทธศาสนาแห่งปัญญา ปัญญาอย่างนี้ ไม่ใช่ปัญญาแบบสิ่งไม่มีชีวิตไง ปัญญาแบบเพ่งกันเฉยๆ ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ทั้งๆ ที่ว่าอ้างว่าเป็นพุทธ อ้างว่าเป็นการประพฤติปฏิบัตินะ มันน่าสลดสังเวชเพราะอะไร เพราะ! เพราะในกึ่งพุทธกาลครูบาอาจารย์ที่รู้จริงก็มีอยู่ทำไมไม่ฟัง ถ้าไปฟังสภาวะแบบนั้น เห็นไหม นี่เถรส่องบาตรเลย เขาส่องบาตรเพื่อหารอยร้าวหารอยรั่ว เพื่อประโยชน์ในการดำรงชีวิต เห็นเขาส่องๆ เป็นพิธี ยกขึ้นส่องเฉยๆ ไม่รู้ทำอะไร ไม่รู้เรื่องอะไรเลย นี่เวลาสัจธรรมปฏิรูปเกิดๆ อย่างนี้ เพราะมีของจริงขึ้นมาก่อน เพราะมีศาสนา เห็นไหม
ถ้าไม่มีหลวงปู่มั่น ไม่มีหลวงปู่เสาร์ ไม่ค้นคว้าขึ้นมา มันก็ทำกันไปเฉยๆ อย่างนั้น แต่พอมีความจริงขึ้นมา อธิบายความจริงขึ้นมา นี่อธิบายความจริงมันเป็นวิธีการ ก็เอาวิธีการมาอ้างอิง แล้วจิตมันมหัศจรรย์มันก็เป็นสภาวะแบบนั้น เห็นไหม มันเลยจะเป็นผู้ใหญ่ก็ไม่เป็น จะเป็นเด็กก็ไม่เป็น ว่าไม่รู้ก็รู้ แต่รู้ก็รู้ด้วยอวิชชา รู้โดยไม่ใช่สัจจะความจริง เห็นไหม
นี่เด็กของเขาเป็นวันเด็กของเขา เด็กโดยสัญชาตญาณ เด็กโดยร่างกาย เด็กโดยจิตใจ นี่เป็นผู้ใหญ่ เห็นไหม เป็นผู้ใหญ่ใจเด็กๆ เห็นไหม เป็นพระก็พระใจเด็กๆ ใจไม่พัฒนาเลย ไม่พัฒนาขึ้นมานี่มันพระแต่เปลือก เห็นไหม
นี่พระผู้ประเสริฐ ถ้าประเสริฐจริงมันจะต้องจบกระบวนการ จบเรื่องของการเกิดและการตาย ถ้าไม่จบกระบวนการของความจริง มันเข้าไปกดไว้เฉยๆ มันเป็นพรหมลูกฟัก แล้วถ้าตายไปเวลาลมหายใจขาดจะรู้เลยว่าจริงหรือไม่จริง แต่ก็หมดโอกาสแล้ว เพราะหมดเวลาการประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม ในเมื่อลมหายใจขาดแล้วหมดเวลาแล้วนะ ถ้ามีลมหายใจอยู่ มีโอกาสอยู่ จะต้องตื่นตัว จะต้องทดสอบ
การประพฤติปฏิบัติมันตรวจสอบทดสอบตลอดเวลา การทดสอบ เห็นไหม ยะถาภูตัง ญาณะทัสสะนัง ยะถาภูตังคือกิเลสมันขาด จะรู้ว่าขาด รู้ว่าเป็นความจริง จะรู้จริงหมดเลย นี่ใจเป็นผู้ใหญ่อย่างนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาปรินิพพานไปแล้ว เห็นไหม ครูบาอาจารย์เรารื้อค้นมา รื้อค้นมาอีกรอบหนึ่ง แล้วเราประพฤติปฏิบัติไป ในปัจจุบันนี่มันประพฤติปฏิบัติไป แต่สัจธรรมปฏิรูป ปฏิรูปจนเราไขว้เขว แต่ถ้าเรามีสติเราต้องตรวจสอบ ต้องมีเหตุมีผลแล้วเราจะไม่เป็นเหยื่อของสังคม เอวัง