เทศน์เช้า วันที่ ๒๒ มกราคม ๒๕๕๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ที่อยู่ที่อาศัยเห็นไหม ที่อยู่ที่อาศัย หัวใจอาศัยร่างกายนี้เป็นที่อยู่นะ เวลาเขามาถาม นี่เวลาคนเกิดเกิดตั้งแต่เมื่อไหร่ เกิดตั้งแต่ปฏิสนธิจิต เห็นไหม ตั้งแต่ทำกิฟท์กันในหลอดแก้วน่ะ จิตมันลงตรงนั้น ถ้าจิตไม่ลงตรงนั้นมันเป็นชีวิตขึ้นมาไม่ได้ พอจิตมันปฏิสนธิเข้าไปในครรภ์ของมารดา เราจะอยู่ในครรภ์ของมารดาอีก ๙ เดือน ๘ เดือน ๙ เดือนก็แล้วแต่ คลอดออกมา เห็นไหม ชีวิตเกิดตั้งแต่ปฏิสนธิจิต นี่ปฏิสนธิจิตก็คิดว่าชีวิตเป็นอย่างนั้นนะ แต่จิตนี้ไม่มีการเว้นว่างไง จิตนี้มันจะเป็นตลอดไป มันจะมีชีวิตของมันตลอดไป จิตถึงไม่เคยตาย เห็นไหม
เวลาอาศัยอะไรอยู่ เวลาเกิดในครรภ์ของมารดาอาศัย ๙ เดือน แต่ก่อนที่อาศัยอาศัยอะไรอยู่ล่ะ? ก็อาศัยตามบุญตามกรรมไง แล้วแต่ สัมภเวสี เทวดา อินทร์ พรหมต่างๆ อาศัยอย่างนั้นอยู่ มันเป็นที่อาศัย จิตเป็นที่อาศัย แล้วมาเกิดเป็นมนุษย์อาศัยในร่างกายนี้อยู่ เราเกิดมาเป็นมนุษย์แล้วเราก็ว่าเราเป็นเจ้าของบ้าน เราเป็นเจ้าของเรือน เราอาศัยบ้านอยู่อาศัย แล้วคนที่เขาไร้บ้านล่ะ คนจรจัดเขาไม่มีบ้านอยู่นะ คนนอนกลางถนนกัน เขานอนที่ต่างๆ กัน นั้นคนจรจัดนะ
แต่เวลาเราบวชพระบวชเจ้านี่ เราไม่ใช่คนจรจัด เรารู้จักตัวเราเอง เห็นไหม เราจะหาคุณค่าของมนุษย์ คุณค่าของหัวใจ เราออกธุดงควัตร เห็นไหม นี่เวลาออกธุดงค์ไปนี่ ไปนอนกลางป่ากลางเขา ไปนอนโคนต้นไม้เหมือนกัน นี่เป็นคนจรจัดเหรอ? ไม่ใช่คนจรจัด คนมีคุณค่าชีวิตต่างหากล่ะ เห็นไหม ถ้าเป็นศากบุตรพุทธชิโนรส เราเป็นลูกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราแสวงหาสิ่งที่ความเป็นจริง ถ้าแสวงหาสิ่งที่ความเป็นจริง การออกแสวงหาอย่างนั้นอีกอย่างหนึ่ง เห็นไหม
ดูสิ ดูคนที่เขาขาดสติกันอยู่ตามสี่แยก เห็นไหม เขาไม่รู้ตัวเขาเลยนะ เขาใช้ชีวิตของเขาโดยมีจิตแต่ไม่มีสติ เห็นไหม คนขาดสติจนควบคุมตัวไม่ได้ จะมีเหตุอันตรายอย่างไรก็ไม่รู้จัก เห็นไหม ไปยืนขวางถนนอยู่นั้น รถต้องจอดเป็นแถวเลย เพราะอะไร เพราะคนบ้ามันยืนขวางอยู่ เห็นไหม
แต่นี่เราไม่ใช่ เราเข้าไปอยู่ในป่าในเขาเพื่ออะไร เพื่อค้นหาสิ่งที่มีคุณค่า สิ่งที่มีคุณค่าคืออะไร ก็คือความรู้สึก ดูสิ เวลาก่อนที่ตะวันจะขึ้น มีแสงของตะวัน แสงสว่างขึ้นมานี่ แสงเงินแสงทองขึ้นมาก่อน แล้วก็พระอาทิตย์จะขึ้นให้ความอบอุ่นกับเรา สิ่งมีชีวิตจะอาศัยสิ่งนี้สังเคราะห์อาหาร
หัวใจก็เหมือนกัน สิ่งที่มันเป็นแสงเงินแสงทองคือความรู้สึกอันนี้ มันส่องในหัวใจของเรา แล้วเราเกิดเป็นชาวพุทธไง ชาวพุทธเราศึกษาศาสนา เราศึกษาจากแสงเงินแสงทอง แต่เราไม่สามารถเห็นดวงอาทิตย์ไง ดวงอาทิตย์คือหัวใจของเรา ดวงอาทิตย์คือตัวเรา เราค้นคว้าเราได้ ถ้าเห็นแต่แสงเงินแสงทอง เห็นแต่สิ่งแวดล้อม เราก็ตื่นไป เห็นไหม เพราะอะไร
ดูสิ ดูอย่างพระอินทร์เขาปกครองเทวดากัน นี่พระอินทร์ปกครองเทวดา มาใส่บาตรพระกัสสปะเพราะอะไร? พระกัสสปะเข้าสมาบัติ แล้วจะโปรดคนทุกข์จนเข็ญใจ เห็นไหม พระอินทร์มีความฝังใจอยู่ว่าปกครองเขา แต่เขามีแสงมีบารมีมากกว่า ก็มาขอใส่บาตรพระกัสสปะ พระกัสสปะบอกว่า วันนี้จะโปรดคนจนนะ
นี่ข้าพเจ้าจน.. พระอินทร์นี่จน จนเพราะอะไร จนเพราะตัวเองเป็นผู้ปกครองเขา แต่บารมีไม่สมกับผู้ใต้ปกครอง เห็นไหม ผู้ใต้ปกครองมันมาจากไหนล่ะ ก็มาจาก... ในธรรมบทบอกอย่างนี้ เทวดา ๒ ตนนั้นได้ทำบุญกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วมีศักดิ์เหนือกว่าพระอินทร์ เห็นไหม
นี่การสร้างบารมีไง การสร้างบุญกุศล การสร้างต่างๆ นี่ แสงเงินแสงทองนี่ เราเกิดมาใต้บารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้ววางธรรมและวินัยไว้นี่ เราได้ทำบุญกุศลนี่อยู่ภายใต้แสงเงินแสงทอง แต่เราไม่รู้จักตัวของเราเอง เราไม่รู้จักดวงอาทิตย์ ไม่รู้จักหัวใจของเราไง ถ้ารู้จักใจของเรานี่ เราจะแสวงหาสิ่งที่ดีกว่า แสงเงินแสงทอง เห็นไหม แสงเงินแสงทองนี่มันแค่เห็นแสงสว่าง แค่ให้เรามีความร่มเย็นเป็นสุข
เหมือนกับเราเกิดใต้ร่มธงของในหลวง เห็นไหม เราอยู่ด้วยความร่มเย็นเป็นสุขเพราะใคร? เพราะในหลวงปกครองอยู่ ในหลวงคุ้มครองดูแลเรา เพราะเป็นพ่อของแผ่นดิน เป็นพ่อของประเทศชาติ นี่ประเทศชาติมีความร่มเย็นเป็นสุขก็เพราะในหลวง
เราเป็นชาวพุทธ เรามีความร่มเย็นเป็นสุขเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมและวินัยไว้เป็นประเพณีวัฒนธรรม ธรรมและวินัย เห็นไหม เพราะคนถือธรรมและวินัย ธรรมและวินัย เห็นไหม นี่ประเพณีต่างๆ จะส่งเข้ามาถึงจิต ประเพณีต่างๆ เห็นไหม ดูสิ อย่างที่ว่า ทำบุญกุศลแล้วแต่ภาคไหนครูบาอาจารย์จะมีความเห็นอย่างไร ก็พาชาวพุทธทำสภาวะแบบนั้น เห็นไหม จนแตกออกไป อย่างมหายานต่างๆ สิ่งนี้มันเป็นประเพณีวัฒนธรรม ประเพณีวัฒนธรรมก็ย้อนกลับมา เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำอย่างนี้ นี่ยิ้มสยามๆ ก็ยิ้มออกมาจากหัวใจ ยิ้มออกจากความรู้สึก เพราะอะไร เพราะศาสนามันเข้าถึงความรู้สึก เข้าถึงหัวใจ ศาสนาเป็นเรื่องของหัวใจ ของความรู้สึกอันนี้ เห็นไหม
นี่แล้วพอความรู้สึกอันนี้ แล้วจะวางธรรมและวินัยเข้าไป ศีล สมาธิ ปัญญา เข้าไปถึงตัวของจิต นี่ประเพณีก็เด็ก เห็นไหม เขามาถามว่า เวลาทำบุญต้องมากรวดน้ำไหม กรวดน้ำไหม ต้องกรวดน้ำ ถ้าเด็กต้องกรวดน้ำเพราะอะไร เพราะใจวอแว ใจยังไม่มั่นคงก็ต้องกรวดน้ำ เวลาเรากรวดน้ำนั้น เรารินน้ำแล้วเราก็ตั้งใจว่าอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร พ่อแม่ปู่ย่าตายาย อุทิศให้หมดเลย นี่ใจมันเด็กๆ เห็นไหม
น้ำถ้ามีความสำคัญนะ แม่น้ำแม่กลองนี่มันไหลทั้งวันทั้งปีทั้งชาติเลย มันอุทิศส่วนกุศลได้ตลอดปีตลอดชาติ น้ำในมหาสมุทรมันก็ต้องมีบุญกุศลสิ แม่น้ำมันมีบุญกุศลไหม น้ำมันมีประโยชน์กับชีวิตนะ แต่ตัวของน้ำเองมันรู้อะไร เพียงแต่ประเพณีเอาน้ำนี่มาเป็นที่หมาย จิตโลเลก็เอาน้ำมานี่ แต่ถ้าเราเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมา จากแสงเงินแสงทองจะเข้าไปหาดวงอาทิตย์นี่ไง ถ้าเรามีหลักมีใจของเรานี่น่ะ เราทำบุญเมื่อไหร่ เรามีความสุขเมื่อไหร่ เราก็อุทิศส่วนกุศลเมื่อนั้นไง อุทิศด้วยหัวใจนี่ เอาน้ำใจนี่อุทิศ เอาความรู้สึกนี่อุทิศ เอาความคิด ความนึกคิดที่ดีๆ ต่อคนอื่นนี่อุทิศส่วนกุศล
ส่วนกุศลคือเราปรารถนาดีต่อทุกๆ คน ปรารถนาดีต่อพ่อแม่ปู่ย่าตายาย ปรารถนาดีทั้งหมด แล้วถ้ามีบุญกุศลขึ้นมา เราได้สละทานขึ้นมา เราทำต่างๆ ขึ้นมานี่ เราสละสิ่งนี้ออกไป เห็นไหม สละออกไปนี่จากแสงเงินแสงทองมันจะเข้าไปหาสู่ดวงอาทิตย์ จากประเพณีวัฒนธรรมมันจะเข้าไปสู่ใจ ทั้งๆ ที่เริ่มต้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ที่โคนต้นโพธิ์ก่อนนะ ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ตรัสรู้ที่โคนต้นโพธิ์นั้น โคนต้นโพธิ์นั้นก็เป็นเรื่องของสรีระ เป็นเรื่องของธาตุ หัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมานี่ ชำระกิเลสอันนั้นนี่ ชำระกิเลส เห็นไหม สร้างสมบุญญาธิการ พระโพธิสัตว์ขึ้นมานี่มันเห็นประเพณีวัฒนธรรม
เวลาจะออกบิณฑบาตครั้งแรก เห็นไหม นี่ย้อนดูอดีต ประเพณีของพระพุทธเจ้าทำยังไงเวลาพระเจ้าสุทโธทนะนิมนต์ไปฉันที่ราชวัง นิมนต์ไปเพื่อเทศน์แต่ไม่ได้นิมนต์ไปฉัน นี่ประเพณีของพระพุทธเจ้าทำยังไง เขาไม่ได้นิมนต์ก็ต้องออกบิณฑบาต จนพระเจ้าสุทโธทนะมาขวางหน้านะ ลูก ลูก พ่อเป็นกษัตริย์ ทำไมมาขายขี้หน้ากันขนาดนี้ มาบิณฑบาตอย่างนี้ มาเป็นขอทานนี้ อายเขาไหม แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ประเพณีของพระพุทธเจ้า
ประเพณีวัฒนธรรม เห็นไหม สิ่งนี้มันมีซับซ้อนกันมาๆ ย้อนกลับไปนะ เวลาออกบิณฑบาตนี่ สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมาก่อน ประเพณีวัฒนธรรมสิ่งที่ทำมานี่ก็เหมือนกับเราเป็นคนป่วย เราจะเข้าไปโรงพยาบาล เห็นไหม เข้าโรงพยาบาลไปนี่ เขาต้องวัดอุณหภูมิ วัดต่างๆ วัดความดัน วัดทุกอย่างเลย เพื่ออะไร เพื่อเช็คร่างกาย เห็นไหม เช็คร่างกายเพื่อตรวจสอบเข้ามา ยิ่งถ้ามีโรคมีภัยไข้เจ็บนี่ ต้องฟื้นร่างกายให้แข็งแรงก่อนถึงเข้าผ่าตัดได้
นี่ก็เหมือนกัน ประเพณีวัฒนธรรมนี่ มันก็เริ่มจากให้หัวใจนี่มันเตรียมพร้อมก่อน ชาวพุทธขึ้นมาก็ทำบุญกุศล เพื่ออะไร เพื่อเป็นเสบียง เวลาหมุนไปในวัฏฏะ จิตเกิดตายเกิดตายก็ให้มีเสบียงไป เวลาเราเดินทาง เห็นไหม เสบียงเราพร้อมทุกอย่าง เราเป็นไปได้ เราเป็นไปได้ คนจะเดินทางไม่มีอะไรติดตัวไปเลยนะ แม้แต่รองเท้าก็ไม่มีจะใส่นะ เท้าเปล่าๆ ต้องเดินข้ามทะเลทรายนี่ มันจะมีความทุกข์ขนาดไหน
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงให้มีเรื่องของทาน เห็นไหม ทานเพื่อประโยชน์กับเรา เราได้สละออกไปนี่มันซับลงที่ใจ สถิติอันนี้มันจะลงที่ใจ สถิตินี้เขาสำรวจกันต่างๆ นะ สถิติคือการกระทำของใจ ใจกระทำขนาดไหนมันก็ซับลงที่ใจ รู้ไม่รู้ก็ซับลงไปที่นี่ เห็นไหม แล้วทำคุณงามความดีนี่มันสะสมเข้ามาๆ เห็นไหม นี่ประเพณีวัฒนธรรม นี่แสงเงินแสงทอง แสงของชาวพุทธ แสงของบุญกุศล แสงเงินย้อนกลับมาที่เรา ถ้าย้อนกลับมานี่
แสง เห็นไหม คำว่าแสง คำว่าต่างๆ เกิดจากพลังงานนี้ แสงนี้ถ้ามันเป็นความร้อน เราไปตากแดดมาก เห็นไหม เป็นมะเร็งผิวหนังอีกต่างหาก ถ้าแสงอันนี้มันเป็นอกุศล มันเป็นความคิดทำลายคน ความคิดเอาเปรียบเขา เป็นกิเลส เห็นไหม กิเลสมันก็อยู่ในแสงนั้นน่ะ ผลประโยชน์ก็อยู่ในแสงนั้นน่ะ ความเป็นโทษก็อยู่ในแสงนั้นน่ะ
นี่ก็เหมือนกัน คิดดีก็เป็นประโยชน์กับเรา คิดชั่วมันก็เป็นโทษของเรา เห็นไหม ทำให้ดวงอาทิตย์นั้นอับเฉา ทำให้ดวงอาทิตย์นั้นไม่มีอำนาจวาสนาบารมี สิ่งต่างๆ เกิดขึ้นเกิดจากไหน เกิดจากสติ เกิดจากความยั้งคิด เกิดจากครูบาอาจารย์เป็นคนชี้นำ เห็นไหม ประเพณีวัฒนธรรมก็ย้อนกลับมา ย้อนกลับมาที่ใจของเรา เราทำประเพณีวัฒนธรรมจากภายนอกนี่ บุญกุศลจากภายนอก เห็นไหม แล้วเราทำสติสัมปชัญญะ เราควบคุมแสงได้ ถ้าเริ่มควบคุมแสงได้ เห็นไหม เราจะเป็นคนควบคุมดวงอาทิตย์เอง เราควบคุมใจของเราเองนี่เป็นสัมมาสมาธิ
ถ้าสัมมาสมาธิสมาธิเกิดขึ้น สมาธิมีความตั้งมั่น แล้วย้อนไปวิปัสสนา เห็นไหม เป็นประโยชน์หมดเลย ประโยชน์ที่แสงต่างๆ ที่เกิดขึ้นมามันเป็นประโยชน์กับโลก แต่ความรู้สึกจากภายใน ความรู้สึกจากคุณค่า คุณค่าการเกิดแสงนั้นไปสังเคราะห์อาหารให้เขา ทำความผิดทำผิดพลาดให้เรา ทำให้เกิดเป็นโทษเป็นภัย เห็นไหม นี่สิ่งนั้นจะย้อนกลับเข้ามาที่ความรู้สึกของเราว่า เราทำดีทำชั่วนี่ ผลตอบสนองถึงความรู้สึก คือบุญและบาป ถ้าปัญญามันเกิดขึ้นมา มันเข้ามาเข้าใจสภาวะแบบนี้ แยกแยะว่าเราจะเป็นสภาวะแบบใด ทำเพื่อประโยชน์กับใคร เห็นไหม
ระหว่างกิเลสกับธรรม ถ้ามันมีสมาธิขึ้นมาแล้วย้อนกลับไปใช้ปัญญาขึ้นมา มันจะเห็นความคิด คิดดีคิดชั่ว มันจะยับยั้งความคิดดีคิดชั่ว เห็นโทษของการคิดดีและคิดชั่ว ถ้าคิดดีขึ้นมามันเป็นมรรค คิดชั่วขึ้นมามันเป็นกิเลส มันจะแยกแยะขึ้นมา แล้วมันจะฝึกฝนขึ้นมา มันจะเกิดการทรงตัวของจิต จิตนั้นมีการทรงตัว เห็นไหม พระอาทิตย์ดวงนี้จะเป็นพระอาทิตย์ที่เรืองแสง พระอาทิตย์ที่ไม่ให้แสงกับใคร ไม่ทำโทษกับใคร แต่ความเป็นประโยชน์ เห็นไหม ประโยชน์คือปัญญา คือความเข้าใจ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อยู่ที่โคนต้นโพธิ์นี่เพราะอะไร เพราะสิ่งที่ตรัสรู้แล้วไม่มีกิเลสในหัวใจ แล้ววิธีการจะเข้าไปหานี่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอน สอนตรงนี้ เหตุ วิธีการ ผล องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้พูด ในพระไตรปิฎกไม่ได้พูดถึงว่า ผลของโสดาบัน ผลของสกิทา ผลของอนาคา ของพระอรหันต์นี่ไม่ได้พูดถึง บอกว่าเป็นวิมุตติ พ้นจากสมมุติบัญญัติ พ้นจากในพระไตรปิฎกที่บัญญัติออกมาเป็นผลอันนั้น เพราะอะไร เพราะผลอันนั้น ดวงอาทิตย์ขึ้น แสงขึ้น ดวงอาทิตย์ขึ้น แต่ผลเกิดจากแสงสังเคราะห์นั้นต่างๆ ผลเกิดจากความรู้สึกอันนั้น เห็นไหม นี่วิมุตติเกิดมาจากใจ เห็นไหม
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา แล้ววางธรรมและวินัยไว้เพราะอะไร เพราะเป็นผู้รู้แจ้ง เป็นศาสดา เป็นผู้ที่เมตตา มหาการุณิโก นาโถ สั่งสอนพวกเรา เราถึงดำรงชีวิต คฤหัสถ์ก็ดำรงชีวิตแบบชาวพุทธ ภิกษุเป็นนักรบ รบกับกิเลส รบกับกิเลสก็รบกับหัวใจของตัว เห็นไหม ถ้ารบกับกิเลสมันก็ต้องมีสติปัญญา แต่สติปัญญาเป็นมหาสติ มหาปัญญา เป็นปัญญาอัตโนมัติ มันจะละเอียดลึกซึ้ง ขนาดเราเริ่มต้นปฏิบัติเราก็ล้มลุกคลุกคลาน เราก็หาช่องทางไม่เจอแล้ว แล้วถ้ามันย้อนกลับเข้าไป มันจะเห็นความมหัศจรรย์ของจิตนี้มาก แล้วถ้าชำระกิเลส มหัศจรรย์มาก มหัศจรรย์เหนือมหัศจรรย์ใดๆ ทั้งสิ้น แล้วไม่ต้องไปหาที่ไหนเลย อยู่ในกลางหัวอกเรานี่ นั่งอยู่กับเรานี่ แต่เราไปมองกันข้างนอกนะ
ถ้าพูดอย่างนี้ปั๊บ ถ้าพระไม่ได้ปฏิบัติ พระนี่โม้กันอย่างนี้ เอาแต่เรื่องนามธรรมมาอวดกัน หลอกลวงกันนะ นี่เขียนเสือให้วัวกลัวนะ ถ้าเขียนเสือให้วัวกลัวทำไมเราทุกข์น่ะ ทำไมหัวใจเราทุกข์ล่ะ นี่กิเลสเป็นอย่างนั้น กิเลสมันจะต่อต้าน ถ้าเป็นธรรมะพระพุทธเจ้าบอก เขียนเสือให้วัวกลัว แต่มันทำบาปทำกรรมนี่ มันบอกนั่นน่ะเป็นความดีของมัน เห็นไหม
นี่กิเลสกับธรรม อยู่ในหัวใจของเรา ถ้าปัญญามันเกิดขึ้นมาจะย้อนกลับเข้ามาที่นี่ แล้วทำลายที่นี่ เห็นไหม แสงเงินแสงทองคือความเป็นไปของโลก ความเป็นไปของศาสนา ดวงใจของเรา ดวงอาทิตย์ ดวงใจของเรา จักรวาลของเราอยู่ในใจของเรา เราค้นคว้าของเรา อาศัยแล้วให้เกิดประโยชน์ ไม่ใช่อาศัยแล้วก็ว่าเราพอใจกับสิ่งนี้ไง พอใจกับประเพณีวัฒนธรรมของชาวพุทธ พอใจกับดำรงชีวิตไง
แต่เราต้องย้อนกลับมาด้วย ย้อนกลับมา พอเราเกิดมามีบุญวาสนา เราถึงได้เกิดมาชีวิตร่มเย็นเป็นสุข แล้วเราพยายามจะทำให้ถึงที่สุดว่าไม่ให้เกิด ไม่ให้เกิดอีกเลย ไม่ให้มีเหตุปัจจัยจะต้องมาเกิดมาทุกข์มายากอย่างนี้ เราจะทำอย่างไรเข้าไปถึงจุดตรงนี้ให้ได้ ของมีอยู่ทั้งนั้นเลย เหตุและปัจจัย ทุกอย่างผลก็มีทั้งนั้นเลย แต่ธรรมไม่เป็น ถ้าธรรมไม่เป็น พยายามทำก็ยังมีคุณค่านะ ทำไม่เป็นแล้วไม่ทำ ไม่ทำ ปล่อย ผัดวันประกันพรุ่ง ให้ชีวิตนี้สูญเปล่าไป เอวัง