เทศน์เช้า วันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๕๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
อันนี้วิทยาศาสตร์ว่าโลกเจริญนะ ทางวิทยาศาสตร์ว่าโลกเจริญ เมื่อก่อนโลกล้าหลังมาก เราเคยอยู่กันแบบธรรมชาติ เดี๋ยวนี้โลกเจริญ เจริญด้วยวิทยาศาสตร์ การคิดด้วยวิทยาศาสตร์ก็โดนครอบงำ สมัยกลางนี่วิทยาศาสตร์เจริญไม่ได้เลย เพราะอะไร เพราะโลกนี้พระเจ้าสร้าง สรรพสิ่งนี้พระเจ้าสร้าง ห้ามทดลองทางวิทยาศาสตร์ แต่กรณีทางวิทยาศาสตร์ ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ แต่ทดลองขนาดไหนนะ ยิ่งทดลองเข้าไปนะ มันมีค่าความไม่แน่นอนตลอดไป ค่าความไม่แน่นอนของทางวิทยาศาสตร์ เขายอมรับค่าความไม่แน่นอน ยิ่งทดสอบแล้วยิ่งไม่รู้ ยิ่งไม่รู้นะ ทดสอบไปแล้วนะสิ่งต่างๆ มันมีแต่ค่าความที่ไม่แน่นอน มันจะแน่นอนไปไม่ได้ วิทยาศาสตร์จะพิสูจน์ขนาดไหนก็เป็นไปไม่ได้ เห็นไหม
แต่ในเรื่องของศาสนานะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกอจินไตย ๔ พุทธวิสัยคือปัญญาของพระพุทธเจ้านี่มันเป็นสิ่งที่เหนือโลกที่ทุกคนจะเข้าไปค้นคว้าเป็นไปไม่ได้ ใครจะรู้เท่าเป็นไปไม่ได้ เรื่องของฌาน เพราะเรื่องของฌาน เรื่องของสมาธินี่มันละเอียดอ่อนมาก จะแบ่งให้มันเป็นสูตรสำเร็จเป็นไปไม่ได้ เรื่องของกรรมก็เรื่องของโลก เรื่องของโลกคือสภาวะมันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เป็นอจินไตยคือไม่มีการทำลาย แต่จะอยู่อย่างนี้ แต่มันจะแปรสภาพตลอดไป
กับเรื่องของกรรม เห็นไหม ถ้าเรื่องของกรรมนี่ เรื่องศาสนาเรื่องของกรรม เรื่องของกรรมเป็นเรื่องของอจินไตย อจินไตยหมายถึงว่าสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ เหนือการพิสูจน์ไง วิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้ของเขาทางวิทยาศาสตร์ แต่พิสูจน์ได้ขนาดไหนมันมีตัวแปรไง เพราะมันมีเรื่องของกรรมไง ถ้าในศาสนาของเรา เห็นไหม นี่เรื่องของอจินไตย สิ่งที่เหนือวิทยาศาสตร์ สิ่งที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้ มันก็มีค่าของความไม่แน่นอน
แต่ถ้าธรรมะล่ะ สิ่งที่เหนือการพิสูจน์ในเรื่องของอจินไตย แต่ธรรมะนี่พิสูจน์ได้ ธรรมะเป็นสัพเพ ธัมมา อนัตตาไง ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพิสูจน์ขึ้นมานี่ สิ่งที่พิสูจน์ได้โดยทางจิต พิสูจน์ได้ทางจิตเพราะอะไร เพราะความที่ค่าไม่แน่นอนนี่มันแปรสภาพอยู่ตลอดเวลา มันแปรสภาพ มันมีตัวแปรเห็นไหม สิ่งที่พิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์ แต่ยิ่งพิสูจน์ไปมันก็มีตัวแปรตลอดไปไม่มีที่สิ้นสุด แล้วสิ่งที่ทดสอบไม่ได้ยังมีอีกมากเลย เป็นเรื่องที่ว่าเหนืออจินไตย
แต่ถ้าเป็นอจินไตย เห็นไหม สิ่งนี้มันมีอยู่ มีอยู่เพราะอะไร เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพิสูจน์ได้ด้วยปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างพวกเราสาวก สาวกะ สาวก สาวกะ เราเชื่อศาสนา เห็นไหม ในเรื่องของศาสนาเพราะมันมีตัวแปรเรื่องของกรรม
เรื่องของกรรมนะ ทางวิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้ เพราะเรื่องของกรรมนี่ทดสอบกัน เพราะเราเอาหลักวิทยาศาสตร์มาจับ เห็นไหม ทำดีไม่ได้ดี คนทำไม่ดีได้ดีมหาศาลเลยในโลกนี้ ทำดีไม่ได้ดีได้ยังไง ทำดีน่ะมันสบายใจอยู่แล้ว ทำดีมันไม่มีสิ่งใดกังวลใจไง แต่ถ้าทำความผิดพลาดเก็บไว้ในหัวใจ เห็นไหม มีสิ่งใดหมกไว้ในหัวใจ สิ่งนั้นจะเป็นความกังวลตลอดไป เห็นไหม ถ้าเป็นความกังวลตลอดไป สิ่งนี้มันเกิดผลแล้ว นี่เป็นสภาวะกรรม สภาวะกรรมเริ่มต้นเผาตัวเราเองก่อน เพราะอะไร เพราะเราไปวิตกกังวล เราจะวิตกกังวลมาก เราจะมีความระแวงสงสัยในหัวใจมาก นี่เป็นเรื่องของกรรมในการกระทำปัจจุบันนะ
แต่เรื่องของกิเลสล่ะ เรื่องของกิเลสอวิชชาความไม่รู้ของเรานี่ ความลังเลสงสัย ความไม่รู้ของเรานี่ มันยิ่งเผาไหม้ใหญ่เลย เราทำสิ่งใดไปทางวิทยาศาสตร์เขาพิสูจน์กันนี่เห็นไหม ยิ่งพิสูจน์เท่าไหร่ยิ่งไม่รู้ พิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ขึ้นมา ทดสอบแล้วได้ ใช่ ทางทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์นี่ถูกต้อง แต่ค่าความไม่แน่นอนมันมีอยู่ตลอดไป ยิ่งค่าความไม่แน่นอนของมันทางวิทยาศาสตร์นี่ สิ่งนี้มันมีอำนาจ มันมีตัวแปร มันมีตลอดไป
เรื่องของกรรมก็เหมือนกัน เรื่องของความไม่รู้ในหัวใจนี่มันยิ่งแล้วไปใหญ่เลย ถ้ายิ่งแล้วไปใหญ่เลย สิ่งนี้เริ่มตั้งแต่เรานับถือศาสนาพุทธ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้แจ้งโลกนอก-ใน โลกนอกโลกที่วิทยาศาสตร์เขาพิสูจน์กันนี่ โลกนอกพระพุทธเจ้ารู้แจ้งหมด เห็นไหม
สมัยพุทธกาลนะ สองพันกว่าปีมาแล้ว เห็นไหม พระพุทธเจ้าบอกต่อไปในอนาคตยังจะมีฝนเหล็ก จะมีต่างๆ นี่มันมี เห็นไหม ถ้าพูดถึงว่าเครื่องบิน เรื่องเครื่องยนต์กลไกสมัยปัจจุบันที่มีอยู่ แล้วพูดให้คนที่สองพันกว่าปีที่แล้วฟังนี่ เขาไม่เชื่อหรอก คนโบราณเขาไม่เชื่อ ว่าเป็นไปไม่ได้เลย ว่าต่อไปนี่จะมีเครื่องบิน จะมีต่างๆ นี่ แล้วทำไมมันมีล่ะ นี่โลกนอก
โลกนอก อนาคตกับความเป็นไป ความเป็นไปของโลกนอกจะเป็นสภาวะแบบนั้น แล้วโลกเป็นอจินไตย นี่ทางวิทยาศาสตร์เราพิสูจน์กันหมด ทรัพยากรถ้ามันไม่มีแล้วมันจะใช้สิ่งใด แต่ก็พิสูจน์กันต่อไป เพราะอะไร เพราะถึงที่สุดแล้วมันจะแปรสภาพ มันต้องปรับตัวของมันเอง โลกนี้ปรับตัวนี่เป็นอจินไตย สภาวะแบบนี้ นี่โลกนอก
แล้วโลกในล่ะ โลกในนะมันเป็นสภาวะแบบไหนก็แล้วแต่ มันเป็นอะไร มันเป็นวัตถุนะ ความเจริญงอกงามขนาดไหน คนจะอยู่บนตึกสูงขนาดไหน เวลามันทุกข์มันทุกข์บนตึกสูงๆ นั่นล่ะ ศาสนานี้เป็นเรื่องของใจ อำนาจศาสนาย้อนกลับมาที่ใจ ถ้าย้อนกลับมาที่ใจนะ เราจะอยู่กระต๊อบห้องหอ เราจะอยู่ตึกสูงขนาดไหนมันมีความสุขไง วัตถุเจริญมันเรื่องของวัตถุเจริญ
แต่ถ้าเรื่องของใจเจริญเห็นไหม เรื่องใจเจริญนี่ความเอารัดเอาเปรียบจะน้อยลง ดูสิ ดูคนที่มีคุณธรรม เห็นไหม ถ้าเขามีสมบัติของเขานะ เขาจะเจือจานสังคม เขาจะทำให้สังคมร่มเย็นเป็นสุข แล้วบารมีอันนี้จะเกิดกับเขา ถ้าเกิดกับเขาน่ะ นั่นคืออะไรล่ะ
ขณะที่เขาทำธุรกิจนั้นก็เป็นเรื่องของธุรกิจนะ เพราะมันการแข่งขันไง การแข่งขันคือโลกนอก โลกนอกคือธุรกิจ โลกในคือโลกของใจของเรา โลกในคือโลกทัศน์ของเรา โลกในหัวใจของเราที่จะมีความสุขหรือไม่มีความสุข มันเริ่มต้นตั้งแต่ ทาน ศีล ภาวนา เริ่มการเสียสละไง โลกนะถ้ามันมีการเสียสละ มีการจุนเจือกัน คนนั้นเป็นคนโง่ เห็นไหม เวลาพูดถึงธุรกิจ เขาทำธุรกิจกัน ไม่ได้ทำธุรกิจเป็นมูลนิธิหรอก ไม่ได้นำมาเจือจานกัน เวลาเป็นธุรกิจต้องเป็นสภาวะแบบนั้น แต่เวลาเขากระตุ้นตลาด เห็นไหม เขาแจกฟรีด้วย จะเข้าตลาดนะ เขาทดสอบสินค้าของเขา เขาแจกฟรี แจกฟรีนั้นมันเป็นธุรกิจไหม แต่เพราะเขาหวังผลประโยชน์ไง
แต่ถ้ามันเป็นเรื่องของทาน เรื่องเสียสละเสียสละเพื่อใคร นี่สละออกไปจากมือของเรานะ เราเสียสละทานออกไปจากมือของเรา เห็นไหม ผู้ที่ได้รับเขาต้องมีความสุขของเขาแน่นอน ในโลกนี้ถ้าเป็นการเสียสละ ถ้าเราเสียสละโดยจิตที่บริสุทธิ์อีกต่างหาก ถ้าเราเสียสละโดยต้องการให้เขามาเป็นฐาน ต้องการให้เขามาเป็นอำนาจวาสนา อันนั้นมันก็เป็นเรื่องของโลกๆ เพราะมันเป็นอามิส
แต่ถ้ามันเป็นเรื่องของทาน เสียสละ พอเริ่มเสียสละนี่มันเรื่องของศีล ศีลเป็นความปกติของใจไง ใจปกติมันไม่เอารัดเอาเปรียบเขา เห็นไหม การเอารัดเอาเปรียบเขา ปาณาติปาตานี่การกระทบกระเทือนกัน มันสิ่งไม่ดีทั้งนั้น อทินนา เห็นไหม ของมีคุณค่า เสียสละของขนาดไหนก็ให้ได้ ถ้าของโดยที่ว่าลักขโมยต่างๆ นี่มันทำใจไม่ได้ เห็นไหม นี่ศีลเพื่อไม่ให้กระทบกระเทือนกันในหัวใจ เช่น ของเราหายไป เห็นไหม ดูสิ ของหายไป ของก็มีค่าเล็กน้อยเอง แต่หัวใจเรามันเสียความรู้สึกมาก สิ่งที่เสียความรู้สึก แล้วการเสียสละมันกระทบเข้ามาถึงหัวใจ
ผู้ที่ได้รับ เห็นไหม เขาให้เราเพราะอะไร เขามีคุณต่อกัน เห็นไหม ดูสิ เวลาเราเลี้ยงสัตว์ สัตว์มันสบตาเรา ให้อาหารสัตว์ สายตาของสัตว์กับสายตาของเรานี่มันจะรู้คุณมาก มันจะระลึกถึงคุณของเรามากเลย เห็นไหม นั่นมันเป็นสัญชาตญาณ แต่นี่การเสียสละของเรานี่มันเสียสละออกไป เห็นไหม มันได้รับมันยิ่งมีค่ายิ่งกว่านั้นอีก เพราะอะไร เพราะเราไม่หวังผลตอบแทน เห็นไหม นี่การเสียสละด้วย แล้วมีศีลด้วย
ถ้าจิตมันเริ่มมีความสุขเข้ามา สุข เห็นไหม ถ้าเรายังมีความพอใจ มีตัณหาอยู่ ความสุขมันไม่เข้าถึงสมาธิ สมาธินี่มันกดตัณหาความทะยานอยาก มันกดสิ่งที่มันฟุ้งซ่านออกไป ถ้าฟุ้งซ่านๆ ในอะไร เราต้องการสิ่งใดๆ ในโลกนี้นะ เพราะเราต้องคิดก่อน เราต้องปรารถนาก่อน นี่คืออะไร มีความทะยานอยาก มีความพอใจใช่ไหม ถ้าไม่มีความพอใจความคิดจะเกิดขึ้นมาได้ยังไง แต่ถ้ามันสงบตัวมันเองนี่ ความพอใจๆ ในอะไร พอใจในตัวเราไง พอใจในหัวใจอันนี้ไง ถ้าหัวใจนี้สงบนะ สิ่งต่างๆ เป็นเครื่องอาศัย นี่ที่ว่าศักดิ์ศรีๆ ที่เขามีกันจากภายนอก เห็นไหม
เวลาคนหยาบๆ ความคิดทางวิทยาศาสตร์นะ บอกว่ามันเป็นไปไม่ได้ไง อย่างเช่นที่ว่ามีบุคคลไปกัน ๒ คน คนหนึ่งโดนลูกศรยิงมา เห็นไหม ทางวิทยาศาสตร์ต้องไปตามหาเขา บอกว่าเหมือนกับคนที่ไม่รับผิดชอบไง แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า เราเดินไปกัน ๒ คน คนหนึ่งโดนลูกศรยิงมา ถ้าบุรุษที่ฉลาด เห็นไหม จะช่วยเพื่อนเขานะ จะต้องถอนลูกศรนั้นก่อน รักษาคนเจ็บก่อน แต่ถ้ารักษาคนเจ็บเขาบอกว่า เหมือนกับว่าเรายอมจำนน ยอมจำนนตลอดไป นี่กิเลสมันไม่ยอมรับไง มรรคหยาบมรรคละเอียดมันเป็นอย่างนี้ ถ้ามันเป็นมรรคหยาบๆ อยู่เห็นไหม เพื่อนมันโดนยิงปั๊บก็ปล่อยให้เพื่อนมันตายก่อน มันต้องไปพิสูจน์ ไปทำลายคนอื่นเขามาก่อน มันก็แหลกกันไปหมดทั้งโลก เห็นไหม
นี่มันไม่เป็นวิธีการแก้ไข มันเป็นวิธีการ เห็นไหม เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร ถ้าเวรไม่ระงับด้วยการจองเวร เห็นไหม ไปจองเวรเขา ตามไปหาเขา ตามไปอะไร นี่สิ่งที่เขาบอกนี่ คนที่ปฏิบัติธรรมยิ่งปฏิบัติธรรมยิ่งโง่ ถ้าคนที่ไม่ปฏิบัติธรรมเลย คนที่ต่อสู้ ต่อสู้กับทางโลก คนนั้นเป็นคนฉลาด
ฉลาดอะไร ฉลาดปรนเปรอกิเลส ฉลาดสนองตัณหา ฉลาดสนองกิเลสของตัวเอง กิเลสมันคิดกับเรานะ เวลาเรากระทำไปแล้วนะ มันไปไหน ความรู้ความต้องการของเรานี่เวลาตอบสนองมาแล้วนี่มันพอใจ มันไปไหน แต่ขณะตอบสนองในทางที่ถูกต้อง จิตนี้จะมีคุณค่า จิตนี้จะมีอำนาจวาสนาบารมี ความถูกต้อง การเสียสละ การกระทำมันเพราะอะไร เพราะต้องข่มตัณหาตัวนี้ด้วยมันถึงจะสละได้ แต่ถ้าตอบสนองมันด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เห็นไหม นี่ตอบสนองมันมาแล้วจิตตัวนี้เป็นผู้รับกรรม สิ่งที่สร้างสม สิ่งที่แสวงหา สิ่งที่ต้องการเป็นมโนกรรมที่พยายามแสวงหามานี้ แล้วสิ่งที่ได้มา ได้มาแล้วทำลายตัวเอง ทำลายสถานะของจิตดวงนี้ เพราะอะไร จิตดวงนี้มันจะเศร้าหมอง มันจะมีการกดขี่หัวใจดวงนี้ เห็นไหม
ถ้าเราทำความสงบของใจ เริ่มต้นเราก็ได้ตัวนี้ก่อนไง จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส เห็นไหม มันผ่องใสๆ เพราะถ้ามันสะอาดในตัวมันเองมันจะผ่องใส สะอาดด้วยอะไร สะอาดด้วยสมาธินะ ไม่ได้สะอาดด้วยปัญญา ยังไม่ได้เป็นมรรคเลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปศึกษากับอาฬารดาบส สิ่งที่ว่าเข้าสมาบัติได้ มันผ่องใสยิ่งกว่านี้อีก ผ่องใสขนาดไหนเป็นภวาสวะ เป็นตัวภพ เป็นตัวเกิดตัวตาย แล้วเราไม่ได้รักษาเลย นี่มันเป็นเรื่องของสมาบัติ เป็นเรื่องของฤๅษีชีไพร เป็นเรื่องก่อนที่จะมีศาสนาพุทธไง
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปศึกษามาทั่ว แล้วพอย้อนกลับมาเพราะอำนาจวาสนา เห็นไหม นี่ที่ว่ากรรมๆ นี่ ตัวกรรมที่ว่าตัวแปรๆ นี่ ตัวกรรม เห็นไหม ตัวจิตที่เราปฏิบัติไป มันมีทางเลือกมากมายมหาศาลเลย มันถึงว่าไม่มีกฎตายตัวไง ถ้าวิทยาศาสตร์นี่เป็นกฎตายตัว แต่ธรรมะไม่ใช่ ธรรมะไม่มีกฎตายตัว เห็นไหม เปิดจริตนิสัยไว้ เปิดอำนาจวาสนาไว้ เห็นไหม ขิปปาภิญญา ปฏิบัติง่ายรู้ง่าย ปฏิบัติยากรู้ยาก ปฏิบัติเพื่อสร้างอำนาจวาสนา ปฏิบัติแล้วไม่ถึงผล มีการปฏิบัตินี่มีการเสริมสร้างอำนาจของใจ เห็นไหม
ทำบุญร้อยหนพันหนไม่เท่าถือศีลบริสุทธิ์หนหนึ่ง ศีลบริสุทธิ์ร้อยหนพันหนไม่เท่าเกิดสมาธิหนหนึ่ง สมาธิร้อยหนพันหนไม่เท่ากับเกิดปัญญา ปัญญาอันนี้ปัญญาภาวนามยปัญญา ปัญญาอันนี้ ปัญญาอันที่ว่าจิตผ่องใสๆ นี่ ผ่องใสนี่กิเลสชัดๆ ตัวผ่องใสตัวกิเลสทั้งหมดเลย ตัวความว่างน่ะอวกาศมันก็ว่าง อากาศมันก็ว่าง โพรงอากาศ โพรงตุ่มโพรงไหมันก็ว่าง แล้วใจว่างอย่างนี้มีประโยชน์อะไร ใจว่างๆ นี้มีประโยชน์อะไร ถ้าใจว่างๆ นี้มันไม่ย้อนกลับเข้ามา เห็นไหม ถ้ามันย้อนกลับเข้ามาหาหัวใจของมัน เห็นไหม จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส แล้วจิตนี้ยกขึ้นวิปัสสนาได้ยังไง
ถ้ายกวิปัสสนาเข้าไป ความผ่องใสนี่มีเชื้อไข มันมีอวิชชาตัวที่มันไม่รู้ มันผ่องใสมันก็ไม่รู้ มันรู้แต่ความผ่องใส แต่ไม่รู้ตัวมันเอง ไม่รู้อะไรเลย แล้วย้อนกลับมานี่มันติดในอะไร เห็นไหม มนุษย์เรานี่ติดในกาย เวทนา จิต ธรรม ติดนี่ถ้าจิตย้อนกลับเข้ามาวิปัสสนาตัวนี้ ปัญญามันจะเกิดอย่างนี้ ถ้าปัญญาเกิดอย่างนี้ นี่ค่าความไม่แน่นอน มันเปลี่ยนแปลงได้ตลอดไป ถ้าค่าความแน่นอนมันตายตัวนี่พระอริยบุคคลเกิดไม่ได้ จิตเกิดมาโดยกรรม เราเกิดมาโดยกรรม เห็นไหม
เขาว่า คนเกิดมาเป็นสัตว์ต้องเป็นสัตว์ตลอดไป คนเกิดเป็นมนุษย์ต้องเป็นมนุษย์ตลอดไป
ไม่ใช่ มันมีตัวแปรตลอดไป ตัวแปรตัวนี้มันจะเข้ามาทำให้ใจมันเปลี่ยนแปลง ตัวเกิดตัวนี้ไงจิตถึงไม่เคยตายไง ถึงว่าเวลาเขาปฏิเสธกันว่ามีชาติเดียว มีความเป็นไป เกิดมาคงที่ ความคงที่นี่เป็นไปไม่ได้ ทางวิทยาศาสตร์เขายังมีค่าไม่แน่นอนเลย แต่ในทางศาสนาเรานี่เป็นเรื่องอนิจจัง สิ่งใดเป็นอนิจจังสิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์สิ่งนั้นเป็นอนัตตา ในค่าความไม่แน่นอนนี่มันเป็นอนิจจัง เห็นไหม
แล้วเป็นอนิจจังแล้วมันเป็นอนัตตาได้ยังไง มันมีใครรับรู้มัน รับรู้ค่าไม่แน่นอนนี่ รับรู้ไอ้ความเป็นอนิจจังนี่ รับรู้ในหัวใจนี่ รับรู้ในการแปรปรวนนี่ เห็นไหม ในศาสนาสอนตรงนี้ไง นี่คือพาหะ นี่คือวิธีการดำเนิน นี่มรรคญาณเป็นอย่างนี้ อริยสัจเป็นอย่างนี้ ค่าความไม่แน่นอนวิทยาศาสตร์เขายอมรับกันมากนะ เพราะไม่มีอะไร ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ไม่มีหรอก
แล้วเขาพูดขนาดนี้ด้วยว่า ปรมัตถ์ไม่มี ความจริงไม่มี วิทยาศาสตร์บอกความจริงไม่มี เพราะมันมีค่าไม่แน่นอนทุกส่วน
แต่ในศาสนาเรามี ในศาสนานี้มี ถ้าไม่มีมันจะเป็นพระอริยบุคคลไม่ได้ ถ้าไม่มีมันจะสิ้นกิเลสไม่ได้ ปรมัตถธรรมมี มีในหัวใจ มีในการประพฤติปฏิบัติ มีจากการค้นคว้าจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อน แล้วก็มาถึงเรา เห็นไหม ถ้ามาถึงเรา ถ้าเราค้นคว้าได้ เราทำของเราได้ มันจะชำระความสะอาด จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้หมองด้วยอุปกิเลส จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้เป็นผู้ข้ามพ้นกิเลส ตัวจิตเดิมแท้นี้เป็นตัวทำลายกิเลส ตัวจิตเดิมแท้คือตัวกิเลส เพราะตัวจิตเดิมแท้มันจะทำลายตัวมันเอง แล้วทำลายตัวเอง ทำลายด้วยวิธีการอะไร
นี่ไง ถึงต้องมีครูมีอาจารย์ไง ถ้ามีครูอาจารย์นี่จะย้อนกลับมา ถ้าไม่มีครูอาจารย์นะมันหลอกตลอดไป แค่ว่างๆ มันก็ว่านิพพานแล้วนะ มันยังเข้าไม่ถึงตัวภวาสวะเลย ถ้าเข้าถึงตัวภวาสวะมันจะเห็นตัวภวาสวะอีก มันจะนิพพานไปได้อย่างไร ว่างๆ อย่างนี้นิพพานน่ะ ก้อนหินก็เป็นนิพพาน วัตถุมันก็เป็นนิพพาน เพราะวัตถุไม่เคยทำลายใครเลย มีแต่คนไปสร้างมันขึ้นมา ถ้ามันทำลายตัวมันเองมันก็ล้มทับคนอื่นทั้งนั้นล่ะ สิ่งนั้นมันเป็นสิ่งที่ไม่มีชีวิต สิ่งที่มีชีวิตมีความรู้สึก มันต้องเข้ามาทำลายความรู้สึกตัวนี้ขึ้นมา ถึงว่าธรรมอันนี้ประเสริฐมาก ประเสริฐในศาสนาพุทธเรานะ
คนมีหูมีตา ถ้ามีหูมีตามากก็ได้มาก มรรคหยาบมรรคละเอียดจริงๆ มรรคหยาบก็ได้ของหยาบๆ ในห้างสรรพสินค้านี่เข้าไปได้ของหยาบก็ของหยาบ ใครเข้าไปได้ของมีคุณค่าก็มีคุณค่า แล้วแต่ใครจะคว้าเอา ในชีวิตเราเกิดมาเข้าห้างสรรพสินค้า เกิดมามีชีวิตนี่ ๘๐ ปี ๑๐๐ ปี นี่ชีวิตของเราอยู่ในศาสนา อยู่ในสัจธรรมอันนี้แล้วจะคว้าได้ไม่ได้ จะจับต้องได้ไม่ได้ อันนี้จะเป็นประโยชน์กับชีวิตของเรา เอวัง