เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๖ ก.พ. ๒๕๕o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ครูบาอาจารย์ท่านพูด เวลาพูดธรรมะนี่ พวกเราก็ว่าพูดธรรมะต้องพูดนิ่มนวล พูดจาอ่อนหวาน นี่คือธรรมะ ถ้าพูดกระโชกโฮกฮาก พูดแข็งกระด้างไม่ใช่ธรรมะ แต่ครูบาอาจารย์เราบอก “ธรรมะนี่ซื่อสัตย์ ซื่อตรง” เพราะอะไร?

เพราะความรู้สึกของใจ ถ้าพูดธรรมะนะ พูดเข้าไปแทงที่ใจดำนั้น เพราะกิเลสมันอยู่ที่ใจ พูดแทงเข้าไปที่ใจ เห็นไหม แต่ถ้านิ่มนวลอ่อนหวานมันก็เหมือนเด็กๆ เด็กๆ มันจะทำอะไรผิดพลาด เราต้องนิ่มนวลอ่อนหวานกับมัน เพราะไม่ให้ผิดพลาด แต่ถ้าเด็กมันเกิดประสบอุบัติเหตุ ไปพูดอ่อนหวานมันจะฟังไหม มันก็ต้องเสียงเข้มหน่อยนึง เพื่ออะไร เพื่อให้เด็กมันได้หยุดได้ยั้งของมัน

ไอ้นี่ก็เหมือนกัน กิเลสมันอยู่ที่ใจ ถ้านิ่มนวลอ่อนหวาน ครูบาอาจารย์ท่านบอกเลย “ต้องขออนุญาตกิเลสก่อนค่อยเทศน์นะ” ขออนุญาตกิเลสก่อนเลยเพราะอะไร เพราะพูดแล้วมันจะแทงใจคนไง ถ้าพูดแทงใจคน ธรรมะนี่นะ ถ้าแทงใจคน พูดถึงแล้วเราสะเทือนใจ เรามีโอกาสนะ

“รสของธรรมชนะซึ่งรสทั้งปวง”

ถ้าฟังธรรมแล้วมันขนพองสยองเกล้า ฟังแล้วมันสะเทือนหัวใจ นั่นน่ะเราเป็นคนที่มีโอกาส ถ้าฟังแล้วฟังเล่า เหมือนคนไข้ ไข้มันดื้อยา ให้ยาเท่าไหร่มันก็ไม่รับรู้ คนนั้นหมดโอกาสนะ เพราะอะไร เพราะรักษาไม่หาย แต่ถ้าคนให้ยาแล้วมันมีปฏิกิริยา เห็นไหม ไข้มันจะหาย สิ่งนั้นเป็นธรรมะนะ ธรรมโอสถ

ถ้าธรรมโอสถ โลกว่ากันไม่ได้ เวลาพูดต้องถือฤกษ์ถือชัยไง เลยกลายเป็นศาสนาผีไปหมดเลย เป็นการถือผีนะ ถือฤกษ์ถือชัย ถือการอ้อนวอนเอานะ แต่ธรรมะของครูบาอาจารย์เรา ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม ถ้ามันพูดอะไรสะเทือนใจ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาสั่งสอนพระเณร ท่านเปรียบพระเณรเหมือนดิน ท่านบอก “ช่างจะปั้นหม้อนี่ ต้องนวดดินให้ดี นวดดินดีแล้วจะปั้นหม้อได้ ถ้าดินนวดไม่ดี ปั้นมาแล้วหม้อก็รั่ว หม้อก็ประกอบไม่ประสบความสำเร็จ ปั้นหม้อมาแล้วหม้อก็ใช้การไม่ได้” เห็นไหม เป็นครูบาอาจารย์ที่ดีต้องนวดดินที่ดี ต้องพยายามสั่งสอนทำสิ่งใดผิดสิ่งใดถูก ต้องพูดหลักสัจจะความจริง

นี่ธรรมะ โลกรับกันไม่ได้ โลกว่านี่ธรรมะคือ.. นี่เอากิเลสไปจับธรรมะไง ถ้าธรรมะนี่ต้องนุ่มนวลอ่อนหวาน ต้องพูดจาดี แล้วโลกก็เป็นอย่างนั้น เลยเอากิเลสนำ ไม่ใช่เอาธรรมะนำนะ เดี๋ยวนี้เลยโลกเป็นใหญ่ ธรรมะเป็นใหญ่ไม่ได้เลย

ถ้าธรรมะเป็นใหญ่ขึ้นมา เห็นไหม ธรรมเหนือโลก เพราะอะไร เพราะโลกเกิดจากอะไร โลกเกิดจากมนุษย์นี่แหละ คนเกิดมาจากไหน คนมันเกิดมาจากกรรม แล้วคนเกิดนะ คนเกิดมาจากท้องแม่ ว่ากันคนเกิดมาจากท้องแม่นะ คลอดมาจากท้องแม่ก็เป็นคนนี่ไง แล้วตายแล้วก็หมดกันไป

แต่ถ้าหลักศาสนา เห็นไหม นี่กรรม กรรมอยู่ที่ไหน กรรมอยู่ที่การกระทำ เราทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว แล้วการกระทำมาจากไหน การกระทำนี่ ถ้าเราไม่คิดจะทำได้ไหม ถ้าเราคิดขึ้นมาทำแล้วใครเป็นคนรับกรรม ก็จะนี่ไง เวลากิเลสมันเกิดๆ มาจากไหน เกิดมาจากใจ กิเลสไม่ใช่ใจ อาศัยใจเป็นที่อยู่อาศัย แล้วก็บีบบี้สีไฟให้เราเจ็บปวดแสบร้อนไง

เวลามันเกิดมันเกิดกับเรานะ นี่ต้องการ ตัณหาความทะยานอยากเกิดจากเรา แล้วตัณหาเสพตามที่มันต้องการ แล้วพอมันสะใจมันแล้ว กิเลสมันก็หายตัวไป แล้วใครรับกรรมล่ะ? ก็ใจตัวนี้เป็นคนรับกรรม เห็นไหม มันอาศัยเราอยู่นะ มันอาศัยเราอยู่ มันยุแหย่เรา มันบงการ มันบังคับบัญชาให้จิตนี้ทำ

พอจิตนี้ทำไปแล้ว เห็นไหม ทำตามที่มัน.. แล้วมันก็ไป ไปแล้วผลตอบรับตกอยู่ที่ไหน ก็ตกอยู่ที่จิตนั้น จิตนั้นจะมีกรรม กรรมพาไปไหน กรรมไง จิตนี้ไม่เคยตาย จิตก็เปลี่ยนสถานะ เกิดตายเกิดตายเปลี่ยนสถานะไป เกิดเป็นคน เกิดเป็นอะไร เกิดต่างๆ นี่ก็ต้องเกิดตลอดไป เห็นไหม สิ่งที่เกิดขึ้นมา เกิดๆ ไป นี่เกิด แล้วเกิดอะไร ปฏิสนธิในครรภ์ของมารดา เห็นไหม แล้วเราว่าเกิดจากท้องแม่

แต่ด้วยหลักสัจธรรม เกิดจากกรรม เพราะจิตตัวนี้มันมีกรรม มันถึงพาเกิด เห็นไหม แล้วกรรมมาจากไหน ก็กรรมมาจากกิเลส กิเลสที่มันสร้างสมมา

แล้วถ้าเป็นความดีล่ะ เป็นความดี เห็นไหม ว่าความดีทำไม่ได้นะ ถ้าเป็นตัณหาความทะยานอยาก ถ้าเป็นความดีนะมันเป็นมรรค มันเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ ในเมื่อเรายังเกิดเรายังตายอยู่ เราต้องอาศัยสิ่งนี้เป็นเครื่องอาศัย เครื่องอาศัยให้จิตนี้อาศัยเพื่อเป็นไปนะ เวลากิเลสมันอาศัยบนใจของเรา มันอาศัย มันยุแหย่แล้วมันก็ไป

แล้วเวลาบุญกุศลเกิด เห็นไหม ดูสิ เราต้องดิ้นรนขวนขวาย เราต้องพยายามทำของเรา นี่ก็เป็นเครื่องอาศัย มันเป็นอามิส เห็นไหม แล้วจิตจริงๆ อยู่ไหน จิตจริงๆ ถ้าเราทำจริงๆ เราจะไปหาที่ไหนล่ะ? หาที่ไหน?

เราฟังธรรมอย่างนี้ มันถึงสะเทือนเข้ามาไง ถ้าฟังธรรมมันฉุกคิด มันฉงนสนเท่ห์ มันคิดตั้งปัญหาถามตัวเองว่าเราเกิดมาทำไม เราทำเพื่ออะไร เราทุกข์ มาทุกข์เพื่ออะไร..

เราว่าเราทุกข์เพราะเราไม่มีตังค์ไง ถ้าเรามีตังค์มันก็หายทุกข์ไง เราทำอะไรประสบความสำเร็จไง แล้วเขาคนทำเหมือนกัน คนก็ทำเหมือนทุกๆ คน เขามีหน้าที่การงานเหมือนกันทุกคน ทำไมบางคนประสบความสำเร็จ? บางคนมีทุกข์มียากขึ้นมาในหัวใจของเขาล่ะ?

นี่มันก็เกิดบุญกุศล เกิดตรงนี้ไง แต่เราก็ไม่ได้เชื่อกันตรงนี้ไง เราไม่เชื่อ เราไม่เห็น เห็นไหม คนที่เขาประสบความสำเร็จกัน ดูสิ ไปสืบประวัติเขาสิ เขาทำแต่ความเลว ทำไมเขาได้ดีของเขา สิ่งนี้กรรมเก่า-กรรมใหม่มันมีผลมาต่อเนื่องนะ เราไปสืบประวัติของเขา ทำไมเราไม่สืบประวัติใจของเราล่ะ? เราไม่สืบความเป็นไปของเราล่ะ?

ถ้าเราควบคุมใจของเราได้ เห็นไหม เรื่องของเรา เรื่องของเราคือเรื่องของเรา ไฟในบ้านของเรา ไฟไหม้บ้านของเรา บ้านของคนอื่นเรื่องของเขา ถ้าบ้านของเราเราทำดีขึ้นมา สิ่งต่างๆ ก็ดีหมด เห็นไหม สืบประวัติเรื่องของเราสิ ใจของเรานี่สืบประวัติขึ้นมา แล้วสืบได้อย่างไร สืบขึ้นมาเราก็ได้แต่ความรู้สึกในปัจจุบันนี้ ได้แต่ไม่กี่วันที่เรานึกได้

แต่ถ้าทำความสงบของใจเข้าไปล่ะ จิตมันเห็นบุพเพนิวาสานุสติญาณ มันเห็นอดีตชาติ มันเห็นความเป็นไปของใจ มันย้อนกลับขึ้นมา มันสืบประวัติอย่างนี้ได้ สืบอย่างนี้มันก็มีที่มา เห็นไหม นี่กรรมมาจากไหน นี่เกิดๆ มาจากไหน เห็นไหม ทำไมพระเวสสันดรเวลามาเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะล่ะ เวลาเจ้าชายสิทธัตถะเกิดๆ ในธรรมล่ะ สิ่งที่เกิดขึ้นมามันมาจากไหน มันสืบค้นได้ทั้งนั้นล่ะ

ถ้ามันสืบค้นได้เพราะอะไร เพราะมันมีที่มาที่ไป ธรรมะไม่ลอยลงมาจากฟ้าหรอก เรามานั่งกันอยู่นี่ เราก็ไม่ใช่ลอยมาจากฟ้าหรอก เราก็เกิดมาจากกรรมของเรา เพราะจิตมันมีอยู่มันก็เกิดมา แล้วเกิดขึ้นมาแล้วได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา แล้วเวลาแสดงธรรมขึ้นมา ธรรมก็เข้าไปชำระกิเลส ธรรมก็เข้าไปต่อต้านกิเลส แล้วพูดไม่ได้ๆ เห็นไหม ต้องพูดประสาโลกนะ พูดเอาฤกษ์เอาชัยนะ พูดอะไรขัดใจไม่ได้เลย

นี่มันเป็นเรื่องของโลกๆ นะ มันเป็นเรื่องของไสยศาสตร์ เป็นเรื่องคนเขาถือเคร่ง เห็นไหม ถือเคร่ง เวลาเราแขวนพระ ต้องนั่นก็ไม่ได้ กินนี่ก็ไม่ได้ ฟักก็กินไม่ได้ อะไรก็กินไม่ได้ ลอดนั่นก็ไม่ได้ นี่ว่ากันไปตามของเขาเลย

แต่ถ้าเป็นศาสนาพุทธของเรานะ พุทธศาสนา “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” เรานึกว่าทำคุณงามความดี ทำดีของเรา เราจะลอดอะไร เราจะทำอะไร แล้วทำดีของเรา เราจะกินอะไรก็แล้วแต่ เรากินเพื่อความคิดอยู่ มันจะไปผิดตรงไหน มันไม่ผิดอะไรเลย ถ้าเราไม่ไปถือเคร่งกับเขา ไม่ไปถือสัจจะกับเขา

แต่เราถือสัจจะความจริงของเรา สัจจะคือความถูกต้องของเรา เห็นไหม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เราทำแต่คุณงามความดี ความดีก็เป็นความดีของเรา แล้วความดีมาจากไหน ความดีก็มาจากความนึกคิด เพราะนึกคิดจิตมันดีขึ้นมา เห็นไหม เพราะเราคิดดีๆ ทำสิ่งที่ดีๆ ใจมันก็พัฒนาเป็นสิ่งที่ดี สิ่งที่ดีปั๊บ เวลาความดีเข้าไปมันก็เข้ากับใจ

นี่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม ให้ธรรมเป็นทาน ให้ธรรมคือวิชาการไง คือหัวใจมันคิด ความคิดคิดมาจากไหน เวลาความคิดมันมาจากไหน เวลาเราไม่คิด ความคิดไม่เห็นมีเลย เวลาคิดขึ้นมา ความคิดเกิดขึ้นมาอีกแล้ว แล้วเวลามันเจ็บแปลบแสบร้อน มันก็คิดอยู่บ่อยๆ เลย เห็นไหม มันเกิดดับ มันเกิดมาจากไหน มันเกิดมาจากใจ แล้วใจมันอยู่ไหน?

ถ้ามันฟังธรรมขึ้นมา มันก็เริ่มค้นคว้าตรงนี้ไง พอค้นคว้าตรงนี้ สุขเกิดจากความสงบ เห็นไหม สุขไม่ใช่เกิดจากข้าวของเงินทอง เกิดจากสิ่งที่กิเลสมันต้องการ สิ่งนั้นมันเป็นตัณหา มันเป็นสมุทัย นี่ทุกข์ควรกำหนด สมุทัยควรละ สมุทัยคือสิ่งที่แสวงหาขึ้นมาโดยอำนาจของกิเลส

แต่ถ้าเป็นมรรค เห็นไหม นี่อริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มรรคมันก็เป็นปัญญาชอบ เป็นความเห็นชอบ ความเพียรชอบ งานชอบ ถ้าเป็นสิ่งที่ชอบ รถที่มาได้เพราะมีคันเร่ง ถ้าคันเร่งเหยียบมา มันถึงที่ปลายทางได้ คันเร่งก็ต้องมีเบรกด้วย

ปัญญามันเกิดขึ้นมานะมันแยกแยะ มันแยกแยะเข้าไปเราก็ไม่มีความลังเลสงสัย ไม่มีความฉงนสนเท่ห์ นิวรณธรรมเป็นเครื่องกางกั้นจิต ไม่ให้จิตเข้าไปหาตัวเองได้ นี่สืบประวัติตัวเอง ถ้าเราจะเข้าไปหาสืบประวัติตัวเอง เราจะไม่มีความลังเลสงสัยในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมตตาธรรม ปัญญาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ประเสริฐมหาศาล วางไว้ให้เรารื้อค้น ขึ้นมาให้เป็นธรรมะของเรา

น้ำ.. น้ำอยู่ในแม่น้ำลำคลอง เราไม่ได้ตักดื่มกินก็เป็นน้ำอยู่นั่นน่ะ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นธรรมะก็มีอยู่ตลอดไป แต่เราไม่ตักตวงออกมาใช้ เราคิดแต่เรื่องของกิเลสไง เอากิเลสเราไปตีธรรมไง เอากิเลสเราไปวิเคราะห์วิจัยธรรมไง เอากิเลสนำ เอาโลกนำ เราก็เข้าไม่ถึง เห็นไหม เขามี เขากินน้ำกัน มีความร่มเย็นเป็นสุข เราก็ว่าเราก็กินน้ำ แต่ไม่เคยมีน้ำเข้าปากเลย มันจะร่มเย็นเป็นสุขไปไหนล่ะ?

ถ้ามันมีปัญญาเข้ามาแยกแยะอย่างนี้ มันไม่เกิดนิวรณธรรม มันไม่เกิดกำแพงขวางกั้นที่เราจะเข้าไปหาสืบประวัติตัวเอง สืบประวัติตัวเองคือเข้าหาตัวจิตตัวเองที่ว่าเกิดมาจากไหน เกิดมาจากไหน ว่าเกิดจากท้องแม่ ไอ้ท้องแม่นี่มันเป็นวิทยาศาสตร์ มันเป็นเรื่องของโลกเขาคิดกัน

แต่ถ้ามันสัจจะความจริง เห็นไหม เกิดจากปฏิสนธิจิตกันก่อน เกิดจากไข่ของมารดาปฏิสนธิเข้าไป ถ้าไม่มีไข่ ทำไมในครอบครัวเขาก็เป็นหมัน เขาผสมพันธุ์ตลอดเวลา ทำไมเขาไม่เป็นคนขึ้นมาล่ะ? ทำไมเขาไม่ได้เกิดขึ้นมาล่ะ? ก็เหมือนกัน ถ้าวิทยาศาสตร์ต้องเหมือนกันสิ แต่นี่ก็ว่ามันเป็นหมัน เพราะมันเป็นกรรมของคน มันเป็นกรรมของคนนะ วิทยาศาสตร์เขาพยายามจะทำทางวิทยาศาสตร์ให้ของเขาเกิดขึ้นมา นี่ที่ว่าจะควบคุมธรรมชาติ จะควบคุมวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์มันคิดไป

วิทยาศาสตร์รู้ขนาดไหน.. โง่! วิทยาศาสตร์รู้ขนาดไหนก็ไม่เข้าใจตัวเอง รู้แต่เรื่องทฤษฎี แต่ไม่รู้จักความเป็นไปของการเกิดและการตายเลย ไม่รู้จักความสุข-ความทุกข์เลย นักวิทยาศาสตร์ใหญ่ขนาดไหนก็มีความทุกข์ฝังหัวใจทั้งนั้นล่ะ นี่ฝังหัวใจนะ เพราะอะไร เพราะไม่สืบค้นประวัติของตัวเอง

แต่ถ้าเราพิจารณาของเราเข้าไป พิจารณาจนจิตมันสงบเข้ามา จากไม่มีความลังเลสงสัยกางกั้น ความลังเลสงสัยนี่ ที่ใช้ปัญญาพิจารณาธรรมอย่างนี้ มันจะให้เราไม่สงสัย พอไม่สงสัยแล้วมันก็ไม่มีกำแพงขวางกั้นที่เราจะเข้าไปตัวของจิต ตัวของจิตมันก็เป็นความสงบของใจ เห็นไหม

ถ้าจิตมันเริ่มกำหนดพุทโธ กำหนดคำบริกรรม พยายามกำหนดคำบริกรรม หรือใช้ปัญญาอบรมสมาธิ มันจะสงบเข้ามา ถ้าสงบเข้ามา นี่รื้อค้นใจของตัว เข้าไปสืบประวัติของตัว จะเห็นตัวของเราจริง

เราชื่อนาย ก นาย ข เราชื่ออะไรก็แล้วแต่ แขนขานี่เวลามันประสบอุบัติเหตุ หรือว่ามันมีปัญหาต้องตัดทิ้ง มันเป็นใครล่ะ มันเป็นส่วนผสมของรถยนต์นะ รถยนต์ อะไหล่รถยนต์ ประกอบขึ้นมาเป็นรถยนต์

คนก็เหมือนกัน อาศัยสิ่งต่างๆ ประกอบขึ้นมาเป็นเรา เป็นสมมุติ เราถึงตั้งชื่อว่านาย ก แล้วถ้ามันแยกส่วนแล้วมันจะมีอะไรเหลือ เห็นไหม มันไม่มีอะไรเลย แต่ถ้าสมมุติขึ้นมา มันเป็นนาย ก แล้วอะไรอาศัยมันอยู่ในนี้ล่ะ?

เราจะหาเรา เราหาไม่เจอ เห็นไหม เราไม่มีหรอก เราแยกแล้วจะไม่มีใครเลย มนุษย์นี่แยกอวัยวะออกไปหมดแล้วจะไม่มีอะไรเลย ไม่มีคน ไม่มีอะไรทั้งสิ้น แล้วเราอยู่ที่ไหน แต่สมมุติโลกเขาว่าเป็นนาย ก นาย ข นี่เป็นสมมุติโลกเขา โลกเขาเป็นสมมุติขึ้นมาอย่างนี้

ถ้าเราไปเข้าใจสัจจะความจริง เห็นไหม พอเข้าใจมันก็ไม่สงสัย ปัญญาอบรมสมาธิมันก็เข้าไปหาตัวตนของมัน พอจิตมันสงบ นี่ไงๆ นาย ก แท้อยู่ที่นี่ไง นาย ก แท้มันอยู่ที่ความรู้สึกอันนี้ไง ถ้าจับความรู้สึกได้ ความรู้สึกอันนี้มันประเสริฐ นี่ทวนกระแสเข้าไป นี่ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทำดีจากภายนอก ทำบุญกุศล สร้างบุญกุศลของเรา นี่ทำดีได้ดี ทำของเรา

แต่ถ้าเราปฏิบัติขึ้นมาเป็นธรรมโอสถ ธรรมะเหมือนกับยาแก้โรค เราเจอยาจริง เราเจอธรรมจักรจริง จักรอันนี้มันจะเข้ามาย้อนเข้าไปชำระกิเลสของเราจากภายใน มันย้อนกลับเข้ามา เห็นไหม นี่ปัญญาเราเกิด นี่ธรรมะของเรา

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แหล่งน้ำทั่วๆ ไปมันธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่แหล่งน้ำของเรา เรามีตาน้ำ น้ำอมตธรรมออกมาจากใจ เรากลั่นน้ำออกมา เรากลั่นธรรมออกมา เรากลั่นปัญญาออกมา แล้วมันเข้ามาชำระกิเลสในหัวใจของเรา เห็นไหม ธรรมจักรหมุนเข้ามาอย่างนี้ การสืบค้นตัวเองสืบค้นอย่างนี้ แล้วบุญเกิดอย่างนี้ ธรรมะเกิดอย่างนี้ ประโยชน์กับเราเกิดอย่างนี้

นี่ความสงบ สุขอื่นใดเท่ากันจิตสงบไม่มี สุขเกิดจากการเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม เกิดจากบุญกุศล สุข สุขเกิดจากการภาวนา เห็นไหม ถ้าภาวนาขึ้นมา มันเกิดเป็นพรหมก็ได้ ถ้ามันยังไม่ถึงที่สุด แต่ถ้ามีปัญญาขึ้นมา มันเกิดเป็นอริยบุคคลขึ้นมา มันเกิดเป็นธรรมขึ้นมา เห็นไหม ปัญญาเกิดที่นี่ไง

นี่สืบประวัติ ค้นตัวเอง จะได้ประโยชน์อย่างนี้ ประโยชน์จากใจของเรา เกิดจากทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว การพูด การกระทำของธรรม ถ้าธรรมมันย้อนกลับมา ทวนกระแสกลับมาถึงใจ มันจะเป็นประโยชน์กับเรา ประโยชน์กับเรานะ ประโยชน์กับเราทั้งนั้นเลย เป็นของของเรา

ของของที่เขาหา เขาหาของโลกเป็นของประจำโลก สมบัติพัสถานมันเป็นสมบัติของโลก ผู้ที่มีคุณสมบัติดีจะไปอาศัยใช้ประโยชน์เขา จะเป็นประโยชน์ ผู้ที่หัวใจบาปอกุศลก็ใช้แก้วแหวนเงินทองนะ เป็นโทษ เห็นไหม ล่อลวงเขา จ้างวานเขา ทำลายสิ่งต่างๆ ให้เป็นกรรมกับใจดวงนั้น ถ้าใจดี สิ่งนั้นก็เป็นของดีไปด้วย ถ้าใจไม่ดี สิ่งนั้นเป็นของไม่ดี

สิ่งของดีหรือของไม่ดีมันเป็นอนิจจัง มันเป็นปัจจัยเครื่องอาศัยจากภายนอก แต่ถ้าเป็นความสงบจากภายนอก ย้อนกลับเข้ามาที่นี่ มันจะเป็นประโยชน์กับสมบัติที่นี่ ถึงให้ทำที่นี่ ธรรมหยาบ ธรรมละเอียด เห็นไหม ปัญญาจะเกิดจะเป็นอย่างนี้ เป็นประโยชน์กับเรา นี่ธรรมเกิดกับเรา สิ่งต่างๆ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ดีนอก ดีใน ดีจากอะไร ดีจากการกระทำ ดีจากเป็นความจริงของเรา ถึงเป็นประโยชน์กับเรา

ธรรมะนี่กว้างขวางมาก ห้างสรรพสินค้าที่ใครจะค้นคว้าหาประโยชน์กับเรา ประโยชน์กับเรานะ เราทำดีถึงทำของเรา ใครจะว่าอย่างไรเรื่องของเขา ดูใจเรา แล้วรักษาใจเรา สิ่งนี้จะเป็นประโยชน์กับเรา เอวัง