เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๕ มี.ค. ๒๕๕o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๕๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ธรรมะมันมีหลายระดับ เห็นไหม วุฒิภาวะของใจของคนก็ต่างๆ กัน วุฒิภาวะของใจของคนนะ แล้วเวลาเกิดขึ้นมา เห็นไหม ธรรมาธิปไตย ต้องเสมอภาคหมดเลย ความเสมอภาค เวลาพูดถึงความเสมอภาค แต่ความจริงความเสมอภาคมีที่ไหน

การค้าเสรี เห็นไหม ต้องมีการเสรี เสรีจริงหรือเปล่า ไม่เสรีหรอก มือใครยาวสาวได้สาวเอา เพราะอะไร เพราะสิ่งต่างๆ มันเกิดขึ้นมาจากกรรม กรรมคือการกระทำ คนที่ทำกรรมมาแล้วเสมอกันไม่มี ไม่มีนะ มีแต่สูงๆ ต่ำๆ เห็นไหม ถ้าเสมอกันมันก็มีปลีกย่อยต่างกัน แม้แต่เด็กเราเกิดมา ลูกเราเกิดมาในไข่ฟองเดียวกันนะ เป็นลูกแฝด นิสัยยังไม่เหมือนกันเลย แต่เขาบอกต้องให้เสมอภาค

ความเสมอภาคมีได้อย่างเดียว คือสิ้นจากกิเลสเสมอภาคด้วยกันหมด ความเสมอภาคนะ สิ้นจากกิเลสเหมือนกัน เวลาสิ้นจากกิเลสนี้เป็นสิ่งที่เสมอภาค เพราะอะไร เพราะถึงที่สุดแห่งทุกข์ เห็นไหม แต่ถ้าถึงที่สุดแห่งทุกข์ จะถึงได้วิธีการใด?

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา วางธรรมไว้ วางเป็นข้อวัตรปฏิบัติ เป็นแนวทาง เป็นเครื่องดำเนิน เราเครื่องดำเนินไป แต่ผลของมัน ผลของการดำเนินไปแล้ว เห็นไหม วิธีการและเป้าหมาย เป้าหมายนี่ถึงที่สุดแล้วเหมือนกัน

แต่ความเหมือนกันแล้วก็ยังมีต่าง เห็นไหม พระอรหันต์ในสมัยพุทธกาลที่ว่าไม่เคยฉันอาหารอิ่มเลย พาหิยะฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วสำเร็จเป็นพระอรหันต์นะ ขอบวชกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “เธอไม่มีบริขาร ๘ แล้วเธอจะบวชได้อย่างไร?” ไปหาบริขาร ๘ อยู่ ฟังสิ! พระอรหันต์ไปหาบาตรหาจีวรน่ะหาไม่ได้ ให้ควายขวิดตาย เห็นไหม ดูพระสีวลีสิ เวลาร่ำรวยมหาศาล ไปที่ไหนมีแต่คนให้ทานกันหมดเลย นี่พระอรหันต์เหมือนกัน แต่อำนาจวาสนาต่างกัน แต่ความบริสุทธิ์ของใจเหมือนกัน เพราะสิ่งที่สิ้นกิเลสนั้น สิ่งนี้เสมอภาค

ความเสมอภาคมีได้ตรงนี้ไง ถ้ามีได้ตรงนี้ การเริ่มต้นการประพฤติปฏิบัติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร ตรัสรู้ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เห็นไหม ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรคนี่มันเป็นทฤษฎีที่ครอบคลุมในวัฏฏะนี้

ในแบตเตอรี่ เห็นไหม มันมีขั้วบวกขั้วลบ ถ้ามีขั้วบวกขั้วลบ ในตัวแบตเตอรี่นี่มันก็คือตัวร่างกายของเรา ตัวพลังงานไฟฟ้าในแบตเตอรี่คือหัวใจ เห็นไหม ขั้วบวกขั้วลบที่มันทำงานกัน มันถึงมีพลังงาน

ในหัวใจของเรา ไฟฟ้าในหัวใจของเรา คนเกิดมานี่มีกิเลสทุกคน ความคิดที่เป็นอกุศล ความคิดที่เราไม่เข้าใจเป็นสมุทัย แล้วความคิดที่เป็นสิ่งที่ดี ความคิดที่ออกจากวัฏฏะ ความคิดในการเสียสละ ความคิดที่เป็นมรรค เห็นไหม ผลที่เกิดจากความคิดเป็นมรรคถึงเป็นนิโรธะ

สิ่งนี้มันเป็นความคิดระหว่างกิเลสกับธรรม ถ้ากิเลสกับธรรมในหัวใจเรา ทุกคนมันจะมีกิเลสกับธรรมมาทั้งนั้นล่ะ เพราะเรามีกิเลสอยู่ แต่กิเลสไม่ต้องไปฝึกฝนมัน กิเลสเป็นธรรมชาติที่มันจะเกิดตลอดเวลา แต่ธรรมะนี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝึกฝนมา ฝึกฝนมาแล้วรู้แจ้งมา ถึงบอกไว้ว่าสรรพสิ่งในโลกนี้มันมี เห็นไหม วุฒิภาวะของใจเกิดตรงนี้ ตรงที่ฝ่ายที่เป็นมรรคมันจะสูงมันจะต่ำแค่ไหน แต่เรื่องกิเลสนะ มันเข้ากันได้ง่าย ความคิดของกิเลสมันเข้ากันได้ง่าย มันเป็นธรรมชาติอันหนึ่ง แต่ธรรมะมันเกิดขึ้นมา มันเป็นสภาวธรรมที่เกิดขึ้นมา

ดูสิ เวลาเรามีความชุ่มชื่น เรามีความสุขใจ เรามีปัญญาใคร่ครวญที่ดี เห็นไหม สิ่งที่ปัญญาใคร่ครวญที่ดีมันอยู่ได้นานไหมล่ะ เดี๋ยวมันก็ไหลลงต่ำ ความไหลลงต่ำอย่างนี้ เห็นไหม สิ่งนี้มันเป็นอริยสัจ มันเป็นความจริงที่เกิดดับเกิดดับ สิ่งที่เกิดดับเกิดดับมันไม่เป็นผลไง แต่ถ้าสิ่งที่เกิดดับแล้วสิ่งที่เราฝึกฝนขึ้นมา มันพ้นออกมาจากการเกิดดับ เห็นไหม เป็นอกุปปะ สิ่งที่เป็นอกุปปะเป็นความคงที่ ความคงที่ของพระโสดาบัน ความคงที่ของพระสกิทาคามี ความคงที่ของพระอนาคามี ความคงที่ของพระอรหันต์ คงที่นะ คงที่เพราะอะไร เพราะมันพ้นออกมาจากอริยสัจอันนี้ไง สัจจะ อริยสัจจะ สัจจะนี่สัจจะโดยสมมุติ

ความสมมุตินี่เด็กมันเล่นกัน มันเล่นมันสมมุติกัน มันเล่นแต่สิ่งต่างๆ กัน อย่างเกมนี่เขาสมมุติขึ้นมาให้เด็กมันเล่นกัน เห็นไหม มันเป็นความสมมุติ เป็นจริงโดยสมมุติ แล้วอริยสัจจะ อริยสัจนี่สมมุติบัญญัติ บัญญัตินี่ก็เป็นสมมุติอันหนึ่ง แต่เป็นสมมุติที่จริง สมมุติที่ใครพิสูจน์ได้ไง ถ้าพิสูจน์สมมุติอันนี้ได้มันจะเป็นวิมุตติ ถ้าสมมุติอันนี้พิสูจน์ได้ เห็นไหม มันเป็นมรรค มันเป็นนิโรธ

สิ่งที่เป็นมรรคเป็นนิโรธ เห็นไหม ขนาดที่ว่าความว่างของพระโสดาบัน พระโสดาบันนะอธิบายถึงการปัญญามันใคร่ครวญไปในอริยสัจ ในทุกข์ ทุกข์เพราะเหตุใด ทุกข์เพราะเราหลงในร่างกาย ถ้าเราเข้าใจในเรื่องของร่างกาย เราเข้าใจ เราพิจารณาไป เข้าใจนี่เข้าใจโดยสัญญา เข้าใจโดยปัญญา เข้าใจโดยภาวนามยปัญญา ความเข้าใจต่างกัน เห็นไหม วุฒิภาวะต่างกันตรงนี้ไง

คนเข้าใจส่วนหนึ่งก็อธิบายได้ส่วนหนึ่ง คนเข้าใจได้มากกว่า สิ่งที่ออกมา เห็นไหม ความเข้าใจอย่างนี้ ถ้าพิจารณาอย่างนี้ สภาวะแบบนี้ เห็นไหม เข้าใจอย่างนี้ ปล่อยวางอย่างนี้ นี่ปัญญาของพระโสดาบัน สิ่งนี้เป็นอกุปปธรรมส่วนหนึ่ง เห็นไหม อกุปปธรรมส่วนหนึ่ง อกุปปธรรมของพระสกิทาคามี อกุปปธรรมของพระอนาคามี อกุปปธรรมของพระอรหันต์ นี่อรหัตตมรรค อรหัตตผล ผลของพระอรหันต์ เห็นไหม มันยังเป็นผลอยู่ มันก็อยู่ในอริยสัจนี้

สิ่งที่เป็นอริยสัจมันยังอธิบายได้ เพราะมันเป็นทฤษฎีที่จับต้องได้ ที่หัวใจนี่มันสัมผัสด้วย แล้วมันจับต้องได้ด้วย แล้วมันอธิบายได้ด้วย ระหว่างที่ว่าเป็นอรหัตตมรรคอย่างไร วิธีการของที่มรรคญาณในฝ่ายอริยสัจ ในมรรคญาณที่มันก่อตัวอย่างไร มันทำกันอย่างไร แล้วธรรมจักรมันหมุนอย่างไร ความหมุนของมันออกไป แล้วจิตนี่มันหลุดออกไป เห็นไหม อรหัตตผลกับนิพพานต่างกันตรงไหน?

อรหัตตผล เห็นไหม เวลาวิปปยุต สัมปยุต วิปปยุตคือการกระทำของจิต วิปปยุตคือมรรคญาณที่มันหมุนตัวเข้าไป สัมปยุต เห็นไหม สัมปยุต วิปปยุตมันคลายตัวออกมา ระหว่างที่สัมปยุตกับวิปปยุต ระหว่างที่มันทำปฏิกิริยากัน ระหว่างขั้วบวกขั้วลบในแบตฯ เห็นไหม ในอริยสัจ ในแบตฯ มันทำปฏิกิริยาขั้วบวกขั้วลบกัน ขณะที่ขั้วบวกขั้วลบมันทำปฏิกิริยากัน มันเป็นพลังงานที่ว่ามันเป็นพลังงานปฐมที่ออกมาจากแบตฯ ใช้พลังงานได้ใช่ไหม แล้วมันหมุนออกไปออกมา แล้วผลออกมาจากพลังงานนี้ไหม นี่นิพพานถึงนิพพานหนึ่ง นี่อรหัตตมรรค อรหัตตผล เห็นไหม

ในอริยสัจนี่มันก็เป็นบัญญัติ แต่มันจริงโดยสมมุติ แล้วถ้าเป็นอกุปปธรรม สิ่งที่คงที่ๆ ของใจ ใจมันจะมีสภาวะแบบนั้นขึ้นมา ในอริยสัจสภาวะแบบนี้ ในอริยสัจมันถึงครอบคลุมหมดไง ครอบคลุมถึงกามภพ รูปภพ อรูปภพ แต่ถ้ามันพ้นออกไป ขณะที่เป็นพระโสดาบันยังเกิดอีก ๗ ชาติ สกิทาคามียังเกิดอีก ๓ ชาติ พระอนาคามียังเกิดบนพรหม เห็นไหม อยู่บนพรหมแล้วสุกไปบนพรหม แต่ถ้าพ้นออกไปนะ มันพ้นออกไปวัฏฏะเลย

เวลาพระสมัยพุทธกาล เห็นไหม เวลาที่ว่าภาวนาแล้วจิตเสื่อมถึง ๗ หน มีความน้อยเนื้อต่ำใจ ถึงเอามีด เพราะมันมีบริขาร ๘ มีมีดโกน มีดโกนนี่เชือดคอเลยล่ะ พอเชือดคอเลือดมันพุ่งออกมา แต่เพราะว่าภาวนาแล้วจิตเสื่อม มันก็มีการกระทำในอริยสัจนี้อยู่แล้ว แต่มันไม่เป็นอกุปปะ มันไม่เป็นผลของมันไง มันไม่เป็นเป้าหมายไง มันเป็นวิธีการ วิธีการเจริญแล้วเสื่อม เจริญแล้วเสื่อม จนเสียใจมาก เอามีดเชือดคอ นี้ขณะมีดเชือดคอมันเข้าวิกฤติ พอวิกฤตินี่ปัญญามันหมุนไปเลย พอหมุนไปเลยมันไปวิปัสสนาเดี๋ยวนั้น เป็นพระอรหันต์เดี๋ยวนั้นเลย พอตายไป เห็นไหม มารค้นคว้า มารค้นจนฝุ่นตลบเลย ค้นหาจิตดวงนี้ไง เห็นไหม นี่วิมุตติ จนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า

“มารเอย เธอค้นหาไม่เจอหรอก ค้นขนาดไหนก็ไม่เจอ เพราะจิตดวงนี้วิมุตติไปแล้ว” เห็นไหม หาไม่เห็นหรอก นี่พ้นจากมาร

แต่ถ้ายังมีนะ ยังมีภวาสวะ มันมีตัวจิตอยู่นี่มารเจอ เพราะสิ่งนี้เป็นตัวก่อภพก่อชาติ ตัวภวาสวะ ตัวภพ ตัวสถานที่เกิดเหตุ เหตุที่เกิดเกิดเพราะตรงนี้ เพราะตรงนี้เป็นตัวสร้างเหตุ ใจเป็นตัวสร้างเหตุ ภพเป็นตัวสร้างเหตุ ภพเป็นตัวเก็บข้อมูลต่างๆ อยู่ที่ใจทั้งหมดเลย

แล้วถ้าใจ เห็นไหม อาสเวหิ จิตฺตานิ วิมุจฺจึสูติ อาสวะสิ้นไป จิตตัวนี้มันเป็นวิมุตติไป ภพตัวนี้มันโดนทำลายไป มันไม่มีสถานที่ตั้ง ไม่มีสิ่งใดๆ เลย มารหาไม่เจอ มารค้นคว้าเท่าไหร่ก็ไม่เจอ สิ่งที่ไม่เจอ เห็นไหม ไม่เจอเพราะว่ามารมันอาศัยที่ไหน อาศัยบนหัวใจของสัตว์โลก

ดูสิ เวลาเขาทำบุญกุศลขึ้นไป ไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม เห็นไหม ยังมีฝ่ายมารฝ่ายเทพ เทพฝ่ายเทพ เทพฝ่ายมาร ฝ่ายมารเพราะอะไร เพราะจิตอกุศล จิตมันเป็นสภาวะแบบนั้น เป็นคนพาล พาลอยู่อย่างนั้นตลอดไป แต่ได้สร้างบุญกุศล เห็นไหม บุญมันขับเคลื่อนให้จิตดวงนี้ไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม เป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหมก็ไปเป็นพาลอยู่นั่น เห็นไหม

ดูสิ แม้แต่ในนรกอเวจีก็ยังมีพาลในนรกอเวจีขึ้นมาอีก คนเราทำกรรมโดยไม่ตั้งใจ ทำกรรม.. มันก็ไปเสวยกรรมอย่างนั้น มันก็เป็นผีธรรมดา แต่ไอ้คนพาลมันพาลไปแล้ว มันอยู่ในผีมันยังพาลไปอีก เห็นไหม ดูสิ มันก็ครอบคลุมในอริยสัจ เห็นไหม ทุกข์ สมุทัย สมุทัยตัณหา ความตัณหา ความเป็นพาลในหัวใจมันหนาแน่นมาก ความหนาแน่นมากเพราะไม่มีธรรมะไปขัดเกลา

เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เห็นไหม เราเกิดมาอย่างนี้ เราเกิดเป็นมนุษย์เรามีโอกาส โอกาสตรงไหน โอกาสที่กระแสของธรรมะแรง ดึงไป ถ้ากระแสของธรรมะ เห็นไหม บางทีดูสิ ประเพณีวัฒนธรรมมันแบบว่ามันโรยราไป เห็นไหม เงียบเหงามาก ว่าสังคมนี้ว้าเหว่ ถ้ากระแสสังคม เห็นไหม จัดธรรมะ มีเหตุการณ์ของธรรมะ สิ่งต่างๆ นะ ธรรมะๆ ของใคร?

ถ้าธรรมะของกิเลส ก็เอาธรรมะมาท่องบ่นกันเป็นนกแก้วนกขุนทอง ถ้าธรรมะของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ มันธรรมะเกิดจากใจไง มันสลดสังเวชนะ ทำอะไรสิ่งที่ผิดจากทำนองคลองธรรม มันออกมาจากใจ มันเป็นอกุศล อกุศลมันเกิดจากใจ พอใจมันกระดิกขึ้นมา นี่ขันธ์ไม่ใช่จิต ความคิด เห็นไหม พระอรหันต์จิตพ้นจากกิเลสไปแล้ว แล้วยังมีธาตุขันธ์อยู่ เห็นไหม เสวยอารมณ์ จิตเสวยอารมณ์

เหมือนกับเราเสวยอารมณ์ ขั้วบวกขั้วลบมันทำงานต่อกัน มันเห็นไปหมดล่ะ สติมันอัตโนมัติ อัตโนมัติตรงนี้ อัตโนมัติขณะจิตที่มันเสวยอารมณ์ จิตมันออกมานี่ สติเป็นอัตโนมัติหมดเลย มันจะเคลื่อนขนาดไหน มันรู้หมดขณะจิตเสวยอารมณ์

แต่ขณะที่ว่าเราใช้ขันธ์ ๕ เห็นไหม เราเดินไปสะดุดนั่นสะดุดนี่ เราลืมในความจำ มันเป็นขันธ์ เพราะมันเป็นขันธ์กับจิต มันเป็นขั้วบวกขั้วลบที่มันไม่ทำงานต่อกัน มันไม่สปาร์คต่อกัน มันไม่เกิดออกมาเป็นความรู้สึก เห็นไหม ไม่ได้เสวยอารมณ์ ความเผลอๆ อย่างนี้มันเผลอมี แต่ถ้ามันจะออกมาเป็นอริยสัจ เป็นความตั้งใจ มันจะมีสติสัมปชัญญะพร้อม เห็นไหม เสวยอารมณ์ออกไป ขณะที่มันเสวยอารมณ์ออกไป มันก็เป็นการสื่อสาร เป็นความสัมพันธ์กัน

สิ่งนี้เป็นภาระ ร่างกาย เห็นไหม เป็นภาระ ตัวแบตฯ ที่มันเสื่อมสภาพแล้ว ตัวแบตฯ ที่ว่าเจ้าของไม่ต้องการใช้แล้วเก็บไว้เป็นขยะสังคม แต่ร่างกายนี้ถ้าทิ้งแล้ว มันจะเป็นสภาวะแบบนั้น แต่! แต่มนุษย์มีคุณค่าไง มนุษย์มีคุณค่า ธรรมะมีคุณค่าไง สิ่งนี้จะสื่อความหมายมา เห็นไหม ธรรมสถิตในใจของใคร ถ้าสถิตในใจของปุถุชน มันก็เศร้าหมองไปด้วยกิเลส ธรรมสถิตในใจของพระโสดาบัน มันก็มีกิเลสส่วนใหญ่ครอบงำอยู่ สถิตในใจของสกิทามีก็ได้แค่นั้น ขอบเขตแค่นั้น สถิตในใจของพระอนาคาก็แค่นั้น สถิตในใจของพระอรหันต์ เห็นไหม นี่ครบวงจรทั้งหมด เพราะอะไร?

เพราะเริ่มต้นฐานที่ตั้ง ขณะที่ว่าเป็นสกิทา อนาคา มันมีฐานที่ตั้ง มันมีภวาสวะอยู่ ยังมีอวิชชาอยู่ เห็นไหม ตรงนี้มันเก็บข้อมูลอยู่ ตรงนี้ไม่เข้าใจ แต่ถ้าจบข้อมูล เห็นไหม ใจเขาใจเรา ครูบาอาจารย์ เห็นไหม จากใจดวงหนึ่งให้ใจดวงหนึ่ง ใจดวงที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง ใจดวงหนึ่งที่เข้าใจครบวงจร เห็นไหม ใจทุกๆ ดวงต้องเป็นแบบนี้ ใจทุกดวงนะ

จากใจดวงหนึ่งให้อีกใจดวงหนึ่ง ออกจากใจของครูบาอาจารย์เรา เผยแผ่มาถึงเรา เห็นไหม นี่ใจถึงใจ ธรรมะออกมาจากใจ มันถึงฟังแล้วมันดูดดื่มไง ดูดดื่มเพราะมันออกมาจากใจ ไม่ใช่ออกมาจากสัญญา ไม่ใช่ออกมาจากใจนะ ออกมาจากข้อมูลในหัวใจ แล้วข้อมูลไอ้ตัวอวิชชามันไม่เข้าใจ มันก็สื่อออกไปแบบนกแก้วนกขุนทอง แล้วมันก็ไม่มีรสไม่มีชาติ แต่ถ้าออกไปจากใจ ใจถึงใจ เห็นไหม สิ่งนี้เป็นประโยชน์

เวลาพระกรรมฐาน ผู้ที่ใฝ่ปฏิบัติ เห็นไหม การปฏิบัติสำคัญที่สุดคือการฟังเทศน์ ฟังเทศน์นี่เพราะอะไร ขณะฟังเทศน์นี่มันเหมือนกับเราตรวจสอบตัวเราเอง เราผิดถูกมันจะแทงใจตลอดเวลา มันจะแทงใจเราเลยว่าสิ่งนั้นผิด สิ่งนี้ถูก สิ่งนั้น.. สิ่งนี้ถูกตลอดไป

แต่ถ้าเป็นนกแก้วนกขุนทอง มันเป็นขอบๆ อยู่ข้างนอกไง ไม่ใช่เรื่องของเรา ไม่ใช่เรื่องของเรา เห็นไหม มันจากใจดวงหนึ่งไม่เข้าสู่ใจดวงหนึ่ง เพราะเป็นอริยสัจเป็นเรื่องของโลกๆ แต่ถ้าเป็นการเทศน์ธรรมะออกมาจากใจ จากใจดวงหนึ่งเข้าสู่ใจดวงหนึ่ง เห็นไหม จากใจดวงหนึ่ง เพราะมันเป็นความจริงจากใจดวงนั้น แล้วสะเทือนในใจของเรา

ถ้าสะเทือนใจของเรา เห็นไหม ผู้นั้นมีอำนาจวาสนาเพราะอะไร เพราะมันสะเทือนกิเลสไง กิเลสมันอยู่ที่ใจของเรา แล้วไม่มีใครทำมันได้เลย ไม่มีใครทำให้มันสะเทือน มันรู้สึกตัวได้เลย มันก็อหังการในหัวใจของเรา เห็นไหม นี่มาร มันครอบงำแล้วเราไม่รู้ตัวเลย

แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแทงเข้าไปที่หัวใจแล้วมันสะเทือนใจ มันสะเทือนกิเลส เห็นไหม ถ้ามันสะเทือนกิเลส มันก็มีโอกาส เราถึงจะมีความตั้งใจจะเริ่มภาวนากัน เราถึงมีความตั้งใจว่าเราจะเอาชนะมัน เราไม่เคยชนะตัวเองเลย แพ้มาตลอด ชนะแต่คนอื่น เห็นไหม ตัวเองนี่ราบเรียบยอมจำนนมันตลอดเลย

แต่ในเมื่อมีธรรมของครูบาอาจารย์ มีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทิ่มแทงเข้ามาที่หัวใจของเรา ให้มันรู้สึกสะเทือนใจขึ้นมา ให้มันรู้จัก ชีวิตนี้คืออะไร เกิดมาทำไม ทำเพื่ออะไร นี่มันตั้งโจทย์ถามตัวเองขึ้นมาปั๊บ ตัวเองจะมีคุณค่าทันทีเลย เห็นไหม

ศาสนามีความสำคัญสำคัญตรงนี้ สำคัญตรงยกจิตเราให้มันสูงขึ้นมา ยกจิตของเราให้ค้นคว้าในหัวใจเราขึ้นมา แล้วมันชนะกิเลสของเราขึ้นมา สิ่งนี้ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสถิตอยู่ความรู้สึกของเรา พุทโธ ผู้รู้ๆๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะค้นพบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วพยายามทำความสะอาดของมันขึ้นมา เห็นไหม ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน อันนี้มันตื่นขึ้นมาเพื่อจะชำระกิเลส

จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้เศร้าหมองไปด้วยอุปกิเลส จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้เป็นผู้ข้ามพ้นกิเลส ตัวจิตเดิมแท้เป็นตัวอวิชชา ตัวจิตเดิมแท้คือตัวกิเลสชัดๆ แล้วตัวจิตเดิมแท้นี่ต้องทำลายมัน เห็นไหม อาสเวหิ จิตฺตานิ วิมุจฺจึสูติ เอวัง