เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๑ มี.ค. ๒๕๕o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๕๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ศาสนาเป็นความสำคัญมาก เรื่องของศาสนานะ ถ้าไม่มีศาสนานะ มนุษย์เรานี่ไม่มีอะไรเข้าไปจับต้อง กิเลสมันไม่ไว้หน้าใครนะ ดูสิ เด็กมันก็ประสาของกิเลสของเด็กๆ กิเลสนี่ไม่ไว้ใครเลย จะกษัตริย์ จักรพรรดิ จะทุคตะเข็ญใจ อยู่ใต้อำนาจของกิเลสหมดเลย แล้วเพียงแต่ว่ามันแสดงออกอย่างไร เห็นไหม เด็กก็แสดงออกอย่างหนึ่ง เวลาเขาเรียกร้องของเขา เขาก็เรียกร้องของเขาประสาเด็กๆ เราคนที่มั่งมีศรีสุขขนาดไหน เราก็ไปทุกข์ไปยากอยู่บนกองเงินกองทอง

แต่ถ้ามีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะเข้ามากรองตรงนี้ไง เวลาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เป็นสัจจะความจริงนะ เหมือนกับเราเข้าป่า เราเป็นนายพรานป่า เราจะล่าสัตว์ เห็นไหม นายพรานป่าล่าสัตว์ แต่ละพื้นที่ แต่ละภูมิภาค เขามีเทคนิคของเขาต่างๆ กัน

นายพรานป่า เห็นไหม เราดักสัตว์ เราจับสัตว์ เราได้สัตว์ขึ้นมา เราจะได้สัตว์ตัวนั้น เห็นไหม เสือ ความโลภ ความโกรธ ความหลงนี่เป็นเสือ เสือนี่มันกัดกินหัวใจของเรานะ แล้วเราไม่มีเครื่องมือไปจับมัน ไม่มีเครื่องมือไปทดสอบมันอยู่เลย เห็นไหม ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสำคัญตรงนี้ไง สำคัญตรงที่ว่านี่เป็นวิธีการ

นี่ถึงว่าอริยสัจ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่เป็นทฤษฎี เป็นเครื่องมือ แล้วเราต้องใช้เครื่องมือนั้นเข้าไปจับสัตว์ของเรา เห็นไหม เราจับสัตว์ของเรา เราทำความสงบของใจของเรา เราหากิเลสของเรา เราค้นคว้ากิเลสของเรา เพื่อเรา เห็นไหม วิธีการจับสัตว์ เห็นไหม ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐอย่างนั้น

แต่ในโลกปัจจุบันนี้ว่าเจริญ เห็นไหม เราเจริญกันนะ เขาจับสัตว์มาขังไว้ ดูสิ สวนสัตว์ ซาฟารีเราไปเที่ยวกัน เราไปเดินดูสัตว์ สัตว์เขาจับมาขังไว้ เราก็ไปเดินดูสัตว์ สัตว์ของเราเหรอ นี่ก็เหมือนกันนะ ความโลภ ความโกรธ ความหลง เราเข้าใจ ธรรมะปล่อยวางก็ว่างก็วางกัน นี่เอาสัตว์มาขังไว้ มันเป็นสัตว์ของสวนสัตว์เขา

ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เหมือนกัน ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกนั่นกิเลส เห็นไหม นั่นเป็นกิเลส นี่เป็นความทุกข์ นี่เป็นความสุข.. นี่สัตว์ขังไว้ในกรงทั้งนั้นล่ะ! แล้วเราก็ไปเดินดูสัตว์ในกรงกัน เราว่าเป็นสัตว์ของเราๆ มันเป็นไปได้ไหม มันเป็นไปไม่ได้เลย มันไม่ใช่สัตว์ของเรา มันเป็นสัตว์ของสวนสัตว์เขา เราต้องเสียค่าผ่านประตูเข้าไปดูสัตว์เลย

นี่ก็เหมือนกัน เปิดพระไตรปิฎกมา เห็นไหม ธรรมเป็นอย่างนั้น ธรรมเป็นอย่างนั้น สภาวธรรมเป็นอย่างนั้น ปัญญาเป็นอย่างนั้น ปัญญาของใคร? ปัญญาของใคร? ปัญญากิเลสพาใช้ทั้งหมดเลย เพราะปัญญาของเรา เรามีกิเลสอยู่ เห็นไหม มันถึงต้องทำความสงบของใจเข้ามา จิตถ้าไม่สงบเข้ามานะ..

นี่วิธีการ คนจะเป็นพรานป่า เขาจะออกป่า เขาต้องมีร่างกายแข็งแรงนะ คนเราเดินก็ไม่ได้ คนพิการจะไปจับสัตว์ที่ไหน?

จิตมันไม่มีกำลัง จิตมันอ่อนแอ จิตมันอยู่ใต้อำนาจกิเลส เห็นไหม ต้องบำรุงบำเรอมัน มันจะเอาสุขเอาสบาย มันต้องการ ตัณหาความทะยานอยากมันต้องการเหยื่อเข้าไปกิน แล้วเราไม่ทำความสงบของใจขึ้นมาเลย แล้วเราเอากำลังที่ไหนไปค้นหา? เอากำลังที่ไหนไปจับสัตว์?

แล้วสัตว์เขาสัตว์ป่ามันอยู่ในป่า ไอ้สัตว์มนุษย์! ไอ้สัตว์กิเลสนี่มันอยู่ที่หัวใจของเรา มันอยู่ในร่างกายเรา ของอยู่ในหัวใจเราแท้ๆ เลย เราหาไม่เจอ เห็นไหม เราไปค้นพระไตรปิฎกกัน เราไปค้นหาต่างๆ กัน ค้นมาเท่าไหร่ก็ไม่เห็นๆๆ

ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ประเสริฐ ประเสริฐขนาดนี้นะ แล้ววางธรรมกันไว้ ต่อไปมันจะเป็นผู้ที่ประเสริฐทั้งนั้น เป็นปัญญาชนทั้งนั้น ใช้ปัญญาทั้งนั้น แล้วก็ไปเดินดูสวนสัตว์กัน ก็ไปดูสวนสัตว์ อู๋ย..เจอสัตว์ เจอช้าง เจอเสือ เจอหมี เจอไปหมดเลย แต่ไม่ใช่ของเราแม้แต่ตัวเดียว ไม่มีอะไรกระเทือนหัวใจเราเลย หัวใจของเรานี่ไม่ได้แก้ไขเลย

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพระอานนท์ไว้ ตอนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน เวลาเขาเอาดอกไม้มาบูชากัน เอาลาภสักการะมาบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

“อานนท์ บอกเขานะให้ปฏิบัติบูชา เราองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนาในการปฏิบัติบูชา อามิสบูชาอย่างนี้ไม่ปรารถนาเลย”

อามิสบูชา เห็นไหม เด็กมันก็เอามาได้ ใครก็เอามาได้นะ เด็กๆ มันก็หาแต่พ่อแม่ บอกนี่เอาไปทำบุญๆ เด็กมันก็เอาไปทำได้ แต่ปฏิบัติบูชาเด็กทำไม่ได้นะ เด็กมันไม่เข้าใจของมัน แต่ต้องเป็นผู้ใหญ่ถึงจะปฏิบัติบูชาได้ เพราะอะไร? เพราะการปฏิบัติบูชามันต้องดัดแปลงตน มันต้องต่อสู้กับกิเลสของเรา ต้องต่อสู้กับความต้องการปรารถนาของเรา แล้วเวลาปฏิบัติขึ้นไปก็ปฏิบัติโดยกิเลส ถ้าปฏิบัติแล้วต้องสะดวก ต้องการอำนวยความสะดวก

อำนวยความสะดวกให้กิเลสไง กิเลสมันไปเอากิเลส เห็นไหม น้ำสกปรกไปแก้ไขความสกปรก มันแก้ไขไม่ได้นะ ความสกปรกนั้นต้องเอาน้ำสะอาดไปแก้ไขมัน แล้วน้ำอะไรสะอาดล่ะ?

ต้องใจที่มันบริสุทธิ์ไง ใจที่สะอาด ใจที่เป็นสมาธิไง ใจที่เป็นกลางไง แล้วเป็นกลางของใคร?

กิเลสมันก็หลอกอีก เป็นกลางของมัน เห็นไหม ว่างๆ ว่างๆ เป็นกลางของกิเลส กิเลสมันถือหางไว้ไง กิเลสมันจับหางไว้ แล้วมันบอกว่างๆๆ เราก็ว่างๆ ตามมัน

แต่ถ้ามันเป็นความว่างความจริง ไม่มีกิเลสถือหาง มันจะเป็นความว่างของมัน มันจะมีพลังงานของมัน พลังงานของมัน เห็นไหม กำหนดพุทโธก็ได้ กำหนดลมหายใจก็ได้ กำหนดอะไรก็แล้วแต่ จะเป็นปัญญาอบรมสมาธิเข้ามาก็แล้วแต่ มันจะมีพลังงานของมัน มันจะเป็นความสะอาดบริสุทธิ์ของเขา เหมือนนายพรานป่าที่เขาตั้งใจจะไปจับสัตว์ป่า เห็นไหม เขามีเครื่องมือของเขาพร้อม เขามีเสบียงอาหารของเขาเตรียมไปพร้อม เขาจะไปนั่งแรมที่ไหน เขาจะไปนั่งห้างที่ไหน เขาจะมีอาหารของเขาไปพร้อม เขาจะนั่งกี่วัน ๗ วัน ๘ วันเขาก็นั่งได้ เพราะอะไร เพราะเขาเตรียมพร้อมของเขาไป

จิตก็เหมือนกัน ถ้ามันมีความสงบของใจขึ้นมา มันมีกำลังของมันขึ้นมา ถ้ามีกำลังขึ้นมา เวลาปัญญามันเกิดขึ้นมา มันเป็นโลกุตตรปัญญา แต่ถ้าเป็นปัญญาของเราที่ว่าเราเป็นปัญญาๆ ที่ว่านี่ เห็นไหม เวลาประพฤติปฏิบัติก็ไปดูในสวนสัตว์ ไปเห็นสัตว์ก็ว่านี่สัตว์เป็นอย่างนั้น วิเคราะห์วิจารณ์ใหญ่นะ เสือตัวนั้นร่างกายแข็งแรง เสือตัวนั้นอ่อนแอ เสือตัวนั้นลายสวยไม่สวย ไปดูแต่สัตว์ของคนอื่น เพราะจิตมันเป็นปัญญาอย่างนั้นไง ก็วิเคราะห์ ฉันรู้แล้วๆๆ ไง เก่งไปหมดเลย! กิเลสมันพาเก่ง เห็นไหม แต่ถ้ามันเป็นพลังงานของมัน มันจะสงบๆ ของมันเข้ามา เห็นไหม มันสงบของมันเข้ามา ถ้าจิตมันสงบได้ จิตมันมีกำลังของมันได้ แล้วมันย้อนไปวิปัสสนาได้ โลกุตตรปัญญามันเกิดตรงนี้ไง

โลกุตตรปัญญา.. ที่ปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนาให้ชาวพุทธเราได้ค้นคว้าในพระไตรปิฎก ค้นคว้าในพระไตรปิฎกเป็นทฤษฎี เป็นเพื่อความถูกต้อง เป็นการตรวจสอบไง ตรวจสอบว่าให้เราเทียบเคียงว่าจริงหรือไม่จริง แล้วเทียบเคียงนั้นเทียบเคียงเป็นทฤษฎีใช่ไหม? แต่ความจริงมันเป็นความจริงของเรา

คนบอกว่านี่ปฏิบัติได้หมดเลย ขับรถนี่ทุกคนไปได้หมด เห็นไหม เวลามึงง่วงเหงาหาวนอน เขาบอกให้พักข้างทางก่อน ให้พักข้างทางอย่าขับไปนะ..อันตราย แต่เราบอกเราขับได้ เราขับได้ ขับไปนะ มันหลับในนะ มันชนตายไปแล้วมันยังบอกมันยังขับได้เลย

นี่ก็เหมือนกัน ว่างๆๆๆ ว่างทั้งกะปี ว่างแล้วว่างได้อะไรขึ้นมา? ว่างไม่มีกำลัง เห็นไหม เพราะอะไร เพราะเป็นมิจฉาสมาธิ สมาธิของกิเลส กิเลสถือหางสมาธินั้น กิเลสถือหางปัญญานั้น ทั้งสมาธิทั้งปัญญาทั้งมรรคทั้งหมดอยู่ในอำนาจของกิเลสหมดเลย นี่ปฏิบัติโดยโลกียปัญญา ปฏิบัติโดยกิเลส

ถ้ามีครูบาอาจารย์จะแบ่งแยกตรงนี้ไง ให้ปฏิบัติเป็นโลกุตตรปัญญา ธรรมเหนือโลก โลกุตตรธรรม ธรรมเหนือโลก โลกคืออะไร?

โลกคือหมู่สัตว์นี่ไง โลกคือหัวใจเรา มันเป็นโลกทัศน์ภายใน เพราะมันมีตัณหาความทะยานอยาก มันถึงไปเกิดในโลกของมนุษย์ โลกของสัตว์ โลกของเทวดา โลกของอินทร์ โลกของพรหม นี่ธรรมเหนือโลกมันต้องเหนือหัวใจเรา เหนือความหลบซ่อนในหัวใจ มันถึงต้องค้นคว้านะ ครูบาอาจารย์ที่ประพฤติปฏิบัติมามันสลดใจตรงนี้ไง สลดใจว่าธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม

“อานนท์ กึ่งพุทธกาลศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง”

ในปัจจุบันนี้ครูบาอาจารย์ของเรานี่มาค้นคว้านะ ถ้าได้ศึกษาประวัติครูบาอาจารย์นะ กว่าท่านจะค้นคว้าของท่านมาได้นะ วินัยกรรมแต่ละข้อนี่กว่าจะฟื้นฟูมาได้เพราะอะไร? เพราะว่าผู้ที่ฝ่ายปกครองอยู่ เขาหาว่าผู้ที่ปฏิบัตินี่ทำเกินหน้าไง แต่ของเรา ดูสิ ฟังสิ ถ้าร่างกายเราอ่อนแอ เราจะทำอะไรได้? จิตของเราอ่อนแอ จิตไม่เป็นสมาธิ จิตที่ไม่เป็นกลาง ให้กิเลสมันครอบคลุมอยู่ มันจะไปทำอะไรได้?

ถ้ามันทำให้สะอาดขึ้นมา มันก็ต้องศีลบริสุทธิ์ก่อน เห็นไหม ต้องศีล สมาธิ ปัญญา

ก็ศีลไม่จำเป็น ศีลไม่จำเป็น.. ใช่..ไม่จำเป็น มันเป็นวิธีการ นี่น้ำมันไม่จำเป็น พลังงานไม่จำเป็นหรอก น้ำมันไม่จำเป็นเลย แต่เวลาเราเดินทางจำเป็นไหม? นั่งอยู่นี่ไม่จำเป็น น้ำมันอยู่ที่ปั๊ม ไม่ต้องไปเติมหรอก เสียตังค์เปล่าๆ แต่ขณะเดินทางอยู่น้ำมันจำเป็นไหม?

นี่ก็เหมือนกัน ศีลไม่จำเป็น ใช่..ไม่จำเป็น ถ้าเราไม่ผิดศีล ถ้าเราไม่ประพฤติปฏิบัติ แต่ถ้าเราจะเริ่มดำเนินไป ศีลจำเป็นไหม? พอเริ่มปฏิบัติปั๊บ นิวรณธรรมเกิดแล้ว นั่นก็ผิด เอ๊..นั่นก็ไม่แน่ใจ นั่น.. จำเป็นไหม? จำเป็นไหม?

เริ่มต้นมันก็ทำเราไขว้เขวอยู่แล้ว ทั้งๆ ที่มันยังไม่ได้ประพฤติปฏิบัติเลย เห็นไหม นี่ศีล สมาธิ ปัญญา เราถึงต้องรักษาของเรามา เพื่อจะไม่ให้กิเลสมันหลอกไง

เรามาอยู่นี่ เห็นไหม บ้านยังไม่ปิดประตูเลย ไฟก็ยังไม่ได้ปิด เห็นไหม มันย้อนไปอดีต เวลาจะก้าวเดินปั๊บมันก็ย้อนไปอดีต ถ้าศีลเรามาโดยปกติแล้ว ในปัจจุบันนี้ เราปรับมานั่งสมาธิอยู่นี้ มันจะหลอกเราไม่ได้เลย ทุกอย่างปิดหมดแล้ว บ้านเรือนปิดเรียบร้อยหมด ศีลสะอาดบริสุทธิ์หมด จะทำอะไรก็ทำได้

เวลาประพฤติปฏิบัติกันก็ว่าปัจจุบันนี้นั่งสมาธิ นั่งสมาธิ.. นั่งสมาธิทำไม่ได้เลย มันไม่ย้อนไปดูสิ่งที่มาไง ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ สิ่งที่ประพฤติปฏิบัติมาแต่เหตุ ปัจจุบันที่มานั่งอยู่นี้เรามาจากไหน? จิตที่เกิดมานั่งอยู่นี้มาจากไหน มันมาจากเหตุ มาจากบุญกุศลที่เกิดมาเป็นมนุษย์นี่ไง แล้วเมื่อวานนี้มาจากไหน? ศีลมาจากไหน? ปฏิบัติมาจากไหน? มันย้อนสาวไปหาเหตุ เพราะเหตุมันปกติขึ้นมา มันก็ทำให้เราดีขึ้นมา

ถ้าดีขึ้นมาในการปฏิบัติปัจจุบันมันก็เป็นประโยชน์ขึ้นมา เห็นไหม พอประโยชน์ขึ้นมาปั๊บ มันสะอาดมาแต่ต้น เราก็เป็นนายพราน เราก็มีเครื่องมือดักสัตว์ ถ้าเราจับสัตว์ได้ เห็นไหม จับใจได้ มันเป็นวิปัสสนาไง สัตว์ตัวนี้มันดุร้ายไหม สัตว์ตัวนี้เป็นสัตว์ใหญ่สัตว์เล็ก เห็นไหม กิเลสตัวเล็กตัวน้อยตัวใหญ่มันอยู่ในใจเรา เราจับได้ทีละตัว เราฆ่ามันทีละตัวสองตัวสามตัวขึ้นมา นี่กิเลสมันก็เบาลงๆ

จับสัตว์เราให้ได้! อย่าไปดูสวนสัตว์!

สวนสัตว์เป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นธรรมสาธารณะ ถ้าเป็นธรรมของเรา เป็นธรรมะส่วนบุคคล ธรรมของเรา “เวลากิเลสขาดดั่งแขนขาด” กินข้าวน่ะกินใส่ปากเรา เรากินข้าว เราได้อาหารของเรา เราไปนั่งดูกินข้าวนะ จะโต๊ะละกี่แสนๆ ก็แล้วแต่ อร่อยมาก แต่ไม่เคยได้ลิ้มรสเลย ธรรมของครูบาอาจารย์ก็เหมือนกัน เราไปดูสมบัติของเขานะ

สำคัญที่ครูบาอาจารย์เป็นผู้ชี้นำ โคนำฝูง โคที่ฉลาดจะพาฝูงโคนั้นข้ามพ้นฝั่ง โคไม่ฉลาดพาฝูงโคนั้นไปอยู่วังน้ำวนในวัฏฏะ แล้วก็จะเกิดตายเกิดตายไปอย่างนั้นนะ นี่เกิดตาย เวลาพูดธรรมะ เห็นไหม ทำไมไม่พูดเรื่องร่ำรวยมั่งมีศรีสุข ทำไมพูดแต่เรื่องเกิดตาย เรื่องนิพพาน

ก็นี่เป้าหมายของศาสนาไง เราตั้งกันนะอธิษฐานบารมี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นพระโพธิสัตว์ สร้างบุญกุศลขึ้นไป นี่ก็เหมือนกัน เราก็ตั้งเป้าหมายถึงที่สุด คือให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ แล้วจะทำถึงไม่ถึงนั้นเป็นหน้าที่ของเรา เป้าหมายทำไมจะตั้งไม่ได้ เวลารวยทำไมอยากรวยล่ะ ศาสนานี่ที่สุดแห่งการสิ้นสุดแห่งทุกข์ แล้วประพฤติปฏิบัติได้ก็เป็นวาสนาของเรา

การเกิดเป็นมนุษย์นี่ก็แสนยาก การพบพระพุทธศาสนาก็แสนยาก เพราะห้าพันปี ล้านปี กี่ล้านปีโลกนี้ก็พิสูจน์ได้ ประวัติศาสตร์พิสูจน์ได้ เห็นไหม แล้วศาสนานี่เกิดอีก ๕,๐๐๐ ปีหมด สองพันห้าร้อยกว่าปียังเถียงกันปากเปียกปากแฉะเกี่ยวกับการปฏิบัติเลย แล้วถ้ามีครูบาอาจารย์ของเราชี้นำ เห็นไหม นี่วาสนามันกี่ชั้นกี่ซับกี่ซ้อนของเรา เรามีวาสนามากเลย แล้วเราไม่ฉวยโอกาสที่เป็นวาสนาของเรา ตายแล้วตายเปล่า

เวลาพูดถึงทางครอบครัวนะ พ่อแม่ฝากมรดกอะไรไว้ เอามรดกมาเปิดกัน เห็นไหม พินัยกรรมเปิดเพื่อจะเอาสมบัติกัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝากมรดกไว้ แล้วเราขุดค้นในใจ ถ้าเราทำได้นะ นี่มรดกธรรม

เขาว่า ธรรมะเป็นธรรมชาติๆ ธรรมชาติมันแปรปรวนอยู่อย่างนี้แหละ แต่ธรรมะที่เราฟื้นฟูในใจของเราจะเป็นธรรมะของเรา เป็นอกุปปธรรม คือธรรมที่ไม่แปรสภาพ ธรรมที่คงที่กับใจดวงนี้ไปตลอด นั้นคือธรรมของเรา ธรรมะส่วนบุคคลที่เราค้นคว้ามาประดับในหัวใจของเรา

เรามีโอกาสขนาดนี้ ทางโลกเขาขอโอกาสกัน ขอเวลาทำงานกัน นี่เรามีโอกาสเพราะยังมีลมหายใจอยู่ เพราะเรายังมีความรู้สึกอยู่ หัวใจนี่เป็นโอกาส หัวใจนี่เป็นผู้รับธรรม หัวใจนี่เป็นคนสัมผัส ถ้าหัวใจนี้ประเสริฐขึ้นมา หัวใจสัมผัส นี่มรดกของเรา

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝากไว้ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เป็นเจ้าของศาสนา แล้วใครสามารถเอาศาสนานั้นมาประดับในหัวใจของบุคคลคนนั้น นั่นน่ะผู้นั้นได้รับมรดกโดยสมบูรณ์ เอวัง