เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑o เม.ย. ๒๕๕o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ไอ้เรื่องนี้มันเรื่องความเห็นนะ ถ้าใครไม่เข้าใจเรื่องนี้มันจะไม่เข้าใจเรื่องอย่างนี้เลย ฉะนั้นบางอย่างมา เห็นไหม ถึงว่าทำไมครูบาอาจารย์บางทีดุนัก บางทีไม่เห็นดุเลย มันไม่ดุไม่ได้รู้ไหม บางทีเขาไม่เข้าใจ คนที่ไม่เข้าใจ คนที่ไม่รู้นี่อวิชชามันครอบงำอยู่ แล้วจะไปเปิดให้รู้เลยไม่ได้หรอก แล้วเขามาส่วนใหญ่แล้วนะ มันกบในกะลา ทุกคนเอากะลาครอบหัวมา แล้วก็พูดไอ้เรื่องในกะลาของตัวนั่นล่ะ ในสมองแม่งมีเท่าไหร่ก็พูดแค่นั้น แล้วก็พูดวนอยู่ตรงนั้นน่ะ

ถ้ามึงมาหากูนะ มึงเปิดกะลาก่อนสิวะ มึงเปิดกะลาออกมา แล้วมึงจะเห็นเลยว่าแม่งโลกนี่ยังกว้างขวางอีกเยอะนัก มึงอย่าเอากะลาครอบหัวมึงมา เอากะลาครอบหัวมานะ แล้วก็มาโม้อยู่อย่างนั้น มันทุเรศ มันทุเรศแสนจะทุเรศ นี่ไง เห็นไหม คนโง่แล้วอวดฉลาด เวลาครูบาอาจารย์ท่านสอน

“โลกนี้คนโง่มากหรือคนฉลาดมาก”

“คนโง่มาก”

ถ้าคนโง่มากนะเขาจะติฉินนินทา เขาจะติเตียน เขาจะโจมตีอย่างไร มันเป็นเรื่องของคนโง่ แต่ถ้าคนฉลาดนะ แม้แต่คนเดียว เด็กๆ มันพูดยังต้องฟังมันเลย เวลาหลวงตาท่านพูดนะ ถ้าเณรมันทำถูกยังต้องกราบเณรเลย ถ้าเณรมันทำถูกต้องนะ เรายังต้องฟังมันเลยนะ เณรมันทำให้คติเรา เราพูดบ่อย เห็นไหม เด็กที่ไร้เดียงสา เวลามันพูดออกมาด้วยไร้เดียงสาของมัน มันไม่รู้เรื่องหรอก มันพูดไปตามประสาไร้เดียงสาของมัน แต่มันสะกิดใจผู้ใหญ่นะ บางทีมันสะกิดใจเรา เด็กมันถามขึ้นมา เราตอบไม่ได้หรอก สะกิดใจเราเลย แต่มันก็ยังไม่รู้ เห็นไหม นี่ความไร้เดียงสาของมัน

ถ้ามันทำถูกต้อง อันนั้นเป็นความถูกต้อง แต่ถ้ามันเป็นเรื่องของอวิชชาเป็นเรื่องของอย่างนี้ แล้วมันจะมาทิฏฐิกัน เราให้มาเปิดนะ มีพระเยอะมาก วงการพระนี่นะเวลามาแบกทิฏฐิมา แล้วก็นึกว่าอาจารย์องค์นี้เก่ง ก็ต้องสอนผมสิ แล้วมันเอากะลาครอบไว้ “สอนผมสิๆ” แล้วเอากะลาครอบไว้ แล้วใครจะไปสอนมึงล่ะ ก็ถีบมึงออกจากวัดไปก็หมดเรื่อง นี่มันเอาทิฏฐิมาอย่างนี้มันใช้ไม่ได้ นี่พูดประสาเรานะ

แต่เวลาการกระทำมันก็ทำอีกอย่างหนึ่ง การกระทำมันก็ต้องมีอุบายใช่ไหม เอ็งไปเที่ยวไป เอ็งออกไปวิเวกเถอะไป นั่นน่ะกูถีบมึงออกไปแล้วล่ะ มึงไม่รู้เรื่องหรอก เพราะเอาไว้มันก็ไร้ประโยชน์ เอาไว้ไม่มีประโยชน์หรอก แต่ถ้าเขาสำนึกตัว เห็นไหม เวลาฟังธรรมถึงว่าถ้าฟังธรรมแล้วขนลุกขนพองนะ ฟังธรรมแล้วสะเทือนใจนะ สิ่งนั้นคนมีโอกาส แต่ถ้าฟังแล้วนะ ฟังเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาหนึ่ง สองครูบาอาจารย์แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาเทศนาว่าการ ถ้าคนต่างลัทธิมันไม่ฟังหรอก แล้วมันโต้แย้งด้วย แล้วนี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการเอง เขายังไม่ฟัง เขายังไม่ต้องการเลย เห็นไหม

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “ฆ่ามันทิ้ง” ฆ่ามันทิ้งคือชักสะพานซะ ไม่ต้องพูดกับมัน นั่นน่ะโอกาสเราฆ่าทิ้ง แต่เราต้องฆ่าทำลายกัน แต่ขณะที่ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เทศนาว่าการนะ นั่นน่ะตัดโอกาสมันแล้ว ฆ่ามันแล้วน่ะ ฆ่ามันคือชักสะพานไง ไม่พูดกับมัน มันตัดโอกาส มันเสียโอกาสแล้วนะ นี่การฆ่าขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือว่าเราไม่ปฏิสันถารเขา เราไม่ยุ่งกับเขา ให้เขากลับไป นี่เพราะมันไม่มีโอกาสเห็นไหม

ถ้าเจออย่างนั้นไม่ต้องพูด ไม่ต้องพูด ไม่ต้องอะไร ให้รอด้วย รอให้มันไปซะ ให้มันกลับด้วยความชื่นใจของมัน ให้มันได้เอากะลามาอวดแล้วมันกลับไปนะ เรื่องของมัน แล้วเราแก้ไขของเราไป แก้ไขโดยเบื้องหลังเขาลับหลังเขานะ เพราะมันไม่มีประโยชน์หรอก จำไว้เลยไปทำธุรกิจก็เป็นอย่างนี้ ถ้ามันมาโดยที่มันไม่รู้นี่ มันก็ยืนกระต่ายขาเดียวอยู่อย่างนั้น เห็นไหม มันยืนกระต่ายขาเดียวแล้วก็โต้แย้งอยู่อย่างนั้น แล้วเราจะไปเถียงมันทำไม เรานี่โง่ ๒ ชั้นนะ

คนถ้ามันโง่มันอวดโง่แล้วนี่ เราจะไปอวดโง่กับมันอีกนะ จะไปสอนคนโง่ไง จะไปสอนคนตาบอดนี่มันโง่กว่าเขาอีก งั้นไม่ต้องสอนคนโง่หรอก เอ้า! มึงโง่แล้วอวดฉลาด เอ้า! มึงฉลาดของมึงไป พอมึงกลับ มึงพ้นจากหลังกูไปนะ ของที่เอามากูโยนทิ้งหมดเลย ไร้สาระ...

แต่ต่อหน้ามันทำนะ บางทีมันทำไปแล้ว เห็นไหม เป็นพระนะ ถ้าเรามีประสบการณ์ชีวิต เห็นไหม เมื่อวานฟังเทศน์อาจารย์จวน ท่านจดหมายมาถามหลวงปู่มั่น “ท่านจวน ท่านให้มันมีความมั่นคงนะ เพื่อจะเป็นเกียรติยศกับศาสนาต่อไป” เป็นเกียรติกับศาสนา ศาสนานี่ถ้ามีผู้รู้จริง ผู้ที่มาเผยแผ่ธรรมนี่ เป็นเกียรติกับศาสนา ศาสนาเป็นสิ่งที่มีดั้งเดิมมีอยู่แล้ว แต่มันละเอียดอ่อนที่ไม่มีใครสามารถจะสื่อออกมาได้ ถ้าเรามีความเข้มแข็ง เรามีความรู้จริง เราสามารถเอาธรรมะออกมาแผ่กระจายได้ เป็นเกียรติกับศาสนา เห็นไหม

เวลาเราปฏิบัตินะ อย่างที่ครูบาอาจารย์ท่านว่า เพชรน้ำหนึ่งๆ นี่ มันเพชรน้ำหนึ่ง เหมือนพระพุทธรูปนี่องค์หนึ่ง ก็เหมือนกับศาสนาแล้วมีเพชรประดับ ใครผู้รู้จริงองค์หนึ่งก็เหมือนเพชรเม็ดหนึ่ง ประดับไว้ๆ เห็นไหม นี่เป็นเกียรติกับศาสนา ประวัติอาจารย์จวนเมื่อวานออกวิทยุไง เวลาท่านขึ้นไปเชียงใหม่แล้วจดหมายมาถามหลวงปู่มั่น เกิดนิมิต เห็นนิมิตต่างๆ แล้วถามว่านี่มันเป็นภาษาบาลี ถามหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นว่า “ท่านจวน ให้เข้มแข็ง แล้วให้เข้มแข็งไว้ ให้มีจุดยืนไว้ ต่อไปท่านจะเป็นเกียรติของศาสนา” เห็นไหม เกียรติของศาสนาหมายถึงว่าเราทำแล้วเป็นประโยชน์กับศาสนา

ดูสิ ทำอะไรออกมาแล้วนี่เป็นสิ่งที่ว่าเชิดชูเขา ให้คนได้ศึกษา ให้คนได้เป็นสิ่งที่สะกิดใจนะ สะกิดใจนี่สำคัญมาก อย่างเช่น พวกเรานี่ ถ้าเราถามว่าชีวิตนี้คืออะไร ชีวิตเรานี่คืออะไร เกิดมาทำไม เกิดมาเพื่ออะไร มันจะเห็นคุณค่าชีวิตเลยนะ แต่ตอนนี้เราไม่ถามว่าชีวิตนี้คืออะไร เราถามแต่ว่าเราจะรวยเมื่อไหร่ เราจะมีสมบัติเมื่อไหร่ เราไปถามกันตรงนั้นไง เราลืมคุณค่าตัวเอง

มีพวกข้าราชการมาหามากเลย เสียใจมากเพราะตัวเองไม่ได้ ๒ ขั้น ๓ ขั้น เราบอก “ไอ้นั่นมันหัวโขนนะ เวลาเราได้ เราเป็นคนไปได้นะ เราต่างหากไปได้ตำแหน่ง ๒ ขั้น ๓ ขั้นนะ ถ้าไม่มีเรา ๒ ขั้นมันมีไหม มันก็มีของมันอยู่อย่างนั้น เราได้ ๒ ขั้น ๓ ขั้นมานี่นะ พอเดี๋ยวเวลาแล้วเราก็เลื่อนตำแหน่งของเราไป ไอ้ ๒ ขั้นนั้นก็ทิ้งไว้ข้างหลัง” เห็นไหม แต่ถ้าไม่ได้นะมันเจ็บปวด มันเจ็บปวด มันทุรนทุราย เราถึงบอกว่า ทำไมไปเอาเรื่องของหัวโขนมาบีบคั้นเราล่ะ ทำไมเอาเรื่องของหัวโขนมาทำให้เราต่ำต้อยล่ะ ชีวิตเรานี่มีคุณค่ามากกว่าเขานะ

โลกนี้มีเพราะมีเรา สมบัติมีเพราะมีเรา เราเป็นเจ้าของสมบัติ สมบัตินั้นเป็นของเรา สมบัติมีอยู่แล้ว ปัจจัยเครื่องอาศัยน่ะ ถ้ามันเป็นสมบัติของเรา เราหามาเป็นสมบัติของเรา เราหามาได้โดยธรรม อันนี้มันก็เป็นลาภ ลาภที่ควรได้และลาภที่ไม่ควรได้ ลาภบางอย่างไม่ควรได้นะ มันไม่จำเป็นไม่ควรจะได้เลย เราไปได้มาน่ะทุกขลาภ ได้มาแล้วเป็นความเดือดร้อนเห็นไหม สิ่งนั้นได้มาแล้วจะเก็บซ่อนอย่างไร จะเก็บงำอย่างไร จะไม่ให้ใครรู้ไม่ให้ใครเห็นน่ะ ทุกขลาภ ลาภที่ไม่ควรได้ เราไปเอามาให้มันเจ็บช้ำทำไม ลาภที่ควรได้เราก็เอาของเรามา ลาภที่ควรได้มันได้มา เห็นไหม

นี่ก็เหมือนกัน ปัจจัยเครื่องอาศัยแก้วแหวนเงินทอง ถ้ามันเกิดกับเราโดยสัมมาอาชีวะ เราจะปฏิเสธได้อย่างไร เพราะอะไร? เพราะเราสร้างบุญมาไง เราสร้างของเรามา สิ่งใดที่เราสร้างมาแล้วเป็นของเราแน่นอน ถ้าไม่ได้สร้างมานะ เราทำของเราได้ ๕๐ เปอร์เซ็นต์ อีก ๕๐ เปอร์เซ็นต์ก็ทุกข์ร้อนมาก ทำไมมันไม่เข้าเป้าๆ บางทีก็เข้าเป้า บางทีก็ไม่เข้าเป้า เพราะ เพราะชีวิตนี้มีลุ่มๆ ดอนๆ

แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าสร้างทานบารมีมานี่ ๔ อสงไขย แสนมหากัป เป็นผู้ที่ทานเลิศที่สุด เห็นไหม เวลาเอตทัคคะ ว่าพระสีวลีนี่เป็นผู้ที่มีเลิศในทาน แต่เลิศขนาดไหนก็เป็นผู้ตั้งเขาต้องมีมากกว่าเขา ถึงจะรู้ว่าเขาระดับไหน เห็นไหม ขนาดที่ว่าเวรัญชพราหมณ์ ที่นิมนต์ไว้จำพรรษาจนลืมนะ ลืมใส่บาตร แล้วมันมีเกิดข้าวยากหมากแพง ไม่มีใครใส่บาตรนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฉันข้าวกล้อง ข้าวกล้องนี่เอามาบด เพราะพระภิกษุทำอาหารสุกเองไม่ได้ เป็นอาบัติปาจิตตีย์ สิ่งที่ได้มาต้องเอาข้าวดิบ...

เขาต่างศาสนาเขามาค้าโคต่าง แล้วเขามีข้าวให้ม้าไง วันหนึ่งเขาให้ม้าเท่าไหร่ เขาก็จะให้พระเท่านั้น พระได้รับมาแล้วก็เอามาบด บดให้เป็นแป้งแล้วเอาน้ำพรม ฉันอย่างนั้น จะบอกว่าแม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาแบบว่าไม่มีใครใส่บาตร ยังมีเลย แล้วเวลาใส่บาตร เห็นไหม แย่งกันนะๆ ขนาดกษัตริย์ออกรบ ลูกกษัตริย์ออกรบ กลับมาขอพรพ่อ พ่อบอกเป็นคนถวายทานองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วไปรบกลับมา ให้พร ให้พรขออะไรรู้ไหม ขอให้ได้ถวายอาหารองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แย่งกันขนาดนั้นนะ

ทุคตะเข็ญใจไปขอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม ดูสิ เศรษฐีมาขอแลกกิจนิมนต์ ไม่ให้ๆๆ เวลาลาภมากก็มาก แต่ถึงเวลามันก็สภาวะอย่างนั้น ชีวิตเรามันต้องมีลุ่มๆ ดอนๆ โดยธรรมชาติ ชีวิตเราจะราบรื่นเอาจากไหน แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังมีทุกข์มียากอย่างนั้น ไอ้ทุกข์ยากเพราะอะไร ถามตัวเองกลับมาไง ว่าชีวิตนี้คืออะไร มีลมหายใจไหม มีเราไหม ถ้ามีลมหายใจนะ ไอ้สิ่งปัจจัยเครื่องอาศัยน่ะ ถ้ามันขาดแคลนบ้างอะไรบ้างเราก็เจือจานกัน

ดูสิ ดูพระสิ เห็นไหม ถือธุดงควัตร มีผ้า ๓ ผืน ตั้งแต่บวชจนตายนะ หลวงตานี่บวชมาแล้วเกือบ ๘๐ ปี เพราะบวชตั้งแต่อายุ ๒๐ ใช่ไหม นี่เกือบ ๑๐๐ น่ะ ๘๐ ปีใช้ผ้า ๓ ผืนตลอด ไม่เคยเปลี่ยนเลย ไอ้เรานี่เปลี่ยนทุกวันนะ เสื้อผ้านี่เปลี่ยนทุกวันๆ มันก็ยังไม่พอใจเลย ถ้าใจมันบกพร่อง ใจมันทุกข์ยาก อะไรก็ไม่พอใจมัน แต่ถ้าใจมันอิ่มเต็มนะ เห็นไหม ธงชัยพระอรหันต์ ผ้าจีวรเป็นธงชัยพระอรหันต์ เราได้ใช้ เราได้สิ่งต่างๆ

สิ่งนี้มันบ่งบอกถึงอะไร? บ่งบอกถึงว่าเราเชื่อมั่นในอะไร ธงชัยพระอรหันต์ ถ้าเราเข้าถึงธงชัยอันนั้นได้ เราใช้ชีวิต เห็นไหม ประเพณีของอริยเจ้า ประเพณีวัฒนธรรมของเรา ประเพณีของสมมุติ ทำไปเพื่อประเพณี เพื่อความสวยงามของสังคม แต่ถ้าประเพณีของพระอริยเจ้า เห็นไหม เพราะยกจิตยกใจของเราขึ้นไปไง ปัจจัยเครื่องอาศัยมันมีแค่บริขาร ๘ บริขาร ๘ นี่พอแล้วนะ

เห็นไหม มีกล่องด้าย มีเข็มเอาไว้ปักชุนของเรา เวลามันเปื่อยขาดขึ้นมาเพราะอะไร? เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ประหยัด ไม่ให้ฟุ่มเฟือย ให้ใช้ผ้าแค่ ๓ ผืน แล้วเวลาแค่ถ้าขาดทะลุแค่หลังตัวเรือด เห็นไหม แค่หลังตัวเรือด แค่เม็ดถั่วเขียวผ่านได้ ถ้าเห็นถ้าไม่ได้ปักชุน เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ มีน้อยชิ้นด้วย ต้องรักษาด้วย ไม่ให้ขาด ไม่ให้ทะลุ ให้เรียบร้อยเห็นไหม เพื่อจะไม่ให้ไปอุจาดกับสังคม บัญญัติมาทั้งหมดนะ ให้ประหยัดมัธยัสถ์ ให้รู้จักใช้รู้จักสอย ให้เข้าใจ

ถ้าหัวใจมันพอใจมันจะมีความองอาจนะ มันจะชื่นชมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ชีวิตนี่ชีวิตประหยัดมัธยัสถ์ ประหยัดมัธยัสถ์ในปัจจัยเครื่องอาศัย แต่เวลาวิปัสสนาขึ้นมานี่ปัญญามันเกิดขึ้นมานี่ ประหยัดไม่ได้ ต้องมีคันเร่งเลยนะ ศรัทธาเห็นไหม นั่งตลอดรุ่ง จะเดินจงกรมทั้งวันทั้งคืน จะอดนอนผ่อนอาหาร อย่างนี้ไม่ประหยัดนะ อย่างนี้เราต้องทุ่มเท ทุ่มเทเป็นความเพียรชอบ ความเพียร ความอุตสาหะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกให้ปล่อยวางใช่ไหม เราก็ปล่อยวางกัน ไม่ทำอะไรกันเลย ปล่อยวาง ว่างๆ

ไม่ใช่หรอก ความเพียรชอบ ต้องมีความขยันหมั่นเพียร ทำขึ้นมาจนมีความรู้ความเข้าใจ แล้วปล่อยวางมัน เพราะอะไร? เพราะมันเป็นเรื่องโลกๆ เห็นไหม สิ่งสมบัติพัสถานเป็นของเราไหม เราไม่พลัดพรากจากเขา เขาก็ต้องพลัดพรากจากเรา สิ่งต่างๆ ในโลกนี่ต้องพลัดพรากทั้งนั้นเลย แล้วสิ่งที่พลัดพรากขึ้นมานี่ มันต้องพลัดพราก พลัดพรากเราก็เสียอกเสียใจกัน เห็นไหม

แต่ถ้าความเพียรชอบ พลัดพรากไหม ความเพียรชอบนี่มีอุตสาหะ มีวิริยอุตสาหะเป็นมรรคเป็นผลขึ้นมา มันมรรคญาณเข้าไปทำลายกิเลสขึ้นมาเป็นความเพียรชอบ มันเข้าไป เห็นไหม สัมปยุตเข้าไปนะ มันทำลายกัน สัมปยุตเข้าไป เหมือนกับอาหารจะสุก วิปปยุตคลายออกมา เห็นไหม คลายออกมานี่มันปล่อยวางออกมา มันปล่อยวางอย่างนั้น ปล่อยวางด้วยความเพียรชอบ ปล่อยวางด้วยความรู้แจ้ง ไม่ใช่ปล่อยวางแบบว่า เราปล่อยวาง นี่มันปล่อยวางโดยกิเลสกันไง

ตอนนี้เราปล่อยวางโดยกิเลส กิเลสเขาให้ปล่อยวางๆ แล้วก็ปล่อยวางกิเลสกัน กิเลสพาไป โลกียปัญญา เห็นไหม พระพุทธเจ้าสอนให้ปล่อยวางก็จะเอาปัญญาตื้นๆ ของตัวนี่ ปัญญาแบบคนโง่ๆ ที่มันโง่ๆ เห็นไหม ปล่อยวางๆ ไอ้พวกที่ไปวัดไปวานี่ไปเพื่อทุกข์ยาก มันไปทำไมให้ทุกข์ยากเหรอ ก็เขาไปเพื่อความเพียรชอบของเขา เพื่อเขารู้จริงของเขา ถ้าเขารู้จริงของเขา เขาไปสะเทือนใจของเขา มันเกิดความชุ่มชื่นขึ้นมาในหัวใจ เห็นไหม เวลาฟังเทศนาว่าการ มันสะดุดใจขึ้นมาๆ นี่มันให้ยา ให้ยาเห็นไหม

ชีวิตนี้คืออะไร ชีวิตนี้คือตัวจิตนี่ไง ถ้าจิตนี้มันได้ผลกระทบจากธรรม ถ้าธรรมเข้าไปกระเทือนมัน มันก็รู้สึกตัวของมัน เห็นไหม แต่เวลาเราว่าปล่อยวาง ปล่อยวางแบบโลกียปัญญา ปล่อยวางแบบเขา ปล่อยวางแบบไม่มีอะไร ปล่อยวางแบบขี้ลอยน้ำ ปล่อยวางแบบไม่มีผลประโยชน์ ปล่อยวางแบบเสียโอกาส ปล่อยวางแบบคนเกิดมาแล้วไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือไป

แต่ถ้าเป็นความเพียรชอบเห็นไหม รู้แจ้ง รู้จริง แล้วปล่อยวาง ถ้ารู้แจ้ง รู้จริงไม่ปล่อยวาง มันก็ติด ติดดี เห็นไหม ติดดีก็ไปไม่รอดอีก ถ้ามันรู้แจ้งแล้วมันปล่อยของมัน ปล่อยของมัน มันจะปล่อยของมันนะถ้ารู้แจ้ง เพราะอะไร? เพราะสิ่งนี้มันเป็นสพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา เป็นสภาวธรรมที่เกิดขึ้นชั่วคราว แล้วมันมีมรรคญาณขึ้นมา มันทำลายของเราขึ้นมา สิ่งนี้เราไปยึดไม่ได้ ถ้ายึดปั๊บ มันไม่มัชฌิมา มันจะขวางไปตลอดไป ถ้ามรรคญาณไม่มัชฌิมา ไม่เข้ามารวมตัว ไม่ชำระกิเลส มันก็คากันอยู่อย่างนั้น มันเห็นไง เห็นแต่ทำลายไม่ได้

แต่ถ้ามันรู้มันเห็น สัมปยุตเข้าไปเลย วิปปยุต สัมปยุตเข้าไป มันปล่อยวางออกมา พอปล่อยวางนั่นล่ะปล่อยวาง ปล่อยวางแบบเศรษฐี ปล่อยวางแบบผู้รู้แจ้ง ปล่อยวางแบบนี้ปล่อยวางแบบผู้รู้ ไม่ใช่ปล่อยวางแบบในกะลา มันเข้าใจไปหมด มันเห็นไปหมดใช่ไหม เพราะอะไร? เพราะมันรู้เท่าทันจิต เพราะจิตตัวนี้เป็นตัวผู้ข้อง แล้วมันรู้เท่าทันจิต แล้วมันจะไปข้องอะไร โลกนี้เป็นบ่วงของมาร เป็นบ่วงทั้งๆ ที่มันหลอกล่อ แล้วมันหลอกล่อเห็นไหม คนรู้เท่าแล้วก็ยังโดนหลอกล่อไป เพราะอะไร ไปสิ่งที่ละเอียดกว่า รู้เท่าสิ่งนี้แต่สิ่งที่ไม่เคยเห็นมันก็หลงไปจนได้ แต่ถ้ามันเข้าใจหมดแล้ว มันจะเอาอะไรมาหลอกมันได้ มันรู้ใจไปหมด เห็นไหม

นี่ความเพียรชอบ ถ้าความเพียรชอบ ปล่อยวางโดยมรรคญาณ ปล่อยวางโดยความเพียรชอบอย่างนี้ มันถึงปล่อยวางอย่างนี้ ศาสนานี่ต่อไปนี้มันจะเป็นโลกียปัญญา ปัญญาแบบโลกๆ ปัญญาในกะลา แล้วเอามาอวดมาโม้กัน ถ้าปัญญานอกกะลานะ ปัญญาความเห็นแจ้งนะ แล้วมันจะอายนะ เราเคยพูดอะไรไว้เปิ่นๆ ไว้โดยไม่เข้าใจ แล้วเรารู้ทีหลังมันเขินไหม

นี่ก็เหมือนกัน ความรู้ของเปิ่นๆ ความรู้ของโลกียปัญญา ความรู้โดยสัญชาตญาณ มันไม่เป็นความจริงหรอก แต่ถ้ามรรคญาณเกิดขึ้นมารู้แจ้งหมด สติสัมปชัญญะ เห็นไหม สติ มหาสติ สติอัตโนมัติถึงในหัวใจของเรา สิ่งนี้เกิดขึ้นมาจากเรา ที่มีจุดยืนของเรา แล้วเราพยายามแก้ไขของเรา เราแก้ไขนะ ชีวิตนี้คืออะไร สมบัติของเราคือชีวิต คือจิตของเรา สมบัติของเรา สมบัติที่หาๆ กันมานี่ปัจจัย ปัจจัยเครื่องอาศัยไม่ปฏิเสธนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ปฏิเสธปัจจัย ๔ หรอก

ถ้าปัจจัย ๔ ปฏิเสธ เห็นไหม อนุศาสน์ ๘ พระต้องดำรงชีวิตอย่างนั้นเหมือนกัน ผู้ที่นักรบยังต้องใช้อนุศาสน์นั้น หาเลี้ยงชีพด้วยการบิณฑบาต อยู่โคนไม้ ฉันยาดองน้ำมูตรเน่า แล้วใช้ผ้าบังสุกุล ปัจจัยนี่แม้แต่พระ พระอรหันต์ยังต้องใช้เลย เพราะอะไร? เพราะสิ่งนี้มันเป็นการดำรงชีวิต เหมือนรถนี่ถ้าไม่มีน้ำมันไปไม่ได้หรอก รถต้องเติมน้ำมัน เห็นไหม ถ้าเติมน้ำมัน รถมีน้ำมันก็ยังขับเคลื่อนได้ นี่ก็เหมือนกัน ชีวิตยังอยู่ได้ต้องใช้ปัจจัยเครื่องอาศัยเติมน้ำมัน เติมให้มันมีดำรงชีวิตได้ เพื่อประโยชน์กับโลก

แต่ถ้าเรายังปฏิบัติอยู่ เห็นไหม เพื่อประโยชน์กับเรา เพราะสัตตะเป็นผู้ข้อง ใจเราเป็นผู้ข้อง ใจเราเป็นผู้ทุกข์ ใจเราเป็นผู้ยาก ใจเราเป็นผู้ติด ถ้าเราแก้นะ เราปลดความสัตตะ ความข้องของใจได้ ปลดสัตว์ตัวนี้ก่อน สัตว์ตัวนี้ ไอ้ตัวติดกับโลกนี่ ไอ้ตัวทุกข์ตัวยากอยู่นี่ ถ้าเราโปรดสัตว์ตัวนี้ได้ เห็นไหม เราจะเป็นประโยชน์กับโลก ถ้าเป็นประโยชน์กับโลก นี่อยู่เพื่อโลก

แต่ตอนนี้ต้องอยู่เพื่อเรา เอาเราให้พ้นไปนะ ชีวิตถึงมีคุณค่า ไม่งั้นชีวิตจะตายเปล่า เกิดมาแล้วตายเปล่า จะไม่มีอะไรติดมือไปเลย มีแต่บุญกุศลติดมือไป ให้เตือนสติเรา เขาบอกว่า มาวัดมาเพื่ออะไร? ก็มาเพื่อเตือนสติไง มาเพื่อรำลึกถึงตัวเองไง มาเห็นชีวิตนี้มีคุณค่า เอวัง