เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๙ เม.ย. ๒๕๕o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๕๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

โลกเจริญนะ เขาว่าโลกเจริญ ความเจริญของโลกต้องพิสูจน์ได้เป็นวิทยาศาสตร์ ทางตะวันตกเขาไม่เชื่อเรื่องกรรม เขาว่าเรื่องกรรมนี่ กรรมเก่ากรรมใหม่เขาไม่เชื่อ เขาเชื่อทางสิ่งที่พิสูจน์ได้ เห็นไหม สิ่งที่พิสูจน์ได้ เขาพิสูจน์ได้นี่มันมีตัวแปรมหาศาลเลย แต่เรื่องกรรม เห็นไหม โลกนอกโลกใน เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม ตรัสรู้นี่โลกนอกโลกในไง โลกในคือความรู้จากภายใน คือเรื่องของโลกทัศน์ ความรู้ของจิต เห็นไหม ความรู้ของจิตนี่เป็นโลกใน

เวลาเราภาวนากัน แม้แต่ความคิดนี่ส่งออกแล้วนะ ที่เราว่าเราใช้ปัญญาๆ นี่ความคิดส่งออกแล้ว เพราะอะไร? เพราะความคิดไม่ใช่จิต จิตนี้ไม่ใช่ความคิดนะ ความคิดเป็นความคิด ความคิดเกิดจากจิต จิตมันเป็นพลังงานของมัน เวลาคิดนี่ส่งออกแล้ว

แต่ถ้าเรามีสมาธิของเรานะ เราทำความสงบของใจของเรา ความคิดอันนั้นมันคิดโดยสมาธิรองรับ เห็นไหม ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าไม่มีสมาธิรองรับเป็นการส่งออกทั้งหมด ถ้าเป็นสมาธิรองรับมันเป็นมรรค เห็นไหม มันเป็นอริยสัจ อริยสัจนะ ตัวอริยสัจอยู่ที่ไหน?

ถ้าตัวอริยสัจ เวลาเราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มรรคนี่เราก็ทำกัน สัมมาอาชีวะ การประกอบอาชีพชอบ ต่างๆ ชอบ ความเพียรชอบ ความเห็นชอบของเรานี่มันเป็นมรรคของคฤหัสถ์ เป็นมรรคของการสัมมาอาชีวะ เป็นมรรคของการเลี้ยงชีพ หาอาหารใส่ปากไง แต่มรรคของใจเกิดขึ้นหรือยัง? เราก็ว่ามรรคๆ นี่ เราคิดกันว่าเป็นมรรคไง ความเป็นมรรคมันก็ยังมีศีล สมาธิ ปัญญา ปัญญาของใคร? ปัญญาของเด็กก็ส่วนหนึ่ง ปัญญาของผู้ใหญ่ก็ส่วนหนึ่ง ปัญญาของคนแก่ก็ส่วนหนึ่ง ปัญญาของผู้ปฏิบัติ เห็นไหม มรรคหยาบฆ่ามรรคละเอียด

ดูสิ ความเห็นผิดๆ ที่ว่านี่ เราใช้ปัญญากันแล้วนี่ ปัญญาอย่างนี้น่ะนะโจรมันก็ใช้ เวลามันจะปล้นกันมันก็ใช้ปัญญาอย่างนี้ ถ้าปัญญาที่ว่าการเอารัดเอาเปรียบกันนี้เป็นปัญญาหรือ? ปัญญาอย่างนี้มันเป็นปัญญาที่ว่าเป็นมิจฉา เห็นไหม มันไม่มีสมาธิมารองรับ ถ้ามีสมาธิ สมาธิเกิดได้อย่างไร ถ้าเราไม่สามารถควบคุมตัวเอง สมาธิเกิดไม่ได้ ความฟุ้งซ่าน ความคิดของเรานี่มันทำให้เราฟูออกมา มันเป็นสมาธิไปไม่ได้หรอก ถ้าสมาธิมันจะเกิดขึ้นมาได้ เห็นไหม ต้องศีล สมาธิ ปัญญา รู้แจ้งโลกใน ถ้ารู้แจ้งโลกในก็รู้แจ้งโลกนอก นี่เรื่องของกรรม

เขาไม่เชื่อเรื่องของกรรม เพราะว่าสิ่งนี้พิสูจน์ไม่ได้ แต่ถ้าพิสูจน์ไม่ได้ ในการพิสูจน์ เห็นไหม ดูสิ สายการผลิตอันหนึ่ง เวลาสินค้าจะออกมาชนิดหนึ่ง สินค้าต้องเหมือนกัน เห็นไหม ลูกของเรา ๓ คน ๔ คนนี่ นิสัยต้องเหมือนกันสิ สายการผลิตคือจากพ่อแม่คนเดียวกัน ทำไมลูกนิสัยไม่เหมือนกัน

มันเกิดจากกรรม เรื่องของกรรมนี่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมา นี่เรื่องของกรรม เพราะอะไร? เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เกิดขึ้นมา เห็นไหม เกิดมาจากกรรม เพราะการทำดีมาไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ เห็นไหม สร้างบุญกุศลมา จะได้พระโพธิญาณมาต้องสละลูกสละเมีย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ต้องสละลูกสละเมีย สละถึงที่สุด เห็นไหม พระเวสสันดรต้องมาสละหมด

แล้วเวลาการสละอย่างนั้น สละเพื่ออะไร? เพราะสิ่งนี้มันเป็นเรื่องของโลกเขา เรื่องแรงดึงดูดของโลกนี่ไม่มีเรื่องใดจะเท่ากับกามราคะ สิ่งที่กามราคะ เห็นไหม โลกที่เป็นไปนี่ สภาวะความเป็นไปของโลก มันเป็นสภาวะแบบนั้น แต่สิ่งนี้การสร้างสมบารมีขึ้นมานี่เพราะเรายังมีกามอยู่เต็มหัวใจ

เพราะอะไร? เพราะพระโพธิสัตว์ กิเลสทั้งตัวนี่แหละ แต่ต้องสละลูกสละเมีย มันเจ็บปวดขนาดไหน มันเจ็บปวดนะ เพราะอะไร? เพราะสิ่งที่เรารัก สิ่งที่เราสงวนมาก นี่เอาเราไปไม่ได้หรือ? เอาเราแทนไม่ได้หรือ? ทำไมไม่เอา ทำไมเอาลูกของเรา เห็นไหม แล้วเอาลูก ลูกนี่เป็นดวงใจของเรานะ แล้วชูชกขอไป แล้วพระโพธิสัตว์ทุกๆ พระองค์กว่าจะได้โพธิญาณต้องเสียสละขนาดนั้น เห็นไหม นี่การเสียสละ

แล้วนี่อะไร ถ้าไม่ใช่กรรม แต่เป็นกรรมดีนะ กรรมดีส่งเสริมมา เห็นไหม มันมีการกระทำ มีกรรม กรรมส่งเสริมมา เขาไม่เชื่อเรื่องของกรรม เพราะเขาไม่เชื่อเรื่องของกรรม ประเพณีวัฒนธรรมของเขาก็เป็นปัจจุบันตลอด เป็นปัจจุบัน เห็นไหม แล้วเวลาคิดถึง ดูสิ เวลาธุรกิจมีปัญหา เห็นไหม ปลดคนงานออก โดยที่ว่าไม่มีการเห็นอกเห็นใจกันเลย ไม่มีความรู้สึกอะไรที่มันเห็นอกเห็นใจกัน เรื่องนี้เป็นเรื่องของธุรกิจ เป็นเรื่องปัจจุบันทั้งหมด เป็นเรื่องการคำนวณของตัวเลขทั้งหมด

แต่ในศาสนาพุทธของเราให้เชื่อกรรม กรรมนี่กรรมดีกรรมชั่ว เห็นไหม ใครบ้างไม่อยากเกิดมาดี การเกิด เห็นไหม นี่แล้วถ้าการเกิด การเกิดแล้วเป็นเกิดสิ่งที่ดี การเกิดเป็นลูกคนมีเงินมีทองต้องมีความสุขสิ แล้วมีความสุขจริงไหมล่ะ การเกิดเกิดจากกรรม แต่ไม่ใช่ดีชั่วเพราะการเกิด เกิดมาแล้วเราต้องมาดัดแปลงเราอีกทีหนึ่ง ถ้าเราดัดแปลงของเรา เรามาพบพุทธศาสนา เห็นไหม นี่อริยสัจอยู่ตรงนี้ สัจจะ สัจจะความจริงของโลกเขา อริยสัจจะเกิดจากใคร? เกิดจากเรา เห็นไหม เกิดจากเรา

ดูสิ เวลาครูบาอาจารย์ของเราอยู่ในป่าในเขา นั่งอยู่โคนต้นไม้อยู่คนเดียวนี่ อริยสัจเกิดเกิดตรงนี้ไง แต่สัจจะของโลก โลกนี่เป็นโลกสมมุติ สิ่งต่างๆ ของโลกนี่เป็นสมมุติไป มันจะมีกระแสของโลก มันตบแต่งได้ มันแก้ไขได้ มันเปลี่ยนแปลงได้ มันหลอกลวงกันได้ สมมุติเป็นเรื่องของหลอกลวง แต่สัจจะความจริงนี่เราจะหลอกเราได้ไหม ถ้าเราหลอกเรานะ เห็นไหม นี่เรายังหลอกเราเอง ดูสิ กิเลสมันหลอกเรา เราก็เชื่อกิเลสของเรา เห็นไหม นี่โลกทัศน์ของเรามืดบอด

ถ้าโลกทัศน์เรามืดบอด เรามองโลกด้วยความมืดบอดหมดเลย ถ้าโลกทัศน์ของเราแจ่มแจ้ง เราจะมองเรื่องของโลกแจ่มแจ้งหมดเลย เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้นมาเกิดขึ้นมาจากเรา โลกนี้มีเพราะมีเรา! เราอยู่ที่ไหน? เราอยู่ที่ในหัวใจของเรา ถ้าเราเข้าใจเรื่องของใจเราหมดแล้วนี่ โลกนี้มีเพราะมีเรา ถ้าเรากำจัดโลกของเราหมดแล้ว โลกของเรามีอะไรล่ะ โลกของเรามันเป็นอนิจจัง โลกของนอกมันมีแปรปรวนตลอดไป โลกข้างนอกเป็นสภาวะแบบนี้ โลกจะเปลี่ยนแปลงตลอดไป

ปัจจุบันนี้ เห็นไหม โลกร้อน ดูพายุฤดูร้อนสิ มันเกิดมาจากไหนล่ะ เกิดมาจากมนุษย์นี่ เพราะมนุษย์ใช้ทรัพยากร แล้วมนุษย์ขับถ่ายของเสียออกมาร่างกาย สิ่งที่ขับของเสียออกมามันเพราะมนุษย์ทำเอง แล้วมันก็ย้อนกลับมาหามนุษย์ เห็นไหม สิ่งที่มนุษย์นี่ มันจะเปลี่ยนแปลงอย่างนี้ มันเป็นอนิจจังอย่างนี้ โลกนี้โลกสมมุติ

แต่ถ้าเรื่องหัวใจของเราล่ะ ถ้าเรื่องหัวใจของเรา โลกจากภายใน เห็นไหม เราควบคุมของเราได้ ถ้าเรารู้แจ้งโลกนอกโลกใน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้แจ้งโลกนอกโลกใน ถึงว่าเรื่องของกรรม เห็นไหม เรื่องของกรรมคือการกระทำ แล้วเราฝืนของเรานี่ เราฝืนตนเองคือฝืนกิเลส เราฝืนเรานี่ฝืนให้เขาดี ดูสิ กระแสน้ำนี่ เขาจะใช้กระแสน้ำเขาต้องสร้างเขื่อน ต้องบังคับให้กระแสน้ำไป ให้น้ำไปทางไหน เห็นไหม

นี่ก็เหมือนกัน เราจะบังคับให้ใจเราดีขึ้นมา ใจน่ะมันบังคับได้ มันเปลี่ยนแปลงได้ เปลี่ยนแปลงได้แล้วใครเป็นคนเปลี่ยนแปลงล่ะ ถ้าเปลี่ยนแปลงของเรานี่ ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าเราไม่เข้าใจสภาวะแบบนี้ เราก็อ้างอิงกันไป โลกทัศน์จากภายในมันก็มืดบอด แล้วมันก็เหยียบย่ำนะ เหยียบย่ำเพราะอะไร? เพราะมันเป็นดาบสองคมไง ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไว้แล้ว เห็นไหม “ถ้าศึกษาไม่ดี เหมือนกับหญ้าคา เราเอามือจับหญ้าคาแล้วรูดขึ้นมา หญ้าคาจะบาดมือเราเต็มที่เลย เพราะเราศึกษาไม่ดี”

นี่ก็เหมือนกัน เอากิเลสเราไปศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง ถ้าเอากิเลสเราไปศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราว่าเราบรรลุธรรม ยังว่าเรานี่เก่งกว่าพระพุทธเจ้าอีกนะ แล้วบารมีสร้างสมมาอย่างนี้ แล้วจะเก่งกว่าพระพุทธเจ้าได้อย่างไร จะรู้แจ้งกว่าพระพุทธเจ้าได้อย่างไร

นี่ถ้าไม่เก่งกว่าพระพุทธเจ้า จะต้องเดินตามธรรมวินัย ธรรมวินัยเป็นศาสดาของเรา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพระอานนท์ เห็นไหม “ธรรมและวินัยจะเป็นศาสดาของเธอ” ถ้าธรรมวินัยเป็นศาสดาของเรานี่ เราจะเคารพธรรมวินัยไหม ถ้าเราไม่เคารพธรรมวินัย เราผิด ทำผิด นั่นล่ะ! นั่นล่ะ! เห็นไหม เก่งกว่าพระพุทธเจ้า แล้วเก่งกว่าพระพุทธเจ้ามันจะไปไหนล่ะ? มันก็ออกนอกลู่นอกทาง

เวลาครูบาอาจารย์เราบรรลุธรรมขึ้นมา มันเป็นความลึกลับมหัศจรรย์มาก มหัศจรรย์นะ เพราะอะไร? เพราะสุตมยปัญญา ปัญญาที่เราศึกษากันมาอย่างนี้นี่ก็ว่าสุดยอดแล้ว วิทยาศาสตร์เขาศึกษากัน เห็นไหม จินตมยปัญญา จินตนาการอันนี้ให้เราเกิดการทดสอบขึ้นมา มันจินตมยปัญญา มันไม่เป็นความจริงหรอก เพราะความจริงอย่างนี้มันมีตัวแปรมหาศาลเลย

แต่ถ้าเป็นภาวนามยปัญญาสิ ภาวนามยปัญญาปัญญาที่ฆ่ากิเลสนี้ ปัญญาอย่างนี้มันเกิดมาจากไหนล่ะ? มันเกิดมาจากความละเอียดอ่อนในหัวใจ เพราะอะไร? เพราะสังขาร ความคิด ความปรุง ความแต่ง เห็นไหม สังขาร ความคิด ความปรุง ความแต่ง มันมาจากไหน? มันมาจากสิ่งยั่วยุ เห็นไหม รูป รส กลิ่น เสียง เป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร อันนี้กระตุ้นความคิดเรา กระทบกระเทือนเราไป กิเลสมันมีอยู่แล้วมันก็ออกไปหาเหยื่อ

ถ้าความสงบของใจเข้ามานี่มันปล่อยบ่วงของมาร แต่มันยังติดบ่วงอยู่ มันปล่อยบ่วงของมาร แต่ตัวมันน่ะมันมีตัวมันอยู่ มันต้องไปชำระตัวมันเองก่อน ถ้ามันย้อนกลับมาตัวของมันเอง นี่ภาวนามยปัญญามันเกิดอย่างนี้ไง ถ้าภาวนามยปัญญามันเกิดขึ้นมานี่ มรรคหยาบๆ เห็นไหม สังขาร ความคิด ความปรุง ความแต่ง ถ้ามีศีลสมาธิรองรับ ถ้ามีสมาธิรองรับมันจะเป็นมรรคญาณ แต่ถ้าไม่มีสมาธิรองรับมันเป็นโลกียปัญญา เพราะความคิดมันเกิดดับโดยธรรมชาติของมัน

ดูสิ เวลาแดดออกนี่ มันพลังงานของมันตลอดเวลา ความคิดมันก็เกิดในหัวใจตลอดเวลา ถ้าความคิดเกิดอย่างนี้ กิเลสมันขับไสไปอย่างนี้ มันก็เป็นความคิดธรรมดาของมัน นี่ปัญญาที่ส่งออก ความคิดส่งออก มันเป็นเรื่องส่งออกหมด มันแก้กิเลสไม่ได้ การทวนกระแส ทวนกระแสกลับไป จากที่ว่าบ่วงของมารให้ตัวมันสงบเข้ามา แล้วย้อนกลับเข้าไป เห็นไหม สละบ่วงมา แล้วตัวที่มันจะไปติดบ่วง...ใคร? คนที่ไปติดบ่วงน่ะไม่ไปหาบ่วง แต่คนยังมีอยู่ที่ยังเดินไปตกบ่วง เห็นไหม นี่ย้อนกลับมาทำลายตรงนี้ ป้อมค่ายจากภายใน นี่การศึก เห็นไหม

ถ้าทำลายจากภายใน การศึกจากภายนอก ขนาดเข้าไปทำลายป้อมค่ายเราก็ทำไม่ได้อยู่แล้ว แล้วผ่านจากป้อมค่ายเข้าไปยังไปเจอข้าศึกอีก ความคิดนี่มันผ่านขันธ์เข้ามา เพราะขันธ์ไม่ใช่จิต จิตไม่ใช่ขันธ์ ความคิดส่งออก ส่งออกนี่มันเป็นความคิดของโลกๆ เขา เห็นไหม การกระทำนี่กรรม นี่โลกนอกโลกใน ถ้าเป็นโลกนอกก็ความคิดที่สื่อสารกันนี่ นี่เป็นโลกนอก คือการสื่อสารกัน สิ่งที่สื่อสารเป็นคำพูด เป็นความรู้สึกนี่สื่อสารกันกว่ามันจะออกมา

แต่ถ้าเรื่องของธรรมล่ะ เรื่องของธรรมเป็นเรื่องทวนกระแสเข้าไปภายใน ถ้าเข้าไปภายใน คนไม่เคยเห็น คนไม่เคยกระทำ มันจะรู้ได้อย่างไร เวลาคิดกันไปก็ว่ากันไปว่านี่ปัญญาคือสัญญาข้อมูลจำมานี่เป็นปัญญา ปัญญาอย่างนี้ๆ ทบทวนตลอดเวลานะ ไม่ทบทวนมันลืมนะ การทบทวนนี่เป็นปัญญาหรือ?

แต่ความจริงของมันไม่ต้องทบทวน เพราะมันเป็นอัตโนมัติ สิ่งที่ความรู้สึก เห็นไหม ดูสิ ไฟเวลามันช็อตขึ้นมานี่ พลังงานของไฟน่ะ ถ้ามันมีเชื้อมันจะช็อตตลอดเวลา มันจะต้องทบทวนไหม มันช็อตตลอดเวลา ความรู้สึกมันรู้สึกตลอดเวลา มันต้องทบทวนไหม ความรู้สึกอันนี้มันเป็นธรรมตลอดเวลา มันเป็นอัตโนมัติตลอดเวลา ความเป็นจริงอันนี้เป็นตลอดเวลานี่ มันอยู่กับเราไหม นี่โลกทัศน์ภายในไง

ถ้าโลกภายในนี่กรรม กรรม เห็นไหม ที่ว่าถ้าสิ้นกระบวนการของกรรม ทำลายสถานที่ที่จะยอมรับกัน สิ่งที่เป็นวัตถุมันต้องมีสถานที่รองรับ มีสถานที่อยู่ วัตถุนั้นถึงจะอยู่ได้ ความรู้สึกก็เหมือนกัน มันต้องมีจิตที่รองรับ มันมีกรรมนี่มันต้องมีจิตที่รองรับ แล้วจิตมันไม่มี เอาอะไรไปรองรับมัน เห็นไหม มันถึงไม่มีสภาวะกรรม กรรมที่ไม่มีกับจิตดวงที่หมดสิ้นจากกิเลส

แต่กิริยามันมีอยู่ มีอยู่เพราะอะไร? เพราะสอุปาทิเสสนิพพาน สอุปาทิเสสนิพพานคือว่าเศษส่วน เศษส่วนคือยังมีชีวิตอยู่ไง พระอรหันต์ที่มีชีวิตอยู่ เห็นไหม ดูสิ ครูบาอาจารย์ของเราที่มีชีวิตอยู่ นี่ดวงตาของโลก เพราะเข้าใจโลก เข้าใจเรื่องสภาวะกรรม กรรมเกิดจากที่ไหน สถานที่เกิดคือกรรม แล้วกรรมเกิดขึ้นมาแล้วนี่ มันจะออกไปทำลายใคร เห็นไหม นี่มันจะทำลายเราก่อน “อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” ตนกำจัดสิ่งโลกทัศน์จากภายในออกหมดแล้ว เห็นไหม นี่โลกนี้มีเพราะมีเรา

ถ้ากำจัดเราออกหมดแล้ว โลกมีไหม โลกมันก็มีสภาวะของมัน โลกมันก็เปลี่ยนแปลงของมันตลอด ธรรมชาติของมันไป เพราะอะไร? เพราะพระศรีอริยเมตไตรยจะมาตรัสรู้ภายหน้านะ ในการประพฤติปฏิบัติบอกว่า กึ่งพุทธกาลแล้วพระอรหันต์ไม่มี ถ้ากึ่งพุทธกาล กาลเวลามันปิดกั้นพระอรหันต์ได้นะ แล้ว ๕,๐๐๐ ปี มันจะมีพระศรีอริยเมตไตรยได้อย่างไร

มันมีของมัน สัจจะความจริงมันมีของมัน ในเมื่อมันมีมืดมันก็มีสว่างอยู่ มีเกิดก็ต้องมีดับอยู่ มีของมันตลอดไป เพียงแต่เราใช้เป็นหรือเปล่า เราใช้ความเพียรถูกต้องหรือเปล่า เราทำคุณประโยชน์ของเราหรือเปล่า ถ้าเราทำประโยชน์ของเรา มันจะเป็นประโยชน์กับเรา เห็นไหม นี่เรื่องของกรรม เขาไม่เชื่อเรื่องของกรรมนะ ถ้าไม่เชื่อเรื่องของกรรม เชื่อเรื่องวิทยาศาสตร์ แต่เราใช้วิทยาศาสตร์ เพราะเราเกิดมาโลกเจริญ เห็นไหม โลกเจริญนี่ส่วนนี้เป็นส่วนปัจจัยเครื่องอาศัย

ดูสิ การคมนาคมต่างๆ นี่เจริญมาหมดเลย เมื่อก่อนนี้ไม่มีต้องใช้ธรรมชาติ เห็นไหม ไปในทางน้ำ สิ่งที่ไปทางน้ำนี่ ไปทางเกวียน เพราะโลกสมัยเกษตรจะเป็นสภาวะแบบนั้น แต่นี่อุตสาหกรรมโลกเจริญ โลกเจริญแต่เราเร่าร้อน ถ้าโลกเจริญเรามีธรรมเป็นที่พึ่ง ถ้ามีธรรมเป็นที่พึ่งเราจะร่มเย็นของเรา มันเข้าใจโลกไง เข้าใจโลกปล่อยโลกไว้ตามความเป็นจริง โลกจากภายนอกนะ เราต้องเกิดต้องตาย คือจะมาเจอโลกอย่างนี้อีก

แล้วถ้าเกิดถ้าโลกภายในนี่มันไม่มีสถานที่แล้วนี่ มันจะไม่มาเกิดอีก อย่างนี้มันเป็นความสุขมากนะ เป็นความสุขมากนี่สภาวะกรรม เราถึงจะฝืนกัน เห็นไหม ว่านี่กรรมดี เพราะอะไร? เพราะแดดมันไม่แรง เราสร้างกรรมมา เราทำกรรมดีของเรามา กรรมดีจะตอบสนองนะ การตอบสนองสิ่งใดๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “สิ่งใดๆ ในโลกนี่ไม่มีของฟรี” มันต้องมีเหตุมีผล มีเหตุมีปัจจัย กรรมจะต่อเนื่องไป ทำดีวันนี้มันจะต่อเนื่องไปวันนี้ เห็นไหม สุคโต ปัจจุบันนี้ให้หยุดนิ่ง แล้วความดีอันนี้มันจะเกิดขึ้น วันนี้เร่าร้อน แต่อยากได้ความดี จะเอาความดีมาจากไหน เราจะเอาความดีของเรา เอาความดัดแปลงใจเดี๋ยวนี้ สุคโตเดี๋ยวนี้ โลกนี้ต้องสุคโตแน่นอน

โลกเขาจะร้อนเป็นไฟขนาดไหน แต่หัวใจเรามีหลักเกณฑ์ของเรา เราจะมีที่พึ่งอาศัย เห็นไหม นี่กรรม เชื่อกรรมจากภายนอก แล้วก็เชื่อกรรมจากภายในหัวใจของเรา กระบวนการของผู้บริหาร เห็นไหม ถึงที่สุดแล้วอุเบกขา เพราะคนเรามีกรรมของเขามา เราจะไม่สามารถไปแก้ไขใครได้ทั้งหมด เพราะสิ้นสุดกระบวนการของเขา เขามีกรรมของเขา แล้วเราจะไปเสี่ยงของเขาได้อย่างไร

นิ้วของเรา ๕ นิ้วนี้ไม่เท่ากัน แล้วคนจะมาผ่าตัดให้นิ้วเท่ากันหมด เป็นไปไม่ได้ นิ้วก้อยกับนิ้วโป้งไม่เหมือนกัน กรรมของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน เราช่วยเหลือเขาเต็มที่เพราะอันนี้คือสร้างบารมี เราจะช่วยเหลือกันเต็มกำลังความสามารถเลย แต่ถึงที่สุดแล้วนี่กรรมของเขามาถึง เราต้องยอมรับกรรมอันนั้น นิ้วก้อยก็คือนิ้วก้อย นิ้วโป้งก็คือนิ้วโป้ง มันเท่ากันไม่ได้ แต่มันใช้ประโยชน์ได้ ถ้าเรารู้จักใช้มัน เวลาจะใช้นะ

ถ้าเราเชื่อกรรมอย่างนี้ เราจะทำความดีของเรา ใครจะติฉินนินทาเรื่องของเขา นิ้วก้อยมันจะตินิ้วโป้งว่าใหญ่กว่าเล็กกว่าเรื่องของเขา หน้าที่ของเราคือทำความดีของเรา เห็นไหม หัวใจของเรา เรารักษาของเรา เราเชื่อการทำดีของเรา เราเชื่อศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เชื่อกรรม ทำดีขึ้นมากรรมดีขนาดนี้ ทำให้หูตาเราสว่างขึ้นมา ถ้าเราจะทำ เราเพิ่มบารมีของเราขึ้นไป ถึงที่สุดแล้วเราจะพ้นจากทุกข์ได้ เพราะมีการกระทำ ถ้าไม่เชื่อเลย ไม่มีการขยับเขยื้อนเลย จะไม่มีอะไรเลย

แต่ถ้าเรามีขยับเขยื้อนนะ โลกก็เป็นอย่างนี้ ทุกข์กันอย่างนี้ หาอยู่หากินอย่างนี้ ทุกข์อย่างนี้ แล้วนินทากาเลเป็นอย่างนี้ โลกธรรม ๘ ธรรมะเก่าแก่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไว้เลยว่า “ถ้าโลกธรรม ๘ ไม่มีใครจะโดนรุนแรงเท่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า” องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเขาจ้างมาด่า จ้างมาทุกๆ อย่าง เห็นไหม แม้แต่เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะมีฤทธิ์มีเดช เหาะเหินเดินฟ้า มีฤทธิ์หมดเลย ทำไมปล่อยสภาวะแบบนั้นล่ะ เพราะมันเป็นเรื่องของกรรม เรื่องของความเห็น เรื่องของความคิด เราไปดัดแปลงเขาไม่ได้

แต่ถ้าเราพยายามเชิดชู เราพยายามทำของเรา ความคิดมันดีขึ้นมา เห็นไหม เราจะเป็นประโยชน์กับเรา เพราะ “อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” ตนเป็นหลัก แล้วยืนอยู่ได้ สังคมจะร่มเย็นเพราะมีหลักมีเกณฑ์ไง ถ้าเราก็ล้มเหลว เขาก็ล้มเหลว ล้มเหลวกันไปหมดเลย เห็นไหม นี่ตื่นข่าว ถือมงคลตื่นข่าว ไม่เชื่อในสัจธรรม ไม่เชื่อเรื่องกรรม ไม่เชื่อเรื่องการกระทำ ความดีของเราที่ทำมาจะเป็นความดีของเรา เอวัง