เทศน์บนศาลา

ธัมโม ปทีโป

๘ ก.พ. ๒๕๔๔

 

ธัมโม ปทีโป
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์บนศาลา วันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๔
ณ วัดป่าสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ ธัมโม ปทีโป ดวงแห่งธรรม ธรรมแสงสว่าง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้นะ แต่ก่อนจะตรัสรู้โลกนี้ก็มืด เหมือนมืดกับสว่าง มืด…เวลาคำว่ามืดมืดสนิทเลย เวลากลางวันสว่าง โลกนี้เป็นอย่างนี้มาตลอด แล้วถ้ามีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสรู้เหมือนกับโลกนี้สว่างไง สว่างอยู่ ๕,๐๐๐ ปี นี้สว่างมา ๒,๕๔๔ ปีแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมามันถึงกับดวงธัมโม ปทีโป ในหัวใจดวงนั้นเป็นธรรมขึ้นมาก่อน เป็นธรรมขึ้นมาก่อนแล้วสอนไง สอน...วางธรรมไว้สอนไว้

พวกเราหาช่องทางออก..หาช่องทางออก ทำอยู่ทำอย่างไรก็ไม่ได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วเป็นเอหิภิกขุบวชไง วันนี้วันมาฆบูชา บวชด้วยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้บวชให้เหมือนกับเป็นพ่อ บวชให้ด้วย แล้วยังชี้นำทางให้กับพระอีก ๑,๒๕๐ องค์ ที่ว่าวันนี้วันมาฆบูชา ไม่ได้นัดหมาย มาเคารพพระพุทธเจ้า มาฟังธรรม มาฟังมาเคารพพระพุทธเจ้า เป็นวันมาฆบูชา บูชาโดยธรรม ธรรมนะธรรมจากหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อน

ถ้าไม่มีธรรมดวงนี้นะ ธัมโม ปทีโป ถ้าไม่สว่างไสวในดวงใจดวงนี้ก่อนแล้วจะเอาอะไรเป็นเครื่องดำเนิน โลกนี้สว่าง เดี๋ยวนี้ก็ยังสว่างอยู่ สว่างอยู่ ๕,๐๐๐ เป็นเรื่องของกลางวันล้วนๆ ไม่ใช่เรื่องของกลางคืน ถ้าเป็นเรื่องของกลางคืน จนที่ว่าศาสนานี้เสื่อมไปไม่มีศาสนา ภัทรกัปไม่มีศาสนาเลย นี่โลกมืด โลกมืดอยู่ช่วงหนึ่งแล้วโลกก็สว่างอยู่ช่วงหนึ่ง มีอย่างนี้มาตลอด เพราะภัทรกัปนี้มีพระพุทธเจ้า ๕ องค์ องค์นี้เป็นองค์ที่ ๔ พระพุทธเจ้ายังมีต่อไป ต่อไปก็ยังมีมืดมีสว่างต่อไปอย่างนั้นตลอดไป

ถ้ายังมีความสว่างอยู่ มีทางที่จะให้เราได้ดำเนินทางต่อไปอยู่ เป็นเครื่องยืนยันว่าพระอรหันต์ ๑,๒๕๐ องค์เป็นดวงใจที่สว่างไสว เป็นดวงใจ เป็นประทีปของดวงใจดวงนั้น ดวงใจดวงนั้นเป็นผู้ที่รู้ธรรมเห็นธรรม แสงของความสว่างของปัญญา แสงสว่างของญาณ ไม่มีสิ่งใดสามารถปกปิดได้ แต่แสงสว่างของดวงอาทิตย์ แสงสว่างของความสว่าง ถ้ามีเงื้อมผาอยู่มันก็เข้าไม่ถึง มีเหลือบมีเงื้อมผาอยู่ ความสว่างนั้นจะเข้าไปไม่ได้เพราะสิ่งนั้นบังอยู่

แต่ไม่มีเหลือบไม่มีเงื้อมอยู่ในหัวใจของผู้ที่มีความสว่างไสวจากดวงธรรมดวงนั้น นี่ ธัมโม ปทีโป สว่างไสวแต่ละดวงไง ๑,๒๕๐ ดวง ดวงใจที่เป็นธรรมทั้งหมดสว่างไสวจากใจดวงนั้นนะ มีความสุขมาก เพราะว่ามันไม่มีสิ่งใดเข้าไปหลบซ่อนอยู่ในนั้นได้ ที่ไหนสว่างที่นั้นต้องเป็นที่สะอาด เพราะความสว่างนั้นมันจะเข้าไปเห็นความสกปรกของหัวใจทั้งหมด แล้วความสว่างนั้นมันรู้เท่าทันทั้งหมด ใจดวงนั้นถึงมีความสุขมากไง สุขที่มีความสุข สุขสิ่งใดที่เหนือความสงบไม่มี จิตนั้นสงบ สงบมีความสุขมาก มีความสุขในหัวใจนั้น

ขนาดว่ามีความสุขขนาดนั้น เวลามาสโมสรสันนิบาตกันพระพุทธเจ้ายังเทศน์โอวาทปาติโมกข์ไง ให้ละความชั่ว ความชั่วนั้นให้ละ ให้สร้างคุณงามความดี ทำใจนั้นให้ผ่องแผ้ว ถึงที่สุดแล้ว ทำสิ้นสุดแห่งทุกข์ ทำไมต้องเทศน์กับพระอรหันต์ตั้ง ๑,๒๕๐ องค์ล่ะ ท่านเป็นพระอรหันต์แล้วทำไมต้องเทศน์ล่ะ ทำไมสอนพระอรหันต์ ๑,๒๕๐ องค์อีกหรือ? ไม่ได้สอน ผู้ที่มีความสว่างในหัวใจแล้วไม่ต้องสอน เพราะถึงที่สุดแล้วไม่มีเหตุใดต้องไปสอน เป็นผู้ที่ไม่ได้สอน แต่วิหารธรรมไง วิหารธรรมเป็นเครื่องอยู่อาศัย ความรื่นเริงในธรรม

เวลาครูบาอาจารย์ที่ประพฤติปฏิบัติพูดถึงร่องรอยของการประพฤติปฏิบัติ มันจะมีความอาจหาญ มีความรื่นเริงในหัวใจนั้น เวลาที่ว่าเป็นวิหารธรรมเป็นเครื่องอยู่ของใจดวงนั้น มาเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็อยากฟังธรรม อยากจะฟังสิ่งที่ทำให้ใจนี้รื่นเริงอาจหาญไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพานมาเข้าสมาบัติ ตอนเข้าสมาบัติ ใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์แล้ว แต่จะปรินิพพานมาเข้าสมาบัติ เข้าสมาบัติเพื่ออะไร?

พลังงานของใจมันเกิดขึ้นอย่างนั้น ความสว่างกระจ่างแจ้งจากใจมีความสุขเหลือล้นไปเลย เป็นเป้าหมายของผู้ที่จะก้าวเดินตาม แล้วนั่นน่ะเป็นดวงประทีป ๑,๒๕๐ ดวง ทั้งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย เป็นที่พึ่งเป็นเป้าหมายของเรา เราก็ต้องย้อนกลับมาถึงเรานั่นแหละ วันนี้วันมาฆบูชา เราปฏิบัติบูชาจะปฏิบัติอยู่นี่ สิ่งที่นั่งอยู่นี่เป็นเหมือนกับ ๑,๒๕๐ องค์นั้นไหม ๑,๒๕๐ องค์นั้นก็มีเลือดเนื้อมีหัวใจ แล้วก็ทำสิ้นสุดแห่งทุกข์ในหัวใจนั้นแล้ว เป็นผู้ที่มีความสุขมาก

แต่สิ่งที่นั่งอยู่นี่เพื่อจะแสวงหาความสุขนั้นเป็นความสุขไหม? มันเป็นเพราะเป็นหัวตอไง ตอแล้วไม่ใช่ตอธรรมดาด้วยนะ เราเป็นเหมือนตอคนละหนึ่งตอ แล้วตอนี้เป็นตอไม้ชื้นไม้ดิบไง ไม้ดิบหมายถึงไม้ยังไม่แห้ง ความที่ไม้นั้นไม่แห้ง มันถึงว่าทำอะไรก็ไม่เป็นประโยชน์ นี้ก็เหมือนกัน เริ่มต้นของการประพฤติปฏิบัติ เราพยายามจะทำความจริงความจังเพื่อจะให้เราได้ผลขึ้นมา..ได้ผลขึ้นมา มันไม่ได้ผลเพราะอะไร? เพราะไม้มันเปียก ไม้มันดิบไง ไม้มันทำให้เกิดไฟไม่ได้

การประพฤติปฏิบัติมันถึงได้ลำบากยากเย็น การประพฤติปฏิบัตินี้เริ่มต้นเป็นอย่างนั้นเลย เพราะเวลาเราเกิดมากิเลสพาเกิด ความดีความชั่วอยู่ในหัวใจ อยู่ในใต้จิตสำนึก มันมีวาสนาบารมีอยู่ แต่สิ่งที่ว่าโดนปกคลุมนั้น ถูกกิเลสปกคลุมไว้ทั้งหมดเลย เพราะเราเกิดมาแล้ว เด็กๆ ไร้เดียงสา ความคิดนี้สะอาดบริสุทธิ์ เราก็สอนกันเพื่อจะให้ทันคนทันโลกทันกับเขา การแข่งขันการคิดมันเป็นช่องทางให้กิเลสได้ออก มันฝึกกิเลสมาตั้งแต่เด็กไง ฝึกความแก่งแย่งกัน ฝึกให้หัวใจนี้ได้เอารัดเอาเปรียบกัน นั่นเป็นเรื่องของกิเลสทั้งหมดเลย

มันถึงให้กิเลสนี้ฟูขึ้นมาก่อน กิเลสนี้เป็นเจ้าครองหัวใจนั้นขึ้นมาก่อน นี่ มันดิบมันดิบตรงนี้ไง ที่เป็นหัวตอหัวตอตรงนี้ไง มันเป็นหัวตอแล้วมันยังจุดไฟไม่ติด มันเผาผลาญ มันทำลายอะไรไม่ได้เลย นั่นน่ะมันถึงว่าเป็นการทำยาก ถ้าเป็นการทำยาก เราก็ต้องยอมรับว่ามันเป็นการทำยาก ยากเพราะอะไร? เพราะกิเลสมันเป็นแก่นของวัฏฏะ คนเราตายเกิดตายเกิดมา มันแค่ภพชาติเดียวนี้หรือ?

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากว่าจะตรัสรู้ได้ต้อง ๔ อสงไขย แสนมหากัป ถึงเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า การสะสมมามันเป็นการยืนยัน แล้วเวลาบุพเพนิวาสานุสติญาณย้อนอดีตชาติไปไม่มีที่สิ้นสุด ใจดวงนี้ไม่มีที่สิ้นสุด เห็นไหม ถ้าย้อนกลับไป ใครเห็นสภาพแบบนั้นแล้ว มันจะสลดสังเวชไง เราคิดว่าเรามีความสุข มีความคิดกลับไป มันคิดแล้วมันเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวคือความนอนเนื่องไง ผัดวันประกันพรุ่งไปเพราะภัยยังไม่ถึงตัว

คนเราถ้าภัยยังไม่ถึงตัว เจ้าหนี้ยังไม่มาทวงหนี้ พญามัจจุราชยังไม่มาพรากดึงชีวิตออกไปก็จะนอนใจไง ถ้านอนใจจะมีเวลาหายใจต่อไป แต่ถ้าถึงเวลาที่ต้องสิ้นสุดชีวิตต้องดับเดี๋ยวนี้ แล้วคิดว่าอยากจะทำคุณงามความดี แต่ตอนนั้นมันก็สายไปแล้ว แล้วเมื่อตายไปมันก็ตายไปตามอำนาจวาสนาของใจดวงนั้น ก็ต้องไปหาสภาวะใหม่ ต้องอยู่ต่อไป เพราะมันเป็นธรรมชาติ มันเป็นสัจจะความจริงอย่างนี้ สรรพสิ่งทุกอย่างมันต้องเป็นไปโดยธรรมชาติของมัน แต่ธรรมชาติสิ่งนี้คือธรรมชาติเวียนว่ายตายเกิด

แต่ธัมโม ปทีโปนี้ ธรรมเหนือธรรมชาติน่ะ ธรรมที่สามารถชำระธรรมชาตินี้หลุดออกไปจากใจได้ ธรรมชาติคือสิ่งที่ว่ามันเกิดดับในหัวใจ เกิดดับแล้วมันแปรสภาพไปโดยธรรมชาติของมัน สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรมทั้งหลายก็แปรสภาพเหมือนกัน แต่การแปรสภาพมันต้องสะสมขึ้นมาเพื่อจะให้มีการก้าวเดินไง ศีล สมาธิ ปัญญา เวลาประพฤติปฏิบัติบูชา ที่ว่าศีล สมาธิ ปัญญา เรามีศีลแล้ว ศีลเป็นเครื่องกั้นไว้ เครื่องพยายามหน่วงเหนี่ยวใจไว้ให้อยู่ในอำนาจของเรา

นี่ศีล ศีลเพราะมันศีลอย่างหยาบ ศีลอย่างหยาบคือว่า การทำล่วงศีล การทำปาณาติปาตาล่วงออกไป แต่ไม่ได้คิดเรื่องใจ ใจคิดจะฆ่าเขายังไม่ได้ฆ่า ศีลเขาไม่ขาด แต่อธิศีลน่ะ อธิศีลสัมมาอาชีวะการเลี้ยงชีวิตโดยชอบ นี่ อาชีวะของโลกเขา โลกเขาทำสัมมาอาชีวะกัน อันนั้นทำถูกต้องของเขา นั้นมรรคหยาบๆ มรรคที่เขาใช้กันทางโลกนั้น มันเพียงแต่ตีความหมายให้เข้ากับหลักศาสนา พระพุทธเจ้าก็บอกว่าเป็นคฤหัสถ์ใช่ไหม พูดถึงทาน พูดถึงศีล พูดถึงนรกสวรรค์ นั่นก็ให้ใช้ได้

แต่เวลาสูงขึ้นมานี่ สัมมาอาชีวะการเลี้ยงชีวิตชอบ การเลี้ยงชีวิตชอบนี้การเลี้ยงใจชอบ ถ้ามันคิด มันคิดออกไปโดยแง่ผิด แง่อกุศลทำให้ใจดวงนั้นฟุ้งซ่านขึ้นมาแล้ว อธิศีลคือศีล คือความปกติของใจ แต่ถ้าศีลของเราศีลอยู่ข้างนอกนะ ความปกติของใจ เราต้องทำให้ใจนั้นปกติขึ้นมา ศีลถึงเกิดสมาธิ ถ้ามีศีลบริสุทธิ์เวลาทำสมาธิจะทำได้ง่าย สมาธิทำเพื่อหวังอะไร? หวังให้ตอที่มันดิบนี้เป็นตอแห้งไง ตอที่มันเปียกชื้นนี้ให้มันแห้งเข้าไป ทำใจเข้ามาให้มันแห้ง

นี่ สัมมาสมาธิทำใจเข้ามาให้สงบขึ้นมา มีพื้นฐานของศีลขึ้นมา ตอนี้ถ้ามันยังชุ่มชื้นไปด้วยความเปียกมันจะจุดไฟไม่ได้ มันจะเผาทำลายไม่ได้ ถ้าเผาไป ปัญญาเราคิดว่าเราจะทำความสงบเข้ามามันก็ใช้ได้ เป็นความสงบมันก็เป็นตบะที่ทำให้แห้งเข้ามาได้เหมือนกัน ด้วยทำความสงบด้วยพยายามเหนี่ยวรั้งความคิดออกไป กำหนดพุทโธๆ ก็ได้ ทำใจให้สงบเข้ามา ต้องทำใจให้สงบเข้ามา ปฏิบัติบูชาต้องการสิ่งนี้ก่อน สิ่งที่ว่าทำตอนี้ให้แห้งให้ได้ก่อน เรานั่งอยู่นี่ใจมันฟุ้งซ่านออกไป มันติดหน่วงไปทั้งหมดเลย มันติดข้องออกไปทั้งหมด

เห็นไหม ถึงจำเป็นต้องเข้ามาขวางไว้ก่อน ดึงใจเราเข้ามา..ดึงใจเข้ามา ดึงใจเราเข้ามาให้เป็นอยู่ในส่วนเป็นเอกเทศของมัน เอกัคคตารมณ์...ใจนี้เป็นหนึ่งเดียว ใจนี้มันมีอารมณ์เป็นเพื่อนสอง อารมณ์ความคิดของใจขึ้นมามันฟุ้งซ่านเพราะมันมีเพื่อนพาเที่ยว มันมีสิ่งที่ว่าหน่วงเหนี่ยวไป ความคิดนี่คืออารมณ์ มันเกิดดับเห็นไหม เกิดดับ..เกิดดับ เวลามันเกิดขึ้นมามันมาจากไหน? เวลามันดับไปมันหายไปไหน? นี่ เพื่อนสองที่มันเป็นเพื่อนกันเห็นไหม ถึงไม่เป็นเอกัคคตารมณ์ ไม่เป็นอารมณ์หนึ่งเดียว อารมณ์อันนี้เป็นสอง...เป็นสาม...เป็นสี่ บวกไปเรื่อยๆ บวกไปตามความคิดของเขา

เวลาคิดย้อนกลับมาก็เป็นอย่างนั้น พุทโธก็ได้ ใช้ปัญญาก็ได้ ย้อนกลับเข้ามาให้ไม้นี้เป็นไม้แห้งให้ได้ พอไม้นี้แห้งได้มันถึงเกิดปัญญาอีกตัวหนึ่ง ปัญญาอีกตัวหนึ่งนั้นเป็นปัญญาที่... ศีล สมาธิ ปัญญานี้เป็นมรรคเหมือนกัน มรรคที่จะเข้ามาชำระของเรา เห็นไหม ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้ามีปัญญาที่ว่ามีสมาธิเข้ามากั้น สมาธิยกขึ้นมา ศีล...มีศีลถึงมีสมาธิ มีสมาธิถึงมีปัญญา ปัญญาอันนี้ที่เราแสวงหา เราพยายามแสวงหาปัญญาอันนี้ ปัญญาที่เราใช้อยู่ในปัจจุบันนี้เป็นปัญญาอะไร? ปัญญาของโลกเขา โลกเขาปัญญาจะฉลาดเฉลียวขนาดไหน จะมีไหวพริบดีขนาดไหน มันเป็นกิเลสพาใช้น่ะ มันตกอยู่ใต้อำนาจกิเลส ตกอยู่ใต้อำนาจของความพอใจ ตกอยู่ในใต้อำนาจสันดานของใจไง สันดานของใจใจที่มันครองเจ้าหัวใจอยู่นี้ มันอยู่หลังความคิดนี้ ความคิดจะดีขนาดไหน ไอ้กิเลสนี้มันครอบงำออกมาตลอดเลย มันถึงว่าเป็นโลกียะ เห็นไหม คำว่าโลกียะ โลกียะเพราะมันเป็นความคิดโดยเนื้อหาของเราโดยเฉพาะ

แต่ถ้ามีสมาธิเข้ามากั้น ศีล สมาธิ ปัญญา ปัญญาอันนี้มันสัมปยุตด้วยสมาธิน่ะ ด้วยสมาธิด้วยปัญญามันถึงเป็นมรรคขึ้นมา มันจะเป็นมรรคขึ้นมาเพราะมันมีสัมปยุต เพราะมันมีตัวสมาธิขึ้นมาเข้ามา มันถึงว่าศีล สมาธิ ปัญญา รวมกันเป็นปัญญา เป็นภาวนามยปัญญา ปัญญาอันนี้ต่างหากล่ะที่เราแสวงหา เราแสวงหาเพื่อจะจุดตอเราให้ได้ไง เหลือบเงื้อมผาที่มันบังกิเลสไว้ในหัวใจเรานี่ เห็นไหม แสงสว่างที่มันจะเข้าไปในนั้นไม่ได้เพราะเล่ห์เหลี่ยมของกิเลสมันอาศัยสิ่งนี้หลบอยู่ หาอาศัยถ้ำ อาศัยคูหาในหัวใจของเรา สะสมพอกพูนอยู่ในหัวใจของเรา อาศัยฐานของใจของเรานี้เป็นที่อยู่อาศัย

ถ้ายังมีเชื้อไขอยู่ในหัวใจของเรา แล้วมันต้องส่งเชื้อออกมา เราจะทำความสงบสว่างขนาดไหนก็แล้วแต่ มันจะสว่างสงบขนาดไหนเข้ามา มันสงบโดยเปลือก โดยส่วนรวม โดยเนื้อหาเนื้อข้างนอก แต่เนื้อในของมันยังมีกิเลสซุ่มอยู่โดยตลอด เห็นไหม จิตที่มันมี อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา เป็นเจ้าวัฏจักรอยู่ภายในหัวใจแล้วนี่ มันยังมีเสนาอำมาตย์ลูกน้องที่ออกมาทำงานแทนมหาศาลเลย

แต่เวลาที่มีความสว่าง มีความสงบเข้ามา เขาก็หลบตัวลง เขาหลบตัวลงเพราะอะไร? เพราะอำนาจของธรรม อำนาจของคำบริกรรมของเรา อำนาจของปัญญาของเรา ศีล สมาธิ ปัญญาอย่างหยาบๆ ต้อนใจเข้ามาให้สงบเข้ามา ความสงบเข้ามานี่ถึงว่ามันยาก มันยาก ตรงนี้ทำยาก แต่ทำยากทำง่ายมันก็เป็นหน้าที่ของผู้ที่จะปฏิบัติบูชา บูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นตถาคต”

บูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บูชาพระอรหันต์ที่เป็นดวงประทีปของเรา ที่เราตั้งเป้าหมายไว้ แต่ผลที่ประพฤติปฏิบัติเป็นสิ่งที่เราบูชาแล้วเราถวายไป ผลไปอยู่ที่นั่นเหรอ? ผลมันกลับมาอยู่ที่เรา ผลมันกลับมาอยู่ที่ในหัวใจของเรา ถ้าหัวใจของเราตั้งใจ ตั้งใจเอาอันนั้นเป็นเป้าหมาย ตั้งใจเอาอันนั้นเป็นที่เสริมกำลังใจของเรา กำลังใจของเรา ดวงประทีปนี้ต้องให้เข้ามาในหัวใจของเรา ในหัวใจของเราที่มันมืดบอดมันมืดทึบอยู่ขณะนี้ ความสว่างในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ความสว่างของพระอรหันต์ ๑,๒๕๐ องค์นั้น ท่านทำของท่านมา มันก็ลำบากมาอย่างนี้เหมือนกัน เราก็ต้องทำของเรา เรามืดมิดตลอด มืดเพราะกิเลสปิด ไม่ใช่มืดเพราะไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีธรรมแสดงไว้

ธรรมนี้เป็นกลาง เป็นสมบัติที่ว่าเป็นเหมือนแสงอาทิตย์ที่ว่าส่องไปในโลกนี้ ใครสามารถใช้ประโยชน์จากแสงอาทิตย์นั้นเป็นวิชาชีพก็ได้ ใครจะใช้แสงแดดนั้นเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์กับตัวเองก็ได้ บางคนรังเกียจแสงแดด อย่างเช่น เขาไปอยู่กลางแดดเขากางร่มกัน เขาไม่ต้องกางก็ได้ ในเมื่อใจเหมือนกัน ใจเปิดรับ ใจเราปรารถนาสิ่งนั้นไหม ธรรมที่มีอยู่นั้นมีอยู่ มันมืดเพราะใจเรามืดต่างหาก แต่มันมีเครื่องมือดำเนิน เราถึงต้องพยายามทำของเราเพื่อรับแสงแดดนั้นเข้ามา รับแสงแดดเข้ามา

เพราะต้องเชื่อก่อนไง ศรัทธาความเชื่อ เป็นความจงใจของเรา ความเชื่อมั่น ถ้าเราไม่มีความเชื่อมั่นมันเหลาะแหละ คนเรามีความเชื่อมั่นมีศรัทธาแล้วจะก้าวเดินไปได้ ถ้าไม่มีความเชื่อมั่นไม่มีความศรัทธาของเรา มันยืนก็ล้มแผละ..ยืนก็ล้มแผละ ยืนขึ้นมาตั้งใจทำแล้วมันไม่สมประโยชน์ มันไม่สมประโยชน์ของเรา เราตั้งใจจะเอาใจของเราไว้ในอำนาจของเรา ใจของเรา เราว่าสรรพสิ่งในโลกนี้เป็นของเรา แต่เวลาใจที่เป็นนามธรรมเป็นของเรา ทำไมมันมีอำนาจเหนือเราล่ะ?

เราหลงกิเลสไง เวลามันคิดไปมันปรุงไป เราพอใจไปกับมัน เพราะว่าคิดว่าเป็นเรา คิดว่าเป็นเรามันก็บังไว้ชั้นหนึ่งแล้ว เหลี่ยมของกิเลสมันบังเราไปตลอดเลย แล้วเราก็ไม่รู้เหลี่ยมของมันแล้วเราก็ไปตามมัน..ไปตามมัน แต่เราว่าเราจะชำระกิเลส ปากพูดว่า “จะชำระกิเลส” แล้วก็ตั้งใจว่าจะชำระกิเลส..ชำระกิเลส กิเลสนี้เป็นนามธรรมเหมือนกันจะเห็นตัวมันได้อย่างไร กิเลสน่ะ กิเลสนี้มันก็คือเรา เราก็คือกิเลส เพราะกิเลสกับเรามันเป็นอันเดียวกันอยู่ตลอดเวลา

ปัจจุบันนี้เป็นอันเดียวกับเราตลอดเวลา แต่มันอาศัยใจอยู่มันถึงชำระได้ กิเลสนี้สามารถชำระออกไปได้ กรรม...สิ่งที่เกิดขึ้นว่ากรรม...กรรมแก้ไขไม่ได้ กรรมคือการกระทำ กระทำความดีเข้าไปเรื่อยๆ ทำคุณงามความดีเข้าไป คุณงามความดีสะสมเข้าไป สะสมเข้าไปจนมันละเอียดเข้าไปจนเห็น จนซึ้งใจ จนเปลี่ยนแปลงความคิด จนเปลี่ยนแปลงจริตนิสัยของคนมันยังทำได้เลย คนเรายังเปลี่ยนแปลงได้ แม้แต่สัตว์อยู่ในป่า เขายังเอามาฝึกได้

ใจของเราเหมือนสัตว์ป่า ยิ่งกว่าสัตว์ป่าอีกเพราะว่ามันอยู่ในหัวใจของเรา มันเป็นสิ่งที่เร้นลับ จะคิดพิสดารขนาดไหนก็ได้ จะคิดเอาเปรียบคนเขาขนาดไหนก็ได้ คิดอยู่ในหัวใจจะทำหรือไม่ทำนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ความคิดนี้มันยิ่งกว่าสัตว์ป่า เห็นไหม มันถึงต้องทรมานไง การทรมานเรา ทรมานเราเพื่ออะไร? เพื่อเราเองไง เพื่อเราเองที่ว่าเรานี้เป็นกิเลส แล้วเพื่อเราเพื่ออะไรล่ะ? ก็เพื่อเราเพื่อให้กิเลสนั้นมันหลุดออกไป

จิตนี้มันมีอยู่มันต้องไปเกิดไปตายอยู่แล้ว ถ้าเราเกิดว่าไม่ใช่เราจะทุกข์ตลอดไป ผลมันจะมีให้กลับมา กลับมาจากการประพฤติปฏิบัติเรานี้ ถ้ามีกำลังใจขึ้นมามันต้องมีอย่างนี้ มันถึงจะสร้างสมใจของเรา สร้างสมพลังงานของเราขึ้นมาไม่อย่างนั้นมันไม่มี มันล้มแผละ..ล้มแผละ เห็นไหม

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นมนุษย์อย่างเรา เราก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง พระอรหันต์ทั้งหมดก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน แล้วทำไมเราจะทำไม่ได้ ท่านมีหน้าที่อย่างนั้นเหมือนกัน เรายังไม่มีหน้าที่อย่างนั้น เวลาทุกข์มันบอกใครว่าไม่ใช่หน้าที่ของเรา เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยใครบอกเราว่าไม่ใช่หน้าที่ของเรา เห็นไหม เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยเวลาทุกข์มันเป็นของทุกๆ คน เวลาผลก็เหมือนกัน ผลที่เป็นมรรค ทุกๆ คนก็ต้องปรารถนา

แต่เวลากิเลสมันพลิก มันพลิกไปอย่างนั้น ถ้าใจเราไม่ทันจะโดนกิเลสหลอกไปตลอด ถ้ากิเลสมันหลอกเราไม่ได้ ฝืนน่ะ ความเพียรอยู่ที่ไหน? นี่ เหตุผลความสว่างของธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้วางไว้ แต่เพราะความเพียรของเราไม่พอ เราไม่สามารถเปิดรับความสว่างนั้น ใจของเราไม่สามารถเปิดรับความสว่างนั้น เราก็ยังเป็นคนที่ว่าเป็นศรัทธา ถ้าเปิดรับความสว่างนั้นแล้วประพฤติปฏิบัติเข้าไปจนชำระกิเลสไปเป็นอจลศรัทธา อจลศรัทธาคือใจดวงนั้นสัมผัสธรรมนั่นน่ะ ถ้าใจดวงนั้นถึงสัมผัสธรรมขึ้นมาเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไปก็เป็นสมบัติของใจดวงนั้น ใจดวงนั้นเป็นผู้ที่เป็นเจ้าของสมบัติ ถึงว่าเป็นสมบัติส่วนตน เป็นสมบัติส่วนตนตนผู้นั้นจะได้รับ

แต่ขณะที่ว่าเป็นตนอยู่โดยปัจจุบันนี้มันเป็นตนโดยกิเลส เห็นไหม ตนเหมือนกันแต่ตนคนละขั้นตอน ตนคนละแง่...แง่ของการประพฤติปฏิบัติก้าวเข้าไปเป็นชั้นเข้าไป ถึงว่าสรรพสิ่งต้องทำความสงบเข้ามา พอสงบแล้วตัดรูป รส กลิ่น เสียง ภายนอก มันไม่สงบขึ้นมาเพราะว่ารูป รส กลิ่น เสียงภายนอกมันเป็นเครื่องกวน เป็นเครื่องกวนแล้วเรานั่งอยู่นี่ไม่มีรูป รส กลิ่น เสียงแล้วมันกวนได้อย่างไร มันเป็นเครื่องกวนเครื่องรับกับเครื่องส่ง เครื่องส่งที่อยู่ในหัวใจนี่ รูป รส กลิ่น เสียง ภายในจะนึกอะไรขึ้นมาก็ได้

หัวใจมันมหัศจรรย์ มันเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากเลย แต่มันทำงานของมันโดยที่กิเลสควบคุมอยู่ เห็นไหม มันถึงว่าเราไม่สามารถควบคุมสิ่งนี้ได้ มันคิดถึงรูป รส กลิ่น เสียงอย่างใดก็ได้ในหัวใจน่ะ คิดเดี๋ยวนี้ก็เป็น ถึงว่ามันถึงจุดประกายความคิดของเราให้ฟุ้งซ่านออกไปเกี่ยวกับบ่วงของมาร รูป รส กลิ่น เสียงเป็นบ่วงของมาร รูป รส กลิ่น เสียงภายนอกเป็นเครื่องกระทุ้ง แต่รูป รส กลิ่น เสียง ภายในมันยังไม่ตัดขาดออกไป มันก็ยังอยู่มันยังคอยผลักดันอยู่ตลอดเวลา

การทำความสงบมันถึงทำได้ยาก เราทำความสงบเข้าไปบ่อยเข้า นี่ แสงสว่างเกิดขึ้น ปัจจัตตังรู้ว่ามีจริง สิ่งนั้นมีจริง เราเคยสงบจริง เราเคยเห็นจริง ศาสนานี้เป็นของที่มหัศจรรย์มาก มันเริ่มคิดอย่างนั้น เห็นไหม ใจดวงนั้นมีพยานหลักฐานกับใจดวงนั้น ใจดวงนั้นทำความสงบเข้ามา..ทำความสงบเข้ามา พอสงบเข้าไปนั่นน่ะนั่นล่ะเข้าไปเรื่อยๆ แล้วดู สังเกตเข้าไป สังเกตเข้าไปเรื่อยๆ ดูว่าสิ่งที่กระทบมันเกิดจากอะไร? พอเข้าใจปั๊บมันตัดขาด! ตัดสิ่งที่ว่าเป็นเชื้อจากภายในหลุดออกไปจากหัวใจ

รูป รส กลิ่น เสียงนี้เป็นบ่วงของมาร มันเป็นความเข้าใจ อันนี้เป็นปัญญาปัญญาที่ความรู้ความเข้าใจที่เห็นว่าใจนี้สงบเข้ามาได้ ต่อไปนี้ทำความสงบได้ง่าย เพราะอะไร? เพราะเชื้อจากที่ว่าเป็นเครื่องส่งออกไปรับรู้ รูป รส กลิ่น เสียงภายนอกขาดออกไป ขาดออกไปจากใจเป็นกัลยาณปุถุชน เห็นไหม กัลยาณปุถุชนควบคุมความสงบนั้นได้ ตอนี้เริ่มแห้งแล้ว ตอที่นั่งอยู่เริ่มแห้งเข้ามาควรแก่การงาน ควรแก่การงานแล้วจะจุดประกายของไฟเผาตอนี้ได้อย่างไร ต้องทำลายต้องเผาตอนี้ไป จะแห้งจะเปียกมีคุณค่าเท่ากันเพราะเป็นสิ่งที่ตั้งอยู่มีการขวางอยู่เหมือนกัน วัตถุของเขาเท่ากันนั่นน่ะ ตอแห้งหรือตอเปียก ถ้ามันเป็นวัตถุแล้วตอนี้มันยังเป็นตอแห้งแล้วมันจะแห้งเลย

แต่ในหัวใจของเรามันไม่อย่างนั้นสิ มันเจริญแล้วเสื่อม..เจริญแล้วเสื่อม พอมันแห้งแล้วเดี๋ยวมันกลับมาเปียกได้ เปียกแล้วก็ทำให้แห้งได้ นี่ ความมหัศจรรย์ของใจมันเป็นอย่างนี้ เห็นไหม ถ้าเราทำความสงบของใจจนเป็นกัลยาณปุถุชนอันนี้จะเป็นตอแห้ง พอตอแห้งแล้วต้องพยายามค้นคว้า เห็นไหม งานจะเกิดขึ้น มรรคจะเกิดขึ้น ภาวนามยปัญญาจะเกิดขึ้น..จะเกิดขึ้น เริ่มขึ้นเกิดจากตรงนี้ไง

การค้นคว้าการพิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม นี่ สติปัฏฐาน ๔ เป็นที่ควรแก่การงาน งานที่จะชำระกิเลส เราจะชำระกิเลสที่ไหน? เราจะชำระกิเลสที่กลางอากาศเหรอ? เราจะชำระกิเลสในความนึกคิดเราเหรอ? มันเป็นไปไม่ได้! เพราะกิเลสมันเป็นนามธรรม กิเลสเหมือนเชื้อโรคที่อาศัยน้ำอยู่ เราต้องเอาน้ำนั้นมากรอง ต้องทำลายสิ่งนั้นออกไป เห็นไหม อันนี้ก็เหมือนกัน ในเมื่อกิเลสมันอาศัยกายกับใจนี้เป็นที่อยู่อาศัย เจ้าวัฏจักรนี้อยู่ที่ใจแน่นอน แต่อาศัยความคิดออกมายึดมั่นถือมั่นว่ากายกับใจนี้เป็นเรา สิ่งต่างๆ นี้เป็นเรา เป็นของเรา พอเป็นของเรามันก็หลงในสิ่งนี้

ความหลงเป็นอะไร? ความหลงความไม่รู้ ความหลงความไม่เข้าใจ ไม่รู้แล้วยึดมั่นถือมั่น พอเป็นรู้ไม่เข้าใจอะไร มันเป็นสิ่งที่ว่ามันพลิกแพลงมันเปลี่ยนแปรสภาพไปมันก็มีการต่อต้าน ตัณหาซ้อนตัณหาเกิดขึ้นทันที เพราะว่ามันเป็นสภาพตามความเป็นจริงของมันอันหนึ่ง เราก็มีตัณหาความทะยานอยากไม่อยากให้เป็น พอเป็นขึ้นไปก็อยากให้มันหาย นี่ตัณหาซ้อนตัณหาในการที่ว่าไม่เข้าใจเรื่องธรรม รู้ธรรม การประพฤติปฏิบัติก็เหมือนกัน เหลี่ยมของกิเลสมันมีไปตลอด

เวลาประพฤติปฏิบัติก็อยากได้ผลมาก คิดหวังผลมาก จิตใต้สำนึกของกิเลสนี้มันอยากดิบอยากดีทั้งนั้นน่ะ ความคิดของมันนะ ในความที่ว่ากิเลสมันก็หาแต่เรื่องกวนใจมา แต่คนเรามันมีบุญกุศลในหัวใจ คำว่ากิเลสกิเลสนี่มันก็เกิดดับ..เกิดดับ เดี๋ยวก็คิดชั่วเดี๋ยวก็คิดดี ความคิดดีของเราคือใจของเราที่มันสร้างบุญกุศลไว้ จิตที่มันสร้างบุญกุศลไว้มันก็ปรารถนาหาที่พึ่ง คนเรามันก็มีดีมีไม่ดีในทุกๆ บุคลลในหัวใจนั้น

ถ้ามันคิดถึงเรื่องดีขึ้นมามันก็หาทางออกได้ มันหาทางออก พยายามคิดจะหาทางออก แล้วก็มาเจอเรื่องของศาสนา เรื่องของศาสนานี้เรื่องของชี้ทางออก ชี้ให้ทำใจนี้ให้พ้นออกมาให้ได้ ถ้าเราเชื่อแล้วเราปฏิบัติตาม เริ่มการประพฤติปฏิบัติตามนี่ มันจะตามมา..ตามมา พอตามมามันเข้มแข็งขึ้นมา ย้อนกลับมาดู ย้อนกลับมาดูให้ได้ ทำใจสงบแล้วกลับมาดูกายกับใจ ถ้าจับกายกับใจไม่ได้ มันมีความสงบอยู่เฉยๆ น้ำเต็มแก้ว ความสงบอยู่อย่างนั้น สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรมทั้งหลายต้องแปรสภาพหมด

การใคร่ครวญกายนอก การพิจารณากายนอก รูป รส กลิ่น เสียงภายนอก เห็นคนเจ็บคนป่วยภายนอก พิจารณาร่างกายภายนอก มันพิจารณาแล้วมันสลดสังเวชมันก็ปล่อยวางเข้ามา มันปล่อยวางจากสิ่งข้างนอกเข้ามา มันเป็นสิ่งข้างนอก มันไม่ใช่เหลือบเงื้อมผาภายในหัวใจของเรา กิเลสมันซ่อนตัวอยู่ในเหลือบเงื้อมผาในกายในหัวใจของเรา มันต้องคิดมาพิจารณากาย พิจารณากายใน พิจารณากายแล้วพอเบื่อหน่ายกายแล้วพิจารณาจิต พิจารณาจิตเข้าไปเป็นชั้นๆ เข้าไป

แต่ถ้าไม่เป็นจริตนิสัยของแต่ละบุคคล พิจารณากายก็ได้ จิตก็ได้ แต่การพิจารณาได้นั้นมันต้องเห็นตัวตนจับต้องกายกับจิตนี้ให้ได้ก่อน เห็นกายเห็นไหม เห็นกายภายนอกเราก็เห็น เห็นกายคนอื่น เห็นกายคนเจ็บไข้ได้ป่วยมันสลดสังเวช แต่เห็นกายสิ่งตรงข้ามทำไมมันเกิดความรู้สึกผูกพันล่ะ? นี่ เห็นกายเหมือนกันแต่ให้ค่าไม่เหมือนกันเห็นไหม ในหัวใจของเราดวงเดียวนี้แหละ เพราะอันนั้นมันเป็นไปตามอำนาจสิ่งที่เหนือการควบคุมของเรา

แต่ขณะที่ว่าเราทำความสงบของเราเข้ามา มันอยู่ในอำนาจควบคุมของเรา ศีล สมาธิ ปัญญา เกิดสมาธิ...สมาธิที่มันกดความเห็นแก่ตัว ตัดความเห็นแก่ตัว ตัดตัวตนที่มันจะออกมา ตัวตนของกิเลสที่จะเข้ามาเป็นอุปาทานพลิกแพลงใจออกไป เห็นไหม มันควบคุมได้ สิ่งที่มันควบคุมได้แล้วมันเห็นจากความเป็นจริงว่า เห็นกายโดยตาธรรม เห็นกายโดยใจของเรา กายของใคร? ถ้าเห็นขึ้นมามันเห็นกายของเราจะเห็นเป็นกะโหลก เห็นเป็นเนื้อหนังมังสา จะเห็นอะไรก็แล้วแต่มันจะสะเทือนหัวใจมาก

สะเทือนหัวใจเพราะอะไร? เพราะสิ่งนี้เป็นสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเป็นแนวทาง วางแนวทางไว้ให้เราก้าวเดินออกมาทางนี้ไง จิตมันมหัศจรรย์เพราะมันมีความซ้อนมา จิตอยู่ในกายนี้ แล้วมันพิจารณามันติดอยู่ในกายนี้ ความติดอันนั้น... พอเห็นกายในมันก็เห็นอันนั้น เห็นอันนั้นต้องใช้ปัญญาในการดูความแปรสภาพของมัน ความแปรสภาพของมัน มันจะแปรสภาพโดยธรรมชาติของมันอยู่แล้ว

สรรพสิ่งในโลกนี้ สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง สิ่งใดเป็นอนิจจังสิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์สิ่งนั้นเป็นอนัตตา แต่เราไม่เคยเห็น! เราท่องกันจนชินปาก ฟังกันจนชินหู ท่องกันเป็นนกแก้วนกขุนทอง แต่ความเป็นปัจจัตตังเกิดจากหัวใจไม่เคยมี

ถ้าความเป็นปัจจัตตังเกิดจากหัวใจไม่เคยมี หัวใจมันไม่เคยรับรู้สิ่งใดทั้งสิ้น มันไม่เคยสละอะไรออกไปเลย มันยังฝังแน่นอยู่ในใจของเราอยู่อย่างนั้นน่ะ มันเป็นการจำมา..การจำมา แต่การจำมานี้จะว่ามันเป็นสิ่งที่ผิดก็ไม่ใช่ มันเป็นบาทฐานเข้ามา เป็นบาทเป็นฐานที่จะก้าวเข้ามาเป็นสุตมยปัญญา จินตมยปัญญา เป็นภาวนามยปัญญา

การที่ว่าจะเป็นภาวนามยปัญญานี้มันต้องมีการพยายามค้นคว้า พยายามฝึกฝนขึ้นมา มันไม่เกิดขึ้นมาลอยๆ สิ่งใดไม่เกิดขึ้นมาลอยๆ หรอก ถ้ามันเกิดขึ้นมาลอยๆ โดยที่ว่าเราไปจำมา...แล้วมันจะสร้างสมขึ้นมา...มันจะเกิดขึ้นมา เวลาเรานึกให้กิเลสขาดกิเลสมันก็ต้องขาดสิ เรานึกว่าเราไม่เกิดเราก็ต้องไม่เกิดสิ เรานึกว่าทำความชั่วแล้วใครไม่รู้ มันก็ต้องเป็นอย่างนั้นสิ เพราะเราก็นึกได้น่ะ ความนึกอันนี้เราก็นึกได้ แล้วเรานึกให้กิเลสขาดทำไมนึกไม่ได้

ฉะนั้นความคิดของเรา ปัญญาของเรา มันถึงเป็นความนึกคิด เห็นไหม เป็นความนึกคิดมันไม่เป็นความจริง ความจริงมันเกิดเฉพาะหน้า เห็นกายเห็นจิตแล้วจับมันแยกออก จับแยกออกจากการใคร่ครวญ การคลี่การแปรสภาพดูว่าสิ่งนั้นน่ะมันเป็นความจริงหรือไม่ มันเป็นอย่างนั้นอยู่ไหม เห็นกายในขึ้นมานี่มันก็สะเทือนถึงหัวใจอยู่แล้ว เพราะคนเราไปเห็นที่ตั้งของตัว สมบัตินะ สมบัติมีคุณค่ามากเลย ซ่อนเอาไว้ในตู้เซฟ แล้วปิดไว้มิดชิดไม่ให้ใครเห็นเลย

นี่ก็เหมือนกัน ความเห็นจากภายในมันอยู่ก้นบึ้งของหัวใจ แล้วความสงบมันล้วงเข้าไปในความลึกของหัวใจแล้วไปค้นคว้าสิ่งนั้น คือข้อมูลเดิมของใจที่มันติดพันอยู่ไง แต่พิจารณาไปมันแปรสภาพ ข้อมูลที่มันเคยยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นของจริง ข้อมูลที่ว่ามันเกิดขึ้นมากับเราเป็นของเราทั้งหมด แล้วมันก็ว่าสิ่งนี้มันก็เป็นไปตามธรรมชาติของมัน เนื้อหาสาระความหลงของใจดวงใดมันก็หลงอยู่อย่างนั้นน่ะ ความหลงของใจ จะศึกษานั่นเป็นเรื่องข้างนอก จะทำเข้ามาเป็นเรื่องข้างนอก

มันต้องทำวิปัสสนาเข้าไป ความที่วิปัสสนาเข้าไปนี้ ปัญญามันเกิดขึ้นจากการใคร่ครวญนี่ เกิดขึ้นจาก ศีล สมาธิ ปัญญา มารวมตัวมาสัมปยุตกัน เห็นไหม คำว่า ศีล สมาธิ ปัญญา รวมสัมปยุตกันนั้นเกิดมาจากไหน? เกิดจากเราสร้างสมขึ้นมาแล้วมันก็หมุนตัวออกไป มรรคถึงก้าวเดินออกไป พอก้าวเดินออกไป ปัญญามันก้าวเดินออกไปมันจะปล่อย คำว่าปล่อยเพราะอะไร? เพราะว่าพิจารณากายก็เห็นกายแปรสภาพ สิ่งที่แปรสภาพมันจับต้องไม่ได้ พอมันจับต้องไม่ได้มันก็ปล่อยวาง มันเป็นนามธรรมมันปล่อยออกไป ปล่อยไปจิตมันก็ว่างออก มันก็ปล่อยวางออกไป

พอปล่อยวางออกไป นั่นล่ะจะเห็นคุณค่าของภาวนามยปัญญา ภาวนามยปัญญามันจะเคลื่อนออกไป มันเป็นพลังงานของใจ เห็นชัดๆ! จับเห็นชัดๆ! เคลื่อนออกไปชัดๆ! พอมันปล่อยขึ้นมามันก็ปล่อยไปเฉยๆ ปล่อยไปเฉยๆ เพราะอะไร? เพราะแก่นของกิเลสไง กิเลสกับใจเขาอยู่กันมาไม่รู้ตั้งแต่ครั้งกาลใด! คำที่ว่าสิ่งที่เป็นความมั่นคงๆ ในโลกนี้ อะไรมันจะมั่นคงเท่ากับกิเลสกับใจที่มันอยู่ด้วยกันมา ใจกับกิเลสนี้มันอยู่ด้วยกันมา มันเกิดตาย เกิดตายมาอยู่ในหัวใจดวงนี้ แล้วมันจะมาสละทิ้งโดยง่ายๆ เป็นไปไม่ได้เลย!

สมบัติของโลกเรา ชีวิตหนึ่งเราสะสมไว้ พอหมดชีวิตไปคนอื่นก็รับมรดกตกทอดไป แต่กิเลสกับใจนี้ไม่ใช่มรดกตกทอดไป มันเกิดตายไปพร้อมกัน..พร้อมกัน..พร้อมกันตลอด มันซื่อสัตย์ยิ่งกว่าวัตถุที่ว่ามันเป็นคู่กันอีกน่ะ สิ่งนี้เป็นคู่กับใจอยู่ตลอดเวลา แล้วมันจะปล่อยออกมาอย่างนั้นเหรอ? มันถึงว่าภาวนามยปัญญามันจะเกิด เกิดซ้ำเข้าไป ถ้าคนที่มีสติสัมปชัญญะไม่ปล่อยนะ ถ้าไปเห็นสิ่งที่เป็นประเสริฐ เห็นความว่างเห็นความที่มันปล่อยวางแล้วว่าอันนั้นเป็นผลน่ะ นั่นน่ะ! มันเป็นผลได้อย่างไร? เพราะว่ามันยังเป็นอนิจจังอยู่น่ะ สิ่งที่เป็นอนิจจังสิ่งนั้นมันต้องให้ผลเป็นความทุกข์แน่นอนเลย!

สิ่งที่เคยเห็นว่าปล่อยวาง มันปล่อยวางแล้วเราก็พอใจว่ามันปล่อยวาง สิ่งที่ปล่อยวางแล้วเป็นความสุข มันจะเวิ้งว้างมีความสุขมาก แล้วความสุขนั้นมันเป็นอนิจจังน่ะ มันต้องแปรสภาพไป ความทุกข์นั้นมันก็ต้องแทรกเข้ามาได้บ้าง พอความทุกข์นั้นแทรกเข้ามา ไหนว่าเป็นความสุขไง ความทุกข์คือความจินตนาการที่ไม่สมจริงของตัว อยากให้เป็นอย่างนั้น อยากให้ว่างอยู่อย่างนั้น อยากให้มันเป็นสภาพตามที่เราพอใจ แล้วมันเป็นไปอย่างนั้นไหม? เพราะมันมีเชื้ออยู่ในใจไง

เชื้อของกิเลสมันยังอยู่ในใจนี่ มันต้องทำการต่อต้าน ต้องการพลิกแพลงมา มันไม่ปล่อยให้เราเป็นอิสระได้เด็ดขาดเลย! มันถึงว่าถ้าเราไม่นอนใจ สะสมขึ้นมา สร้างสมาธิขึ้นมา ทำกำหนดภาวนาตลอด สร้างทำความเพียรเข้าไป..ทำความเพียรเข้าไป พอมีสมาธิขึ้นมา เวลารวมตัวมันรวมอย่างไร วัตถุของเรานี่เวลาเราวิปัสสนาบ่อยๆ ทำเข้าบ่อยๆ มันมีว่าขาดบ้าง ปล่อยวางบ้าง กับภาวนาไปแล้วอั้นตู้ไปไม่ได้ ภาวนาไปแล้วก็ไปคากันอยู่อย่างนั้นน่ะ เห็นไหม ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะ? เพราะมันขาด...มันไม่รอบคอบไง มันไม่รอบคอบ ใจของเราไม่รอบคอบ

ความไม่รอบคอบหนึ่ง กิเลสมันผลักใสมันต่อต้านหนึ่ง กิเลสมันว่า “ทำ...ปฏิบัติธรรมอย่างนี้เพื่อจะมาชำระเรา จะมาทำลายเรา เราต้องสร้างเงื่อนออกไปเพื่อจะทำลายสิ่งนั้นไม่ให้เข้ามาถึงเรา” มันก็จะบอกว่า “ควรจะเป็นอย่างนั้น” เวลาภาวนาขึ้นมา ความคิดของเรามันสอดเข้ามา กิเลสมันจะสอดเข้ามา สอดในการวิปัสสนานั่นล่ะว่า “ควรเป็นอย่างนั้น..ควรเป็นอย่างนั้น” มันก็เป็นไป นี่ กิเลสมันทำให้เราไขว้เขวไปแล้วพลังงานมันก็หมดไปกับสิ่งนั้น เพราะพลังงานความคิดมันเกิดขึ้น เห็นไหม เราคิด เราจินตนาการ เราต้องใช้พลังงานของจิต เราเหนื่อยมาก เวลาเราใช้ความคิด

อันนี้ก็เหมือนกัน ความคิดที่เราใช้ไป กิเลสมันหลอกใช้ไปแล้ว แล้วเราจะเอาปัญญาที่ไหนไปชำระกิเลสอีกล่ะ เราก็ใคร่ครวญของเรา...แพ้บ้าง อย่างนี้คือว่าแพ้ นักกีฬา...จะเกมใดก็แล้วแต่ไม่มีใครขึ้นเป็นแชมป์โลกได้โดยที่ว่าเขาทำแล้วจะประสบความสำเร็จไปเลย...ไม่มี เขาต้องไต่เต้าขึ้นไปจากโนเนมทั้งนั้นแหละ

การประพฤติปฏิบัติของเราก็เหมือนกัน มันจะโนเนม มันจะเป็นอย่างไร มันจะต่ำต้อยขนาดไหน...ช่างหัวมัน! หน้าที่ของเราคือก้าวเดินไป เราพยายามสะสมของเราขึ้นไปเรื่อยๆ..สะสมขึ้นไปเรื่อยๆ มันก็ชนะ เพราะอะไร? เพราะไม่มีตัณหาซ้อนตัณหา ตัณหาคือความอยากชนะ อยากได้ผล เห็นไหม จนทำแล้วมันแพ้ มันแพ้มันเห็นว่าเป็นการหนักหนาไม่อยากทำ เราไม่สนตรงนั้น เราปล่อยวางไว้

หน้าที่ของเราคือใส่แต่พลังงาน ใส่แต่เชื้อเพลิงเข้าไป ไฟมันจะติดไม่ติดช่างหัวมัน เราใส่เพลิงเข้าไป ความเพียรเราเราก็ใส่ของเราเข้าไป..ใส่ของเราเข้าไป พอไม่มีตัณหา สิ่งที่เป็นนามธรรมที่ขวางอยู่ ผลมันเกิดเอง! ผลมันเกิดจากความมัชฌิมาของมันเอง เกิดจากภาวนามยปัญญาจะก้าวเดินออกไป นี่ มันจะเห็นสภาพว่ามันจะหมุนไปได้ไหม ปัญญาจะฆ่า หมุนออกไปไหม? ธรรมจักรมันจะเกิดขึ้นได้ไหม? ธรรมจักรที่เขาหมุนกัน ธรรมจักรตามวัดตามวา ทำเป็นเครื่องหมายว่าธรรมจักรๆ เหมือนล้อจักรที่มันเคลื่อนออกไป อันนั้นเป็นเครื่องหมาย

แต่ธรรมจักรในหัวใจมันหมุนออกมาแล้วนี่มันจะชำระกิเลส เห็นไหม จักรของธรรม! จักรของธรรมได้เคลื่อนออกมาจากหัวใจ ภาวนามยปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว หมุนออกไปแล้วย้อนกลับมาชำระกิเลส เห็นไหม มันพอดีกัน นี่ ธรรมจักรเกิด! เกิดแล้วมันยังไม่สัมปยุตรวมตัวพอดีมันก็จะปล่อยวางไปเฉยๆ ปล่อยวางไปอย่างนั้น นี่ นักปฏิบัติต้องพยายามหมั่นพิจารณากายกับใจเท่านั้น กายกับใจนี้เป็นที่อยู่อาศัยของกิเลส กิเลสอาศัยใจแล้วเคลื่อนออกมาทางกาย ถ้าเราทำลายกายของเรา เราก็ทำลายที่อยู่ของกิเลส เห็นไหม ทำลายที่อยู่ของกิเลสแล้วกิเลสมันจะอยู่ที่ไหนล่ะ? กิเลสมันก็ต้องออกจากที่อยู่นั้น

แต่เราว่า “เราจะชำระกิเลส เราจะฆ่ากิเลส เราหากิเลสมาฆ่ากัน” กิเลสเป็นนามธรรมเป็นความคิด เอาอะไรมาฆ่า? จะฆ่ามันต้องทำลายที่อยู่ของมัน ทำลายกายนี่ กายที่เราถนอมไว้ ทำลายกายที่เราทะนุถนอม ทำลายมันเข้าไป! เพราะถ้าเป็นวัตถุ พอทำลายแล้วมันจะหมดไป ทำลายแล้วมันจะเป็นสิ่งที่เสียหาย แต่ทำลายนามธรรมน่ะ เห็นกายโดยธรรมชาติ เห็นกายโดยธรรม เห็นกายโดยตาใน เห็นจากความจริงภายใน มันเป็นนามธรรม ยิ่งทำลายมันยิ่งสว่างไสว! ยิ่งทำลายมันยิ่งปล่อยวาง ความปล่อยวางอย่างนั้นน่ะ...นั่นน่ะ จักรมันเคลื่อนโดยคล่องตัวขึ้น เห็นไหม

จักร...ธรรมจักรนั้นจะเคลื่อนตัวได้คล่องตัวขึ้น..คล่องตัวขึ้น จนมันชำนาญไป แล้วเราไม่ต้องสนใจสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น หน้าที่ของเราคือสร้างแต่เหตุ สร้างเหตุอย่างเดียว เราจะสร้างเหตุของเราไปตลอด เราไม่ไปหวังผล ถ้าหวังผลนั้นคือตัณหาหลอกแล้ว ถ้าหวังผลน่ะ กิเลสมันหลอกแล้ว มันจะทำให้เราเสียการงาน เราถึงว่าผลไม่หวัง! เราสร้างเหตุของเราเข้าไป แล้ววิปัสสนาเข้าไป หมุนเข้าไป ถ้ากำลังเราพอ ธรรมจักรเคลื่อนไป...ปล่อย เคลื่อนไป...ปล่อย

เห็นไหมถ้าคนขึ้นไม่ถึงตรงนี้ ทำแล้วมันปล่อย เข้าใจว่าเป็นผล แล้วก็เอาผลซ้อนผล ผลซ้อนผลเข้าไปไง คิดว่าอันนี้เป็นผลหนึ่ง พิจารณาไปครั้งหนึ่งมันก็ปล่อยวางทีหนึ่ง เห็นไหม ปล่อยวางทีหนึ่งก็ว่าอันนี้เป็นผลครั้งหนึ่ง ปล่อยวางอีกทีก็เป็นผลครั้งหนึ่ง มันไม่มีเหตุผลรองรับ มันไม่เห็นกิเลสสิ้นไป มันไม่เห็นกิเลสขาดออกไปจากใจ กิเลสนี้ต้องขาดออกไปจากใจซึ่งๆ หน้า ขาดออกจากใจไปเห็นเลย วิปัสสนาซ้ำๆ อย่างนี้ พอซ้ำเข้าไปถึงจุดหนึ่งของมัน ถึงจุดหนึ่งไม่ต้องหวัง มันซ้ำเข้าไป พอรวมตัวแล้วมันสมุจเฉทปหานขาดปั๊บ! เห็นไหม กายกับจิตแยกออกจากกัน ทุกข์ออกไป จิต...สมาธิรวมตัวเข้ามา มันปล่อยวางหมดเลย! ปล่อยวางหมดเลย เราเห็นความขาดออกไป เรื่องกิเลสขาดออกไปจากใจอีกต่างหาก เป็นสิ่งที่ว่าเป็นปัจจัตตังรู้จำเพาะตน สิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญที่สุด

พอสิ่งนี้เกิดขึ้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์ธรรมจักรฯ “อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายต้องดับไปเป็นธรรมดา” มันเป็นธรรมดาของมัน แต่ที่มันไม่ธรรมดาเพราะไอ้ใจของเราเข้าไปจับมันเอง ใจของเราเข้าไปหลงมันเอง ถ้าใจของเรามันฉลาดขึ้นมาแล้ว มันไม่หลง มันปล่อยวาง มันก็เป็นธรรมดา สิ่งที่เป็นธรรมดามันก็เป็นธรรมดาของมัน แต่ใจไม่ธรรมดา ใจมันรู้จริงขึ้นมา มันรู้จริงขึ้นมามันก็ปล่อยวางออกไป แสงสว่างเกิดขึ้นจากใจดวงนั้น แต่เหลือบผาที่ว่าเป็นซอกเหลือบผาในหัวใจยังมีอีกมหาศาลเลย เราต้องวิปัสสนาเข้าไป สิ่งนี้เป็นเครื่องยืนยันกับใจ ใจได้รับธรรมแสงสว่างของใจที่ว่าเป็นอกุปปธรรม ธรรมตัวนี้จะไม่เสื่อมจากใจดวงนั้นเด็ดขาด! ใจดวงนั้นจะไม่เสื่อมจากธรรมตัวนี้

นางวิสาขาเป็นพระโสดาบันตั้งแต่ ๗ ขวบก็เป็นพระโสดาบันตลอดไป พระอานนท์เป็นพระโสดาบัน ตั้งแต่เป็นพระโสดาบันอุปัฏฐากพระพุทธเจ้ามา ๒๕ ปี แล้วพอพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้วทำต่อไป พระอานนท์ได้สร้างต่อไปจนเป็น ธัมโม ปทีโป ดวงหนึ่งของศาสนาพุทธ เป็นผู้จรรโลงศาสนาสืบทอดศาสนามาถึงพวกเรานี้ เราสืบทอดศาสนากันแต่ทางประเพณีวัฒนธรรม ถ้าเราทำใจของเราขึ้นมา สว่างไสวขึ้นมา ให้ธรรมดวงนี้เข้ามาถึงใจของเรา เราจะสืบทอดศาสนาจากหัวใจไง

ใจของเราเป็นพระไง ใจของเราเป็นดวงประทีปขึ้นมาไง ใจของเราเป็นดวงความสว่างไสวขึ้นมา มันให้ความสุขกับใจของเราก่อนใช่ไหม สุขนั้นมันเกิดขึ้นมาจากใจ สิ่งต่างๆ นั้นเป็นเครื่องอยู่อาศัย คำว่าเครื่องอยู่อาศัยมันต้องพลัดพรากจากกันไม่วันใดก็วันหนึ่ง เราไม่พลัดพรากจากเขา เขาก็ต้องพลัดพรากจากเรา เรานี่ต้องพลัดพรากจากเขาอยู่แล้ว เพราะเราต้องตายไปแน่นอน แล้วมีอะไรเป็นที่พึ่งที่อาศัยที่เราจะเอาเป็นสมบัติของเราไป

แต่ถ้าทำใจของเราจนเป็นที่พึ่งของเรา ใจนี้สว่างไสวขึ้นมา มันมีอะไรตาย? มันไม่มีอะไรตาย มันมีแต่กิเลสเท่านั้นที่ต้องตายไปจากใจของเรา ถ้ากิเลสมันตายไปจากใจของเรา ใจดวงนั้นเป็นอิสระขึ้นมาในหัวใจดวงนั้นขึ้นมา นี่ สุขที่ว่าสุขๆ มันสุขอย่างนี้ไง แต่นี้ก็มีความสุข มีการการันตี การันตีเพราะใจเราเข้าไปสัมผัสเอง ใจดวงนั้นสัมผัสเอง ใจดวงนั้นถึงอาจหาญ! ใจดวงนั้นถึงได้ว่าไม่หลงไปในโลกของเขาไง อาจหาญในกิเลสนะ อาจหาญว่า “กิเลสเอ็งจะมายุ่งกับข้าไม่ได้ ข้ารู้ทันเอ็งแล้วนะ” สิ่งนี้อาจหาญในกิเลส

แต่ในธรรมล่ะ? ในธรรมมันความสุขไง สุขของเรามันต้องไปอวดใคร สุขในหัวใจมันก็สุขในหัวใจอยู่นั้นน่ะ บอกเขาเขาก็ไม่รู้กับเราหรอก ไม่มีใครรู้ แล้วไม่มีใครเชื่อใคร ต้องเป็นใจดวงนั้นเข้าไปสัมผัสเท่านั้น ใจดวงนั้นเข้าไปสัมผัส ใจดวงนั้นรู้เอง เห็นไหม นี่ อจลศรัทธา ศรัทธาอย่างนี้จะฝังกับใจดวงนี้ไปตลอด ก้าวเดินต่อไปสร้างคุณงามความดี สร้างคุณงามความดีนั้นสะสมไปข้างหน้า ยังเกิดตายอีก ๗ ชาติ แต่เป็นดวงจิตที่ว่ามีขอบเขตแล้วเห็นไหม แต่ตอดิบๆ อย่างเรามันยังไม่มีขอบเขตไง มันยังต้องไปเหมือนกับปุยนุ่นแล้วแต่ลมพัดไป

จิตนี้เหมือนกัน แล้วแต่กรรมพัดไป กรรมพัดไปอย่างไรเราก็ต้องไปตามกรรมนั้น เพราะเราสร้างของเรามาเอง มันเป็นกิเลสกับใจที่เป็นเพื่อนคู่กัน ที่มันเป็นเพื่อนคู่กันที่มันสะสมมา มันต้องพลัดพรากไปอย่างนั้นอยู่แล้ว แล้วเราชำระออกมาจากใจเป็นชั้นๆ น่ะ กิเลสออกไปจากใจส่วนหนึ่งแล้วมีความสุข มีความสุขแล้วเราก็เสวยความสุขนั้นเป็นเครื่องอยู่ แล้วก้าวเดินต่อไป ก้าวเดินต่อไปเพราะห้างร้านเราสร้างขึ้นมาชั้นหนึ่ง เราต้องต่อห้างร้านที่สองขึ้นไป เพื่อจะชำระให้ใจนี้เต็มดวงขึ้นมา

ดวงประทีปนี้ได้เชื้อมาแล้ว แต่ดวงประทีปของเรามันไม่สว่างไสวในหัวใจของเราทั้งหมด เพราะมันมีสิ่งปิดบังอยู่ เห็นไหม สิ่งปิดบังนี้มันเป็นอุปาทานของเรา อุปาทานว่ากายหลุดออกไปแล้ว อุปาทานของกายกับใจฝังกันอยู่ ยังมีอุปาทานยึดมั่นถือมั่น ถึงต้องวิปัสสนาซ้ำเข้าไป พิจารณากายพิจารณาซ้ำๆ ขึ้นมา ก่อนจะซ้ำเข้าไปมันเห็นอยู่เหมือนกัน พิจารณากายจับกายได้ การจะวิปัสสนาครั้งใดก็แล้วแต่ถ้าจับจำเลยไม่ได้ จับเหตุผลวิปัสสนาไม่ได้ เหมือนกับเราทำงานบนกลางอากาศ ทำงานโดยที่ไม่มีเป้าหมาย สิ่งที่ไม่มีเป้าหมายจะเอาผลมาจากไหน ทำงานต้องมีเป้าหมาย เป้าหมายคือว่ากิเลสมันอยู่ตรงไหน

เป้าหมายคือเจาะจงตรงไปที่กิเลสมันอยู่ แล้วทำลายกิเลสนั้นออกไปจากใจ ถึงต้องหาที่อยู่ของกิเลสไง กิเลสนี้เป็นนามธรรมอาศัยที่อยู่ อาศัยกายกับใจเป็นที่อยู่ จับกายก็ได้ จับจิตก็ได้ ได้เหมือนกันแล้วพิจารณาไป จับได้ พอจับได้ จับได้จะรู้ด้วยตนเอง จับได้หมายถึงว่า จับต้องได้เหมือนจับจำเลยได้ จับแล้วจับต้องแล้วพิจารณาได้เลย ถ้าจับต้องไม่ได้มันก็เป็นการค้นคว้าไง งานในการค้นคว้าไง สมถกรรมฐานคือความสงบของใจ วิปัสสนากรรมฐานคือเรื่องของปัญญา

ศีลกับปัญญา สมาธิกับปัญญา สมาธิทำความสงบเข้ามาแล้วเกิดปัญญาหมุนเวียนเป็นปัญญาชำระกิเลส ปัญญาที่สัมปยุตด้วยศีล สมาธิ ปัญญา นี้เป็นที่ชำระกิเลส ปัญญาของเรา ปัญญาที่เราใช้กันอยู่นี้ ปัญญานี้เสริมกิเลส แล้วกิเลสหลอกใช้ เราไม่รู้สึกตัว ในการวิปัสสนาก็เหมือนกัน ในการค้นคว้าในการหาจำเลยในการหาเป้าหมายนี้เป็นงานอย่างหนึ่ง แล้ววิปัสสนานั้นเป็นงานอีกอย่างหนึ่ง ถ้าไม่มีการค้นคว้า ไม่มีการจับต้องได้เป็นงานชอบขึ้นมา มันถึงว่าเป็นงานชอบ งานชอบ ความเพียรชอบ งานชอบ ถ้างานไม่ชอบก็งานบนกลางอากาศ ทำแล้วไม่มีเป้าหมาย สิ่งที่ไม่มีเป้าหมายก็ทำแล้วทำเล่า ไม่มีเหตุไม่มีผลเกิดมาจากใจ เหมือนกับว่าเราทำงานแล้วทำงานโดยที่ว่าไม่ได้รับผล รับ...ผลได้รับ ได้รับความสงบ ยิ่งภาวนาขนาดไหนมันมีความสงบเข้ามา แต่ความสงบ คำว่า น้ำเต็มแก้วน่ะ เต็มจากความสงบแล้วเกินจากนั้นไปไม่ได้ไง ขอบเขตของมันคือความสงบเท่านั้น ขอบเขตของมันคือความว่างเปล่า จะสว่างไสว จะพิสดารขนาดไหนน่ะ มันเป็นอุปกิเลส

ความผ่องใสไง จิตจะผ่องใสขนาดไหนก็แล้วแต่ จะเวิ้งว้างขนาดไหนก็แล้วแต่ อัตตานุทิฏฐิ ความรู้สว่างไสว ความรู้ผ่องใส ความรู้ทุกๆ อย่าง ใครเป็นคนรู้? ถ้าไม่มีสิ่งใดไปรู้ อะไรมันสว่าง? ถ้าไม่มีสิ่งไปรู้ อะไรมันว่าง? ความว่างนั้นเป็นอาการของใจทั้งหมด ใจไปรับรู้สิ่งต่างๆ เห็นไหม ทำความสงบเข้ามามันเป็นอย่างนั้น มันถึงว่าสิ่งที่จะชำระคือสิ่งที่ไปรู้เขานั่นน่ะ สิ่งที่ไปรู้สว่าง สิ่งที่ว่าไปรู้ว่าง สิ่งที่ไปรู้ ไอ้สิ่งที่ไปรู้นั่นน่ะคือใจ! แล้วใจน่ะมันอาศัยอยู่กับอะไร? มันก็อยู่กับกาย ก็กายกับใจเท่านั้น นั่นน่ะ ย้อนกลับมาจับตรงนี้ได้ ย้อนกลับมา

ธรรมดาของใจมันส่งออก พลังงานทุกอย่างส่งออกไปข้างนอก เราจะทำงานการวิปัสสนาต้องพยายามหักพลังงานเข้ามา มันยากมันยากตรงนี้ ยากตรงที่ว่าหักพลังงาน พลังงานนี้ย้อนกลับ นี่ ทวนกระแส ทวนกระแสเห็นไหมเหมือนน้ำไหลลงต่ำ น้ำขึ้นที่สูงไม่มี แต่หัวใจนี่ได้ หัวใจมันส่งออก เราย้อนกลับขึ้นมา เหมือนย้อนกลับขึ้นไปที่สูง ย้อนกลับไปที่ใจ ย้อนความคิดไง ย้อนความคิด ย้อนความนึก ความใคร่ครวญ สติสัมปชัญญะตั้งให้พร้อม แล้วย้อนกลับมาเข้ามาดู ยกขึ้นกายก็ได้ ยกขึ้นจิตก็ได้ วิปัสสนาซ้ำเข้าไป...ซ้ำเข้าไป จับได้แล้วมันจะตื่นเต้น ความตื่นเต้นแล้วเราจับต้องได้ งานของเรา เราอยู่ในครัว เราอยู่ในห้องหับของเรา เราทำงานของเรานี่ ใครจะรู้อะไรกับเรา เราทำของเรา อันนี้ก็เหมือนกัน งานในใจของเรา เราเป็นคนจับต้องเราเป็นคนแก้ไขในใจของเรา ใครจะมารู้ดีกว่าเรา เราต้องรู้เห็นไหม แล้วจับต้องได้ เราต้องรู้ เว้นไว้แต่จับไม่ได้แล้วมันว่าจับได้ นี่กิเลสมันหลอก

มันจับไม่ได้ “อันนี้น่าจะใช่ อันนู้นน่าจะ” ถ้า “น่าจะ จะหรือต้อง” ไม่ใช่แล้ว! เอาใหม่ รักษาดูแล เพราะกิเลสมันยังพยายามผลักไส พยายามผลักไสเข้าไป นี่ พอค้นคว้าเจอ ความรู้ของเราจะรู้ด้วยตนเอง แล้ววิปัสสนาไปมันก็มีงานรองรับไง เราเอามีดสับลงไปที่ไม้ เราเอามีดสับไปโดนวัตถุที่มันรองรับสิ มีดกับสิ่งนั้นกระทบกัน ถ้าเราเอามีดสับไปกลางอากาศ อะไรกระทบกับมัน? นี่ก็เหมือนกัน ถ้าจับต้องได้มันมีกิเลสกับธรรมต่อสู้กัน เห็นไหม วิปัสสนาไปนี่ วิปัสสนาไปมันจะโดนอะไร? โดนกิเลส กิเลสมันก็ต้องต่อสู้สิ มันก็เหมือนปัญญากับกิเลสฟันกันสิ

นี่คือการต่อสู้ นี่คือวิปัสสนา ถ้ามันฟันไปกลางอากาศ มันจะไปฟันกับอะไร? กิเลสจะขาดไปจากไหน? “จะฆ่ากิเลส..จะฆ่ากิเลส” ฟันไปในอากาศน่ะ “ฆ่ากิเลส..ฆ่ากิเลส!” มันเอากิเลสไหนมาฆ่า?! มันไม่มีกิเลสมาให้ฆ่าไง แต่มันก็ว่ามัน “ฆ่ากิเลส..มันฆ่ากิเลส!” เห็นไหม กิเลสมันหลอก ความเห็นภายในจะจับต้องได้แล้ววิปัสสนาเข้าไป ถ้าจับแล้ววิปัสสนา มันจับต้องแล้วแล้วมันแยกออก นี่เหมือนกัน กิเลสทุกชั้นตอนจะต้องถนอมไว้ จะยันไว้ไม่ให้เข้าไปถึงอู่ ถึงคูหาของจิตไง

ถ้าคูหาของจิตนั้นจะเข้าไปถึงตัวอวิชชา ไพร่พลของกิเลสจะยับยั้งไว้ไม่ให้ปัญญานี้เข้าไปถึงตัวมันได้ เราพยายามเข้าไป ทำลายเข้าไป วิปัสสนาซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยความเพียรของเรา ปล่อยนะ กายเป็นกาย จิตเป็นจิต แยกออกจากกันนะ ดินเป็นดิน น้ำเป็นน้ำ ลมเป็นลม ไฟเป็นไฟ สลายไป จิตนี้จะปล่อยวางเข้ามาเวิ้งว้างหมดเลย โลกนี้ราบเป็นหน้ากลอง เห็นไหมกายกับจิตแยกออกจากกันแล้วไม่มีสิ่งใดจะเข้ามาเป็นเสี้ยนหนามได้ มันแยกออกหมดเลย พอแยกออกหมดโดยธรรมชาติของมันมันขาดออกไปเลย พอขาดออกไปนั่นล่ะเป็นผลน่ะ เป็นอกุปปะอีกชั้นหนึ่ง

ทีนี้ใจมันก็เวิ้งว้าง เพราะใจกับกายแยกออกจากกันโดยสมุจเฉทปหาน โดยธรรมชาติของมันแล้ว ใจเป็นใจ จิตเป็นจิต เวิ้งว้างหมดเลย นี่วิปัสสนาจะยากขึ้น การกระทำจะยากขึ้น จะยากขนาดไหนมันมีพื้นฐานแล้ว การยากขึ้นเพราะมันจับต้องเรื่องนามธรรม สิ่งที่เป็นนามธรรมมันเป็นจิตล้วนๆ จิตกับกายเห็นไหม ตรงที่ว่าจิตกับกายมันมีกายให้จับต้องได้ มีสื่อสัมพันธ์ ทีนี้จิตมันถอยเข้าไปแล้วมันไม่มี ความจะเสริมธรรมจักรของเรา ธรรมจักร มรรค ๔ ผล ๔ จักรที่เคลื่อนไป จักรที่หนึ่งชำระไปแล้ว ธรรมจักรสัมปยุตเข้าไป วิปปยุตคลายออกมา จิตนี้พ้นออกไปหนึ่งส่วน

ทีนี้สัมปยุตสองเข้าไป ทีนี้สัมปยุตที่สามนี่ มันจะเป็นธรรมจักรที่เหนือกว่า ธรรมจักรอันนี้ละเอียดอ่อนกว่า เพราะมันเป็นมหาสติมหาปัญญา มันไม่ใช่สติปัญญาที่เราใช้กันอยู่แล้ว สติปัญญามันมีเครื่องรองรับมันจับต้องกายได้มันวิปัสสนาได้ แต่ต่อไปนี้มันละเอียดอ่อนที่ว่า สติปัญญาก็ไม่สามารถจะเข้าไปค้นคว้ามันได้ มันถึงเป็นมหาสติมหาปัญญา ที่เป็นมหาสติมหาปัญญาเพราะความละเอียดอ่อนของใจ ละเอียดอ่อนมาก เราทำความสงบเข้าไปเฉยๆ เรายังมีหยาบ มีขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ ความเป็นสมาธิยังมีความละเอียดอ่อนต่างกัน

แล้วการเข้าไปชำระกิเลสที่มันอยู่ในหัวใจที่มันหยาบละเอียดต่างกัน ทำไมมันไม่มีเครื่องมือที่ละเอียดเข้าไปล่ะ เครื่องมือที่จะเข้าไปจับมันต้องละเอียดขึ้นไป พอละเอียดขึ้นไป เราสร้างขึ้นไป มันจะรู้โดยธรรมชาติของมันเลย รู้โดยปัจจัตตัง รู้โดยจิตสำนึก รู้โดยความเห็นของตัว รู้โดยผู้ปฏิบัติ! รู้โดยใจดวงนั้นที่ก้าวเดินที่เชื่อมั่นในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เชื่อมั่นในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าผ่านไปแล้ว เป็นดวงประทีปให้เราเป็นที่ยึดมั่น เป็นที่ก้าวเดินไป ผู้ที่เดินนำหน้าเราไปมี ทำไมเราจะทำไม่ได้

กิเลสมันจะหลอก กิเลสมันจะบอกว่า “ตรงนี้แหละ ตรงนี้แหละเป็นเป้าหมาย หัวใจที่ว่างๆ นี่แหละเป็นที่อยู่ หัวใจว่างๆ นี่แหละเป็น...” นี่ กิเลสมันจะหลอก แล้วหาไม่เจอ แล้วใจมันก็วิ่งตามไป หมุนออกมา..หมุนออกมา ส่งออกไปข้างนอก จะหาข้างนอก ถึงไม่เคยเจอไง นี่จะติดตรงนี้มาก ตรงนี้จะมีผู้ปฏิบัติติดตรงนี้มาก ติดตรงนี้คือก้าวเดินขึ้นไปไม่ได้ จนกว่าจะมีผู้ที่ว่าเตือนสติ หรือผู้ที่กำหนดให้ความรู้สึก หรือว่าใจดวงนั้นมีอำนาจวาสนาย้อนกลับเข้ามา จะสร้างขึ้นมา ย้อนกลับเข้ามา..ย้อนกลับเข้ามา เพราะมันต้องทุกข์ไปก่อนไง มันไสไป “ตรงนั้นก็ใช่ ตรงนี้ก็ใช่ ตรงนู้นก็ใช่” พอใช่ขึ้นไป เหมือนลิงอาศัยกิ่งไม้ไหนก็ว่าอันนี้เป็นรังของตัว อาศัยกิ่งไม้ไหน อาศัยอารมณ์ใด อาศัยว่าอันนี้เป็นผลไง ว่าจะเป็นของมัน แล้วไม่ใช่

มันอยู่ไม่ได้หรอก อยู่ตรงนั้นไม่ได้เพราะอะไร เพราะลิงมันไม่อยู่เอง มันดิ้น ลิงมันอยู่ไม่สุขเพราะใจดวงนี้ก็อยู่ไม่สุข เพราะมันยังมีกิเลสอยู่ เพราะใจอยู่ไม่สุข มันจะอยู่ที่ไหนเป็นสุขล่ะ? มันก็ต้องโดดไปโน่นโดดไปนี่ เห็นไหม “อันนั้นน่าจะใช่ อันนี้น่าจะใช่” สิ่งนี้คือสิ่งที่เป็นข้อมูลที่เราจะเอามาเป็นที่เริ่มลังเลสงสัย เริ่มใคร่ครวญว่า “สิ่งนี้มันเป็นผลจริงๆ เหรอ? ถ้าเป็นผลจริงๆ ทำไมมันให้ผลเป็นความไม่แน่นอนล่ะ?” ถ้ามันมีอย่างนี้ขึ้นมาปัญญามันเกิด ปัญญามันเกิดมันก็ต้องว่า “ถ้าสิ่งนี้ไม่ใช่แล้วอะไรมันใช่ อะไรที่มันใช่อยู่ที่ไหน? อยู่ที่ใจ!”

มันจะย้อนกลับเข้ามา นี่ไงงานของการขุดคุ้ยไง งานของการหาจำเลยไง งานของการหากิเลสไง หาสิ่งที่กิเลสมันอาศัยอยู่ไง กิเลสสิ่งที่อาศัยอยู่ เข้าไปตรงนี้ ถ้าหาเจอ สิ่งที่จะหาเจอ หาเจอด้วยมหาสติมหาปัญญา เจอสิ่งนี้มันยิ่งกว่าถูกรางวัลต่างๆ ขึ้นมาอีกนะ มันจะขนพองสยองเกล้าขึ้นมาทันทีเลยนะ ขนพองสยองเกล้าว่าสิ่งนี้ยังมีอยู่..ยังมีอยู่ จึงตื่นเต้นมาก มันเหมือนได้สมบัติไง เหมือนกับนักกีฬาที่เขาแข่งกันแล้วได้เหรียญทอง เหรียญทองเป็นอะไร เหรียญทองเป็นรางวัล

นี้ก็เหมือนกัน รางวัลในการค้นคว้าในการหาไง แต่รางวัลนั้นมันเป็นอะไร เป็นมูลค่าใช่ไหม เป็นมูลค่าเราใช้ประโยชน์ขึ้นมา มันก็ไปหาประโยชน์ได้ แต่นี้เป็นมูลค่าที่ว่าเราจะชำระมันน่ะ มูลค่าที่เราเจอสิ่งที่เราหาขึ้นมาได้ มันเป็นรางวัลของเรา แต่รางวัลนี้มันให้ผล เก็บไว้มันก็เป็นภาระ สิ่งที่เป็นภาระเป็นความรุงรัง เห็นไหม สิ่งนั้นต้องทำลาย รางวัลนี้ต้องทำลาย รางวัลนี้เป็นรางวัลในการก้าวขึ้นมาก้าวเดินขึ้นไปเพื่อจะจับถึงชัยไง ถึงชัยได้รางวัลขึ้นมา แต่มันยังไม่ถึงครบสิ่งที่เป็นความชนะสูงสุด

มันเป็นรางวัลแล้วแต่ว่าเป็นขั้นตอนขึ้นมา เราก็จับต้องได้ ก็มีการค้นคว้า มีการค้นคว้ามันคือการวิปัสสนา มีการวิปัสสนาใคร่ครวญไง ถ้าเป็นกายกับใจ ถ้าเป็นกายจะเป็นอสุภะ สิ่งนี้จะเป็นอสุภะ สิ่งนี้จะเป็นกามราคะ สิ่งนี้จะเป็นสิ่งที่ว่าให้ใจเป็นโอฆะ ให้ใจนี้นอนเนื่องอยู่ในนั้น สิ่งนี้คือการสร้างโลก สิ่งนี้คือการสร้างใจดวงนี้ขึ้นมา สิ่งนี้คือการสร้างให้ใจดวงนี้ไปเกิดในภพชาติใดต่างๆ นี่วิปัสสนาเข้ามา ความรุนแรงของการต่อต้านไง สิ่งที่ว่ามีคุณค่าน่ะ... แม่ทัพใหญ่ แม่ทัพใหญ่ที่จะออกรบ เห็นไหม เขาต้องมีผู้ที่ว่ารักษาแม่ทัพไว้ เพราะถ้าแม่ทัพตายไป กองทัพนั้นจะต้องระส่ำระสาย

อันนี้ก็เหมือนกัน นี้เป็นแม่ทัพที่ออกรับรู้ ออกสร้างโลก กามราคะนี้เป็นสิ่งที่ว่าเป็นแม่ทัพใหญ่ โลภ โกรธ หลง อยู่ตรงนี้ ความโกรธความหลงทุกอย่าง หลงในตัวมันเอง หลงหมด เพราะความหลงออกไป แม่ทัพถึงสร้างเสนาอำมาตย์ออกไปข้างนอก เราทำลายเสนาอำมาตย์จากข้างนอกเข้ามา ทำลายทหารของเขาเข้ามา เข้าถึงแม่ทัพแล้วมันต่อกรกับแม่ทัพ แม่ทัพต้องมีวิชาการ ต้องมีกำลังมากกว่า นี่ การวิปัสสนามันถึงได้ยาก ยาก..ยากตรงนี้ ยากเพราะกำลังของกิเลสมันรุนแรง

สิ่งที่กิเลสรุนแรง ถึงทำลายให้พลังงานของเรานี้ด้อยค่า ทั้งๆ ที่เป็นมหาสติมหาปัญญา สิ่งที่เป็นมหาสติมหาปัญญาเราสร้างขึ้นมาจากกำลังใจของเรา มรรคมันเคลื่อนออกไปแล้วด้วยสิ่งที่เป็นมหาสติมหาปัญญา เป็นมหาสติมหาปัญญา...มันเคลื่อนออกไป มันก็ทำการต่อสู้ เห็นไหม ต้องต่อสู้! ไม่เขาตายก็ต้องเราตาย เพราะได้รางวัลได้เห็นหน้ากันแล้ว ถ้าได้เห็นหน้ากันแล้วคือการต่อสู้เท่านั้น แต่การต่อสู้นี้กิเลสมีอำนาจเหนือกว่าเพราะเป็นแม่ทัพ พลิกแพลง เหลี่ยมของกิเลสอันนี้ร้ายกาจมาก จะบอกว่า “สิ่งนี้เป็นผล..สิ่งนี้เป็นผล” เขาสร้างสำรับอาหารไว้ให้กินโดยเฉพาะเลย ว่า ”อันนี้เป็นความว่าง อันนี้เป็นผลของมัน อันนี้...”

เพราะอะไร? เพราะสิ่งที่เป็นนามธรรมกับสิ่งที่เป็นนามธรรมกำลังต่อสู้กัน มันเป็นนามธรรมที่ต่อสู้กันอยู่ภายใน เห็นไหม มันเป็นนามธรรมมันจะสร้างภาพอย่างไรก็ได้ แล้วกิเลสเคยอยู่กับเขามา ใจเคยอยู่กับกิเลสมา กิเลสมันอยู่ที่ใจ ใจกับกิเลสนี้เคยอยู่ด้วยกันมา สิ่งที่เคยอยู่ด้วยกัน เขาก็ต้องสร้างวิธีการ สร้างความหลอกลวงขึ้นมาได้ แล้วใจมันเคยเชื่อมาตลอด แล้วขณะที่เราสร้างธรรมขึ้นไปนี้ เราสร้างขึ้นมาจากขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เราเชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วธรรมสิ่งนั้นมีอยู่จริง แล้วเราก็สร้างขึ้นได้จริงๆ มันเพิ่งสร้างขึ้นมา ธรรมนี้เพิ่งเคยเกิดขึ้นจากใจ ธรรม...ภาวนามยปัญญาเกิดขึ้นจากใจ ใจเพิ่งสร้างขึ้นมา สิ่งที่ว่าสร้างขึ้นมาเป็นสิ่งที่ว่าอำนาจน้อยกว่าไง สิ่งที่น้อยกว่าถึงได้ล้มผลอย..ล้มผลอยไปไง จะล้มลุกคลุกคลานอยู่ตรงนี้ ตรงนี้เป็นน้ำป่าต้องซัดกันรุนแรงมาก ซัดกันอยู่อย่างนั้นจะต้องทุ่มทั้งชีวิต! ผู้ที่ปฏิบัติจะเข้าป่าจะไม่อยู่กับใคร มันจะเกิดดับตลอดในหัวใจนั้น จะสู้กันตลอดแล้วมันจะไม่มีเวลา

คนที่ใฝ่อยากประพฤติปฏิบัติจริงถึงอยู่ในป่าแล้วพยายามตรงนี้ ตะล่อมเข้ามาตลอด จัดการอย่างต้องให้แพ้ให้ชนะกันให้ได้ เห็นไหม ถึงต้องใช้ชัยภูมิที่สมควรไง แล้วจะเห็นการจะชำระกามภพ สิ่งที่เกิดตายเกิดตายอย่างนี้แล้วยังจะมาอยู่กับหมู่คณะ จะมาอยู่กับสิ่งอำนวยความสะดวก เพื่อจะให้อำนวยความสะดวกเรื่องกิเลสเหรอ? มันถึงต้องไม่อยู่กับสิ่งที่อำนวยความสะดวกให้กิเลสมันพองตัวไง มันถึงต้องหลบเข้าไปให้กิเลสนี้มันอ่อนแรงลง เราพยายามอดนอนผ่อนอาหารเพื่อจะให้กิเลสนี้มันเบาแรงลง ให้ธรรมเราได้ผุดขึ้นมา ให้ได้ต่อสู้ได้ถนัดนะ!

นี่มันเป็นปัญญา มันเป็นวิธีการ มันเป็นเทคนิคที่ครูบาอาจารย์คอยชี้นำลูกศิษย์ด้วย มันเป็นวิธีการที่ว่าเราเคยแพ้..เคยแพ้ เคยแพ้มาตลอด มันก็ยอกใจด้วย สิ่งที่เราเคยแพ้มาตลอดมันไม่เคยชนะนี่ มันยอกใจมันก็พยายามจะหาทางชนะขึ้นมา มันก็ต้องหาทางออก เห็นไหม พอหาทางออกพลังงานจะเกิดขึ้นไปเรื่อยๆ ล้มลุกคลุกคลานขนาดไหนก็ทำไป..ทำไป..ทำไป ซ้ำอยู่อย่างนั้น ซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันหลอกเป็นผลก็ไม่เชื่อ ไม่เชื่อเพราะอะไร เพราะมันไม่มีผลไง มันไม่มีเหตุไม่มีผลที่ว่า มันไม่มีสิ่งใดที่ปัญญาชำระกิเลสที่มันขาดออกไปที่เห็นเหตุเห็นผลกัน ทำจนถึงที่สุด กิเลสมันขาดได้จริงๆ น่ะ มันขาดออกไปนะ ขันธ์กับใจขาดออกจากกันเด็ดขาดเลย! เพราะการผูกโกรธมันเกิดจากสัญญาทั้งนั้น สัญญาน่ะ ใครจะว่าเรา ใครจะโกรธ ใครจะติเตียนเรา ตัวที่จำได้น่ะตัวสัญญา มันอยู่กับจิตมาตลอด มันขาดออกไปจากใจ! โลกธาตุนี้หวั่นไหวหมดเลย ครืน! หวั่นไหว เพราะอะไร? เพราะใจดวงนี้จะไม่เกิดในกามภพอีกแล้ว!

ใจดวงนี้เป็นตอแห้งๆ ที่มันเป็นตอเก้อๆ เขินๆ อยู่ในหัวใจอยู่นั้น มันจะไม่กลับมาเกิดในกามภพ มันต้องเกิดถ้าจะเกิด เพราะเป็นตอนี้มันเป็นหนึ่งเดียว มันไม่ใช่ขันธ์ มันไม่ใช่อะไรทั้งสิ้น มันเป็นตอของใจ มันเป็นตอที่ว่าเป็นนามธรรม ถ้ามันไปมันก็เกิดเป็นพรหมแน่นอน เพราะมันเป็นขันธ์เดียวอยู่กับพรหมอย่างนั้นเหมือนกัน จะว่าขันธ์ก็ไม่ใช่ เพราะขันธ์เป็นกอง อันนี้เป็นนามธรรมที่ว่า สิ่งที่เป็นแม่ทัพนี้เป็นเรื่องแม่ทัพในการต่อสู้ในการสะสม แต่สิ่งที่ว่าเป็นกษัตริย์ เป็นผู้สั่งงาน เป็นเจ้าของแผ่นดิน เป็นผู้ที่ว่าควบคุมใจคือตัวนี้ต่างหาก กษัตริย์นี้เป็นผู้สั่งให้แม่ทัพออกรบ แล้วแม่ทัพออกรบก็ทำให้เราทุกข์ยากมาตลอด เราก็ทำลายแม่ทัพเข้าไปแล้ว เราจะไปจับใคร? การจะจับตัวกษัตริย์ กษัตริย์นี้อยู่ในราชวังเราจะจับได้อย่างไร? นี่ คูหาของจิตไง จิตที่อยู่ในคูหาของใจจะย้อนกลับเข้าไปหาคูหาของใจ

นี่ การค้นคว้าไม่มีทางที่จะเห็นเลย ส่งออกหมด แล้วตรงนี้ว่าเป็นผลทั้งนั้น จะว่าอันนี้เป็นผลแล้วไปอยู่อย่างนั้น จนกว่า…จนกว่ากาลเวลาอยู่ในหัวใจนั้น แล้วการจะขุดคุ้ยสิ่งนี้ จะค้นคว้าสิ่งนี้ได้ มันจะเฉา มันจะแปรสภาพของมัน ธรรมชาติเห็นไหม ลมฟ้าอากาศต้องแปรปรวนตลอด ลมฟ้าอากาศต้องหมุนเคลื่อนตัวไป อยู่ในตัวเองไม่ได้ สิ่งนี้ก็เหมือนกัน เป็นกษัตริย์ก็ต้องหาที่อยู่ที่กินใช่ไหม เป็นกษัตริย์ก็ต้องมีสัมภาระที่ต้องใช้สอยของเขาใช่ไหม จิตดวงนี้ในเมื่อมันขยับตัวอยู่นี่มันจะรู้ได้ รู้ได้ด้วยสิ่งที่มันเคลื่อนตัว

การค้นคว้าจับเข้าไปตรงนั้น พอจับตรงนั้นได้ จับได้ด้วยอะไร? ด้วยญาณด้วยความละเอียดอ่อน พอจับได้ สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุด สิ่งที่ว่าเห็นๆๆๆๆ ที่ชำระเข้ามา...ชำระเข้ามา มันเท่าสู้สิ่งนี้ไม่ได้ แล้วมันพลิกออกไปหมดสิ้น! ธัมโม ปทีโป เกิดจากใจของผู้ปฏิบัติ! ใจดวงใดประพฤติปฏิบัติขึ้นมาถึงที่สุดของธัมโม ปทีโป มันสว่างหมด เหลือบเงื้อมผาของสิ่งที่กิเลสซ่อนไว้ กิเลสบังไว้ให้แสงมันเข้าไม่ได้...ไม่มี! มันสว่างเข้าไปในคูหา ทำลายในคูหา ทำลายในถ้ำ ทำลายทุกอย่างหมดเกลี้ยง!

สิ่งที่เป็นเหลือบบังแสงธัมโม ปทีโป ธรรมของพระพุทธเจ้าไม่มี มันถึงเป็นธรรมล้วนๆ จากใจดวงนั้นไง ธัมโม ปทีโป ๑,๒๕๐ องค์ของพระอรหันต์ในครั้งพุทธกาล ในกาลมาฆะบูชา ในสโมสรสันนิบาตที่มาเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กับธัมโม ปทีโปในหัวใจของผู้ที่ปฏิบัติอันเดียวกัน เป็นสิ่งที่เหมือนกัน เป็นสิ่งที่มีความสุขในหัวใจเหมือนกัน สุขมากๆ สุขนี้เป็นขันธ์อีกแล้ว เห็นไหมเพราะอะไร? เพระว่าสิ่งที่ว่าเป็นสุข..เป็นสุขนั้นเป็นความสมมุติที่เขาคุยกัน

คนที่ประพฤติปฏิบัติถึงที่สิ้นสุดของความสว่างไสวแล้ว ในเมื่อเป็นสมมุติก็รู้สมมุติไง รู้สมมุติอยู่ในสมมุติไง เพราะว่าสว่าง...ใจนั้นสว่างแล้วจะไปอยู่ที่ไหนล่ะ? เพราะความสว่างนั้นมันอยู่ในหัวใจใช่ไหม หัวใจดวงนั้นสว่าง หัวใจดวงนั้นผ่องใส ผ่องใสนี้ก็เป็นกิเลส ถ้าบอกว่าผ่องใส สิ่งที่ผ่องใส สิ่งที่ผ่องใสคืออวิชชา เห็นไหม แต่ความผ่องใสนี้ก็อ้างอิงไง ความอ้างอิงความสมมุติในการสื่อความหมาย ฉะนั้นว่า ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติถึงสุดที่สิ้นสุดของธรรม ต้องสื่อความหมายได้ทั้งหมด! ปัจจัตตังรู้จากใจ ใจดวงนั้นเข้าใจ เห็นตามความเป็นจริง สิ่งที่สมมุติมันหยาบเกินไป!

สิ่งที่เป็นธรรมนี้สูงสุด แล้วสมมุติขึ้นมาให้เหมือนธรรมนั้นไง พระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมอันนี้ก่อน แล้วเสวยวิมุตติสุขขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจนพรหมมานิมนต์ออกมาสั่งสอนสัตว์โลก ถึงว่าเอาสิ่งนั้นออกมาเป็นเป็นเครื่องมือให้พวกเราก้าวเดินตามเข้าไป เดินตามไป อันนี้มันมาอะไร เป็นสมมุติแล้วแต่คนจะตีความ ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติจะถึงก็ได้ถ้าเดินถูกทาง ถ้าผู้ประพฤติปฏิบัติฟังองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาแล้วพลิกแพลงตามกิเลสว่า “ฉันจะไปทางลัด ฉันจะไปก่อน ฉันจะไปทางสั้น ฉันจะไปถึงก่อน” ตายก่อน! เพราะอันนั้นกิเลสมันเริ่มหลอกแล้วเห็นไหม

ถ้าเราประพฤติเราซื่อสัตย์กับธรรม ธรรมนั้นก็จะซื่อสัตย์กับเรา ถ้ากิเลสมีเล่ห์เหลี่ยมกับธรรม เห็นไหมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “ศีล สมาธิ ปัญญา มรรคอริยสัจจังจะหมุนไป” เราบอกว่า “ต้องไปประสาใจของเรา” เราไม่ซื่อสัตย์กับธรรมนี่ เราจะไปทางลัดของเรา เราอยากสะดวกอยากสบายให้กิเลสมันหลอกตั้งแต่ยังไม่ประพฤติปฏิบัติ ยังไม่ประพฤติปฏิบัติกิเลสมันก็คลุมหัวแล้วมันก็ไสหัวลงไปเอาไปก่อน แล้วเราใช้เหลี่ยมของกิเลสนี้ไปตกแต่งธรรมจะให้ธรรมนี้เป็นความสมใจเรา ให้ธรรมนี้เข้ามาชำระกิเลสเรา กิเลสมันทำอยู่นี้ยังไม่เห็นอีกหรือ?

กิเลสมันใช้ปัญญาของเรานี้ยังไม่รู้อีกหรือว่ากิเลสมันใช้อยู่ หรือจะไปทางลัด มันลัดตรงไหน? ทางลัดนั้นน่ะ นั่นน่ะเหลี่ยมของกิเลส นั่นละเหลือบมุมของกิเลสที่มันหลอกให้ใจดวงนี้ไปจมอยู่ที่นั่น ทีนี้ถ้าใจที่มันสว่างขึ้นมามันถึงเห็นสิ่งนี้ได้ มันถึงว่าสิ่งที่ว่าจะพูดไม่ได้จะสื่อไม่ได้ไม่มี..ไม่มี! สื่อได้พูดได้ แต่พูดกับครูบาอาจารย์พูดในธรรมอย่างหนึ่ง พูดในการสั่งสอนอย่างหนึ่ง การแสดงธรรมต้องเอาธรรม ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงโดยเนื้อหาสาระไง แสดงธรรมโดยธรรม

ธรรมจะเป็นธรรมโดยธรรมชาติ ธรรมนี้ไม่เอนเอียงไปหาใคร ไม่เข้าข้างใคร เป็นธรรมชาติอยู่อย่างนั้น ธรรมชาตินี้ก็แปรปรวนนะ แต่ธรรมอันนั้นเหนือว่าธรรมชาติ แต่ไม่มีสมมุติจะบอกว่าอันนั้นสิ่งใด ถึงบอกว่าเป็นธรรมชาติ เป็นธรรมชาติของเขาอันหนึ่ง จากเมื่อก่อนเป็นธรรมชาติที่อยู่ใต้กฎของทฤษฎี ธรรมชาติในทฤษฎีนี้หมุนแปรสภาพไป ใจดวงนี้ก็อยู่ในธรรมชาติอย่างนั้น มันเข้าใจตามกฎทฤษฎีธรรมชาตินั้น แล้วสลัดธรรมชาตินั้นทิ้งไป! สลัดทิ้งไปทั้งหมดเลย รู้กฎทฤษฎีแล้วปล่อยวางกฎทฤษฎีนี้ตามความเป็นจริงไง

ข้ามเรือจากแพแล้วจะแบกแพไปไหน? ต้องเอาแพไว้ในน้ำแล้วเราขึ้นมา นี่ก็เหมือนกัน ธรรมชาติคือธรรม สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา เป็นธรรมเป็นแพที่จะส่งใจดวงนี้ขึ้นไป แล้วใจดวงนี้ขึ้นไปถึงจุดหมายปลายทางของใจดวงนั้นแล้ว แล้วจะไปที่ว่าเป็นธรรมชาติ..ธรรมชาติอีกได้อย่างไร? มันเหนือธรรมชาติ! เหนือทุกสิ่งทุกอย่าง! แต่มันเนื่องในสมมุติโลกพูดกัน ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติจากมหาสติมหาปัญญา จนเป็นสติปัญญาอัตโนมัติ รู้โดยตลอด เคลื่อนไหวโดยความมีสติสัมปชัญญะ จะไม่สามารถพูดสมมุติได้อย่างไร? ในสมมุติเขาสมมุติ…

สิ้นสุดการบันทึกเสียงเพียงเท่านี้